LOVE TOXICAL : BANGLO CHAPTER 4

08:29



ดวงตะวันลับลาเคลื่อนหาย ฟ้าก็กลายคลายสีทะมึนหม่น ชายหนุ่มยืนมองช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของวันตรงหน้าต่าง ปล่อยความมืดให้คืบคลานเข้ามาอย่างเงียบเชียบก่อนจะหันกลับเข้าห้องกอดอกมองคนป่วยที่หลับลงเพราะฤทธิ์ยาฆ่าเชื้อที่ได้รับหลังจากพยาบาลเข้ามาทำแผลและต่อสายให้ของเหลวเข้าหลังมือไปใหม่
 


ผู้ปกครองหนุ่มลูบผมของคนเป็นหลานที่ยังหลับครู่ใหญ่ก็ผละไปที่ตู้เย็นหยิบน้ำเปล่าออกมาดื่มแก้กระหายพร้อมกัดแซนด์วิชเย็นชืดที่ซื้อมาเผื่อเป็นอาหารเย็นตั้งแต่เช้ากินจนหมดก็เดินไปล้างมือและหน้าในห้องน้ำ
 


เขากลับออกมานั่งบนเก้าอี้ตัวเก่าส่งอีเมล์อนุมัติร่างสัญญาแก้ไขฉบับสุดท้ายที่ฮิมชานส่งมาเรียบร้อยก็เอนหลังปิดตาพักอย่างอ่อนล้า 




การดูแลคนป่วยไปพร้อมกับการทำงานนั้นค่อนข้างเหนื่อย ด้วยงานของยงกุกไม่ได้มีแค่ธุรกิจของเล่น หากยังมีงานเบื้องหลังในวงการบันเทิงทั้งแต่งเพลงป้อนให้เอเจนซี่ที่สนิทกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเรียนอยู่ เป็นครีเอทีฟให้กับรายการสารคดีให้ช่องโทรทัศน์แห่งหนึ่งในเกาหลี ร่วมหุ้นเปิดแกลลอรี่กับเพื่อนที่ลอนดอน นอกจากนั้นยังลงทุนในตลาดหลักทรัพย์กระทั่งอสังหาริมทรัพย์ซึ่งสร้างผลตอบแทนต่อปีค่อนข้างดีแล้ว บางครั้งเขาก็รับวาดภาพไปจนถึงงานสักลายบนผิวหนัง
 



ความที่ทำงานพิเศษหลากหลายเพื่อหาเงินเรียนและใช้จ่ายเองมาตลอดเลยมีโอกาสพบปะแลกเปลี่ยนทัศนคติกับผู้คนมากมาย เมื่อพบว่ามีสิ่งใดที่ทำแล้วชอบและมีช่องทางต่อยอดเขาก็ลงมือ ทว่างานที่วางกำหนดการเสร็จสิ้นไว้เรียบร้อยแล้วกลับต้องเลื่อนออกไปเพราะเรื่องงานศพและคนป่วยบนเตียง แต่นั่นไม่ได้สำคัญเท่ากับการได้ดูแลคนสำคัญที่ผู้เป็นลุงฝากฝัง
 



ช่วงเวลาที่ผ่อนกายจากความเครียดตึงบนไหล่ พลันเสียงสะอื้นไห้จากใครคนหนึ่งกลับแว่วมาให้ได้ยิน...ตาคมลืมขึ้นและลุกจากเก้าอี้มองคนป่วยที่พลิกตะแคงคู้ตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแทนที่จะนอนหงาย เสี้ยวหน้าขาวใต้แสงสลัวจากไฟหัวเตียงขมวดมุ่นทรมาน
 


“ฝันร้ายเหรอเรา” คนเป็นอาถามอย่างห่วงใยทั้งที่รู้ว่าไม่ได้คำตอบ นิ้วเรียวไล้ปัดเศษผมที่ปรกรกหน้าและนวดเบายังแนวริ้วย่นบนหน้าผากจะเดินไปหยิบรีโมทมาหรี่ความเย็นของเครื่องปรับอากาศแต่อีกคนคว้าแขนเอาไว้
 



“อย่า...ไป” ละเมอเรียกออกมาด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก “พ่อ”
 


คำสุดท้ายที่เรียกทำให้อีกฝ่ายชะงัก แลนิ้วที่จับเขาเอาไว้ราวจะยึดเป็นหลักสั่นและเย็นเฉียบ เสียงสะอื้นแห้งแต่ไร้น้ำตาแม้พูดปลอบข้างหูหรือลูบผมก็แล้วยังไม่มีอะไรดีขึ้นเลยตัดสินใจกดที่กั้นเตียงลงและขึ้นไปกอดร่างที่นอนคู้ตัวสั่นเอาไว้แนบอก
 



“อย่า...ทิ้ง...ผม” ประโยคนั้นลอดผ่านริมฝีปากฟังหวิวโหวงน่าใจหายและแสนเศร้า
 



“ใครกันจะทิ้ง...เราสิจะทิ้งก่อน” คนเป็นอาเอ่ยด้วยเสียงเข้มลึกแต่อุ่นยิ่ง มือข้างที่สอดอยู่ใต้คอลูบผมนุ่มไปมา ส่วนมืออีกข้างก็จับมือนุ่มของอีกคนที่มีสายระโยงรยางค์คาอยู่มาจูบและเป่าลมผ่านริมฝีปากให้คลายเย็น
 


คนป่วยรับรู้ได้ถึงไออุ่นที่โอบล้อมกายแม้ยังหลับใหล หัวทุยที่หนุนแขนจึงขยับซุกกับอกกว้าง...กายที่สั่นเทาเพราะความมืดและหนาวในความฝันกลับสงบลงเช่นเดียวกับเสียงครวญคล้ายบาดเจ็บก็จางหาย
 



ยงกุกเกยคางมนบนกระหม่อมเจ้าของผมสีเกือบขาวค่อยๆคลึงนวดไปเบาๆ ราวจะกล่อมระคนปลอบให้หายจากฝันร้ายที่ผจญ หากในท้ายที่สุดเปลือกตาของอีกฝ่ายก็หนักอึ้งจนคล้อยปิดลงอย่างเหนื่อยล้าและจมไปในห้วงนิทราพร้อมกับคนในอ้อมแขน
 
--------------------------------------------
ความมืดมนอนธกาลราวผืนผ้าคลุมครอบพื้นโลกทั่วหัวระแหง เด็กหนุ่มผู้จมอยู่ในห้วงฝันมองฝ่าไปในความเวิ้งว้างสีดำไร้ซึ่งสรรพสิ่งใดให้สัมผัส ไร้กระทั่งสุรเสียงใดให้ได้ยิน 



ความรู้สึกโดดเดี่ยวเล่นงานให้หนาวเหน็บและเจ็บปวดถึงก้นบึ้งของหัวใจ มือตะกายออกไปอย่างไม่รู้จุดหมายเหมือนคนตาบอด คอตะเบ็งร้องเรียกหาพ่อกลับมีเพียงลมสะท้อนกลับเป็นความอ้างว้างที่ทำให้กายบางแทบจะแตกเป็นเสี่ยง
 


ทนทรมานอยู่กับความโหดร้ายเปรียบเหมือนนอนอยู่บนภูเขาน้ำแข็ง หากกาลต่อมากลับมากลับมาไออุ่นจากบางสิ่งโอบล้อม แม้นมองไม่เห็นแต่สัมผัสรับรู้ได้ว่าสิ่งนี้มีอยู่จริงทำให้ความทุกข์ตรมกระทั่งความคิดถึงบุคคลที่รักซึ่งบาดลึกอยู่ภายในกระจายสิ้น
 


...ภาพฝันสลายไปพร้อมกับการหลับใหลที่เกิดขึ้นจริง...
 


