BITTER SWEET : CHAPTER SEVEN
08:04
แสงหลากสีสาดจากเพดานกระทบอาบร่างของแรปเปอร์หลายชีวิตที่อยู่บนเวที
จังหวะอันเร่งเร้าและเนื้อหาผรุสวาทรุนแรงที่ออกจากปากฉุดกระชากผู้คนให้ร่วงหล่นในก้นบึงของความสนุกสนานที่ทางร้านประเคนให้หลุดลืมความทรงจำ
กลิ่นแอลกอฮอล์ บุหรี่ผสานกับสารพันสรรพเสียงอบอวลอยู่ในอากาศ
แปลกที่หัวใจของคนที่สาดน้ำเปล่าจากขวดใส่ผู้ชมกลับเบาโหวง
แอนดัพลงจากเวทีตรงไปยังด้านหลังร้านที่จัดไว้สำหรับให้นักดนตรีนั่งพักมีแอลกอฮอล์ดีกรีหนักตั้งวางอยู่
มือหยาบคว้าเอาขวดวอดก้ากระดกเข้าปากเพียวแบบไม่ต้องอาศัยการผสมใด
เขาหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์เพื่อเช็กความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียล...มีการแจ้งเตือนจากในอินสตราแกรม
ทวิตเตอร์ เฟสบุ๊กและคาทก
ตั้งแต่รายการออกอาการไปดูเหมือนเขาจะกลายเป็นที่สนใจอยู่ไม่น้อย ยิ่งผู้ชมรู้ว่าเขาเป็นเพื่อนกับซงมินโฮไอดอลหนุ่มจากวินเนอร์กลุ่มเขาก็ถูกจับตามอง
เรียกได้ว่าอาจจะพอๆกับกลุ่มสามหนุ่มดอกไม้ที่รายการจับเอาจองแจวอน
คิมมินแจและเด็กนั้นด้วย
ชายหนุ่มกระดกขวดวอดก้าปล่อยรสชาติร้อนแรงแผดไปตามลำคอขณะเหลือบตาไปยังปฏิทินรูปวาดสาวพินอัพเกิร์ลที่ติดตรงกำแพงอิฐ
...วันอาทิตย์...
...มันเป็นวันอาทิตย์ที่เท่าไหร่แล้วเขาก็จำไม่ได้ที่จมปลักอยู่กับการมีเด็กคนนั้นวนเวียนอยู่ทั้งยามหลับและการตื่น
สิ่งที่จำได้คงมีแค่วันเวลาที่ได้แต่คิดถึงเด็กคนนั้นในแต่ละวันช่างผ่านไปยาวนานเหลือเกิน
เดือนกว่าแล้วหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจที่เขาใช้ช่วงเวลาค่ำคืนขับรถไปตามท้องถนน
เฝ้ารอเด็กคนนั้นหน้าหอกับตึกของเขาพร้อมฝากโกโก้ที่มันให้ซื้อใช้ไปกับยามหน้าตึกอย่างไร้ความหวัง
การได้เห็นหน้าของเด็กคนนั้นทำได้ผ่านรายการเพลงกับรายการวาไรตี้ที่เขาเคยสนใจดูเฉพาะเกิร์ลกรุ๊ป...ใบหน้านวลขาวละมุนกับรอยยิ้มสดใสและแววตาทอประกายเหมือนดวงดาวทำให้ทุกคราวที่เห็นหัวใจก็ปวดแปลบ
...เมื่อศุกร์หน้ามาถึงเป็นช่วงเวลาออกอากาศเทปที่สอง
เด็กคนนั้นจะถูกด่าเละแค่ไหนกัน...
