LOVE TOXICAL : CHULJAE&DUPNON CHAPTER 15
06:40
เสียงหอบหายใจเป็นเสียงเดียวที่ยังดังอยู่ในห้องที่เงียบสนิท
ยองแจเอนหลังพิงศีรษะกับอกกว้างแข็งของใครอีกคน
ไหล่บางสะท้อนไหวขึ้นลงจากแรงสะอื้นหนักติดกัน
ยิ่งทำให้แขนที่กอดเอวไว้กระชับแน่นใช้คางคลึงเบาบนกระหม่อมไว้เพื่อปลอบโยน
ฮอนชอลนิ่งเพื่อซึมซับความเจ็บปวดที่หลั่งไหลไม่มีวันหมดสิ้นของคนในอ้อมแขน...ร่างกายที่เคยนุ่มอุ่นยามกอดรัดผอมลงมากอย่างน่าใจหาย
นัยน์ตาคมนั้นเสมองไปทางอื่นพลางกัดริมฝีปากแรงด้วยความทรมานที่กินลึกอยู่ภายใน
“เราจะไปไหน...ยังไม่หายดีเลยจะไปไหน” เขากระซิบถามแผ่วพลางพรมจูบเบาบนขมับ ความอ่อนโยนและอบอุ่นแทรกสู่คนอ่อนแอที่แม้ใจจะคิดต่อต้าน หากก็ไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะทำจึงได้แต่ปิดตาแล้วเอนหลังพิง
ความทุกข์ดำมืดที่เกาะกุมจิตใจยาวนานเหมือนไม่มีวันพบแสงสว่าง
หากเมื่อได้สัมผัสอวลอุ่นและปลอดภัย
ถ้อยคำนุ่มป้อนปลอบด้วยรักยิ่งที่เคยคุ้นเช่นวันวานราวกับยาที่ออกฤทธิ์สมานใจที่แตกสลายให้ก่อร่างขึ้นมาช้าๆ
ชั่วนาทีที่นิ่งงันร่างบางตระหนักได้ถึงบางสิ่งบนกายของชายผู้สร้างบาดแผลให้ตนเอง...แผ่นอกและหน้าท้องที่เคยแข็งแน่นด้วยกล้ามเนื้อมาบัดนี้กลับแทบแนบติดซี่โครงด้วยความผ่ายผอม
เสียงหัวใจที่เต้นผิดจังหวะ
ความสั่นของน้ำเสียงในทุกคราที่พยายามปลอบเจือแววสั่นบ่งบอกถึงความปวดร้าวที่ไม่มีวันได้เห็นหากสัมผัสไม่ใกล้พอ
...ทั้งที่ไม่อยากเชื่อคำคนลวง ทว่าหัวใจกลับประท้วงว่า ทุกสิ่งที่ปรากฏทั้งคำพูดและการกระทำล้วนจริงแท้จากใจ...
“ปล่อยผม”
เสียงสั่นเครือเอ่ยคำพร้อมกับน้ำตาที่เหือดลงเหลือคงค้างเพียงหางตา
อีกคนเพียงยิ้มอ่อนกระชับวงแขนแล้วขยับคางเกยบนไหล่และฝากเสียงเข้มแต่ทุ้มนุ่มตอบกลับ
กลิ่นน้ำหอมกรุ่นเย็นจากเรือนกายใหญ่ที่คนในอ้อมกอดเคยชอบใจโชยบาง
“ไว้เราคุยกับพี่รู้เรื่องก่อนพี่ถึงจะปล่อย”
“ผมไม่มีอะไรจะคุย...ปล่อยผม...ผมจะกลับบ้าน
แล้วก็...คืนโทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์ผมมาด้วย”
ทั้งที่ไม่มีแรงแต่คนป่วยทำเสียงแข็งพยายามดิ้นรนออกจากแขนแข็งปานคีมที่กอดตนเองไว้
ฝ่ายที่เป็นเบาะรองอยู่ข้างหลังถอนหายใจให้กับการดิ้นขลุกขลัก
มือไม้ป่ายตีอย่างอ่อนแรงราวกับลูกหมาตัวน้อยที่คิดการณ์ใหญ่จะหนีจากรั้วเหล็กที่รังแต่จะทำให้เหนื่อยหนักกว่าเก่า
“ถ้าเรายังเอาแต่หนีพี่แบบนี้...พี่จะใส่กุญแจมือทั้งเราทั้งพี่แล้วทิ้งกุญแจลงชักโครกนะ
จะเอาแบบนั้นไหม” อีกฝ่ายเริ่มขู่
ไม่ใช่เพราะลำบากต้องจัดการกับคนที่กำลังดิ้นลมๆแล้งๆอยู่ในอ้อมแขนแต่เกรงอีกคนออกแรงจนเป็นลมพับไปอีก
ด้วยความตั้งใจที่แค่จะขู่
ทว่าน้ำเสียงอ่อนโยนที่เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวในเสี้ยววินาทีทำให้คนอ่อนแออยู่ๆน้ำตาก็รินออกมาอีก
เมื่อลำแขนถูกน้ำใสหยดลงบนลำแขนหลังจากหายไปพักใหญ่ทำให้ฮอนชอลลนลานดึงตัวคนในอ้อมกอดให้หันหน้ากลับมาซบกับอกตัวเองแล้วกอดไว้แน่น
“เด็กน้อย...ร้องไห้อีกแล้ว
ร้องไห้ทำไมล่ะหือ ร้องจนตาแดงไปหมดแล้วรู้ไหม”
ฝ่ายทำให้ร้องไห้เอ่ยถามพลางโยกร่างที่กอดไปมาเบาๆปลอบขวัญ
คนป่วยไม่ได้ตอบรับแค่ปล่อยน้ำตาหยดลงบนเสื้อเชิ้ตสีเข้มจนเปียก
“อย่าร้องสิ
แทนที่จะร้องไห้ เราหาวิธีทำให้พี่เจ็บดีกว่า
ร้องไห้แบบนี้มีแต่ตาเรานั้นแหละที่เจ็บ”
ทั้งที่ปวดใจทุกครายามเห็นน้ำตาแต่ต้องแกล้งพูดปดเพื่อปลอบ “เอาแบบนี้ไหม
เรามาตกลงกัน ถ้าเราหยุดร้องไห้ ยอมกินข้าว
กินยาแล้วนอนที่นี่จนอาการดีกว่านี้
พี่จะคืนโทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์ของเราให้ โอเคไหม”
ยองแจพยักหน้าหอบเอาอากาศหายใจผ่านริมฝีปากแทนจมูกที่เต็มไปด้วยน้ำมูกพลางขยับตัวถอยจากอกกว้างยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาป้อยๆ
มือหยาบแต่อุ่นเอื้อมไปจับแขนผอมนั้น
มืออีกข้างเอื้อมไปเช็ดน้ำตาให้เบาๆแล้วก้มลงไปหาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
มองตาแดงๆที่ปรายมาหาครู่เดียวก็ก้มหลบเพียงครู่ก็รวบตัวอุ้มลุกจากพื้น
“ผมเดินได้” เสียงแหบพร่าเอ่ยคำ
“พี่รู้...แต่ตอนนี้เราไม่มีแรง
พี่อุ้มแหละดีแล้ว” คนโตกว่าตอบยิ้มๆ
อุ้มร่างขาวพาไปนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าวก่อนจะพับแขนเสื้อเชิ้ตกองไว้ตรงศอก
หยิบกระเป๋าตังค์ของตัวเองกับกุญแจห้องวางไว้บนโต๊ะ
“พี่ให้บยอล...ไอ้คนที่หน้าดุๆเมื่อกี้ซื้อของกินมาให้เราด้วย
เดี๋ยวพี่อุ่นแล้วกินนะจะได้กินยา” บอกเสร็จก็ยกมือตั้งท่าจะลูบผม
อีกฝ่ายเบี่ยงหลบแต่ไม่พ้นโดนขยี้ผมอยู่ดี
ฮอนชอลผละเข้าครัวไปอุ่นข้าวต้ม
คนป่วยมองประตูโล่งของครัวสลับกับประตูบ้านคิดในใจว่าอาจฉวยโอกาสนี้หนี
หากอีกคนก็โผล่มายืนตรงประตูทั้งที่ถือทัพพีอยู่ในมือ
“บยอลมันใส่กุญแจจากข้างนอก”
คำพูดที่เหมือนอ่านใจได้ทำให้อีกคนหน้ามุ่ยฟุบลงกับโต๊ะจำเป็นต้องจำนนแม้จะรู้ว่าอีกคนตั้งใจขัง
น่าแปลกที่ความรู้สึกเกลียดชังกลับเบาบางลงแทรกด้วยความอุ่นเป็นริ้วทีละน้อย
ตาบวมเหลือบไปยังกระเป๋าตังค์สีดำบนโต๊ะที่หนังเปื่อยลอกกับพวงกุญแจแมวน้ำชิโรตันที่ขึ้นขุยเพราะถูกซักให้ขาวนับครั้งไม่ถ้วน
แค่เห็นความทรงจำในวันเก่าๆก็หวนกลับมา
วันนั้นเป็นวันอาทิตย์เลยออกไปเดินเล่นกันที่ตลาดนัดศิลปะและของทำมือที่นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งรวมตัวกันจัดขึ้น
กระเป๋าสตางค์หนังเทียมสีดำขอบเทาใบนี้ดูเข้ากับเสื้อยืดที่อีกคนสวมแถมราคาไม่แพงเลยซื้อให้ใช้
ส่วนพวงกุญแจนั้นฝ่ายนั้นบอกว่ามันหน้าเหมือนเขาเลยซื้อให้แทนความรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้กันตลอดเวลา
...เขายังจำรอยยิ้มเหยียดกว้างจนตาหยีของอีกคนได้ดีและทุกครั้งที่อีกฝ่ายหยิบมันขึ้นมาใช้จะมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนหน้าเสมอ...
...ทุกอย่างยังคงอยู่เหมือนเดิม ไม่ใช่แค่สิ่งของแต่เกรงว่า ความรู้สึกก็เช่นกัน...
