LOVE TOXICAL : BANGLO CHAPTER 3

08:26

   
ร่างผอมขาวซีดของเด็กหนุ่มสวมชุดผู้ป่วยสีฟ้าถูกเข็นออกจากลิฟต์ไปตามทางภายในอาคารหอผู้ป่วยใน โดยมีชายหนุ่มตัวสูงสวมเพียงเสื้อเชิ้ตขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดขายาวเกาะราวเตียงคอยตามอยู่ไม่ห่างและตามเข้าไปยังห้องที่มีป้ายชื่อชเว เจลโล่เสียบอยู่ในช่องรายชื่อหน้าประตู

  

บุรุษพยาบาลที่รออยู่ช่วยกันย้ายคนป่วยมายังเตียงที่มีขนาดใหญ่กว่า ก่อนจะเลื่อนราวเสาเหล็กที่มีถุงเลือดกับน้ำเกลือแขวนอยู่โดยมีเสียงจากเครื่องควบคุมปริมาณของเหลวดังเป็นระยะมาไว้ข้างเตียงฝั่งขวา จากนั้นจึงย้ายมาต่อสายเครื่องวัดคลื่นหัวใจและความดันเข้ากับร่างผอมแล้วหันมาอธิบายเป็นภาษาอังกฤษถึงสิ่งที่ต้องทำเมื่อคนไข้ฟื้นกับญาติจึงกลับออกไป

 

ยงกุกลากเก้าอี้ในห้องมานั่งข้างเตียง พินิจดวงหน้าหวานละเอียดแต่ขาวซีด  ไล้เรื่อยยังแพขนตาเรียงเป็นเส้นสวยบนเปลือกตานั้นปิดสนิทไม่ไหวติง จมูกโด่งรั้นที่เพิ่งถูกถอดเครื่องช่วยหายใจพ่นลมเข้าออกแผ่วช้าเป็นจังหวะเดียวกับการเต้นของหัวใจแล้วหยุดนิ่งที่ริมฝีปากบางนุ่มแทบไร้สี

 

นิ้วเรียวสัมผัสเบาบนริมฝีปากและยกสูงสัมผัสเรือนผมสีบลอนด์ขาวจากการย้อมที่ยาวเคลียลำคอระหงนั้นไปมาอ่อนโยน ค่อยๆดึงมือนุ่มข้างที่ไม่ถูกเจาะเข็มแนบกับแก้มด้วยแววตาฉายชัดถึงความเป็นห่วงที่เอ่อล้นพ้นตัว

 

ชายหนุ่มไม่ได้หลับเลยสักตื่นตลอดเย็นวานล่วงถึงบ่ายวันใหม่ แม้แต่ข้าวสักคำก็ไม่ตกถึงท้อง ความกังวลต่ออาการของหลานต่างสายเลือดทำเอาใจที่เย็นเสมอร้อนเหมือนไฟจนนั่งไม่ติด ทำได้เพียงเดินไปมาอยู่หน้าห้องฉุกเฉินเหมือนเสือติดจั่น รอกระทั่งแพทย์แจ้งอาการว่าปลอดภัยแต่ต้องรอดูอาการในห้องฉุกเฉินสักพักถึงยอมให้เพื่อนมาช่วยเฝ้าเพื่อกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่โรงแรมและกลับมาใหม่ในเวลารวมไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

 

ฮิมชานถือถุงกระดาษใส่ฟิชแอนด์ชิปและน้ำผลไม้ในแก้วพลาสติกใบใหญ่ออกจากห้องอาหารของโรงพยาบาลขึ้นลิฟต์ไปยังห้องอาคารผู้ป่วยในที่เพื่อนส่งข้อความทิ้งไว้ เมื่อเดินมาจนเกือบถึงประตูก็เห็นทนายความประจำตระกูลชเวสวมสูทสีดำเซ็ตผมเรียบตั้งคล้ายเพิ่งว่าความเสร็จยืนอยู่

 

“ผมว่าคุณไม่ควรมาที่นี่” คนสูงกว่าเอ่ยเตือนมองรอยนิ้วกดลึกบนลำคอที่โผล่พ้นปกเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายที่เกิดจากการกระทำของเพื่อนตนนิ่ง



