LOVE TOXICAL : BANGLO CHAPTER 5
08:38
แสงสีส้มเหลืองทอทาบยังเส้นขอบฟ้าแผ่ขยายความอุ่นร้อนสดใสเบียดบังความมืดเย็นแห่งรัตติกาลให้พ้นผ่าน
น้ำเย็นรินเป็นสายจากบัวรดยังมวลกุหลาบสีชมพูหวานที่บานชูช่ออวดความงามสะพรั่งกว่าทุกคราราวกับล่วงรู้ถึงรอยชีวิตจากร่างที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อตัวยาวสีขาวมีลูกไม้ประดับชายคลุมเข่าผู้เสมือนเป็นจ้าวกุหลาบ
ณ สวนแห่งนี้
สายลมพาดผ่านหมู่ไม้สีหวานพากลิ่นฟุ้งหอมโอบล้อมโดยรอบ
เจ้าของสวนเอ่ยคำสนทนาไร้เสียงกับผืนดินอันเป็นถิ่นประทับธุลีสุดท้ายของผู้ล่วงลับผู้เป็นที่รักยิ่งและจ้องยังกุหลาบสีชมพูอมขาวแปลกตานิ่งนานด้วยระลึกได้ถึงใครคนหนึ่งพร้อมกับมือขาวดุจน้ำนมค่อยเอื้อมเด็ดก้านสีเขียวประดับด้วยหนามแหลมนั้นมาถือไว้แนบอกแล้วหันหลังย่างเท้าบนทางเดินดินชุ่มน้ำกลับสู่ภายในบ้าน
ความเย็นกักเก็บอยู่ในตัวบ้านทำให้ร่างผอมบางหนาวจนสั่น
เจ้าของบ้านเดินผ่านประตูครัวแวะชะเง้อมองหม้อข้าวต้มบนเตาชั่วนาทีก็ผละไปยังห้องนอนใหญ่ของผู้เป็นพ่อและมารดาที่บัดนี้กลายเป็นห้องพำนักของผู้ปกครองและตนเอง
บานประตูไม้เปิดออกและปิดลงอย่างแผ่วเบา
เด็กหนุ่มก้าวอย่างระแวดระวังและปลดม่านลูกไม้ตรงบานหน้าต่างเพื่อทอนแสงตะวันด้านนอกให้จางลง
นัยน์ตากลมอ่อนใสทอดยังชายหนุ่มที่หลับสนิทนิ่ง
เรียวขาเนียนละมุนโผล่พ้นจากชายเสื้อบางเบายาวคลุมเพียงต้นขาขยับจากกรอบหน้าต่างปีนขึ้นช้าๆบนเตียง
เส้นผมสีดำที่ปรกบนหน้าผากถูกปลายนิ้วขาวปัดออกเบาๆ
ดวงหน้าคมเข้มยามหลับใหลดั่งมีมนต์ดึงดูดให้มิอาจละสายตา
เด็กหนุ่มตะแคงนอนจ้องผู้ปกครองของตนเองเงียบๆ
พลางคิดถึงช่วงเวลาหลังไปหาหมอให้น้ำเกลือและฉีดยาที่โรงพยาบาลเมื่อคืน
ผู้ปกครองหนุ่มก็หลับยาวแม้เขาจะผุดลุกจากอ้อมกอดไปเตรียมอาหารเช้าและรดน้ำกุหลาบในสวนก็ยังไม่มีทีท่าจะตื่น
...คุณอาจะตื่นใช่ไหม...
ผู้อ่อนเยาว์รำพึงในใจ...ความคุ้นชินจากการสัมผัสพูดคุยใกล้ชิดแทบทุกขณะจิตนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต
เมื่อไร้เสียงของผู้ปกครองคอยกระซิบถามใจก็เหมือนจะหายเสียให้ได้
ทั้งที่อยู่ตรงหน้าหากก็ไม่กล้าปลุกด้วยกลัวจะรบกวนคนป่วยจึงได้แต่นอนลูบกลีบกุหลาบมองผู้ปกครองอยู่อย่างนั้นกระทั่งดวงตาดุกระพริบลืมขึ้นมามองตรงมามีรอยยิ้มอ่อนแต้มบนใบหน้า
ริมฝีปากแดงจึงแย้มคลายเช่นเดียวกับความกังวลใจที่หายไปเป็นปลิดทิ้ง
“เราอยู่นี่ตลอดเลยเหรอ” เสียงแหบลึกว่า
ดวงตาดุกระพริบช้าแลดวงหน้านวลอ่อนโยนก่อนที่ปลายนิ้วแข็งจะค่อยๆไล้เบาบนพวงแก้มเย็น
“ผมไปทำข้าวต้มกับรดน้ำกุหลาบมาด้วย
นอกนั้นก็อยู่นี่...ผมกลัวคุณอาตื่นมาจะหิวแต่ก็กลัวคุณอาจะไม่ตื่นก็เลยไม่กล้าไปไหนนาน”
“กลัวเหรอ” คำสั้นแต่นุ่มนักว่า “อาไม่ทิ้งเราไปไหนหรอก มานี่มา มาใกล้ๆอาสิ”
เพียงเอ่ยปากร่างเล็กรีบกระเถิบเข้าไปในอ้อมแขนที่กางกว้างแล้วเอนหน้าซุกซบบนอกอุ่น
ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะราวเสียงดนตรีกล่อมไหวให้สุขสงบ...ไม่ว่าจะในยามสติจมลงในความเศร้าหมองหรือสติหลุดลอดสู่แสงสว่างความรู้สึกนี้กลับเกิดขึ้นทุกคราที่ใกล้ชิดกัน
“คุณอาดีขึ้นมั้ยครับ” เสียงเล็กถามสูดกลิ่นหอมจางจากเสื้อยืดสีดำที่อีกฝ่ายสวมนอน
“หายแล้วล่ะ”
“คุณอาป่วยตั้งหลายวัน ไปให้หมอฉีดยาวันเดียวจะหายเลยได้ไงกัน”
“เพราะมีพยาบาลดีเลยหายไวขึ้น”
“พยาบาลที่ไหนเหรอครับ”
“เราไง”
“แต่เมื่อวานผมแค่ไปหาหมอกับคุณอาเอง
พอกลับมาบ้านคุณอาก็ทำข้าวให้กินอีก”
“แค่เราอยู่ข้างๆ...อาก็หายแล้ว”
“จริงนะ” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั้นเป็นประกาย
มือขาวจับมือสีน้ำผึ้งอุ่นนั้นมาแนบแก้ม “ถ้าคุณอาแข็งแรงเพราะผม
ผมจะอยู่กับคุณอาแบบนี้ตลอดไปเลย”
“เรารู้ไหม...ตลอดไปมันเป็นเวลาที่นานมากนะ”
“ขอแค่มีคุณอาอยู่ด้วยจะนานเป็นร้อยหรือพันปีก็ได้” เสียงใสตอบกลับแก้มขาวยังคงแนบสนิทอยู่บนอก
“ขี้อ้อนจังนะเรา” เจ้าของมือใหญ่ว่ากระชับร่างบางให้แนบชิด
“คุณอาไม่ชอบเหรอ”
“ชอบสิ”
“ผมก็ชอบเหมือนกัน...เพราะงั้นผมจะอ้อนคุณอาทุกวันเลยนะ
ดีมั้ยครับ”
เด็กหนุ่มว่าพลางช้อนตาไร้เดียงสามองมาทำให้คนเป็นผู้ใหญ่หลุดหัวเราะเบาพลางกระชับอ้อมแขนที่กอดร่างบางไว้แน่นและฝังจมูกลงบนเรือนผมนุ่มไว้ด้วยเอ็นดู
...เมื่อหลุดจากความเศร้าหมองกุหลาบน้อยน่ารักช่างจ้อพาหัวใจเฉียบเย็นของผู้ปกครองหนุ่มให้กลับอุ่นเอม...
