LOVE TOXICAL : BANGLO CHAPTER 1

08:06


ดอกไม้มิอาจผลิบานโดยไร้แสงตะวัน
และมนุษย์มิอาจอยู่ได้โดยปราศจากความรัก
Friedrich Max Müller



ตะวันกรายฉายแสงสีทองเรืองอร่ามอาบอุ่นทุ่งกุหลาบสีชมพูบานสะพรั่ง สายลมอ่อนหอบกลิ่นหอมรวยรื่นโอบล้อมพื้นสวนและกระท่อมอิฐกว้างเก่าแก่หลังงาม 


ณ สวนนั้นมีหญิงสูงวัยชาวตะวันตกผิวตกกระยืนมองเด็กชายผมเกรียนตัวอ้วนกลมริดใบเพื่อตัดแต่งพุ่มกุหลาบให้เป็นระเบียบ



สำหรับเด็กสมาธิสั้นการปลูกกุหลาบเป็นสิ่งเดียวที่ยึดสมาธิให้จดจ่อ เด็กชายชอบดอกกุหลาบเช่นเดียวกับมารดาผู้ล่วงลับและพยายามสานต่อการดูแลสวนกุหลาบแห่งนี้ ด้วยกุหลาบในความรู้สึกนั้นคือตัวแทนแห่งความรักของมารดาที่เหลืออยู่



เสียงเครื่องยนต์แล่นมาด้วยความเร็วสนั่นก้องแต่ไกล หากค่อยเบาทีละน้อยเมื่อเข้าสู่เขตแนวรั้วไม้ที่แน่นขนัดด้วยพุ่มดอกไฮเดรนเยียสีม่วงอ่อน ไม่ช้าเสียงกริ่งก็ดังขึ้นก่อนที่หญิงชราจะก้มลงฝากคำแล้วเดินไปตามทางเดินโรยกรวดของสวนตรงไปเปิดประตูรั้ว



เด็กชายวัยสิบสองปีละสายตาจากพุ่มกุหลาบทอดไปยังทางที่นำไปสู่ตัวบ้านจึงได้เห็นบิ๊กไบค์คันงามแล่นเข้ามาจอดใต้ระแนงไม้ที่มีรถยนต์กลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งจอดอยู่ 



ผู้เป็นเจ้าของรถสวมเสื้อผ้าสีดำ มีกระเป๋าคาดระหว่างไหล่และหลังกำลังใช้มือถอดหมวกกันน็อกออกจึงได้ให้เห็นเรือนผมยักศกยุ่งและเมื่อฝ่ายนั้นทำท่าคล้ายจะหันมาเด็กชายซึ่งกลัวผู้คนก็ก้มหลบในทันที



ชายหนุ่มผู้มีเรียวคิ้วเข้มหนาวาดอยู่บนดวงหน้ารูปไข่เหนือนัยน์ตาคมเรียว จมูกโด่งเป็นสันงุ้มปลายเล็กน้อยยามวางเฉยดูน่ากลัว หากเมื่อริมฝีปากบางเหยียดเป็นรอยยิ้มกว้างทำให้รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนในตัว เขาสวมกอดกับหญิงชราอย่างเป็นกันเองพลางถามไถ่ถึงสุขภาพเป็นภาษาอังกฤษ



“ก็ตามประสาคนแก่แหละค่ะ มีปวดหลังบ้าง แล้วคุณดรูว์ล่ะคะเป็นยังไง ป้าไม่ได้เห็นคุณเสียนาน งานหนักมากหรือคะ” นางเอ่ยถามกับชายหนุ่มเอเชียตรงหน้า




“ครับ...ก็เลยไม่ได้แวะมาหา”




“ป้าได้ยินจากท่านว่าคุณจะกลับเกาหลีแล้ว วันนี้เลยมาลาสินะคะ แล้วนี่คุณจะกลับมาอีกมั้ยคะ”




“อาจต้องรอให้บริษัทกับงานของผมที่เกาหลีเข้าที่เข้าทางก่อนน่ะครับ” ชายหนุ่มตอบหางตาคล้ายเห็นบางสิ่งในดงกุหลาบจึงเห็นไปมองก็เห็นเงาลางของบางคนอยู่ในนั้น



