LOVE TOXICAL : CHULJAE&DUPNON CHAPTER 11

20:55


หากรักแล้วเจ็บ ก็จงรักให้มากขึ้น
หากรักมากขึ้นแล้วเจ็บมากขึ้น 
ก็จงรักให้มากยิ่งไปกว่าเดิม
หากรักยิ่งขึ้นแล้วยิ่งเจ็บขึ้นไปอีก
ก็จงรักให้มากจนกระทั่งไม่อาจเจ็บได้อีกต่อไป

...เชคสเปียร์...


แผ่นหลังกว้างของชายคนหนึ่งในชุดหนังสีดำเคลื่อนห่างออกไปทีละน้อย ขณะที่ใครอีกคนย่ำเท้าเปล่าเหยียบลงบนพื้นดินโรยกรวดพยายามไล่ตามให้ทัน  ความเจ็บปวดเสียดแทงอยู่ใต้เท้า หากมือยังไขว่คว้าหมายจะเอื้อมไปให้ถึง



...ทั้งที่รู้ว่าเป็นความฝัน



...ความฝันที่ก่อเกิดทุกคืนค่ำยามเข้าสู่ห้วงนิทรา



...ความฝันที่มาพร้อมกับการร้างหายของใครคนหนึ่ง



...ความฝันที่บั่นทอนกำลังจนไร้เรี่ยวแรง



...หากเจ้าของความฝันไม่อาจหยุดยั้งทุกการกระทำ



สิ่งที่ทำให้ชีวิตหนึ่งถูกทำลายจนกลายเป็นเศษซากคือความทุรนทุรายที่ต้องอยู่กับความเจ็บปวดในโลกแห่งความเป็นจริงทุกเมื่อเชื่อวัน กระทั่งในโลกแห่งความฝันเขาก็ยังไม่อาจหลุดพ้น



การไล่ตามให้ถึงแผ่นหลังนั้นไม่มีวันสิ้นสุดจนกว่าจะรู้สึกตัวตื่น...ไม่ว่าจะเร่งความเร็วเท่าใด ในทุกครั้งที่เข้าใกล้แผ่นหลังนั้นจะเคลื่อนออกไป ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนทุกวันเพราะมือที่ยื่นออกไปคว้าชายเสื้อแจ็กแก็ตหนังนั้นได้



ชายคนนั้นหยุดยืนพร้อมเหลียวหลังกลับมาหา...ใบหน้านั้นถูกม่านหมอกบดบังจนเลือนลางแต่ในวินาทีนั้นริมฝีปากของชายผู้นั้นกลับเหยียดกว้าง



...รอยยิ้มที่คุ้นเคย...



...รอยยิ้มของใครคนหนึ่งที่เขาควรเกลียดชังและทำให้มีน้ำตา...



...แต่สัมผัสอุ่นจากรอยยิ้มนั้นเป็นสิ่งที่ยังโหยหา...



...สุดท้ายก็มีแค่เหยื่อที่ติดกับดักและออกไปไหนไม่ได้...



ยองแจสะดุ้งสุดตัวพร้อมกับดวงตากระตุกลืมขึ้นมอง รู้สึกได้ถึงหยาดน้ำใสๆที่รินไหลสู่หมอนที่นอนหนุน แสงสว่างจากหลอดไฟบนเพดานสาดกระทบมาทำให้ตาพร่าต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะพบว่าตัวเองนอนอยู่ในโรงพยาบาล



คนป่วยขยับศีรษะหันไปด้านข้างเหลือบตามองถุงน้ำเกลือที่ว่างเปล่าและสายที่ถูกม้วนพาดไว้บนราวแขวน บนหลังมือรู้สึกได้ถึงความเจ็บจากการถูกเจาะและมีผ้าปิดทับไว้ ในสมองพยายามทบทวนความจำสุดท้ายโดยพยายามไม่คิดถึงใบหน้าของคนที่สร้างรอยแผล



...เขาเป็นลมกลางสนาม...



...ฮยองวอนคงพาเขามา...



ความอ่อนล้าทำให้เขาซบลงกับหมอนนอนหลับตาอีกรอบ มือป่ายโดนกระเป๋ากางเกงทำให้รู้ว่าโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์ยังอยู่ที่เก่า ยังไม่รู้สึกมีแรงพอจะลุกไปไหนเลยได้ตานอนรอให้เพื่อนที่เชื่อว่าเป็นคนพามาส่งกลับมาหา แต่เพราะเสียงประกาศเรียกชื่อใครคนหนึ่งทำให้ตาเบิกกว้าง


“อาจารย์จอง ฮอนชอล เชิญห้องฉุกเฉินด้วยค่ะ”



...ไม่ใช่แช ฮยองวอนแต่เป็นจอง ฮอนชอล...



วินาทีนั้นเขารับรู้โดยสัญชาตญาณว่า ผู้ชายคนนั้นอาจเป็นคนพาเขามาและนั่นทำให้ลมหายใจเข้าออกเริ่มติดขัดคล้ายคนใกล้หมดลมหายใจแต่คนป่วยยังฟื้นลุกขึ้นนั่งปรายมองม่านที่กั้นเพื่อความเป็นส่วนตัวก่อนมองหลังมือที่มีผ้าพันแผลปิดอยู่ก็ตัดสินใจลงจากเตียงแล้วสวมรองเท้ารีบเดินออกมาอย่างระแวดระวังสวนกับนางพยาบาลเข้าพอดี


...ทั้งที่แรงแทบไม่มีแต่ยังฝืน ดีกว่าทนมองคนที่สร้างรอยแผลลึก...



ฮอนชอลจ่ายเงินและหิ้วถุงยากลับเข้ามาในห้องฉุกเฉิน เดินไปหาพยาบาลยื่นเอกสารกับเจ้าหน้าที่เพื่อรับตัวคนป่วยซึ่งแพทย์อนุญาตให้กลับไปพักผ่อนต่อที่บ้านหลังให้น้ำเกลือถุงที่สามหมด เมื่อเรียบร้อยก็เดินกลับมายังเตียงของคนป่วยเพื่อจะพบกับความว่างเปล่า



ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเดินไปหาพยาบาลเพื่อสอบถามถึงคนไข้ที่เมื่อครู่ยังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง



“เห็นคนไข้ลงจากเตียงเดินไปทางห้องน้ำนะคะ”



“อ้อ ครับ ขอบคุณ” เขาตอบกลับรีบเดินไปที่ห้องน้ำ เปิดประตูที่ปิดสนิทในทุกห้องแต่ไม่พบใครก็หุนหันเดินออกจากห้องฉุกเฉินไปด้านนอก



สายลมเย็นพัดพาดมาทำให้รู้สึกหนาว ทุกย่างก้าวของคนที่ฝืนเดินไปตามทางข้างหน้าในความมืดที่มีเพียงแสงจากเสาไฟริมทางส่อง มือสั่นเทาหยิบโทรศัพท์ออกมาเลื่อนดูรายการโทร หมายเลขที่ไม่มีการบันทึกและหมายเลขโทรศัพท์ของฮยองวอนขึ้นแจ้งเตือนว่าไม่ได้รับ ปลายนิ้วเลยกดโทรออกหาเพื่อน



“ฮยองวอน...เราเอง” เขาพูดกับปลายสายยังคงลากสังขารตัวเองไปเรื่อยๆ



“อา ยองแจ ฟื้นแล้วเหรอ”



“นายอยู่ไหน...อยู่โรงพยาบาลหรือเปล่า”



“ตอนนี้อยู่ข้างนอกโรงพยาบาลอ่ะ แต่ไม่ไกลหรอก”



“มา...รับเรา...ได้ไหม”



“ให้ไปรับเหรอ...ได้สิ...เดี๋ยวเรา...” เสียงของเพื่อนขาดหายไปพร้อมกับมือของใครบางคนที่ดึงโทรศัพท์ออกจากมือขาวตามด้วยถ้อยคำจากคนเบื้องหลังที่ทำให้กายเจ้าของโทรศัพท์สั่น



“เท่านี้ก่อนนะ...เพื่อนคุณเขาต้องพัก คุณไม่ต้องมารับหรอก ผมจะไปส่งเขาเอง”