เสียงหม้อถูกกระแทกอย่างแรงลอดมาจากในครัวทำให้คนที่นอนฟุบอยู่สะดุ้งลุกขึ้นนั่งก่อนจะได้ยินเสียงสบถพร้อมการเทศนายาวเหยียดเป็นชุด
“ไอ้บยอล
กูบอกมึงว่าไง...เมื่อเช้ากูบอกให้หาของบำรุงให้แฟนกูกินใช่ไหม
เอาแบบอร่อยๆด้วย แล้วนี่อะไร
ข้าวต้มหอยเป๋าฮื้อห่าอะไรรสชาติเหมือนน้ำล้างถ้วยขนาดนี้
มือถงมือถือมีนี่มึงเอาไว้ทำเหี้ยอะไร เอามาใช้ทับกระดาษหรือปาหัวหมา
มีไว้แทนสากตำข้าวหรือไงถึงไม่เสือกเอามาค้นร้านที่มันอร่อยๆกว่านี้
ดีนะไอ้ไก่ตุ๋นโสมยังโอเคไม่งั้นกูออกไปลากมึงกลับมากระทืบแน่...อะไร
เออสิ เขาเป็นที่รักของกูนี่ หยุด
กูให้การ์ดมึงไปรูดตามใจยังมีหน้ามาเถียงกูอีกเหรอ ไอ้ห่านี้ แค่นี้นะ”
เจ้าของห้องกระแทกเสียงกดวางสายด้วยท่าทางฮึดฮัดเทข้าวต้มทั้งหม้อทิ้งลงอ่างล้างจานแล้วยืนรอกระทั่งไก่ตุ๋นโสมร้อนจึงยกมาตั้งบนโต๊ะและเดินเข้าเดินออกเพื่อหยิบของที่คิดว่าจำเป็นต้องใช้มากองไว้ก่อน
คนที่นั่งเงียบยกมือขยี้ตาหลุดร้องออกมาเบาๆ
มือใหญ่รวบข้อมือเย็นไว้แล้วส่งเจลประคบเย็นให้
“อย่าขยี้สิ
เอานี้ประคบไว้ ส่วนอันนี้ไก่ตุ๋นโสม เรากินนี้ให้หมดซะนะ
จะได้กินยา”เสียงนุ่มบอกด้วยรอยยิ้ม
คนเจ็บไม่พูดอะไรแค่ทาบเจลเย็นไว้บนตาด้วยมือข้างหนึ่ง
ส่วนอีกข้างก็พยายามตักน้ำแกงร้อนๆขึ้นมาซดแต่ความสั่นจากแรงที่ถดถอยทำให้ช้อนถูกคว้าไปก่อน
ฮอนชอลตักแกงป้อนให้ถึงปากแต่ฝ่ายตรงข้ามเบือนหน้าไม่ยอมกิน เจ้าตัวจำใจหยิบโทรศัพท์มือถือที่แบตหมดแล้วมาชูตรงหน้า พอมือขาวเอื้อมมาคว้าก็เอากลับมาไว้กับตัว
“กินก่อนแล้วพี่จะคืนให้”
เพราะเห็นตัวประกันอยู่ตรงหน้า
สุดท้ายคนที่ไม่ยอมกินท่าเดียวก็อ้าปากยอมให้อีกคนป้อนน้ำแกงร้อนๆเข้าปาก
ความร้อนและรสชาติกลมกล่อมทำให้ลำคอแห้งผากโล่ง
เนื้อไก่ที่ต้มจนเปื่อยนุ่มแทบละลายในปากแต่กินไปได้เกือบครึ่งชามก็ส่ายหน้าเป็นเชิงไม่อยากกินแล้ว
“อิ่มแล้วเหรอ...กินอีกหน่อยสิ”
ชายหนุ่มท้วงแต่อีกฝ่ายแค่กระพริบตาเงียบๆ
เลยหันไปหยิบพุงออปังร้อนๆในถุงกระดาษที่แวะซื้อมาส่งให้สองตัว “เอานี่ไหม
พี่เห็นเราชอบกินเลยซื้อมา”
ดวงตาบวมแดงเหลือบมองขนมปังปลาร้อนๆที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นยั่วยวนอยู่ตรงหน้าครู่หนึ่งก็รับมันมากัดเข้าปากพลางเคี้ยวจนแก้มตุ่ย
รสหวานกำลังดีกับความนุ่มของแป้งทำให้กินได้จนหมด
“เอาอีกไหม”
คนถามยื่นขนมให้อีกชิ้นพลางเท้าคางมองมาด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ใจซึ่งควรจะว่างเปล่าคล้ายถูกบางสิ่งเติมลงมาและความเจ็บปวดก็คล้ายจะบรรเทาลง
...มันอาจเป็นความอ่อนแอทางกายและทางใจที่ทำให้ไม่อาจต่อต้านผู้ชายที่เคยเป็นโลกทั้งใบของเขา...
...ทว่ายังมีเหตุผลจริงแฝงอยู่ เหตุผลที่เจ้าตัวรู้แต่เลือกจะไม่ยอมรับมัน...
ยองแจยังคงเงียบเพียงเหลือบตาก็ได้พุงออปังทั้งถุงมาอยู่ในมือ...เขาหยิบขนมออกมากินพลางมองคนที่ดึงชามไก่ตุ๋นโสมที่เหลือไปกินจนเกลี้ยงแล้วหยิบน้ำเกลือแร่กับน้ำเปล่ามาวางไว้ตรงหน้าเขา
“เรากินขนมแล้วจิบเกลือแร่ไปหน่อยนะจะได้มีแรง พอพี่เคลียร์ครัว เก็บผ้าเสร็จจะหยิบยามาให้กิน”
คนเป็นพี่สั่งเสียงอ่อนพลางหยิบชามกลับเข้าครัวอีกหนเพื่อล้างความสะอาดของที่กองค้างในอ่างล้างจานและเก็บอาหารที่ยังไม่ได้กินเก็บเข้าตู้เย็นเรียบร้อยก็ออกมาเก็บผ้าผละจากโต๊ะกินข้าวกลับเข้าครัวไปล้างจานและเก็บอาหารที่ไม่ได้กินเข้าตู้เย็น
จากนั้นก็เก็บผ้าที่ตากระเกะระกะอยู่บนราวใกล้ระเบียง
คนที่กินพุงออปังมองทุกกิริยาและเสื้อผ้าของตัวเองที่ถูกเก็บลงตะกร้า
ภาพตรงหน้าเป็นเรื่องที่เขาเคยเห็นจนชินตา
ในช่วงแรกของการผูกสัมพันธ์ในฐานะพี่น้องร่วมหอพักเดียวกัน
ผู้ชายคนนี้ทำงานบ้านทุกอย่างด้วยตัวเองกระทั่งทั้งคู่ขยับสถานะขึ้นมา
เขาถึงเริ่มหัดทำงานบ้านให้แต่ก็มีหลายครั้งที่ผู้ชายคนนั้นชิงทำแทนเพราะเห็นเขาเหนื่อยจากการอ่านหนังสือเตรียมสอบ
...มันเหมือนเดิม ความรู้สึกของการเป็นที่รักอวลผสมกับความเจ็บที่คั่งค้างทำให้สับสนจนปวดหัวขึ้นมาอีก
เพราะสายตาของมองอยู่ตลอด
พอเห็นท่าไม่ดีเลยทิ้งตะกร้าผ้าลงบนพื้นถลาเข้าไปหาคนที่นั่งตัวงอคลึงขมับเหมือนปวดหัวหนัก
ย่อตัวลงไปนั่งกับพื้นก้มมองหน้าเซียวที่หลับตาแน่แล้วใช้ปลายนิ้วหยาบแต่อุ่นยิ่งสอดเข้ามาจากหลังมือนุ่มที่เย็นเฉียบนวดให้อย่างรู้งาน
...เด็กน้อยของเขามักปวดหัวเวลาอ่านหนังสือมากเกินไปและเขารู้ว่าจะทำยังไงให้ดีขึ้น...
“ดีขึ้นไหม”
เขาถามเสียงอ่อนมองอีกคนพยักหน้าขึ้นลงเบาๆก็กุมมือเย็นเฉียบทั้งคู่มาแนบกับข้างแก้มที่มีรอยมือจางๆ
“ไม่เอาล่ะ ไม่ต้องรอครึ่งชั่วโมงแล้ว
กินยาเลยดีกว่า...กินยาแล้วเราจะได้นอนพัก”
เจ้าของห้องลุกขึ้นยืน
เอื้อมหยิบยาในถุงพลาสติกที่มีตราโรงพยาบาลออกมาจัดให้
เม็ดไหนใหญ่ก็หักเป็นสองท่อนเพื่อให้กินง่ายและจับมือนุ่มของอีกคนมาแบไว้ใส่ยาทั้งหมดลงไปแล้วหยิบน้ำอุ่นในแก้วใสตั้งไว้ใกล้ๆ
ยองแจมองยาเม็ดจำนวนหนึ่งในมือพลางถอนหายใจ...การกินยาเป็นเรื่องที่เขาเกลียดที่สุดรองจากเกลียดคนตรงหน้ากับเสียงดนตรีแต่เพราะน้ำเสียงกังวลที่ไม่วายขู่ทำให้ต้องกลั้นใจมาปากตามด้วยกระดกน้ำหมดแก้ว
“เด็กดี
เอ้านี่ อมไว้จะได้ไม่ขม”
เขาว่ายื่นลูกอมรสนมที่คนตรงหน้าต้องกินตามทุกครั้งที่กินยา
ในตอนแรกก็เหมือนว่าจะไม่ยอมกินแต่ความขมในช่องปากที่เหลืออยู่ทำให้สุดท้ายก็ยอมอ้าปากอมลูกอมยี่ห้อเดียวกับที่อีกฝ่ายชอบให้เวลาเขากินยาด้วยตัวเองได้
ดวงตาสีอ่อนบวมช้ำก้มมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของฝ่ายตรงข้ามที่นั่งคุกเข่า
นัยน์ตาสีนิลดุคมที่เย็นชาอย่างยิ่งยามเจอศัตรูกลับทอดมาหาเขาอย่างนุ่มนวลอย่างที่เคยเป็น
ทว่าลึกลงไปมีความรวดร้าวซ่อนอยู่ทำให้หัวใจคล้ายมีบางสิ่งเสียดลงมา
น่าแปลกที่แค่แปลบปลาบแต่ไม่รู้สึกทรมานหนักเช่นทุกครั้งที่พยายามเผชิญหน้า
...เจ็บเป็นเหมือนกันเหรอ ดี ถ้ามีแรงเมื่อไหร่จะทำให้เจ็บกว่านี้อีก จะทำให้รู้ไปเลยว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาทรมานแทบตายขนาดไหน...
ฮอนชอลจ้องตากลมของเด็กน้อยที่เขารักนิ่งเพื่ออ่านบางสิ่งที่สื่อสารผ่านดวงตา...เด็กน้อยของเขาไม่ใช่คนกร้านโลกขนาดเก็บทุกสิ่งได้มิดเม้นและแม้จะรู้ความนัยนั้นแล้วก็ตามแต่ริมฝีปากยังคงแย้มกว้าง
...สำหรับเขาจะยังไงก็ได้ ขอแค่เด็กน้อยไม่ร้องไห้หรือทรมานเป็นพอ...
“ยังปวดหัวไหม...แล้วตาประคบเจลเป็นยังไงเจ็บน้อยลงหรือเปล่าครับ”
เสียงดุเข้มแต่นุ่มเอ่ยถามพลางยื่นหลังมือเรียวใหญ่ที่กระด้างจากการทำงานหนักมาตลอดอังบนหน้าผากสัมผัสถึงความร้อนที่ยังหลงเหลือได้
ก็ใช้ปลายนิ้วบีบจมูกอีกคนเบาๆ “ตัวยังรุมๆอยู่เลย กินยาแล้วไปนอนกันนะ”
ชายหนุ่มไม่พูดเปล่าคราวนี้ลุกขึ้นยืนได้ก็อุ้มร่างที่สวมเสื้อยืดตัวโคร่งของเขาลอยจากพื้นแล้วพาไปวางลงบนเตียงในห้องนอนของตัวเอง
ดวงตะวันคล้อยต่ำเกือบแตะเส้นขอบฟ้าทำให้ทั้งห้องมืดลงแต่ยังมองเห็นได้
หลังจากจัดตุ๊กตาสัตว์ทะเลทั้งหมดไปไว้บนหัวนอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงตัก
“โทรศัพท์” หลังจากไม่เปิดปากอยู่นาน ในที่สุดคนตาบวมก็ทวงสัญญาห้วนๆ
“หวงโทรศัพท์จัง...แต่แบตโทรศัพท์เรามันหมดต้องชาร์ตก่อน
พี่เสียบสายไว้บนพื้นข้างเตียงนี่นะ”
ตอบขณะหยิบโทรศัพท์ทั้งสองเครื่องเสียบสายชาร์ตกับปลั๊ก “อ๊ะ
พี่คืนนี่ให้ด้วย” เจ้าของห้องล้วงกระเป๋าหนังสีน้ำตาลมีราคาส่งให้
พอคนบนเตียงได้ของกลับถึงมือก็เปิดดูข้าวของข้างใน
เพียงเห็นธนบัตรที่สอดเพิ่มลงมาและบัตรต่างๆที่ใส่ไม่สุดความยาวช่องก็รู้ว่า
กระเป๋าตังค์โดนค้นเรียบร้อย
...ใครใช้ให้ถือวิสาสะมาค้นของกับใส่เงินลงมาเพิ่ม...