เขาโซเซกระแทกทั้งตัวลงไปนั่งกับโซฟาหนังแล้วหลับตานอนฟังเสียงดนตรีด้านนอกอย่างอ่อนล้าก่อนจะรู้สึกคันคอและไอโขลกออกมา
“ไอขนาดนี้
มึงไม่สบายหรือเปล่า” อลทีโผล่เข้ามาถามพลางยื่นหลังมือสัมผัสหน้าผาก
“เหี้ย ตัวก็ไม่ร้อนนี่หว่า ช่วยตัวเองมากไปเลยเพลียเหรอมึง”
“หรือยังเครียดกับการเจอสนูปด็อก...ไอ้เหี้ยมันก็เป็นอาทิตย์แล้วปะ
มึงก็ผ่านเข้ารอบจนจะไปเที่ยวอยู่ล่ะ จะมาเครียดเหี้ยอะไรอีก” เจ้าแว่นหน้าตามุ้งมิ้งตัวผอมสวมเสื้อโค้ทสีดำตัวโคร่งว่าขณะทรุดลงนั่งบนโซฟาด้านที่อีกคนหันหน้าซบกับโซฟาอยู่ก่อนที่จะมีบางคนกระโดดมานั่งข้างๆแล้วซบหน้าถูไถแผ่นหลังไปมา
“พี่บยอลขา...จะได้ไปเที่ยวกับน้องแจวอนอยู่แล้ว
ไม่ดีใจหรือคะ...ถ้าไม่อยากไปเปลี่ยนกับอลลี่ก็ได้นะคะ เดี๋ยวอลลี่ไปแทนเอง” อลทีเริ่มกระเซ้าเย้าแหย่บ้างเผื่อจะเรียกเสียงหัวเราะออกมาได้บ้าง
แปลกที่อีกฝ่ายเพียงไอออกมาอีกรอบและนอนนิ่งตามเดิม
พี่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มเดินเข้ามาด้วยสภาพเสื้อเชิ้ตหลุดลุ่ยจากการถูกสาวรุมทึ้งมองบรรดาน้องในกลุ่มตัวเองที่นั่งล้อมและพยายามแหย่ให้คนที่นอนหลับหมดอาลัยตายยากบนโซฟาอารมณ์ดีขึ้น
“บยอล...มึงลุกมาคุยกับพี่ตรงนี้หน่อยดิ” เสียงเรียกที่จริงจังทำให้คนหลับเปิดเปลือกตา
พอเห็นหน้าพี่ใหญ่ของกลุ่มนั่งตบเก้าอี้เหล็กอยู่ฝั่งตรงข้ามเรียกให้ไปหาก็กอดขวดวอดก้าลุกไปนั่ง
เจทงกวาดสายตามองใบหน้าของคนเป็นน้องที่มีรอยยิ้มนิดๆตรงมุมปากเหมือนจะบอกว่าไม่ได้เป็นอะไร
แต่คนที่มีสายตาเหมือนเหยี่ยวอ่านคนได้ขาดถึงแม้จะซกมกไปบ้างหรืออาจมากก็รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ข้างใน
“เป็นเดือนแล้วนะมึง” คำนั้นดังขึ้น “จะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่...มีอะไรก็ไปเคลียร์กับเขาให้เข้าใจ
ถ้าเคลียร์ไม่ได้ก็ถือว่าปล่อยเขาไป ผู้หญิงยังมีอีกเยอะ”
“ก็อยากเคลียร์
แต่เขาไม่ เฮ้อ...” เสียงลมหายใจปนกลิ่นวอดก้าลอดออกมา
“ไปหาเขามาแล้วเหรอ”
“แค่กๆ...ก็ไปทุกวันแต่เขาไม่ยอมออกมาเจอ”
“โทรไปหาเขาหรือยัง”
“เขาไม่มีโทรศัพท์”
“แล้วคาทกกับไลน์ล่ะ”
“ผมไม่มีหรอก”
“ไอ้เหี้ย
แล้วมึงคุยกับแฟนจนเลิกกันได้ทางไหนวะ”
“เขาไม่ใช่แฟนผม”
“เอ้า
ที่มึงสภาพเหมือนคนอกหัก แดกไม่ได้นอนไม่หลับไม่ใช่เลิกกับแฟนหรอกเหรอ”
