LOVE TOXICAL : CHULJAE CHAPTER 13

06:18


“วันนี้เลิกคลาสแล้วนะครับ อย่าลืมส่งเวิร์คช็อปงานกลุ่มให้ผมทางอีเมล์ที่ผมให้ไว้ ส่งได้ตั้งแต่วันนี้ถึงเที่ยงคืนวันศุกร์ ถ้าเกินเวลาผมขอไม่ตรวจทุกกรณีนะครับ” เสียงประกาศเลิกเรียนนั้นดังขึ้นก่อนที่นักศึกษาทั้งหมดจะเก็บข้าวของและทยอยลงมาถามเนื้อหาที่สงสัยเกี่ยวกับการบ้านที่ต้องส่ง


ฮอนชอลพยักหน้าให้นักศึกษาคนสุดท้ายที่โค้งให้หลังถามคำถามแล้วเก็บเอกสารและแล็บท็อปส่วนตัวที่นำมาใช้ในการสอนแทนการใช้เครื่องของมหาวิทยาลัย 


ในตอนแรกเขามีสอนเพียงคาบเช้าแต่กลายเป็นอาจาร์ยอีกคนขอให้มาสอนคาบบ่ายแทนตนเอง ด้วยความที่รุ่นน้องร่วมหอโทรมารายงานว่า เด็กของเขายังไม่ตื่นเลยรับงานต่อ


เขาเดินกลับไปยังห้องพักอาจารย์ประจำภาควิชาที่ไม่มีคน เพียงแค่วางของลงบนโต๊ะกลางของห้องที่เป็นพื้นที่สำหรับอาจารย์พิเศษหรือวิทยากรที่เชิญมาโดยเฉพาะใช้ กระเป๋าคลัทช์หนังสีดำที่วางอยู่ก่อนหน้าก็เกิดสั่น


ผู้เป็นเจ้าของเปิดกระเป๋าหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่ยึดได้เมื่อคืนมาดูก็เห็นข้อความแจ้งเตือนทั้งสายที่ไม่ได้รับนับร้อยและข้อความจากคาทกที่เด้งขึ้นมาไม่หยุด นิ้วเรียวไถลจอกดอ่านข้อความในคาทกแล้วไล่ตอบกลับไปด้วยแพทเทิร์นข้อความที่คล้ายกัน จนมาถึงข้อความล่าสุดที่ส่งมาโดยไอดีที่ชื่อว่าอาจารย์จินยอง


...วันนี้คุณไม่มาเรียน ไม่สบายหรือเปล่าหรือมีปัญหาอะไร
ทำไมถึงไม่โทรแจ้งหรือส่งข้อความบอกผม...


...ผมเป็นห่วงคุณนะยองแจ ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของคุณ
ถ้ามีปัญหาอะไร อย่าเงียบหาย โทรหาผมได้ทุกเมื่อเข้าใจไหม...


...ผมสอนเสร็จแล้วจะโทรไปหาใหม่ ถ้าคุณเห็นมิสคอล
หรือข้อความของผม โทรกลับหาผมด้วย...


ดวงตาคมไล่อ่านข้อความจากอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งเขารู้ว่า คงเป็นอาจารย์จากภาควิชาบัญชีที่เด็กน้อยของเขาเรียนอยู่ ในตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะโทรกลับไปเพื่อแจ้งให้ทราบว่า เด็กน้อยยังพักผ่อนอยู่ ทว่าเมื่อไล่อ่านข้อความย้อนหลังมากเข้าคิ้วก็แทบขมวดเป็นปม


สิ่งที่ฝ่ายอาจารย์ที่ปรึกษาส่งมามีคุยเรื่องเรียนและการถามถึงความคืบหน้างานที่ให้ช่วย แต่ก็มีข้อความอรุณสวัสดิ์และราตรีสวัสดิ์  


มีหลายครั้งที่ส่งภาพถ่ายบอกเล่าว่าตนเองทำไปจนเห็นอะไรมาให้รับรู้ บ้างก็เป็นข้อความปรัชญาที่ว่าด้วยเรื่องความรักอันซับซ้อนมาให้ถก ไม่ก็ชวนไปข้างนอกด้วยกันในวันหยุดร่วมถึงการเลี้ยงข้าว เมื่อใดที่เด็กน้อยของเขาปฏิเสธคำชวน ฝ่ายนั้นจะส่งมาบอกว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิชาที่เขาสอน แต่ที่สะดุดใจคงเป็นประโยคที่ว่า คุณเป็นนักศึกษาของผมที่เน้นย้ำเสมอในหลายครั้ง


...คนแบบนี้อยากไปเห็นหน้าแล้วพูดด้วยมากกว่าตอบด้วยข้อความ...