ยองแจกัดริมฝีปากไม่กล้าหันไปมองได้แต่เหลือบตาไปด้านข้าง รวบรวมกำลังที่มีอยู่เพื่อจะหนีแต่มือแข็งดุจคีมเหล็กก็คว้าให้ทั้งร่างเข้าไปอยู่ในอ้อมแขน กลิ่นหอมเย็นชวนให้ดำดิ่งสู่ความลึกลับบนเรือนกายของอีกฝ่ายเป็นกลิ่นที่คุ้นเคยและเคยชอบมาบัดนี้กลับเหมือนยาพิษที่ทำให้หายใจไม่ออก



“เราจะไปไหน”



 “ปล่อย” คำสั้นนั้นเบาโหวง คนพูดหอบหายใจผ่านริมฝีปากความอุ่นจากอ้อมแขนที่เคยได้รับเมื่อกาลก่อนราวมีดคมกรีดลงกลางใจให้กายบางสั่นเทา กำปั้นขาวจากสองมือพยายามดันอกของคนที่กอดตัวเองไว้ให้ห่างตัวแต่แรงอันน้อยนิดแทบไม่มีผล เจ้าของอ้อมแขนยังคงกอดคนป่วยไว้อย่างอ่อนโยนดังวันวาน



“จะปล่อยได้ยังไง...พี่ปล่อยเราไปไม่ได้หรอก”



เพียงคำตอบนั้นผ่านสู่โสตประสาท หัวใจคนฟังมีถ้อยคำมากมายที่อยากถามและใช้ไล่ให้ถอยหนี ทว่าความเจ็บที่ประดังประเดเข้าใส่ดังฝั่งทะเลถูกคลื่นซัดทำให้ลำคอตีบตันเลยได้แต่กัดฟันแน่น  สุดท้ายน้ำตาก็รินออกมา



“ปล่อย”



ประโยคนั้นหลุดออกมาอีกคราฤทธิ์ยาและความอ่อนเพลียทำให้ขาอ่อนเปลี้ยจนแทบไถลลงไปกับพื้น น้ำตาร่วงลงบนเสื้อเชิ้ตสีดำจนเป็นดวงทำให้อีกคนที่รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของคนในอ้อมแขนเป็นอย่างดีขบกรามแน่นสะกดความปวดร้าวที่เป็นผลจากความขี้ขลาดของตัวเองจนสุดท้ายก็ทำร้ายคนที่รักที่สุดจนเป็นแผลลึก



...เขารู้...



...หัวใจแตกสลายนั้นเป็นยังไง...



...เพราะหัวใจดวงนี้ก็แหลกลงไปตั้งแต่วันที่ตัดสินใจจากมาเช่นกัน...



“โอเค ถ้าเราไม่อยากนอนโรงพยาบาล เราจะกลับบ้านกัน” เขากระซิบบอกด้วยลมหายใจที่ขาดเป็นห้วง ทรมานทุกครั้งที่น้ำตาของอีกคนหยดบนตัวแต่เขาเลือกจะกดกลั้นทุกอย่างเอาไว้ในอก



คนป่วยไม่พูดแต่ใช้มือดันอีกคนออกจากตัวแต่ไม่เป็นผลต้องยอมให้แขนแข็งของอีกคนเปลี่ยนจากกอดสอดเข้าอุ้มปล่อยความเจ็บปวดโอบล้อมพร้อมน้ำตาไปที่รถ วางร่างลงด้านข้างคนขับปิดประตูได้ก็อ้อมมาอีกฝั่ง



ความเงียบงันครอบคลุมภายในรถที่เคลื่อนออกไปบนท้องถนน...ไม่มีถ้อยคำหรือเสียงอื่นใดจากคนป่วยที่นอนตะแคงซบอยู่กับเบาะ ดวงตาสีน้ำตาลทอดผ่านหน้าต่างรถออกไปด้านนอกแต่น้ำใสที่รื้นขังขับทำให้ภาพพรางพร่า



คำถามที่ติดค้างในใจเนิ่นนานถึงสองปีปะทุอยู่ภายในความคิดแต่หัวใจรับรู้ว่า เปล่าประโยชน์จะถาม สิ่งที่อยากทำคือการหนีแต่ร่างกายล้าเกินกว่าจะทำ ความจริงกับความฝันกัดกร่อนทุกวันจนไร้แรงต้าน กระทั่งเสียงจะเปล่งจากลำคอออกมายังไม่มีแต่ความทรมานยังดิ้นเร่า



เจ้าของรถเหลียวมองแผ่นหลังที่ได้แต่นอนนิ่งอยู่อย่างนั้นเหมือนหุ่นยนต์ช่วงที่ติดไฟแดงเลยเอี้ยวไปหลังเบาะหยิบผ้าห่มมาคลุมให้ มือใหญ่เอื้อมไปลูบผมนุ่มนั้นไว้เพื่อปลอบเหมือนเมื่อก่อนแต่ยิ่งทำให้น้ำตาของอีกคนไหลอาบหน้า



...สัมผัสอุ่นจากฝ่ามือแข็งที่ลูบผมเขาไม่ว่าจะยามทุกข์หรือยามสุขเคยเป็นสิ่งที่เขาชอบ...



...หากตอนนี้มันเหมือนเชือกที่รัดคอให้หายใจไม่ออก ได้แต่เบี่ยงหัวหนีทั้งที่รู้ว่าหนีอย่างไรก็ไม่พ้น...



“เราเหนื่อยไหม” เสียงทุ้มติดแหบเอ่ยอ่อนโยนหากดวงตาที่ทอดไปข้างหน้ากลับวูบไหว



ประโยคคำถามง่ายๆที่ได้ยินทุกครั้งที่เขาอ่านหนังสือรอถึงตีสามรอให้อีกฝ่ายกลับบ้าน ภาพเหตุการณ์พวกนั้นยังชัดเหมือนมันเกิดขึ้นเมื่อวาน ทำให้คนป่วยยิ่งน้ำตานอง



...ความทรมานที่สุดของมนุษย์เราประการหนึ่งคือการมีความทรงจำที่ดีเกินไป...



ริมฝีปากของคนป่วยเม้มแน่นพยายามกลั้นก้อนสะอื้นไม่ให้หลุดออกมาจนไหลโยกไหว ดวงตาปิดลงอย่างอ่อนแรงไม่พร้อมเปิดมองสิ่งใดเพียงคิดว่าอาจเป็นฝัน บรรยากาศของความทรมานที่อบอวลในความเงียบงันนั้นเป็นสิ่งที่ต่างรู้สึกถึงมันแต่ไม่มีใครปริปากบอก เจ้าของรถเลี้ยวเข้าไปลานจอดรถหลังหอพักกลางเมืองที่ค่อนข้างมืดลงและดับเครื่อง



คนอ่อนแรงหลับตาหากมือสะบัดออกไปทันทีที่รู้สึกถึงแขนของอีกคนที่อุ้มร่างตัวเองออกจากรถแต่ก็เพียงกระทบแล้วไหลลงที่เก่า



“อย่าดื้อสิ” เขาดุแต่เสียงเบาเหมือนอ่อนแรงเช่นกัน ค่อยๆอุ้มพาร่างที่พยายามใช้แรงที่มีน้อยนิดกระเสือกกระสนไปให้พ้นแต่อีกคนก็เพียงสูดลมหายใจกระชับอ้อมแขนที่อุ้มโอบร่างนั้นไปจนถึงหน้าหอพักและแตะคียการ์ดที่ถือไว้อยู่แล้วก่อนหน้าแตะกับเครื่องเดินผ่านประตูกระจกขึ้นบันไดไปอย่างยากลำบากจนถึงหน้าประตูห้องก็หยิบกุญแจที่มีคียการ์ดห้อยอยู่ด้วยเข้าไปข้างใน



กลิ่นหอมเย็นของดอกลาเวนเดอร์ที่อวลและความนุ่มของเตียงที่นอนลงไปทำให้นัยน์ตาอ่อนแรงของคนที่จำใจให้อีกฝ่ายอุ้มเผยอลืม ในความมืดมืดมีเพียงแสงริบหรี่จากไฟสีส้มข้างเตียงเขารับรู้ถึงมืออุ่นหยาบของอีกคนที่ค่อยถอดรองเท้ารวมทั้งถุงเท้าวางบนพื้นและนวดเท้าให้



เขาจำได้...ในวันที่เขากลับจากเรียนพิเศษ กินข้าวและล้มตัวลงนอนอย่างหมดแรง ผู้ชายคนนี้จะนวดเท้าให้จนกว่าจะออกไปทำงาน



...ทำไม...



