LOVE TOXICAL : BANGLO CHAPTER 2

08:17

 


เสียงเปียโนพลิ้วไหวกระแทกลึกรุนแรงแล้วคลายเบาอ่อนหวานอย่างบาดลึกมีชั้นเชิงราวนักเปียโนอาชีพแว่วดังจากด้านหลังของโบสถ์คาทอลิกเก่าแก่ เรียกให้บาทหลวงชราก้าวผ่านซุ้มประตูโค้งตามไปยังต้นตอของเสียง นัยน์ตาสีฟ้าทอดยังเจ้าของแผ่นหลังบางที่เคลื่อนขยับอยู่หน้าแกรนด์เปียโนสีน้ำตาลหลังเก่าอันมีสภาพทรุดโทรมกระทั่งคีย์เสียงผิดเพี้ยน หากบทเพลงที่บรรเลงกลับไพเราะจับใจ




บาทหลวงจำเขาได้ด้วยเคยเห็นครั้งแรกตอนที่ศาสตราจารย์ชาวเกาหลีนำร่างไร้วิญญาณของแม่บ้านตนเองมาประกอบพิธีและโปรยเถ้ากระดูกลงในแม่น้ำของหมู่บ้านที่ไหลผ่านรั้วด้านหลังของโบสถ์แห่งนี้ และนับจากนั้นลูกชายของศาสตราจารย์ที่ติดตามมาด้วยในวันนั้นมักจะนำกุหลาบสีชมพูมาวางไว้ริมน้ำและเล่นเปียโนเก่าหลังนี้ทุกวัน



นิ้วขาวพรมบนแป้นลื่นไหลสร้างท่วงทำนองเต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์รักระคนโศกราวร่ายมนตร์ เปลือกตาทั้งสองบนดวงหน้าเรียวเนียนละเอียดราวกลีบกุหลาบขาวเฉกสตรีนั้นปิดสนิทด้วยดื่มด่ำกับดนตรี กระทั่งนิ้วนางซ้ายกดคีย์สุดท้ายของโน้ตเพลงจบสิ้น นัยน์ตาโตสีน้ำตาลสุกใสจึงลืมขึ้นเพื่อรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของใครบางคนจากด้านหลัง



“เพลงเมื่อครู่ที่ลูกเล่น คือโซนาต้า หมายเลข 1 ของบรามห์ใช่ไหม” เสียงอุ่นเปี่ยมเมตตาเอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงไม้ไหว “ลูกมีพรสวรรค์นะ ถ้าเอาดีทางการเล่นเปียโนนี้น่าจะทำได้ดี”



เด็กหนุ่มฟังคำด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่แม้แต่จะหันมอง เพียงเก็บกระเป๋าสีดำที่วางอยู่บนหลังเปียโนมาปัดฝุ่นและสะพายมันกลับไปบนหลัง จึงทอดตาไปยังบาทหลวงสูงวัยที่ยืนอยู่ไม่ไกลจากกรอบประตูโค้งนัก



ทุกครั้งที่ถูกถามผู้อ่อนเยาว์กว่ามักไม่ตอบ มีเพียงการมองและกลับออกไป หากครั้งนี้มีบางอย่างที่ทำให้ริมฝีปากขยับเอ่ยคำ



“ผมไม่ได้ชอบเล่นเปียโน...ผมเล่นเพราะยายเขาชอบฟังก็เท่านั้น” 



เสียงนั้นเรียบเย็นเช่นสีหน้าก่อนที่เจ้าของคำตอบจะปรายตายังสายน้ำไหลเอื่อยอันเป็นสถานที่เถ้ากระดูกของแม่บ้านผู้รักยิ่งคล้ายสิงสถิตย์แล้วหมุนตัวจากไปอย่างเงียบงันเหมือนครั้งที่เข้ามา

---------------------------------------------------------------

กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อลอยอวลในห้องผู้ป่วยพิเศษยามผสานกับความเย็นของเครื่องปรับอากาศนั้นชวนให้วังเวงใจ แม้นมีเสียงเครื่องวัดความดันและคลื่นหัวใจดังเป็นจังหวะเดียวกับการทิ้งตัวของหยดน้ำเกลือในถุงที่หยดลงมาตามสายอยู่ตลอดแต่ยิ่งทำให้บรรยากาศยิ่งหม่นหมอง ชายสูงวัยร่างผ่ายผอมอยู่ในชุดผู้ป่วยสีฟ้าปรือตาและยิ้มอ่อนให้กับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเตียง




“ผมกับฮิมชานวางแผนจะขยายตลาดจากเอเชียมายุโรปครับ ตอนนี้เราเปิดคาเฟ่ขายอาหาร เครื่องดื่มกับสินค้าของเราที่เยอรมันเป็นสาขาแรก พอดีรุ่นน้องของผมเป็นอาจารย์สอนถ่ายภาพอยู่ทางนั่น เขาเป็นธุระจัดการให้เลยเดินเรื่องง่าย ส่วนสาขาที่สองผมตั้งใจว่าจะเลือกลอนดอนแต่คงต้องคุยกับทางตัวแทนของที่นี่เรื่องการแบ่งเปอร์เซ็นต์ สถานที่กับการตกแต่งอีกทีหนึ่ง”




“เราจะขยายสาขามาที่นี่หรือ...แล้วเรามีคนจัดการเรื่องเอกสารทางกฎหมายหรือยัง ถ้ายังไม่มีให้จงยอนเขาช่วยดูแลเรื่องนี้ได้นะ” เสียงเบาของศาตราจารย์ซึงฮยอนถามไถ่ ในความอ่อนล้ายังมีความเป็นห่วงต่อหลานชายนอกสายเลือดเสมอ



“คุณลุงไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ...ผมหาฝ่ายประสานงานทางกฎหมายไว้แล้ว คงไม่ต้องลำบากจงยอนให้มาช่วย” ยงกุกบอกด้วยรอยยิ้มกว้างพาลนึกถึงทนายความส่วนตัวของผู้เป็นลุงที่เคยได้รับความช่วยเหลือเช่นเดียวกันแต่เขาไม่ใคร่อยากยุ่งเกี่ยวนัก ก่อนที่มือเรียวสวยแต่กร้านแข็งจากการทำงานหนักจะกุมมือผอมแห้งแทบติดกระดูกไว้ “อาหารบำรุงกำลังที่ผมซื้อมาคราวที่แล้วคุณลุงได้กินไหมครับ”



“พวกผลไม้กับชาที่เราให้มาพอกินได้นะ แต่พวกอาหารเสริมสกัดพยาบาลเห็นเข้าเขาห้ามน่ะ”



“โอ้ ขอโทษครับ ผมไม่ทราบว่าเขาห้ามให้คุณลุงกินอาหารเสริม”