“คุณเจลโล่น่ะคะ” แม่บ้านผู้ดูแลบ้านมานานบอกโดยไม่ต้องถาม



“อ้อ เจ้าตัวน้อยเองเหรอครับ” เขาว่าพลางครุ่นคิดถึงเด็กชายตัวน้อยผิวขาวเหมือนกลีบกุหลาบที่ตนเองเคยกล่อมนอนตอนมาเรียนต่อและพักอาศัยอยู่ที่นี่ซึ่งหากจะให้นับวันเวลาก็เกือบจะหกปีแล้วที่ไม่ได้พบกัน จะจำกันไม่ได้ก็คงไม่แปลก 



 “ไม่ได้เจอกันนานเลยตอนนี้แกน่าจะสิบสองได้แล้วใช่ไหมครับ นี่ผมยังจำได้เลยว่าเมื่อก่อนถ้าผมไม่ร้องเพลงกล่อมเขาจะร้องไห้งอแงไม่ยอมนอนท่าเดียว ตอนนี้ติดให้ใครร้องเพลงกล่อมนอนอยู่หรือเปล่าครับ”



“ไม่แล้วล่ะค่ะแต่นิสัยเอาแต่ใจยังเหมือนเดิม โถ อย่ามัวแต่คุยตรงนี้เลยค่ะ คุณดรูว์ไปเยี่ยมคุณท่านในบ้านเถอะ ตอนนี้ท่านคงอ่านหนังสืออยู่”



“ครับ งั้นผมไปหาคุณลุงก่อนนะครับ เดี๋ยวจะแวะมาคุยกับป้าใหม่”  เจ้าของเรือนผมหยักศกนั้นผงกลงพร้อมกับเท้าที่ก้าวไปตามทางดินทอดสู่ตัวบ้าน ขณะที่แม่บ้านสูงวัยหันหลังเดินกลับมาหาเด็กชายที่นั่งยองๆซ่อนตัวอยู่



“ใครครับ”
 


“คุณอาแอนดรูว์ไงคะ...คุณอาเขาเคยเลี้ยงคุณหนูตอนที่คุณหนูยังเล็กๆ แต่คุณหนูคงจำไม่ได้เพราะตอนนั้นคุณหนูอายุแค่หกขวบเอง” นางตอบคำถามด้วยเสียงอ่อนโยน




“เหรอครับ” 



เด็กชายเอ่ยเท่านั้นก็หันความสนใจไปอยู่ที่กุหลาบเช่นเดิมปล่อยชายหนุ่มผู้นั้นให้ผ่านประตูไม้บานใหญ่เข้าไปในกระท่อมหลังงามที่จัดตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้อย่างเรียบง่ายเพิ่มความอ่อนหวานด้วยการใช้ผ้าลายดอกไม้หรือของประดับสีพาสเทล พื้นที่ใช้สอยเล่นระดับแบ่งเป็นสัดส่วนแทนการกันเป็นห้องทึบ หากก็เชื่อมต่อกันได้อย่างลงตัวคงมีเพียงห้องน้ำ ห้องนอนและห้องอ่านหนังสือเท่านั้นที่ถูกกั้นปิดเป็นส่วนตัว




มือเรียวเคาะเรียกแล้วเปิดเข้าไปในห้องหนังสือที่ผนังทุกด้านฝังชั้นไม้อัดแน่นด้วยหนังสือและเอกสารทางวิชาการมากมาย ชายสูงวัยเงยหน้าจากกระดาษในมือไปยังชายหนุ่มที่ตรงเข้ามาหาตนเองก่อนจะลุกขึ้นสวมกอดด้วยรอยยิ้ม หลังทักทายกันอยู่พักหนึ่งผู้มากวัยกว่าก็ผายมือเชิญให้นั่ง




“ขอโทษนะครับที่ผมไม่ค่อยได้มาเยี่ยมคุณลุง” บทสนทนาภาษาเกาหลีเริ่มขึ้น ณ บัดนั้น




“ไม่เป็นไร ลุงเข้าใจว่าเรายุ่ง แค่ได้เจอกันที่มหาวิทยาลัยกับที่เราโทรหาลุงทุกอาทิตย์ ลุงก็ดีใจแล้ว...เออ วันก่อนลุงได้ยินเรื่องที่เราได้รางวัลนักออกแบบหน้าใหม่แห่งปี แต่ลุงยังไม่มีของขวัญอะไรจะให้เราเลย”