ในตอนที่กำลังหน้านิ่วอยู่กับข้อความก็มีสายโทรเข้ามาพอดี หน้าจอปรากฏรูปใบหน้าด้านข้างของผู้ชายหน้าตาน่ารักที่ยืนอาบแสงตะวันชิงพลบและมีชื่อ จุนฮงขึ้นมาด้วย


“ยองแจ นายอยู่ไหน ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์เรา เมื่อวานฮยองวอนบอกว่านายป่วยเข้าโรงพยาบาล แล้วอาจารย์จะพานายไปส่งที่หอเอง เราก็รอนายก็ไม่มาสักที เราเป็นห่วงเลยออกไปถามกับเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลมาเขาก็บอกไม่รู้ เมื่อคืนเรานอนไม่หลับเลยนะ ตอนเช้าก่อนเรียนเราโทรหาก็ไม่รับสายอีก เพื่อนที่คณะกับอาจารย์จินยองเขาโทรหาเราด้วยนะ นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม”


ทันทีที่กดรับสายก็ได้ยินเสียงจากปลายสายงอแงเรียกหาเจ้าของเครื่องเป็นชุด คนเป็นฝ่ายฟังอย่างเดียวกระพริบตาครั้งหนึ่งแล้วกรอกคำถามกลับไป


“คุณเป็นใคร” เสียงแหบต่ำเรียบเย็นทำให้ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจ


“อา นี่ไม่ใช่เบอร์ยองแจเหรอครับ แต่...” เสียงเงียบไปเหมือนกับฝ่ายตรงข้ามกำลังเช็กเบอร์โทรออกเพื่อความแน่ใจ “เบอร์ก็ถูกนี่ครับ”


“ใช่...แต่คุณเป็นใคร”


“ผมเป็นเพื่อนเขาสิครับ คุณนั้นแหละเป็นใคร”


“คุณเรียนอยู่คณะไหน...บัญชีหรือเปล่า”


“อา...”ปลายสายลากเสียงยาวคล้ายกำลังคิดแล้วหลุดถามออกมาอีก 


“ขอโทษครับ นั่นอาจารย์ฮอนชอลหรือเปล่าครับ”


“ใช่...คุณรู้จักผมได้ยังไง”


“คือผมเรียนคณะเดียวกับที่อาจารย์สอนครับ แล้วเมื่อวานฮยองวอน เออะ ผมหมายถึง เพื่อนที่ไปกับยองแจด้วย เขาบอกผมว่าอาจารย์เป็นคนพายองแจไปหาหมอ เขายังอาการไม่ดีขึ้นเหรอครับ”


“ต้องดูก่อนว่าตื่นแล้วจะดีขึ้นไหม ถ้าดีขึ้นผมจะพาเขาไปส่ง แต่ถ้าไม่ดีขึ้นผมจะพาไปโรงพยาบาลใหม่ อ้อ ผมถามหน่อยนะ เมื่อวานนี้ยองแจเขามีเรียนใช่ไหม เขาเอากระเป๋ามาเรียนด้วยไหม” คนเป็นอาจารย์ถามยาวเหยียดยังไม่อยากเปิดโอกาสให้อีกคนซักไซ้อะไรเพิ่มเติมมากในตอนนี้


“เอามาปกติครับ”


“แต่ผมไม่เห็นกระเป๋าเขาเลย”


“อาจจะอยู่ในห้องพักอาจารย์ก็ได้ครับคือยองแจเขาเป็น TA ของอาจารย์จินยองน่ะครับ เพราะงั้นเวลาเลิกคลาสแล้วเขาจะไปช่วยงานอาจารย์ก็เลยวางกระเป๋าไว้ที่นั่น”


“โอเค...ขอบคุณมาก” เมื่อได้คำตอบเขาก็ตัดบทพร้อมกับแบตที่หมดลงพอดี มือเรียวหยาบเก็บโทรศัพท์ที่จอดับสนิทใส่กระเป๋าเสื้อ แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่สดใสและมุ่งหน้าไปยังตึกคณะพาณิชยการและการบัญชีที่อยู่ไกลออกไป ใช้เวลาราวยี่สิบนาทีเท้าก็มาถึงหน้าประตูห้องพักครูของคณะที่อยู่บนชั้นสอง