“กินไม่ได้เหรอครับ...แต่หนนี้ผมได้โสมสกัดจากแพทย์แผนโบราณที่จีนมา แพทย์คนนี้เขาเชี่ยวชาญด้านวิจัยสารอาหารที่ช่วยเสริมกำลังกายมาด้วย พยาบาลเขาจะอนุโลมหน่อยไม่ได้เลยเหรอครับ” คำถามจากชายหนุ่มรูปงามสวมเสื้อแขนยาวสีขาวตัดกับกางเกงยีนส์สีดำซึ่งสูงไล่เลี่ยกับชายหนุ่มอีกคนในห้องแต่กายหนากว่ากำลังถือจานแอปเปิ้ลที่ปอกเปลือกและผ่าอย่างสวยงามมาวางบนโต๊ะข้างเตียงดังขึ้น



คิม ฮิมชานรู้จักกับศาสตราจารย์ซึงฮยอนครั้งแรกผ่านการบอกเล่าของเพื่อนสนิท...บัง ยงกุกเพื่อนรักเพื่อนตายที่ผ่านร้อนผ่านหนาวด้วยกันมานานเป็นหลายสิบปี โดยเริ่มรู้จักกันตอนที่อีกฝ่ายย้ายจากโรงเรียนบนเกาะมาเรียนที่โซลตอนมัธยมต้น กระทั่งได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันแต่ต่างคณะในปีแรก
 


ด้วยความที่เป็นน้องคนสุดท้องเหมือนกัน บ้านก็อยู่ไม่ไกลกันนักเลยไปมาหาสู่กันบ่อย ถึงแม้นิสัยส่วนตัวของยงกุกจะค่อนข้างเก็บตัวแต่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาคิดมากกว่าพูดซึ่งแตกต่างจากตัวเขา หากก็เข้ากันได้ดี แม้อีกฝ่ายจะย้ายมาศึกษาต่อต่างประเทศก็ยังติดต่อกันเรื่อยมาและกลายเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจไปในที่สุด


เมื่อได้ทำความรู้จักกับศาสตราจารย์จากการสนทนาเมื่อครั้งมาติดต่องานหรือมาเยี่ยมพร้อมเพื่อนก็สัมผัสได้ถึงความเอื้อเฟื้อจนรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายเป็นญาติคนหนึ่งของเขา



“ขอโทษนะฮิมชาน ทั้งที่เราอุตส่าห์ลำบากหามาให้ลุงแท้ๆ แต่หมอแผนใหม่เขาก็ไม่ไว้ใจให้ลุงกินอะไรที่แปลกไปจากที่ฝ่ายโภชนาการของโรงพยาบาลเขาจัดมาให้น่ะ”



“คุณลุงไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ ผมสิต้องขอโทษที่เอาของเยี่ยมที่หมอไม่อนุญาตมาให้” คนอ่อนกว่าละล่ำละลักยกมือโบกไปหา



“ของบำรุงอย่างดีแบบนี้ ถ้าลุงกินไม่ได้ เราสองคนก็เก็บไว้กินกันเถอะนะ” คนป่วยว่าพลางยิ้มอ่อน หางตาเหลือบเห็นห่อกระดาษสีน้ำตาลที่อยู่บนโซฟาก็ถามถึง “จริงสิ เห็นเราบอกลุงว่าวาดภาพมาให้ลุงด้วย ขอลุงดูหน่อยได้มั้ย”



“ได้สิครับ” คนหนุ่มตอบรับคำขอด้วยการส่งซิกให้เพื่อนหยิบของให้ พอมาถึงมือก็แกะเชือกกับกระดาษสีน้ำตาลห่อออกเผยให้เห็นภาพวาดสีน้ำของชายสูงวัยโอบไหล่ของสตรีวัยเดียวกันที่ส่งยิ้มอ่อนหวานด้วยมือข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างอุ้มร่างของเด็กชายตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน



...มันเป็นภาพครอบครัวตระกูลชเวที่ตรึงในความทรงจำของผู้วาดเมื่อนานมา...




ศาสตราจารย์ซึงฮยอนพินิจรายละเอียดของภาพกระทั่งจุดเล็กน้อยอย่างกอกุหลาบสีชมพูบานสะพรั่งที่รายล้อมอยู่ด้านหลัง...ชายที่เปรียบเสมือนหลานแท้ๆเป็นศิลปินที่ข้องเกี่ยวกับงานศิลป์ทุกแขนง หากระยะหลังมีธุรกิจต้องดูแลแทบไม่มีเวลาแต่ยังเจียดมาวาดรูปให้เป็นของเยี่ยม 



 แม้เจ้าตัวจะร้างมือไปพักใหญ่แต่การตวัดฝีแปรงยังงดงามเหมือนที่เคยถูกคัดไปจัดแสดงในหอศิลป์ที่ลอนดอน




“สวยจริง...ขอบใจเรามากนะ ช่วยตั้งไว้ตรงโต๊ะนั่นให้ลุงหน่อยนะ เวลาที่ลุงยังตื่นได้อยู่จะได้เห็นมันเป็นอย่างแรก” คนป่วยพึมพำในลำคอจนอีกคนที่เงี่ยหูฟังอยู่รู้สึกโหวงๆ แต่ก็หยิบรูปไปตั้งไว้บนโต๊ะติดผนังที่อยู่ปลายเตียงให้พลางถามถึงใครอีกคนที่ไม่ได้พบกันนานแล้ว



ทั้งที่แวะมาเยี่ยมเยียนผู้เป็นลุงต่างสายเลือดบ่อยครั้ง หากยังไม่มีโอกาสได้พบหน้าหลานเสียที มีก็เพียงเรื่องราวเล่าถึง เช่นว่า ชอบใช้ชีวิตอย่างปลีกวิเวก ยิ่งมาเสียแม่บ้านคนสำคัญในชีวิตไปประจวบกับที่ผู้เป็นลุงล้มป่วยนอนอยู่โรงพยาบาลร่วมปี จากที่ไม่ค่อยพูดอยู่แล้วยิ่งไม่เก็บตัวเงียบ แต่ที่ทำให้แปลกใจคงเป็นเรื่องที่เจ้าตัวสอยเพื่อนร่วมชั้นตัวใหญ่กว่าเข้าโรงพยาบาล



“แล้วนี่จุนฮงเขาไปไหนหรือครับ”



“คงกลับไปเก็บผ้ากับรดน้ำกุหลาบที่บ้านน่ะ”




“เขาทำงานบ้านเป็นด้วยเหรอครับ”




“ก็เพิ่งมาหัดตอนที่วิเวียนเขาป่วยน่ะ...ตอนนี้ต้องอยู่บ้านคนเดียวงานบ้านอะไรเขาดูแลเองหมด ลุงจะจ้างคนมาช่วยเขาก็ไม่เอา นี่ที่ช้าคงแวะเอากุหลาบไปโปรยในแม่น้ำหลังโบสถ์ให้วิเวียนเขาด้วย”