...ทำไมถึงยังทำทุกอย่างเหมือนที่เคยทำ...



...ต้องการอะไร...



...หรือเพราะรู้ว่ามันคือความทรงจำที่ติดอยู่ในตัวเขา...



...ยังมีเกมอื่นที่ทำให้เขาแหลกสลายได้มากกว่านี้อีกเหรอ



เป็นอีกครั้งที่คนหมดแรงทำได้แค่ปล่อยน้ำตาจากความเจ็บปวดให้ไหลริน น้ำขมๆจากในกระเพาะตีขึ้นมาจุกตรงอกจนไอโขลกออกมา



“น้ำไหม...เดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำให้” เขาบอกในความมืดแต่อีกคนยังนิ่ง ช่วงเวลาที่มือใหญ่ปล่อยเท้าของอีกคนลงจะออกไปหยิบน้ำก็ได้ยินเสียงแหบพร่าที่เหมือนคนจะขาดใจเอ่ยขึ้น



“ผมทำอะไร...ให้คุณ” คนป่วยถามหลุดสะอื้นออกมาอย่างทรมาน ทำให้มือที่จับลูกบิดประตูยิ่งกำแน่นจนสั่นแต่เลือกไม่ตอบคำถาม เพียงเดินออกไปหยิบอ่างพลาสติกผ้าสะอาดเข้าไปในครัว รองน้ำสะอาดใส่ลงอ่าง



ฮอนชอลมองเงาสะท้อนของตัวเองบนผิวน้ำที่กระเพื่อมไหวตามแรงน้ำจากก๊อก มือทั้งสองจับขอบอ่างไว้แน่น นัยน์ตาเรียวรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวจนต้องกลอกตาขึ้นด้านและกระพริบเป็นจังหวะเพื่อไล่น้ำใสๆที่พร้อมจะไหลออกมาทุกเมื่อ



เขายังจำได้ดีถึงวันนั้น...วันที่ 15 พฤศจิกายน หนึ่งวันหลังสอบของเด็กน้อยที่เขาซื้อดอกไม้ช่อใหญ่ตั้งใจไว้ว่าจะเอามันไปรับเด็กน้อยซึ่งขอกลับมานอนบ้านในวันสอบซูนึง และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักได้ในนาทีนั้นว่า เด็กน้อยของเขาเป็นลูกคุณหนูมีฐานะ



การได้เห็นบ้านของเด็กน้อยยังกดเขาให้ต่ำลงไม่เท่ากับการที่เขาจำบ้านตรงข้ามของเด็กน้อยได้...บ้านสีขาวหลังงามหลังนั้นเป็นบ้านของผู้หญิงที่เคยใช้เงินซื้อเขาให้มาอยู่มานอนด้วยเกือบปี...



ก่อนจะได้พบเด็กน้อย ก่อนจะรู้จักความรัก เขาเป็นแค่คนทำงานกลางคืนที่ดิ้นรนด้วยตัวเองมาทั้งชีวิต ไร้ญาติหรือใครให้พักพิง สิ่งเดียวที่พอจะเยียวยาให้รู้สึกถึงความเป็นคนก็มีแค่ดนตรี เมื่อมีหลักมาให้เกาะก็คว้าไว้ แม้เขาจะไม่ได้ทำเช่นนั้นแล้ว หากความรู้สึกที่ว่า ตนเองไม่มีความดีคู่ควรกับคนที่เป็นแสงสว่างในชีวิตเริ่มวนเวียนอยู่ในความคิดจนไม่กล้าจะกดกริ่งเรียกเด็กน้อยของเขาให้ออกมาหา เรื่องนี้เป็นปัญหาให้เขาขบคิดมาเนิ่นนานและยิ่งได้เห็นเด็กน้อยอยู่กับกลุ่มเพื่อน รุ่นพี่รวมทั้งคนรอบตัวมีฐานะหน้าที่การงานที่ดี ยิ่งรู้สึกต่ำต้อยได้แต่พยายามหาเงิน พยายามทำเพลงเพื่อไปให้สูงกว่านี้แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นอย่างหวัง สุดท้ายเขาก็ยังมีหนี้ มีค่าใช้จ่ายที่ถมตัว



ในเวลาที่ยังลังเลการได้คุยกับผู้ชายคนหนึ่งที่เหมือนจะเป็นพี่ชายที่เด็กน้อยนับถือเหมือนพี่ชายแท้ๆซึ่งทางบ้านก็รับรู้...ผู้ชายคนนั้นเคยเจอเขากับเด็กน้อยเดินซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตด้วยกันและได้มีโอกาสเจอกันอีกครั้งตอนเขาอุ้มลูกค้าผู้หญิงออกมาเรียกรถนอกร้านด้วยสภาพทั้งตัวเปื้อนไปด้วยลิปสติก



...ยองแจต่างกับคุณเกินไป คุณกำลังฉุดอนาคตของน้องผมลงมา คุณกำลังปิดโอกาสที่น้องผมจะได้เจอกับคนดีๆ คนที่ส่งเสริมน้องผมได้ ถ้าคุณรักเขาจริง คุณต้องปล่อยเขาไป...



ฟางเส้นสุดท้ายที่ยึดเขาไว้กับเด็กน้อยขาดลงในตอนนั้น ทุกอย่างที่ผู้ชายคนนั้นพูดเป็นจริงทุกคำ โลกไม่ได้มีแค่รักกันแล้วจะอยู่รอดและเพื่อรักษารอยยิ้มนั้นไว้ เขาจำต้องผลักคนที่รักที่สุดให้ออกไปยังพื้นที่สว่าง พื้นที่ที่คนอย่างเขาไม่มีทางก้าวไปถึง



ทุกคำที่เขาใช้อ้างเพื่อผลักไสคล้ายมีดแหลมที่กรีดหัวใจและร่างกายจนเป็นแผลเหวอะ หากสิ่งที่ทำให้เขาเหมือนจะตายเสียให้ได้และยังติดตาอยู่จนถึงวันนี้ คือ ใบหน้าและดวงตาที่มองตอบมาด้วยความรู้สึกคล้ายโลกทลายแต่ไม่ยอมปล่อยมือ



...ผมไม่เชื่อหรอก พี่แค่อารมณ์ไม่ดีก็เลยพูดแบบนี้ ไว้อารมณ์ดี เราค่อยมาคุยกันนะ...



ความพยายามของเด็กน้อยที่รั้งเขาให้อยู่ เด็กน้อยที่เป็นดั่งลมหายใจและแสงสว่างเดียวในชีวิตเขาไม่ยอมทิ้งเขาไป จนต้องใช้ไม้แข็งเรื่องเกมเฮงซวยนั่นขึ้นมา ตอนที่เด็กน้อยปิดประตูเพื่อกลับไปนอนค้างที่บ้านแล้วจะมาคุยด้วยใหม่ทำให้เขาร้องไห้ออกมาก่อนจะหักดิบเก็บข้าวของออกมาทั้งที่ไม่รู้ว่าจะไปไหน แค่ขับรถเก่าไปเรื่อยๆ ความเจ็บปวดทรมานถาโถมลงมา เป็นความเจ็บที่ไม่มีเสียงแต่ทุกข์เสียจนไม่รู้ว่าจะอยู่ต่อยังไงไหว การหลับและลืมตาตื่นมีแต่ความว่างเปล่า เป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่า การล้มละลายทางใจนั้นหนักหนาสาหัญแค่ไหน



...ชีวิตหลังจากขาดแสงสว่างแต่ละวันผ่านไปเหมือนเดินอยู่ในนรก ในหัวเขามีความคิดแค่ว่า เด็กน้อยจะลืมเขาและเขาจะกลายเป็นแค่ฝุ่นผงที่ผ่านเข้ามาในชีวิต และเมื่อมีพี่ชวนให้ไปทำงานในคลับที่อเมริกาเลยตกลงไปตายเอาดาบหน้าอย่างไม่ลังเล