“โห ไม่ต้องให้ของขวัญผมหรอกครับ ผมขอแค่คุณลุงมีสุขภาพแข็งแรงก็เป็นของขวัญที่ดีที่สุดของผมแล้ว” ถ้อยคำนั้นบอกปัดอย่างสุภาพนอบน้อมก่อนที่บัง ยงกุกหรือที่คนในวงการออกแบบเรียกขานว่าแอนดรูว์ บัง จะได้โอกาสสังเกตความร่วงโรยตามอายุขัยของชายตรงหน้า




ศาสตราจารย์ชเว ซึงฮยอน อดีตอธิการบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยโซล ที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาใช้ชีวิตหลังเกษียณในประเทศอังกฤษด้วยการเป็นอาจารย์พิเศษและวิทยากรถ่ายทอดประสบการณ์ความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมเกาหลี



ชายผู้ทำให้นักศึกษาศิลปะที่สอบผลัดชั้นขึ้นมาก่อนเกณฑ์อายุปกติเกือบสามชั้นปีต้องดรอปเรียนเพราะไม่มีเงินค่าเทอมอย่างเขาได้ร่ำเรียนต่อด้วยการเดินเรื่องขอทุนให้เขาได้มาเรียนต่อในต่างประเทศ ให้ที่พักอาศัยรวมทั้งงานพิเศษเพื่อสั่งสมประสบการณ์ ให้แม้กระทั่งคำแนะนำสั่งสอน



การเรียกขานประหนึ่งญาติทั้งที่ไม่มีสายเลือดข้องเกี่ยวกันเป็นความผูกพันทางความรู้สึกของคนทั้งคู่ โดยฝ่ายหนึ่งนับถือผู้สูงวัยเสมือนญาติผู้ใหญ่ ขณะที่อีกฝ่ายก็รักใคร่เฉกหลานชายแท้ๆ



สำหรับศาสตราจารย์ซึงฮยอน ยงกุกถือได้ว่าเป็นคนมีความคิดอ่านลึกซึ้งกว่าอายุ...ถึงเป็นศิลปินแต่หัวจิตหัวใจกลับแข็งแกร่งและซื่อตรงต่อความรู้สึก แม้จะอ่อนโยนต่อความดีแต่ไม่อ่อนข้อต่อความเลวร้าย ในคราวต้องสู้ก็เป็นนักสู้ตัวฉกาจที่รู้ว่าจะรุกหรือตั้งรับอย่างไรเป็นคุณสมบัติที่ทำให้ใครหลายคนทั้งชื่นชมและนับถือ
 


“เห็นเราว่าหุ้นกับเพื่อนเปิดบริษัทผลิตของเล่นสำหรับเด็กที่เกาหลี...ทุกอย่างราบรื่นดีมั้ย  มีอะไรที่อยากให้ลุงช่วยก็บอกลุงได้นะ”



“มันก็มีปัญหาติดขัดอยู่บ้างครับแต่ฮิมชานเพื่อนผมเขาเก่ง...อะไรก็จัดการได้หมด”




“ฮิมชานที่ว่าใช่คนที่ลุงเคยเจอที่แกลอรี่ที่เราทำงานใช่ไหม”



“ครับ”




“อ้อ คนนั้นเอง...แล้วนี่มะรืนนี้เราก็จะบินกลับเกาหลีแล้วใช่มั้ย เคลียร์งานกับทางนี้เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย



“ยังเหลือพวกงานเอกสารนิดหน่อยครับ ผมกะว่าจะมาเยี่ยมคุณลุงก่อนแล้วช่วงบ่ายจะกลับไปจัดการต่อนะครับ อ้อ ผมเอาของมาให้คุณลุงกับจุนฮงด้วยนะครับ” คนเป็นหลานต่างสายเลือดปลดกระเป๋าสะพายหลังหยิบเอาโสมชั้นดีบรรจุในกล่องไม้สวยมอบให้ “อันนี้เป็นโสมครับ ฮิมชานเขาคัดแบบเกรดพรีเมี่ยมส่งมาให้”




“ขอบใจมากนะ ฝากขอบคุณเพื่อนเราด้วย”