“วันนี้พี่ไปลาป่วยกับอาจารย์ที่ปรึกษาของเราให้แล้วนะ
ส่วนเรื่องสอนพิเศษน้องเราน่ะ
พี่คาทกบอกเขาแล้วว่าเราไม่สบายคงไปสอนไม่ได้”
ฝ่ายอายุมากกว่าว่าพลางนั่งขัดสมาธิบนเตียงใกล้ๆ ทำให้อีกคนต้องกระเถิบถอย
ต่างฝ่ายต่างนั่งกันเงียบๆอยู่เช่นนั้นหลายนาทีจนยาเริ่มออกฤทธิ์ส่งผลให้คนป่วยขยับตัวลงไปนอนหนุนหมอนพร้อมกับมืออุ่นที่เอื้อมมาลูบผมนุ่มไปมาเพื่อกล่อม
“พี่เห็นข้อความที่อาจารย์จินยองส่งมาหาเรา...พี่ไม่ได้ตั้งใจจะอ่านหรอกแต่มันเด้งไม่หยุดก็เลยไถดู
ไถไปไถมาดันย้อนไปถึงข้อความก่อนหน้า
ตอนแรกพี่ก็คิดแค่ว่าเขาเอาใจใส่เราดีแต่พอไปเจอหน้า...พี่ว่า
เขาไม่ใช่คนสุภาพอย่างที่เห็นหรอกนะ
วันหลังเรียนกับอาจารย์เขาอย่างเดียวก็พอ อย่าไปเข้าใกล้มาก
ไอ้เรื่องเป็นผู้ช่วยอาจารย์เขาน่ะ ท่าทางเขาก็มีผู้ช่วยอยู่เยอะ
เราไม่ต้องไปช่วยก็ได้”
ยองแจปรือตามองฮอนชอลที่พูดยาวเหยียดก็นึกถึงอาจารย์ที่ปรึกษาของตัวเอง...อาจารย์จินยองเป็นอาจารย์ที่เก่งและเป็นสุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว
ความสุภาพอ่อนโยนนั้นเป็นเสน่ห์ให้ทุกคนอยากเข้าหา
ในตอนแรกเขาก็คิดเหมือนคนอื่นๆ
ต่อมาอาจารย์เริ่มเรียกเขามาช่วยงานทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้ช่วย
เอ่ยปากชมเขาเป็นลูกศิษย์คนโปรดของตัวเองประจำ
มีงานประชุมสัมมนาอะไรที่มีผลต่อการเรียนเป็นต้องส่งเขาไปเสมอ
ถึงจะเป็นนักศึกษาทุนเรียนดีอันดับหนึ่งของคณะแต่การได้อภิสิทธิ์เหนือคนอื่นเกินไปทำให้เพื่อนร่วมคณะบางคนเขม่น
แล้วไหนจะระยะหลังที่อาจารย์มักชวนเขาออกไปข้างนอกด้วยกัน
ความแปลกนั้นทำให้เขาตงิดใจแต่ครั้นจะปฏิเสธทุกครั้งก็ไม่รู้ว่าจะมีผลต่อการเรียนหรือเปล่า
เลยได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้ระวังตัวไปด้วยอยู่อย่างนี้
“ยุ่ง” คำสั้นหลุดออกมาแต่แทนที่จะโกรธ อีกฝ่ายกลับยังยิ้ม
“ต้องยุ่งสิ ก็เราเป็นเด็กของพี่นี่”
“ไม่...ไม่ได้เป็น”
“งั้นพี่เป็นของเราแทนก็ได้”
“ไม่”
“ไม่รู้แหละพี่ยกให้เราเป็นเจ้าของพี่แล้ว
เพราะงั้นต่อจากนี้เราจะทำยังไงกับพี่ก็ได้ จะทำให้เจ็บแค่ไหนก็เอาเลย
แต่พี่จะไม่ไปไหนอีกแล้ว พี่จะอยู่ดูแลเราอยู่ตรงนี้
จะทำทุกอย่างให้ดีกว่าที่เคยทำมาก่อนหน้านี้ด้วย”
“ใครเขาอยากได้กัน” คนนอนอยู่บ่นพึมพำมองหน้าทะเล้นเหมือนจะเล่นแต่เอาจริงของอีกคนก็ใจกระตุกรีบพลิกตัวตะแคงข้างหันหลังหนี
“รับไปเถอะ...พี่น่ะไม่ได้ตัวเปล่าแล้วนะ
ตอนนี้พี่มีอสังหาริมทรัพย์อยู่บ้างแล้วนะ
อาจจะไม่ได้เยอะเหมือนคนอื่นแต่ก็มีบ้านที่อเมริกา
มีอพาร์ทเม้นต์อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยของเรา
กับบ้านริมทะเลอีกหลัง...เงินเก็บพี่ก็กันส่วนหนึ่งไปลงทุนนะ
อีกส่วนก็เก็บเป็นค่าสินสอด พอเหลือพี่ถึงเอามากินมาใช้
พี่พยายามสร้างฐานะให้เท่ากับเราอยู่พอเราเรียนจบปุบก็แต่งกันได้พอดี”
“บ้าหรือไง”
“อืม...พี่มันทั้งโง่ทั้งบ้าอย่างที่เรารู้ แต่เรื่องที่พี่พูดออกไป พี่เอาจริงนะ”
“น่ารำคาญ”
“รำคาญเหรอ ดีใจแฮะ รำคาญพี่เยอะๆนะ ยิ่งรำคาญมาก พี่จะได้รักเรามากๆ” คนช่างตื้อไม่เลิก อีกฝ่ายเลยเลือกไม่ตอบหลับตานอนไปเฉยๆ
ในนาทีที่เปลือกตาปิดสนิทเหลือเพียงความมืดยองแจรับรู้ถึงแรงกดของเตียงก่อนที่แขนแข็งแรงจะสอดเข้ามาดึงร่างเขาเข้าไปกอดไว้แนบอก
ตาที่อ่อนแรงปรือขึ้นมองก็เห็นอกกว้างที่อยู่ใต้เชิ้ตอยู่ตรงหน้าจึงเริ่มดิ้นหนี
“ปล่อย” เขาสั่งห้วนด้วยเสียงอ่อนแรงเต็มที
“พี่จะปล่อยตอนที่เราหลับสนิทแล้ว”
เสียงเข้มกระซิบแผ่วแล้วคลึงคางลงกลางกระหม่อมคนในอ้อมแขนไปมาเบาๆ
“เด็กน้อย ถ้าเราคิดจะแก้แค้นพี่แต่ยังไม่มีแรงอยู่แบบนี้จะแก้แค้นยังไง
เพราะงั้นเราต้องนอนหลับให้มากๆ ข้าวก็ต้องกินให้ครบห้าหมู่
กินยาตามที่หมอสั่ง หนังสือไม่ต้องหักโหมอ่านทั้งวันทั้งคืนหรอก
ถ้าอยากเป็นนักศึกษาทุนนัก มาเรียนด้วยทุนพี่แทน”
“ผมเกลียดคุณ”
ยองแจเอ่ยเป็นประโยคสุดท้ายคล้ายเป็นเสียงถอยหายใจ
ความหนักอึ้งที่ถมลงมาทำให้เหนื่อยเกินกว่าจะต่อต้านเลยปล่อยให้ตัวเองถูกกอดไว้ในวงแขนรับเอาไออุ่นจากสัมผัสอันคุ้นเคยนั้นและหลับไปอีกครั้ง
ฮอนชอลยิ้มให้กับถ้อยความนั้นกระชับร่างขาวให้เข้ามาใกล้ตนเองมากกว่าเก่าพลางลูบหลังป้อยๆให้เหมือนกล่อมแล้วซบหน้าลงกับเรือนผมนุ่มหอมเพียงครู่จึงเปลี่ยนมาวางคางไว้บนกระหม่อมเช่นเก่าก่อนที่เสียงกระซิบแผ่วเบาจะลอดผ่านริมฝีปาก
“Baby, let me make up for what happened in the past.”
-----------------------------------------------------------
ชามบิงซูที่เหลือน้ำติดก้นไม่พอจะใช้ช้อนตักถูกมือใหญ่เลื่อนพ้นจากหน้าก่อนจะยกจานวัฟเฟิลอัลมอนด์มาแทนที่และหยิบมันมากัดกระชากแล้วเคี้ยวแรงๆสลับกับดูดชาเขียวนมปั่นด้วยความเซ็ง
หลังจากหนีบรรยากาศมาคุจากในห้องมาข้างนอกตั้งแต่สี่โมงทำให้คนคุ้นกับการใช้ชีวิตหลังทุ่มครึ่งเป็นอย่างต่ำไม่รู้จะไปไหน
เดินไปเดินมาเลยสอยเสื้อแจ็กแก็ตจากร้านเสื้อแบรนด์ทำมือหนึ่งมาสวมทับเสื้อยืดง่อยๆที่ติดตัวมาก่อนมาลงเอยที่ร้านบิงซูแห่งนี้
ความจริงบยอลจะไปนอนอืดที่หลังร้านของตัวเองก็ทำได้
ตรงนั่นเป็นห้องเก็บเสียงที่มีโซฟากับโทรทัศน์ให้นั่งพัก
แต่ด้วยความเบื่อเลยเพียรส่งข้อความและโทรหารุ่นพี่ที่สนิทกันอย่างฮันเฮนั้นก็ปิดเครื่อง
โทรหาเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่ยังเด็กอย่างฮยอนแทกับฮยอนอูมันก็บอกว่ามีเดท
โทรหาแจบอมกับกวังรยอลมันก็ไม่ว่างทั้งคู่
ครั้นจะโทรไปหาเพื่อนเก่าที่ตอนนี้เป็นทายาทตระกูลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างมินโฮที่กำลังมีเรื่องปะทะกับลูกบุญธรรมของพ่อมันอยู่ก็เกรงใจ
สุดท้ายมือลั่นกดโทรไปหาพี่ที่รู้จักแต่ไม่ได้เจอกันพักใหญ่แล้วเลยโดนเอ็ดมาอีก
วางสายไปไม่ทันถึงสิบนาทีดีพี่ชายร่วมห้องก็โทรมาด่าจนหูชา
ลำพังแค่ถูกทิ้งให้เคว้งคว้างอยู่คนเดียวในตอนที่ฟ้ายังไม่มืดแถมโทรไปหาใครก็ไม่มีใครว่างออกมาหา
พอถูกด่าจากรุ่นพี่ซ้ำเลยรู้สึกแย่เข้าไปอีก
...ไอ้ระบบแจ้งเตือนเฮงซวย เสื้อไม่ถึงแสนวอนต้องส่งข้อความไปบอกด้วยเหรอ...
