LOVE TOXICAL : CHULJAE CHAPTER 13
06:18
“วันนี้เลิกคลาสแล้วนะครับ
อย่าลืมส่งเวิร์คช็อปงานกลุ่มให้ผมทางอีเมล์ที่ผมให้ไว้
ส่งได้ตั้งแต่วันนี้ถึงเที่ยงคืนวันศุกร์
ถ้าเกินเวลาผมขอไม่ตรวจทุกกรณีนะครับ” เสียงประกาศเลิกเรียนนั้นดังขึ้นก่อนที่นักศึกษาทั้งหมดจะเก็บข้าวของและทยอยลงมาถามเนื้อหาที่สงสัยเกี่ยวกับการบ้านที่ต้องส่ง
ฮอนชอลพยักหน้าให้นักศึกษาคนสุดท้ายที่โค้งให้หลังถามคำถามแล้วเก็บเอกสารและแล็บท็อปส่วนตัวที่นำมาใช้ในการสอนแทนการใช้เครื่องของมหาวิทยาลัย
ในตอนแรกเขามีสอนเพียงคาบเช้าแต่กลายเป็นอาจาร์ยอีกคนขอให้มาสอนคาบบ่ายแทนตนเอง ด้วยความที่รุ่นน้องร่วมหอโทรมารายงานว่า เด็กของเขายังไม่ตื่นเลยรับงานต่อ
ในตอนแรกเขามีสอนเพียงคาบเช้าแต่กลายเป็นอาจาร์ยอีกคนขอให้มาสอนคาบบ่ายแทนตนเอง ด้วยความที่รุ่นน้องร่วมหอโทรมารายงานว่า เด็กของเขายังไม่ตื่นเลยรับงานต่อ
เขาเดินกลับไปยังห้องพักอาจารย์ประจำภาควิชาที่ไม่มีคน
เพียงแค่วางของลงบนโต๊ะกลางของห้องที่เป็นพื้นที่สำหรับอาจารย์พิเศษหรือวิทยากรที่เชิญมาโดยเฉพาะใช้
กระเป๋าคลัทช์หนังสีดำที่วางอยู่ก่อนหน้าก็เกิดสั่น
ผู้เป็นเจ้าของเปิดกระเป๋าหยิบเอาโทรศัพท์มือถือที่ยึดได้เมื่อคืนมาดูก็เห็นข้อความแจ้งเตือนทั้งสายที่ไม่ได้รับนับร้อยและข้อความจากคาทกที่เด้งขึ้นมาไม่หยุด
นิ้วเรียวไถลจอกดอ่านข้อความในคาทกแล้วไล่ตอบกลับไปด้วยแพทเทิร์นข้อความที่คล้ายกัน
จนมาถึงข้อความล่าสุดที่ส่งมาโดยไอดีที่ชื่อว่าอาจารย์จินยอง
...วันนี้คุณไม่มาเรียน ไม่สบายหรือเปล่าหรือมีปัญหาอะไร
ทำไมถึงไม่โทรแจ้งหรือส่งข้อความบอกผม...
...ผมเป็นห่วงคุณนะยองแจ ผมเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของคุณ
ถ้ามีปัญหาอะไร อย่าเงียบหาย โทรหาผมได้ทุกเมื่อเข้าใจไหม...
...ผมสอนเสร็จแล้วจะโทรไปหาใหม่ ถ้าคุณเห็นมิสคอล
หรือข้อความของผม โทรกลับหาผมด้วย...
ดวงตาคมไล่อ่านข้อความจากอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งเขารู้ว่า
คงเป็นอาจารย์จากภาควิชาบัญชีที่เด็กน้อยของเขาเรียนอยู่
ในตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะโทรกลับไปเพื่อแจ้งให้ทราบว่า
เด็กน้อยยังพักผ่อนอยู่
ทว่าเมื่อไล่อ่านข้อความย้อนหลังมากเข้าคิ้วก็แทบขมวดเป็นปม
สิ่งที่ฝ่ายอาจารย์ที่ปรึกษาส่งมามีคุยเรื่องเรียนและการถามถึงความคืบหน้างานที่ให้ช่วย
แต่ก็มีข้อความอรุณสวัสดิ์และราตรีสวัสดิ์
มีหลายครั้งที่ส่งภาพถ่ายบอกเล่าว่าตนเองทำไปจนเห็นอะไรมาให้รับรู้ บ้างก็เป็นข้อความปรัชญาที่ว่าด้วยเรื่องความรักอันซับซ้อนมาให้ถก ไม่ก็ชวนไปข้างนอกด้วยกันในวันหยุดร่วมถึงการเลี้ยงข้าว เมื่อใดที่เด็กน้อยของเขาปฏิเสธคำชวน ฝ่ายนั้นจะส่งมาบอกว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิชาที่เขาสอน แต่ที่สะดุดใจคงเป็นประโยคที่ว่า คุณเป็นนักศึกษาของผมที่เน้นย้ำเสมอในหลายครั้ง
มีหลายครั้งที่ส่งภาพถ่ายบอกเล่าว่าตนเองทำไปจนเห็นอะไรมาให้รับรู้ บ้างก็เป็นข้อความปรัชญาที่ว่าด้วยเรื่องความรักอันซับซ้อนมาให้ถก ไม่ก็ชวนไปข้างนอกด้วยกันในวันหยุดร่วมถึงการเลี้ยงข้าว เมื่อใดที่เด็กน้อยของเขาปฏิเสธคำชวน ฝ่ายนั้นจะส่งมาบอกว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับวิชาที่เขาสอน แต่ที่สะดุดใจคงเป็นประโยคที่ว่า คุณเป็นนักศึกษาของผมที่เน้นย้ำเสมอในหลายครั้ง
...คนแบบนี้อยากไปเห็นหน้าแล้วพูดด้วยมากกว่าตอบด้วยข้อความ...