“ไปโบสถ์เหรอครับ...ก่อนผมจะมาเยี่ยมคุณลุงผมก็เอาดอกเบญจมาศไปวางไว้ตรงรั้วที่แม่น้ำท้ายโบสถ์เหมือนกัน” ชายหนุ่มเอ่ยถึงสถานที่ที่เถ้ากระดูกของแม่บ้านถูกโปรยลงไปตามความประสงค์ที่ขอไว้ก่อนสิ้นชีพ โดยก่อนหน้านี้ภรรยาของผู้เป็นลุงเองเคยขอให้ทำพิธีศพตนเองด้วยการเผาแทนฝังและให้โปรยเถ้าของตนไว้ในแปลงกุหลาบที่บ้านเสมือนว่าแม้สิ้นลมทว่าจิตวิญญาณยังอยู่ปกปักสามีและลูกผู้เป็นที่รัก




ป้าจียองเคยพูดกับเขาช่วงที่ยังป่วยว่า คนเรามาจากดินต้องกลับสู่ดิน  ขอเพียงระลึกถึงกันด้วยหัวใจและความทรงจำก็เพียงพอแล้วสำหรับคนที่จากไปและแนวคิดนั้นได้ส่งต่อถึงผู้เป็นสามีที่ระบุในพินัยกรรมชัดเจนว่า เมื่อสิ้นอายุขัยให้จัดพิธีเผาและโปรยเถ้าลงในแปลงกุหลาบเช่นภรรยา



“เราไปมาด้วยเหรอ”



“ครับ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะไปทีหลัง เหมือนดวงผมกับเขาจะไม่สมพงษ์กันเลยนะครับ มาทีไรคลาดกันทุกที”




“นั่นสิ มาทีไรไม่ได้เจอกัน เอาอย่างนี้สิ ถ้าวันนี้ยังไม่รีบร้อนไปไหนก็อยู่รอเขาสิ...อีกสักพักก็คงมา”



"โอ๊ะ ขอโทษนะครับคุณลุง” อีกฝ่ายยกมือเป็นเชิงขออนุญาตยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาสนทนาเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วกับปลายสาย คนป่วยเหลือบมองหลานชายและปรายไปยังเพื่อนของหลานที่นั่งคิ้วขมวดนิ้วกดลงบนหน้าจอไอแพดคล้ายตอบอีเมล์สำคัญ ในชั่วนาทีนั้นเองที่มือเท้าเริ่มชาไร้ความรู้สึกแต่ฝืนยิ้มเมื่อเห็นหลานเดินกลับมาหา




“ขอโทษนะครับคุณลุง พอดีเอเจนซี่เขาโทรมาเลื่อนนัดเป็นหกโมงเย็นน่ะครับ ผมคงอยู่รอจุนฮงเขาไม่ได้”




“อา...อย่างนั้นเหรอ”



“เสียดายจังครับ...เอาไว้ครั้งหน้าที่ผมมาเยี่ยมคุณลุง ผมสัญญาว่าจะเผื่อเวลารอเจอเขานะครับ”




“ครั้งหน้า” ถ้อยคำเนิบช้าลอดผ่านริมฝีปาก นัยน์ตาโรยแรงทอดไปยังใบไม้แห้งที่ใกล้ปลิดขั้วจากกิ่งไม้ตรงนอกหน้าต่างราวกับตระหนักรู้ถึงวาระแห่งชีวิตที่ใกล้เข้ามาเต็มที



ยงกุกมองตามสายตาของผู้เป็นลุงไปด้วยความรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งกายอย่างประหลาดคล้ายมีลางสังหรณ์บางประการที่ไม่ดีนักก่อตัวขึ้นมาแต่ก็เลือกจะคิดในทางที่ดีว่าคงไม่มีอะไร



“ครั้งหน้า ถ้าเราได้เจอจุนฮงเขา ลุงฝากเขาด้วย...จุนฮงเขาเป็นเด็กต้องการความรัก ช่วยเอ็นดูเขา อยู่กับเขา รักเขาแทนลุงด้วยนะ” สุ้มเสียงจากคนป่วยนั้นเบาโหวงอย่างยิ่ง แม้นเพียงได้ยินใจของอีกฝ่ายก็หายวาบ




“อย่าห่วงเลยครับ ไม่ว่ายังไงผมต้องดูแลเขาอยู่แล้ว” เขาตอบแล้วเปลี่ยนเรื่องเพื่อเลี่ยงการกล่าวถึงสิ่งที่ทำให้ใจไม่ดี “ผมมีร้านอาหารที่อยากพาคุณลุงกับจุนฮงไปนะครับ ร้านนี้บรรยากาศดีมาก คุณลุงต้องรีบๆหายนะครับ คราวหน้าเราจะได้ไปกินข้าวด้วยกัน” มืออุ่นของคนเป็นหลานกุมมืออันแห้งเย็นไว้



ศาสตราจารย์ซึงฮยอนเหยียดยิ้มกว้างออกมาแทนคำตอบ อำลาหลานชายต่างสายเลือดด้วยคำอวยพรสั้นๆว่าโชคดีพลางเฝ้ามองกระทั่งแผ่นหลังของชายหนุ่มทั้งคู่ลับหาย ดวงตาเริ่มพร่าจนละม้ายเห็นร่างโปร่งใสของคู่ชีวิตซึ่งจากไปในดินแดนไกลโพ้นส่งยิ้มอุ่นอยู่ตรงหน้า



“ถ้ามีเขา ลูกเราจะไม่เป็นไร” ชายชราเอ่ยคำและหลับตาอิงศีรษะกับหมอน ในวาระที่ลมหายใจอ่อนแรง หากเขายังฝืนรอการมาถึงของคนเป็นลูกเพื่อฝากฝังและเอ่ยลา
----------------------------------

บานประตูห้องผู้ป่วยพิเศษปิดลงพร้อมกับความเงียบที่บังเกิดระหว่างเพื่อนรักซึ่งยืนนิ่งอยู่หน้าประตูราวนาทีกว่าจะขยับเดินกลับไปยังทางที่เข้ามาก่อนที่ฮิมชานจะคลายริมฝีปากจากการเม้มแน่นด้วยมีบางสิ่งติดค้างในใจพลางเหลือบมองแววกังวลของเพื่อนที่เดินอยู่เคียงกัน



“อาการคุณลุงท่าน...” เสียงเข้มเกริ่นขึ้นก็เงียบหายคล้ายไม่อยากพูดให้เป็นลาง



“อืม” คำตอบดังจากในลำคอโดยไม่จำเป็นต้องรู้ความทั้งหมดของคำถามก็รู้ว่าหมายถึงอะไร



“กูใจไม่ดีเลยวะ...ตอนมึงไปคุยกับหมอ หมอเขาว่ายังไงวะ”