ชายหนุ่มกัดวัฟเฟิลชิ้นที่สองเข้าปากพลางเอนหลังกับพนักเก้าอี้ทอดมองไปยังคู่รักที่กำลังป้อนบิงซูกันหวานฉ่ำก็เบือนหน้าหนีไปอีกทางก็เห็นกลุ่มเพื่อนจ้วงกินบิงซูหัวเราะกันสนุกสนาน
ทำให้ความหงุดหงิดยิ่งทวีคูณจนอยากถล่มร้านแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่ากระฟัดกระเฟียดลงกับของกินและเอนหัวหันออกไปมองผ่านหน้าต่างกระจกออกไปนอกร้าน
ยามเย็นแดดร่มลมตกผู้คนเริ่มสัญจรไปมาขวักไขว่
เด็กนักเรียนจับคู่บ้างเป็นกลุ่มบ้างเดินดูข้าวของตามร้านรวงริมถนนทั้งสองฝั่ง
ในตอนนั้นเขาเห็นเด็กนักเรียนสวมเครื่องแบบเหมือนกับที่เห็นเมื่อเช้าใจก็พาลคิดไปถึงใบหน้านวลละมุนของเด็กหนุ่มลูกครึ่งกับดวงตากลมโตสีอ่อนสวยที่มองเขาอยากกระตือรือร้นเสมอ
...หน้าตาเหมือนผู้หญิงแบบนั้นจะโดนแกล้งหรือเปล่า...
...ข้าวเช้าที่ให้ไป กินอิ่มไหมวะ...
...ภาษาเกาหลีที่สอนไปเมื่อวานยังเข้าใจอยู่ใช่ไหม...
...ไฟแช็กที่ฝากไว้ทำหายไปหรือยัง...
พอคิดถึงเด็กคนนั้นขึ้นมาอาการหงุดหงิดแทบกระทืบคนได้ก็คล้ายจะหายไป เรื่องนี้ถือเป็นความประหลาดในช่วงสามสามวันมานี้เลยก็ว่าได้
หมู่นี้เวลาที่ว่างจากการทำงานหรือก่อนเข้านอน
คำถามเหล่าเกี่ยวกับเด็กคนนั้นมักแว่บเข้ามาในหัว
มันเป็นเรื่องแปลกเพราะเขาไม่ค่อยจะใส่ใจคนที่พบกันเพียงไม่กี่ครั้ง
แต่กับเด็กคนนี้ไม่แค่ทำให้เขาหยุดฝันอะไรแปลกๆ แต่ดูเหมือนเขาจะอ่อนโยนลง
คนปากหมาที่ไม่สนว่าใครจะคิดกับตัวเองอย่างไร
ทว่ากับเด็กคนนั้นแค่พูดอะไรที่พาลให้คิดไม่ดีก็หลุดปากพูดอะไรน่าสมเพชแก้ความเข้าใจผิดทุกที และความรู้สึกที่ว่าอยากอยู่ให้นานอีกนิดไปจนถึงเป็นห่วงที่เด็กคนนั้นกลับหอมืดก็เกิดขึ้นทุกครั้งที่อยู่ด้วยกัน
...บุหรี่อีก แพงนะนั่นแต่ก็ยอมดับให้ทั้งที่สูบไปถึงห้านาที...
บยอลเอนหัวพิงกับขอบพนักเก้าอี้ยังคงเคี้ยววัฟเฟิลไว้เต็มปาก
ตาเหลือบยังนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนอยู่ตรงกลางของร้านที่บอกเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจะหนึ่งทุ่ม
...โรงเรียนเลิกตั้งนานแล้ว
จะกลับหอไหม หรือไปเรียนพิเศษอยู่ เรียนถึงกี่โมงกัน
...หน้าตาแบบนั้นกลับมืดๆคนเดียวทุกวันได้ยังไง อันตรายจะตาย...
...ทำไมต้องแคร์....
คิดถึงตรงนั้นคำถามในใจก็แทรกขึ้นมาอีกแต่เจ้าตัวให้เหตุผลกับตัวเองว่า
อยู่หอพักเดียวกัน
อุตส่าห์รู้จักกันก็เหมือนเพื่อนบ้านโดยเจ้าตัวลืมคิดไปว่า
พื้นฐานตัวเองไม่ผูกมิตรกับพวกที่ดูสะอาดต่างจากตัวเอง
ชายหนุ่มหลับตาพลางถอนหายใจออกมาอีกหนด้วยความรู้สึกโหวงว่างทั้งที่ในท้องเต็มไปด้วยขนมจนแน่น
...อยากเห็นหน้าอีกแฮะ...
-----------------------------------------
ฮัลซลยกมือทั้งสองข้างปิดจมูกและจามออกมาอีกเป็นรอบที่สาม
ตากลมโตกลอกไปมายังผู้คนในหอสมุดที่หันมามองคนต้นเสียงแทบเป็นตาเดียวก็ก้มหัวขอโทษแล้วหยิบทิชชู่เปียกในกระเป๋าที่ซามูเอลหย่อนไว้ให้แต่ไม่เคยได้ใช้มาเช็ดจมูกที่แดงก่ำกับมือไม้จนสะอาด
เด็กหนุ่มกดปุ่มโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในโหมดสลีปให้กลับมาทำงานเพื่อดูเวลาและกดเข้าคาทกไถผ่านข้อความจากยองแจที่ว่า
ไม่สบายงดสอนพิเศษไปถึงข้อความจากซามูเอลที่ตอบกลับมาว่า
วันนี้จะทำรายงานกับเพื่อนคงไม่ไปทั้งสนามบาสและร้านของพี่ๆด้วยเลยซบหน้าลงกับโต๊ะ
เพื่อนก็ไปเรียนพิเศษกันหมด
พี่ยองแจก็ไม่สบายมาสอนไม่ได้ น้องสุดที่รักก็ต้องทำรายงาน
ปล่อยเขาเดี่ยวดายต้องมาอยู่หอสมุดอ่านหนังสือสอบรอเวลาไปร้านดาวดวงใหญ่เพียงลำพัง
ทั้งที่ใจอยากจะอยู่หอสมุดอีกสักพักแต่อาการจามติดกันทำให้คนรอบข้างเริ่มส่งสายตารำคาญและคนที่ไม่ชอบบรรยากาศไม่เป็นมิตรก็รู้สึกเหมือนจะอยู่ต่อไม่ได้
เลยเก็บข้าวของใส่กระเป๋าสะพายหลังตั้งใจว่าจะแวะไปหาอะไรกินที่ร้านดาวดวงใหญ่แล้วกลับไปอ่านหนังสือสอบคนเดียว
เท้าก้าวลงบันไดหน้าหอสมุดทำให้ตามองเห็นเชือกรองเท้าผ้าใบคู่โปรดของตัวเองที่หลุดอยู่จึงก้มไปผูก
นิ้วนุ่มสัมผัสปลายเชือกที่ถูกลนไฟและมีสก็อตเทปพันก็พาลให้นึกถึงหน้าดุของคนที่เอาไฟแช็กราคาแพงมาลนให้ก็หลุดขำออกมา
...คุณไฟแช็กออกจะประหลาดไปหน่อยแต่ก็ใจดี...
มือขาวเอื้อมไปตบช่องหน้าของกระเป๋าสะพายหลังที่มีไฟแช็กซึ่งอีกคนฝากไว้อยู่ในนั้นก่อนจะหยิบหูฟังเสียบเข้ากับโทรศัพท์และหูพลางกดเลือกเพลงที่ชอบและออกเดินต่อตามเส้นทางที่คุ้นเคยจนมาถึงหน้าร้านดาวดวงใหญ่ที่ยังไม่เปิดทำการ
บานประตูไม้เลื่อนออกช้าๆ
ทำให้กวักซุกที่ง่วนกับการถูกพื้นร้านเงยหน้ามามอง
พอเห็นหน้าเด็กหนุ่มลูกครึ่งกำลังจะย่ำเท้าลงบนพื้นที่ยังไม่แห้งก็ร้องเสียงหลง
“อย่าเหยียบเชียวนะ...ถ้าแกเหยียบพี่เตะจริงๆ”
“โหย เจอหน้ายังไม่ถึงนาที พี่จะเตะผมแล้วเหรอเนี่ย”
“ตรงนั้นมันเพิ่งถู ขืนแกย่ำเข้ามาได้เป็นรอยต้องถูใหม่”
“แล้วจะให้ผมทำไง...ยืนอยู่หน้าประตูแบบนี้จนกว่ามันจะแห้งเหรอ”
“เออ...มันแห้งเมื่อไหร่ค่อยเดินเข้ามา”
คนเป็นพี่ตอบกลับยังคงถูพื้นต่อไป แม้ไม่เงยหน้ามองก็มีคำถามต่ออีก
“ทำไมวันนี้มาเร็วจังวะ ปกติพี่ถูพื้นอะไรเสร็จแกถึงจะมานิ
แล้วยองแจมันหายไปไหน ไม่มาสอนพิเศษแกหรือไง"
“พี่ยองแจเขาคาทกมาบอกว่าไม่สบาย เลยมาสอนไม่ได้”
“เอ้า มันไม่สบายเหรอ เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ไม่รู้เหมือนกันอ่ะพี่ พอผมได้ข้อความมา โทรกลับไปก็ปิดเครื่อง สงสัยมือถือพี่เขาคงแบตหมด”
“แล้วเพื่อนแกล่ะไปไหนหมด”
“เขาก็ไปเรียนพิเศษของเขากันดิ”
“อ้อ แล้วทำไมไม่ไปหาแซมที่สนามบาสล่ะ”
“แซมก็ไม่ว่างเหมือนกันเห็นบอกมีทำรายงาน วันนี้อาจจะไม่มาที่ร้านด้วย”
“ว้าย
เพื่อนก็ไม่ว่าง พี่ก็ไม่มาสอน น้องยังไม่สะดวก
แบบนี้นี่มันเด็กโดนทิ้งนี่หว่า”
เสียงเข้มที่ถูกบีบจนแหลมเล็กและท่าทางจีบปากจีบคอเหมือนผู้หญิงที่ตั้งใจทำเพื่อจะหยอกเล่นเอาอีกฝ่ายหน้างอ
“ถ้าพูดแบบนี้ผมกลับก็ได้”
“โอ๊ย
ไอ้เด็กฝรั่งนี่ก็ใจน้อยจริงเว้ย ล้อเล่นแค่นี้ทำเป็นงอน...พื้นมันแห้งยัง
แห้งแล้วก็มานี่ เอาน้ำในกระป๋องไปรดน้ำต้นไม้ก่อน เดี๋ยวพี่ทำข้าวให้กิน”
ฮันซลกระชับสายกระเป๋าบนบ่าเดินรับกระป๋องน้ำและไม้ถูพื้นจากพี่ชายผมส้มเอาออกไปรดน้ำต้นไม้ที่อยู่หน้ารั้วของร้านตามคำสั่งและกลับเข้ามาเท้าคางมองแผ่นหลังของยองจุนที่วุ่นอยู่กับการหั่นของสดเตรียมไว้เพื่อง่ายต่อการทำอาหาร
“พี่ยองจุน...ผมหิว” เสียงอ่อนที่เรียกนั้นลากยาวเหมือนจะอ้อน
“ทำไมวันนี้มาไว” คนเป็นพี่ถามทั้งที่ยังก้มหน้าหั่นของอย่างขะมักเขม้น