ตอนอยู่อเมริกาเขาทำงานหนักเหมือนคนบ้า แทบไม่หลับไม่นอน ตอนเช้าทำงานหนึ่ง เย็นทำอีกงาน ดึกก็ทำอีก การทำหลายงานทำให้เขาได้เจอคนมากมายเขาบำบัดตัวเองด้วยการหมกมุ่นกับดนตรี มีเหล้าและรูปถ่ายของเด็กน้อยในกระเป๋าสตางค์ที่อีกฝ่ายซื้อให้คอยต่อชีวิตเวลาที่เศร้าถึงขีดสุด



ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งโชคของเขาจะมา...ความเมาและเล่นสล็อตอย่างบ้าคลั่งจะทำให้เขาได้เงินหลายล้านเหรียญในคืนเดียว และที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าคง เพื่อนแปลกหน้าที่เคยดื่มด้วยกันในคาสิโนจะเป็นผู้จัดการและเอเจนซี่ของศิลปินดังหลายคนซึ่งเห็นฝีมือและโอกาสเขาไปร่วมงานกับศิลปินดังๆ



เขาใช้เวลาสร้างเนื้อสร้างตัวให้มั่นคงจากตรงนั้นและแอบกลับมาเกาหลีเป็นครั้งคราวเพื่อเฝ้าดูเด็กน้อยของเขาเงียบๆ...เด็กน้อยของเขาโตขึ้นและดูมีความสุขกับชีวิตดี ตอนนั้นถึงจะเจ็บแต่ก็ดีใจที่เห็นคนที่รักยังยิ้มได้โดยไม่มีเขา



หากการเฝ้าดูระยะหนึ่งสิ่งที่เห็นกลับไม่ใช่สิ่งที่เป็น การได้เห็นเด็กน้อยยืนสั่นตอนได้ยินเสียงเปียโนและแอบร้องไห้ออกมาหน้าร้านทำให้เขาตระหนักได้ว่า รอยยิ้มนั้นเป็นหน้ากากที่ซ่อนความเจ็บจากบาดแผลลึก



...คนที่เขาเคยสัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ็บกลับถูกเขาทำให้เจ็บหนักที่สุด...



เจ้าของห้องกัดริมฝีปากเงื้อมือต่อยกับเคาน์เตอร์หินอย่างแรงหลายครั้งจนเลือดซึมเพื่อระบายความเกลียดตัวเอง ปิดน้ำที่รองไว้วางผ้าสะอาดลงไปพร้อมหยิบน้ำออกจากตู้เย็นเดินกลับไปที่ห้องนอน



ยองแจนอนหลับตาพยายามอ้าปากหอบอากาศเพื่อหายใจในความเงียบ ยินเสียงเปิดปิดของประตูและรับรู้ถึงผ้าชื้นน้ำที่เช็ดอยู่บนหน้า



“เจ็บมากใช่ไหม” คำถามนุ่มแต่แววน้ำเสียงล้าแรงเอ่ยขึ้นในความเงียบ ผ้าเช็ดหน้าถูกวางกลับไปในอ่างก่อนที่นิ้วเรียวจะสอดเข้าไปกลุ่มผมนุ่มลูบหัวไปมาเบาๆ “พี่ขอโทษนะ”



คำว่า ขอโทษ ในตอนท้ายมีความสั่น คนพูดขอบตาร้อนผ่าวพลางเม้มริมฝีปากแน่นรับรู้ถึงอาการสะอื้นฮักจนตัวโยนของคนบนเตียง แม้จะรู้ว่า มันไม่ช่วยเยียวยาอะไรในเวลานี้แต่ต้องพูด



...วันนี้เขาจะพูดทุกอย่าง เรื่องจริงทุกเรื่องที่อีกคนต้องรู้...



“ถ้ามองไม่เห็นพี่ เราจะคุยกับพี่ได้ไหม”



“ผมไม่มี...อะไรจะคุย” คำตอบนั้นอ่อนเบาราวเสียงกระซิบ



“แต่พี่มีเรื่องจะคุยกับเราเยอะเลย”



“ผมไม่อยากฟัง”



“เราไม่อยากรู้เหรอว่าพี่หายไปไหนมา”



“ไม่”



“แต่พี่อยากให้เรารู้ อยากให้รู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตที่ไม่มีเราอยู่ของพี่”



“ผมไม่...อยากฟัง”



“ไม่เป็นไร ไม่อยากฟังก็ไม่ต้องฟังแต่พี่จะพูด พี่ต้องพูด”



“คุณจะเล่นเกมอะไรอีก”



“มันไม่ใช่เกม... มันเป็นแค่ความขี้ขลาดของคนที่กลัวว่าจะฉุดคนที่รักที่สุดลงมาต่ำ ความขี้ขลาดที่กลัวว่าจะรักษารอยยิ้มที่มีค่ากับพี่ที่สุดไว้ไม่ได้ ความขี้ขลาดของคนไม่มีอะไรเลยสักอย่างนอกจากตัวกับหัวใจที่กลัวว่าตัวเองจะสร้างความสุขให้คนที่รักไม่ได้”



ครั้งนี้คนป่วยเม้มริมฝีปากสะกดเสียงสะอื้น น้ำตาที่เอ่อขังขอบอาบลงมาได้แต่ยกมือสั่นเทาปิดหูทั้งสองข้าง



“พี่ไม่ได้ตั้งใจทำให้เราเจ็บแต่สถานะพี่ในตอนนั้นไม่มีวันทำให้เรามีความสุข วันนั้นพี่บอกเราทุกอย่างแต่เราไม่ไป เราบอกพี่ว่าไม่เป็นไร แต่โลกมันไม่ได้หมุนไปเพราะความรักอย่างเดียว มันมีอะไรหลายอย่างที่เป็นองค์ประกอบแล้ววันหนึ่งคนอย่างพี่จะกลายเป็นภาระของเรา เป็นคนน่ารำคาญ เป็นอะไรที่ไม่สมควรอยู่เคียงข้างเรา”



น้ำเสียงแหบต่ำนั้นสั่น น้ำอุ่นคลออยู่ตรงขอบตาแต่เขากระพริบไล่ ความทุกข์ดำมืดตีรวนอยู่ภายในทุกครั้งที่สัมผัสได้ถึงไหล่ที่โยกไหวจากความพยายามกลั้นสะอื้น



“การจากคนที่เรารักมากที่สุดในชีวิตเป็นเรื่องที่ทรมานมากเลยนะ มันเหมือนกับเราเดินอยู่ในนรกที่ไม่มีวันจบสิ้น  พี่ไปอเมริกาทำงานเหมือนคนบ้าเพียงเพื่อไม่ให้มีเวลาว่างพอจะเจ็บปวด มีบางครั้งพี่หวังลมๆแล้งๆว่า ถ้าสร้างตัวจนถึงระดับเดียวกันจะกลับไปหา มีบางเวลาที่พี่เศร้าจนเหล้าช่วยไม่ได้พี่จะเปิดดูรูปเราในกระเป๋า ได้แต่ภาวนาว่า เราจะไม่เป็นอะไร เราจะลืมพี่ได้ ขอให้เรามีความสุขก็พอ”



ชายหนุ่มกัดฟันพร้อมกับน้ำตาที่พยายามกักไว้อย่างเต็มกำลังก็ไหลออกมา การต้องหวนคิดถึงช่วงเวลานั้นและพูดออกมาเป็นเรื่องที่ยากที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิต



“พี่ไม่รู้ว่าวันหนึ่งตัวเองจะมาถึงจุดนี้...มายืนจุดที่เท่าเทียมกับเรา พี่เริ่มมีหวังว่า เราอาจจะมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันแต่ตอนที่ได้เฝ้าดูเราและเห็นเรายิ้ม พี่คิดว่า พี่พอใจที่จะได้เห็นเรามีความสุขอยู่ห่างๆ จนกระทั่งวันหนึ่งที่พี่รู้ว่า ความสุขที่เราแสดงออกมันไม่จริง...พี่ทำเราเจ็บ พี่รู้ และพี่จะไม่แก้ตัว แต่ไม่ว่ายังไง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่จะเอาเรากลับมา”