ความที่สนิทสนมกันมาจนกลายเป็นเพื่อนตายทำให้ฮิมชานรู้ดีว่า ยงกุกเป็นคนประเภทเดือดได้ยาก แต่ถ้าลองได้ฉุนเฉียวกับเรื่องใดสักเรื่องจะกลายเป็นคนรุนแรงชนิดที่ไม่จำเป็นเขาจะไม่เข้าใกล้ 



ในชีวิตเขาเคยเห็นเพื่อนกลายเป็นปีศาจพร่าผลาญฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรงเพียงสองครั้ง โดยครั้งแรกเกิดเมื่อครั้งเจ้าตัวช่วยเหลือหญิงชราเจ้าของร้านที่เจ้าตัวทำงานพิเศษจากกลุ่มมาเฟียเจ้าถิ่น และครั้งที่สองนั้นเห็นจะเป็นตอนที่ศาสตราจารย์ซึงฮยอนถูกฟ้องเพราะผู้ช่วยอ้างชื่อขายผลงานศิลปะปลอม 


ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับทนายความประจำตระกูลชเวถือว่ายังเบาบาง ทว่าการพบหน้าอีกในวันนี้อาจกลายเป็นหายนะก็เป็นได้

  

“ผมรู้ครับว่า ถ้ายงกุกเห็นผมตอนนี้จะเป็นยังไง แต่จุนฮงเป็นลูกชายของคุณลุงท่าน ถึงผมจะเข้ากับเขาไม่ได้แต่ผมก็เป็นห่วง” ทนายความหนุ่มว่า แม้ในใจยังอกสั่นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างตนและชายที่เฝ้าคนป่วยอยู่ในห้องผู้ป่วยพิเศษก็ตาม


  
เมื่อวานจงยอนขับรถตามฮิมชานมาถึงโรงพยาบาลเพื่อทราบข่าวว่า ลูกชายคนเดียวของผู้มีพระคุณที่เขานับถือเป็นลุงใช้เศษกระเบื้องบรรจุอัฐิปาดข้อมือก็ตกใจเป็นอันมาก หากตอนที่เดินไปสมทบหน้าห้องฉุกเฉิน เพียงได้เห็นตาคมดุจเหยี่ยวเย็นเยือกตวัดมาราวกับมือสังหารใจก็เริ่มสั่น

 

เสียงแหบต่ำกดลึกเอ่ยสั้นให้ไปให้พ้นหน้า แต่เขายืนกรานจะอยู่เลยถูกมือเรียวของอีกฝ่ายตะปบเข้าลำคอและกดลึกยังจุดที่ทำให้หายใจไม่ออกจนหูตาเหลือก แม้มีคนโถมมาช่วยกระชากก็ยังไม่หลุด กระทั่งบุรุษพยาบาลกรูเข้ามาหลายคนมือแข็งนั้นถึงหลุดจากคอได้



นับแต่รู้จักกันจากคำแนะนำของผู้มีพระคุณ จงยอนก็เตือนตนเองตลอดว่า ในความอบอุ่นมีเหตุผลของอีกฝ่ายนั้นมีด้านมืดเก็บซ่อน...ด้านที่กร้านแกร่งอ่านเขาทะลุถึงความทะยานอยาก ณ ก้นบึ้งของตัวตนที่คนภายนอกไม่ระแวงสงสัย ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยายามเลี่ยงการพบปะซึ่งหน้ามาตลอด หากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้กลัวจับขั้วหัวใจ
  


แม้จะทำงานเป็นทนายขึ้นว่าความมาหลายคดี อาจเคยประหม่าแต่ไม่มีครั้งไหนที่กลัวได้เท่านี้...ตอนที่มือแข็งนั้นพ้นจากคอ คำที่ตะคอกใส่ให้ไสหัวไปเตือนขึ้นอย่างเรียบเย็นทำให้ยอมแพ้ล่าถอยกลับไป โดยตั้งใจว่าหลังว่าความเสร็จบ่ายนี้จะมาเยี่ยมใหม่

  

จะเอาเรื่องกฎหมายมาใช้จัดการเรื่องที่เกิดขึ้นก็ได้ แต่เขาไม่ทำเพราะไม่รู้ว่าถ้าทำจะเกิดอะไรขึ้นอีก...ตัวอย่างก็เคยมีให้เห็นเมื่อครั้งคุณลุงถูกใส่ความนั้นล่ะ