ในตอนที่กำลังหน้านิ่วอยู่กับข้อความก็มีสายโทรเข้ามาพอดี
หน้าจอปรากฏรูปใบหน้าด้านข้างของผู้ชายหน้าตาน่ารักที่ยืนอาบแสงตะวันชิงพลบและมีชื่อ
จุนฮงขึ้นมาด้วย
“ยองแจ
นายอยู่ไหน ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์เรา
เมื่อวานฮยองวอนบอกว่านายป่วยเข้าโรงพยาบาล
แล้วอาจารย์จะพานายไปส่งที่หอเอง เราก็รอนายก็ไม่มาสักที
เราเป็นห่วงเลยออกไปถามกับเจ้าหน้าที่ที่โรงพยาบาลมาเขาก็บอกไม่รู้
เมื่อคืนเรานอนไม่หลับเลยนะ ตอนเช้าก่อนเรียนเราโทรหาก็ไม่รับสายอีก
เพื่อนที่คณะกับอาจารย์จินยองเขาโทรหาเราด้วยนะ นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ทันทีที่กดรับสายก็ได้ยินเสียงจากปลายสายงอแงเรียกหาเจ้าของเครื่องเป็นชุด
คนเป็นฝ่ายฟังอย่างเดียวกระพริบตาครั้งหนึ่งแล้วกรอกคำถามกลับไป
“คุณเป็นใคร” เสียงแหบต่ำเรียบเย็นทำให้ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจ
“อา นี่ไม่ใช่เบอร์ยองแจเหรอครับ แต่...” เสียงเงียบไปเหมือนกับฝ่ายตรงข้ามกำลังเช็กเบอร์โทรออกเพื่อความแน่ใจ “เบอร์ก็ถูกนี่ครับ”
“ใช่...แต่คุณเป็นใคร”
“ผมเป็นเพื่อนเขาสิครับ คุณนั้นแหละเป็นใคร”
“คุณเรียนอยู่คณะไหน...บัญชีหรือเปล่า”
“อา...”ปลายสายลากเสียงยาวคล้ายกำลังคิดแล้วหลุดถามออกมาอีก
“ขอโทษครับ นั่นอาจารย์ฮอนชอลหรือเปล่าครับ”
“ขอโทษครับ นั่นอาจารย์ฮอนชอลหรือเปล่าครับ”
“ใช่...คุณรู้จักผมได้ยังไง”
“คือผมเรียนคณะเดียวกับที่อาจารย์สอนครับ
แล้วเมื่อวานฮยองวอน เออะ ผมหมายถึง เพื่อนที่ไปกับยองแจด้วย
เขาบอกผมว่าอาจารย์เป็นคนพายองแจไปหาหมอ เขายังอาการไม่ดีขึ้นเหรอครับ”
“ต้องดูก่อนว่าตื่นแล้วจะดีขึ้นไหม
ถ้าดีขึ้นผมจะพาเขาไปส่ง แต่ถ้าไม่ดีขึ้นผมจะพาไปโรงพยาบาลใหม่ อ้อ
ผมถามหน่อยนะ เมื่อวานนี้ยองแจเขามีเรียนใช่ไหม
เขาเอากระเป๋ามาเรียนด้วยไหม”
คนเป็นอาจารย์ถามยาวเหยียดยังไม่อยากเปิดโอกาสให้อีกคนซักไซ้อะไรเพิ่มเติมมากในตอนนี้
“เอามาปกติครับ”
“แต่ผมไม่เห็นกระเป๋าเขาเลย”
“อาจจะอยู่ในห้องพักอาจารย์ก็ได้ครับคือยองแจเขาเป็น TA ของอาจารย์จินยองน่ะครับ เพราะงั้นเวลาเลิกคลาสแล้วเขาจะไปช่วยงานอาจารย์ก็เลยวางกระเป๋าไว้ที่นั่น”
“โอเค...ขอบคุณมาก”
เมื่อได้คำตอบเขาก็ตัดบทพร้อมกับแบตที่หมดลงพอดี
มือเรียวหยาบเก็บโทรศัพท์ที่จอดับสนิทใส่กระเป๋าเสื้อ
แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่สดใสและมุ่งหน้าไปยังตึกคณะพาณิชยการและการบัญชีที่อยู่ไกลออกไป
ใช้เวลาราวยี่สิบนาทีเท้าก็มาถึงหน้าประตูห้องพักครูของคณะที่อยู่บนชั้นสอง
เขาเลื่อนประตูเข้าไปในห้องพักอาจารย์ที่ค่อนข้างสว่างเพราะมีแสงจากภายนอกลอดผ่านมู่ลี่เข้ามาตลอด
โดยรอบมีตู้หนังสือที่อัดแน่นด้วยตำรา
โต๊ะยาวที่ตั้งเป็นแถวเว้นช่องห่างจากกันให้สะดวกต่อการเดินและลากเก้าอี้มานั่งมีประมาณสามแถว
สำหรับสองแถวแรกถูกฉากกระทึบกั้นให้อาจารย์แต่ละท่านซึ่งมีพื้นที่มากพอให้ทำงานและวางข้าวของ
ส่วนโต๊ะแถวสุดท้ายที่ไม่มีการกั้นนั้นมีไว้สำหรับให้นักศึกษาช่วยสอนหรืออาจารย์ประชุมกัน
อาจารย์ผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกันที่เก็บของเตรียมไปสอนได้ยินเสียงเข้มของใครคนหนึ่งเรียกอย่างสุภาพ