เด็กหนุ่มรู้สึกตัวตื่นหลังจากหลับสนิทไปนานหลายชั่วโมง เปลือกตาประดับแพขนตาเรียงเป็นเส้นสวยลืมขึ้นอย่างเนิบช้า กลิ่นหอมลุ่มลึกจรุงจมูกระคนกับความอวลอุ่นของอ้อมแขนที่กอดกระชับ 
 



“นอนกับคนไข้แบบนี้ไม่ได้นะคะ” เสียงพยาบาลร้องเป็นภาษาอังกฤษติดสำเนียงอินเดียแว่วเข้ามาในหู หากกลไกการป้องกันความเจ็บปวดของคนป่วยกลับปิดกั้นไม่ให้รับรู้หรือนึกคิดถึงสิ่งใดเพียงต้องการนอนด้วยสมองว่างเปล่าไปเช่นนั้นเรื่อยๆ
 



“ขอโทษครับ พอดีเขาร้อง ถ้าไม่กอดก็ไม่หยุด...เมื่อกี้ผมลุกไปเข้าห้องน้ำ ออกมาเขาก็ร้องอีกเลยต้องกอดไว้” ผู้ปกครองหนุ่มตอบกลับพร้อมกับร่างบางที่พลิกตัวมาอีกทาง เมื่อหยัดกายขึ้นจากเตียงชะโงกไปดูก็เห็นเจ้าตัวนอนลืมตาอยู่
 


“ตื่นแล้วหรือคะ...หนูเป็นยังไง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” พยาบาลวัยกลางคนถามหลังเปลี่ยนถุงน้ำเกลือและเหลือบเห็นคนป่วยนอนลืมกระพริบตาช้าๆ แต่อีกฝ่ายไม่ตอบสนอง 




ดวงตากลมสวยเหม่อไกลอย่างไม่มีจุดหมาย พยาบาลจะเรียกและเขย่าแขนเบาๆอยู่หลายครั้งก็ยังนิ่ง แม้คนเป็นอาคลายแขนลงจากเตียงเดินอ้อมมาหาก็ไม่ขยับ กระทั่งแพทย์เจ้าของไข้เข้ามาตรวจอาการจึงสั่งการให้จิตแพทย์มาร่วมพิจารณาอาการทางจิต

 


“อาการของคนไข้เรียกแบบทั่วไปว่าภาวะช็อกทางจิตใจ เป็นอาการซึมเศร้าที่เกิดจากการสูญเสียครับ...ในเด็กและวัยรุ่นจะมีอาการเงียบเฉย สับสน ขาดการตอบสนอง ไม่อยากรู้สึกหรือคิดอะไรที่ทำให้รู้สึกกลัวหรือเศร้า”
 



“ผมเคยได้ยินว่าอาการซึมเศร้าต้องใช้ยารักษาด้วย” ชายหนุ่มที่ใช้เวลาระหว่างตรวจอาบน้ำแปรงฟันเปลี่ยนเสื้อผ้าจนอยู่ในสภาพสะอาดสะอ้านเอ่ยขึ้น


 

“ครับต้องใช้ยา แต่อาการของคนไข้เป็นอาการทางใจไม่ใช่อาการทางจิตที่เกิดจากความปกติของสมอง วิธีรักษาอาจจะมีให้ยาร่วมบ้างแต่สิ่งสำคัญคือการดูแลครับ คนไข้เคยฆ่าตัวตายมีโอกาสที่จะลงมือซ้ำ ญาติต้องดูแลเขาอย่างใกล้ชิด พยายามไม่ให้มีอะไรกระทบจิตใจ อย่าห้ามไม่ให้เขาแสดงความเศร้าและฟังสิ่งที่เขาอยากจะบอก เบี่ยงเบนความคิดเขาด้วยการหากิจกรรมให้ทำ อธิบายให้เขาเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่เขาที่เจอจะช่วยให้คนไข้สบายใจขึ้น”
 



“ครับ ขอบคุณมากนะครับ” ชายหนุ่มพยักหน้ารับอย่างเข้าใจทั้งที่บ่าเหมือนถูกหินก้อนใหญ่ถ่วงเอาไว้ ปลายนิ้วเรียวเอื้อมไปเกลี่ยผมที่ปรกรกตาทัดไว้ข้างหูและมองดูเสี้ยวหน้าหวานโรยราเหมือนกุหลาบขาดน้ำ
 



“เบบี้โรสคนดีของอา” เสียงต่ำเรียกขานอ่อนโยนเช่นแววตา มือเรียวแข็งจับมือนุ่มเย็นมากุมไว้และแนบมันเข้ากับข้างแก้มเหมือนที่เคยทำมาตลอด ไร้ถ้อยคำประโลมมีรอยจูบที่ประทับบนหลังมือขาวราวให้คำสัตย์




...เขาจะใช้ทุกกำลังที่มีเพื่อดูแลเด็กคนนี้ไปจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง...
------------------------------------------

แดดอ่อนลอดผ่านมู่ลี่สีขาวตรงหน้าต่าง หากทายาทคนเดียวของศาสตราจารย์ซึงฮยอนเพียงซบหน้ากับหมอนเหมือนไม่รับรู้ต่อสิ่งใด วันเวลาล่วงผ่านจากคืนหนึ่งเป็นหลายวันกระทั่งหลายอาทิตย์แต่เจ้าตัวเลือกใช้ชีวิตด้วยการหลับและตื่นบนเตียงอย่างเงียบงัน มีเพียงผู้เป็นอาเฝ้าดูแลใกล้ชิดคอยอ่านหนังสือให้ฟังและกอดกล่อมจนคล้อยหลับไปพร้อมกัน
 



วันนี้ก็เช่นวันวานที่พยาบาลเข้ามาเห็นคนเป็นอานอนกับคนป่วยบนเตียงก็เอ็ดแต่ไม่ใคร่จะรุนแรงเหมือนก่อน หลังตื่นและชำระล้างร่างกายสวมชุดใหม่เรียบร้อยแล้วยงกุกจะนั่งทำงานกระทั่งประชุมผ่านแล็บท็อปและไอแพดอยู่ข้างเตียงไปเรื่อยๆจนกว่าคนป่วยจะตื่น
 



การอยู่กับคนป่วยตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ใช่เรื่องสนุก ออกจะน่าเบื่อมากเสียด้วยซ้ำ กระนั้นคนเป็นอากลับรู้สึกพอใจที่ได้ใช้เวลาร่วมกัน แม้นอีกคนจะไม่ตอบสนองต่อการดูแลของเขามากนักแต่อย่างน้อยเวลาที่นอนกอดกันหลับมือนุ่มๆนั้นจะกำเสื้อเขาไว้ไม่ยอมปล่อย
 


...ไร้เหตุผลจะตอบว่าทำไมถึงได้ผูกพันรักใคร่เด็กคนนี้นัก จะว่าเพราะเป็นลูกของผู้มีพระคุณและเคยเลี้ยงมากับมือก็มีอิทธิพลเพียงเศษเสี้ยว ความรู้สึกลึกล้ำภายในใจนั้น เด็กคนนี้เหมือนของขวัญล้ำค่าที่พระเจ้าประทานมาให้...
 