“คุณลุงท่านอายุมากแล้ว...หัวใจท่านเคยหยุดเต้นไปสองรอบ ปั๊มหัวใจให้ขึ้นสำหรับคนแบบเราๆยังเจ็บ แต่คุณลุงอายุขนาดนี้มันยิ่งช้ำยิ่งเจ็บ หมอว่าถ้าหัวใจหยุดอีกคราวนี้คงต้องปล่อย แต่กูก็หวังแค่คุณลุงจะดีพอกลับไปอยู่บ้านได้สักระยะ” 



“แต่ดูท่าแล้ว...เฮ้อ...ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เด็กคนนั้นจะทำยังไง...อายุเท่าไหร่เอง...สิบห้าเองไม่ใช่เหรอ”



“ไม่เป็นไร ถ้าถึงตอนนั้นจริงๆกูจะเลี้ยงเขาเอง”



“เลี้ยงเด็กเป็นตัวเป็นตนมันเหนื่อย มันไม่เหมือนเวลามึงอุปการะเด็กตามสถานสงเคราะห์นะ ไม่แค่การดูแลแต่เรื่องกฎหมายอีก ถ้าไม่ได้จัดการแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองให้เรียบร้อยมาเดินเรื่องทีหลัง ระหว่างรอเดินเรื่องกลัวเด็กคนนี้จะแย่ ถูกโยนไปสถานสงเคราะห์ทางนั้นทีทางนี้ทีนี่ไม่สนุกนะเว้ย”



“กูรู้แต่ไม่ต้องห่วงหรอก...เรื่องทางกฎหมายคุณลุงจัดการหมดแล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันจะเป็นผู้ปกครองของเขาจนกว่าเขาจะบรรลุนิติภาวะ”



“ถึงตัดเรื่องกฎหมายไป ก็ยังมีเรื่องจิตใจอีก...จากที่ฟังๆมา เด็กคนนั้นเหมือนมีปัญหานะ ปัญหาเยอะด้วย มึงจะรับมือไหวเหรอวะ”



“ไหวสิ...หลานคนเดียว กูเลี้ยงได้และจะเลี้ยงให้ดีด้วย” ยงกุกเอ่ยหนักแน่นราวปฏิญาณตน เท้ายังคงก้าวไปตามทางที่ทอดไปสู่ลิฟต์ก่อนที่จะสวนทางกับร่างผอมของใครคนหนึ่ง กลิ่นหอมของดอกกุหลาบจรุงจมูกจนหยุดเดินไปโดยปริยาย



“เป็นอะไรวะ” ฮิมชานที่นำหน้าไปหันกลับมาถาม




“เปล่า...ไม่มีอะไร” แม้นกลิ่นหอมนั้นจะคุ้นเคยอย่างยิ่ง หากยงกุกเลือกไม่พูดเพียงเก็บไว้ในใจและเดินต่อไปยังลิฟต์



เด็กหนุ่มผิวขาวจัดสวมเสื้อยืดแขนยาวสีขาวลายทางสีน้ำเงินตัวโคร่งกับกางเกงยีนส์หลวมๆสีซีดพับปลายขาเป็นทบเปิดประตูเข้าไปในห้องที่มีป้ายชื่อ ศาสตราจารย์ชเว ซึงฮยอนติดอยู่ เพียงเห็นคนบนเตียงมองมาก็เหยียดยิ้มกว้างสดใส




“ผมมาแล้วนะครับ...ผมตัดกุหลาบมาให้ใหม่ด้วย” เด็กหนุ่มวางช่อกุหลาบที่ตนเองปลูกและตัดมาเองจากบ้านวางบนตักก่อนจะเหลือบไปเห็นช่อดอกเบญจมาศสีขาววางเคียงกับกระเช้าของเยี่ยมและแอปเปิ้ลกับส้มในจานบนโต๊ะข้างเตียง




“หลานรักของพ่อมาอีกแล้วเหรอ...มิน่า ถึงมีช่อเบญจมาศแบบนี้ที่โบสถ์ด้วย” เสียงที่เปล่งออกมานั้นไม่ใคร่จะเป็นมิตรนัก



“จุนฮง...พ่อเคยบอกเราแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าพูดถึงอายงกุกเขาด้วยหน้ากับเสียงอย่างนั้น”



“ก็...” ปากขยับจะพูดไปว่าไม่ชอบแต่ก็เปลี่ยน “เสียงมันไปของมันเองนิครับ”




“อาเขามีน้ำใจ ไม่ลืมพ่อ ไม่ลืมแม่ ไม่ลืมวิเวียน ยังถามถึงเรา ฝากของถึงเรา ไอ้สเก็ตบอร์ดที่เราเล่นอยู่นั้นก็อาเขาให้ไม่ใช่หรือไง”




ริมฝีปากอิ่มยื่นออกมาแทบทันทีที่ได้ยินพ่อเริ่มพูดถึงหลานชายต่างสายเลือดที่พ่อเคยช่วยเหลือ...พ่อกับยายวิเวียนชอบเล่าถึงผู้ชายคนนี้ให้ฟังอยู่บ่อยๆ ทั้งเรื่องที่ว่าเขาเคยติดผู้ชายคนนี้จนต้องให้ร้องเพลงกล่อมนอนถึงจะหลับ ไหนจะเรื่องพรสวรรค์ด้านศิลปะและดนตรี กระทั่งการดำเนินชีวิตและการทำธุรกิจที่ควรเอาเยี่ยงอย่าง



ยามพูดถึงผู้ชายที่ชื่อยงกุกอะไรนั้น สีหน้า แววตาของพ่อและแม่บ้านที่เขารักเสมือนยายแท้ๆ มีความรัก ความภูมิใจอย่างเปี่ยมล้น แต่กับคนที่ยึดทั้งคู่เป็นสรณะกลับรู้สึกเหมือนตัวเองถูกลดความสำคัญลงจนพาลไม่พอใจไปในที่สุด




...แต่ของเขาให้ก็แปลว่าไม่เอา มันก็เป็นของเขาแล้ว ทำไมต้องไม่ใช้ล่ะ...