เสียงเครือและการสูดอากาศลึกที่เกิดจากการกลั้นน้ำตาของผู้ชายที่ไม่เคยแสดงความเศร้าให้ใครเห็นแม้ยามที่อยู่ต่อหน้ากันทำให้คนไร้แรงกำหมัดไว้ที่อก



ในความมืดภาพในวันที่อีกคนยกเรื่องเกมความรักขึ้นมายังกระจ่างชัด...ดวงตาดุเรียวที่เคยมีแววสนุกสนานหรือเย็นชาเป็นบางทีมองตรงมายังเขามีประกายสั่นและปวดร้าว ทุกถ้อยคำที่ผ่านริมฝีปากคือเรื่องโกหก และเพราะรู้เขาถึงไม่ยอมไปไหน แต่สุดท้ายก็เป็นเขาที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง



มันนานเหลือเกินที่เขาใช้ชีวิตอยู่กับคำถาม อยู่กับมันอย่างทรมานเหมือนไม่มีวันจบสิ้น แต่คนที่ทำร้ายเขากลับเดินเข้ามา และพูดอะไรมากมายที่เขาเคยอยากฟัง หากตอนนี้มันจะมีความหมายอะไร ในเมื่อใจของเขามันสลายไปแล้ว



“คุณมัน...เห็นแก่ตัว...คุณทิ้งผมไป...ทำผมเกือบตาย...แล้ว...มาพูดว่า...ไม่ตั้งใจ” อีกฝ่ายเอ่ยออกมาทีละคำอย่างติดขัด “คุณทำแบบนั้น...แค่คำไม่กี่คำ...คุณคิด...คิดหรือว่า...จะทำอะไรได้...กับคนที่แตกสลายจนไม่เหลืออะไรให้ใครทำลายได้อีกแล้วไม่มีวันหายเจ็บได้หรอก” อีกฝ่ายเอ่ยออกมาทีละคำอย่างติดขัดแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างหนักราวกับความทุกข์ที่มีอยู่ทั้งหมดปะทุขึ้นมา อาการสะอึกสะอื้นไม่มีทีท่าจะหยุดทำให้หายใจแทบไม่ออกต้องคอยแต่อ้าปากหอบอากาศเอาไว้ขณะที่หัวกลับปวดตุบเหมือนกำลังจะระเบิด



...ปวดเสียจนอยากจะตายเสียให้ได้แต่ก็ไม่ตาย...



ฮอนชอลกัดริมฝีปากอย่างแรงจนเลือดซิบ...ในแสงสลัวนั้นเขาเห็นอาการทุรนทุรายของคนรักดีแต่ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าปีนขึ้นเตียงและกอดเอาไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี



“พี่รู้...แต่ไม่เป็นไรหรอก ยังไงวันที่พี่เลือกจากเรามาหัวใจพี่ก็แหลกละเอียดไปเหมือนกัน และถ้ามันยังแหลกได้มากกว่านี้ ก็เอาสิ เรามาแตกสลายไปด้วยกัน” สุ้มเสียงแหบต่ำเรียบแต่อุ่นไร้แววสั่นราวกับไม่กลัวอีกแล้วว่าหัวใจจะแหลกเป็นผุยผง



...ไม่เป็นไร...



...ถ้าจะเจ็บกว่านี้...



...เพราะลมหายใจของเขามีอยู่ได้เพราะเด็กน้อยของเขาแค่คนเดียว...



คนบนเตียงลืมตาขึ้นมาในวินาทีที่ได้ยินถ้อยคำอีกคนในตอนท้าย แสงสลัวจากไฟหัวเตียงลอดมาให้มองเห็นเสื้อเชิ้ตตรงหน้าเลือนราง กลิ่นน้ำหอมเย็นผสมกับกลิ่นลาเวนเดอร์ในห้องลอยมาแตะจมูก ความเจ็บปวดยังวนเวียนไม่ห่างหายจนอยากผลักไสให้ไกลห่าง หากไออุ่นจากอ้อมแขนแข็งแรงที่กอดประคองไว้และฝ่ามือที่ลูบไว้ไม่เคยขาดเหมือนวันวานกลับเป็นสิ่งที่โหยหา



...ความขัดแย้งในใจนั้นทำให้เขายิ่งเกลียดตัวเอง...



...และเกลียดคนที่กอดเขาไว้ในตอนนี้...



“ผมเกลียดคุณ” คำเบาหวิวหลุดจากริมฝีปากและลำคอที่แห้งผาก



“อืม...เกลียดก็ดี อย่างน้อยก็ยังมีความรู้สึกให้กันอยู่”



“คุณมันบ้า”



“ใช่ พี่มันทั้งเลวทั้งบ้า เราก็รู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วนี้”



โทนเสียงทีเล่นทีจริงที่อีกฝ่ายพูดเวลาอยู่ด้วยกันเสมอทำให้คนอ่อนแรงที่ไม่อยากได้ยินแต่ยังคิดถึงหลุดร้องไห้ออกมาก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสของริมฝีปากที่ประทับซับหยดน้ำใสตรงขอบตาอย่างอ่อนโยนและลมหายใจอุ่นที่พ่นรดบนหน้าผากซ้ำแล้วซ้ำเล่า



“ผมไม่อยากเล่นเกม”



“พี่ก็ไม่ได้เล่นนี่”



“ทำไม...คุณไม่...ปล่อยผมไป”



“ก็บอกแล้วว่า พี่ปล่อยไม่ได้”



“แต่คุณ...เคยทิ้ง” เขาว่าพลางสะอื้น ความเจ็บคลุกเคล้าอยู่กับความอุ่นในใจ



“จะไม่ทิ้งอีกแล้ว...นอกจากตาย พี่จะไม่ไปไหน พี่จะอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าเราจะรักใคร จะอยู่กับใคร ในใจเราจะมีพี่หรือไม่ พี่ก็จะไม่ไปไหน พี่จะอยู่กับเราเสมอ”


“ผมไม่อยาก...อยู่กับคุณ”


“อืม ไม่อยากก็ไม่เป็นไร แต่พี่อยากอยู่ด้วยนี้” คนอายุมากกว่าบอกขยับริมฝีปากจรดเบาบนหน้าผากแล้วขยับไล้ลงมาเรื่อยยังปลายจมูก “เด็กน้อย...เสียงเราแหบไปหมดแล้ว ไม่ต้องพูดแล้วนะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาเกลียดพี่ใหม่ ไม่สิ ต้องเจ็บไปด้วยกันต่างหาก”


“ผมไม่เข้าใจ...คุณเลย”


“ก็ใช่...ความรักมันเข้าใจยากจะตาย แต่ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้พี่มีทุกอย่างให้เราไม่ใช่แค่ความรักแล้ว ไม่เอา ไม่ให้พูดแล้วนะ เราไม่ค่อยสบายนอนพักได้แล้ว ถ้ามีอะไรจะพูดไว้ค่อยพูด หรือต้องให้กู๊ดไนท์คิสก่อนถึงจะนอนได้”


คนหมดแรงที่อ่อนล้าเต็มทีหลับตาถอนหายใจแทนคำพูด ยินเสียงหัวเราะและการสะท้อนไหวเบาๆจากเจ้าของอ้อมแขน ในเสี้ยววินาทีต่อจากนั้นริมฝีปากก็เลื่อนมาประทับบนริมฝีปากของเขาแผ่วเบา



“ราตรีสวัสดิ์ เด็กน้อย...สุดที่รักของพี่” ถ้อยความอ่อนละมุนและหวานอย่างยิ่งกระซิบข้างหู แขนแข็งแรงกระชับร่างนุ่มไว้ในอ้อมแขน ฤทธิ์ยาและความอ่อนเพลียทำให้ยองแจหมดแรงจะคิดจะต้านได้แต่นอนซบกับแขนและซุกกายเข้าหาความอุ่นอวลนั้น