ผงกหัวรับการโค้งของฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อยและเมื่อถามถึงชื่ออาจารย์จินยองนิ้วก็ชี้ไปยังคอกทำงานที่อยู่ริมสุดท้ายของโต๊ะแถวที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งถูกล้อมด้วยนักศึกษากลุ่มหนึ่ง
นัยน์ตาคมทอดไปยังเสี้ยวหน้าด้านข้างที่ขมวดมุ่นของชายที่น่าจะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเด็กน้อยที่ยังนอนป่วยอยู่ที่บ้านเขา
เพียงชั่วนาทีที่ยืนนิ่งชายผู้นั้นก็หันมาหา
ดวงตากลมรีสีน้ำตาลอ่อนบนใบหน้าขาวสะอาดที่มีความหวานผสานกับความหล่อเหลาบวกกับเรือนผมสั้นที่ถูกจัดทรงด้านหน้าเสยขึ้นไปข้างบนดูเหมือนคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์
...ตั้งแต่เดินเข้ามาคนคุ้นชินกับโลกแห่งความมืดมองเห็นความมืดที่ซ่อนเร้นใต้ความสว่างไสว...ผู้ชายคนนี้ไม่ได้อ่อนโยนอย่างที่เห็น
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” เพราะการยืนจ้องหน้าเฉยไม่พูดอะไรเลยอยู่เกือบนาทีทำให้คนที่เป็นฝ่ายถูกมองไม่วางตาเปิดปากถาม
“คุณคืออาจารย์จินยองใช่ไหมครับ” เขาถามกลับพร้อมสาวเท้าเข้าไปใกล้ทีละน้อย
“ครับ...ผมเอง ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครครับ” ฝ่ายถามเหยียดยิ้มกว้างคล้ายเป็นมิตรแต่เหมือนมีอะไรติดในใจ
“ผมชื่อ จอง ฮอนชอลครับ เป็นอาจารย์พิเศษที่ภาควิชาดุริยางค์ศิลป์”
“อา...อาจารย์ฮอนชอลหรือครับ
เหมือนว่าจะได้ยินชื่อมาก่อนเลยนะ”
ฝ่ายตรงข้ามตอบหยิบโทรศัพท์มากดดูบางอย่างก็หันหลับมา
“อาจารย์คงจะเป็นอาจารย์ใหม่ที่คณะดุริยางค์เชิญมาสอนสินะครับ
ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับภาควิชาบัญชีเหรอครับ”
“ผมมาลาป่วยแทนนักศึกษาของคุณน่ะครับ คนที่ชื่อชเว ยองแจ”
เพียงชื่อของนักศึกษาหลุดจากปากอาจารย์ต่างคณะ
คนที่ก้มลงมาอ่านเอกสารการสัมมนาที่ได้รับมาจากงานเมื่อวานก็เงยหน้ามาหาใหม่
นัยน์ตาข้างหนึ่งหรี่เล็กลงชั่ววินาทีก็หายลับไป
“เขาป่วยเหรอครับ เป็นอะไรมากไหมครับ”
“เห็นหมอบอกว่า
เป็นโรคเครียดลงกระเพาะก็เลยเป็นลม
คงเพราะต้องเรียนหนักแล้วยังทำนู้นทำนี่ไปด้วยจนไม่ค่อยได้นอน”
ถ้อยคำจากเสียงต่ำลึกฟังเย็นชาแม้ใบหน้าจะมีรอยยิ้มตอบกลับทำให้คิ้วของคุณชายตรงหน้ากระตุกน้อยๆ
มือเรียวส่งการบ้านให้นักศึกษาผู้ช่วยช่วยตรวจแล้วผละเดินเข้ามาใกล้จนท้ายที่สุดก็เผชิญหน้ากัน
“คุณพ่อคุณแม่ของเขาทราบหรือยังครับว่า เจ้าตัวไม่สบาย”
“ยังครับ พอดีว่าท่านทั้งสองบินไปแคนาดา ไม่มีเบอร์ติดต่อสะดวกเลยยังไม่ได้แจ้ง”
“รู้จักพ่อแม่ของเขาด้วยเหรอครับ คุณเป็นญาติของเขาหรือครับ”
“ผมไม่ใช่ญาติ”
ประโยคที่ลากยาวแต่แฝงความนัยที่บอกความเป็นเจ้าของที่ลอยในอากาศผ่านมาถึงหูอีกคน
ทำให้บรรยากาศที่โอบรอบคนทั้งคู่คล้ายจะตึงขึ้น
หากฝ่ายนั้นเลือกจะไม่ตอบสนองอะไรทำเหมือนไม่รู้ถึงสารที่ได้รับมา
“มีใบรับรองแพทย์มาไหมครับ”
น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นนุ่มนวลเช่นเดียวกับรอยยิ้มบนใบหน้า
ทว่าดวงตาสีหวานเหมือนน้ำผึ้งกลับมีประกายกร้าวแฝงอยู่