เขาเลื่อนประตูเข้าไปในห้องพักอาจารย์ที่ค่อนข้างสว่างเพราะมีแสงจากภายนอกลอดผ่านมู่ลี่เข้ามาตลอด โดยรอบมีตู้หนังสือที่อัดแน่นด้วยตำรา โต๊ะยาวที่ตั้งเป็นแถวเว้นช่องห่างจากกันให้สะดวกต่อการเดินและลากเก้าอี้มานั่งมีประมาณสามแถว สำหรับสองแถวแรกถูกฉากกระทึบกั้นให้อาจารย์แต่ละท่านซึ่งมีพื้นที่มากพอให้ทำงานและวางข้าวของ ส่วนโต๊ะแถวสุดท้ายที่ไม่มีการกั้นนั้นมีไว้สำหรับให้นักศึกษาช่วยสอนหรืออาจารย์ประชุมกัน


อาจารย์ผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกันที่เก็บของเตรียมไปสอนได้ยินเสียงเข้มของใครคนหนึ่งเรียกอย่างสุภาพ ผงกหัวรับการโค้งของฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อยและเมื่อถามถึงชื่ออาจารย์จินยองนิ้วก็ชี้ไปยังคอกทำงานที่อยู่ริมสุดท้ายของโต๊ะแถวที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งถูกล้อมด้วยนักศึกษากลุ่มหนึ่ง


นัยน์ตาคมทอดไปยังเสี้ยวหน้าด้านข้างที่ขมวดมุ่นของชายที่น่าจะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเด็กน้อยที่ยังนอนป่วยอยู่ที่บ้านเขา เพียงชั่วนาทีที่ยืนนิ่งชายผู้นั้นก็หันมาหา ดวงตากลมรีสีน้ำตาลอ่อนบนใบหน้าขาวสะอาดที่มีความหวานผสานกับความหล่อเหลาบวกกับเรือนผมสั้นที่ถูกจัดทรงด้านหน้าเสยขึ้นไปข้างบนดูเหมือนคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์


...ตั้งแต่เดินเข้ามาคนคุ้นชินกับโลกแห่งความมืดมองเห็นความมืดที่ซ่อนเร้นใต้ความสว่างไสว...ผู้ชายคนนี้ไม่ได้อ่อนโยนอย่างที่เห็น


“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เพราะการยืนจ้องหน้าเฉยไม่พูดอะไรเลยอยู่เกือบนาทีทำให้คนที่เป็นฝ่ายถูกมองไม่วางตาเปิดปากถาม


“คุณคืออาจารย์จินยองใช่ไหมครับ” เขาถามกลับพร้อมสาวเท้าเข้าไปใกล้ทีละน้อย


“ครับ...ผมเอง ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครครับ” ฝ่ายถามเหยียดยิ้มกว้างคล้ายเป็นมิตรแต่เหมือนมีอะไรติดในใจ


“ผมชื่อ จอง ฮอนชอลครับ เป็นอาจารย์พิเศษที่ภาควิชาดุริยางค์ศิลป์”


“อา...อาจารย์ฮอนชอลหรือครับ เหมือนว่าจะได้ยินชื่อมาก่อนเลยนะ” ฝ่ายตรงข้ามตอบหยิบโทรศัพท์มากดดูบางอย่างก็หันหลับมา “อาจารย์คงจะเป็นอาจารย์ใหม่ที่คณะดุริยางค์เชิญมาสอนสินะครับ ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับภาควิชาบัญชีเหรอครับ”


“ผมมาลาป่วยแทนนักศึกษาของคุณน่ะครับ คนที่ชื่อชเว ยองแจ”


เพียงชื่อของนักศึกษาหลุดจากปากอาจารย์ต่างคณะ คนที่ก้มลงมาอ่านเอกสารการสัมมนาที่ได้รับมาจากงานเมื่อวานก็เงยหน้ามาหาใหม่ นัยน์ตาข้างหนึ่งหรี่เล็กลงชั่ววินาทีก็หายลับไป


“เขาป่วยเหรอครับ เป็นอะไรมากไหมครับ”


“เห็นหมอบอกว่า เป็นโรคเครียดลงกระเพาะก็เลยเป็นลม คงเพราะต้องเรียนหนักแล้วยังทำนู้นทำนี่ไปด้วยจนไม่ค่อยได้นอน” ถ้อยคำจากเสียงต่ำลึกฟังเย็นชาแม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้มตอบกลับทำให้คิ้วของคุณชายตรงหน้ากระตุกน้อยๆ มือเรียวส่งการบ้านให้นักศึกษาผู้ช่วยช่วยตรวจแล้วผละเดินเข้ามาใกล้จนท้ายที่สุดก็เผชิญหน้ากัน


“คุณพ่อคุณแม่ของเขาทราบหรือยังครับว่า เจ้าตัวไม่สบาย”