แอนดัพหลับตายกมือลูบหน้าของตัวเองไปมาพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วไอออกมาอีกรอบ...มันยากจะอธิบายให้คนเข้าใจว่า
เขาแค่ตกอยู่ในหลุมแห่งความคิดถึงคนที่เหมือนจะอยู่ใกล้แต่ก็ไกลเกินเอื้อมจากตัวเอง
“เอาล่ะ กูเข้าใจล่ะ
ปัญหาของมึงคือแอบรักคนที่มึงไม่มีปัญญากระทั่งหาคาทกเขามาคุยด้วยใช่ไหม”
“อย่าใช้คำว่ารักดิพี่...มันไม่ได้ถึงขั้นนั้นสักหน่อย”
“อาการหนักแบบมึงนี้ ยังกล้าพูดว่าไม่รักอีกเหรอ”
“แค่ก
แค่ก...ผมแค่อยากคุยกับเขาเฉยๆ”
“งั้นเอาเบอร์เขามา
กูโทรไปหาให้เอง”
“ก็บอกแล้วไงครับ
ว่าเขาไม่มีโทรศัพท์”
“โวะ แล้วเบอร์บ้าน
เบอร์หอ เบอร์อื่นที่พอจะหาได้ไม่มีเหรอ”
“มีเบอร์บริษัท”
“ก็เอานั้นแหละมาให้กู”
“โทรไปเขาก็ไม่คุย
เขาสั่งไว้แล้วว่า ใครขอสายเขาให้บอกเลยว่าไม่รับ”
“นี่มึงไปทำอะไรเขาไว้ใช่ไหม
ต้องไปทำอะไรไม่ดีใส่เขาเยอะแน่ๆ เขาถึงรังเกียจมึงขนาดนี้”
“ก็...เยอะจริงๆนั้นแหละ”
เสียงหัวเราะแห้งๆหลุดออกจากคอ
“เอางี้
มีใครในกลุ่มเราหรือคนที่พี่รู้จักสนิทกับคนนั้นของมึงบ้างไหม”
“มี”
“ใคร”
“พี่ฮันเฮกับพี่ฮยอนชอล”
“เอ้า ไอ้นี่
แม่งก็คนกันเองทั้งนั้น ทำไมมึงไม่ไปขอช่องทางติดต่อเขาจากพวกนั้นวะ”
“เฮ้อ...มันซับซ้อนอ่ะครับ
คือพี่ฮยอนชอลเขาเหมือนจะไม่พอใจที่ผมกับเด็กคนนั้นมีปัญหากันก็คงไม่น่าจะให้
ส่วนพี่ฮันเฮรายนั้นบอกว่าไม่สนิทกับเด็กคนนั้นขนาดมีคาทกส่วนตัว
ส่วนคนที่พอจะพึ่งพาได้จริงๆก็บอกว่า ไม่ก้าวก่ายการตัดสินใจของน้องในวงตัวเอง
มันก็เลย เฮ้อ”
“แล้วมึงไม่ฝากให้พวกนั้นไปบอกว่ามึงอยากคุยด้วยเล่า”
“ผมบอกกับเจ้าตัวเขาแล้ว”
“แล้วยังไง”
“เขาไม่ยอมให้คาทกมา”
“ที่เขาไม่ให้เพราะมึงไม่ได้บอกเขาจริงจังหรือเปล่า” เจทงพูดตามประสาคนที่รู้นิสัยกันดี
พอเห็นน้องชายตรงหน้ากระดกวอดก้าอีกรอบก็เป็นอันรู้ “นั่น
กูว่าแล้ว ไปทำฟอร์มไม่พูดตรงๆ ท่ามากเหมือนเดิมเลยอดแดกสินะมึง โอ๊ย ไอ้-วย กูจะด่ามึงด้วยคำไหนถึงจะสมกับความง่าวของมึงดีเนี่ย”
“คือ แค่ก แค่ก
ผมกับเขามันแบบ...เคยไม่ชอบกันมาก่อน แล้วอยู่ๆจะให้ไปบอกเขาว่า พี่ขอคาทกหน่อยสิ
พี่อยากคุยด้วยนะ มันก็ไม่ใช่ปะวะพี่”
“ไม่ชอบกันมาก่อน”
คนเป็นพี่ย้อนคำแล้วกลอกตาทำท่าคิด “อย่าบอกกูนะว่า...”