“ครับ”
มือหยาบควักใบรับรองแพทย์ที่ใส่ในกระเป๋าเสื้อสูทสีน้ำตาลที่สวมอยู่ส่งให้
เพียงจดหมายถึงมือคนเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาก็เปิดซองออกมาอ่านรายละเอียด
“โอเคครับ ผมรับเรื่องแจ้งลาป่วยของเขาแล้ว คุณมีธุระอะไรอีกไหมครับ”
“มีเรื่องกระเป๋า...ผมมาเอากระเป๋าของเขาด้วย”
“อ้อ”
คนที่ดูละมุนทุกท่วงท่าลากเสียงแล้วหันไปเรียกลูกศิษย์ให้หยิบกระเป๋าสะพายหลังสีดำที่แขวนอยู่ตรงเก้าอี้และยื่นมันไปตรงหน้าคนที่ทวงถาม
“นี่ครับกระเป๋าเขา”
“ขอบคุณครับ”
เขารับกระเป๋ามาถือไว้ในมือพลางเอ่ยขอบคุณและเป็นอีกครั้งที่แม้จะก้มหัวลงรวมทั้งยิ้มให้แต่สายตากลับไร้อารมณ์
แผ่นหลังกว้างหันกลับพร้อมกับเท้าที่ก้าวไปทางประตูแต่ไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดเดินและเหลียวมาหาชายรุ่นราวคราวเดียวกันที่ยกโทรศัพท์มือถือต่อสายไปไหนสักแห่งราวกับมีตาหลัง
“ถ้าจะเช็กกับทางโรงพยาบาลว่าเขาพักฟื้นอยู่ไหน ไม่ต้องโทรนะครับ ผมรับเขากลับมาพักที่บ้านผมแล้ว”
เขาดักคอด้วยสีหน้าเรียบเฉย
มีรอยแย้มตรงริมฝีปากแต่ไม่ใช่รอยยิ้มแต่เป็นการเตือนให้รู้ถึงบางสิ่งที่ไม่ควรล่วงไปใกล้และเขารู้ดีว่าอีกคนเข้าใจก่อนเดินพ้นจากประตูห้องพักอาจารย์ไปทิ้งให้อาจารย์อีกคนมองตามหลัง
มือที่กำโทรศัพท์มือถือไว้นั้นค่อยกดสายที่ต่อไปยังโรงพยาบาลทิ้งและเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์จากรายชื่อและกดโทรออกอีกครั้ง
“ตอนนี้ว่างหรือเปล่า
ฉันอยากให้ช่วยเช็กประวัติคนให้หน่อย
ไม่มีอะไรแค่อยากแน่ใจว่าผู้ชายคนนั้นไม่อันตรายกับเด็กของฉัน
ชื่ออะไรน่ะเหรอ...สกุลจอง ชื่อฮอนชอล”
--------------------------------------------------------------------
ยองแจนอนตะแคงขดอยู่ใต้ผ้าห่มก่อนจะรู้สึกตัวตื่น
นัยน์ตาบวมแดงก่ำที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักขยับลืมขึ้นทีละน้อย
ภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตาเป็นหน้าของตุ๊กตาปลาโลมาพร้อมกับอาการปวดหัวที่แล่นเข้ามาจนต้องหลับตาพลิกกายกลับมานอนหงาย
ยามดวงตาเปิดขึ้นอีกคราก็เห็นเพดานสีม่วงครามที่มีเม็ดคริสตัลเล็กๆฝังกระจายอยู่โดยรอบและล้อมโคมไฟกลางตรงกลางที่ดูราวท้องฟ้ายามค่ำคืนและเมื่อหันหัวกลับมาด้านข้างก็เห็นผนังที่ครึ่งหนึ่งเป็นสีเดียวกับเพดานแต่อีกครึ่งนั้นเพ้นท์เป็นพื้นน้ำทะเลสีฟ้าใสมีคลื่นสีขาวเป็นระลอก
ยามดวงตาเปิดขึ้นอีกคราก็เห็นเพดานสีม่วงครามที่มีเม็ดคริสตัลเล็กๆฝังกระจายอยู่โดยรอบและล้อมโคมไฟกลางตรงกลางที่ดูราวท้องฟ้ายามค่ำคืนและเมื่อหันหัวกลับมาด้านข้างก็เห็นผนังที่ครึ่งหนึ่งเป็นสีเดียวกับเพดานแต่อีกครึ่งนั้นเพ้นท์เป็นพื้นน้ำทะเลสีฟ้าใสมีคลื่นสีขาวเป็นระลอก
เกลียวคลื่นตรงผนังมาพร้อมกับเสียงจากความทรงจำเมื่อหนหลังที่ย้อนอยู่ข้างหู
คล้ายว่าครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเขาเคยพูดเล่นกับใครคนหนึ่งก่อนนอนเป็นประจำว่า อยากรู้สึกเหมือนนอนในทะเลท่ามกลางแสงดาว