“แผลตรงหัวคุณนั้น...ได้มาจากเมื่อวานเหรอ” นิ้วชี้ของคนถามจ่ออยู่ตรงขมับตนเองด้วยเพิ่งเห็นว่ามีผ้าพันแผลสีขาวของฝ่ายตรงข้ามปิดอยู่

  

“อ้อ ไม่ใช่ครับ...แผลนี้ฝีมือจุนฮงเขา”

  

“ฮะ”

  

“พอดีตอนที่เผาคุณลุงเสร็จ ผมบอกให้เขาอยู่บ้านผมไปก่อน...เขาเลยหยิบโคมไฟเขวี้ยงใส่”




“เขวี้ยงโคมไฟใส่เนี่ยนะ” เพียงได้ยินเรื่องราวก็ร้องเสียงหลง

  

“ก่อนจะเขวี้ยงก็ทำข้าวของเสียหายไปเยอะ...ผมเข้าใจว่าเขาช็อก ผมก็พยายามแล้วที่จะดูแลเขา แต่ทุกอย่างมันฉุกละหุกไปหมด ผมมีคดีต้องทำ มีงานศพต้องจัด ผมก็เลยลนไปหน่อยน่ะครับ”

  

“คุณน่าจะโทรหายงกุกมันตั้งแต่คุณลุงเสียนะ...ผมเองก็ไม่ได้จะเข้าข้างเพื่อนหรอกแต่ยงกุกมันผูกพันกับครอบครัวคุณลุงท่านมาก ที่มันโมโหส่วนหนึ่งเพราะคุณอ้างว่าลืมติดต่อมันจนมันมาเผาคุณลุงไม่ทัน พอมีเรื่องหลานเข้าไปอีกมันก็ระเบิด”



“ก็อย่างที่บอกครับ ทุกอย่างมันประดังประเดเข้ามา พอผมหาคนช่วยจัดงานได้ จุนฮงเขาก็ออกอาการไม่ดี ไม่ยอมพูด ไม่กิน ไม่นอนอะไรเอาแต่เหม่อ ผมก็ลนไปหมดกว่าจะรู้อีกทีว่าลืมบอกเขาไว้ก็วันเผาแล้ว” เสียงถอนหายใจแทรกมาแทนเสียงพูด

  

“พูดตรงๆ ผมเองก็เห็นใจคุณนะ...งานก็ต้องทำ งานศพก็ต้องจัด ไหนยังต้องมารับผิดชอบสภาพจิตของจุนฮงอีก แต่ก็เถอะตอนนี้ถ้าคุณเข้าไปให้มันเห็นหน้า ต่อให้คุณอธิบายด้วยเหตุผลดีแค่ไหนมันก็ตะบั้นหน้าคุณอยู่ดี”

 

“ผมคงไม่เข้าไปให้เห็นหน้าหรอกครับ แค่มาคุยกับหมอถึงอาการของเขาแล้วก็ตั้งใจจะฝากนี้ให้พยาบาลเอาเข้าไป แต่คุณมาพอดี ผมฝากมันให้คุณเอาไปให้เจลโล่เขาได้มั้ยครับ” มือเรียวสวยเหมือนผู้หญิงหยิบเอาตุ๊กตากระต่ายสีดำมีลานไขบนหัวและผ้าปิดปากสีฟ้าตัวเท่าฝ่ามือยืนอยู่บนสเก็ตบอร์ดสีน้ำตาลส่งให้

 

คนตัวใหญ่กว่ามองตุ๊กตาที่เป็นสินค้าจากบริษัทตัวเองซึ่งเพื่อนเป็นคนออกแบบและเพิ่งออกคอลเลคชั่นใหม่ที่ให้เหล่ากระต่ายจากดาวมาโทกิตามเรื่องที่สร้างเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมซึ่งวางขายไปช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา
 


“ทำไมถึง...”

 

“จุนฮงเขาติดตุ๊กตาตัวนี้น่ะครับ...คุณลุงบอกว่าเขาติดมันมากขนาดที่ไม่ได้นอนกอดจะนอนไม่ได้เลย ก่อนจะเผาคุณลุงเขาก็เอามันติดตัวตลอด จนวันเผาเขาถึงเอามันใส่ไปในเตาเผาศพพร้อมคุณลุง...ผมเลยหาตัวใหม่มาให้แต่ตัวใหญ่ที่ร้านมันหมด จะฝากพวกคุณให้เอามาขายผมต่อก็น่าจะทันเลยเอาตัวนี้มาก่อน”

 

“อา...”