“เมื่อกี้เราว่าเราทำข้าวต้มให้อาใช่ไหม”
“งืม คุณอาหิวแล้วใช่ม้า ผมไปเอาข้าวต้มมาให้กินนะ” เด็กในปกครองทำท่าจะผละจากอกไปแต่ถูกแขนแข็งกอดรั้งเอาไว้ให้กลับมานอนหนุนยังที่เก่า
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวอาออกไปกินเอง”
“แต่คุณอาเพิ่งฟื้นไข้เองนี่”
“เมื่อกี้อาเพิ่งบอกเราเองนะว่า หายแล้ว”
“หายแล้วจริงเหรอ”
“ครับผม”
“จริงนะ...งั้นก็” สิ้นเสียงเจ้าของริมฝีปากอิ่มเคลือบสีหวานธรรมชาติกลับประทับบนริมฝีปากบางเรียบเพียงไม่กี่นาทีก็ถอยออกมาช้อนตาหา
“ทำอย่างนี้เหมือนทุกเช้าที่คุณอาปลุกผมได้แล้วสิ”
คิ้วเข้มของยงกุกเลิกสูงในนาทีที่ถูกคนเป็นเด็กจูบเบาๆ
อย่างไม่ทันตั้งตัวแต่เมื่อได้ยินข้อความต่อท้ายปากก็แย้มกว้าง
“จำได้ด้วย”
นิ้วเรียวแข็งยื่นไปแตะบนปลายจมูก
“อืม”
“จำได้ทุกอย่างเลยหรือเปล่า”
“งืม”
“แล้วจำได้ไหมว่าอาบอกอะไรกับเราไว้”
“ได้”
“แล้วทำได้ไหม”
“ทำอะไรครับ”
“ไหนว่าจำได้”
“ก็มีตั้งหลายเรื่องที่คุณอาบอกผมนี่นา” คนเป็นเด็กตอบ ปลายนิ้วเกาเบาบนอกแข็งที่ซุกซบ
“ที่ว่าอายกชีวิตให้เราเป็นเจ้าของน่ะ...เราจะดูแลอาได้ไหม”
“ต้องถามด้วยเหรอ...ผมน่ะอยู่มาถึงตอนนี้ได้ก็เพราะคุณอา
ถ้าไม่มีคุณอาผมก็อยู่ไม่ได้”
แขนขาวตัดกับสีดำของเสื้อยืดที่ชายหนุ่มบนเตียงสวม
ดวงตาที่จ้องมากระพริบขึ้นลงหลายครั้งเหมือนเด็กทำให้ถูกอีกฝ่ายกระชับกอดในวงแขนแน่นกว่าเก่าพร้อมการจูบแรงๆตรงขมับเรียกเสียงหัวเราะคิกคักชอบใจและการกอดรัดของคนตัวเล็กที่แนบสนิทขึ้น
“ลุกกันดีกว่า อาอยากกินอาหารฝีมือเราแล้วล่ะ”
หลังนอนเล่นกันบนเตียงอยู่พักใหญ่
ในที่สุดผู้ใหญ่คนเดียวในบ้านก็อุ้มร่างบางในอ้อมแขนให้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วจับมือนุ่มพาออกจากห้องนอนไปส่งที่ห้องครัวส่วนตัวเองก็แยกมาแปรงฟันล้างหน้าจึงตามเข้าไปสมทบ
“คุณอานั่งนะ ผมอุ่นข้าวต้มก่อนแล้วจะเอามาให้”
จุนฮงเหลียวมาหาคนที่กำลังทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ขณะอุ่นข้าวต้มบนเตา
นัยน์ตาคมเฝ้าสังเกตเสื้อผ้าที่เด็กในปกครองสวมใส่จากด้านหลัง เสื้อลูกไม้ตัวยาวสีขาวไม่ถึงกับบางนักตัวนั้นเขาจำได้ว่าเป็นเสื้อของคุณป้าที่คุณลุงเก็บใส่กล่องไว้ในตู้เสื้อผ้าเดียวกัน หากเมื่อถูกแสงจากหน้าต่างไร้ม่านบังส่องผ่านกลับมองทะลุถึงส่วนสัดกระทั่งสะโพกกลมกลึงรับกับเรียวขายาวขาวราวกลีบกุหลาบที่ไร้อาภรณ์ใดปกปิด
แม้ในช่วงที่อีกฝ่ายยังป่วยทางใจจะสวมเพียงเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งที่มีเนื้อผ้าหนากว่านี้มากนักยังรู้สึกเร่าอารมณ์ให้พุ่งพล่านมากอยู่แล้ว ทว่าในเวลาที่กุหลาบน้อยของเขาเคลื่อนไหวอย่างอิสระภายใต้ผ้าบางๆที่ขับเน้นเรือนกายบริสุทธิ์ให้กระจ่างชัดแก่สายตากลับกระตุ้นความปรารถนาให้รุนแรงเท่าทวี
นัยน์ตาคมเฝ้าสังเกตเสื้อผ้าที่เด็กในปกครองสวมใส่จากด้านหลัง เสื้อลูกไม้ตัวยาวสีขาวไม่ถึงกับบางนักตัวนั้นเขาจำได้ว่าเป็นเสื้อของคุณป้าที่คุณลุงเก็บใส่กล่องไว้ในตู้เสื้อผ้าเดียวกัน หากเมื่อถูกแสงจากหน้าต่างไร้ม่านบังส่องผ่านกลับมองทะลุถึงส่วนสัดกระทั่งสะโพกกลมกลึงรับกับเรียวขายาวขาวราวกลีบกุหลาบที่ไร้อาภรณ์ใดปกปิด
แม้ในช่วงที่อีกฝ่ายยังป่วยทางใจจะสวมเพียงเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งที่มีเนื้อผ้าหนากว่านี้มากนักยังรู้สึกเร่าอารมณ์ให้พุ่งพล่านมากอยู่แล้ว ทว่าในเวลาที่กุหลาบน้อยของเขาเคลื่อนไหวอย่างอิสระภายใต้ผ้าบางๆที่ขับเน้นเรือนกายบริสุทธิ์ให้กระจ่างชัดแก่สายตากลับกระตุ้นความปรารถนาให้รุนแรงเท่าทวี
...เบบี้โรสเป็นเด็กที่สวย
...สวยเสียจนถ้าไม่ระวังเขาอาจทำให้เปื้อน
มือขาวปิดเตาแล้วตักข้าวต้มร้อนๆใส่ชามสองใบที่วางอยู่ใกล้ๆมาให้ตรงหน้าผู้ปกครองและลากเก้าอี้ตัวถัดไปที่สอดอยู่ใต้โต๊ะมานั่งเท้าคางจ้องมือเรียวที่ตักข้าวที่มีควันร้อนฉุยใส่ปากจึงตักข้าวของตัวเองกินบ้าง
“อร่อยไหมครับ” คำถามตามมาหลังจากข้าวต้มกลืนผ่านลำคอไปหลายคำ
“เราจะเอาความจริงหรือเปล่าล่ะ”
“อืม”
“จืด”
“จริงเหรอ”
“ใครสอนเราทำอาหาร”
“ยายวิเวียนสอนครับ”
“อารู้แล้วว่าทำไมจืด”
“ทำไมงะ”
“ยายแกชอบทำอาหารรสอ่อน...มันดีกับสุขภาพแต่ไม่ดีกับความอร่อย
บังเอิญอาชอบกินอะไรที่อร่อยแต่ไม่ค่อยดีกับสุขภาพสักเท่าไหร่ด้วยสิ อย่างเมื่อวานอาทำข้าวเย็นให้เรา
ที่เราบอกอร่อยน่ะอาเติมอะไรไปเยอะเลยนะ”
“ปกติผมกินแต่แบบนี้นี่”
“ตอนไปเรียน เราไม่ได้กินอาหารที่โรงเรียนเหรอ”
“เปล่า...เพราะผมท้องไม่ค่อยดี
ยายเขาเลยต้องทำข้าวกล่องไปให้แทน”
“ตลอดเลยเหรอ”
“อืม”
“ขอเพื่อนกินสักคำดูสิจะได้คุ้นกับรสชาติอื่น”
“ผมไม่มีเพื่อนหรอก” เสียงนั้นลากยาว
“ผมไม่ชอบคนพวกนั้น”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะพวกนั้นก็ไม่ชอบผมเหมือนกัน”