“ยังครับ พอดีว่าท่านทั้งสองบินไปแคนาดา ไม่มีเบอร์ติดต่อสะดวกเลยยังไม่ได้แจ้ง”


“รู้จักพ่อแม่ของเขาด้วยเหรอครับ คุณเป็นญาติของเขาหรือครับ”


“ผมไม่ใช่ญาติ” ประโยคที่ลากยาวแต่แฝงความนัยที่บอกความเป็นเจ้าของที่ลอยในอากาศผ่านมาถึงหูอีกคน ทำให้บรรยากาศที่โอบรอบคนทั้งคู่คล้ายจะตึงขึ้น หากฝ่ายนั้นเลือกจะไม่ตอบสนองอะไรทำเหมือนไม่รู้ถึงสารที่ได้รับมา


“มีใบรับรองแพทย์มาไหมครับ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นนุ่มนวลเช่นเดียวกับรอยยิ้มบนใบหน้า ทว่าดวงตาสีหวานเหมือนน้ำผึ้งกลับมีประกายกร้าวแฝงอยู่


“ครับ” มือหยาบควักใบรับรองแพทย์ที่ใส่ในกระเป๋าเสื้อสูทสีน้ำตาลที่สวมอยู่ส่งให้ เพียงจดหมายถึงมือคนเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาก็เปิดซองออกมาอ่านรายละเอียด


“โอเคครับ ผมรับเรื่องแจ้งลาป่วยของเขาแล้ว คุณมีธุระอะไรอีกไหมครับ”


“มีเรื่องกระเป๋า...ผมมาเอากระเป๋าของเขาด้วย”


“อ้อ” คนที่ดูละมุนทุกท่วงท่าลากเสียงแล้วหันไปเรียกลูกศิษย์ให้หยิบกระเป๋าสะพายหลังสีดำที่แขวนอยู่ตรงเก้าอี้และยื่นมันไปตรงหน้าคนที่ทวงถาม “นี่ครับกระเป๋าเขา”


“ขอบคุณครับ” เขารับกระเป๋ามาถือไว้ในมือพลางเอ่ยขอบคุณและเป็นอีกครั้งที่แม้จะก้มหัวลงรวมทั้งยิ้มให้แต่สายตากลับไร้อารมณ์ แผ่นหลังกว้างหันกลับพร้อมกับเท้าที่ก้าวไปทางประตูแต่ไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดเดินและเหลียวมาหาชายรุ่นราวคราวเดียวกันที่ยกโทรศัพท์มือถือต่อสายไปไหนสักแห่งราวกับมีตาหลัง


“ถ้าจะเช็กกับทางโรงพยาบาลว่าเขาพักฟื้นอยู่ไหน ไม่ต้องโทรนะครับ ผมรับเขากลับมาพักที่บ้านผมแล้ว”


เขาดักคอด้วยสีหน้าเรียบเฉย มีรอยแย้มตรงริมฝีปากแต่ไม่ใช่รอยยิ้มแต่เป็นการเตือนให้รู้ถึงบางสิ่งที่ไม่ควรล่วงไปใกล้และเขารู้ดีว่าอีกคนเข้าใจก่อนเดินพ้นจากประตูห้องพักอาจารย์ไปทิ้งให้อาจารย์อีกคนมองตามหลัง มือที่กำโทรศัพท์มือถือไว้นั้นค่อยกดสายที่ต่อไปยังโรงพยาบาลทิ้งและเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์จากรายชื่อและกดโทรออกอีกครั้ง


“ตอนนี้ว่างหรือเปล่า ฉันอยากให้ช่วยเช็กประวัติคนให้หน่อย ไม่มีอะไรแค่อยากแน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นไม่อันตรายกับเด็กของฉัน ชื่ออะไรน่ะเหรอ...สกุลจอง ชื่อฮอนชอล”

--------------------------------------------------------------------
ยองแจนอนตะแคงขดอยู่ใต้ผ้าห่มก่อนจะรู้สึกตัวตื่น นัยน์ตาบวมแดงก่ำที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักขยับลืมขึ้นทีละน้อย ภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตาเป็นหน้าของตุ๊กตาปลาโลมาพร้อมกับอาการปวดหัวที่แล่นเข้ามาจนต้องหลับตาพลิกกายกลับมานอนหงาย 


ยามดวงตาเปิดขึ้นอีกคราก็เห็นเพดานสีม่วงครามที่มีเม็ดคริสตัลเล็กๆฝังกระจายอยู่โดยรอบและล้อมโคมไฟกลางตรงกลางที่ดูราวท้องฟ้ายามค่ำคืนและเมื่อหันหัวกลับมาด้านข้างก็เห็นผนังที่ครึ่งหนึ่งเป็นสีเดียวกับเพดานแต่อีกครึ่งนั้นเพ้นท์เป็นพื้นน้ำทะเลสีฟ้าใสมีคลื่นสีขาวเป็นระลอก
เกลียวคลื่นตรงผนังมาพร้อมกับเสียงจากความทรงจำเมื่อหนหลังที่ย้อนอยู่ข้างหู 