ในนาทีนั้นก็คล้ายว่าขอบตาเริ่มร้อนผ่าวจึงกระพริบตา ยันกายขึ้นจากเตียงลุกมานั่งและกวาดมองไปรอบเตียงที่มีตุ๊กตาสัตว์ทะเลน่ารักวางอยู่บนเตียงและผ้าห่มสีฟ้า ไล้ต่อไปยังรอบห้องนอนที่มีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่สีฟ้าถัดไปไม่ไกลเป็นโต๊ะทำงานที่พรั่งพร้อมด้วยอุปกรณ์ในการทำเพลงราวกับเป็นสตูดิโอย่อมๆ โดยมีนาฬิกาดิจิตอลบนผนังบอกเวลาว่า บ่ายสามโมงแล้ว
คล้ายว่าครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเขาเคยพูดเล่นกับใครคนหนึ่งก่อนนอนเป็นประจำว่า อยากรู้สึกเหมือนนอนในทะเลท่ามกลางแสงดาว
ในนาทีนั้นก็คล้ายว่าขอบตาเริ่มร้อนผ่าวจึงกระพริบตา ยันกายขึ้นจากเตียงลุกมานั่งและกวาดมองไปรอบเตียงที่มีตุ๊กตาสัตว์ทะเลน่ารักวางอยู่บนเตียงและผ้าห่มสีฟ้า ไล้ต่อไปยังรอบห้องนอนที่มีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่สีฟ้าถัดไปไม่ไกลเป็นโต๊ะทำงานที่พรั่งพร้อมด้วยอุปกรณ์ในการทำเพลงราวกับเป็นสตูดิโอย่อมๆ โดยมีนาฬิกาดิจิตอลบนผนังบอกเวลาว่า บ่ายสามโมงแล้ว
มันเป็นการหลับที่ยาวนานเป็นครั้งแรกในรอบสองปี...เป็นการหลับสนิทโดยที่ไม่มีฝันร้ายย่างกรายให้หลับๆตื่นๆ และลำคอยังอยู่ในสภาพปกติไม่เจ็บหรือแหบแห้งเหมือนทุกครั้งที่เพื่อนร่วมห้องบอกว่าเขานอนละเมอร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
...ไม่อยากจะยอมรับ หากก็รู้ว่าที่หลับสนิทลงได้เป็นก็เพราะได้สัมผัสอุ่นอันคุ้นเคยจากคนที่สร้างรอยแผลเหวอะหวะในใจ...
เขาหลุดหัวเราะออกมาให้กับความน่าสมเพชของตัวเองพยายามกระพริบตาไล่น้ำใสที่คั่งอยู่ออกไป ใช้มือตบหน้าตัวเองแรงๆเพื่อเรียกสติแล้วลุกจากเตียงเพื่อหาข้าวของของตัวเองที่คาดว่าคงโดนยึดไป
ในตอนที่เดินผ่านตู้เสื้อผ้าที่มีบานกระจกติดอยู่ด้านหนึ่งนั้นเขาเห็นตัวเองอยู่ในสภาพสวมเสื้อยืดสีดำตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้น
...เสื้อผ้าของเขาถูกเปลี่ยนและนั้นทำให้ปากของเขาสั่น...
มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าอายอะไรที่ผู้ชายจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กัน
ทว่ากับคนที่เรือนร่างเคยถูกใครคนนั้นตีตรามาทุกอณูกลับรู้สึกตัวเหมือนเป็นคนโง่ที่ยอมให้ความรักชนะมันทุกอย่าง
คนอ่อนแรงเม้มริมฝีปากสลัดความรู้สึกสังเวชตัวเองทิ้งไปและคว้านหาโทรศัพท์มือถือหรือกระเป๋าตังค์ที่อาจจะยังอยู่ในห้อง
มือขาวเอื้อมไปเปิดประตูตู้ที่มีเสื้อผ้าสีผ้าในโทนสีเข้มราคาแพงแขวนอยู่บนราว
ลิ้นชักที่มีสามชั้นอัดด้วยเสื้อผ้าเรียบง่ายชั้นหนึ่ง
อีกชั้นเป็นชุดชั้นในชายและชั้นล่างเป็นบรรดาเครื่องประดับทั้งหลายแต่ไม่มีสิ่งที่เขาตามหาอยู่จึงผละไปยังโต๊ะทำงาน
ตากลมทอดยังอุปกรณ์ในการทำเพลงของผู้เป็นเจ้าของ
ข้าวของเหล่านี้ไม่ใช่ของแปลกใหม่เพราะเขาเองเคยเรียนดนตรีและเคยเห็นมันมาก่อนแล้ว
หากสิ่งที่ทำให้คิ้วเกิดกระตุกคงเป็นเครื่องไอแมคและอุปกรณ์ราคาแพงทั้งหมดที่ยังคงสภาพใหม่เอี่ยมไม่ใช่ของมือสองเหมือนที่เคยเห็นอีกคนใช้
...ผู้ชายคนนั้นชอบซื้อของมือสองและด้วยความเป็นคนตาดีทำให้มักจับได้ของสภาพดีที่มีตำหนิน้อยในราคาถูกเกินครึ่ง
แต่กับของพวกนี้เป็นของใหม่ที่ต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อหา...