“รู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ชอบ”
“พวกไอ้ขาวกับไอ้ดำน่ะมันชอบว่าผมเหมือนผู้หญิง
เกิดมาผิดเพศ ไม่ก็ด่าว่าไอ้ลูกไก่
ตัวเหลืองเป็นศพ...พวกเอเชียเหมือนๆกันก็ไม่เคยช่วยอะไรผมหรอก
จับกลุ่มกันหงอทำตัวกลัวหัวหด มีครั้งหนึ่งผมเคยโดนไอ้ดำมาไถเงิน มันว่าถึงพ่อ
ผมโมโหก็เลยชกกับมันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาแรงมาจากไหน
ผมซัดจนมันนอนหมอบไปเลย...ตั้งแต่นั้นก็เลยไม่มีใครกล้ายุ่งกับผมอีก”
ชายหนุ่มมองหน้านวลที่ก้มนิ่งอยู่หน้าชามข้าวตักขณะที่มือยังถือช้อนคนข้าวในนั้นไปมาพาลคิดถึงตนสมัยเมื่อครั้งยังเด็ก ตัวเขาเองไม่ยอมพูดอยู่นานจนคนคิดว่าเป็นใบ้
ช่วงที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับปู่ย่าห่างจากพ่อแม่ที่มาทำงานในโซลโดยพาเพียงพี่สาวและพี่ชายฝาแฝดไปด้วยเท่านั้นก่อความรู้สึกคล้ายว่าตัวเองถูกทิ้งไว้ข้างหลังอยู่ในใจ เมื่อถูกล้อว่าเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่ต้องการเขาเลยไม่อยากสุงสิงกับใครและชอบที่จะอยู่กับปู่ย่าหรือตัวคนเดียวมากกว่า จนได้ย้ายมาเรียนกับพี่ชายฝาแฝดของตัวเองถึงเริ่มปรับตัว
ช่วงที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับปู่ย่าห่างจากพ่อแม่ที่มาทำงานในโซลโดยพาเพียงพี่สาวและพี่ชายฝาแฝดไปด้วยเท่านั้นก่อความรู้สึกคล้ายว่าตัวเองถูกทิ้งไว้ข้างหลังอยู่ในใจ เมื่อถูกล้อว่าเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่ต้องการเขาเลยไม่อยากสุงสิงกับใครและชอบที่จะอยู่กับปู่ย่าหรือตัวคนเดียวมากกว่า จนได้ย้ายมาเรียนกับพี่ชายฝาแฝดของตัวเองถึงเริ่มปรับตัว
เขาอยากให้เบบี้โรสรู้จักการใช้ชีวิต
รู้จักโลกและผู้คนมากกว่าหลบอยู่ในโลกของตัวเอง...เรียนรู้ที่จะคัดแยกคนรวมทั้งเข้าใจโลกเพื่อจะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็ง
“พรุ่งนี้อาจะพาเราไปกินข้าวข้างนอก...เราจะได้รู้ว่าไอ้ที่อร่อยแต่ไม่ดีกับสุขภาพรสชาติมันเป็นยังไง”
“ที่ไหนครับ”
“เดี๋ยวอาพาไปเอง...อารู้จักร้านอาหารอร่อยๆเยอะนะ”
“ไปไกลมั้ยครับ”
“มีทั้งใกล้และไกล”
“ผมไม่ชอบคน” คนอ่อนกว่าลากเสียงอีกและเงียบไปครู่จึงต่อ
“ไม่ชอบคนเยอะๆ”
“อารู้...แต่คนเราอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ตลอดไปหรอก
ผู้คนอาจจะน่ากลัวก็จริงแต่ไม่น่ากลัวขนาดจะจัดการไม่ได้หรอก
ถ้าเราอยู่กับอาเราต้องเจอคนนะ ต้องออกไปข้างนอก อาอยากให้เราเห็นโลกกว้างๆ
อาจะสอนเราทุกอย่าง...จำไว้ว่าไม่มีอะไรที่เราต้องกลัวอะไรเพราะอาจะอยู่ตรงนี้
ข้างๆเราเสมอ”
“จริงนะ”
“จริงสิ อาไม่ไปไหนหรอก กลัวแต่เราจะเบื่ออาซะก่อน”
“รู้ได้ไงว่าผมจะเบื่อ”
“เพราะอาไม่ใช่คนตลกหรือสนุกสนานตลอดเวลาเหมือนคนอื่น”
“ผมก็ไม่ใช่คนสนุกเหมือนกัน...แบบนี้แหละเราถึงยิ่งต้องอยู่ด้วยกันเนาะ” คนเป็นเด็กว่าแล้วยิ้มกว้าง “แต่ว่านะ...ข้าวต้มของผมมันจืดนี่
ทำไมคุณอายังกินเข้าไปอีกงะ”
“เราอุตส่าห์ทำให้อากิน...อาต้องกินให้หมดสิ”
“แต่มันไม่อร่อย”
“ถ้าเรารู้ว่าอากินแล้วไม่อร่อย...ครั้งหน้าก็หาวิธีทำให้อร่อยสิ
หัดทำให้อากินบ่อยๆ ใส่ใจลงไปด้วย อามั่นใจว่า วันนั้นเราจะทำอาหารอร่อย
แต่วันนี้อาจะกินข้าวต้มชามนี้ให้หมดก่อน
ถ้ามันยังเหลือตอนบ่ายเราจะช่วยกันปรุงรสมันใหม่แล้วค่อยกิน
ส่วนพรุ่งนี้ไปกินข้างนอกกัน ตกลงมั้ย”
ผู้ปกครองหนุ่มทอดเสียงลึกปลายนิ้วแข็งบีบแก้มนุ่มขาวไว้เบาๆเช่นผู้ใหญ่ปลอบเด็กให้คลายเศร้า
“อื้อ”
เสียงในลำคอบ่งบอกการรับรู้เช่นรอยแย้มของริมฝีปาก
ทั้งสองนั่งกินข้าวเช้าพลางคุยเล่นกันก่อนจะออกมาขลุกกันอยู่ในห้องนั่งเล่น
ฝ่ายผู้ใหญ่เอนหลังดูรายการข่าวโดยมีเด็กหนุ่มนอนหนุกตักเช่นเดิมจะต่างก็เพียงครั้งนี้ร่างบอบบางขยับขาขาวของตนเองนั้นอยู่หลายทีจนชายเสื้อร่นขึ้นมากองบนต้นขา
ตาคมละจากหน้าจอโทรทัศน์ปลายมองยังคนที่นอนหนุนตักเล่นกุหลาบทั้งที่ตายังจ้องอยู่กับรายการข่าวกีฬาจึงเอ่ยปาก
“อาบน้ำแล้วหรือเรา”
“อาบแล้ว...อาบตอนคุณอาหลับ”
“ไหนว่าไปรดน้ำกุหลาบกับทำข้าวต้มก็กลับมาหาอาไง...พอถามใหม่ไหงเพิ่มอาบน้ำมาด้วยล่ะ”
“ก็...ก็แบบ...ผมอาบน้ำแป้บเดียวเอง...แค่ให้พอรู้สึกว่ามีน้ำไหลผ่านตัวเฉยๆ
มันไม่นานจริงๆนะ รดน้ำในสวนนานกว่าตั้งเยอะ” คนเป็นเด็กละล่ำละลักตอบ
“อาไม่ได้ว่าอะไรเราสักหน่อย” ฝ่ายคนถามว่าพลางหัวเราะขณะสอดมือเข้าไปในเรือนผมคลึงกระหม่อมคนบนตัก
“อากาศในบ้านเย็นนะ เราหนาวหรือเปล่า”
“ตอนไม่อยู่กับคุณอาก็หนาวแต่ตอนนี้ไม่ค่อย”
“จะไม่หนาวได้ยังไงก็ดูเราใส่เสื้อสิ...ไอ้เสื้อตัวนี้...อาจำได้ว่าเป็นของแม่นิ”
“ครับ...เสื้อของแม่”
“ชอบเหรอ”
“ชอบครับ...แบบว่าผมไม่ค่อยมีเสื้อผ้าก็เลยใส่เสื้อแม่เพราะมันทำให้ผมคิดถึงแม่และมันก็ใส่สบายดีด้วย” เด็กหนุ่มตอบพลางหันหัวมานอนมองไรหนวดจางๆตรงแนวสันกรามของผู้ที่ตนเรียกว่าคุณอา