“อรุณสวัสดิ์ เบบี้โรสของอา” เขาทักทายขานชื่อที่เขาหมายเรียกมาแต่แรกพบกันครั้งใหม่พลางยิ้มกว้างหยิบผ้าสะอาดชุบน้ำในอ่างบนโต๊ะข้างเตียงเช็ดหน้าให้คนที่ตื่นลืมตาบนเตียงและวางกุหลาบดอกเล็กในห่อกระดาษนั้นลงบนหมอนแล้วจูบเบาบนขมับ เรือนผมที่พยาบาลสระให้คืนก่อนยังโชยกลิ่นหอมอ่อน
 


เพราะไม่ชำนาญในการดูแลทำความสะอาดร่างกายคนป่วยนัก เขาจึงตัดสินใจจ้างพยาบาลพิเศษมาทำหน้าที่อาบน้ำแปรงฟันสระผมให้กับหลานทุกเย็นรวมทั้งวานให้เป็นธุระซื้อกุหลาบรวมทั้งอาหารและกาแฟมาให้ทุกเช้า

 

“วันนี้อากาศดี ไว้อาแก้งานตรงนี้เสร็จแล้ว เราไปเดินเล่นที่สวนของโรงพยาบาลด้วยกันนะ” นิ้วเรียวเกลี่ยเบาบนมือที่พ้นออกมาจากผ้าห่ม ปกติวันไหนที่ฝนไม่ตกเขาจะเข็นอีกคนลงข้างล่างไปนั่งในสวนและอ่านหนังสือให้ฟัง 
 



คนเป็นอาขยับหยิบไอแพดมาแก้สคริปต์รายการที่ถูกส่งผ่านมาในอีเมล์ จังหวะที่จะยกกาแฟจรดริมฝีปากหางตาเหลือบเห็นนิ้วของคนป่วยลูบเบาบนกลีบกุหลาบพร้อมกับเสียงงึมงำในลำคอที่แปลความหมายได้ว่า บ้าน ลอดออกมา
 



มือเรียววางกาแฟและไสไอแพดไปบนโต๊ะพลางเลื่อนเก้าอี้ที่นั่งอยู่เข้าไปใกล้ ดึงที่กั้นเตียงลงและวางคางลงไปมองในระยะประชิดอยู่ครู่ใหญ่ก็ใช้หลังมือไล้แก้มเนียนซีดไปมา จนแก้มเซียวเย็นนั้นกลับอุ่นขึ้นเป็นลำดับ
 



“คิดถึงบ้านเหรอเรา” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับมืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็ลูบผมและหน้าผากของอีกคนนุ่มนวล “กลับบ้านกันไหม”
 


คำถามจากริมฝีปากหนาไม่ทำให้คนป่วยตอบสนองเป็นประโยคมีเพียงเสียงพูดในลำคออย่างเลื่อนลอยเป็นคำเดิม แต่มันก็เพียงพอให้เขาตัดสินใจทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลย้ายกลับไปพักฟื้นที่บ้านโดยต้องรอให้ได้รับความเห็นชอบจากจิตแพทย์และแพทย์เจ้าของไข้อยู่สองวันจึงได้รับการอนุมัติ
 


ยงกุกขับรถที่หุ้นส่วนเปิดแกลอรี่ด้วยกันในลอนดอนหาให้พาคนป่วยกลับไปสู่บ้านของครอบครัวชเวที่เงียบร้างมาพักใหญ่ ทว่าสวนกุหลาบยังออกดอกบานสะพรั่งเช่นภายในบ้านที่สะอาดสะอ้านอันเป็นผลจากคำสั่งที่ส่งผ่านทางข้อความจากเขาถึงทนายความประจำตระกูลให้ส่งคนมาดูแล
 


ร่างผอมสวมชุดเดียวกับชุดที่สวมวันทำพิธีกระดูกถูกวางลงบนเตียงสี่เสาภายในห้องนอนกว้างผนังอิฐถูกฉาบไว้ด้วยสีเปลือกไข่ไก่ เครื่องเรือนภายในห้องทั้งโต๊ะและตู้จัดทำจากไม้ชิ้นหนาล้วนเก่าแก่ ทว่าในส่วนของประดับที่แตกหักได้ซึ่งตั้งวางไว้ถูกเก็บเรียบเพื่อไม่ให้คนป่วยใช้ทำร้ายตัวเอง
 


กลิ่นของกุหลาบผสมลาเวนเดอร์ที่ติดอยู่บนผ้าปูเตียงเป็นสูตรน้ำยาอบผ้าที่มารดาเป็นคนคิดขึ้นและยังทำใช้ต่อกันมาจนกลายเป็นกลิ่นประจำตัวของพ่อ ทำให้คนที่อยู่กับกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในโรงพยาบาลผ่อนคลาย มือนุ่มขาวลูบเบาบนผืนผ้าราวกับจะซับเอาไออุ่นที่หลงเหลือ
 



“ห้องนี้ห้องของพ่อเราไง...จำได้มั้ย” คนพูดผละจากเตาผิงก้มตัวลงมาอยู่ในระดับสายตาของร่างบนเตียง “เมื่อก่อนตอนเรายังเล็ก อาเคยร้องเพลงกล่อมเรานอนกลางวันในห้องนี้ด้วยนะ”
 


นัยน์ตากลมสวยสุกใสมีแววชีวิตคืนมาบ้างแต่ไม่มากพอจะกระตุ้นให้รู้สึกอยากคิดหรือเคลื่อนไหวเลยปล่อยตัวเองให้นอนนิ่ง หากคราวนี้การได้เห็นคนตรงหน้าใกล้ๆ ก็จดจำได้ถึงรอยสัมผัสและความอุ่นอ่อนที่ได้รับ
 


...บางสิ่งมิอาจรับรู้ด้วยตาแต่รับรู้ได้ด้วยใจ กระทั่งในยามสติยังไม่คืนกลับก็สัมผัสรับรู้...
 



รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของคนแก่กว่าเมื่อเห็นตาที่สะท้อนภาพของเขาอยู่กลับตอบสนอง ถึงไม่มีคำพูดหลุดจากปากและกายบางสะท้อนไหวนั้นก็มาจากการหายใจ 
 




“หิวมั้ย...” นิ้วเรียวเกลี่ยข้างแก้มนวลเบาๆ ตาคมจ้องลึกจับสังเกตรูม่านตาที่ขยายสลับหดลงทำให้ใจชื้น “ถ้าเราไม่กินข้าว...อาต้องเรียกพยาบาลมาเจาะให้น้ำเกลือนะ พอมาห้องนี้ก็คงมีกลิ่นเหมือนตอนเราอยู่ในโรงพยาบาล เราชอบเหรอถ้ามีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อปนกับกลิ่นหอมของผ้านี้”
 




เด็กหนุ่มยินถ้อยคำขณะกระพริบมองใบหน้าคมที่ขยับเข้ามาใกล้เสียจนเห็นแนวหนวดที่เพิ่งขึ้นใหม่หลังจากโกนไปได้ไม่นาน กลิ่นหอมลึกจากเรือนกายโปร่งเป็นกลิ่นเดียวกับที่ได้รับในทุกคราที่หลับตาผสานลงมากับกลิ่นของเนื้อผ้าคลุมเตียง
 



...หอมรัญจวนใจ...
 



“ข้าว...” คำสั้นหลุดมาให้ได้ยิน

 



“อืม...กินข้าวใช่ไหม ไม่เอาน้ำเกลือนะ” เขาบอกพลางกุมมือเย็นที่อยู่บนข้างแก้มตนเองไว้แล้วจรดริมฝีปากเบาบนหน้าผากที่มีผมปรกอยู่ “นอนซะ คนดี...เดี๋ยวอามา”



ร่างโปร่งลุกจากเตียงเอื้อมมือลูบผมนุ่มอย่างเอ็นดูและผละออกจากห้องไปทิ้งไว้เพียงกุหลาบสีชมพูสวยไร้หนามดอกหนึ่งไว้ต่างหน้า
 




ช่วงเวลาที่ตาสวยพินิจยังกลีบกุหลาบ สายฝนพร่างพรมลงต้องหน้าต่างกลายเป็นหยดน้ำเกาะพราว เสียงคำรามก้องของฟ้ายามบ่ายทำให้คนบนเตียงสะดุ้งหลุดจากโลกส่วนตัวกะทันหัน
 