“แล้วก็มีตุ๊กตาตัวนี้ที่ผมตั้งใจเอามาให้จุนฮงเขา” ตุ๊กตากระต่ายสีดำมีตาโตสีขาวด้านบนเป็นตัวไขลานและที่ปากมีหน้ากากสีฟ้าคาดอยู่ถูกนำออกมา



“ตุ๊กตางั้นหรือ...หน้าตาแปลกแต่ก็น่ารักดีนะ”




“มันเป็นกระต่ายจากดาวมาโทนะครับ...คือ มันเป็นตุ๊กตาในคอเลคชั่นแรกที่บริษัทของผมจะวางขาย ทีมการตลาดกับผมคิดว่าน่าจะสร้างเรื่องราวให้มันเพื่อเพิ่มความน่าสนใจก็เลยเลือกให้มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มาจากนอกโลก ทั้งเซ็ตจะมีด้วยกันหกตัวแต่ตัวนี้เป็นหุ่นยนต์ที่ตัวหัวหน้าสร้างขึ้นมาชื่อ โทโทมาโท”




“อืม คิดดีนะ...สร้างเรื่องราวให้ตุ๊กตา จะได้ออกเป็นคอลเลคชั่นอื่นตามมาได้อีก”




“พวกวัสดุที่ผมใช้เป็นสารกึ่งธรรมชาติรับรองได้ว่าปลอดภัย และผ่านการตรวจสอบคุณภาพพร้อมวางขายแล้วด้วย แต่ตัวนี้ผมซื้อมานะครับ ไม่ได้ใช้สิทธิ์เป็นเจ้าของเอามาฟรี อ้อ จริงสิครับ เมื่อกี้ผมเจอจุนฮงเขาด้วย แต่เขาคงจำผมไม่ได้เลยกลัวรีบหลบใหญ่เลย”




ชายหนุ่มบอกด้วยรอยยิ้มกว้าง ทว่ายามได้ยินฝ่ายที่ตนนับเป็นหลานเอ่ยถึงลูกชายคนเดียวของตนที่ถือกำเนิดกับภรรยาผู้ล่วงลับสีหน้าของศาสตราซึงฮยอนกลับหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด



ปัญหาของการมีลูกที่มีช่วงอายุต่างจากตนเองถึงสี่สิบปี ไม่เกี่ยวข้องกับปัจจัยเรื่องเงิน เขาเตรียมพร้อมเก็บออมและลงทุนที่ให้ผลตอบแทนงอกเงยเพื่อให้ลูกมีเงินใช้ไม่ลำบาก หากสิ่งที่ห่วงกังวลนั้นเกี่ยวเนื่องกับปัญหาสุขภาพของตนที่อาจอยู่ดูแลไม่ทันเห็นเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไหนจะเรื่องที่ลูกกลายเป็นเด็กสมาธิสั้นมีพัฒนาการบางอย่างที่ช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน รวมทั้งอาการกลัวผู้คนนั่นอีก



หลังเสียภรรยาไปด้วยโรคมะเร็งทรวงอก จุนฮงในวัยเจ็ดขวบเริ่มไม่ข้องแวะกับผู้คน เมื่อไปโรงเรียนก็ปลีกวิเวกจนครูเรียกเขาไปปรึกษาก็หลายหน  จิตแพทย์ที่เคยมาดูอาการแจ้งว่า  ลูกเขาเป็นโฟเบียประเภทกลัวความผูกพันและความโดดเดี่ยว โดยคำแนะนำของแพทย์ที่มีต่อลูกชายเขาคือต้องทำให้เขาเรียนรู้ว่าการสูญเสียบุคคลที่รักไม่ใช่การทอดทิ้งและการทรยศหักหลังหาได้เกิดขึ้นกับทุกคน



หากคนอายุหกสิบที่มีโรคประจำตัวอย่างหัวใจตีบซึ่งเคยหัวใจหยุดเต้นมาก่อนหน้าเช่นเขา ห่วงเหลือเกินว่า ลูกจะอยู่ไม่ได้หากเขาหรือวิเวียนแม่บ้านของเขาจากไปเสียก่อน



“ผมเอาไปให้เขาเองได้ใช่มั้ยครับ” คำถามนั้นดึงอีกฝ่ายให้หลุดจากภวังค์



“เอาสิ...จุนฮงเขาคงดีใจ” ชายสูงวัยลุกจากเก้าอี้เดินไปยังสวนกุหลาบหน้าบ้านพร้อมกับหลานชายต่างสายเลือดของตนเอง