คล้ายว่าครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเขาเคยพูดเล่นกับใครคนหนึ่งก่อนนอนเป็นประจำว่า อยากรู้สึกเหมือนนอนในทะเลท่ามกลางแสงดาว  


ในนาทีนั้นก็คล้ายว่าขอบตาเริ่มร้อนผ่าวจึงกระพริบตา ยันกายขึ้นจากเตียงลุกมานั่งและกวาดมองไปรอบเตียงที่มีตุ๊กตาสัตว์ทะเลน่ารักวางอยู่บนเตียงและผ้าห่มสีฟ้า ไล้ต่อไปยังรอบห้องนอนที่มีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่สีฟ้าถัดไปไม่ไกลเป็นโต๊ะทำงานที่พรั่งพร้อมด้วยอุปกรณ์ในการทำเพลงราวกับเป็นสตูดิโอย่อมๆ โดยมีนาฬิกาดิจิตอลบนผนังบอกเวลาว่า บ่ายสามโมงแล้ว


มันเป็นการหลับที่ยาวนานเป็นครั้งแรกในรอบสองปี...เป็นการหลับสนิทโดยที่ไม่มีฝันร้ายย่างกรายให้หลับๆตื่นๆ และลำคอยังอยู่ในสภาพปกติไม่เจ็บหรือแหบแห้งเหมือนทุกครั้งที่เพื่อนร่วมห้องบอกว่าเขานอนละเมอร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว


...ไม่อยากจะยอมรับ หากก็รู้ว่าที่หลับสนิทลงได้เป็นก็เพราะได้สัมผัสอุ่นอันคุ้นเคยจากคนที่สร้างรอยแผลเหวอะหวะในใจ...


เขาหลุดหัวเราะออกมาให้กับความน่าสมเพชของตัวเองพยายามกระพริบตาไล่น้ำใสที่คั่งอยู่ออกไป ใช้มือตบหน้าตัวเองแรงๆเพื่อเรียกสติแล้วลุกจากเตียงเพื่อหาข้าวของของตัวเองที่คาดว่าคงโดนยึดไป 


ในตอนที่เดินผ่านตู้เสื้อผ้าที่มีบานกระจกติดอยู่ด้านหนึ่งนั้นเขาเห็นตัวเองอยู่ในสภาพสวมเสื้อยืดสีดำตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้น


...เสื้อผ้าของเขาถูกเปลี่ยนและนั้นทำให้ปากของเขาสั่น...


มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าอายอะไรที่ผู้ชายจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กัน ทว่ากับคนที่เรือนร่างเคยถูกใครคนนั้นตีตรามาทุกอณูกลับรู้สึกตัวเหมือนเป็นคนโง่ที่ยอมให้ความรักชนะมันทุกอย่าง
คนอ่อนแรงเม้มริมฝีปากสลัดความรู้สึกสังเวชตัวเองทิ้งไปและคว้านหาโทรศัพท์มือถือหรือกระเป๋าตังค์ที่อาจจะยังอยู่ในห้อง มือขาวเอื้อมไปเปิดประตูตู้ที่มีเสื้อผ้าสีผ้าในโทนสีเข้มราคาแพงแขวนอยู่บนราว ลิ้นชักที่มีสามชั้นอัดด้วยเสื้อผ้าเรียบง่ายชั้นหนึ่ง อีกชั้นเป็นชุดชั้นในชายและชั้นล่างเป็นบรรดาเครื่องประดับทั้งหลายแต่ไม่มีสิ่งที่เขาตามหาอยู่จึงผละไปยังโต๊ะทำงาน


ตากลมทอดยังอุปกรณ์ในการทำเพลงของผู้เป็นเจ้าของ ข้าวของเหล่านี้ไม่ใช่ของแปลกใหม่เพราะเขาเองเคยเรียนดนตรีและเคยเห็นมันมาก่อนแล้ว หากสิ่งที่ทำให้คิ้วเกิดกระตุกคงเป็นเครื่องไอแมคและอุปกรณ์ราคาแพงทั้งหมดที่ยังคงสภาพใหม่เอี่ยมไม่ใช่ของมือสองเหมือนที่เคยเห็นอีกคนใช้


...ผู้ชายคนนั้นชอบซื้อของมือสองและด้วยความเป็นคนตาดีทำให้มักจับได้ของสภาพดีที่มีตำหนิน้อยในราคาถูกเกินครึ่ง แต่กับของพวกนี้เป็นของใหม่ที่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อหา...