“แต่เสื้อตัวนี้...มันไม่ใช่แบบที่เด็กผู้ชายเขาจะใส่กันนะ”
“ผมรู้แต่ผมนึกว่าคุณอาชอบให้ผมใส่สีขาว...ผมไม่มีเสื้อสีขาว
เสื้อของพ่อที่คุณอาให้ผมใส่ก็ยังไม่ได้ซักเลยสักตัว เสื้อของแม่ที่เป็นสีขาวก็มีแค่แบบนี้
ถ้าคุณอาไม่ชอบผมจะไปเปลี่ยน”
“ไม่ต้องหรอก...เวลาอยู่บ้าน
เราอยากใส่อะไรก็ได้ที่เราอยากใส่ แต่ถ้ามีคนมาบ้านหรือต้องออกไปข้างนอก
เราไม่ควรใส่เสื้อแบบนี้นะ” ถ้อยคำในตอนท้ายมีการเตือนแม้แววน้ำเสียงจะนุ่มนวลดังเก่า
ทว่าความอุ่นจากมือใหญ่ที่จับกำลำแขนเป็นจังหวะเบาๆนั้นสื่อเป็นนัยให้เชื่อนั้นเร้าผู้ฟังขยับจากนอนเหยียดยาวขึ้นมานั่งคุกเข่าบนโซฟา
...แบบนี้เขาเรียกว่า หวงหรือเปล่านะ...
“มันไม่ดียังไงเหรอครับ” ความสงสัยมีแววท้าทายกลายเป็นคำพูด...ตาโตสวยกระพริบแล้วจ้องนิ่ง
“เราไม่รู้จริงๆหรือแกล้งไม่รู้ล่ะ”
รอยยิ้มบางของผู้ตอบผุดพรายและถามกลับด้วยเสียงเช่นเดิม
ทว่านัยน์ตาคมดุจเสือทอดยังร่างบอบบางซึ่งชายเสื้อด้านหลังถูกสะโพกกับเรียวขาทับเนื้อผ้าไว้มากจนดึงชายด้านหน้าให้รั้งขึ้นสูงจนแทบจะปิดส่วนสำคัญที่ดูจะเล็กน้อยกว่าสิ่งที่อีกฝ่ายนั้นมีอยู่มากนัก
ภายนอกยงกุกดูผอมเหมือนไม่มีแรงทั้งที่ความเป็นจริงเขาออกกำลังกายเสมอ
แม้ในช่วงไม่มีเวลาก็มักหากิจกรรมอะไรสักอย่างที่เสียเหงื่อเพื่อคงสภาพมัดกล้ามและความแข็งแรงของตนเองไว้...หลายครั้งที่ร่างกายและเรี่ยวแรงของเขามีมากเกินกว่าที่หลายคนคาดคะเนไว้เช่นเดียวกับด้านมืดที่น้อยคนจะเคยเห็น
...เขาไม่ใช่คนช่างอวดนัก ชอบที่จะลงมือทำมากกว่าพูดด้วยปาก...
“อาจจะรู้...แต่ผมอยากให้คุณอาบอก”
คนอ่อนวัยว่า...ริมฝีปากอิ่มพรายยิ้มเช่นดวงตากลมที่ค่อยๆปรายสูงประสานกับดวงตาสีนิลของผู้เป็นอาในนามที่แม้นมุมปากจะเหยียดกว้าง
หากประกายคมกล้าดูราวกับจะกลืนกินทุกสิ่งกระทั่งเงาของผู้ที่สะท้อนอยู่บนดวงตาทั้งที่ก่อนหน้ายังอุ่นอ่อนทำให้หัวใจเด็กหนุ่มเต้นไม่เป็นส่ำถึงขั้นต้องหลบตาแต่ก็เสียเกินกว่าจะหนีด้วยนาทีหลุบตาต่ำอีกฝ่ายกลับดึงร่างบางมาหาตัวจนขาเพรียวหลุดจากท่าคุกเข่า
ลำแขนแข็งสอดใต้ข้อพับจับให้ขึ้นมานั่งประจันหน้าซ้อนอยู่บนหน้าตัก
“เพราะว่า...”
เสียงต่ำลึกกระซิบแหบพร่าและสัมผัสกัดเบาบนยอดหู
ปลายนิ้วแข็งไล้แผ่วเสียดผ่านความร้อนจากลำคอเป็นวงยังยอดกุหลาบสีชมพูอ่อนจางที่เร้นอยู่ใต้ผ้าสีขาวบางเบา
ริมฝีปากบางเคลื่อนคลอยังเรียวปากล่างอิ่มหวานและดันมันเข้าไปเบาๆชั่วนาทีลิ้นกลับแทรกลึกคว้านรับความหวานราวน้ำผึ้ง
ฝ่ามือเรียวแต่หยาบจากการกรำงานหนักทั้งสองรั้งบั้นเอวบางให้ตั้งตรงวางสะโพกนุ่มบดบนรอยนูนตรงตะเข็บที่ดันตัวสูงเข้าหาแทบทุกขณะ
คลื่นร้อนรุนแรงลุกไล่กระทั่งความหวานถูกกลืนแทบสิ้นเช่นเดียวกับลมหายใจจึงผละจากและโจมลงบนลำคอระหงระเรื่อยลงถึงยอดที่คลึงเคล้า
ความอุ่นชุ่มคลุมครอบจากผืนผ้าถ่ายลงบนยอดกุหลาบตูมขบเม้มหยอกเย้าเช่นของหวานเลิศรสฉุดให้ร่างบางแอ่นเอนรับความชื่นฉ่ำที่หยั่งจากผ้าถึงผิวเนื้อ
“คุณอา...” เด็กหนุ่มครางเรียก
แม้โรงเรียนเคยสอนเรื่องเพศศึกษาเพื่อให้เด็กวัยรุ่นจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง
การป้องกันไม่ให้ท้องก่อนวัยอันควรซึ่งเขาก็เข้าใจดีว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรแต่ไม่ใคร่จะสนใจมันนักด้วยความคิดเขามุ่งอยู่กับอาการป่วยของผู้เป็นที่รักจึงไม่ประสากับเรื่องนี้นัก
เมื่อถูกผู้ชำนาญการสัมผัสทำให้ไม่รู้ว่าจะควบคุมยังไงเลยได้แต่ปล่อยให้อารมณ์ปั่นป่วนที่พาให้ทั้งกายสั่นและตาพร่าเลือนดำเนินไป
มือเล็กขยุ้มเสื้อยืดฝ่ายที่ตนนั่งคร่อมบนตักแทบขาดด้วยไฟรัญจวนขมวดเกลียวไปทั่วท้อง
เรียวขากระหวัดรัดรอบเอวของผู้ปกครองหนุ่มเกร็งแน่น
ไหล่บางไหวสะท้านคล้ายจับไข้ในทุกคราที่ความร้อนลากไหลไปบนร่างอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด
มือสากลากจากบั้นเอวป่ายลงบนขาอ่อนขาวพาดผ่านส่วนอ่อนไหวไปมาคล้ายไม่ตั้งใจ
นัยน์ตาดุตวัดมองหน้านวลที่พริ้มตาก่อนจะขมวดคิ้วย่นหน้าผากด้วยมีบางสิ่งในร่างกายขับเคลื่อนรอการปลดปล่อยและในท้ายที่สุดธาราสีขาวกระเซ็นเปื้อนบนเสื้อสีดำเป็นดอกดวงพร้อมกับแรงกำลังของคนเป็นเด็กที่หมดสิ้นได้แต่เอนซบบนบ่าแข็งและหอบอากาศหายใจผ่านปากอย่างเหนื่อยอ่อน
“อาบอกกับพ่อแม่เราทุกวันว่าจะเลี้ยงเราแบบคนรักไม่ใช่แบบหลานและเราก็สวยมากเหลือเกิน...เกินกว่าที่อาจะยอมให้ใครเห็นเรือนร่างสวยๆนี้ของเรา”
ยงกุกกระซิบตอบค่อยๆกระชับกอดร่างบางที่ยังไหวสั่นพลางลูบมือของตนบนหลังในเชิงปลอบเพื่อลดความตระหนกจากสิ่งที่ได้ทำเกินเลยไปเมื่อครู่
...เบบี้โรสยังเด็ก เขาเองก็รู้แต่สำนึกฝ่ายต่ำที่อยากให้คุ้นกับการสัมผัสของตนดึงเอาไว้
แม้จะพยายามยั้งมือที่สุดแล้วแต่ก็เหมือนจะเกินไปอยู่ดี...