“ไม่ลืมอะไรกัน...ตอนยายวิเวียนป่วยหนักๆ ก็ไม่เห็นมาเยี่ยม ตอนงานศพเขาก็ไม่เห็นจะโผล่มา ต้องจัดการอะไรเรียบร้อยแล้วถึงทำเป็นเอาดอกไม้มาวางไว้ริมน้ำหลังโบสถ์...ยายแกเขาชอบดอกกุหลาบที่ผมปลูกไม่ได้ชอบดอกเบญจมาศสักหน่อย ยังเอามาให้อยู่ได้”



“เรานี่น่ะ...อาเขาก็มีธุระของเขาเหมือนกันจะให้บินมาเฝ้าตลอดมันก็ไม่ได้”




“แต่ก็เห็นบินมาเยี่ยมพ่อบ่อยเหลือเกิน” จะทำคะแนนให้ตัวเองเป็นหลานคนโปรดสิ...ฝันไปเถอะ ประโยคนั้นต่อท้ายความคิดแต่ไม่ได้เอ่ยออกไป




“ขนาดมาบ่อยเรายังไม่เคยเจออาเขาเลย...ตอนเขามาเยี่ยมวิเวียนเราก็ไม่เจอ หรือจริงๆเราหลบหน้าอาเขากันแน่” ผู้เป็นพ่อดักทางด้วยรอยยิ้มบางพลางเอื้อมมือไปลูบผมของลูกชายที่ปลดเหล็กข้างเตียงและนั่งเอาหัวซบแขนผอมแห้งของตนเองอยู่



“ไม่ได้หลบสักหน่อย...ทำไมผมต้องหลบเขาด้วย” คำปฏิเสธนั้นอู้อี้อยู่ในจมูก...เขามีโอกาสได้พบกับผู้ชายคนนั้นหลายต่อหลายครั้งแต่เขาไม่อยากเจอหน้า ครั้งหนึ่งเขาเคยเปิดเข้ามาเห็นแค่หลังก็เผ่นหนีไปโบสถ์




ก็ไม่อยากเจอ ทำไมเขาต้องเจอคนที่ทำให้เขาถูกลดความสำคัญ แต่เขาจะไม่ยอมรับมันกับพ่อหรอก เดี๋ยวพ่อจะไม่สบายใจ เขาคิดว่าถ้าอยากให้พ่อแข็งแรงเหมือนเดิมต้องเป็นเด็กดี ทุกวันนี้เขาจึงพยายามไม่เอาแต่ใจและดูแลตัวเองไม่ให้พ่อต้องเป็นห่วง




“ตอนผมไม่อยู่ พ่อไม่ได้หอบอีกใช่ไหมครับ” เจ้าของหัวทุยที่ไสอยู่บนแขนของคนป่วยถาม แสร้งทำเป็นร่าเริงทั้งที่ในใจโหวงว่างและหวาดหวั่น เมื่อเช้าเขาสะดุ้งตื่นจากโซฟาในห้องนี้เพราะเสียงหอบแทบขาดใจของพ่อ  


...ตอนที่ได้ทำได้แค่มองดูพยาบาลกับหมอพยายามรักษาพ่อให้หยุดหอบทำให้เขากลัวจับใจ



“อืม” คำสั้นดังเพียงในคอ



ผมไม่ชอบให้พ่อหอบเลย เวลาพ่อหอบผมรู้สึกไม่ดี เมื่อไหร่พ่อจะหายเหรอครับ นี่ก็เป็นปีแล้วที่พ่ออยู่ในโรงพยาบาลแบบนี้  ไหนยายวิเวียนบอกว่า ถ้าผมเป็นเด็กดีพ่อจะหาย ผมรักพ่อนะครับ ผมไม่อยากเอาแต่ใจแต่ว่าผมไม่อยากอยู่บ้านคนเดียวแล้ว”



“เหงาเหรอลูก” นิ้วผอมสอดในเรือนผมนุ่มของลูกชายขยับไปมาเพียงเบาๆเท่าที่แรงมี




“งืม...ผมเหงา เหงามาก”




“พ่อขอโทษที่ทำให้เราเหงา”




“ผมไม่ได้อยากให้พ่อขอโทษนะ...ผมอยากให้พ่อหายมากกว่า พ่อรู้มั้ยครับว่าตอนนี้กุหลาบที่ผมปลูกบนดินของแม่มันสวยมากเลยนะ ที่บ้านตอนนี้ก็สะอาดเหมือนตอนยายวิเวียนอยู่เลย อ้อ ตอนนี้ผมเล่น Prelude หมายเลข 4 ของโชแปงที่พ่อชอบเปิดเวลาทำงานได้แล้วด้วย”




“เล่นเพลงใหม่ได้ทุกวันเลย...ทั้งที่พ่อสอนแค่พื้นฐานนิดเดียว เราไปหัดเล่นมาจากไหนกัน”



“ยูทูปไงครับ...ในนั้นมีหลายเพลงที่พ่อกับแม่แล้วก็ยายวิเวียนชอบ ผมกำลังหัดเล่นให้ได้ทั้งหมดนั้นเลย ถ้าผมเล่นได้หมดแล้วพ่อจะหายกลับไปฟังผมเล่นใช่หรือเปล่า” แม้พยายามอย่างหนักที่จะไม่เศร้า แต่น้ำเสียงในตอนท้ายกลับสั่นเช่นเดียวกับนิ้วเรียวที่ประสานบนหลังมือพ่อ




ผู้เป็นพ่อทอดสายตายังลูกชายที่ซุกหน้านิ่งอยู่บนแขนเพื่อซ่อนหน้ามิให้เห็นความอ่อนแอด้วยแววตาเศร้าสร้อย...ใจยังพยายามฝืนให้อยู่แต่ร่างกายกลับไม่อำนวยจนมิอาจประเมินได้ว่าจะฝืนอยู่ได้อีกสักกี่มากน้อย




“จุนฮง” ริมฝีปากของคนป่วยขยับเรียกเนิบช้า “รับปากอะไรพ่ออย่างหนึ่งได้มั้ย”



เด็กหนุ่มฟังคำของพ่อแต่ไม่ยอมตอบรับในทันที เพียงผงกหัวที่ซบนิ่งบนแขนเอาคางเกยไว้มองไปหา อยากจะดื้อด้วยการตอบไปว่า ต้องรู้ก่อนว่าเรื่องที่ขอคืออะไรแต่เมื่อเห็นใบหน้าเซียวซีดของพ่อปากก็ขยับรับคำอัตโนมัติ




“เรารู้ใช่มั้ยว่าแม่กับพ่อแล้วก็ยายเขารักเรามากแค่ไหน”



“งืม”




“เรารักพ่อกับแม่และยายวิเวียนหรือเปล่า”




“รักสิ”




“ถ้าวันหนึ่งที่การจากลาของเราสองคนมาถึง...พ่อขอได้มั้ย ขอให้ลูกมีชีวิตอยู่ต่อไป ลูกต้องอยู่นะ มีชีวิตอยู่ให้สมกับความรักที่พวกเรามีให้...ต้องอยู่อย่างมีความสุขแทนพ่อกับแม่และยายเขาด้วยนะ”




คำขอที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนล้าทำให้คนฟังชาไปทั้งตัว ริมฝีปากสวยเม้มแน่นจนห้อเลือดเพื่อสะกดกลั้นความเจ็บปวดที่แน่นไปทั้งอก ความกลัวนั้นล้นท้นหัวใจไม่อาจฝืนตอบรับเป็นคำพูดได้แต่เพียงก้มลงไปยังแขนของพ่อและผงกไปมาเป็นเชิงตอบรับ ทั้งที่ในใจยึดมั่นเพียงว่า 