ยองแจเม้มริมฝีปากฝืนใจไม่ให้คิดตั้งคำถามถึงช่วงเวลาที่อีกคนหายไปและมุ่งมั่นกับการมองหาของตัวเองตามซอกหลืบของโต๊ะก็พบเพียงความว่างเปล่าเลยได้แต่ถอนหาย 


 จังหวะที่ถอยหลังไปก้าวหนึ่งตาก็เหลือบไปเห็นกรอบรูปสีขาวขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงผนังเหนือเครื่องไอแมค
สิ่งที่อยู่ในกรอบไม่ใช่ภาพวาดหรือภาพถ่ายแต่เป็นข้าวของจับต้องได้ในสภาพเก่าชำรุดจัดวางอย่างเป็นระเบียบและเมื่อพินิจสิ่งของทั้งปากกาหมึกซึมหัวแร้ง  นาฬิกาข้อมือที่สายหนังขาดรุ่งริ่ง กล้องใช้แล้วทิ้ง เข็มขัดที่เปื่อยลอก รองเท้าแตะที่สายขาดเกินจะซ่อมไปจนถึงโน้ตสั้นและจดหมายทั้งหมดในนั้น น้ำตาก็รินออกมา


...ทำไมของที่คิดว่า ถูกทิ้งทำลายไปหมดแล้วยังอยู่ตรงนี้...


ลมหายใจอุ่นถูกพ่นผ่านริมฝีปากพร้อมกับน้ำตาคั่งอยู่ตรงขอบตา ความอึดอัดทรมานใจอัดแน่นอยู่ภายในผลักดันให้เบือนหน้าหนีตรงไปกระชากประตูทั้งบานให้เปิดออกและเดินออกไปด้านนอกของห้อง 


ตากวาดมองไปโดยรอบห้องพักซึ่งการตกแต่งจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแต่ชั้นไม้เบี้ยวๆ ติดผนังที่อยู่ตรงกับประตูมีขวดแก้วใส่น้ำปักด้วยดอกลาเวนเดอร์วางเรียงอยู่ทำให้รู้ได้ทันทีว่า ห้องนี้เป็นห้องเดียวกับที่เขากับผู้ชายคนนั้นเคยใช้ชีวิตด้วยกันและชั้นไม้ตรงนั้นก็เป็นฝีมือของเขาที่อยากมีชั้นสำหรับวางดอกไม้เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ห้อง


ทั้งที่ไม่อยากร้องไห้อีกแล้ว ทว่าความกลัว ความสับสน ความไม่เข้าใจที่ระคนกันนั้นบีบคั้นหัวใจให้เจ็บ หลังมือถูกยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลรินไม่ยอมหยุดครั้งแล้วครั้งเล่าจนในที่สุดก็เหลือเพียงน้ำใสเกาะพราวขอบตา


“คุณตื่นแล้วเหรอ” เสียงเข้มดุที่ไม่คุ้นเลยเอ่ยถามจากด้านหลังทำให้ไหล่บางกระตุกไหวหันกลับไปหาในทันที


บยอลผงะไปเล็กน้อยในนาทีที่เห็นฝ่ายตรงข้ามหันมาหาด้วยสภาพอ่อนล้าไม่ต่างอะไรกับคนป่วยหนัก ใบหน้าขาวนั้นห้อแดงเช่นเดียวกับจมูก


เปลือกตาผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วงแม้จะนอนเกินเวลาก็ยังบวมช้ำนัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดงคู่สวยนั้นเต็มไปด้วยความกลัวและหวาดระแวงและเพิ่งสังเกตว่าข้อมือนั้นมีรอยแผลเป็นคล้ายถูกของมีคมกรีดอยู่


ในนาทีนั้นไม่ต้องพึ่งสัญชาตญาณเขาก็รู้...มันไม่ใช่แค่การทะเลาะกันธรรมดา แต่สถานการณ์มันหนักหนาและเปราะบางเกินกว่าจะพูดอะไรออกไปแบบไม่ยั้งคิดได้เหมือนทุกที


“โอ้ ไม่ต้องกลัว ผมชื่อบยอลเป็นรุ่นน้องของพี่ฮอนชอลเขา” ปากขยับเริ่มแนะนำตัวเพื่อสร้างความคุ้นเคยแต่อีกคนก็ยังแนบหลังติดกับผนังอย่างไม่ไว้ใจ แต่คนหน้าดุไม่รู้สึกตกใจเพียงบิดฝาขวดน้ำส้มในมือออก