วิเวียนส่งยิ้มให้กับคนทั้งคู่แล้วหันไปหาคุณหนูของตนที่วิ่งหลบข้างหลังทันทีที่เห็นคนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ มือทั้งสองข้างกำกระโปรงของหญิงชราแน่นจนสั่น



“จุนฮง...ออกมาหาคุณอายงกุกเขาสิลูก คุณอาเขามีของมาให้เราด้วยนะ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยคำอ่อนโยนแต่ไม่ได้รับการตอบรับใด




“ไม่เอาสิคะคุณหนู...คุณอาเอาของมาให้ คุณหนูมาหลบแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะคะ” นางว่าเรียกขานสรรพนามของชายหนุ่มเป็นอาตามผู้เป็นนาย



“ผมไม่รู้จักเขาสักหน่อย” เสียงแข็งของเด็กชายตอบกลับทำให้ศาสตราจารย์และแม่บ้านหน้าเสีย แต่ฝ่ายถูกหยาบคายใส่กลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปใกล้แล้วย่อตัวไปหาเด็กตัวกลมที่ซ่อนตัวอยู่




“แต่อารู้จักเรานะ เคยเลี้ยงเราด้วย เราจำเพลงที่อาร้องกล่อมเราได้มั้ยเจ้าหมีสามตัวน่ะ...โอเค โอเค อารู้ว่าเราไม่อยากเห็นหน้าอา แต่เจ้าโทโทมาโทที่มากับอาด้วย มันอยากเห็นเรานะ ตอนนี้มันกำลังร้องไห้ที่เจ้าของใหม่เหมือนจะไม่ต้องการมันอยู่  ร้องไม่หยุดเลยด้วยสิ จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย” มือเรียวหยิบตุ๊กตาขึ้นมาจับมือทั้งสองข้างของมันไว้ตรงตาให้เหมือนมันกำลังร้องไห้และยื่นไปหาอย่างใจเย็น




ภายนอกยงกุกเหมือนคนเยือกเย็นน่ากลัวเข้าถึงยากซึ่งในความจริงเขาก็เป็นเช่นนั้นเพียงแต่เขาจะร้ายอย่างถึงที่สุดให้กับบางสิ่งหรือบางคนที่ทำให้โลกเลวร้ายลงเท่านั้น



จุนฮงยังคงนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่นานกว่าจะยอมเหลือบมองยังตุ๊กตากระต่ายสีดำ ชั่ววินาทีนั้นมืออูมคว้าหมับเข้าที่หูกระต่ายแล้วพามันวิ่งตื๋อหนีไปอีกทางหนึ่งอย่างเร็ว



“คุณหนู ทำไมทำอย่างนี้ล่ะคะ ขอบคุณคุณอาเขาด้วยสิคะ” วิเวียนร้องลั่นแต่เด็กชายเพียงหมุนตัวกลับมาทั้งที่กอดตุ๊กตาเอาไว้ในอ้อมแขนขณะที่เท้ายังวิ่งถอยหลัง



“ก็เขาบอกเจ้าของใหม่ไม่เอามันแล้ว ผมเอามันมา มันก็เป็นของผม ทำไมต้องขอบคุณด้วยล่ะ”




“แต่คุณอาเป็นคนเอามันมาให้ลูก...ยังไงลูกก็ต้องขอบคุณเขา” เสียงจากผู้เป็นพ่อตะโกนกลับไป เด็กชายทำหน้าบูดเหมือนถูกขัดใจแต่ก็ยอมทำตาม




“งั้นก็ขอบคุณ” เอ่ยเสียงแข็งแล้วก็วิ่งไปตามทางโรยกรวดอีกทางที่อ้อมสวนกุหลาบหายเข้าไปในบ้าน




ยงกุกมองร่างป้อมที่ลับสายตาไปด้วยรอยยิ้มกว้างด้วยเอ็นดู ก่อนจะหันไปทางผู้สูงวัยทั้งสองที่ยืนกุมขมับหน้าตาเคร่งเครียด