“เวอร์นอน” ชื่อของคนที่อยู่ในใจของเจทงดังขึ้นจากปากของกิริบอย “คนนี้ใช่ปะ มีลงข่าวด้วยว่าเป็นสามหนุ่มดอกไม้ในรายการ สวยเชียวแม่ง
สวยกว่ารูปเก่าๆที่เคยเห็นในคาทกกลุ่มอีก”
“น้องมันก็ไม่ได้สวยขนาดนั้นหรอก
มีสวยกว่านี้อีกในวงนั้นอ่ะ เหมือนผู้หญิงมาก ชื่ออะไรวะแม่งจำไม่ได้”
แอนดัพเหลียวไปทางเพื่อนแว่นของตัวเองที่ก้มหน้าก้มตาจิ้มโทรศัพท์โดยมีอลทีชะโงกดูอยู่ด้วยกันแล้วกระดกวอดก้าเข้าปากรวดเดียวจนหมดขวด
“พี่...วันนี้ผมขอกลับก่อนได้ไหม”
คำร้องจากเสียงเข้มๆมีแววระโหยอ่อนขอ
“มึงไอแถมแดกวอดก้าต่างน้ำขนาดนี้
มึงอย่ากลับเลย แม่งอันตราย...ง่วงก็นอนที่โซฟาไป”
“พอดีผมมีธุระต้องไป
คงมานอนอยู่นี้ไม่ได้”
“ธุระห่าอะไรของมึง”
“มีนัดดื่มนิดหน่อยกับทีมพัลจี
พอดีพี่จีโฮเขาอยากคุยเรื่องที่เที่ยวที่จะไปในรายการ”
“เออๆ...มึงมีธุระก็ไปเหอะไป
ขับรถระวังๆด้วยล่ะมึง แล้วก็ไม่ต้องแดกเหล้าเพิ่มล่ะ หาซื้อยาแก้ไอแดกด้วย”
คนอายุมากกว่าตบไหล่ยอมให้ไปแต่ไม่วายเป็นห่วง...คนอ่อนกว่าส่งยิ้มให้แล้วโค้งให้แล้วลุกจากเก้าอี้หยิบเสื้อคลุมที่พาดอยู่บนเก้าอี้เดินออกไปยังลานจอดรถหลังร้าน
ชายหนุ่มยกมือไอโขลกใหญ่ออกมาอีกหนแล้วแหงนหน้ามองไปยังท้องฟ้าสีหม่นไร้กระทั่งแสงเดือนและดารา
สายลมเย็นพาดมาพาให้หัวใจยิ่งเดี่ยวดาย
ค่ำคืนวันศุกร์นี้ยังอีกยาวนานแต่ยาวไม่เท่ากับความคิดถึงของเขาที่มีต่อคนที่เป็นเหมือนพระจันทร์กลางใจคนนั้นซึ่งอาจไม่มีวันได้พบกันอีก
---------------------------------------------------------------------------------------------
“ไหน
เด็กๆ...พวกเอ็งอยากไปไหนกันบ้าง”
เสียงอบอุ่นของโปรดิวเซอร์พี่ใหญ่อย่างพัลโลอัลโต หรือ จอน ซังฮยอนถามไถ่สมาชิกในทีมตนเองที่นั่งคีบเนื้อวัวชั้นดีบนเตากลางโต๊ะที่ละลานไปด้วยเนื้อและเครื่องเคียงแบบจัดเต็ม
“ผมน่ะยังไงก็ได้
ขอมีของกินเยอะๆก็พอ...เอาแบบที่เราจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวได้ด้วย
ถ้าฮยองจะซื้อเนื้อโกเบเกรดเอมาด้วยเยอะๆก็จะเป็นพระคุณมากเลยอ่ะ” มินโฮผู้มีอาหารเป็นสรณะเริ่มนำเสนอขณะตั้งหน้าตั้งตาคีบเนื้อยัดเข้าปากราวกับคนอดอยากมาหลายสิบปี
“ผมขอแค่อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ
ตอนเช้าตื่นมามีเสียงนกร้อง ตกเย็นนอนฟังเสียงน้ำไหล คนไม่ต้องมาก
ถ้าเป็นไปได้มีที่ให้ผมสวดมนต์อะไรของผมหน่อยก็พอ”จาแมซบอกพลางสะบัดผมแตกปลายของตัวเองให้พ้นหน้าและยัดเนื้อในผักกาดหอมคำใหญ่เข้าปากทั้งคำ
“อืม
ผมไปที่ไหนก็ได้ขอแค่มีสัญญาณโทรศัพท์ก็พอ”หนุ่มดอกไม้ที่รายการมอบฉายาให้และมีอายุอ่อนที่สุดในบรรดาทั้งหมดอย่างแจวอนตอบอย่างอ่อนน้อมพลางยิ้มกว้าง
ปลายนิ้วเรียวคีบเนื้อบนเตาเข้าปากแบบหล่อๆเหมือนเก็บอาการจนหลายครั้งก็วืดเนื้อที่เล็งเพราะมีฮยองคนอื่นคีบตัดหน้า
“แล้วมึงว่ายังไงบยอล”
จีโฮโบ้ยไปทางคนที่นั่งเงียบมาตั้งแต่เขาร้านแต่อีกฝ่ายเหมือนไม่ได้ยินยังเอาแต่นั่งเขี่ยเนื้อในจานตัวเองไปมาอย่างซังกะตายพลางไออยู่ข้างในจนตัวคลอน
เลยต้องหันมากวาดมองคนอื่นๆที่ร่วมโต๊ะราวกับจะสื่อสารว่า...มันเป็นอะไรของมัน...