จุนฮงกวาดตารอบห้องนอนของพ่อพลันความเจ็บปวดที่มองไม่เห็นกลับเต็มตื้นขึ้นมาแน่นทั้งอกให้หายใจไม่ออก น้ำตาไหลผ่านข้างสันจมูกหยดลงเป็นวงน้ำบนผ้าก่อนร่างผอมจะลุกจากเตียง เพียงเท้ายันพื้นขาไร้แรงเกือบทำให้ทรุดดีที่มือคว้าเสาเตียงได้ทันแล้วค่อยประคองตัวเองไปจนถึงเตาผิง
 



ภาพครอบครัวในกรอบไม้ที่ตั้งอยู่บนขอบเหนือเตาผิงทำให้คนป่วยปากคอสั่น ตากลมแดงคลอด้วยน้ำแต่พยายามกระพริบไว้ขณะใช้กำแพงเป็นหลักพยุงตัวเองออกไปไกลถึงนอกบ้าน เท้าเปล่าสัมผัสบนพื้นหินเปียกชื้นไปสู่ผืนหญ้าและดินอันชุ่มฉ่ำ เม็ดฝนพรั่งพรูลงมาเป็นสายราวกับน้ำจากฝักบัวชะลงมายังร่างผอมจนเปียกโชก เสื้อเชิ้ตกับกางเกงหลวมๆสีดำแนบกับเนื้อ หากเจ้าตัวมิสนใจเพียงเดินลึกเข้าไปในดงกุหลาบยังจุดสำคัญที่มีอัฐิพ่อและแม่รวมอยู่
 



เด็กหนุ่มสัมผัสพื้นดินปล่อยน้ำตาที่อัดอั้นให้รินหลั่ง...เขาเกลียดการร้องไห้ต่อหน้าผู้คน เกลียดความรู้สึกอ่อนแอของตัวเอง เกลียดเวลาที่ทุกคนมองเขาอย่างเวทนาสงสาร และเกลียดที่ไม่สามารถซบอกพ่อร้องไห้ได้อีก
 



ยงกุกใช้มือถือกดสั่งของสดและของแห้งจากห้างสรรพสินค้าที่มีบริการส่งถึงบ้านแล้วยกข้าวต้มที่ทำเองจากของแห้งที่พอมีเหลือในตู้ เพียงก้าวออกมาเห็นบานประตูที่ปิดไม่สนิทก็สังหรณ์ใจวางชามข้าวต้มลงบนตู้ที่อยู่ใกล้ตัว วิ่งไปยังห้องนอนของผู้เป็นลุงต่างสายเลือดก็เห็นเพียงกุหลาบวางอยู่จึงออกไปข้างนอก
 



น้ำฝนล้างรอยเท้าบนพื้นแต่บนหญ้ายังมีรอยย่ำเป็นทางพอให้คะเนจุดซ่อนตัว ชายหนุ่มทอดสายตายังเรือนผมสีอ่อนที่โผล่พ้นแนวกุหลาบเลยเดินฝ่าเข้าไป หนามแหลมจากกิ่งเขียวเกี่ยวลากเนื้อแขนถลอกเป็นทางยาวกว่าจะเข้าไปถึงในจุดใกล้ที่สุดได้เลือดก็ซึมตามรอยแผลไปหมด
 


เสียงฟ้าลั่นสนั่นไหวพร้อมกับเงาของใครคนหนึ่งพาดลงมา หน้าขาวนองด้วยน้ำฝนปนน้ำตาเงยจากพื้นสบเข้ากับผู้ปกครองตามกฎหมายที่ย่อตัวลงมานั่งอยู่ตรงหน้าในสภาพเปียกโชก เพียงเห็นมือของอีกฝ่ายเอื้อมมาหา ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงจากความกลัวผูกสัมพันธ์แล้วสูญเสียทำให้กระถดตัวหนีหากอีกฝ่ายก็ตามเข้ามาไม่ลดละ
 


“เข้าบ้านเถอะ” เสียงเข้มเอ่ยขึ้น แก้มซ้ายถูกหนามเกี่ยวมีเลือดซิบไหลตามแนวแผล คนที่ซ่อนตัวในดงกุหลาบเหลือบตาพ้นจากแขนที่กอดเข่าตัวเองไว้ยังคนที่อยู่ตรงหน้า
 


ทั้งคู่สบตากันผ่านม่านฝน ช่วงนาทีหนึ่งเหมือนภาพความทรงจำในครายังจมในโลกตัวเอง เด็กหนุ่มกลับจดจำความอบอุ่นอ่อนโยนที่อีกฝ่ายมี ถ้อยคำมากมายจากเสียงต่ำลึกพร่ำเล่าเรื่องกระทั่งให้คำสัตย์ปฏิญาณจะอยู่เคียงข้างตราบจนสิ้นลมหายใจและฝากรอยจูบด้วยรักเบาบนหลังมือยังคงอยู่
 


“เบบี้โรส กุหลาบน้อยของอา” ริมฝีปากหนาเอ่ยคำเนิบช้านุ่มนวลแลร่างที่นั่งสั่นเป็นลูกนกตรงหน้า “ไม่เป็นไร ถ้าเราจะร้องไห้เพื่อใครสักคนที่เรารัก ไม่เป็นไรหรอกนะถ้าเราจะร้องไห้เพราะความโดดเดี่ยว แต่ถ้าเราไม่อยากอยู่คนเดียวในโลกก็ออกมาเถอะ ออกมาจากดงกุหลาบมาจับมืออานี้ แค่จับมืออาเอาไว้”
 




สิ้นคำมือแข็งยื่นไปหา แววตาคมดุจเหยี่ยวเรียบนิ่งดุดันเป็นหลักยืนยันถึงความจริงจังทำให้หัวใจวูบไหว อำนาจแห่งดวงตามีอานุภาพพอให้รู้สึกเหมือนความหมองในใจถูกปัดเป่าราวต้องมนต์
 



“อายกให้เราเป็นเจ้าของอานะ...อามีแค่เราคนเดียว แล้วเราล่ะ ไม่ต้องการอาสักนิดเลยเหรอ จะทิ้งขว้างอาไว้ข้างหลังอย่างนี้จริงๆเหรอ” ประโยคนั้นมาพร้อมน้ำเสียงกับแววตาเว้าวอนหมองหม่นชวนให้อีกคนใจสะท้อนหาย
 


จุนฮงมองคนตรงหน้าด้วยน้ำตาคลอหน่วย ริมฝีปากเม้มแน่นด้วยความคิดสับสนมากมายจับต้องแทบเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้จนหัวปวดตุบ ทว่าทุกความคิดสิ้นสุดในนาทีที่มืออุ่นดึงแขนให้กายผอมเข้ามาสู่วงแขนกว้าง
 



อาไม่อยากให้เราลืมพ่อแม่หรือยายวิเวียน แต่ถ้าการคิดถึงทำให้เป็นทุกข์ อาก็อยากให้เราหยุดคิด จะร้องไห้ก็ร้องเถอะ เจ็บก็ร้องเสียให้พอ ไม่จำเป็นต้องซ่อนมันกับสายฝน ถ้าไม่อยากร้องให้ใครเห็นก็ซ่อนหน้ากับน้ำตากับอกอานี้...ปล่อยให้อาได้เยียวยารักษาเราจนถึงวันที่เรามีแรงพอจะรับความรู้สึกทุกข์นั้นไหว ไม่ต้องกังวลอะไรเพราะอาจะไม่ไปไหน อาจะอยู่ตรงนี้กับเราเสมอ
 




เสื้อยืดที่ชุ่มโชกแนบลงบนแผ่นอกแข็งแรง กลิ่นกายและสัมผัสคุ้นเคยทำลายทำนบที่กักน้ำตาแห่งความทุกข์ให้รินออกมาไม่หยุดอาการสะอื้นฮักติดกันจนตัวโยนและจามออกมาทำให้คนเป็นอาเปลี่ยนจากกอดเป็นอุ้มร่างที่เย็นเฉียบจากน้ำฝนพ้นจากดงกุหลาบหายเข้าไปในบ้าน ปีนลงไปในอ่างเปิดน้ำร้อนจากฝักบัวปล่อยมันให้รดลงมาบนตัวและคนที่ตนเองกอดไว้เพื่อผิวเนื้อเนียนอุ่นขึ้น
 