 

“ยังไงผมฝากให้เขาด้วย...เผื่อเขาเห็นมันแล้วจะดีขึ้น แล้วถ้าผมจัดการเอกสารอะไรเรียบร้อยจะมาใหม่ หวังว่าตอนนั้นยงกุกเขาจะใจเย็นลง” จงยอนว่าส่งถุงให้อีกฝ่ายรับไว้ด้วยสีหน้าหนักใจและเดินกลับไปยังทางที่เข้ามา

 

ยงกุกละสายตาจากคนบนเตียงมองไปยังเพื่อนสนิทที่เข้ามาในห้องพร้อมถุงกระดาษและน้ำโดยมีตุ๊กตาที่เขาจำได้ว่าเป็นผลงานของเขาเองหนีบอยู่ใต้แขน

 

“หมอว่าไงบ้าง”

 

“กระเบื้องบาดไม่โดนเส้นเลือดใหญ่ แต่เสียเลือดไปเยอะเลยช็อก...ตอนนี้ต้องให้เลือดกับน้ำเกลือดูอาการไปก่อนน่ะ” คนเป็นเพื่อนบอกอาการคร่าวๆ “แล้วนั่นไปเอาตุ๊กตาโทโทมาโทมาจากไหน...อย่าบอกนะว่าเอาของตัวอย่างที่ให้ตัวแทนทางญี่ปุ่นดูติดมาด้วย”

 

“คนที่มึงเกือบฆ่าเมื่อวานเขาเอามาฝากหลานมึงอะ” คำตอบที่แม้ไม่เอ่ยชื่อผู้ให้แต่ทำให้ตาคมของอีกคนหรี่ลงอย่างมุ่งร้าย

 

“ทิ้งไป”

 

“ทิ้งยังไม่ได้ ถ้าจะทิ้งรอกูไปซื้อตัวใหม่มาแทนตัวนี้ก่อน”

 

“ทำไมต้องซื้อมาอีก”

 

“มึงจำได้มั้ยที่มึงเคยบอกกูว่า มึงเอาตุ๊กตาโทโทมาโทรุ่นแรกให้หลานมึงไป เมื่อกี้หมอนั่นมันบอกกูว่า หลานมึงติดมันมาก ถ้านอนโดยไม่มีมันจะนอนไม่หลับแต่วันที่เผาคุณลุงหลานมึงเอาตุ๊กตาตัวนั้นเผาไปกับคุณลุงด้วย เขาก็เลยซื้อตัวใหม่เผื่อว่าหลานมึงตื่นมาเห็นแล้วจะดีขึ้น”

 

“หึ” เสียงหยันของอีกคนดังขึ้นทันทีที่จบประโยคนั้น

 

“เฮ้ย...ยงกุก มึงก็ใจเย็นๆหน่อยเหอะ กูเข้าใจมึงนะ แต่เรื่องนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอก ทางนั้นเองก็ยุ่งกับงานอยู่แล้ว พอต้องมาจัดงานศพก็คงรวน เขาก็เสียใจที่ดูแลหลานมึงได้ไม่ดี”

 

“มึงไม่รู้จักมัน...ที่กูเดือดไม่ใช่เพราะมันทำให้จุนฮงเป็นแบบนี้อย่างเดียว แต่กูไปคุยกับอาจารย์ที่สนิทกับคุณลุงมา ท่านบอกว่ามีคนเสนอตัวช่วยมันจัดงานศพให้ แต่มันไม่เอา จัดงานเล็กๆไม่ได้ด้วย ต้องจัดงานใหญ่เชิญคนเป็นร้อยๆเพราะอยากได้หน้า จุนฮงท่าทางไม่ค่อยดีแทนที่จะเฝ้าก็ไม่ เอาแต่ไปรับแขกคนใหญ่คนโต ขนาดจุนฮงหายไปหลังงานเลิก อาจารย์เขาเอาไปบอก แม่งยังมั่วแต่คุยเลียแข้งกับผู้พิพากษา”

 

“อ้าว แต่เมื่อกี้นี้พูดกับกูซะดี บอกฉุกละหุก ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้”

 

“พอ...หยุดพูดเรื่องแม่งได้แล้ว กูไม่อยากฟัง”