...วันใดที่สิ้นพ่อ ชีวิตเขาก็สิ้นเช่นกัน...
------------------------------------------------------------------------------------------
สายฝนโหมกระหนำสาดกระทบหน้าต่างบานใหญ่ของห้องสูทหรูกลางกรุงโตเกียว ฟ้าร้องคำรามดังสนั่นแต่ประธานหนุ่มทั้งสองคนยังคงนั่งถกกันถึงข้อเสนอที่ฝ่ายตัวแทนจากญี่ปุ่นส่งมาให้พิจารณาเกี่ยวกับการจัดจำหน่ายสินค้าของบริษัทตนเองในญี่ปุ่นจนถึงตีสาม เอกสารทางกฎหมายที่ถูกแปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาญี่ปุ่นหนาถูกพลิกเปิดไปมา ขณะที่ไอแพดของทั้งคู่แสดงแบบแปลนการตกแต่งภายในของร้านที่มีจุดต้องแก้ไข




เสียงโทรศัพท์มือถือแผดดังท่ามกลางความเคร่งเครียด ยงกุกเอื้อมหยิบมันมาดูหน้าจอเผื่อไม่ใช่สายสำคัญจะตัดทิ้งแต่เมื่อเห็นเป็นเบอร์ของทนายความประจำตัวของศาสตราจารย์ซึงฮยอนจึงกดรับสาย




“ทำไมเพิ่งมาบอก” เสียงต่ำลึกถามปลายสายเรียบเย็นจนน่ากลัว




ฮิมชานหยุดอ่านสัญญาที่ฝ่ายตัวแทนญี่ปุ่นส่งมาให้พิจารณาพลางเงยหน้ามองไปยังเพื่อนรักซึ่งยืนหันหน้าอยู่ตรงหน้าต่างที่มีน้ำฝนหลากลงมาเป็นทางไม่หยุดหย่อน 



ความที่เป็นเพื่อนสนิทกันมานานทำให้รู้ว่า ยามอีกฝ่ายใช้เสียงเช่นนั้นสนทนา นั่นหมายความว่ามีเรื่องที่ทำให้ไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรงและเป็นไปได้สูงที่คู่กรณีจะโดนกระทืบปางตายหากอยู่ใกล้




“ว่าความได้เป็นสิบๆคดีไม่ลืม แต่ลืมบอกกูเรื่องนี้... ถ้าคิดจะแก้ตัวก็หาอะไรที่ดีกว่าแค่คำว่าลืม  ไม่...ไม่ต้องพูดแล้ว กูจะฟังคำอธิบายตอนถึงที่นู้น และถ้ากูฟังแล้วไม่เข้าท่า มึงคงรู้ว่า เวลากูโกรธขึ้นมามันเป็นยังไง”  นิ้วเรียวกดตัดสายแล้วกำโทรศัพท์ไว้ในมือแน่นอยู่หลายอึดใจกว่าจะหันกลับมาหาเพื่อนที่นั่งมองตนเองอยู่



“มีอะไรวะ” ฮิมชานถามอย่างใจเย็น แม้จะถูกดวงตาน่ากลัวของเพื่อนจ้องมาแทบไม่กระพริบ




“มึงจองตั๋วไปลอนดอนให้กูหน่อย...ไฟท์ไหนก็ได้ขอแค่ไปถึงลอนดอนไม่เกินพรุ่งนี้เที่ยง”




“ไปลอนดอน...ตอนนี้อะเหรอ”



“เออ”




“ไปทำไม” คนตัวหนากว่ายังถามกลับอย่างไม่เข้าใจ แต่ไม่ต้องรอคำตอบก็คิดได้ “หรือว่า...คุณลุงท่าน”



“ท่านเสียแล้ว” นาทีที่คำตอบลอดผ่านริมฝีปาก ฮิมชานนิ่งไปชั่วขณะด้วยข่าวร้ายนั้นเป็นสิ่งที่คิดไว้ หากไม่คาดว่าจะมาในเวลาเร็วเช่นนี้




เกือบสองเดือนแล้วที่ทั้งคู่ยุ่งกับงาน ต้องบินไปกลับเกาหลีและญี่ปุ่นเป็นว่าเล่นเนื่องจากการเจาะตลาดของเล่นในญี่ปุ่นมีกระบวนการยุ่งยาก รวมทั้งการกีดกันทางการค้าจึงไม่สามารถปลีกตัวไปไหน แม้แต่โครงการบินไปเยี่ยมคุณลุงที่นับถือก็ถูกพับไป




“แต่อาทิตย์ที่แล้วมึงก็เพิ่งโทรคุยกับคุณลุงไม่ใช่เหรอวะ”




“ท่านเพิ่งเสียเมื่อสองวันก่อน  นี่ทำพิธีจนจะเผาเย็นนี้แล้วไอ้ห่าจงยอนเพิ่งโทรมาบอก มีหน้ามาพูดว่า ลืม เป็นทนายประจำตระกูลเหี้ยอะไรของมัน” หน้าผากของคนสบถยับเป็นรอย ตาคมดุหรี่ลงอย่างน่ากลัวเมื่อเอ่ยชื่อของทนายความประจำตระกูลชเวออกมา




“เผาเย็นนี้จะไปจองตั๋วห่าอะไรไปทัน จากญี่ปุ่นไปลอนดอนขั้นต่ำก็สิบสามชั่วโมงแล้ว”




“พรุ่งนี้ตอนบ่ายมีทำพิธีกระดูกของคุณลุง...หาตั๋วให้กูหน่อยแล้วกัน กูจะไปเก็บกระเป๋า”



ฮิมชานปิดปากเงียบตามสั่งพลางหยิบไอแพดมาไถดูตารางของสายการบินที่ใช้บริการอยู่เป็นประจำ...การทำงานที่อาศัยเทคโนโลยีและแอพพลิเคชั่นต่างๆช่วย ทำให้ทั้งคู่เคยชินกับการไร้เลขานุการคอยอำนวยความสะดวก



“มีไฟท์เร็วสุดตอนหกโมงครึ่ง แต่มันบินโครตนานเลยวะ ปกติสิบสามชั่วโมง นี่ล่อไปสิบห้า...อ้อ  มีอีกสายการบินหนึ่ง เครื่องออกตอนหกโมงเช้า” เขารายงานเมื่อเห็นเพื่อนออกจากส่วนห้องนอนอีกห้องหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำพาดบนแขน



“รออะไรวะ...จองสิ”




“แต่มันเหลือที่นั่งเฉพาะชั้นประหยัด ต้องนั่งไปต่อเครื่องอีก ใครจะทนนั่งชั้นประหยัดไปถึงนู้นไหว”