“ที่รัก...จริงๆแล้วเราไม่ควรใส่แบบนี้ตอนอยู่กับอาเหมือนกัน” เขาเกริ่นขึ้นแล้วปิดตาซบหน้าผากลงบนขมับชื้นเหงื่อ “เพราะอาอาจจะหยุดตัวเองไม่ได้...อาไม่อยากให้เรากลัวหรือเกลียดอา”
แทนที่จะพยักหน้ารับ หากคนเป็นเด็กกลับเอนหัวอิงกับผู้ปกครองของตนเอง
“ผมชอบสัมผัสของคุณอา” เสียงอ่อนปนหอบเบาเอ่ยคำ
“ผมจะใส่มันอีก...จะใส่เวลาอยู่กับคุณอา”
ยงกุกลืมตาถอยหน้าออกมามองดวงหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อกับตากลมที่ปรือหาอย่างเหนื่อยอ่อนมีแววเชื้อเชิญนั้นฉุดความมืดจากแรงเสน่หาให้พล่านขึ้นมาอีกครา
กระแสทางสายตารุนแรงเสียจนฝ่ายคนเป็นเด็กรู้สึกขวยเขินรีบเสมองไปทางอื่นและทำให้ชายหนุ่มชะงักหลุดหัวเราะออกมา
...ชอบท้าทาย ทั้งที่ไร้เดียงสา...
เมื่อครู่หากเป็นคนอื่นคงไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น
แต่เขาปฏิญาณกับเถ้าของผู้มีพระคุณในทุกวันว่าจะรักและเลี้ยงดูจุนฮงให้ดีแม้จะเป็นในฐานะคนรัก
หากเขาจะถนอมรอจนกว่าเจ้าตัวจะมีวุฒิภาวะมากพอเสียก่อน
“เบบี้โรส” เขาขานเรียกร่างบางที่ซบนิ่งอยู่บนอกค่อยลูบนิ้วโป้งของตนบนริมฝีปากนุ่มบวม
“รู้ไหมว่าทำไมอาถึงเรียกเราอย่างนั้น ไม่ใช่เพราะอาเจอเราในดงกุหลาบหรือเพราะเรารักดอกกุหลาบเท่านั้นหรอกนะ
แต่เราน่ะเหมือนดอกกุหลาบ...กุหลาบดอกน้อยในสวนต้องห้าม
ถ้าอาแตะเราไม่ระวังอาอาจจะทำเราพังได้”
“ไม่เป็นไรครับ สำหรับผมแล้ว
ถ้านั่นคือคุณอา...คุณอาจะทำให้กุหลาบดอกนี้มันพังหรือแปดเปื้อนอีกสักกี่ครั้งก็ได้” จุนฮงว่ามือขาวคว้ามือที่ใช้นิ้วลูบอยู่บนเรียวปากมาแนบกับแก้ม
ดวงตาหวานฉ่ำทอดมาหาอย่างออดอ้อนและนั่นทำให้พวงแก้มถูกหอมแรงๆอย่างเอ็นดูอยู่หลายที
“ก็นะ...อาเพิ่งจะทำเราเปื้อนไปเมื่อกี้เอง”
ฝ่ายผู้ใหญ่บอกพลางหัวเราะสอดแขนอุ้มให้ร่างบางขยับเปลี่ยนมานั่งตักเหยียดขาทั้งสองไปทางเดียวกันแล้วหลุบตาต่ำยังวงน้ำสีขาวที่เปรอะบนเสื้อของทั้งสอง
“จะให้อาเช็ด...หรือจะอาบน้ำล้างตัวกับอาดี
แต่ถ้าอาบกับอาเราต้องรู้ด้วยนะว่ากว่าจะสะอาดน่ะคงนาน”
เด็กหนุ่มย่นจมูกมองต้นขาขาวของตนเองทั้งที่ยังเอนหัวซบบนอกแข็งนิ่งงันเพื่อตัดสินใจแต่ไม่ทันได้พูด เสียงโทรศัพท์ที่วางทิ้งบนโต๊ะไม้หน้าโซฟากลับดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
ผู้เป็นเจ้าของเอื้อมหยิบมันมากดรับสายด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่อยากสนทนากับปลายสายอยู่หลายนาทีจึงวางสายและโยนกลับไปบนโต๊ะใหม่
“มีอะไรเหรอครับ”
“ทนายของพ่อเราจะมา”
“มาทำไม”
“มาคุยเรื่องเรา...”
“ทำไมถึงต้องคุย...คุณอาเป็นผู้ปกครองของผมแล้วนิ”
“ไม่รู้มัน...เราไปล้างตัวเปลี่ยนชุดใหม่เองก่อนนะ” เขาออกคำสั่งฝังจมูกลงบนเรือนผมอย่างนุ่มนวลแต่คนเป็นเด็กไม่ยอมลุกไปไหนกลับกำชายเสื้อสีดำไว้
“คุณอา”
“หื้อ”
“เขา...เปลี่ยนเนื้อหาในพินัยกรรมใหม่ได้หรือเปล่า”
“ไม่ได้”
“จริงนะ...เปลี่ยนไม่ได้จริงๆนะ”
อยู่ๆเสียงของเด็กหนุ่มกลับสั่นเครือและตาเริ่มมีรอยแดงทำให้คนที่เฝ้าสังเกตทุกการเปลี่ยนแปลงแม้เพียงเล็กน้อยของเด็กในปกครองมาตลอดรู้สึกถึงความเจ็บปวดข้างใน
“เราไม่ชอบมันเหรอ”
“ผมน่ะยิ่งกว่าเกลียดไอ้บ้านั่นอีก...ตอนที่พ่อต้องนอนโรงพยาบาลที่คุณอาไม่มาเยี่ยมพ่อ
มันยื่นข้อเสนอให้พ่อเปลี่ยนผู้ปกครองในพินัยกรรมจากคุณอาเป็นมันทุกวัน
มันบอกว่าคุณอาอยู่ไกลมาดูแลผมไม่ได้แต่พ่อไม่ยอม ยิ่งหลังๆที่พ่ออาการทรุดลงเขาชอบมองผมด้วยแววตาแปลกๆ
บางครั้งเขาพยายามจะแตะตัวผมหรือเข้ามากอด
ผมทำได้แค่เลี่ยงเพราะไม่อยากให้พ่อกังวล”
จุนฮงคอยเม้มริมฝีปากในทุกครั้งที่ต้องเอ่ยถึงทนายความของพ่อ
“วันที่พ่อจะไป พ่ออาการไม่ดีแต่เช้า
ผมอยากอยู่กับพ่อแต่ว่า มัน...มันไม่ยอมให้ผมอยู่ พ่อเลยบอกให้ผมไปเรียน
แล้ว...พ่อก็ไปโดยที่ผมยังไม่ได้บอก...ยังไม่ได้บอกพ่อเลยว่า
ผมรักพ่อมากแค่ไหน...ผม...ไม่...ได้แม้แต่จะบอกลาพ่อเลยสักคำ...ถ้าผมไม่ไปเรียน
อย่างน้อย...อย่างน้อยตอนนั้นคงได้อยู่กับพ่อ อย่างน้อยคงได้...”