“มันโดนทิ้ง”
กวักซุกตอบแทนขณะแทรกตัวเข้ามาหลังเคาน์เตอร์
มองตาขวางของเด็กลูกครึ่งตรงหน้าก็หัวเราะพลางเอื้อมมือไปขยี้ผมนุ่มจนยุ่งไปหมด
“งอนอีกล่ะ...แกจะกินอะไรบอกมาดิ”
“ผมอยากกินข้าวผัดกิมจิโปะไข่ดาวสุกกับต็อกบกกีอะแต่ต็อกขอชามเล็กๆได้เปล่า ผมกลัวกินไม่หมด”
“ถ้าอยากกินต็อกบกกีขนาดเท่าอุ้งนิ้วแกนะ...ไปซื้อข้างนอกกินดีมะ เสียเวลาทำ”
“ทำไมอ่ะ...ต็อกบกกีถ้วยเล็กๆ พี่ทำไม่ได้เหรอ”
“ทำได้ แต่ไม่ทำ กินแค่นั้นทำทีมันเปลืองแก๊ซ”
“โห
กับน้องกับนุ่งมีการเสียดายแก๊ซอีกอ่ะ
ไม่เห็นแก่อนาคตของชาติที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อเติบโตไปเป็นอัยการในภายภาคหน้าเลยเหรอ”
“ทำให้กินฟรีแล้วยังเรื่องมากอีก มิน่าทำไมโดนทิ้ง”
“ไม่ได้โดนทิ้งสักหน่อย แค่ไม่มีใครว่าง พี่ยองแจก็ไม่สบายแค่นั้นเอง เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็กลับมาพร้อมหน้าแล้ว”
“แน่ใจ ไม่ใช่พรุ่งนี้ยองแจมันหายไปอีกนะ”
“โวะ ทำไมพี่ชอบขู่ผมกันจังเนี่ย ต็อกอะไรไม่เอาแล้ว เอาแต่ข้าวผัดกิมจิก็ได้”
“พูดแค่นี้ทำหน้าเป็นตูดลิงเลย ไป ไปนั่ง เดี๋ยวทำให้หมดนั้นแหละ” มือใหญ่ของยองจุนสะบัดไล่
อีกฝ่ายเลยผละจากเก้าอี้ไปนั่งอ่านหนังสือรออยู่ตรงโต๊ะไม่ไกลนัก
รอสักพักข้าวกับต็อกบกกีที่ต้องการก็ถูกยกมาตรงหน้าแต่จานต็อกนั้นใหญ่กว่าที่ขอไปโข
“เมื่อกี้ผมบอกว่าจะเอาชามเล็กๆนะ” เด็กหนุ่มทวนสิ่งที่สั่งเลยถูกยัดต็อกฉ่ำซอสเข้าปาก
“ก็บอกแล้วว่าทำชามเล็กไม่คุ้ม ทำออกมาแบบนี้แล้วแบ่งกันกินดีกว่า” กวักซุกว่าแล้วจิ้มส้อมในจานต็อกบกกีมากินอีก “แล้ววันนี้จะเอาไง จะอ่านหนังสือที่นี่หรือกลับไปอ่านหนังสือที่หอ”
“ผมคงกลับไปอ่านหนังสือที่หอ...อ่านที่นี่ถ้าไม่มีพี่ยองแจก็ไม่มีสมาธิหรอก”
“ไหนแกว่าห้องข้างบนเสียงดังจนอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องไง”
“ตอนนี้ไม่ดังแล้ว”
“เอ้า นี่แกขึ้นไปคุยกับห้องข้างบนมาไงถึงเสียงไม่ดังแล้วอ่ะ”
“อืม”
“ขึ้นไปเคลียร์เองคนเดียวเลย โว้ น้องตรูแม่งเลเวลอัพตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
“ใครว่าล่ะ มีคนช่วยต่างหาก”
“มีคนช่วย ใครวะ...อ้อ เมื่อวานซองฮักมันไปกับแกนิ ซองฮักมันพูดให้เหรอ”
“ฮู้ย พี่ซองฮักอ่ะเหรอช่วย ชิ่งไปตั้งแต่เดินถึงหน้าประตูห้องเขาแล้ว ดีที่คนข้างห้องนั้นเขาออกมาพอดีก็เลยช่วยจัดการให้แทน” คำตอบนั้นมาพร้อมกับการเคี้ยวข้าวแรงๆ
“อุ๊ย ในที่สุดไอ้เด็กฝรั่งก็เจอผู้มีอุปการคุณโปรดทราบในหอแล้ว...แล้วไง สรุปเขาทำอะไรถึงเสียงดัง”
“ออกกำลังกาย”
“ห๊ะ ออกกำลังกายบ้าอะไรถึงเสียงดังลงมาถึงห้องแกได้”
“ผมจะไปรู้ได้ไงเล่า”
“ออกกำลังกายนี่ออกกำลังกายในร่มบนเตียงอะไรแบบนี้เปล่าเนี่ย
โอ๊ย ไอ้...ดงฮยอน ไอ้ห่านี่ตีพี่ทำไมวะ”
คนตัวใหญ่แต่เตี้ยหันไปหาน้องชายร่างโปร่งที่สวมเสื้อยืดทับด้วยแจ็กแก็ตสีน้ำตาลกับกางเกงยีนส์ที่ฟาดมือลงบนหลังอย่างแรง
“ก็ดูพี่พูดดิ น้องมันยังไม่บรรลุนิติภาวะ ทำไมชอบพูดอะไรสองแง่สองง่ามแบบนี้วะ”
“สองแง่สองง่ามอะไร ออกกำลังกายในร่มบนเตียงนี่ซิตอัพก็ได้แหมะ”
“โอ๊ย
ดูตาผมก็รู้แล้วว่าพี่แม่งคิดไปไกลแค่ไหน...ยังไงก็อย่าเอาเรื่องอะไรแบบนี้ไปยัดใส่สมอง
ให้น้องมันมีแต่เรื่องที่ต้องใช้สอบก็พอแล้ว”
“วุ้ย
พ่อคนดีศรีสังคม ทำมาพูด เมื่อวานไปสอนพิเศษ
ขากลับมีสาวขับรถมาส่งแถมหอมแก้มแกหน้าร้าน
ถามจริงไปสอนพิเศษวิชาอะไรถึงมีสาวมาส่ง”
“นั่นไม่ใช่เด็กที่ผมสอน...นั่นแฟนต่างหากว้อย”
“ว้ายๆๆๆ
น้องน้อยของพี่มีแฟนตั้งกะเมื่อไหร่ไม่ยักบอก ซุ่มเหรอ
วันหน้าวันหลังเขามาส่งก็พามาแนะนำกับพี่หน่อยสิวะ
จะได้รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน”
“เอาไว้วันหลังล่ะกัน
ผมจะรีบไปสอนพิเศษ...ไปนะฮันซล อย่าไปฟังพี่กวักซุกเยอะนะ
อะไรไม่ดีนี่รีบปิดหูไว้นะ เดี๋ยวจะซึมซับความบ้าพี่เขามาหมด”
“อ้าว
ไอ้น้องทรพี เดี๋ยวพ่อปาด้วยส้อมเลย”
คนเป็นพี่คว้าส้อมในจานต็อกบกกีทำท่าจะขว้างใส่
อีกฝ่ายหัวเราะร่วนแล้วกระโจนหนีออกไปเกือบชนเข้ากับเรฮวานที่เพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัยเลยโดนสบถใส่ไปอีกดอก
“ไง
เด็กฝรั่ง กินไรอยู่”
ชายหนุ่มหน้าเฉี่ยวสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์สีดำทั้งตัวเดินเข้ามาถาม
มือเรียวยกขึ้นขยี้ผมสีน้ำตาลอ่อนที่ยุ่งอยู่แล้วให้ยุ่งมากไปอีก
“ข้าวผัดกิมจิครับ” เขาตอบกลับอย่างสุภาพ...ในบรรดาพี่ทั้งห้าคนเรฮวานกับดงฮยอนออกจะสุภาพกว่าพี่คนอื่น
อาจเป็นเพราะทั้งสองคนได้เจอสังคมในรั้วมหาวิทยาลัยต่างจากพี่อีกสามคนที่ต้องทำงานส่งน้องเรียนตั้งแต่ยังวัยรุ่น
“พี่ยองจุนทำให้กินสิ” ว่าแล้วก็เอื้อมไปหยิบต็อกบกกีในจานด้วยนิ้วเปล่าใส่เข้าปาก “แล้วนี่ทำไมอยู่คนเดียวอะ ยองแจกับแซมไปไหน”
“พี่ยองแจไม่สบาย แซมไม่ว่างครับ”
“อ้อ...แบบนี้นี่เอง”
“แล้วพี่ล่ะครับ ทำไมวันนี้ถึงมาให้ผมเห็นหน้าได้เนี่ย”
“กลับมาเอาของน่ะ เดี๋ยวก็ไปทำงานพิเศษต่อแล้ว”
“งานพิเศษที่แกลอรี่เหรอครับ”
“ใช่...เป็นเด็กดีตั้งใจอ่านหนังสือล่ะ”
เรฮวานบอกด้วยรอยยิ้มเลียนิ้วที่เปื้อนต็อกบกกีก็วิ่งพรวดหายขึ้นบันไดไปปล่อยให้พี่ชายกับน้องที่เรียกตามความสนิทกินข้าวกันต่อ
เด็กหนุ่มกวาดข้าวเม็ดสุดท้ายในชามใส่เข้าปากตามด้วยน้ำเย็นแล้วลูบพุงที่ยื่นออกมาเพราะความอิ่มด้วยใบหน้าแป้นแล้นจนอีกคนยื่นนิ้วไปดีดมะกอกใส่หน้าผากเบาๆไปทีหนึ่ง
“โอ๊ย พี่ดีดทำไมเนี่ย”
“เห็นแกแล้วหมั่นไส้วะ มา...เอาจานมาจะได้ไปล้าง”
“ผมช่วยเปล่า”
“ถ้าอยากช่วย ไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดโต๊ะดีกว่า โต๊ะไม้แข็งแรงแบบนี้แกคงไม่ทำมันป่นปี้หรอก ใช่มะ”
“พูดดีๆก็ได้ไม่เห็นต้องเหน็บกันเลย”
เป็นอีกครั้งที่แก้มนวลอูมขึ้นจากลมที่อมไว้ในปาก
ร่างบางลุกจากเก้าอี้ไปหลังร้านหยิบเอาผ้าชุบกับน้ำในห้องน้ำแล้วไล่เช็ดโต๊ะกับเก้าอี้จนหมด
ในตอนที่เก็บผ้าจะไปกองในอ่างให้พี่ซักกันเองก็เหลือบเห็นเรฮวานที่เดินสวนมาบอกลากำลังดูดนมช็อกโกแลตอยู่เลยทำให้คิดไปถึงคนที่ใจดีเลี้ยงของกินตัวเองตลอด
“พี่ยองจุน...ทำข้าวผัดกิมจิโปะไข่ดาวกับไก่ผัดซอสเปรี้ยวหวานใส่กล่องให้ผมกล่องหนึ่งได้ไหม
อันนี้ผมขอจ่ายเงินนะ”
หลังเอาผ้าไปพาดบนอ่างก็กลับมาเท้าแขนกับเคาน์เตอร์ถามพี่ที่เก็บของสดเข้าตู้เย็นอีกหน
“จ่ายทำไม...ถ้าแกกินไม่อิ่มก็บอกสิ จะได้ทำเพิ่มให้”
“ไม่...ผมไม่ได้จะกินอีก อันนี้ผมจะซื้อไปให้คุณไฟแช็กเขาอ่ะ”