ทั้งสองแช่อยู่ในอ่างจนน้ำเริ่มคลายความร้อนกลายเป็นอุ่น...จุนฮงซุกหน้ากับอกของผู้ปกครองหนุ่มพลางสะอื้นเป็นครั้งสุดท้ายก็สงบลง การระเบิดน้ำตาออกมาทำให้สมองหนักอึ้งคลายลง ช่วงเวลาที่สมองโล่งโปร่งทำให้ไม่อยากคิดอะไรมากไปกว่าอยู่ในอ้อมกอดนี้
 


“แช่น้ำร้อนแล้วตัวเรายังเย็นอยู่เลย” เสียงเข้มกระซิบข้างหู “อาบน้ำเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย”
 


ไม่มีคำตอบจากคนที่นอนบนอกมีเพียงหัวที่โคลงเบาเหมือนเข้าใจ ชายหนุ่มจึงลุกและวางร่างอีกคนให้นอนพิงกับอ่างก่อนจะเปิดตู้ไม้ปิดผนังเห็นผ้าเช็ดตัวพับวางอยู่ก็หยิบมาพาดไว้บนขอบอ่างล้างหน้าแล้วเดินกลับมาหาคนในอ่างพลางทรุดลงนั่งคุกเข่า
 


“อาบน้ำเองได้ไหม” คำถามดังขึ้นอีกแต่ไม่มีคำตอบ หัวมนเปียกจนผมลู่แนบหน้าพิงกำแพงกระเบื้องนิ่งงันมีเพียงตากลมฉายแววไร้อารมณ์เหมือนสมองว่างเปล่าจ้องมา เท่านั้นเป็นอันเข้าใจได้ว่า เขาต้องทำทุกอย่างเอง

 



กระดุมเสื้อเชิ้ตสีดำแนบเนื้อถูกปลดออกจนสิ้น เพียงผ้าเลื่อนพ้นจากแขนผิวขาวพิสุทธิ์ดุจกุหลาบขาวแรกแย้มที่มีกลีบนูนสีชมพูปลั่งแต้มเป็นสองจุดก็ปรากฏแก่สายตา 



เจ้ากุหลาบดอกน้อยงามเหมือนเคยจินตนาการทำให้ลมหายใจอุ่นของคนมีสติพ่นพรืดยาว มือเรียวไต่ระดับลงต่ำไปใต้น้ำกว่าจะดึงอาภรณ์ทั้งหมดพ้นจากเรียวขายาวขาวได้ก็สัมผัสจับต้องส่วนอ่อนไหวอย่างไม่ตั้งใจนับครั้งไม่ถ้วนกระนั้นมันก็ยังสงบนิ่งไม่ตื่นตัว คงมีเพียงเขาที่รู้สึกได้ถึงจุดสำคัญช่วงล่างที่แข็งขืนอัดแน่นใต้กางเกงยีนส์ที่สวมอยู่ 
 


ความผุดผ่องงดงามละม้ายตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่สรรสร้างจากช่างฝีมือชั้นครูปั้นแต่งอย่างประณีตชวนให้หลงใหล ตาคมเชยชมเช่นเดียวกับยามเดินชมงานศิลป์ หากสิ่งที่ต่างคือห้วงอารมณ์...งานศิลป์ในแกลลอรี่ทำให้เขาสงบเย็น แต่งานศิลป์มีชีวิตตรงหน้านี้ทำให้เขาร้อนรนจมอยู่กับความปรารถนาดำมืดในใจ
 




...เขาดูแลเด็กคนนี้แบบหลานไม่ได้...


 

ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกยกมือลูบหน้าตัวเองเพื่อสะกดอารมณ์ที่พุ่งขึ้นมา อยากจะแยกกันอาบน้ำแต่เกรงว่าถ้าแยกกันและเจ้ากุหลาบน้อยอยู่คนเดียวจะหนีไปอีกเลยตัดสินใจถอดเสื้อผ้าที่เปียกของตนเองพ้นจากกาย รอยสักสวยพาดบนอกปรากฏให้เห็น เขาพันช่วงล่างด้วยผ้าเช็ดตัวแล้วลงไปแช่ในน้ำอุ่นอยู่ด้วยกันคนละฝั่ง สระผมชำระล้างตนเองจนสะอาดเรียบร้อยถึงดึงคนที่พิงอยู่กับผนังให้มานั่งอยู่ด้านหน้าตนเอง
 




เด็กหนุ่มเผยอเปลือกตาสัมผัสได้ถึงนิ้วแข็งที่นวดคลึงหนังศีรษะและเรือนผมอย่างชำนาญ สักพักฝ่ามือแข็งก็เคลื่อนไปทั่วร่างทุกซอกทุกมุมแม้จะรู้สึกถึงความแกร่งแข็งที่สะโพกแต่การขัดสีหมายเพียงทำความสะอาดนั้นทำให้คนไร้อารมณ์จะนึกคิดไม่ปัดป้องกลับเอนพิงอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งถูกสายน้ำรดล้างปฏิกิริยาทางร่างกายสั่งให้ตาปิดลงเพื่อมิให้สิ่งแปลกปลอมเข้าตา
 




การอาบน้ำด้วยกันดำเนินไปหลายสิบนาที ผู้ปกครองหนุ่มก็ลุกจากอ่างเปิดตู้หยิบเอาเสื้อคลุมอาบน้ำมาสวม บิดผ้าที่เขาพันปิดกายลงอ่างตากไว้บนราวก่อนดึงอีกคนให้ลุกขึ้นจากน้ำเช็ดเนื้อเช็ดตัวจนแห้งก็ห่อร่างนั้นไว้ด้วยผ้าแห้งอีกพื้นและอุ้มไปนั่งบนเตียงเดิม
 



“อย่าเพิ่งหลับ ผมเรายังไม่แห้ง” เขากระซิบข้างหูแล้วผละไปคุ้ยหาข้าวของตัวเองที่เอากลับจากโรงพยาบาลมาสวมเรียบร้อย ก็เปิดตู้หาเสื้อกับกางเกงสักตัวจากในตู้ของผู้เป็นลุงจนเจอเข้ากับเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ยาวจึงคว้าที่เหมือนจะซื้อมาผิดไซส์พับอยู่ในลิ้กชักเลยหยิบมันออกมาใช้ชั่วคราว
 




เครื่องเป่าผมดังในห้องอยู่นานกว่าจะเงียบลง เรือนผมสีอ่อนมีโคนสีดำจากผมที่ยาวขึ้นตามเวลาแห้งสนิทเช่นเดียวกับกายที่นั่งพิงร่างคนที่ซ้อนอยู่เบื้องหลัง
 




“จะนอนหรือกินก่อน...ถ้ากินอาจะไปอุ่นข้าวให้ใหม่ แต่ครั้งนี้อาไปแล้วอย่าหนีได้มั้ย สัญญาว่าอาจะไปไม่เกินสิบนาที” บอกจบคนอ่อนกว่ายังไม่ตอบเหมือนเคยเลยจัดแจงขยับร่างให้ล้มนอนบนหมอน “งั้นเรานอนก่อน...แล้วตื่นมาค่อยกินข้าวกับกินยานะ”
 
 

ขณะที่จะผละถอยจากเตียง แต่มือนุ่มกลับคว้าชายเสื้อเขากำไว้แน่นจนสั่น ตาสวยปรายมาหาเหมือนกลัวเขาจะหาย รอยกังวลแม้ในยามหมดแรงจะรู้สึกนึกคิดทำให้ใจคนเป็นอากระตุกไหวพร้อมกับกายที่โน้มลงไปจูบเบาบนริมฝีปากนุ่ม
 