“เฮ้ย”
เสียงตะคอกพร้อมตบหลังดังป้าบของมิโนที่อุตส่าห์เสียเวลาจากการคีบเนื้อเข้าปากเสี้ยวนาทีทำให้อีกคนหลุดจากความคิดของตัวเองเงยหน้าขึ้นมา
“เออ
คุยกันถึงไหนแล้วนะครับ”
“เขาคุยกันถึงเรื่องสมัยพระเจ้ามยองจงแล้ว
ถุย ไม่ใช่ คุยกันเรื่องที่เที่ยวเนี่ยแหละ...มึงอยากไปไหน”
“แค่ก แค่ก ที่ไหนก็ได้
ขอแค่ขับรถมากังนัมได้ไม่เกินหนึ่งชั่วโมง”
“ไอ้ห่า
คนเขาจะไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน มึงนี่อะไรจะให้ขับรถกลับมากังนัมได้ในหนึ่งชั่วโมง
มึงไม่บอกให้กูพาไปฮงแดเลยล่ะ”
“อา ไม่ได้สินะครับ
งั้นจะไปไหนก็ไปเถอะ ผมไม่มีอะไรจะเสนอ”
หัวหน้าทีมทั้งสองหันมองหน้ากันแทบทันทีที่เห็นบยอลเท้าแขนศอกลงบนโต๊ะแล้ววางคางลงไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนคนไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรทั้งสิ้น
“มันแดกยาแก้ไอประเภทไหนมาถึงได้ไร้วิญญาณขนาดนี้
นี่กูนัดมันมาทรมานหรือเปล่าเนี่ย”
คนเป็นพี่ใหญ่สุดกระซิกกระซาบลากเอาคนที่ยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ดีให้มาร่วมวง
แต่น้องเล็กสุดกลับผ่าหัวเราะรื่นออกมาเบาๆเล่นเอางงกันเป็นไก่ตาแตก
“แจวอน
มึงหัวเราะเหี้ยอะไรของมึง มีอะไรก็รีบๆพูด”
“ไม่น่าจะใช่เพราะยาแก้ไอหรอกครับ”
“ถ้าไม่ใช่แล้วมันเครียดเรื่องอะไร”
“น่าจะเรื่องเวอร์นอนอ่ะครับ...ไปด่าเอาไว้เยอะเลยรู้สึกผิดหรือยังแค้นอยู่ก็ไม่รู้
แล้วรอบสุดท้ายที่เวอร์นอนยังอยู่ ตอนน้องมันจะกลับบ้าน
ไอ้บยอลมันวิ่งตามไปด้วยอ่ะแต่ไม่ทัน” มิโนเสริมขึ้นอย่างรู้จังหวะ
ยังจำสีหน้าหมาหงอยเดินคอตกของเพื่อนที่เดินกลับมาหาชาวคณะได้แม่น
“ทีนี้มันก็เลยเที่ยวถามชาวบ้านทั้งในไอจีและในทวิตเตอร์ว่า
มีคาทกของเวอร์นอนบ้างไหม ถามมันทุกช่องทางจนคนเขารำคาญจะด่าบรรพบุรุษแม่งอยู่ล่ะ”
จาแมซที่เป็นหนึ่งในคนที่ถูกเทียวถามมันทุกช่องทางการติดต่อสื่อสารเริ่มบ้าง
“ซึ่งจริงๆแล้วไอ้แจวอนมันมีคาทกเวอร์นอน
แต่มันไม่ยอมให้”
มิโนฟ้องพร้อมชี้ตะเกียบไปยังคนหล่อที่สุดของวงหวังจะให้ฮยองทั้งหลายช่วยเหลือเพื่อนรัก
“อ้าว
ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้วะ”ซังฮยอนหันมาไล่เบี้ยเอากับคนที่ถูกพาดพิง
“เฮ้ย อย่ามั่วดิพี่ ผมไม่มีคาทกของฮันโซลนะ...คนที่มีอ่ะ แซม ต่างหาก”
“เอ้า
ไอ้ตัวเล็กมันมีเหรอ...ถ้ามีก็ขอให้ไอ้บยอลมันไปดิจะได้จบๆ เดี๋ยวทัพเราแตกเพราะไอ้ห่าบยอลแม่งหาคาทกเวอร์น่อนไม่ได้จะฉิบหายกันหมด”