“กูนั่งได้”



“แต่กูนั่งไม่ได้ มึงก็รู้ว่ากูชอบปวดหลัง”




“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึง กูจะไปคนเดียว”




“ไปคนเดียวได้ไงเล่า...กูก็รู้จักท่านเหมือนกัน ท่านเสียก็ต้องไปงาน ไม่รู้ล่ะ ยังไงกูก็จะไปกับมึง”




“มึงอยู่นี่แหละ เคลียร์เอกสารพวกนี้ให้เรียบร้อยค่อยไป”



“ค่อยไปห่าอะไร กูก็อยากไปเคารพศพคุณลุงนะ ตอนนี้เหลือแค่ทำพิธีกระดูกคุณลุงแล้วยังไงกูก็ต้องไปด้วย เออน่า งานยังอยู่ในขั้นพิจารณาเอกสาร...ทางนู้นเขาให้เวลาเราพอสมควร บินไปลอนดอนสักสองสามวันคงไม่ถึงขั้นล้มละลายหรอก ไว้ถ้ามีเหตุอะไรต้องอยู่นาน เดี๋ยวกูบินกลับมาก่อนเอง”




“จะเอายังไงก็เอา ขอให้ไปทันก็แล้วกัน กูไปอาบน้ำเก็บของก่อน” ยงกุกว่าปล่อยให้เพื่อนจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินและเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นสูทดำแบบสุภาพแล้วเก็บข้าวของเรียงใส่กระเป๋าเดินทาง




กว่าผู้เป็นเพื่อนจะหาสายการบินที่มีชั้นดีกว่าชั้นประหยัดได้ก็เกือบชั่วโมง ทำให้เจ้าตัวแทบไม่มีเวลาพอจะจัดกระเป๋าเลยยัดมันทุกอย่างลงไปแบบลวกๆ เมื่อ เช็กเอาท์ออกจากโรงแรมก็เรียกแท็กซี่บึ่งไปสนามบินนาริตะ ตลอดการเดินทางนั้นทั้งคู่แทบไม่ได้พูดอะไรกันเลยด้วยรู้ใจดีว่า อาการนิ่งเป็นสัญญาณให้วางเฉยจะดีเองจึงไม่ถามเซ้าซี้ เขาเพียงฆ่าเวลาบนเครื่องบินด้วยการอ่านเอกสารกับนอนเท่านั้น



เครื่องบินลงจอดที่สนามบินฮีทโทรดีเลย์ไปเกือบสองชั่วโมงเพราะสภาพอากาศ ฮิมชานรับกระเป๋าจากสายพานพร้อมเพื่อนที่มองนาฬิกาด้วยสีหน้าร้อนใจ ท่ามกลางสายฝนที่เทกระหนำลงมาอย่างบ้าคลั่ง กว่าจะผ่านด่านต่างๆออกไปต่อแถวรอแท็กซี่ไปส่งยังโรงแรมใกล้สนามบินที่จองไว้รวมกับเวลาเช็กอิน เก็บของเข้าห้องและเช่ารถเพื่อขับต่อไปยังสถานที่จัดงานก็ใช้เวลาราวๆชั่วโมง



ล้อรถบดถนนมาด้วยความเร็วหยุดลงตรงลานของโบสถ์ ท้องฟ้ายังหม่นมัวจากฝนที่ไม่มีทีท่าจะหยุด คนตัวหนาลงจากรถพร้อมกางร่มคันใหญ่ที่ยืมจากโรงแรมอ้อมมากางให้เพื่อนเดินไปยังโบสถ์เก่าแก่ที่จำได้ว่าเป็นโบสถ์หลังเดียวกับที่เคยเอาดอกเบญจมาศมาวางริมน้ำกับเพื่อน




โบสถ์ทั้งหลังเงียบงันร้างคนมีเพียงเสียงของเม็ดฝนตกกระทบ ยงกุกหยิบโทรศัพท์เปลี่ยนเวลาท้องถิ่นใหม่ ตัวเลขปรับเป็น 13.57 น. บนหน้าจอทำให้หลุดสบถ เดินออกมายืนหน้าประตูโบสถ์และเพียรต่อสายหาใครบางคนอย่างใจเย็นทั้งที่ข้างในร้อนเป็นไฟ




การสูญเสียผู้มีพระคุณกะทันหันก่อความเศร้ามากอยู่แล้ว ทว่าการมาไม่ทันกระทั่งทำพิธีกระดูกเพียงเพราะทนายความประจำตระกูลชเวอ้างว่าลืมแจ้งข่าวเป็นข้อแก้ตัวที่เกินกว่าจะเข้าใจได้ อีกทั้งอีกฝ่ายไม่ยอมรับโทรศัพท์เสียที ทำให้คนเป็นหลานต่างสายเลือดหัวเสีย




ฮิมชานที่ยืนรออยู่ไม่ไกลทอดสายตาออกไปยังเม็ดฝนที่ตกกระทบไม่หยุดหย่อน แลเห็นร่างในชุดดำของใครคนหนึ่งอยู่ เมื่อฝ่ายนั้นเขามาใกล้จึงสังเกตเห็นใบหน้าหล่อละมุนอ่อนเยาว์ของชายชาวเอเชียแบบคุณชายสูงศักดิ์กระหือกระหอบเข้ามา




ยงกุกสบตากับชายที่เข้ามาใหม่ เพียงเห็นหน้าตาคมที่นิ่งสงบกลับวาวโรจน์ ฝ่ายตรงข้ามกระพริบตาสัมผัสได้ถึงคลื่นอารมณ์รุนแรงที่วนเวียนอยู่ ทว่าตอนนี้ไม่มีเวลากระทั่งอธิบายด้วยมีเรื่องสำคัญต้องทำก่อน



“เห็น...เห็นจุนฮงไหม เขา...เขาอยู่ในโบสถ์หรือเปล่า”




“งานมันเลิกแล้ว เขาจะอยู่ที่นี่ได้ยังไง”




“ไม่มีเหรอ...แต่ที่บ้านเขาก็ไม่อยู่...หาย...หายไปไหนเนี่ย” คนพูดละล่ำละลักแทบหายใจเอาอากาศเข้าปอดไม่ทันเพราะวิ่งไม่หยุดมาตลอด




“อะไร...จุนฮงหายไปเหรอ” เสียงแหบต่ำมีแววตระหนกถามขึ้นแทบจะทันทีที่ได้ยินคำพูดทั้งประโยค




“...ใช่”



“หายไปตอนไหน”