“เบบี้โรส” เขากระซิบเบาข้างหูแล้วจูบอีกครายังที่เก่า กุมมือที่วางบนเตียงมาแนบหน้าแล้วจูบหนักซ้ำแล้วซ้ำเล่า “หลับเถอะที่รัก อาไม่ไปไหนหรอก อาบอกแล้วว่าอาเป็นของเราและจะเป็นของเราตราบเท่าที่อายังมีลมหายใจ”

 



ถ้อยคำแว่วหวานเปี่ยมด้วยรักทำให้เปลือกตาของเด็กหนุ่มกระพริบช้าและปิดตาลง ทว่ามือยังไม่ยอมปล่อยเสื้อ ท้ายที่สุดผู้ปกครองหนุ่มเพียงยิ้มกว้างปีนกลับขึ้นไปบนเตียงและกอดร่างนั้นกล่อมหลับไปด้วยกัน

-----------------------------------------------------------

ช่วงเวลาแห่งการบำบัดจิตใจของทายาทตระกูลชเวดำเนินจากอาทิตย์ขยับเป็นเดือน เด็กหนุ่มใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนเตียงโดยจะหลับและตื่นขึ้นในวงแขนของผู้เป็นอาที่กอดกล่อม
 




หลังกินข้าวและทำความสะอาดร่างกายเรียบร้อย ผู้ปกครองหนุ่มจะหยิบเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งของพ่อหรือเสื้อตัวยาวคลุมเข่าของแม่มาให้สวม จากนั้นเขาจะนอนนิ่งมองอีกฝ่ายหยิบแล็บท็อปหรือสมุดสเก็ตซ์ภาพมานั่งทำงานอยู่ข้างๆ โดยเปิดเพลงบรรเลงและแจ๊ซคลอให้ได้ฟังไปด้วย 




ทั้งคู่อยู่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันแทบตลอดมีก็เพียงตอนทำอาหาร เข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวกับลงไปตัดดอกกุหลาบมาฝากเท่านั้นที่คนแก่กว่าจะหายไป
 



บางครั้งเขาจะถูกอุ้มไปนั่งเล่นที่สนามหญ้าหน้าบ้าน นอนหนุนตักฟังผู้ปกครองเล่าสิ่งที่อ่านในหนังสือหรือเหตุการณ์ในอดีตที่มีร่วมกันให้ฟัง หรือบางคราวก็ได้ออกไปนั่งรถกินลมเล่น 




ระหว่างที่อยู่ด้วยกันเขาไม่เคยปริปากหรือยิ้มเพียงแต่ฟังเรื่องราวที่อีกฝ่ายเล่าขานอย่างเงียบงัน  ในเวลาที่ไม่มีแขนอุ่นกอดประคองและความหม่นเศร้าย่างกรายเข้ามาจนทนไม่ไหวเขาเพียงเดินเข้าไปหา ผู้ชายที่พร่ำบอกเสมอว่าเป็นของเขาจะกางแขนออกกว้างๆและกอดเขาไว้โดยไม่ถาม ริมฝีปากและจมูกจะฝังเบาลงบนขมับและกระซิบเรียกเขาด้วยรักว่า เบบี้โรส
 



คนอ่อนวัยไม่อยากคิดไตร่ตรองถึงสิ่งใดแต่หัวใจรับรู้ได้ถึงความอุ่นอ่อนโยนจากผู้ชายที่พ่อฝากฝังเขาไว้ได้กลายเป็นสายใยถักทอความรักความผูกพันให้กระหวัดมัดเอาไว้ เขาพอใจที่จะมีชีวิตอยู่เช่นนั้นเรื่อยไปจนกระทั่งบ่ายวันหนึ่งที่ได้ยินเสียงไอโขลกอย่างหนัก
 



“ขอโทษนะ” ชายหนุ่มเริ่มเอ่ยพลางลูบผมของเด็กในปกครองที่เงยหน้ามองพร้อมกับมือขาวที่ขยุ้มเสื้อที่เขาสวมไว้เหมือนไม่เข้าใจ “อาไม่ค่อยสบาย อาอาจจะอยู่กับเราตลอดทั้งวันเหมือนเดิมไม่ได้...อาไม่อยากให้เราติดหวัด”
 



ประโยคนั้นเป็นการทำความเข้าใจระหว่างกัน หลังจากนั้นยงกุกยังคงทำหน้าที่ตัวเองเหมือนเคยแต่สวมหน้ากากปิดปากไว้ตลอด พยายามกินยาแต่ด้วยงานที่ค้างอยู่ ไหนจะต้องประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับผู้ร่วมงานอื่นที่อยู่กันต่างเวลาทำให้ไม่มีเวลาพอจะพักผ่อนเลยไม่หายจากอาการนี้เสียที




“มึงไปฉีดยาแล้วก็พักสักสองสามวัน เดี๋ยวกูหาคนไปจัดการเรื่องอาหารกับบ้านช่องให้ อยู่อย่างนี้ชาติไหนจะหาย” ฮิมชานเสนอเสียงแข็งเพราะความเป็นห่วงในตอนที่โทรผ่านแอพพลิเคชั่นมาหาและได้ยินเพื่อนไอไม่หยุด
 



“กูแก้สคริปต์รายการเพิ่งเสร็จ ไว้ถ้าทีมงานไม่แก้อะไรเพิ่มกูจะไปโรงพยาบาล...ส่วนเรื่องบ้าน ไอ้จงยอนมันส่งคนมาทำให้อยู่แล้ว”
 




“แล้วหลานมึงอ่ะ...มึงป่วยแบบนี้อยู่ด้วยกันตลอดเดี๋ยวก็ติดหวัดกันหรอก ถ้าไม่ไว้ใจให้ใครไปดูแล เดี๋ยวกูบินไปช่วยดูให้ก่อนก็ได้”
 



“ไม่ต้อง” เสียงแข็งสวนมาแบบไม่ผ่านกระบวนการคิดใดทั้งสิ้นทำเอาปลายสายเงียบไปเกือบนาทีด้วยคาดไม่ถึงว่าคนที่มักคิดใคร่ครวญก่อนพูดเสมอจะตอบเร็วขนาดนี้
 




...เหมือนหวง...
 



“มึงหวงหลานกับกูเหรอ”
 



“เปล่า”
 



“แต่เมื่อกี้มึงขึ้นเสียงใส่กู”
 




“กูไม่ได้หวง ไม่จำเป็นต้องหวง” คำตอบนั้นทำให้ปลายสายที่อยู่เกาหลีตอนนี้ขมวดคิ้ว ไอ้น้ำเสียงที่บอกว่าไม่จำเป็นต้องหวงมันเหมือนผู้ชายที่มั่นใจในความรักที่คนรักมีต่อตนเอง มันออกจะแปลก
 




เอาจริงๆเขาก็รู้สึกแปลกมาตั้งแต่ได้ยินเพื่อนเรียกสรรพนามแทนหลานตัวเองนอกจากชื่อจริงแล้ว ยังเรียกว่าเบบี้โรสหรือเด็กของตัวเองแต่ไม่เคยเรียกว่า หลานสักคำ
 



“กูแค่เป็นหวัดไม่ได้เป็นมะเร็ง..เด็กของกู กูดูแลได้ แค่นี้นะ ไว้คุยกันใหม่” ผู้ปกครองหนุ่มยืนยัน




อาการป่วยของเขาไม่กระทบอะไรกับการดูแลเพราะกุหลาบน้อยของเขาถึงจะไม่พูดแต่ก็ไม่ดื้อ ในแต่ละวันเขามีช่วงยากลำบากแค่ตอนอาบน้ำให้
 