ยองแจเม้มริมฝีปากฝืนใจไม่ให้คิดตั้งคำถามถึงช่วงเวลาที่อีกคนหายไปและมุ่งมั่นกับการมองหาของตัวเองตามซอกหลืบของโต๊ะก็พบเพียงความว่างเปล่าเลยได้แต่ถอนหาย
จังหวะที่ถอยหลังไปก้าวหนึ่งตาก็เหลือบไปเห็นกรอบรูปสีขาวขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงผนังเหนือเครื่องไอแมค
จังหวะที่ถอยหลังไปก้าวหนึ่งตาก็เหลือบไปเห็นกรอบรูปสีขาวขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงผนังเหนือเครื่องไอแมค
สิ่งที่อยู่ในกรอบไม่ใช่ภาพวาดหรือภาพถ่ายแต่เป็นข้าวของจับต้องได้ในสภาพเก่าชำรุดจัดวางอย่างเป็นระเบียบและเมื่อพินิจสิ่งของทั้งปากกาหมึกซึมหัวแร้ง
นาฬิกาข้อมือที่สายหนังขาดรุ่งริ่ง กล้องใช้แล้วทิ้ง เข็มขัดที่เปื่อยลอก
รองเท้าแตะที่สายขาดเกินจะซ่อมไปจนถึงโน้ตสั้นและจดหมายทั้งหมดในนั้น
น้ำตาก็รินออกมา
...ทำไมของที่คิดว่า ถูกทิ้งทำลายไปหมดแล้วยังอยู่ตรงนี้...
ลมหายใจอุ่นถูกพ่นผ่านริมฝีปากพร้อมกับน้ำตาคั่งอยู่ตรงขอบตา
ความอึดอัดทรมานใจอัดแน่นอยู่ภายในผลักดันให้เบือนหน้าหนีตรงไปกระชากประตูทั้งบานให้เปิดออกและเดินออกไปด้านนอกของห้อง
ตากวาดมองไปโดยรอบห้องพักซึ่งการตกแต่งจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแต่ชั้นไม้เบี้ยวๆ ติดผนังที่อยู่ตรงกับประตูมีขวดแก้วใส่น้ำปักด้วยดอกลาเวนเดอร์วางเรียงอยู่ทำให้รู้ได้ทันทีว่า ห้องนี้เป็นห้องเดียวกับที่เขากับผู้ชายคนนั้นเคยใช้ชีวิตด้วยกันและชั้นไม้ตรงนั้นก็เป็นฝีมือของเขาที่อยากมีชั้นสำหรับวางดอกไม้เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ห้อง
ตากวาดมองไปโดยรอบห้องพักซึ่งการตกแต่งจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแต่ชั้นไม้เบี้ยวๆ ติดผนังที่อยู่ตรงกับประตูมีขวดแก้วใส่น้ำปักด้วยดอกลาเวนเดอร์วางเรียงอยู่ทำให้รู้ได้ทันทีว่า ห้องนี้เป็นห้องเดียวกับที่เขากับผู้ชายคนนั้นเคยใช้ชีวิตด้วยกันและชั้นไม้ตรงนั้นก็เป็นฝีมือของเขาที่อยากมีชั้นสำหรับวางดอกไม้เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ห้อง
ทั้งที่ไม่อยากร้องไห้อีกแล้ว
ทว่าความกลัว ความสับสน ความไม่เข้าใจที่ระคนกันนั้นบีบคั้นหัวใจให้เจ็บ
หลังมือถูกยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลรินไม่ยอมหยุดครั้งแล้วครั้งเล่าจนในที่สุดก็เหลือเพียงน้ำใสเกาะพราวขอบตา
“คุณตื่นแล้วเหรอ” เสียงเข้มดุที่ไม่คุ้นเลยเอ่ยถามจากด้านหลังทำให้ไหล่บางกระตุกไหวหันกลับไปหาในทันที
บยอลผงะไปเล็กน้อยในนาทีที่เห็นฝ่ายตรงข้ามหันมาหาด้วยสภาพอ่อนล้าไม่ต่างอะไรกับคนป่วยหนัก
ใบหน้าขาวนั้นห้อแดงเช่นเดียวกับจมูก
เปลือกตาผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วงแม้จะนอนเกินเวลาก็ยังบวมช้ำนัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดงคู่สวยนั้นเต็มไปด้วยความกลัวและหวาดระแวงและเพิ่งสังเกตว่าข้อมือนั้นมีรอยแผลเป็นคล้ายถูกของมีคมกรีดอยู่
เปลือกตาผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วงแม้จะนอนเกินเวลาก็ยังบวมช้ำนัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดงคู่สวยนั้นเต็มไปด้วยความกลัวและหวาดระแวงและเพิ่งสังเกตว่าข้อมือนั้นมีรอยแผลเป็นคล้ายถูกของมีคมกรีดอยู่