“คุณเหมือนในรูปนะ แค่ดูโตกว่าหน่อย ก็อย่างว่ารูปนั้นมันตั้งสามปีที่แล้ว จะไม่โตขึ้นได้ไง” คนหน้าดุว่ากระดกน้ำส้มอึกใหญ่ลงคอ 


“หิวหรือเปล่า  ผมซื้อของกินไว้ให้ พี่ผมบอกว่า คุณไม่ค่อยสบายต้องกินของบำรุงร่างกายแต่คุณไม่กินแตงกวากับผักชี ผมเลยซื้อไก่ตุ๋นโสมกับจิมดักมาให้แทน ถ้าหิวแล้วผมจะได้อุ่นให้”


ฝ่ายตรงข้ามยังคงนิ่งเพียงจ้องตอบด้วยแววตาเหมือนสัตว์บาดเจ็บที่หวาดระแวงต่อทุกสิ่ง มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อตัวโคร่งไว้สั่น หากในท้ายที่สุดก็มีเสียงอ่อนเบาเปล่งออกมา


“ผมอยาก...กลับบ้าน...โทรศัพท์...กับ...กระเป๋าตังค์...ผม...อยู่ที่...ไหน” ทุกประโยคที่เอ่ยให้ได้ยินสั่นระริก ตาของคนอายุมากกว่าหรี่ลงนิดๆคล้ายสงสารแล้วตอบกลับ


“จะกลับเหรอ... สภาพแบบนี้เดินไม่พ้นประตูก็ล้มแล้ว”


“ถ้า...ถ้าคุณไม่...ไม่...ปล่อยผม...กลับ...พี่...พี่ผม...เขาต้อง...แจ้งความ...แน่”  


“แจ้งความ 55555” เสียงหัวเราะร่วนดังขึ้นและเงียบลงฉับพลันพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยน จากยิ้มเป็นเรียบตึง“ผมไม่รู้นะว่าคุณคบกับพี่ฮอนชอลมาแบบไหน แต่พี่ผมน่ะรับมือกับตำรวจเก่งจะตาย ถ้าเขาไม่อยากให้ที่บ้านคุณแจ้งความมันมีวิธีอีกตั้งหลายอย่างที่จะประวิงเวลาให้เคลียร์กับคุณให้จบแล้วส่งคุณกลับบ้าน”


ยองกลืนน้ำลายลงคอ...ทำไมเขาจะไม่รู้ว่า ผู้ชายที่เคยคบหาด้วยเป็นใครหรือทำอะไรมา เขาไม่เคยรังเกียจหรือแม้แต่คิดเหยียบย่ำสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นเป็น และไม่เคยถอดใจยอมแพ้เรื่องความต่างทางฐานะเขาเองไม่ได้ไร้เดียงสาระดับที่จะไม่เข้าใจว่า ฐานะทางสังคม หน้าที่การงานและเงินเป็นปัจจัยที่ทำให้คนสองคนอยู่ด้วยกัน ประคับประคองกันไปตลอดรอดฝั่ง แต่การปล่อยมือทั้งที่อีกคนยังสู้อยู่เพราะความไม่คู่ควรจนเป็นแผลที่ไม่อาจรักษา ยังควรค่าแก่การพบหน้ากันอีกหรือ


“ผมไม่อยาก...เจอเขา...ไม่อยาก...คุยกับเขา...อีก”


“ผมรู้ว่าพวกคุณคงทะเลาะกันหนัก ผมเองก็ไม่อยากยุ่งเท่าไหร่หรอกนะ แต่ผมรู้จักพี่ชายของผมดี พี่เขาไม่ใช่คนละเอียดหรือใส่ใจใคร แต่การที่เขาย้ำกับผมเรื่องอาหารการกินที่คุณไม่ชอบ พกรูปคุณไว้ในกระเป๋าตังค์และคอยบอกใครต่อใครอย่างภูมิใจว่านี่คือคนรักของเขา ไหนจะเรื่องที่ใช้กระเป๋าตังค์เก่าๆขาดๆทั้งที่มีปัญญาซื้อของใหม่มาใช้ได้แค่เพราะมันเป็นของที่คุณซื้อให้ หรือไอ้การที่เขาเก็บของที่ใช้การไม่ได้ที่คุณให้ใส่กรอบติดผนังอย่างดี เป็นสิ่งที่พี่ทำให้คุณคนเดียว”