จีโฮนึกหน้าของเด็กน้อยที่เวลาเจอกันเป็นต้องเข้าไปกอดโดยมีรอยยิ้มผุดบางๆแล้วสั่งการทันที
“ปัญหาคือ
แซมไม่ให้ครับ”
“ทำไมวะ”
“ก็แซมเขาคาทกไปขออนุญาตขอคาทกฮันโซลไปให้คนอื่น”
“เออ เป็นเด็กดีจังไอ้ตัวเล็ก
แล้วยังไงต่อ”
“ฮันโซลถามกลับมาว่า
ใครเป็นคนขอ...พี่บยอลเขาไม่ให้ผมบอกอ่ะว่าเขาขอ ทีนี้ฮันโซลก็เลยบอกว่าไม่ให้
ถ้าเจ้าตัวคนขอไม่บอกว่าเป็นใคร”
“แล้วทำไมไอ้บยอลมันไม่ให้บอกว่ามันเป็นคนขอ”
“ก็ไม่รู้สิครับ
อาจจะกลัวเสียฟอร์มอยู่ล่ะมั่ง”
ซิโค่หันไปมองน้องชายร่วมกลุ่มใต้ดินเดียวกันที่รู้จักมานานนมซึ่งนั่งปิดปากไอเป็นระยะอยู่ครึ่งนาทีก่อนจะสะกิดให้จาแมซขยับสลับที่เพื่อจะได้คุยแบบเปิดอกกันสะดวก
“บยอล...ไหนมึงบอกกูมาสิ
มึงมีความแค้นอะไรเวอร์นอนมันนักหนาถึงถามหาคาทกมันอยู่ได้”
บยอลเหลือบตาจากแก้วโซจูมองไปยังรุ่นพี่ที่ชะโงกเข้ามาใกล้ทันทีที่ถูกตีแขนเรียกสติ
“ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
แค่ก แค่ก แค่อยากขอโทษมันนิดหน่อยที่ด่ามันแรงเกินไป”
“แล้วทำไมมึงมีอะไรไม่โทรไปเคลียร์ที่บริษัทเขาวะ”
“โทรแล้วครับ
แต่เขาไม่ยอมคุยด้วย”
“ก็โทรไปใหม่สิวะ”
“โทรไปทุกวัน
สามเวลาหลังอาหารแล้ว เขาก็ไม่คุยด้วยอยู่ดีอ่ะครับ” คนถูกถามกลั้นใจพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง
...คำตอบจากปากของคนที่เวลาเลือดขึ้นหน้าไม่มียอมใครทำเอาทั้งวงเงียบไปช่วงอึดใจก่อนที่เสียงหัวเราะครืนใหญ่และอาการยกมือตบพื้นอย่างสาแก่ใจจนผนังร้านสั่นพร้อมกับสารพัดคำสรรเสริญก็เกิดขึ้น
“ไอ้...โอ๊ย 555555”
“กากสัดอ่ะ 555”
“5555
ด่ากากยังไม่รู้ว่าเบาไปหรือเปล่าเลยมึง”
“เฮ้ย
หัวเราะอะไรกันเล่า ไม่ได้เล่นตลกคาเฟ่ให้ดูนะว้อย”
บยอลตวาดออกมาอย่างหงุดหงิดแต่ไม่อาจหยุดการหัวเราะท้องคัดท้องแข็งของอีกห้าพระหน่อลงได้
“อนาถใจไอ้บยอลมันฉิบหาย...โทรไปสามเวลาหลังอาหาร
เขาก็ไม่รับ กูแบ่บ นี่อะไรอ่ะ น้องบยอลคนจริงของกูไปไหน แม่งกูอยากจะบ้า มานี่มา
เดี๋ยวกูโทรไปบริษัทเวอร์นอนให้แล้วกัน”
ถึงจะพูดไปหัวเราะไปจนเสียงสั่นแต่คนเป็นพี่ก็ยังมีกะใจควักโทรศัพท์ออกมากดช่วยน้อง
“ดึกขนาดนี้
เขาจะอยู่ตึกกันอีกเหรอ มันไม่ใช่ช่วงเดบิวต์แรกๆแล้วนะ”
แจวอนค้านเพราะเห็นเวลาที่เกือบเที่ยงคืนแล้วเลยถูกจุ๊ปากกลับมา
“ว่ายังไงพี่ รับเปล่า”
“เฮ้ยๆ ติดแล้ว
เดี๋ยวกดเปิดลำโพงก่อนจะได้ได้ยินทั่วกัน”คนโทรติดดี๊ด๊าแทบจะกระโดดโลดเต้น
...ขณะนี้อยู่นอกเวลาทำการของบริษัท
กรุณาติดต่อกลับมาใหม่ในเวลาแปดนาฬิกาถึงสิบแปดนาฬิกา
ขอบคุณค่ะ...