...ทั้งที่เจ็บเจียนตายแต่สุดท้ายก็ยังโหยหารอยอุ่นจากความรักอยู่ดี...
------------------------------------------------------------------------------
หมอนใบใหญ่ที่สวมปลอกหมอนลายมิกกี้เม้าส์ที่พี่ร่วมห้องซื้อมาให้หล่นจากเตียงกองอยู่บนพื้น โดยมีผ้าห่มลายเดียวกันคลุมเตียง ใครคนหนึ่งเปิดประตูก้าวเข้ามาดึงชายผ้าห่มนั้นออกและมองชายหนุ่มหน้าดุที่สวมเสื้อยืดคอย้วยเก่าๆกับเกงเกงขาสั้นลายพรางซึ่งนอนหลับสนิทอยู่ครู่หนึ่งก็ใช้มือเขย่าไหล่พลางเรียกเพื่อปลุกอยู่หลายนาทีแต่เจ้าตัวเพียงขยับหันไปอีกทางและนอนต่อ


คนเข้ามาปลุกกอดอกมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือก่อนจะเงื้อมือหวดบนแขนสุดแรงจนคนที่หลับตกใจลุกจากเตียงขึ้นมาสบถด่าเสียงดัง



“เหี้ยอะไรเนี่ย” คนตื่นกะทันหันเปิดตาที่ยังงัวเงียข้างหนึ่งมองคนที่ยืนกอดอกอยู่ปลายเตียง “โอ๊ย พี่ฮอนชอล พี่แม่งเป็นอะไรเนี่ย มาตีผมทำไมวะ”



“ก็กูปลุกดีๆแล้วมึงเสือกไม่ตื่น”



“ตอนนี้กี่โมงอ่ะ”



“เจ็ดโมงครึ่ง”



“โหย มาปลุกอะไรตอนนี้วะพี่ ผมเพิ่งนอนไปตอนตีสี่เองนะ”



“กูมีเรื่องจะให้มึงช่วยหน่อย”


“ช่วย...ช่วยอะไรวะพี่” ฝ่ายที่ถามหาวหวอด “นี่ผมยังไม่ได้ถามพี่เลยว่า เมื่อวานหายไปไหนมา โทรศงโทรศัพท์ก็ไม่รับ คาทกก็ไม่ตอบ นึกว่าโดนดักตีหัวชิงทรัพย์กะจะแจ้งตำรวจแล้วนะ ดีที่กลับจากร้านเห็นรองเท้าพี่ เออ พูดถึงรองเท้า ผมเห็นมีรองเท้าผ้าใบอีกคู่วางอยู่ พี่พาใครมานอนด้วยปะวะ”


“อืม”



“ใครอ่ะ”



“คนรักกูสิ”


“อ้อ คนรักของพี่” คนเป็นน้องพยักหน้าขึ้นลงไปมาพักหนึ่งพอตั้งสติได้ก็ชะงักตาเบิกกว้างหันไปมอง “เฮ้ย คนรักของพี่อะเหรอ”


“ไอ้เหี้ย...จะเสียงดังทำไม เดี๋ยวเขาตื่นพอดี”



“แล้วอยู่ๆพาเขามาได้ไงวะ...อ้อ ไอ้ที่พี่บอกว่าออกไปข้างนอกตลอด คือ ออกไปหาแฟนดิ”



“เออ”



“แฟนพี่นี่ใช่คนที่ผมเคยเห็นรูปในกระเป๋าตังค์ปะ”



“ใช่”



“โว้ยยยยยยย...นี่ยังคบกันอยู่อีกเหรอ เห็นพี่ใช้กระเป๋าตังค์ที่เขาซื้อให้ใบนั้นจนเยินไม่เห็นเขาซื้อให้ใหม่สักที นึกว่าเลิกกันแล้วซะอีก” บยอลว่าพลางขยี้ตาแล้วมองไปยังพี่ชายร่วมห้องที่สวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลสอดชายเสื้อไว้ในกางเกงสแลคสีเดียวกับเสื้อและคาดเข็มขัดดูเป็นทางการ ผมและหน้าที่ไม่ได้เห็นมานานผ่านการจัดทรงและโกนเรียบร้อยทำให้อีกคนเลิกคิ้ว “โห แต่งตัวเรียบร้อยขนาดนี้ พี่จะไปไหนอีกวะเนี่ย”


“กูมีสอน”



“สอน พี่สอนอะไรวะ หรือว่า เฮ้ย นี่อย่าบอกนะว่าพี่เป็นอาจารย์”



“ใช่...เป็นอาจารย์พิเศษน่ะ”



“มหาวิทยาลัยไหนแม่งคิดสั้นเชิญพี่ไปสอนวะ”



“อ้าว ไอ้ห่านี่ เดี๋ยวกูต่อยฟันร่วงเลย”



555 โอย ใจเย็น ผมล้อเล่นน่า แล้วนี่ยังไง ตกลงพี่ปลุกผมมาทำไม”



“พอดีกูต้องออกไปสอนแล้ว กลับมาอีกทีตอนบ่าย เลยจะฝากมึงซื้อของเข้าบ้านหน่อย พวกของกิน ขนม น้ำน่ะ ซื้อมาเยอะๆหน่อยแล้วกัน เอาแบบที่บำรุงร่างกายและอร่อยด้วย  อ้อ อะไรที่มีแตงกวาห้ามซื้อล่ะเดี๋ยวเขากินไม่ได้”



“ทำไมต้องซื้อเยอะวะพี่...จะให้เขามาอยู่นี้หรือไง”



“ก็ไม่เชิง”


“เขาอยากมาอยู่กับเราเหรอ”



“เขาไม่อยาก แต่กูจะให้อยู่”



“เอ้า แล้วงี้ผมทำไงอ่ะ ต้องหาที่อยู่ใหม่ดิ”



“ไม่ต้อง...มึงก็นอนห้องมึง กูก็อยู่กับเขา ถ้ามันคับแคบไป กูย้ายไปอยู่บ้านที่ซื้อไว้ก็ได้”


“เดี๋ยวนะ พี่ซื้อบ้านแล้วเหรอ ซื้อเมื่อไหร่วะเนี่ย”


“กลับมาก็ซื้อไว้ มีริมทะเลหลังหนึ่งแล้วก็อพาร์ทเม้นต์ตรงใกล้มหาวิทยาลัยโซลอีกที่แต่ตอนนี้ปล่อยให้คนเช่าอยู่”


“โห พี่แม่งรวยจริงอะไรจริง...ถ้ามีบ้านอยู่แล้วพี่จะมาอยู่หอเก่าๆนี่ทำไมวะ”


“โวะ มึงนี่ถามเยอะถามแยะจัง รำคาญ กูจะไปทำงานแล้ว อย่าลืมที่กูสั่งล่ะ เอาบัตรกูไปรูด มึงจะซื้ออะไรที่อยากแดกเองก็ซื้อมาให้หมดเลยนะกูเลี้ยง เสร็จแล้วอย่าลืมใบเสร็จให้กูด้วยล่ะ” คนเป็นพี่หยิบกระเป๋าตังค์หนังสีดำขาดๆเยินๆเพราะใช้งานมาตั้งแต่เด็กน้อยของเขาซื้อให้แล้วดึงบัตรเครดิตส่งให้


“หู้ย...คุณพี่ฮอนชอลของผมแม่ง โครตป๋า ใจป้ำสุดไรสุด”


“อยู่แล้ว ถ้าแฟนกูตื่นมึงก็กราบเขางามๆสักรอบล่ะกัน เพราะอานิสงส์ของแดกฟรีที่มึงได้เพราะแฟนกูล้วนๆเลยนะ แค่นี้ละ กูไปทำงานล่ะ”


ฮอนชอลเก็บกระเป๋าตังค์ใส่กระเป๋ากางเกงหันหลังเดินไปถึงประตูห้องนอนของคนเป็นน้องร่วมห้องก็หันกลับมาฝากฝังอีก


“เออ ถ้าเขาตื่น อย่าเพิ่งให้เขาออกไปไหนนะ ถ้ามึงจะออกไปข้างนอกก็ล็อกห้องจากข้างนอกไปเลย”


“โห ทำไมต้องทำขนาดนั้นวะพี่”


“เราทะเลาะกันนิดหน่อย ยังคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เลยกลัวเขาหนีน่ะ”


“อา...เข้าใจล่ะ เอาเป็นว่า พี่ไปทำงานเถอะไป ไม่ต้องห่วงทางนี้นะ เดี๋ยวน้องสุดประเสิรฐของพี่จะจัดหาภัตตาหารทั้งคาวหวานให้สุดที่รักของพี่เอง”