ในนาทีนั้นไม่ต้องพึ่งสัญชาตญาณเขาก็รู้...มันไม่ใช่แค่การทะเลาะกันธรรมดา
แต่สถานการณ์มันหนักหนาและเปราะบางเกินกว่าจะพูดอะไรออกไปแบบไม่ยั้งคิดได้เหมือนทุกที
“โอ้
ไม่ต้องกลัว ผมชื่อบยอลเป็นรุ่นน้องของพี่ฮอนชอลเขา”
ปากขยับเริ่มแนะนำตัวเพื่อสร้างความคุ้นเคยแต่อีกคนก็ยังแนบหลังติดกับผนังอย่างไม่ไว้ใจ
แต่คนหน้าดุไม่รู้สึกตกใจเพียงบิดฝาขวดน้ำส้มในมือออก
“คุณเหมือนในรูปนะ
แค่ดูโตกว่าหน่อย ก็อย่างว่ารูปนั้นมันตั้งสามปีที่แล้ว จะไม่โตขึ้นได้ไง”
คนหน้าดุว่ากระดกน้ำส้มอึกใหญ่ลงคอ
“หิวหรือเปล่า ผมซื้อของกินไว้ให้ พี่ผมบอกว่า คุณไม่ค่อยสบายต้องกินของบำรุงร่างกายแต่คุณไม่กินแตงกวากับผักชี ผมเลยซื้อไก่ตุ๋นโสมกับจิมดักมาให้แทน ถ้าหิวแล้วผมจะได้อุ่นให้”
“หิวหรือเปล่า ผมซื้อของกินไว้ให้ พี่ผมบอกว่า คุณไม่ค่อยสบายต้องกินของบำรุงร่างกายแต่คุณไม่กินแตงกวากับผักชี ผมเลยซื้อไก่ตุ๋นโสมกับจิมดักมาให้แทน ถ้าหิวแล้วผมจะได้อุ่นให้”
ฝ่ายตรงข้ามยังคงนิ่งเพียงจ้องตอบด้วยแววตาเหมือนสัตว์บาดเจ็บที่หวาดระแวงต่อทุกสิ่ง
มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อตัวโคร่งไว้สั่น
หากในท้ายที่สุดก็มีเสียงอ่อนเบาเปล่งออกมา
“ผมอยาก...กลับบ้าน...โทรศัพท์...กับ...กระเป๋าตังค์...ผม...อยู่ที่...ไหน”
ทุกประโยคที่เอ่ยให้ได้ยินสั่นระริก
ตาของคนอายุมากกว่าหรี่ลงนิดๆคล้ายสงสารแล้วตอบกลับ
“จะกลับเหรอ... สภาพแบบนี้เดินไม่พ้นประตูก็ล้มแล้ว”
“ถ้า...ถ้าคุณไม่...ไม่...ปล่อยผม...กลับ...พี่...พี่ผม...เขาต้อง...แจ้งความ...แน่”
“แจ้งความ 55555”
เสียงหัวเราะร่วนดังขึ้นและเงียบลงฉับพลันพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยน
จากยิ้มเป็นเรียบตึง“ผมไม่รู้นะว่าคุณคบกับพี่ฮอนชอลมาแบบไหน
แต่พี่ผมน่ะรับมือกับตำรวจเก่งจะตาย
ถ้าเขาไม่อยากให้ที่บ้านคุณแจ้งความมันมีวิธีอีกตั้งหลายอย่างที่จะประวิงเวลาให้เคลียร์กับคุณให้จบแล้วส่งคุณกลับบ้าน”
ยองกลืนน้ำลายลงคอ...ทำไมเขาจะไม่รู้ว่า
ผู้ชายที่เคยคบหาด้วยเป็นใครหรือทำอะไรมา
เขาไม่เคยรังเกียจหรือแม้แต่คิดเหยียบย่ำสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นเป็น
และไม่เคยถอดใจยอมแพ้เรื่องความต่างทางฐานะ…เขาเองไม่ได้ไร้เดียงสาระดับที่จะไม่เข้าใจว่า
ฐานะทางสังคม หน้าที่การงานและเงินเป็นปัจจัยที่ทำให้คนสองคนอยู่ด้วยกัน
ประคับประคองกันไปตลอดรอดฝั่ง
แต่การปล่อยมือทั้งที่อีกคนยังสู้อยู่เพราะความไม่คู่ควรจนเป็นแผลที่ไม่อาจรักษา
ยังควรค่าแก่การพบหน้ากันอีกหรือ
“ผมไม่อยาก...เจอเขา...ไม่อยาก...คุยกับเขา...อีก”
“ผมรู้ว่าพวกคุณคงทะเลาะกันหนัก
ผมเองก็ไม่อยากยุ่งเท่าไหร่หรอกนะ แต่ผมรู้จักพี่ชายของผมดี
พี่เขาไม่ใช่คนละเอียดหรือใส่ใจใคร
แต่การที่เขาย้ำกับผมเรื่องอาหารการกินที่คุณไม่ชอบ
พกรูปคุณไว้ในกระเป๋าตังค์และคอยบอกใครต่อใครอย่างภูมิใจว่านี่คือคนรักของเขา
ไหนจะเรื่องที่ใช้กระเป๋าตังค์เก่าๆขาดๆทั้งที่มีปัญญาซื้อของใหม่มาใช้ได้แค่เพราะมันเป็นของที่คุณซื้อให้
หรือไอ้การที่เขาเก็บของที่ใช้การไม่ได้ที่คุณให้ใส่กรอบติดผนังอย่างดี