ยามได้ยลและสัมผัสบนเรือนกายละมุนดุจกลีบกุหลาบขาว...ความปรารถนาต่อกุหลาบน้อยก่อตัวเป็นมวลหนาแน่นที่ทำให้ตื่นตัวและปวดรวดร้าวจากความทรมานที่ต้องการปลดปล่อย มีหลายครั้งที่อารมณ์เขาดิ่งลงจนถึงขั้นดึงดันจะครอบครองเป็นเจ้าของ กระนั้นสมองรวมทั้งจิตสำนึกทำให้เขามีสติยับยั้ง

 

คนส่วนใหญ่คิดว่า เขาเป็นคนเป็นน่านับถือ น้อยคนที่จะเคยเห็นด้านมืดที่ซ่อนอยู่ในตัวเพราะเขาไม่ใคร่แสดงออกถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ แม้แต่ในเรื่องความรักความต้องการเขาเป็นคนประเภทไม่ขยักใจให้ไปทั้งหมดที่มีและต้องได้จากอีกฝ่ายทั้งหมดเช่นกัน
 




ที่ผ่านมาเขาเคยคบหามีสัมพันธ์ทางกายกับผู้หญิงหลายคน หากไม่เคยลุ่มหลงใครมากพอจะยื้อไว้เวลาต้องร้างลา ขณะเดียวกันเขาก็ไม่เคยสนใจหรือมีอารมณ์กับร่างกายผู้ชายด้วยกันกระทั่งได้เห็นร่างงดงามนี้
 



มันไม่ใช่แค่เรือนร่าง ในยามที่ริมฝีปากสัมผัสกันแผ่วๆหรือแม้แต่ตอนที่อีกฝ่ายซุกซบและกอดเขาไว้ นัยน์ตาคู่สวยที่เรียบสงบแต่ความเว้าวอนเคลือบแฝงทุกคราที่มองมาหามันมีพลังให้เขาตกหลุมรักเด็กคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
 



ยงกุกป่วยอยู่อย่างนั้นเกือบอาทิตย์จนกายเริ่มซูบลง โดยไม่รู้ว่าอีกคนเฝ้าสังเกตอาการเขาอยู่อย่างเงียบๆ กระทั่งวันหนึ่งที่เขาอยู่ในสวนเลือกหากุหลาบสวยไปฝากคนที่นอนอยู่ เมื่อฝนไม่ตก ท้องฟ้ากลับคืนสีครามสดใสมีเมฆขาวก้อนใหญ่เคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า แสงตะวันสาดแรงจนต้องยกมือป้องตา
 



ดอกกุหลาบสีชมพูสวยถูกริดหนามออกด้วยกรรไกรตัดกิ่ง ชายหนุ่มดึงหน้ากากปิดปากไว้ใต้คางสูดกลิ่นหอมและยิ้มให้กับความพยายามคว้านหา ความรู้สึกที่ว่ามีคนจ้องอยู่จึงหันไปหาก็เห็นเด็กหนุ่มที่มีเพียงเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งปิดยาวมาถึงขาอ่อนยืนเท้าเปล่าอยู่ใกล้ๆ
 
 

“มานี่มา” เขายิ้มอ่อนแล้วกางแขนออกเพื่อจะกอดเหมือนทุกครั้งที่อีกฝ่ายเดินมาหา...หากคราวนี้อีกคนกลับเดินเข้าไปกอดเอวเขาก่อนและแหงนหน้านวลน่ารักขึ้นมาหาเกยคางไว้ตรงอก แววตาจากดวงตากลมสวยทอดมาหามิได้เรียบเฉยเหมือนก่อนแต่มีทั้งความรักความห่วงกังวลอยู่ในนั้น
 




ผมจะไม่ร้องไห้แล้ว” ริมฝีปากอิ่มที่เคยถูกประทับฝากรอยยามเคลิ้มหลับขยับเอ่ยคำ “ผมจะเป็นเบบี้โรสที่มีความสุขและสวยที่สุดเพื่อคุณอา จะเป็นเด็กดีไม่ทำให้คุณอาต้องเหนื่อยดูแลอีก ขอแค่คุณอาอย่าไปไหน อย่าป่วยแล้วทิ้งผมไปอีกคนนะ...ได้ไหม” 
 



เสียงนุ่มที่ถวิลจะได้ยินสักครามีแววอ้อนเหมือนเด็ก ผู้ปกครองหนุ่มเลิกคิ้วนิ่งไปครู่ด้วยไม่ทันตั้งตัวก็เหยียดยิ้มกว้างออกมา
 



“ไม่ทิ้งหรอก...มีแต่เราที่ไม่พูดกับอาตั้งนาน”
 



“ผมขอโทษ” เด็กหนุ่มบอกเสียงเศร้าด้วยสีหน้าหงอยเหมือนลูกหมาโดนเจ้าของดุด้วยรู้ว่า ตนเองใช้เวลากับการเป็นภาระให้ดูแลกว่าจะตระหนักได้ว่า ผู้ชายที่ยืนหยัดเคียงข้างกระทั่งดื่มเลือดด้วยกันมานั้นมีความหมายกับเขามากเพียงใด
 



ยามปล่อยตัวเองจมอยู่ในโลกส่วนตัวใช่ว่าจะไม่รู้สึก...ไม่ว่าจะสัมผัส ถ้อยคำหรือทุกการดูแลของผู้ชายคนนี้กลับแทรกซึมลงลึกเสมือนรากแก้วของพันธุ์ไม้ที่จะเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ ระยะเวลาอาจไม่นานทว่าความอ่อนโยนทุกประการที่ชายผู้นี้มอบให้ทำให้หัวใจรู้ว่า ผู้ชายคนนี้รักเขามากและเขาก็รักผู้ชายคนนี้มากเหลือเกิน
 



...เขาเสียผู้ชายคนนี้ไปไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยอาการเจ็บไข้หรืออะไรก็ตาม...

 



“อาไม่ได้โกรธ” คนเป็นอาบอกพร้อมกับนิ้วแข็งที่เกลี่ยเบาบนแก้ม
 



“จริงนะ” 
 




“ไม่โกรธแต่ก็มีน้อยใจอยู่บ้าง”
 


“ผมขอโทษ”

 


“รู้สึกผิดเหรอ”

 


“อืม”



“รู้สึกผิดจริงก็ยิ้มให้อาหน่อยสิ” เพียงขอคนเด็กกว่าก็แย้มริมฝีปากกว้างยิ้มหวานเช่นที่ยิ้มให้กับพ่อและแม่บ้านผู้ล่วงลับ...รอยยิ้มนั้นทำให้หัวใจของอีกคนเต้นอย่างลิงโลดเหมือนได้ใจจึงเอ่ยปากขอเพิ่ม “จูบด้วยได้ไหม”
  
 



“หื้อ” เสียงอุทานดังในลำคอ ตากลมลุกโตเหมือนไข่ห่านยังไม่ทันจะได้ตอบคำถามริมฝีปากบางก็สัมผัสกับริมฝีปากสวยของตนแล้ว เมื่อขยับปากจะพูดก็ถูกจูบอีกติดๆกัน
 


ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว ความรู้สึกยามริมฝีปากสัมผัสกันไม่ได้ทำให้รังเกียจกลับชอบเสียด้วยซ้ำที่ได้เห็นตาคมพราวระยับคู่นั้นมองมาเสมือนว่า เขาเป็นคนที่มีความหมายต่อชีวิตแต่สถานะระหว่างกันไม่ใช่ในฐานะคนรัก พอจะถูกจูบอีกเลยยกมือกั้นไว้
 



...ถึงจะรู้สึกว่าถูกปฏิบัติในฐานะอื่นที่มากกว่าเป็นอาหลานกันก็เถอะ...