“เออ อีกเรื่อง...อย่าเจ้าสำบัดสำนวนเวลาคุยกับเขาเยอะล่ะไอ้ห่า คนไม่ค่อยสบายเจอท่ากับภาษากระแดะของมึงจะปวดหัวหนักกว่าเดิม” สั่งเป็นการปิดท้ายได้ก็เดินออกจากห้องไปจริงๆ ปล่อยให้คนอ่อนกว่าที่เพิ่งหลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมงนั่งจ่องบนเตียงด้วยสภาพตาค้างชั่งใจระหว่างนอนต่อกับไปซื้อของอยู่หลายนาทีก็ตัดสินใจออกจากห้องไปล้างหน้าล้างตาแล้วออกไปซื้อของ


มือใหญ่สางผมยุ่งของตัวเองให้เข้าที่ ทอดสายตาออกไปยังท้องฟ้าสีทองอร่ามตา แสงแดดอุ่นที่สาดกระทบลงมาเป็นสิ่งที่ไม่ได้เจอมานาน บยอลสูดลมหายใจลึกและผ่อนออกเป็นจังหวะแล้วล้วงกระเป๋าเดินลงบันไดไปอย่างไม่รีบร้อน มีเผลอมองไปตรงทางเดินตอนที่ลงมาถึงชั้นสามแต่ก็ยังเดินต่อมาจนถึงชั้นล่าง


ฮันซลสะพายกระเป๋าบนหลังพลางบิดขี้เกียจไปมา แม้เมื่อวานจะไม่มีเสียงตึงตังรบกวนการนอนหรืออ่านหนังสือแต่การติดต่อกับลูกพี่ลูกน้องของตัวเองไม่ได้ โทรเข้ามือถือก็ปิดเครื่อง โทรไปที่หอก็ไม่รับ พอโทรเข้าบ้านแม่บ้านก็บอกไม่อยู่เลยทำให้เขากังวลโทรไปคุยกับพี่ยองจุนอยู่นานสองนาน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตีสองแล้ว


“คุณ...คุณไฟแช็ก” เพราะไม่รู้ชื่อเลยเรียกออกไปตามสิ่งของที่ได้รับฝากไว้ ในตอนแรกฝ่ายตรงข้ามเหมือนไม่รู้ยังคงเดินต่อ พอถูกเรียกหลายรอบเข้าเลยหันไปหา เมื่อเห็นดวงหน้าลูกครึ่งขาวเนียนเหมือนน้ำนมอยู่ข้างหลังส่งยิ้มให้ ตาที่ดุเพราะรำคาญก็คลายลง


“อรุณสวัสดิ์ครับ” เสียงสดใสทักทายแต่อีกฝ่ายเพียงตอบรับในลำคอ



“อืม”



“ตื่นเช้าจังนะครับ”



“ไม่ได้อยากตื่นหรอก แต่พี่ใช้มาซื้อของเลยออกมาซื้อ” เขาตอบอย่างเย็นชามองดวงตาที่เปล่งประกายสดใสเหมือนดวงตะวันนิ่ง “แล้วนี่จะไปเรียนหรือไง”



“ครับ”



“ไกลไหมล่ะ...โรงเรียนน่ะ”



“ก็เดินจากหอไปประมาณยี่สิบนาทีก็ถึง”



“อ้อ” ได้ยินคำตอบแล้วก็เงียบ



“เมื่อกี้คุณบอกว่าจะไปซื้อของใช่ไหมครับ ผมก็จะไปโรงเรียนพอดี เดินไปด้วยกันไหมครับ” อยู่ๆคนอ่อนกว่าก็เอ่ยปากชวนทำให้คนโตกว่ากระพริบตาปริบสองสามทีเหมือนกำลังใช้ความคิด สุดท้ายก็พยักหน้ารับแทนคำตอบและออกเดินไปด้วยกัน


“วันนี้เรียนวิชาอะไร”



“วันนี้เหรอครับ ก็วิชาประวัติศาสตร์กับเลขแล้วก็ภูมิศาสตร์ด้วย”



“ชอบไหม”



“หมายถึง สามวิชานี้เหรอครับ...ก็ชอบแค่สอง แต่เลขไม่ชอบ”



“มันก็ยากนี่นะ ใครไม่เข้าใจก็ไม่ชอบทั้งนั้นแหละ”



“แล้วตอนเรียน คุณชอบเรียนเลขไหมครับ”



“ชอบเป็นบางเรื่อง เรื่องไหนที่มันเอาไปใช้ได้ในชีวิตจริงก็สนใจกว่าบทเรียนอื่นหน่อย”



“ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเรียนเกี่ยวกับเลขหรือเปล่าครับ”



“นี่ไม่ได้เรียนมหาลัย...เรียนจบอาชีวะก็ทำงานเลย”



คนอ่อนกว่าพยักหน้ามองไปยังปากซอยที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลโดยไม่พูดอะไร แต่ความเงียบนั้นกลับทำให้อีกคนกังวลขึ้นมาอีกหน



...ไม่รู้ทำไมเวลาพูดถึงเรื่องตัวเองที่จะส่อไปในทางที่อาจทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดแล้วไม่สบายใจ...



...เด็กคนนี้ก็เหมือนเด็กมัธยมทั่วไป จะต่างก็แค่หน้าตาเป็นฝรั่ง เจอหน้าก็ไม่กี่ครั้งแต่ไม่อยากให้ตีความว่าเป็นอันธพาล...



“ตอนเรียนไม่เคยไปตีใครก่อนนะถ้าถูกหาเรื่องถึงสู้” สิ่งที่ไม่ได้ถามถูกคนหน้าดุพูดขึ้นมาเหมือนพูดลอยๆ แต่คนที่เดินอยู่ข้างๆชะงักไปเล็กน้อยแล้วหลุดหัวเราะเบาๆออกมา



“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลยนะครับ”



“ไม่ชอบให้ใครตีความไปเอง”



“ผมรู้แล้วว่าคุณไม่ใช่คนไม่ดี”



“รู้ได้ไง”



“ก็คุณบอกเมื่อวาน”


“เชื่อเหรอ”



“เอ้า ก็พูดให้เชื่อไม่ใช่เหรอครับ ผมก็เชื่อแหละ”



“เชื่อคนง่ายแบบนี้ ระวังจะโดนมิจฉาชีพหลอกล่ะ”



“อ่า ถ้าแบบนั้นแสดงว่า ผมเชื่อคุณไม่ได้เหรอครับ”



“คนอื่นเชื่อไม่ค่อยได้หรอก ยิ่งหน้าซื่อๆแบบนี้โดนหลอกง่ายจะตาย จำไว้ วันหลังเวลาคนพูดอะไร นอกจากฉัน อย่าเพิ่งเชื่อทันทีล่ะ”


“แล้วทำไมถึงเชื่อคุณได้ล่ะครับ”



“เพราะฉันไม่โกหกเด็ก”



“แต่โกหกผู้ใหญ่เหรอครับ”



“ก็มีบ้าง กับผู้ใหญ่บ้างคนจริงใจด้วยไมได้หรอก”



“แบบนี้คุณก็ไม่ใช่คนดีสิ” คำถามที่สวนมาอย่างไม่ทันตั้งตัวและดวงตาที่มองตรงมาด้วยความสงสัย ทำให้คนหน้าดุดุนลิ้นในปาก เพิ่งตระหนักได้ในนาทีนั้นแหละว่า ตัวเองชอบพูดอะไรแบบไม่ผ่านการคิดกับเด็กคนนี้ตลอดเวลา



...ปกติเขาก็เป็นคนเท่อยู่นะ แต่เวลาคุยกับเด็กคนนี้ทำไมไม่รู้สึกไม่เท่เลยวะ...