น้ำตาอุ่นหยาดลงบนชายเสื้อเป็นเวลาเดียวกับที่ร่างบางถูกดึงเข้ามาสู่อ้อมแขน
ยงกุกจูบเบาๆบนหางตาที่มีเปียกชุ่มจากความเศร้า
ขณะขบคิดถึงใครอีกคนที่ทำให้กุหลาบน้อยร้องไห้
สันดานทะเยอทะยาน
เหยียบใครก็ได้เพื่อขึ้นไปอยู่ในจุดที่ตัวเองต้องการของจงยอนนั้นเป็นสิ่งที่ยงกุกเองรับรู้ เพียงแต่ยังไม่เคยเห็นมันทำสันดานเลวๆกับคุณลุงมาก่อนจนกระทั่งช่วงที่คุณลุงเสีย
มันเอาแต่ตอแหลไปเรื่อยเลยเกือบฆ่ามันไปรอบ
ยิ่งมารู้ว่ามันเลวถึงขนาดจะเคลมลูกของผู้มีพระคุณทั้งที่ไม่สมยอมด้วยแล้วกรามก็ขบแน่น
...เมื่อไม่นานมานี้เขาได้ข่าวระแคะระคายเรื่องที่ปัญหาการเงินในสำนักงานกฎหมายของฝ่ายนั้นมาบ้างและนี่อาจเป็นเหตุผลที่อดีตลูกคุณหนูที่ผ่านความตกต่ำมาก่อนแต่ยังจมไม่ลงคิดการใหญ่...
“เราอยากให้มันเป็นยังไง”
“คุณอาหมายถึง...”
“ไอ้คนที่เราเกลียดน่ะ เราอยากให้มันทรมานขนาดไหน
แค่เราบอกอามาว่าอยากให้จัดการขั้นไหน อาจะทำให้” ถ้อยคำกร้าวจริงจังถามและฝังปลายจมูกอยู่ที่เรือนผมหอมๆนั้นครึ่งนาทีจึงว่า
“จำไว้...ไม่ว่าใครที่ทำเราเจ็บ
อาจะทำให้มันเจ็บกว่าเราพันเท่า ไม่ว่ามันจะเป็นใครไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหน
อาจะไม่ปล่อยมันไป”
“ผมไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก...อยากให้เขาไปไกลๆ
คุณอาทำให้ได้มั้ยครับ” คนในอ้อมกอดสะอื้นตอบ
“ได้สิ...แต่ก่อนอื่น เราต้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
เสร็จแล้วไปรออาที่ห้องนอน จบเรื่องนี้แล้วอาจะไปหา โอเคไหม”
“อืม” เสียงในลำคอตอบรับแต่คนเป็นเด็กก็ยังไม่ยอมลุกจากตักเสียทีเลยกลายเป็นคนสั่งต้องอุ้มไปถึงห้องน้ำ
จัดแจงหาเสื้อผ้ามิดชิดให้เสร็จสรรพก่อนจะแว่วเสียงกริ่งตรงประตูจึงผละไป
ชายหนุ่มสวมสูทสีดำในมือถือกระเป๋าหนังใส่เอกสารทอดสายตาไปยังสวนที่กุหลาบออกดอกบานสะพรั่งระหว่างรอให้คนในบ้านมาเปิดประตู
หลายเดือนแล้วที่ฮัน จงยอนไม่ได้เหยียบมาที่บ้านของผู้มีพระคุณที่เขานับถือเป็นลุงด้วยเกรงว่าถ้ามาให้ชายคนที่มีสถานะเดียวกับเขาแต่เป็นที่โปรดปรานมากกว่าอาจจะไม่ปลอดภัยจึงได้แต่ใช้แม่บ้านที่ส่งมาให้ช่วยทำความสะอาดบ้านช่วงที่ทายาทตระกูลชเวยังไม่หายจากอาการทางจิตส่งผ่านข้อความที่ตนเองอยากสื่อสารไปหา
หลายเดือนแล้วที่ฮัน จงยอนไม่ได้เหยียบมาที่บ้านของผู้มีพระคุณที่เขานับถือเป็นลุงด้วยเกรงว่าถ้ามาให้ชายคนที่มีสถานะเดียวกับเขาแต่เป็นที่โปรดปรานมากกว่าอาจจะไม่ปลอดภัยจึงได้แต่ใช้แม่บ้านที่ส่งมาให้ช่วยทำความสะอาดบ้านช่วงที่ทายาทตระกูลชเวยังไม่หายจากอาการทางจิตส่งผ่านข้อความที่ตนเองอยากสื่อสารไปหา
...ถ้าไม่ใช่ว่ามีเรื่องจำเป็น เขาคงไม่กลั้นใจโทรศัพท์มาหา...
ช่วงที่คุณลุงเข้าโรงพยาบาลเป็นช่วงเดียวกับที่สำนักงานกฎหมายที่เขาเป็นเจ้าของเริ่มมีปัญหาทางการเงินเนื่องจากไม่ค่อยมีใครว่าจ้างงานใหญ่กับเขามากนัก
รายได้จากการว่าความคดีเล็กๆนั้นเพียงประคองให้สำนักงานอยู่ได้ไปแก่นๆ
จะให้ยุติสำนักงานแล้วไปทำงานเป็นลูกน้องคนอื่นก็รู้สึกเสียหน้าเลยต้องเดินหน้าดิ้นรนเข้าสังคมเพื่อเจอคนใหญ่คนโตเผื่อมีงานอะไรจะได้เรียกใช้
แต่ค่าใช้จ่ายก็ยังไม่ลดลง
ในตอนที่เห็นพินัยกรรมของคุณลุงซึ่งมีทรัพย์สินมหาศาลให้กับผู้เป็นทายาทแล้วมาคิดคำนวณดูก็รู้ว่า
เงินจำนวนนี้จะช่วยเขาได้
ถ้าเพียงแต่เขาจะได้สิทธิ์ในการเป็นผู้ปกครองเด็กคนนี้แล้วล่ะก็คงสบายไปหลายปีแต่เพราะมีชื่อคนอื่นระบุไว้แล้ว
แม้เขาจะพยายามโน้มน้าวให้เปลี่ยนเป็นเขาแต่คุณลุงกลับไม่ยินยอมเสียที
...เมื่อท่านเสียกะทันหัน โอกาสที่จะแก้พินัยกรรมนั้นก็ยาก
ยิ่งผู้ปกครองตัวจริงอย่างยงกุกยอมรับหน้าที่ผู้ปกครองทันทีอย่างไม่มีลังเลทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก...