“ห๊ะ...แกว่าไงนะ ซื้อไปให้คุณไฟแช็ก คนบ้าอะไรชื่อไฟแช็ก”
“คือ
เขาเป็นพี่ที่อยู่หอเดียวกับผม
คนเดียวกันกับที่ให้ไฟแช็กผมมาลนเชือกรองเท้า
พอดีเมื่อวานนี้เขาเป็นคนช่วยคุยกับห้องที่ทำเสียงดังให้แถมยังเลี้ยงแมคกับข้าวเช้าอีก
ผมเลยว่าจะซื้อข้าวเย็นไปตอบแทนเขาอ่ะ”
“อา...คนที่แกบอกพี่ว่า เขาช่วยลนเชือกรองเท้าให้แล้วแกก็เก็บไฟแช็กราคาล้านวอนของเขาได้นะเหรอ”
“ใช่ๆ คนนั้นแหละ”
“หอพักนั้นไม่น่ามีคนรวยขนาดพกไฟแช็กราคาเป็นล้านไปอยู่ได้นะ”
“เขาว่าได้มันมาจากในกาสิโน”
“เฮ้ย เป็นนักพนันเหรอ”
“เปล่า...คุณไฟแช็กเขาเคยเป็นพนักงานในกาสิโนแต่ลาออกมาเปิดผับ...ผับเขาอยู่เลยร้านแมคฝั่งตรงข้ามไปหน่อยเอง”
คนเป็นพี่ชะงักไปเล็กน้อยคล้ายบางสิ่งผลุบเข้ามาในหัวกะทันหัน
ในยามนั้นสีหน้าที่สะท้อนผ่านกระจกใสของตู้แช่ของสดที่ไม่ค่อยสู้ดีนักแต่อีกฝ่ายไม่เอะใจได้แต่นิ่งรอ
“แล้วแกจะเอาไปให้เขาที่ไหน...ไปให้ที่ผับเขานี่ไม่ต้องไปเลยนะ”
“ไม่สิ
ผมจะกลับหอไปอ่านหนังสืออยู่พอดี ตอนนี้ยังไม่ทุ่มเขาน่าจะอยู่ที่ห้อง
ผมเลยว่าจะเอาไปให้เขาที่ห้องนั้นแหละ
ให้เสร็จก็กลับมาอ่านหนังสือที่ห้องต่อ”
“อาๆ
แบบนั้นก็ได้ เดี๋ยวพี่ทำให้ แต่แกไม่ต้องจ่ายเงินให้พี่นะ
เขาช่วยแกก็เหมือนเขาช่วยพี่นั้นแหละ
แกเอาข้าวไปให้เขาครั้งนี้แล้วก็อย่าไปยุ่งอะไรกับเขามากล่ะ
เดี๋ยวเขารำคาญจะอยู่ยากถึงแกจะอยู่แค่ไม่กี่เดือนก็ย้ายออกก็เถอะ”
“คร้าบ”
คนเป็นน้องลากเสียงยาวด้วยรอยยิ้มกว้าง กลับไปนั่งรอที่เก้าอี้ตัวเดิม
เฝ้ามองลูกค้าที่ทยอยเข้ามานั่งสั่งอาหารจนเกือบแน่นร้านก็ได้อาหารที่สั่งใส่กล่องอยู่ในถุงพลาสติกมาพอดี
“ฮือ...พี่ยองจุนสุดที่รักของน้อง บุญคุณครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก น้องจะจดจำไปชั่วชีวิต”
“พอๆ ไม่ต้องทำน้ำเน่า...แล้วอย่าลืมที่พี่บอกเอาไปให้เขาแล้วก็อย่าไปอะไรกับเขามากล่ะ”
“รู้แล้วน่า
ผมก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับเขาสักหน่อย...ผมไปแล้วนะ
คนเต็มร้านแบบนี้ไม่ต้องไปส่งนะ ผมกลับเองได้ ไปนะพี่ เจอกันพรุ่งนี้”
เด็กหนุ่มสะพายกระเป๋าขึ้นหลังแล้วบอกลา
ยกมือข้างที่ว่างอยู่โบกไปมาก็วิ่งตื้อออกจากร้านไป
ยองจุนมองตามแผ่นหลังบางที่หายลับจากประตูอย่างครุ่นคิด
ใบหน้ามีแววกังวลฉายอยู่อย่างเห็นได้ชัดแต่เมื่อกวักซุกมาตบบ่าก็ปรับสีหน้าเป็นยิ้มกลับเข้าส่วนครัวไป
หลังเดินมาไกลจากร้านอาหาร
ฮันซลก็เดินข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้ามกับร้านดาวดวงใหญ่
สวนทางกับผู้คนที่สัญจรไปมาและเลี้ยวเข้าไปในซอยที่ค่อนข้างเงียบ
การเดินเข้าซอยนี้ในตอนกลางคืนคนเดียวออกจะน่ากลัวอยู่เหมือนกันด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เคยเสียบหูฟังระหว่างเดินกลับหอเลยสักครั้งเพราะการได้ยินเสียงทำให้เขาระวังตัว
หอพักกลางเก่ากลางใหม่ตระหง่านอยู่ตรงหน้า
เด็กหนุ่มผ่านประตูเข้าไปในหอพักส่งยิ้มให้คุณลุงคนดูแลหอก็ขึ้นบันไดต่อไปจนถึงชั้นที่ตัวอาศัย
ชั่งใจอยู่ระหว่างจะกลับห้องไปเก็บของหรือเอาของกินไปให้ก่อนแต่คิดว่าเอาไปให้เลยคงไม่เสียเวลาอะไรเลยขึ้นบันไดต่อไปยังห้องที่อีกฝ่ายพัก
นิ้วเรียวกดกริ่งที่อยู่ข้างประตูและยืนรออยู่ครู่ใหญ่ก็ไม่เห็นใครออกมาเลยกดกริ่งอีกครั้งแต่ไม่เห็นการตอบรับเลยคว้าหากระดาษกับปากกาเพื่อเขียนโน้ตแปะบนอาหาร
ทว่าในไม่ช้าประตูสีเลือดหมูนั้นก็แง้มออกพร้อมกับใบหน้าคมคายของใครคนหนึ่งจะชะโงกออกมา
“มีอะไร” เสียงนั้นแทบตวาดใส่ จนคนอ่อนกว่าสะดุ้งโหย่ง...นัยน์ตาดุดันที่จ้องมองอย่างเย็นชาทำให้ขนอ่อนบนแขนลุกชัน
“คือ...คือผมเอา...เอาข้าว...มาให้...คุณไฟ...เอ๊ย คุณบยอลน่ะครับ” ถ้อยคำตะกุกตะกักลอดจากริมฝีปากอิ่มสวยแต่ฝ่ายตรงข้ามยังนิ่งเพียงย่นหน้าผากเหมือนใช้ความคิดก็ตอบกลับเสียงห้วน
“ไอ้บยอลไม่อยู่...มีอะไรก็เอาไปให้มันที่ร้านสิ รู้จักใช่ไหม ร้าน Psycho synonyms อยู่เลยจากร้านแมคโดนัลด์ไป” เจ้าของห้องบอกจบก็กระแทกประตูปิดใส่หน้า ทำให้ร่างบางสะดุ้งอีกหน ตาโตเบิกกว้างมองบานประตูนิ่ง
...คนนี้คงจะเป็นพี่ชายที่ใช้คุณไฟแช็กไปซื้อของเมื่อเช้า...ทำไมถึงน่ากลัวนักเล่า
เด็กหนุ่มลูบแขนของตัวเองที่รู้สึกเย็นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
ยกถุงอาหารเย็นที่ยังร้อนๆอยู่ขึ้นมามองก่อนจะตัดสินใจกลับไปที่ห้องตัวเองเพื่อเก็บกระเป๋า
คว้าเสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีดำทับชุดนักเรียนที่สวมอยู่แล้วหิ้วถุงออกจากห้องไปอีกรอบ
สายลมยามหัวค่ำโชยมาให้มือนุ่มที่ลอดจากชายเสื้อกันหนาวตัวโคร่งออกมาครึ่งหนึ่งทั้งสองข้างต้องรีบซุกเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
เท้าที่สวมรองเท้าผ้าใบคู่โปรดย่ำไปด้วยความเร็วสลับกับช้าเป็นจังหวะด้วยเจ้าตัวกลัวว่าอาหารร้อนจะเย็นชืด
บรรยากาศหลังเดินพ้นแมคโดนัลด์ไปในย่านสถานบันเทิงนั้นแม้จะมีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่
แต่ลักษณะท่าทางการแต่งตัวก็ออกจะมีสไตล์เฉพาะตัวกว่า
แสงไฟที่หรี่สลัวลงพร้อมกับเสียงดนตรีที่ดังลอดออกมาของแต่ละร้านก็แตกต่างจากผับที่ญาติผู้ใหญ่เคยพาเข้าไป
แม้จะมีเสียงพูดคุยหัวเราะกันแต่คนไม่คุ้นเคยกลับรู้สึกไม่ค่อยดี
พยายามรีบหาร้าน Psycho synonyms ตามที่ได้ข้อมูลมา
กลุ่มนักเที่ยวชายออกมายืนจับกลุ่มสูบบุหรี่อยู่หน้าร้านมองคนที่กำลังหันรีหันขวางมองไปทั่วเหมือนหาของอย่างไม่ใคร่สนใจนักกระทั่งแสงไฟสว่างจากร้านอาหารอิตาเลี่ยนส่องมากระทบให้เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่หวานละมุนเลยตกเป็นเป้า
“หลงทางหรือไงน้อง”
เสียงตะโกนจากชายคนหนึ่งดังขึ้น
หากอีกฝ่ายไม่คิดว่าถูกเรียกอยู่เลยไม่ได้สนใจ
จนข้อมือผอมถูกมือแข็งคว้าจับดึงให้หันไปตามแรงนั้นและเห็นผู้ชายท่าทางน่ากลัวสามคนมายืนล้อมอยู่ถึงรู้ว่าตัวเองถูกเพ่งเล็งมาพักหนึ่งแล้ว
“หลงทางเหรอ
ให้พี่ไปส่งไหม”
คนตัวสูงชะลูดหน้าตาคมดุมีรอยสักที่คอถามด้วยรอยแสยะตรงมุมปาก
มือแข็งยังกำรอบข้อมือนุ่มอย่างแรงเพื่อไม่ให้ดิ้นหลุด
ฮันซลเม้มริมฝีปากกลอกตาไปมาด้วยความกลัวแต่ยังมีสติพอจะไม่สะบัดแค่กระพริบตาทำเป็นไม่รู้เล่นตามน้ำไปอย่างที่ถูกถาม
“อ้อ ไปส่งได้เหรอครับ ใจดีจัง...ถ้างั้นช่วยพาผมไปร้าน Psycho synonyms หน่อยได้ไหมครับ พอดีผมจะเอาข้าวเย็นมาให้พี่บยอลเขาแต่จำไม่ได้ว่า ร้านพี่เขาอยู่ตรงไหน”