พอได้ยินสายจากปลายสายตอบรับก็ทำให้ถึงกลับขำกันทั้งวงจะมีก็แต่คนหน้าดุที่ได้แต่กุมขมับด้วยความรู้สึกทั้งอายทั้งหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกก่อนจะทั้งกลุ่มจะปล่อยผ่านเรื่องนี้กันไปชั่วคราว
การประชุมตกลงเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวจบลงเที่ยงคืนด้วยการไปแคมปิ้งกันริมแม่น้ำย่านชานเมือง...ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับ
บยอลเดินออกล้วงกระเป๋ากางเกงยีนส์เดินออกจากร้านไปยืนพิงกำแพงอยู่ข้างรถยนต์ของตัวเองที่จอดอยู่ก่อนจะสังเกตเห็นแจวอนที่ยืนพิงรถของตัวเองห่างออกไปอีกไม่ไกลจึงเดินเข้าไปหา
แสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์สะท้อนให้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้า...พอชะโงกเข้าไปก็เห็นหน้าคาทกที่มีคนพิมพ์คุยมายืดยาวโดยที่เจ้าของเครื่องเป็นฝ่ายตอบกลับแบบสั้นๆเป็นประจำโดยมีรูปเนื้อย่างกับข้อความที่ว่า
ร้านนี้อร่อย วันหลังจะพามาเป็นข้อความล่าสุด
“เฮ้ย...คุยกับใครอ่ะ พี่ฮันเฮเหรอ” เสียงเข้มดังขึ้นจากด้านหลังไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเหลียวไปมองคนที่ชะโงกหน้ามาดูคาทกของตนอยู่ใกล้ๆ
“เปล่าครับ”
“จริงอ่ะ”
“ทำไมต้องไม่จริงล่ะครับ”
“ก็วันนั้นรอบแบทเทิลเห็นเข้ากันได้ดีมากเลย
ได้ติดต่อกันนอกแข่งบ้างปะ”
“555
จริงๆผมก็รู้จักกับพี่ฮันเฮมาก่อนแข่งอยู่แล้วนะ”
“เอ้าเหรอ
พี่นึกว่ามึงมารู้จักฮันเฮฮยองก็ตอน แค่ก แค่ก เริ่มแข่งรายการนี้ซะอีก”
“พี่ผมว่า
พี่ไปหายาแก้ไอมากินเพิ่มดีไหม ไอขนาดนี้ไม่ดีเลยอ่ะ”
“ก็แค่ไอ
ไม่ถึงขั้นตายหรอก แค่ก แค่ก พูดต่อดิ รู้จักพี่ฮันเฮยังไง”
“ก็เคยเจอกันในรายการเพลงแล้วก็ติดตามผลงานฮยองเขามาก่อน...เป็นคนเก่งนะครับ”
“โอ้
แล้วมีนัดไปไหนกันบ้างปะ”
“ไม่ค่อยอ่ะครับ พี่เขาไม่ใช่สไตล์แบบที่ผมจะชวนไปเที่ยวเหมือนไปกับพวกซิกเคได้
แต่จริงๆผมก็ไม่ค่อยชอบเที่ยวอะไรนักหรอก ผมชอบอยู่คนเดียวมากกว่า”
“เอ้า
มึงเป็นเด็กอิลลิแนร์ไม่ใช่เหรอแล้วไหงไปสนิทกับทาง AOMG ฟร่ะ”
“555
ผมก็สนิทกับหลายคนนะ...เอาจริงๆผมไม่ใช่ไอดอลเหมือนคนอื่นเขาหรอก