 

“เออๆ กูไม่พูดแล้ว” คนเป็นเพื่อนบอกแล้วหยิบถุงกระดาษที่มีฟิชแอนด์ชิปส่งให้ “นี่ เมื่อกี้กูไปกินข้าวเลยซื้อมาฝาก”

 

“กูยังไม่หิว”

 

“ไม่หิวก็ต้องแดก มึงไม่ได้แดกอะไรลงท้องมาสองวันแล้วนะ” คนเป็นเพื่อนบอกแต่ฝ่ายตรงข้ามยังเฉยเอาแต่ยืนลูบหลังมือของคนบนเตียงเลยเสริมขึ้น “แดกเหอะ...ตอนนี้หลานมึงเขาไม่เหลือใครแล้วนอกจากมึง ถ้ามึงไม่นอนแถมไม่แดกแล้วเป็นโรคห่าอะไรขึ้นมาอีกจะทำยังไง รอบนี้ใครจะช่วยเขา”

 

เมื่อยกเหตุผลเกี่ยวกับคนป่วยมาอ้าง คนมีศักดิ์เป็นอาแม้ต่างสายเลือดก็กัดปากพลางถอนหายใจยอมหยิบของในถุงใส่ปากแต่ก็เพียงสองสามชิ้นก็เช็ดมือกับเสื้อดื่มน้ำตามอีกไม่กี่อึดก็กลับไปจับมือที่วางนิ่งบนเตียงมาจูบเบาและกอบมันไว้ตรงริมฝีปากเนิ่นนาน

 

“เรายังมีอาอยู่นะคนดี...เมื่อไหร่ที่ลืมตาขอให้เรารู้ นับจากนี้อาจะอยู่ตรงนี้ ข้างๆเราเสมอ” ชายหนุ่มรำพึงเบาเฝ้ามองคนบนเตียงด้วยความห่วงอาทรเช่นนั้นต่อไปอย่างไม่รู้เบื่อ เพียงหวังให้ร่างไร้สติฟื้นคืนเพื่อให้เขาได้สร้างรอยยิ้มประดับหน้าหวานนั้นอีกครั้งหนึ่ง
------------------------------------------------------------------

ดอกกุหลาบสีชมพูดอกเล็กน่ารักบานสวยอยู่ในห่อกระดาษสีขาวถูกเปลี่ยนลงในแก้วพลาสติกทรงสูงก่อนที่ร่างโปร่งในเสื้อยืดสีขาวกับยีนส์และรองเท้าหนังกลับหุ้มข้อสีน้ำตาลจะไสไอแพดที่นำติดตัวไประหว่างรอกาแฟเพื่อพิจารณาร่างสัญญาฉบับใหม่ที่ฮิมชานส่งมาไว้ในลิ้นชักของโต๊ะข้างเตียง จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดเพลงแจ๊ซคลอเบาและเข้าไปล้างมือ

 

หลายวันมานี้ยงกุกใช้ชีวิตประจำวันกระทั่งทำงานอยู่ในห้องนี้แทบตลอด มีบางครั้งที่แว่บออกไปข้างนอกเพื่อซื้อของกินกับดอกไม้มาเปลี่ยน หากไม่เคยปล่อยคนป่วยไว้คนเดียวเกินครึ่งชั่วโมงด้วยกลัวว่าหากคนบนเตียงฟื้นคืนสติมาจะได้เห็นว่า มีเขาอยู่

 

ดวงหน้านวลเซียวซีดที่หลับสนิทมีเพียงลมหายใจอุ่นพ่นแผ่ว ยามพินิจรอยเศร้าหมองบนความอ่อนเยาว์ทำให้ภายในอกเย็นวาบและวูบหาย เด็กน้อยที่เขาเคยกล่อมนอนทุกวันเมื่อนานมาเติบโตอย่างสวยงามแต่เร้นกายในความโดดเดี่ยวราวดอกกุหลาบดอกน้อยที่แย้มบานในซอกกำแพงอันมืดมิด

 

...เบบี้โรสของอา...