“ร้านนั้นเดินไปอีกหน่อยก็ถึงแล้ว...ถ้ายังไงแวะมาหาไรดื่มกับพวกพี่ก่อนไหม” อีกคนในวงชะโงกหน้าเจ้าเล่ห์ของตัวเองมาถามใกล้ๆ
“ไม่ดีกว่าครับ ผมกลัวข้าวพี่เขาเย็นหมด”
“ตะกี้พูดถึงบยอล...เป็นอะไรกับเขาถึงต้องเอาข้าวมาให้ เป็นเด็กของเขาหรือไง”
“ผมเป็น...เป็นน้องเขา”
“น้อง...หน้าตาไม่เหมือนกันเลยเป็นน้องมันเนี่ยนะ โกหกหรือเปล่า โกหกกับพวกพี่นี่ไม่ดีนะน้อง...เป็นเด็กไม่ดีแบบนี้จะถูกลงโทษนะ”
“ผมไม่ได้โกหก”
“เป็นน้องแบบไหน น้องท้องชนกันหรือเปล่าเนี่ย”
“ท้องชนกันคืออะไรครับ” เพราะความไม่รู้ถึงถามออกไป ฝ่ายนั้นพากันหัวเราะเสียงดัง
“ไม่รู้เหรอ...ถ้าไม่รู้พี่จะบอกให้
ไปกับพวกพี่สิ” แขนขาวถูกฉุดกระชากแรงขึ้นจนเป็นรอยแดง
ทั้งลากทั้งดันจะให้ตามพวกตนไปแต่อีกคนก็ขืนไว้
“ผมบอกว่าไม่ไปไง” เสียงนั้นเริ่มแข็งและใบหน้าที่ตอบยังคนเหล่านั้นเริ่มนิ่ง ใจที่สั่นรัวจากความกลัวเริ่มแทนที่ด้วยความรำคาญ มือข้างที่ว่างคว้าข้อมือใหญ่ที่จับตนเองไว้แล้วบีบแรงกลับจนอีกฝ่ายหันกลับมามองก็เห็นความไม่พอใจฉาบบนดวงตาคู่สวย
ฮันซลไม่ชอบใช้กำลัง
ไม่ชอบการเผชิญหน้า บางครั้งเลยดูเหมือนพวกอ่อนแอไม่มีทางสู้
แต่ถ้าจำเป็นขึ้นมาการเรียนเทควันโดจนได้สายดำดั้งแรกจะถูกงัดมาใช้บ้างเป็นครั้งคราว
บยอลใช้มือสางผมของตัวเองที่ยุ่งเหยิงเพราะแอบหลับที่ร้านบิงซูไปตื่นหนึ่งให้เข้าทรงแล้วมองตรงไปยังกลุ่มคนที่ยืนขวางทางเดินไปยังร้านของตัวเอง
ในตอนแรกเขาไม่ได้สนใจกระทั่งเข้าไปใกล้และได้ยินเสียงใสที่คุ้นหูเลยเงยหน้าไปดูก็เห็นเด็กลูกครึ่งที่เขาไปส่งถึงโรงเรียนเมื่อเช้าถูกคุกคามจากกลุ่มคนที่ระบุไม่ได้แน่ชัด
เท้าจากที่ย่ำอยู่กับพื้นกลายเป็นถีบแรงเข้าหลังของคนที่อยู่ใกล้สุดไปเต็มๆ
“เหี้ยเอ๊ย” ฝ่ายถูกถีบสบถแล้วทั้งหมดก็หันไปมองคนที่เข้ามาจุ้นแทบเป็นตาเดียว พอรู้ว่าเป็นใครก็หน้าเสียแต่ยังไม่ปล่อยข้อมือขาวไป
“ก่อนจะด่าใครว่าเหี้ย
มึงน่าจะด่าเหี้ยใส่ตัวเองก่อนไหม”
คนหน้าดุกวาดตาจ้องหน้าชายเหล่านั้นทีละคนเขม็ง
แววตาเย็นสงบเหมือนผิวน้ำนิ่งที่มีคลื่นยักษ์รวมตัวรอถล่มชายฝั่งในอีกไม่ช้า
แค่คนบนพื้นตะกายขึ้นมานักเลงเก่าที่หัดชกมวยมาตั้งแต่เด็กเพื่อหาเงินเลยศอกเข้าให้จนร่วงลงไปนั่งยกมือกุมปากที่มีเลือดไหลออกมา เมื่อหางตาเห็นใครขยับอีก
แขนที่ผอมแต่แข็งแรงก็ยื่นไปคว้าคอเสื้อกระชากเข้าหาแล้วโขกหัวลงบนหน้าผากกว้างอย่างรู้วิธีทำให้คนโดนกระแทกน็อกร่วงตามลงไป
มือใหญ่ที่กำรอบข้อมือขาวของคนตัวสูงปล่อยแทบจะทันทีที่ชายหน้าดุที่จ้องมาแทบตาไม่กระพริบขยับเข้ามาใกล้
ในละแวกนี้มีหรือจะไม่เคยได้ยินกิตติมศักดิ์ของ ฮัน
บยอล...อดีตนักมวยสากลสมัครเล่นดีกรีเหรียญทองระดับประเทศรุ่นเยาว์และอดีตหัวหน้าพนักงานฝ่ายรักษาความปลอดภัยของกาสิโนอันดับหนึ่งในเกาหลีที่แถมยังเป็นนักพนันฝีมือฉกาจซึ่งผันตัวเองมาเป็นเจ้าของผับในปัจจุบัน
ช่วงแรกที่เปิดร้านหลายคนคิดว่านั้นเป็นข่าวลือเลยมาท้าทายด้วยบ่อยๆ
พอโดนสอยฟันร่วงเข้าโรงพยาบาลไปหลายคน
นับแต่นั้นก็ไม่มีใครกล้าพอจะท้าทายกลายเป็นพันธมิตรกันไปหมด
...ไม่อยากรุนแรงแต่เห็นแล้วเลือดขึ้นหน้า...
“มึงนี่เด็กร้านไอ้จูคยองมันใช่ไหม...มาแหย่ตีนกูถึงที่
ได้ เดี๋ยวกูจัดให้”
เสียงดุเรียบว่าพร้อมมือที่กระชากคอเสื้ออีกคนอย่างแรงจนร่างนั้นถลาเข้าไปหาพร้อมกับมือที่พนมไหว้ปะลกๆ
“พี่ครับ...ผมขอโทษครับ ผมไม่รู้จริงๆว่าเขาเป็นเด็กพี่ ผมเห็นเขาเดินหลงอยู่เลยจะช่วยไม่ได้คิดทำอะไรไม่ดีเลยนะครับ”
“ช่วยหาเตี่ยมึงเหรอ ช่วยเหี้ยอะไรแบบนั้น” มือหยาบตบหัวคนไหว้เต็มแรง “จูคยองมันสอนพวกมึงให้หาเรื่องชาวบ้านแบบนี้ใช่ไหม กูจะได้เอาตีนกูไปให้จูคยองมันแดกด้วย”
“ไม่ครับ ไม่...พวกผมผิดเอง ขอโทษครับพี่ ต่อไปจะไม่ทำแล้ว”
คำอ้อนวอนเสียงสั่นพร้อมทั้งเหล่าบริวารอีกสองหน่อที่ขยับเข้ามานั่งคุกเข่าไหว้ด้วย ฝ่ายอายุมากกว่าเลยตบหัวเรียงตัวแล้วชี้นิ้วไล่
“ไปเลยนะมึง...อย่าให้กูเห็นหน้าอีก ถ้ากูเห็นรับรอง กูเลาะฟันพวกมึงหมดปากแน่” พอได้สัญญาณทั้งสามคนก็ลนลานวิ่งพาตัวเองหนีไปทันที
ชายหนุ่มมองตามหลังพวกนั้นด้วยตาขวางเดาะลิ้นอยู่ในปากก่อนจะหันมามองเด็กหนุ่มที่ฮู้ดคลุมของเสื้อกันหนาวกองอยู่บนบ่า
ดวงหน้าขาวละเอียดมีเลือดตะวันตกผสมยามต้องแสงนวลกลับเปล่งประกายกว่าที่เคยเห็น
“คิดบ้าอะไรอยู่ถึงมาเดินที่นี่คนเดียว
ถ้ามาไม่ทันจะทำยังไง เป็นเด็กเตรียมสอบหนังสงหนังสือไม่อ่าน
อายุก็ยังไม่ถึงริจะหนีเที่ยวแล้วเหรอ” เสียงดุร่ายยาวเป็นชุด
ฝ่ายอ่อนกว่าพูดแทรกไม่ทันเลยยื่นถุงข้าวไปหาแทน
“นี่อะไร”
“ข้าวผัดกิมจิไข่ดาวกับผัดไก่เปรี้ยวหวานครับ...เมื่อเช้าคุณไฟแช็กซื้อข้าวให้ผมกิน
ผมเลยเอาข้าวเย็นฝีมือพี่ชายผมมาให้กินเป็นมื้อเย็น
ตอนแรกผมเอาไปให้ที่ห้องแต่พี่ชายคุณไฟแช็กบอกว่าให้เอามาให้ที่นี่
ผมกลัวมันไม่ร้อนจะไม่อร่อยก็เลยเดินมาหา
คิดว่ามาแป้บเดียวคงไม่เป็นไรแต่ไม่รู้ว่าจะเจอพวกนั้น”
ริมฝีปากอิ่มเอ่ยมีรอยยิ้มบางๆปรากฏ
ดวงตากลมสวยไร้เดียงสาที่ช้อนมาหานั้นเหมือนมีแสงสว่างจุดขึ้นในความหนาวเย็น
ริมฝีปากบางบิดเกือบจะยิ้มแต่ก็เปลี่ยนเป็นเม้มแน่น...ถึงดีใจก็ยังไว้มาด
“จะซื้อมาทำไม ก็บอกแล้วว่าผู้ใหญ่ให้อย่าคิดเล็กคิดน้อย”
“ไม่ได้หรอกครับ...ผมเอาแต่รับอย่างเดียว ผมไม่สบายใจ”
“เฮ้อ จริงๆเลย มานี่มา” ว่าแล้วก็คว้าแขนผอมที่อยู่ใต้เสื้อกันหนาวมาจับแล้วกระตุกเบาๆให้เดินตาม
“จะไปไหนเหรอครับ”
“ต้องไปเปิดร้านก่อน...เปิดร้านเสร็จจะเดินไปส่ง”
“ไม่ต้องไปส่งหรอกครับ ผมกลับเองได้”
“กลับเอง เดี๋ยวก็เจอแบบเมื่อกี้อีกหรอก เป็นเด็กน่ะอย่าเถียงให้มันมากนักสิ” คนหน้าดุเอ็ด หากทำให้อีกคนหลุดยิ้มออกมา
ชายหนุ่มไขกุญแจเข้าไปในร้านที่มืดสนิท
คลำหาสวิตซ์ไฟข้างกำแพงในร้านอย่างเคยชินจนไฟสว่างวางข้าวไว้บนเคาน์เตอร์บาร์แล้วหันไปหาเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่งไม่ยอมผ่านประตูเข้ามา
“เข้ามาสิ”
“ก็คุณไฟแช็กบอกผมไว้ว่า อายุไม่ถึงไม่ให้เข้านี่ครับ”
“ร้านยังไม่เปิด เข้าได้”
เพราะคำอนุญาตทำให้คนอ่อนกว่ายอมเข้าไปในร้านและขยับไปนั่งบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์บาร์ที่มือใหญ่ตบตรงเบาะเป็นเชิงเรียกพลางกวาดตามองการตกแต่งร้านที่ให้ความรู้สึกดิบเท่ห์แล้วเหลือบยังถุงข้าวเย็นที่วางอยู่ใกล้ๆ
“คุณไฟแช็กกินข้าวก่อนไหมครับ...เดี๋ยวมันเย็นจะไม่อร่อย”
ถามออกไปอย่างไม่คิด
แต่ฝ่ายนั้นกลับเดินมาหยิบข้าวกับช้อนในถุงถือไปกินขณะจัดการกับแผงสวิตซ์ไฟเพื่อเลือกโทนสีที่จะใช้ในร้าน...ผับแห่งนี้เปิดเป็นผับฮิปฮอบเต็มตัว