 




“ถ้าเราเป็นอาหลานกัน เราไม่ควรจูบกันแบบนี้นะครับ” คำนั้นดังขึ้นทำให้คนอายุมากกว่าชะงักหยุดแต่ไม่ถึงนาทีมือแข็งก็รวบมือนุ่มขาวนั้นไว้ สีหน้าท่าทางจากใจดีเริ่มจริงจังแบบผู้ใหญ่เช่นเดียวกับตอนที่คนอ่อนกว่านอนมองอีกฝ่ายจมอยู่กับงาน
 




“โอเค...เรามาตกลงกันก่อน” เสียงเข้มเกริ่นขึ้นมา “อาจะไม่อ้อมค้อมล่ะกัน เอาเป็นว่าเราอยากให้อาเลี้ยงเราแบบไหนล่ะ...แบบอาหลานหรือแบบคนรัก อาจะได้จัดการอารมณ์กับเรื่องบนเตียงถูก แต่อาบอกไว้ก่อนนะว่า ทุกวันนี้อาไม่ได้คิดกับเราแบบหลาน แต่ถ้าเราคิดแบบนั้น อาจะหยุดคิดกับเราในฐานะอื่น” การสนทนาต่อรองระหว่างทั้งคู่เป็นไปอย่างธรรมชาติแม้ก่อนหน้าจะไม่ได้พูดกันเลยแต่ความรู้สึกที่มีส่งผ่านถึงกันจากสัมผัสทำให้คุ้นเคยกัน
 


“ผมไม่ได้บอกให้หยุด” การขึ้นเสียงเรียบเหมือนออกคำสั่งหลุดจากริมฝีปากเป็นการตอบสนองที่ไม่ผ่านการคิด

 


“ไม่ให้หยุดแล้วสรุปจะให้อาเลี้ยงแบบไหน” ถ้อยความเร่งถามเหมือนเวลาคุยกับลูกน้องเพื่อเอาความคิดเห็นมาเป็นข้อสรุป
 


“ก็คุณอาไม่เคยเลี้ยงผมแบบหลานมาตั้งแต่ต้น แววตาแสดงความเป็นเจ้าของผมของคุณอา มันใช้มองคนรักนิครับ แล้วแบบนี้จะกลับไปเลี้ยงผมแบบหลานได้เหรอ” คำถามมาพร้อมกับตากลมที่ช้อนมองอยู่ทั้งท้าทายและอ้อนอยู่ในทีนั้นเป็นลักษณะของเด็กเอาแต่ใจ
 


...เด็กคนนี้ถึงไม่ออกอิทธิฤทธิ์ก็รู้ว่าร้ายแน่แต่ที่ไม่รู้คือเวลาช่างจ้อจะน่ารักขนาดนี้...
 


“ทำได้...แต่ไม่ทำ” ผู้ปกครองหนุ่มตอบกลับเสียงแข็งและเร็วจนน่าตกใจ...หน้าคมชะโงกเข้ามาใกล้ตาเรียวจ้องลึกในดวงตาของคนอ่อนกว่ามีความเสน่หาต่อกันฉายชัด รอยยกตรงมุมปากที่กระตุกเหยียดเป็นการยิ้มร้ายที่มุ่งหมายจะเอาให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการที่ใครก็ยากจะปฏิเสธ 
 


แววตากระทั่งการเคลื่อนไหวของผู้ใหญ่ตรงหน้าช่างอันตราย หากในความอันตรายและความลึกลับนั้นมีละอองของความรักฟุ้งกระจายและไออุ่นที่อบอวลเย้ายวนใจ
 



...เสน่ห์ของผู้ใหญ่ตรงหน้าลึกล้ำเหมือนน้ำหอมบนเรือนกายโปร่งที่ได้กลิ่นทุกเมื่อเชื่อวัน...

 

“แต่ผมเป็นเด็กเอาแต่ใจนะ” จากที่กล้ามองอย่างท้าทายเมื่อถูกฝ่ายที่มีชั้นเชิงกว่ามากสบเข้า เด็กหนุ่มปลดแขนออกจากเอวคนที่กอดไว้แน่นพลางก้มหน้าหลบตาที่มีความปรารถนาแกร่งกล้าถามเสียงอ่อยออกมา...นั่นทำให้คนเป็นอาแค่ในนามหลุดหัวเราะออกมาอีก
 



...ทำเหมือนเจนโลกทั้งที่ไร้เดียงสา... 
 


“ไม่เป็นไรนี้...เราจะเอาแต่ใจกับอามากแค่ไหนก็ได้ แต่เมื่อไหร่ที่อาบอกอะไรให้เราทำเราต้องเชื่อฟังอาด้วย รู้มั้ยอาน่ะเป็นพวกชอบให้รางวัลกับทำโทษนะ ถ้าเราเป็นเด็กดีอาจะจูบเราแต่ถ้าดื้ออาจะตี แต่อาอยากจูบเด็กดีมากกว่าตีเด็กดื้อนะ” เขาว่าแล้วส่งกุหลาบสีชมพูสวยดอกหนึ่งให้พลางเอียงคอโน้มเข้าไปกระซิบข้างหู
 
 

“พอล่ะ...อาไม่เอาคำตอบจากเราแล้วนะ ถ้าเราอยากให้เลี้ยงแบบหลานก็เอา เดี๋ยวอาค่อยทำให้เราอยากให้อาเลี้ยงแบบอื่นเอง”
 


“ก็ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะให้เลี้ยงผมแบบหลาน” เด็กหนุ่มอ้อมแอ้มตอบเลยถูกฝ่ายตรงข้ามรวบตัวมากอดและฝังจมูกโด่งลงบนแก้มหอม
 


“ง่าส์” คนอ่อนกว่าร้องแล้วหัวเราะออกมาเมื่อคนหอมขยับมาจูบที่ริมฝีปากแต่เมื่อฟ้าส่งเสียงคำรามครืนและทุกอย่างโดยรอบเริ่มครึ้มมืด ร่างผอมเลยถูกอุ้มในท่าเจ้าสาวลอยลิ่วจากพื้นออกจากสวนไปยังบ้าน
 



“คุณอา...สัญญานะว่าจะไม่ทิ้งผมไปไหน” คนเป็นเด็กอ้อนขอ...หัวมนเอนซบอยู่บนบ่าของผู้ปกครองหนุ่ม
 


“ครับ”
 


“งั้นวันนี้ไปหาหมอที่โรงพยาบาลด้วยกันนะ...ไปให้หมอรักษาคุณอาให้หายหวัดกันนะ”
 


“ได้”
 



“ไม่อิดออดเลยเหรอ ต้องฉีดยาด้วยน้า”

 



“ก็เบบี้โรสของอาสั่ง ต้องทำให้ตามบัญชาสิ”
 



ผู้ปกครองหนุ่มตอบโค้งศีรษะให้เล็กน้อยเหมือนองครักษ์ที่จงรักภักดี ตาคมมองเจ้ากุหลาบน้อยด้วยแววเปี่ยมรักก่อนจะถูกริมฝีปากนุ่มประทับลงบนเรียวปากเร็วปานสายไฟแล่บแล้วก้มมองกุหลาบสวยในมือด้วยรอยยิ้มเขินๆ

 



“รักคุณอาจัง”
 




ยงกุกเลิกคิ้วแล้วหัวเราะออกมาให้กับความน่ารักน่าเอ็นดูของเด็กที่ผู้เป็นลุงต่างสายเลือดฝากฝังให้ดูแล
 



...สุดท้ายก็ตกหลุมเจ้ากุหลาบน้อยของเขาดอกนี้อีกจนได้...

    

You Might Also Like

1 Comments

  1. รู้สึกอินจริงๆกับเรื่องอาการทางใจของยัยเบบี้โรส คืออธิบายได้ลึกแต่เข้าใจง่าย ชอบมากๆเลยค่ะ

    ตอบลบ