                              
                                                                                               
ในความเงียบงันเสียงดนตรีแว่วหวานทำให้ความตึงบนไหล่คลายลง น้ำสตอเบอรี่ที่ถูกแช่เป็นน้ำแข็งในแก้วพลาสติกในตู้เย็นถูกหยิบออกมาลูบบนริมฝีปากกระทั่งมันละลายใกล้หมดจึงใช้นิ้วดันเศษน้ำแข็งบางๆนั้นเข้าไปในปากเพื่อไม่ให้คนป่วยกระหายโหยก่อนที่เสียงแจ้งเตือนข้อความจะดังขัดจังหวะเลยปิดเพลงและเปิดโปรแกรมแชทขึ้นมาไล่อ่านโดยข้ามข้อความที่ส่งมาจากทนายความประจำตระกูลที่ฝากของเยี่ยมคนป่วยมาทุกวันผ่านพยาบาลให้นำเข้ามาอย่างไม่ไยดีและกดอ่านข้อความจากคนที่ใช้ชื่อไอดีว่า Candle in the wind ส่งมาก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก

 

หน้าประตูมีชายหนุ่มผู้มีใบหน้าเรียวผอมอมโศก คิ้วเข้มหนาแทบเป็นเส้นตรงอยู่เหนือตาสีนิลหางตก จมูกโด่งรับกับปากทรงกระจับ เรือนผมหยักศกสั้นสีดำที่ปรกหน้าทำให้ดูอ่อนกว่าวัย กายที่อยู่ใต้เสื้อยืดคอกลมสีดำทับด้วยสูทเนื้อดีกับกางเกงสแลคสีเทาเป็นทางการมีขนาดความสูงไล่เลี่ยกันยืนโค้งให้อยู่ตรงนั้น

 

“มาได้ไงวะ” ยงกุกเอ่ยถามกับรุ่นน้องคนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายแม้จะแยกย้ายไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยคนละที่แต่ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อช่วยเหลือกันเสมอ

 

“พอดีมีสำนักพิมพ์เขาส่งมาถ่ายรูปที่นี่เลยแวะมาหา แล้วหลานพี่โอเคใช่ไหม”

 

“อาการก็ยังทรงๆอยู่”

 

“แล้วพี่เป็นไงบ้าง  วันก่อนคุยกับพี่ฮิมชานเขามันฝากให้ผมบอกพี่ให้กินข้าวด้วย ไม่ใช่เอาแต่เฝ้าหลาน”

 

“ก็กินแต่กินไม่ค่อยลง ว่าแต่มึงเถอะ ได้ยินว่า แม่มึงเอาฤกษ์แต่งงานมาให้มึงดูทุกวันเลยนิ อึนฮาก็ทำคะแนนเอาใจแม่มึงน่าดู แบบนี้จะยื้อไปได้สักกี่น้ำ” รุ่นพี่หนุ่มเอ่ยถามถึงปัญหาส่วนตัวเชิงลึกที่รุ่นน้องนำมาปรึกษากับเขาเป็นการส่วนตัวเพียงลำพังมานานหลายปี

 

อี คังหรือในวงการถ่ายภาพเรียกว่า แคนเดิ้ล เป็นช่างภาพและอาจารย์สอนถ่ายภาพที่มหาวิทยาลัยโซล หากดูผิวเผินชีวิตของผู้ชายคนนี้ก็เหมือนจะมีความสุข มีหน้าที่การงาน มีคนนับหน้าถือตา ได้บินไปมาหลายประเทศ ทางบ้านก็มีฐานะแม่เป็นนักธุรกิจด้านเสริมความงาม ผู้หญิงที่หมั้นหมายทั้งสวยและมาจากชาติตระกูลดีจนคนอิจฉา

 

ทว่าความสมบูรณ์พร้อมนั้นเปรียบเหมือนกรงที่ขังความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่าย ภายในใจมีใครคนหนึ่งเก็บซ่อนมาเนิ่นนานแต่ไม่อาจแสดงออกให้รู้ได้ด้วยเกรงว่า คนที่เฝ้าถนอมมานานหลายสิบปีจะลำบาก

 

“ก็ทำเพื่อผลประโยชน์ทั้งนั้น...พี่ก็รู้ว่า ผมกับอึนฮาจริงๆเกลียดกันแค่ไหน”

 

“สังคมคนรวยนี่จอมปลอมจริงๆ”

 