มีจัดคอนเสิร์ตเล็กๆเป็นครั้งคราวในวันพฤหัสถึงอาทิตย์
ส่วนวันอื่นก็กลายเป็นร้านนั่งชิลเปิดเพลงคลอเบาๆให้คนทำงานมานั่งคุยหรือสังสรรค์ได้
“วันนี้ไม่มีเรียนพิเศษหรือไง”
“อ้อ...พอดีพี่ชายไม่สบายเลยมาสอนไม่ได้น่ะครับ”
“เลยต้องอ่านหนังสือสอบคนเดียวอีกแล้วสิ”
“ครับ”
“โทษทีนะ ที่ทำให้เสียเวลาอ่านหนังสือ”
“ขอโทษทำไมครับ ผมต่างหากต้องขอโทษที่ทำให้เดือดร้อน แต่เมื่อกี้คุณไฟแช็กเท่ห์มากเลยนะครับ”
“ไม่กลัวเหรอ”
“กลัวทำไมอ่ะครับ ที่สู้เพราะช่วยผมไม่ใช่สู้เพราะหาเรื่องเขาก่อนสักหน่อยนี่ครับ”
“ก็ไม่รู้ เห็นคนอื่นเขากลัว”
“คุณไฟแช็กไม่น่ากลัวหรอก พี่ชายคุณไฟแช็กน่ากลัวว่าอีก...ตอนผมเอาข้าวไปให้ พี่ชายคุณไฟแช็กตวาดใส่ ผมตกใจหมดเลย"
บยอลเม้มริมฝีปากมองคนที่อยู่ห่างออกไปอีกฟากที่เล่าถึงรุ่นพี่ร่วมห้องของเขาด้วยรอยยิ้มมากกว่าจะกลัวก็โล่งใจ...พี่ฮอนชอลไม่ใช่คนใจดีไปทั่วอยู่แล้วแถมอารมณ์ตอนนี้ก็ไม่ค่อยปกติโดนตวาดมาแค่นี้ถือว่ายังดี
“พี่ฮอนชอลเขาไม่ใช่คนไม่ดีหรอกนะ แค่บางทีอารมณ์ศิลปินขึ้นก็เลยเหมือนอารมณ์ไม่ดี”
“ครับ”
“เออ แล้วก็หยุดเรียกคุณไฟแช็กสักทีเหอะ นี่มีชื่อนะ รู้แล้วไม่ใช่เหรอ”
“ผมเรียกคุณไฟแช็กแล้วรู้สึกไม่ดีเหรอครับ”
“เปล่า”
“งั้นให้ผมเรียกแบบนี้ต่อได้ไหมครับ”
“ทำไมต้องเรียกแบบนี้ล่ะ”
“ก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมแค่ไม่อยากเรียกชื่อจริงของคุณ...ผมชอบจะเรียกคุณว่าคุณไฟแช็กมากกว่า
ผมคิดว่าการเรียกใครสักคนด้วยชื่อเฉพาะมันมีความหมายออกนะครับ”
ตอบรับเท่านั้นก็ส่งยิ้มให้
เจ้าของร้านจัดการเรื่องไฟเสร็จก็พอดีหันมามองเจ้าของรอยยิ้มหวานที่เอ่ยประโยคลึกซึ้งที่ทำให้หัวใจคล้ายพองโต
หากไม่ทันไรประตูเหมือนมีคนไขกุญแจ เสียงพูดคุยกันอย่างแปลกใจ
พอเปิดเข้ามาเจอเด็กแปลกหน้านั่งอยู่กับเจ้านายตัวเองก็กระพริบตาปริบๆด้วยความสงสัย
“ทำไมวันนี้พี่มาเร็วล่ะครับ”
“ว่างเลยมาดูร้านไม่ได้ไง เออ พวกแกมาก็ดี ดูร้านไป เดี๋ยวพี่ไปส่งน้องก่อนจะกลับมาใหม่” เจ้าของร้านปัดไม้ปัดมือส่งข้าวกล่องที่กินจนเกลี้ยงแล้วยัดใส่มือลูกน้องพลางกวักมือเรียกให้คนที่นั่งอยู่ลุกมาหาแล้วจับแขนพาออกจากร้านไปด้วยกัน
ฮันซลเหลือบตายังผู้ชายข้างตัวที่จับแขนเขาไว้เหมือนกลัวหายครู่หนึ่งก็หันกลับมามองทางพลางอมยิ้ม
ตลอดทางทั้งคู่แทบไม่พูดอะไรกันเลยแต่บรรยายกาศระหว่างกันกลับเป็นไปอย่างผ่อนคลายและไม่ทันรู้ตัวทั้งคู่ก็มาหยุดยืนหน้าหอพักของตนเองแล้ว
“ขอบคุณครับที่มาส่ง” ร่างบางว่าแล้วโค้งให้จนฮู้ดที่อยู่ตรงคอเลื่อนมาคลุมหัว
“อืม...” เขาตอบรับในคอเท่านั้นก็ยืนนิ่ง
“ข้าวผัดกิมจิกับไก่ผัดเปรี้ยวหวานอร่อยไหมครับ”
“ก็ดี”
“เวลาหิว
แล้วไม่อยากต้มรามยอนไหม้
แต่ไม่รู้จะไปกินข้าวที่ไหนแวะไปที่ร้านดาวดวงใหญ่ได้นะครับ
ร้านนี้เป็นร้านพี่ที่ผมเคยเล่าให้ฟัง
เสิร์ชในเน็ตดูก็จะเจอเบอร์ติดต่อร้านด้วย ไม่อยากไปถึงร้าน
มีบริการเดลิเวอรี่นะครับ” เพราะเห็นหน้าดุนั้นนิ่งเลยแหย่ด้วยการโฆษณาร้านพี่ตัวเองไปในตัว
“อ้อ”
“ผมไปนะครับ...ขอบคุณเรื่องที่ช่วยผมด้วย”
“วันหน้าวันหลังจะไปแถวนั้นก็บอกสิ เดินเด๋อด๋าเข้าไปแถวคนนั้นคนเดียวมันอันตราย เข้าใจเปล่า”
“คงไม่ได้ไปแล้วล่ะครับ”
“เออ ไม่ต้องไปล่ะดีที่สุด” เสียงเข้มบอกแล้วก็เงียบอีกพักจึงต่อ “ปกติเลิกเรียนพิเศษกี่โมง”
“สองทุ่มครับ”
“แล้วเรียนพิเศษที่ไหน”
“ปกติจะไปติวกันหอสมุดครับ แล้วค่อยมาติวต่อที่ร้านของพี่”
“ขากลับมีคนมาส่งหรือเปล่า”
“บางทีพี่เขาก็เดินมาส่งครับ แต่ถ้ายุ่งๆก็มาคนเดียว”
“มาคนเดียวได้ไง อันตรายจะตาย...เอางี้ล่ะกัน วันหลังจะแวะไปกินข้าวที่ร้านนั้นแล้วถ้าไม่มีคนมาส่ง เดี๋ยวมาส่งให้เอง”
ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาไม่เต็มเสียงกับท่าทางสองมือล้วงกระเป๋า
เท้าเตะไปมามองไปทางนู้นทางนี้ทีทำให้คนอ่อนกว่ากระพริบตาแล้วแย้มริมฝีปากกว้าง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเกรงใจ”
“เกรงใจอะไรเล่า อยู่หอเดียวกันก็เหมือนเพื่อนกันนั้นแหละ”
“เหรอครับ” หน้านวลพยักขึ้นลงเหมือนเข้าใจ
“เออ
แค่นี้แหละ...เราขึ้นไปอ่าหนังสือเถอะไป”
ตัดบทจบก็โบกมือไล่และหันหลังเตรียมเดินกลับไปทางเก่าแต่เสียงที่เรียกจากข้างหลังทำให้เท้าหยุดก้าวต่อ
“ถ้าเราเป็นเพื่อนกัน...ผมขอไอดีคาทกคุณไฟแช็กไว้ได้ไหมครับ”
ฮันซลถามมองแผ่นหลังของชายที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าตัวเองอยู่หลายนาทีจนคิดว่าคงไม่ได้แล้วเลยต่อ
“ถ้าไม่ได้ก็...”
“010-XXXX-XXXX” สุดท้ายคนหน้าดุก็เหลียวกลับมาบอก
“ผมขอไอดีคาทกนะครับ ไม่ได้ขอเบอร์มือถือ”
“เบอร์มือถือมันไอดีเดียวกับคาทก”
“อ้อ”
“010-XXXX-XXXX” เจ้าตัวย้ำหมายเลขอีกครั้งช้าๆ “แอดมาหรือยัง”
“ยังครับ”
“แล้วทำไมไม่แอดเล่า อุตส่าห์ทวนเลขให้”
“ก็ผมเมมเบอร์ไว้ก่อน แล้วจะไปแอดในคาทกทีหลัง”
“อ้อ” อีกฝ่ายว่าเท่านั้นก็เสยผมอีกรอบ “ถ้าเมมเบอร์ก็ยิงมาด้วยสิ”
“อา...ครับ” เมื่อขอก็ทำให้ตามต้องการ มือใหญ่ล้วงไปหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นออกมาดูหมายเลขที่โทรเข้ามาก็ถามต่อ
“เมมชื่อฉันไว้ว่าอะไร”
“ก็คุณไฟแช็กไงครับ”
“แล้วจะให้เมมชื่อเราว่ายังไง”
“ตามใจสิครับ...อยากเมมชื่อว่าอะไรก็เมม แค่จำได้ก็พอว่าเป็นใครที่โทรหา”
“คิดมาให้หน่อยได้ไหม”
“ฮันซล”
“ไม่เอาดิ...เอาชื่อแบบที่ไม่ใช่ชื่อจริง”
“พวกพี่เขาเรียกผมว่าฝรั่งอ่ะ”
“ไม่มีอะไรที่คิดว่าตัวเองคล้ายบ้างหรือไง”
“เพื่อนบอกว่า ผมเหมือนแฮมทาโร่...เออ ตัวการ์ตูนหนูแฮมสเตอร์นะครับ”
“งั้นเมมว่า แฮมแฮมล่ะกัน”
“อา...ครับ”
“เออ
ฉันไปจริงๆแล้วนะ ตั้งใจอ่านหนังสือล่ะ แล้วก็อย่าลืมแอดคาทกมาด้วย
ถ้ามีแบบฝึกหัดภาษาเกาหลีที่ไม่เข้าใจ คาทกมาถามได้
ถามแล้วยังไม่กระจ่างยิงมาแล้วกันจะโทรกลับไปอธิบายเอง”
“555 ใจดีจัง
วันนี้ขอบคุณอีกครั้งนะครับ คุณไฟแช็กเดินไปที่ร้านก็ระวังตัวด้วยนะครับ
แต่อัดคนขนาดนั้นคงไม่ต้องระวังก็ได้มั่ง ราตรีสวัสดิ์นะครับ”
เจ้าของแขนขาวที่ยกโบกไปมาร้องบอกด้วยเสียงสดใส
“อืม
ฝันดี”
บยอลยกมือข้างหนึ่งเป็นเชิงรับคำลาแล้วหันกลับเดินต่อไปตามทางที่แสงไฟสีส้มส่องสว่าง
ใบหน้าดุกระด้างอยู่ตลอดนั้นค่อยๆมีรอยยิ้มปรากฏเช่นเดียวกับความละมุนในดวงตา ความขุ่นเคืองที่ปะทุอยู่ตลอดช่วงเย็นหายไปในปลิดทิ้ง
...ไอ้เด็กฝรั่งนี่มันน่ารักฉิบหาย...
0 Comments