บางทีผมก็โผล่ไปทางนั้นทางนี้ ค่ายผมเขาค่อนข้างใจดี ผมเองก็มีอิสระในตัวเองมากพอที่จะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ”
“มึงเป็นคนเก่งนะแจวอน...แค่ก
แค่ก ผ่านเข้ามาถึงขนาดนี้ด้วยประสบการณ์เท่านี้ ถือว่ามึงเก่งมากแล้วนะ แต่ แค่ก
แค่ก จะดีกว่านี้ถ้ามึงจะหล่อให้มันน้อยๆหน่อยอ่ะ”
“5555
ผมทำอะไรในส่วนนี้ไม่ได้หรอก หล่อมาแต่เกิด”
“ถุย...แม่งกูไม่น่าชงเลย
หลงตัวเองฉิบหาย...แล้วนี้รายการออกอากาศไปฟีดแบ็กดีไหม”
“ก็ดีนะ
คนฟอลไอจีผมเข้ามาเยอะมาก ก็คงเหมือนคนอื่นๆแหละ อย่าง
ฮันโซลมันก็ถูกพูดถึงเยอะเหมือนกันนะแต่ไม่รู้รอบหน้าจะโดนประณามหนักไหม
แต่ก็อย่างว่า บริษัทสั่งให้ตกรอบก็ต้องทำให้แย่เข้าไว้อ่ะนะ
แต่อย่างว่ารายการเขาอยากเล่นประเด็นกับพี่เลยไม่ยอมให้ตกไปง่ายๆ”
“เดี๋ยว...นี่มึง
หมายความว่ายังไง”
“ก็บริษัทฮันโซลมันคุยกับเอ็มเน็ตจะขอถอนตัวเพราะต้องเตรียมเดบิวต์
แต่รายการไม่ให้ถอนทางบริษัทก็เลยบอกให้มันทำตัวเองให้ตกรอบ
ตอนมันผ่านเข้ารอบแบทเทิลได้นี้โดนด่าไม่พอยังต้องซ้อมหนักกว่าเขาเพื่อนอีก
นอนก็ไม่ได้นอน
ง่วงจะตายห่าแต่ต้องแหกขี้ตามาเขียนเนื้อเพื่อจะแข่งแถมยังต้องทำตัวกากให้ชาวบ้านด่าเล่นอีก
พูดแล้วก็สงสารมันเนาะ อา จริงๆ มันเป็นความลับของบริษัทมันอ่ะนะ
ผมก็เผลอหลุดปากไป ยังไงรบกวนฮยองอย่าเอาไปบอกใครนะครับ”
แจวอนบอกพลางยิ้มบาง ดวงตาคมเข้มอ่อนละมุนมองมาเหมือนตั้งใจพูดมากกว่าจะหลุดปาก
ทุกถ้อยคำที่บอกเล่าถึงเหตุผลในการกระทำของเด็กคนนั้นทำให้ริมฝีปากของคนฟังเม้มแน่น
คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างเครียดขึ้งขณะที่ตาเรียวดุถูกฝ่ามือกร้านยกขึ้นมาปิดด้วยความรู้สึกผิดก่อนจะลามขึ้นไปตบหน้าผากตัวเองแต่แรงกระแทกนั้นยังเจ็บไม่เท่ากับความเจ็บที่เกิดจากแรงบีบตรงหัวใจ
“ผมขอตัวก่อนนะครับ
ไว้เจอกันวันไปเที่ยว”คนอ่อนกว่าโค้งให้แล้วเปิดประตูขึ้นรถขับออกไป
ปล่อยให้สไนเปอร์ไอดอลยืนไอโขลกใหญ่อีกรอบอย่างเดี่ยวดายพร้อมกับการก่นด่าตัวเองในใจ
...มึงไม่ได้ใจร้ายหรอก บยอล
มึงน่ะมันคนใจดำที่ตามืดบอดเลยด้วยซ้ำ...
0 Comments