“ขอโทษด้วยนะคะ...ปกติคุณหนูแกไม่ใช่เด็กไม่ดีแต่แกกลัวคนแปลกหน้า และแกค่อนข้างจะรู้สึกรุนแรงเวลาได้ยินหรือเห็นอะไรที่ถูกทิ้ง คืออะไรที่แกรู้สึกว่า ไม่มีใครต้องการแล้วแกจะถือว่าเป็นของแก แล้วอะไรที่เป็นของแก แกจะไม่ยอมให้ใคร ยกเว้นยายกับคุณท่านแตะน่ะค่ะ”



“ขอโทษจริงๆนะที่จุนฮงเสียมารยาทกับเรา”




“ไม่เป็นไรครับ...เขาคงจำผมไม่ได้เลยเป็นแบบนี้”




“ถึงจำได้ก็ใช่ว่าจะ...” เสียงของศาสตราจารย์เงียบไปในตอนท้ายและหายไปนานหลายนาทีคล้ายกำลังตริตรองความคิดจึงเอ่ยต่อ “เราคิดยังไงกับคนที่เขียนเรียงความว่า กลัวผู้คนเพราะไม่อยากถูกทำร้ายหรือทอดทิ้ง”




“ผมคิดว่าคนเขียนคงยังเด็ก...เด็กมาก เด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่า ในที่สุดเราไม่มีวันหลีกเรื่องพวกนี้พ้น สิ่งที่ทำได้ก็คือยอมรับมันก็เท่านั้น” ชายหนุ่มตอบกลับรับรู้ได้ถึงแววกังวลในดวงตาของชายชรา”จุนฮงเขาเขียนเหรอครับ”



“ใช่” คำตอบสั้นมาพร้อมการถอนหายใจ



“คุณลุงอย่ากังวลเลยครับ ไว้เขาโตกว่านี้ โลกจะสอนเขาให้เข้มแข็งเอง”



ศาสตราจารย์ซึงฮยอนถอนหายใจอีกครา ดวงตาที่เคยคมกล้าเมื่อครั้งยังหนุ่มมาบัดนี้เพียงเห็นดอกกุหลาบสีชมพูแย้มสวยก็โรยแรง



“ยงกุก...ลุงขออะไรเราอย่างได้ไหม” ถ้อยคำถามอ่อนล้ายิ่งลอดผ่านริมฝีปาก



“ได้สิครับ”



“ถ้าลุงกับวิเวียนไม่อยู่แล้ว...เราช่วยดูแลจุนฮงแทนลุงได้ไหม”



คนอ่อนวัยกว่าชะงักเงยหน้าจากกุหลาบที่ผลุบตาลงไปชมความงามแลความหวาดวิตกที่อาบล้นอยู่บนดวงหน้าของชายชราผู้มีพระคุณต่อตนเอง




“ทำไมคุณลุงพูดอย่างนั้นล่ะครับ...คุณลุงยังแข็งแรงอยู่เลย ยังอยู่ดูแลจุนฮงเขาได้อีกนาน”



“ชีวิตน่ะมันไม่แน่นอนหรอกนะ คนวัยอย่างลุงปุบปับกลับบ้านเก่าตอนไหนก็ยังไม่รู้ ลุงน่ะไม่กลัวหรอกความตาย จะห่วงก็แต่ลูกนั้นล่ะ...ถ้าวันหนึ่งลุงต้องจากไป ลุงก็อยากให้มีใครสักคนที่ลุงไว้ใจเป็นคนดูแลเขา และเราคือคนที่ลุงไว้ใจที่สุด”



ถ้อยความสุดท้ายสิ้นลงพร้อมความอ่อนแรง ยงกุกนิ่งงันประสานสายตากับศาสตราจารย์ซึงฮยอนด้วยแววตาจริงจังหากมีความอ่อนละมุนแฝงอยู่ มือเรียวยื่นไปจับเบาบนลำแขนเหี่ยวย่นที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตสีอ่อน



“ถ้าวันนั้นมาถึงจริง ผมสัญญา ผมจะเป็นคนดูแลเขาเอง”


You Might Also Like

1 Comments

  1. จุนฮงงงงงงง พี่ยงกุกช่วยจุนฮงด้วยนะคะ ขอบคุณนะคะไรท์ เพลงเข้ากับบรรยากาศที่บรรยายมากเลย บรรยากาศสวนอังกฤษมาก

    ตอบลบ