...ยงกุกเป็นคนน่ากลัวมากอย่างที่ใครคาดไม่ถึงและถ้าได้ลองโกรธแค้นใครแล้วเจ้าตัวจะล่าตัวมาสำเร็จโทษจนกว่าจะสาแก่ใจ
...ยอมรับว่า
เขากลัวยงกุกแต่เขาไม่มีทางเลือกจึงบากหน้ามาเผื่อว่าการโน้มน้าวเรื่องธุรกิจของอีกฝ่ายรวมทั้งความยุ่งยากในการรับมือกับเด็กหัวรั้นได้ล่ะก็ตำแหน่งผู้ปกครองอาจเปลี่ยนมาเป็นเขา
บานประตูไม้เปิดพรวดออกมากระแทกเข้ากับผนังเรียกให้อีกคนละสายตาจากกุหลาบมาหาชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งที่สูงกว่าตนซึ่งมองมายังเขาด้วยใบหน้าเรียบไร้ความรู้สึกใด
“สวัสดี” จงยอนเอ่ยทักทายเป็นคำแรกพร้อมรอยยิ้มทั้งที่อกสั่นขวัญแขวนแต่คนตรงข้ามไม่พูดอะไรเลยสักคำเพียงหันหลังเดินนำเข้ามาในห้องนั่งเล่นและกระแทกตัวลงนั่งบนโซฟาพลางกอดอก
“จุนฮงเขาเป็นยังไงบ้าง” ประโยคนั้นทำลายความเงียบที่ก่อตัวขึ้นระหว่างกัน
“สบายดี”
“อ้อ” ทนายความหนุ่มพยักหน้า
ปรายตามองไปยังคนตรงข้ามพยายามจะอ่านแววตาว่าคิดสิ่งใดแต่ก็ยากยิ่ง
“มีอะไรก็ว่ามา” คำถามห้วนนั้นไม่เป็นมิตรแม้แต่น้อย
หากอีกฝ่ายยังทำใจดีสู้เสือเปิดกระเป๋าหยิบเอกสารหลายฉบับออกมาวางบนตัก
สูดลมหายใจลึกคล้ายชั่งใจว่าควรจะพูดดีหรือไม่แต่สุดท้ายก็ยอมปริปาก
“คืออย่างนี้...ฉันเห็นว่านายก็อยู่ที่นี่นานแล้ว
จุนฮงเขาก็ไม่มีทีท่าจะหายสักที ฉันกลัวว่า
ธุรกิจของนายที่เกาหลีจะมีปัญหาก็เลยอยากเสนอบางอย่างที่อาจจะช่วยนายได้”
“ไอ้ข้อเสนอที่ว่า มันคงไม่ใช่ว่า
นายอยากเป็นผู้ปกครองจุนฮงแทนฉันหรอกนะ” อีกคนดักคอเหมือนอ่านใจได้
“มันก็...นายเป็นธุรกิจแถมไม่ได้อยู่ที่นี่
การจะดูแลเด็กที่สภาพทางใจยังไม่ดีมันจะถ่วงนายเสียเปล่าๆ
ฉันเองใช้ชีวิตอยู่นี้ไม่เคยคิดจะกลับไปเกาหลีอยู่แล้ว...” ทนายหนุ่มปิดปากทันทีที่เห็นอีกฝ่ายผุดลุกจากโซฟาหักข้อนิ้วมือเดินมาหยุดยืนตรงหน้าห่างออกไปเพียงไม่กี่สิบเซนติเมตร
มือเรียวพรวดมาคว้าคอปกเสื้อเชิ้ตสีขาวทั้งสองข้างบีบแล้วรีดขึ้นมารัดคอหอยไว้อย่างแรงกักลมหายใจทอดมองด้วยแววตาไร้อารมณ์แม้จะเห็นตรงข้ามตาเหลือกลานอ้าปากพะงาบเพื่อหายใจ
“ยงกุ...”
“ครั้งหนึ่งกูเคยคิดนะว่าคนทะเยอทะยานอย่างมึงคงไม่แว้งกัดผู้พระคุณของตัวเองแต่กูคงคิดผิดสินะ” ประโยคเย็นจากเสียงต่ำยะเยือกแทรกถาม
นัยน์ตาลุกวาวแข็งกร้าวราวกับสัตว์ร้ายหมายขย้ำศัตรูผู้ล้ำเขตแดนให้สิ้นชีพ
“ไอ้คนที่ไม่มีปัญญาหาเงินเปิดสำนักงานกฎหมายของตัวเองต่อจนต้องหาวิธีฉกฉวยจากทรัพย์สินของคนอื่นเขาอย่างมึงนี่ ทำไมไม่ปิดมันไปซะล่ะหรือว่าไอ้ความหน้าใหญ่ต้องเหนือกว่าคนอื่นมันทำให้มึงจมไม่ลง...ก็ได้ เดี๋ยวกูหาทางปิดสำนักงานมึงให้...มึงก็รู้ว่ากูรู้จักคนเยอะ ไอ้การจะปิดตายสำนักงานของมึงหรือทำให้มึงหมดอนาคตในสายอาชีพนี้ กูก็ทำได้ง่ายนิดเดียว”
“ไอ้คนที่ไม่มีปัญญาหาเงินเปิดสำนักงานกฎหมายของตัวเองต่อจนต้องหาวิธีฉกฉวยจากทรัพย์สินของคนอื่นเขาอย่างมึงนี่ ทำไมไม่ปิดมันไปซะล่ะหรือว่าไอ้ความหน้าใหญ่ต้องเหนือกว่าคนอื่นมันทำให้มึงจมไม่ลง...ก็ได้ เดี๋ยวกูหาทางปิดสำนักงานมึงให้...มึงก็รู้ว่ากูรู้จักคนเยอะ ไอ้การจะปิดตายสำนักงานของมึงหรือทำให้มึงหมดอนาคตในสายอาชีพนี้ กูก็ทำได้ง่ายนิดเดียว”
“อึก...”