“ใช่ จอมปลอมจนอยากหนี แต่ทำไม่ได้นี่สิ ก็นะ อย่างน้อยมันก็ไม่แย่เท่ากับการอยู่ใกล้คนที่รักแต่เอื้อมมือไปไม่ถึงเขาหรอกพี่...จริงๆนะ มันเจ็บแบบเทียบกันไม่ได้เลย” คำตอบปนมากับลอยหายใจอุ่น ดวงตาหม่นทอดไปอย่างไร้ทิศทางอยู่ครึ่งนาทีก่อนจะหันกลับมายิ้มอย่างเหนื่อยอ่อนพลางยื่นกระเช้าผลไม้ส่งให้

 

“ผมต้องกลับโรงแรมแล้ว...ผมไปก่อนนะพี่ ส่วนนี่ของเยี่ยม ขอให้หลานพี่หายไวๆ แล้วเจอกันที่เกาหลี” คนเป็นน้องเอ่ยลาแล้วจากไป

 

ชายหนุ่มมองตามแผ่นหลังกว้างของรุ่นน้องครู่หนึ่งก็ถอนใจหิ้วกระเช้าเปิดประตูกลับเข้าไปในห้องเช่นเก่า 



ทว่าครั้งนี้คนป่วยที่นอนไม่ได้สติมาหลายวันกลับนั่งนิ่งอยู่บนเตียงแทบไม่ไหวติง ยินเสียงประตูเลื่อนปิดกับขอบ หน้าซีดโทรมก็เหลียวมาหาคนที่ยืนห่างออกไปไม่ไกล ตากลมอมโศกไร้น้ำตาหากฉายแววรวดร้าวแสนสาหัญ ยิ่งจ้องลึกลงไปในความสุกใสเหมือนแก้วของแววตามีความชิงชังแรงกล้า ด้วยสัญชาตญาณเด็กหนุ่มรับรู้ได้ในทันทีว่า ผู้ชายคนนี้คือคนเดียวกับที่พ่อฝากฝังเขาไว้

 

...ทำไมไม่ปล่อยให้เขาตาย


...ทำไมต้องให้กลับมารับความทุกข์ฉกรรจ์ที่กัดกลืนดังถูกลิ่มไม้ตอกอัดตรงหัวใจอย่างรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
  

...หากการมีชีวิตอยู่ต้องทรมานถึงเพียงนี้ ก็ตายไปให้พ้นๆเสียยังดีกว่า
                  
 

“จุนฮง” คำเรียกขานนั้นอ่อนโยนก่อนจะสังเกตเห็นของเหลวสีแดงสดที่หยดบนพื้นขาว เสี้ยวนาทีนั้นคนเป็นอาพรวดไปจับแขนผอมข้างที่ห้อยอยู่นอกเตียงซึ่งมีเลือดไหลจากรอยเจาะที่เกิดจากการกระชากสายน้ำเกลือ แต่เจ้าตัวไม่อยู่นิ่งพยายามขัดขืนเท่าที่แรงจะหลังมือกระแทกเข้าหน้าถูกกายของอีกคน

 

สารทางสายตายืนยันเด็ดเดี่ยว ความตายคือจุดหมาย ทว่าสุดท้ายก็สู้แรงไม่ไหวข้อมือทั้งสองข้างถูกรวบไว้ด้วยมือแข็งปานคีมของอีกคน

 

เด็กหนุ่มแลคมหน้าเรียบเฉยน่าเกรงขาม สบนัยน์ตาเรียวดุเหมือนเหยี่ยวเหนือจมูกโด่งเป็นสันนั้นเขม็ง กายบางสะท้อนไหวยามไม่เห็นรอยอุ่นละมุนเช่นคำพ่อปรากฏในนั้นเลยแม้แต่น้อย คงจะมีก็เพียงคลื่นดำมืดรุนแรงคอยฉุดกระชากวิญญาณของผู้มองเห็นให้ร่วงหล่นสู่หุบเหวที่มิมีวันหยั่งถึงจุดสิ้นสุด

 

โลกคล้ายหยุดเคลื่อนไหวในนาทีที่ทั้งสองประสานสายตา แม้แต่ความตรอมตรมในอกยังกลืนหาย ความรู้สึกของคนอ่อนเยาว์ละม้ายเห็นกุหลาบอาบสีรัตติกาล ในความงามสง่าตรึงตรามีอำนาจลึกลับอันตรายซ่อนเร้น

 