“ฉันส่งแขกอยู่...ไม่ทัน...ได้ดู...รู้อีกทีเขาหาย...ไปกับอัฐิของคุณลุงแล้ว...พยายามหา...แต่เขาหายไป...ที่บ้านกับที่โบสถ์ก็ไม่อยู่...วิ่งหาจนทั่ว...ก็ไม่เจอ...ท่าทางเขาไม่ดี...ไม่พูด...ไม่กิน...กลัว...คิดสั้น” ถ้อยคำในตอนท้ายที่ลอดริมฝีปากทำเอาคนได้ยินปะติดปะต่อได้ว่าสภาพจิตของคนสูญเสียทุกคนที่รักยิ่งคงดำดิ่งถึงขีดสุด 



ตาคมตวัดมองอย่างเย็นเยือกเช่นนักฆ่าและมือเรียวแต่แกร่งแข็งเหมือนคีมเหล็กก็กระชากคอเสื้อของทนายหนุ่มเข้าหาตัวแล้วใช้มือเดียวดันคอกระแทกผนังโบสถ์อย่างแรง


จากคำบอกเล่าของผู้เป็นลุงและยายวิเวียนเตือนให้ตระหนักรู้เสมอถึงความเปราะบางทางใจของผู้เป็นหลาน 


คนประเภทที่ยึดติดกับคนที่รักเป็นสรณะ ยามสูญสิ้นทุกสิ่งอันเป็นที่รักมักลงเอยด้วยการจบชีวิต




“คนอย่างมึงนี่นะ...ถ้าหลานกูเป็นอะไรไป...มึงเตรียมตัวตายได้เลย” สิ้นคำนิ้วที่กดลึกบนลำคอก็ปล่อยออกพร้อมกับร่างโปร่งที่หุนหันวิ่งไปด้านหลังของโบสถ์ที่เคยโปรยอัฐิของยายวิเวียนแต่ไม่เจอใคร  สมองได้แต่พยายามคิดถึงสิ่งเหนี่ยวนำหลานนอกสายเลือดก่อนจะวิ่งฝ่าฝนออกไปทันที




รองเท้าหนังที่สวมเป็นอุปสรรคในการวิ่งอย่างยิ่ง หากชายหนุ่มไม่สนใจเพียงมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านของศาสตราจารย์ซึงฮยอนที่อยู่ห่างจากโบสถ์หลายกิโลอย่างไม่รู้เหนื่อย ผ่านประตูรั้วที่ถูกดอกไม้เลื้อยจนแน่นขนัดเปิดรออยู่ ประตูบ้านยังคงล็อกจึงหยิบกุญแจสำรองที่ซ่อนอยู่ใต้กระถางต้นไม้ตรงขอบหน้าต่างมาไขเข้าไป



มือเรียวกดเปิดไฟทั้งบ้านแล้วเริ่มหาทุกซอกทุกมุมและทุกห้องที่คิดว่าจะหลบได้แต่ไม่พบ ชายหนุ่มลูบหน้าพยายามรวบรวมสติคิดถึงสิ่งที่ผูกโยงทั้งครอบครัวเอาไว้ จังหวะนั้นเขาเหยียบเข้ากับเศษชิ้นส่วนบนพื้นจึงก้มลงถึงได้เห็นเศษกระจกใสจากหน้ากรอบที่ใส่ผ้าปักลายกุหลาบที่ผู้เป็นป้าปักตกอยู่




...กุหลาบ...




ร่างโปร่งกระโจนออกจากบ้านตรงไปยังสวนกุหลาบที่ชูช่อรับหยาดฝนเย็นชื่น รอบแรกเขาเดินไปตามช่องทางระหว่างกุหลาบที่เว้นไว้เพื่อให้ง่ายต่อการเข้ามาตัดแต่งกิ่ง พยายามกวาดตามองหาแต่ไม่พบอะไร สุดท้ายเลยฝ่าเข้าไปในดงกุหลาบ หนามแหลมเกี่ยวรั้งเสื้อสูทหนักเข้าเจ้าตัวเลยถอดทิ้งเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ชุ่มไปด้วยน้ำ



ความพยายามในการตามหาสิ้นสุดลง เมื่อตาคมสังเกตเห็นกอกุหลาบแหวกออกคล้ายมีใครซ่อนอยู่จึงตรงเข้าไปหา กว่าจะไปถึงจุดนั้นหนามกุหลาบเกี่ยวลึกผ่านผ้าลากถึงผิวหนังจนเลือดของเขาไหลซึม




ชายหนุ่มมองฝ่าม่านฝนไปยังเด็กหนุ่มร่างผอมบางสวมเสื้อเชิ้ตสีดำตัวโคร่งกับยีนส์หลวมๆเปียกปอนมีกุหลาบโอบล้อม ยามขยับเข้าไปใกล้จึงได้เห็นใบหน้าหวานละมุนกับริมฝีปากที่เริ่มเขียว นัยน์ตากลมสีน้ำตาลแดงก่ำจับนิ่งที่พื้นดินอย่างเลื่อนลอย เขาขานเรียกชื่อจึงได้เห็นตาคู่นั้นปรือมาหาก่อนทั้งร่างจะทรุดร่วงลงไปนอนกองกับพื้นท่ามกลางเศษกระเบื้องเหลือบที่แตกกระจาย




น้ำสีแดงข้นจากข้อมือไหลถูกชะด้วยน้ำฝนกลายเป็นสีอ่อนจางไหลไปตามทางดิน วินาทีนั้นหัวใจของยงกุกแทบหยุดนิ่ง มือถอนกุหลาบที่ขวางหน้าออกทั้งกอด้วยมือเปล่า เลือดอาบไปทั้งมือแต่ไม่รับรู้ถึงความเจ็บเพียงต้องการกระเสือกกระสนเข้าไปถึงแล้วใช้ฟันกัดฉีกแขนเสื้อออกมารัดห้ามเลือดก่อนจะอุ้มร่างที่ไร้สติบนพื้นพ้นจากดงกุหลาบประจวบกับรถยนต์ที่แล่นผ่านเข้ามาพอดี




ฮิมชานลงจากรถกางร่มวิ่งตรงมาหา เมื่อเห็นเพื่อนอุ้มร่างของเด็กหนุ่มที่ซีดไปหมดข้ามาใกล้ก็ตกใจรีบกระชากประตูหลังเปิดให้ ยงกุกอุ้มหลานเข้าไปในรถแล้วปีนตามขึ้นไปดึงร่างผอมที่เสียเลือดไปไม่น้อยมากอดไว้แนบอก




“อาอยู่นี้...เราต้องไม่เป็นอะไร...เราจะตามพ่อไปแบบนี้ไม่ได้ ไม่ได้รู้มั้ย” เขารำพันเช่นนั้นแล้วซบหน้าลงกับเรือนผมสีขาวเรียบลู่




...ในใจเพียงหวังให้ผู้ล่วงลับและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา



...อย่าเพิ่งเอาชีวิตของเด็กคนนี้ไป...
 

You Might Also Like

1 Comments

  1. ฮือออออ น้องงงง งงงง จะตามพ่อไปแบบนี้ไม่ได้นะ

    ตอบลบ