เสียงจากความทรมานลอดผ่านปากพร้อมกับมือของฝ่ายที่ตกเป็นเบี้ยล่างแทบตอบโต้อะไรไม่ได้ด้วยขาดอากาศได้แต่จิกเท้าแขนของโซฟาด้วยอาการเกร็งแน่น
ทว่ายงกุกกลับขยับเข้าไปมองหน้าแดงที่กำลังเปลี่ยนสีเป็นม่วงเสียใกล้อย่างเฉยชาราวกับเคยคุ้นกับการสังหารเช่นนี้มาก่อน
“กูมีทางเลือกให้มึงสองทาง...ทางแรกไสหัวไปจากที่นี่แล้วอย่ายุ่งกับเด็กของกูอีก
ส่วนทางที่สองคือกูจะฆ่ามึงตรงนี้แล้วค่อยหั่นศพแยกชิ้นส่วนมึงไปบดทำอาหารปลา
เลือกสิ เลือกทางที่มึงชอบ”
“ระ...แร...แรก”
“ฮะ...อะไรนะ กูไม่ค่อยได้ยินเลย”
“ทาง...ทางแรก”
“แน่ใจ”
“นะ...นะ...แน่...ดะ...ได้...โปรด”
คนใกล้หมดลมหายใจรวบรวมกำลังสุดท้ายเปล่งเสียงขอร้องต่อผู้ทำหน้าที่มัจจุราชหยิบยื่นความตายซึ่งแสยะยิ้มเยาะมองอยู่
ชั่วนาทีที่คิดว่าจะตายเสียแล้วปกเสื้อกลับถูกปล่อยเป็นอิสระทำให้ทนายหนุ่มไอโขลกด้วยสำลักอากาศ
เล็บที่จิกเกร็งข่วนตะกายโซฟาให้แผ่นหลังที่จมลงให้พ้นออกมา
“เอาล่ะ...กูจะนับหนึ่งถึงสาม
ถ้าสามแล้วมึงยังไสหัวไปไม่หมดสายตากู
รับรองเลยว่ามึงจะไม่รู้จักความสุขอีกเลยในชีวิต” คนตัวสูงกว่าว่าเน้นเค้นทีละคำ
โดยไม่ทันจะเริ่มนับเลขฝ่ายถูกคุกคามก็คว้ากระเป๋าโจนพรวดจากเก้าอี้วิ่งลนลานออกไปอย่างไม่คิดชีวิต
ยงกุกกอดอกขยับเท้าเดินไปยังหน้าต่างเพียงเพื่อจะดูทนายความหนุ่มวิ่งขึ้นรถขับออกไปก่อนจะเหลียวกลับมาสู่ภายในบ้านแลกองเอกสารที่ร่วงกระจัดกระจายบนพื้นกำลังจะก้าวไปเก็บ
ทว่าหางตากลับรู้สึกเหมือนมีคนยืนอยู่จึงหันไปมองก็เห็นจุนฮงที่สวมเสื้อยืดลายทางสีดำสลับขาวกับกางเกงยีนส์ขาสั้นยืนเกาะกำแพงจ้องมายังเขาเขม็ง
ชายหนุ่มสบตากับเด็กหนุ่มตรงหน้าโดยไม่เบือนหน้าหรือหลบตาหนี
เพียงยืนเฉยอยู่อย่างนั้นกระทั่งคนอ่อนวัยเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาทำปากยื่นอย่างไม่ชอบใจก่อนจะจับแขนของเขาขึ้นมาด้วยมือเย็นนุ่มข้างหนึ่ง
“คุณอาเอามือไปจับคนสกปรกแบบนั้นได้ยังไง...รีบไปล้างมือเลย”
แทนที่จะกลัวเด็กในปกครองของเขากลับตอบคำถามที่ทำให้เขาหลุดยิ้มมองร่างเล็กที่ลากเขาพามาถึงห้องน้ำแล้วดึงมือเข้าไปใต้น้ำที่ไหลในอ่างพลางหยิบสบู่มาฟอกขัดให้
“ทำอะไรของเราเนี่ย” เขาถามแลเสี้ยวหน้าและแววตาอันมุ่งมั่นของคนเป็นเด็กด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ผมขัดเชื้อโรคออกจากมือคุณอาให้ไง”
“เรานี่ตลกจริง
ไม่กลัวอาหรือไง...เมื่อกี้อาน่ากลัวมากเลยนะ”
“ไม่เห็นน่ากลัวตรงไหน”
“จริงเหรอ”
“อืม” เสียงในลำคอดังขึ้นพร้อมกับผ้าขนหนูที่ซับลงบนมือเปียก
“เท่านี้น่าจะสะอาดแล้วล่ะ”
“ขอบคุณครับ” คนเป็นผู้ใหญ่บอกแล้วรั้งเอวบางมากอดและปล่อยให้เด็กของตนเองเกยคางบนอก
“ตัวหอมเชียว อาบน้ำใหม่แล้วสิ อาบไม่รออาเลย”
“ก็คุณอาบอกให้ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วรอในห้อง
ไม่ได้บอกให้อาบน้ำรอนี่นา”
“งั้นอาทำให้เราเปียกดีไหม เราจะได้อาบน้ำกับอาใหม่”
ชายหนุ่มถามตั้งท่าจะดีดน้ำที่ยังไหลอยู่ใส่แต่เพราะอีกคนหาวหวอดใหญ่ออกมาเลยหยุดความคิดไว้เท่านั้น
“ง่วงเหรอเรา”
“อื้อ”
“ทำไมง่วงล่ะ เมื่อคืนเราก็นอนพร้อมอานิ”
“ก็นอนแต่ไม่ได้หลับ”
“นอนไม่หลับเหรอ”
“เปล่า...ผมมัวแต่มองคุณอาตอนหลับก็เลยไม่ค่อยได้นอน
หลับไปแป้บเดียวก็เช้าเลยออกมาทำนู้นทำนี่ พอถึงตอนนี้มันก็เลยง่วงอีกแล้วงะ”
“เรานี่” เขาพูดพลางหัวเราะ “จะมานอนมองอาตอนหลับทำไมกัน”
“คุณอาก็หล่อให้มันน้อยๆหน่อยสิ ผมจะได้ไม่มองเพลิน”
เจ้าของตาโตกระพริบมองด้วยรอยยิ้มสดใส
“อาไม่หล่อหรอก”
“หล่อ...หล่อมากๆเลยด้วย”
“เราน่ะปากหวานจริง...ใครสั่งใครสอนเรามาเนี่ย”
คำถามนั้นตามมาด้วยนิ้วแข็งที่บีบปลายจมูกขาวเบาๆแล้วมองเด็กที่หาวอีกเป็นรอบที่สองก็สงสารเลยไล่ให้ไปนอน
“เดี๋ยวอาอาบน้ำเสร็จจะตามไปนอนด้วย”
“ผมรอในนี้ไม่ได้เหรอ...รอจนคุณอาอาบน้ำเสร็จหรือไม่ก็ให้ผมอาบน้ำให้คุณอาก็ได้”
“อากลัวว่าถ้าเราอาบน้ำให้อาคงอีกนานกว่าเราจะได้นอน”
“ทำไมถึงนานล่ะครับ” คนเป็นเด็กแกล้งถามตาใส
“เพราะอาคงทำเราเปื้อนและไม่รู้ว่าเราจะเปื้อนจนต้องล้างใหม่กี่รอบเหมือนกันแต่ถ้าเราอยากลองก็ได้นะ”
คนมากวัยกว่าบอกพลางยื่นหน้ามาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ใกล้เสียจนแก้มเนียนขาวกลับมาแดงและตากลมก็เสไปทางอื่น
“งั้นผมไปนอนรอคุณอาที่ห้องนอนดีกว่า”
สุดท้ายเด็กหนุ่มก็เลือกรับข้อเสนอแรกปล่อยให้แขนแข็งแรงกอดรัดตัวเองแน่นๆครั้งใหญ่จึงถูกปล่อยเป็นอิสระ
หากในนาทีที่เท้าก้าวไปถึงหน้าประตูห้องน้ำหลังบางก็เหลียวมาหาคนที่โยนเสื้อยืดซึ่งถอดพ้นจากร่างลงตะกร้า
“ผมอยากรู้ว่าคุณอาจะทำผมเปื้อนกี่รอบเหมือนกันนะ แต่ตอนนี้ต้องไปนอน
ไว้กลางคืนก่อนเราค่อยมาพิสูจน์ด้วยกันเนาะ”
จุนฮงกระพริบตาปริบเหมือนเด็กเล็กๆ
หากรอยยิ้มที่ส่งมาหากลับหวานจับใจอยู่หลายนาทีกว่าจะกระโดดโลดเต้นออกจากห้องน้ำไปปล่อยให้ผู้ปกครองยกมือปิดตาพลางถอนหายใจทั้งที่ริมฝีปากกลับเหยียดกว้างอย่างพอใจ
...ถ้าเต็มใจให้เปื้อน เขาจะสลักรอยรักที่ลบเลือนไม่ได้ออกให้...
3 Comments
โอโห.... ยัยยั๊วววว ยั่วคุณอา คุณอาทนได้ไงเนี่ย!!!! 555555555 อ่านแล้วเขินไปอี๊ก!!!!
ตอบลบโอโห.... ยัยยั๊วววว ยั่วคุณอา คุณอาทนได้ไงเนี่ย!!!! 555555555 อ่านแล้วเขินไปอี๊ก!!!!
ตอบลบขอแบบเปื้อนทุกวันเลยได้ไหมค่ะ =.,=
ตอบลบ