“ก็บอกแล้วนิว่าไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่ใช่คนไม่ดี”



“แล้วแบบผมนี่เป็นคนดีเหรอครับ”



“ไม่รู้เหมือนกัน...เป็นคนดีไหมล่ะ”



“ก็ไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่ใช่คนไม่ดี” คนอ่อนกว่าทวนคำที่อีกฝ่ายพูดซ้ำด้วยรอยยิ้มกว้าง “จริงๆผมก็รู้นะว่าคุณไม่ใช่คนไม่ดี ออกจะเป็นคนดีที่แปลกๆด้วยซ้ำ”



“ยังไง”


“ก็เจอกันทีไร คุณก็ช่วยผมทุกทีเลย...อา จะแวะซื้อของที่มินิมาร์ทนี้หรือเปล่าครับ”



บยอลละสายตาจากใบหน้าด้านข้างของอีกคนมองไปยังมินิมาร์ทขนาดใหญ่ที่อยู่เลยจากปากซอยของหอไปไม่ไกลทำท่าจะเดินเข้าไปแต่พอหันมาเห็นคนข้างๆที่ยกมือเตรียมจะโบกลา มือใหญ่ก็เอื้อมไปดึงข้อศอกของอีกคนเอาไว้



...ความรู้สึกที่ว่า อยากอยู่ด้วยอีกนิดมันโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้...



“กินข้าวเช้าหรือยัง”



“อา...ผมอ่ะเหรอครับ ยังครับ ยังไม่ได้กิน”



“ทำไมยังไม่กิน”


“ก็ปกติผมจะซื้อขนมปังกับนมกินที่โรงเรียนแทนข้าวเช้าอ่ะครับ”



“เป็นคนเกาหลี อยู่เกาหลีมันต้องกินข้าวสิ กินแต่ขนมปังสมองมันจะไปแล่นอะไร เดี๋ยวก็เรียนไม่รู้เรื่อง มานี่มา เดี๋ยวซื้อข้าวให้กิน” บอกเสร็จก็ฉุดแขนคนอ่อนกว่าเดินเข้ามินิมาร์ทตรงโซนอาหารสำเร็จรูป “อ๊ะ เลือกซะ จะกินอะไร”



ฮันซลกระพริบตามองอาหารพร้อมอุ่นที่อยู่ในตู้ตรงหน้า เขาไม่ได้กินอาหารเช้าเป็นข้าวมานานแล้วนอกจากพี่ยองจุนจะทำเผื่อแล้วโทรเรียกให้ไปเอาตอนเช้า แต่นั่นไม่ได้สำคัญอะไรเท่ากับการที่อีกคนพลิกดูปริมาณสารอาหารข้างกล่องข้าวนั้นอย่างจริงจังเหมือนกับเลือกให้ตัวเอง



“เอานี่แล้วกัน ข้าวราดเนื้อซี่โครงหมูตุ๋น...กินได้ไหม”



“จริงๆผมก็จะเลือกอันนั้นแหละ” เมื่อได้ข้าวส่งให้พนักงานเวฟเรียบร้อยคนอ่อนกว่าก็ถูกลากแขนมาตรงมุมเครื่องดื่ม



“แล้วนมล่ะ ชอบแบบไหน”



“ผมชอบนมช็อกโกแลตครับ”



“งั้นก็เอาไปสองขวดเลยแล้วกัน”



คนหน้าดุจัดการเรื่องอาหารเช้าให้เสร็จสรรพโดยที่อีกคนได้แต่มองและเดินตาม กระเป๋าตังค์สีน้ำตาลพร้อมเงินสดถูกควักออกมาจ่ายที่แคชเชียร์อย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีก็ออกจากมินิมาร์ทมาแล้ว


“เข้าเรียนกี่โมง”


“แปดโมงครึ่งครับ”


“อ้อ ยังมีเวลากินนี่นะ”



“ขอบคุณนะครับที่ซื้อของให้กินอีกแล้ว”


“อืม”


“แต่จริงๆไม่ซื้อให้ผมจะดีกว่านะครับ”


“อ้าว” คิ้วหนาของอีกฝ่ายเลิกขึ้นทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น


“คือ อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมแค่เกรงใจน่ะ ชื่อคุณผมก็ยังไม่รู้แต่เจอกันที่ไรคุณทั้งช่วยทั้งซื้อของกินให้อีก”


“ฮัน บยอล”



“คะครับ...อะไรนะครับ”


“ชื่อไง...ฮัน บยอล รู้ชื่อแล้วเท่านี้ก็ซื้อข้าวให้ได้ใช่ไหม”


เด็กหนุ่มกระพริบตาปริบมองคนข้างๆที่หิ้วของกินให้มือหนึ่งและจับแขนเขาเดินต่อมาอีกมือหนึ่งก็หลุดหัวเราะปนยิ้มออกมาอีก


“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”


“แล้วยังไง”


“ผมหมายถึง เราเพิ่งรู้จักกันแต่ผมกลับรบกวนคุณบ่อยๆ ยิ่งมาซื้อของกินให้อีกทำให้รู้สึกไม่ค่อยดีน่ะครับ”


“แล้วจะคิดทำไม ผู้ใหญ่ซื้อให้ก็รับไว้เถอะ”


“อ่า ครับ” ตอบกลับไปเหมือนน้ำท่วมปาก...ทำไมถึงใจดีด้วยนะ


“แล้วชื่ออะไร”


“ครับ”


“ชื่อเราน่ะ...ไม่มีชื่อหรือไง”


“อ้อ ชเว ฮันซล เวอร์นอนครับ”


“ชื่อนามสกุลยาวดีนะ” บอกเท่านั้นคนหน้าดุก็เงียบ มือยังคงจับแขนส่วนเท้าก็ยังก้าวไปข้างหน้าราวกับรู้ทางไปโรงเรียนจนอีกคนต้องหยุดเดินหันมาถาม


“เดี๋ยวนะครับ คือ คุณบอกว่า คุณมาซื้อของที่มินิมาร์ทให้พี่ชายไม่ใช่เหรอครับ ไหงยังมากับผมอีกล่ะครับ”


“ก็เดินมาแล้ว ก็ไปส่งเลยแล้วกัน”


“ไปส่งเหรอครับ...แล้วที่ว่าซื้อของ ซื้อให้พี่ชายแล้วเหรอครับ”


“ยัง”


“อ้าว”


“โรงเรียนมันอีกไม่ไกลไม่ใช่ไง เดินไปส่งเสร็จ เดินกลับมาซื้อก็กลับหอพอดี”



“อา จะเอาอย่างนั้นก็ได้ครับ” คนอ่อนกว่ายอมแพ้ปล่อยให้อีกคนจับแขนดันให้เข้าไปเดินด้านในและให้ตัวเองเดินริมถนนคล้ายจะเป็นกันชนทำให้ริมฝีปากอิ่มแดงนั้นเหยียดกว้างไปตลอดทางจนมาถึงหน้าโรงเรียน


“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง” เด็กหนุ่มเอ่ยแล้วโค้ง



“เอ้า...อย่าลืมกินล่ะ” คนหน้าดุบอกพลางยื่นถุงที่มีข้าวเช้ากับนมส่งให้



“ขอบคุณสำหรับข้าวเช้าด้วย”



“อืม” เสียงตอบในลำคอดังขึ้นอีกแต่สิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้กลับมาด้วยคือการที่มือใหญ่เอื้อมออกมาลูบผมหยักศกนุ่มของอีกฝ่ายไปมา “ตั้งใจเรียนล่ะ”



“อา...ครับ”


“ไปนะ” ประโยคอำลาและใบหน้าของคนที่ยกมือขึ้นครั้งหนึ่งเป็นเชิงลานั้นและพยักหน้ารับตอนเห็นมือขาวนุ่มโบกไปมานั้นเรียบเฉยก่อนที่คนหน้าดุจะหันหลังเดินกลับไปทางเก่า


ฮันซลยังคงโบกมือให้คนอายุมากกว่า มองแผ่นหลังกว้างที่สวมเสื้อคลุมลายพรางทับเสื้อคอย้วยนั้นค่อยๆเดินห่างออกไปทีละน้อยพลางย่นหน้าผากด้วยรู้สึกประหลาดเพราะไม่เคยเจอใครทำอะไรที่เหมือนจะไม่มีเหตุผลสักเท่าไหร่


หากในท้ายที่สุดตอนที่มองลงไปในถุงพลาสติกที่มีข้าวเช้าร้อนๆนอนรออยู่ก็หลุดหัวเราะออกมา


...เป็นคนแปลกๆที่ใจดีมากเลยเนาะ...


You Might Also Like

0 Comments