“เกลียดมันนักสิ...ไอ้ชีวิตพังๆนี้ ถ้าเกลียดนักก็เอามานี้ ยกชีวิตของเราให้อา...อาจะเป็นเจ้าของมัน จะทะนุถนอมให้สมกับที่ชีวิตของเราควรได้รับ” ถ้อยความถามจากเสียงแหบต่ำเย็นเฉียบเยี่ยงน้ำแข็งกรีดลงบนแผ่นหลังก่อนที่กายสูงจะโน้มลงมาหาในระยะประชิดชนิดที่สัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนที่รดบนพวงแก้ม หลังมือขาวที่มีเลือดไหลเป็นทางถูกดึงขึ้นมาจรดริมฝีปากพร้อมดูดกลืนของเหลวสีแดงฉานไว้ทุกหยาดหยด

 

ความกลัวแล่นขึ้นมาจับถึงหัวใจ คำที่พ่อพร่ำเปรียบหลานต่างสายเลือดเฉกเทพบุตรสะท้อนก้องในหู หากสิ่งที่เด็กหนุ่มประจักษ์แก่สายตาเขากลับเหมือนซาตานสยายปีก

 

นัยน์ตาคมเฉกนักล่าจับนิ่งยังดวงตากลมอมโศก พลันริมฝีปากที่ชุ่มโชกด้วยเลือดเคลื่อนลงมาบนริมฝีปากปากอิ่มกดคลึงอย่างอ่อนโยนจนปากเผยอออก เรียวลิ้นของชายหนุ่มตวัดเอาลิ้นของคนไม่ประสาดุนดันหยอกเอินแลกเลือดไปทั่วทั้งโพรงปากอย่างชำนาญ พรากรสเลือดฝาดขมให้กลับหวานหอมเหมือนอมลูกกวาดพร้อมกับเปลือกตาของคนป่วยที่ปิดลง

 

สัมผัสอันนุ่มนวลอ่อนโยนชวนให้เคลิ้มฝันต่างจากความดุดันที่แสดงออกนั้นดำเนินไปอย่างเนิบช้ากระทั่งลมหายใจของเด็กหนุ่มเริ่มติดขัด ริมฝีปากหนาที่อ้อยอิ่งอยู่เป็นนานจึงผละออกและเลื่อนไปฝากคำข้างหู

 

“เบบี้โรสของอา” สิ้นคำจมูกโด่งกดหนักบนขมับสูดกลิ่นผมที่ยังเหลือความหอมพร้อมกับมือเรียวป่ายไปตบปุ่มเรียกพยาบาลบนผนัง

 

จุนฮงกระพริบตาเหลือบตายังฝ่ายตรงข้ามด้วยกายที่เย็นวาบ...การคุกคามไร้สัญญาณเตือนกระตุ้นความกลัวเบียดบังความเศร้า หากเมื่อรอยยิ้มจากริมฝีปากหนาแย้มกว้างความอ่อนโยนกลับเข้าแทนที่ ตาเหยี่ยวดุกลับอุ่นอ่อน มือนุ่มของเขาสั่นแต่มิใช่ความกลัว แม้นอีกฝ่ายถอยหลังไปยืนกอดอกรอให้พยาบาลที่เข้ามาทำแผลอยู่ข้างเตียงแต่รอยยิ้มนั้นยังอยู่ หัวใจเปราะบางก็คล้ายถูกบางสิ่งที่อุ่นนุ่มห่อหุ้ม

 

ความอ่อนหวานซึมแทรกสู่ร่องริ้วแห่งความทุกข์ตรมให้จางลง ยามที่มือเรียวแข็งเอื้อมมาบีบมือที่ถูกทำแผลและต่อสายกลับไปใหม่ ความรู้สึกที่ล้นขึ้นมานั้นไม่ใช่สิ่งที่เด็กหนุ่มรู้จัก กระนั้นเขาก็มิได้กระสันอยากเข้าใจในความรู้สึกนี้

 

...แค่ไม่เจ็บไปกว่าที่เป็นอยู่นี้ก็ดีแล้ว...
 

 

You Might Also Like

3 Comments

  1. เด็ก 15 หลานอายุ 15 แกจูบเด็กอิพี่กุก #ทีมพรากผู้เยาว์

    ตอบลบ
  2. ว้อยยยยย ลุงแม่งพรากผู้เยาว์!!!!!

    ตอบลบ
  3. คุณอาจู่โจมรวดเร็วมาก เป็นเราก็ตกใจ

    ตอบลบ