ตลอดเวลาเกือบสามปีที่ผ่านมา นอกจากรูปในกระเป๋าตังค์ก็ไม่เคยมีใครเห็นตัวจริงของคนที่พี่ชายเขาเรียกว่าคนรักแต่ประจักษ์แก่สายตากันดีคงเป็นการที่ผู้ชายมืดมนจอมบ้าคลั่งไม่แยแสใครกลับอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัดเพียงแค่มีใครสักคนแซวถึงเด็กคนนั้น


“พี่ผมไม่เคยคบกับใครจริงจัง ไม่เคยกลัวอะไร ไม่สนใจว่าจะนอนกับใคร ใช้ชีวิตเหมือนคนบ้าแต่พอคบกับคุณเขาไม่เคยนอนกับใครอีกเลย ตอนที่คุณใกล้จะสอบเขาเข้าวัดไปสวดมนต์ขอพรให้คุณสอบติดทุกวันทั้งที่เป็นคนไม่มีศาสนา...ตอนที่เขากลับจากอเมริกามาเขาเก็บตัวเงียบแทบไม่สังคมโลก เอาแต่ทำงาน จนวันนี้ที่ได้เจอคุณถึงรู้ว่าช่วงก่อนหน้านี้คงมีปัญหากันมา ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรให้คุณใจเย็นลง แต่ชีวิตพี่ผมมีความสุขที่สุดคือตอนที่เขาได้รักคุณ นั่นคือสิ่งที่ผมรู้”


“รักเหรอ รักแบบไหนถึงกล้าเหยียบหัวใจคนที่รักกัน...คุณจะพูดยังไงเพื่อพี่คุณก็ได้ แต่คุณไม่รู้หรอกว่าเขาทำอะไรกับชีวิตผมไว้บ้าง แผลเป็นที่เขาทำไว้มันติดอยู่ตรงนี้และไม่มีวัน ไม่มีวัน ไม่มีวันหาย” คนอายุน้อยกว่าเอ่ยตะกุกตะกัก น้ำตาที่ขังขอบครืนมาลงอาบแก้มพร้อมกับมือที่ยังสั่นกำขึ้นมาทุบตรงอกบอกถึงความทรมานที่ซ่อนอยู่ ขาทั้งสองขาเริ่มอ่อนแรงเกินกว่าจะยืนสุดท้ายก็ไถลลงไปนั่งกับพื้น


คนหน้าดุชะงักเงียบทันทีที่เห็นอีกคนร้องไห้จนตัวโยนกำมือทุบหัวตัวเอง ไหล่บางห่องอสะท้อนไหวจากแรงสะอื้นที่ไม่มีเสียง ทุกอาการบ่งบอกถึงความทุกข์ทนจนแทบเสียสติ เท้าขยับก้าวไปหา พลันมือแข็งของใครบางคนกลับเอื้อมมาจับ เมื่อหันไปหาก็เห็นพี่ชายร่วมห้องตัวต้นเรื่องโผล่มาจากไหนไม่รู้ยืนอยู่ตรงนั้น


เจ้าของห้องดึงแขนให้น้องร่วมห้องถอยหลังแล้วแทรกตัวลงไปหา ยองแจพอเห็นเค้ารางของคนตรงหน้าผ่านม่านน้ำตาที่เกาะพราวก็สะดุ้งสะบัดแขนพยายามดิ้นหนี มือเลยตบเข้าข้างแก้มสากระคายของอีกคนเต็มแรงแต่ฝ่ายนั้นไม่พูดอะไรเพียงขยับเปลี่ยนมาอยู่ด้านหลังและกอดร่างสั่นเทิ้มนั้นกอดลงมาแนบกับอกแล้วถอยหลังตัวเองแนบกับผนัง  


ยื้อกันอยู่อย่างนั้นกระทั่งคนในอ้อมแขนหมดแรงได้แต่นอนพิงหลังกับอกกว้าง


ฮอนชอลสูดลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนและปวดร้าว กระชับแขนที่โอบรอบร่างที่นอนหอบหายใจซบตัวเองอยู่ให้ชิดเข้ามาพลางใช้ริมฝีปากสัมผัสบนขมับนั้นอย่างอ่อนโยน  


นาทีนั้นไม่จำเป็นต้องรอให้สั่ง บยอลเดินไปหยิบกระเป๋าตังค์ กุญแจห้องและโทรศัพท์มือถือตัวเองที่วางบนโต๊ะกินข้าวแล้วเดินออกจากห้องมาทันทีทั้งที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน รู้แค่ว่าต้องไปให้พ้นจากคนสองคนที่เหมือนแก้วแตกด้วยกันทั้งคู่


...ความรักนี่เอาดีๆก็ปวดหัวฉิบหายวายป่วงเลยจริงๆ...

You Might Also Like

0 Comments