เป็นสิ่งที่พี่ทำให้คุณคนเดียว”
ตลอดเวลาเกือบสามปีที่ผ่านมา
นอกจากรูปในกระเป๋าตังค์ก็ไม่เคยมีใครเห็นตัวจริงของคนที่พี่ชายเขาเรียกว่าคนรักแต่ประจักษ์แก่สายตากันดีคงเป็นการที่ผู้ชายมืดมนจอมบ้าคลั่งไม่แยแสใครกลับอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัดเพียงแค่มีใครสักคนแซวถึงเด็กคนนั้น
“พี่ผมไม่เคยคบกับใครจริงจัง
ไม่เคยกลัวอะไร ไม่สนใจว่าจะนอนกับใคร
ใช้ชีวิตเหมือนคนบ้าแต่พอคบกับคุณเขาไม่เคยนอนกับใครอีกเลย
ตอนที่คุณใกล้จะสอบเขาเข้าวัดไปสวดมนต์ขอพรให้คุณสอบติดทุกวันทั้งที่เป็นคนไม่มีศาสนา...ตอนที่เขากลับจากอเมริกามาเขาเก็บตัวเงียบแทบไม่สังคมโลก
เอาแต่ทำงาน จนวันนี้ที่ได้เจอคุณถึงรู้ว่าช่วงก่อนหน้านี้คงมีปัญหากันมา
ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรให้คุณใจเย็นลง
แต่ชีวิตพี่ผมมีความสุขที่สุดคือตอนที่เขาได้รักคุณ นั่นคือสิ่งที่ผมรู้”
“รักเหรอ
รักแบบไหนถึงกล้าเหยียบหัวใจคนที่รักกัน...คุณจะพูดยังไงเพื่อพี่คุณก็ได้
แต่คุณไม่รู้หรอกว่าเขาทำอะไรกับชีวิตผมไว้บ้าง
แผลเป็นที่เขาทำไว้มันติดอยู่ตรงนี้และไม่มีวัน ไม่มีวัน ไม่มีวันหาย”
คนอายุน้อยกว่าเอ่ยตะกุกตะกัก
น้ำตาที่ขังขอบครืนมาลงอาบแก้มพร้อมกับมือที่ยังสั่นกำขึ้นมาทุบตรงอกบอกถึงความทรมานที่ซ่อนอยู่
ขาทั้งสองขาเริ่มอ่อนแรงเกินกว่าจะยืนสุดท้ายก็ไถลลงไปนั่งกับพื้น
คนหน้าดุชะงักเงียบทันทีที่เห็นอีกคนร้องไห้จนตัวโยนกำมือทุบหัวตัวเอง
ไหล่บางห่องอสะท้อนไหวจากแรงสะอื้นที่ไม่มีเสียง
ทุกอาการบ่งบอกถึงความทุกข์ทนจนแทบเสียสติ เท้าขยับก้าวไปหา
พลันมือแข็งของใครบางคนกลับเอื้อมมาจับ
เมื่อหันไปหาก็เห็นพี่ชายร่วมห้องตัวต้นเรื่องโผล่มาจากไหนไม่รู้ยืนอยู่ตรงนั้น
เจ้าของห้องดึงแขนให้น้องร่วมห้องถอยหลังแล้วแทรกตัวลงไปหา
ยองแจพอเห็นเค้ารางของคนตรงหน้าผ่านม่านน้ำตาที่เกาะพราวก็สะดุ้งสะบัดแขนพยายามดิ้นหนี
มือเลยตบเข้าข้างแก้มสากระคายของอีกคนเต็มแรงแต่ฝ่ายนั้นไม่พูดอะไรเพียงขยับเปลี่ยนมาอยู่ด้านหลังและกอดร่างสั่นเทิ้มนั้นกอดลงมาแนบกับอกแล้วถอยหลังตัวเองแนบกับผนัง
ยื้อกันอยู่อย่างนั้นกระทั่งคนในอ้อมแขนหมดแรงได้แต่นอนพิงหลังกับอกกว้าง
ยื้อกันอยู่อย่างนั้นกระทั่งคนในอ้อมแขนหมดแรงได้แต่นอนพิงหลังกับอกกว้าง
ฮอนชอลสูดลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนและปวดร้าว
กระชับแขนที่โอบรอบร่างที่นอนหอบหายใจซบตัวเองอยู่ให้ชิดเข้ามาพลางใช้ริมฝีปากสัมผัสบนขมับนั้นอย่างอ่อนโยน
นาทีนั้นไม่จำเป็นต้องรอให้สั่ง บยอลเดินไปหยิบกระเป๋าตังค์ กุญแจห้องและโทรศัพท์มือถือตัวเองที่วางบนโต๊ะกินข้าวแล้วเดินออกจากห้องมาทันทีทั้งที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน รู้แค่ว่าต้องไปให้พ้นจากคนสองคนที่เหมือนแก้วแตกด้วยกันทั้งคู่
นาทีนั้นไม่จำเป็นต้องรอให้สั่ง บยอลเดินไปหยิบกระเป๋าตังค์ กุญแจห้องและโทรศัพท์มือถือตัวเองที่วางบนโต๊ะกินข้าวแล้วเดินออกจากห้องมาทันทีทั้งที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน รู้แค่ว่าต้องไปให้พ้นจากคนสองคนที่เหมือนแก้วแตกด้วยกันทั้งคู่
...ความรักนี่เอาดีๆก็ปวดหัวฉิบหายวายป่วงเลยจริงๆ...
0 Comments