LOVE TOXICAL : CHULJAE CHAPTER 17

06:58


เสียงน้ำไหลเงียบลงก่อนที่ประตูห้องน้ำจะเปิดออกพร้อมกับร่างของชายคนหนึ่งที่มีเพียงบ็อกเซอร์สวมทับด้วยกางเกงขาสามส่วนลายพรางทหาร  เรือนผมสีดำลีบลู่เปียกชื้นถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขนหนูสีเดียวกัน

มือใหญ่ใช้เวลาเช็ดผมจนหมาดแล้วเดินไปยังราวตากผ้า ท้องฟ้าสีหม่นมัวยามค่ำคืนที่โรยตัวลงมาครอบคลุมทั่วทุกพื้นด้านนอกหอบลมเย็นลอดผ่านช่องว่างของบานหน้าต่างกระทบผิวกายแต่เขาไม่สะทกสะท้านเพียงหยิบเสื้อยืดสีขาวหม่นที่มีสีฟ้าแซมอยู่ รูปวาดที่สกรีนอยู่ตรงกลางเสื้อหลุดร่อนจนมองไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร เนื้อผ้าที่บางเบารวมทั้งความหย่อยย้วยของคอเสื้อบ่งบอกถึงการซักและใช้งานนับครั้งไม่ถ้วนจนสภาพไม่ต่างกับผ้าขี้ริ้ว

ตาคมมองเงาสะท้อนอันลางเลือนของตัวเองตรงหน้าต่าง มือเรียวกร้านยกขึ้นลูบเบาบนรูปสกรีนบนอกที่ขาดแหว่งซึ่งครั้งหนึ่งเมื่อยังใหม่มันเป็นลายการ์ตูนรูปเตารีดตามชื่อในวงการดนตรีของเขา

ความทรงจำเมื่อครั้งที่เด็กน้อยของเขายื่นเสื้อยืดสีฟ้าลายเตารีดน่ารักตัวหนึ่งมาให้ในขณะที่เจ้าตัวก็สวมเสื้ออีกตัวที่ลายและสีเหมือนกันพร้อมกับภาพวันวานที่ผุดมาทำให้เขาหลุดยิ้ม

...ผมซื้อมาจากตลาดนัดนักศึกษาล่ะ...
...ไปตลาดนัด ทำไมไม่ชวนพี่ไปด้วย...
...เห็นพี่เหนื่อยๆเลยอยากให้นอน...
...เรานี่นะ วันหลังจะไปไหนเรียกพี่ไปด้วยรู้ไหม... 
...ง่าส์ อย่าเพิ่งโกรธนะ...
...พี่ไม่ได้โกรธ แต่เรามีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งวันแค่เสาร์อาทิตย์เอง...
...ผมรู้ แต่ว่า นี่ๆ เสื้อ ผมซื้อเสื้อคู่มาล่ะ...
...เสื้อคู่...
...ไอ้เตารีดนี่มันคือชื่อตอนที่พี่เป็นแรปเปอร์ด้วย ดูสิน่ารักเนอะ...
...อืม...
...ใส่ด้วยกันนะ...
...โห ไม่ไหวนะ มันน่ารักไป ไม่เหมาะกับพี่หรอก...
...เหมาะสิ ถ้าพี่ใส่เสื้อตัวนี้นะ ต้องน่ารักมากเลย...
...ไม่เอา...
...นะนะ ใส่เถอะนะ ไม่ต้องใส่ไปข้างนอกก็ได้ ใส่ในบ้านก็ยังดี...
...จะใส่ก็ได้ ถ้าเรามีเหตุผลที่ฟังขึ้น...
...เหตุผลเหรอ อยากรู้จริงๆเหรอ...
...อืม...
...ก็คนอื่นชอบคิดว่าพี่น่ากลัว...
...แล้ว...
...ผมอยากให้คนอื่นรู้ว่าจริงๆแล้ว พี่น่ะเป็นคนที่น่ารักมากๆ...
...พี่น่ะเหรอน่ารัก...
...อืม โดยเฉพาะกับผม พี่น่ารักที่สุดเลยล่ะ...



ดวงตาเล็กหยีที่เกิดจากการเหยียดริมฝีปากกว้างบนใบหน้าขาวละมุนยังชัดเจนเหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานทำให้คนที่ยิ้มอยู่ในตอนนี้รู้สึกได้ถึงความสั่นของฝ่ามือ

“พี่จะเป็นคนที่น่ารักของเราอีกครั้งได้หรือเปล่า”คำถามเปล่งผ่านออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้ง รอยยิ้มเปี่ยมสุขในตอนแรกเริ่มขืน ลำคอของเขาแห้งและตีนตับเหมือนขาดน้ำ บางสิ่งเสียดแทงลงมาเล่นงานตรงหัวใจให้เจ็บสาหัญจนต้องทอดลมหายใจยาวเพื่อบรรเทาอาการนั้น

...คนมักพูดว่า ฝ่ายถูกทิ้งนั้นน่าสงสารแต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า การเป็นฝ่ายเดินจากมาทั้งที่ยังรักมากนั้นทรมานเพียงใด...

โทรศัพท์มือถือแผดเสียงดังและสั่นกระทบบนโต๊ะไม้เรียกให้คนที่จมในห้วงทุกข์ทุกเช้าค่ำผละจากบานหน้าต่างเดินกลับไปรับสาย ชี้แจ้งเรื่องเพลงที่ส่งให้ค่ายเพลงผู้ว่าจ้างและนัดหมายวันที่จะเข้าไปประชุมกันอีกเรียบร้อยก็กดปิดเครื่องตรงไปที่ห้องนอน

เจ้าของห้องก้าวเข้าไปในความมืดมิดอย่างคุ้นชินก่อนจะปีนขึ้นไปบนเตียงที่มีคนป่วยนอนอยู่ เพียงล้มตัวลงนอนใกล้ๆ ร่างที่คู้อยู่ใต้ผ้าห่มกลับพลิกมาหา แขนนุ่มสอดเข้ามากอดเอาไว้แน่นและซุกหน้าลงบนอกของเขาอย่างโหยหา...ในยามที่ไม่มีสติ จิตใต้สำนึกนั้นรับรู้ถึงการมาของคนที่รอคอยแม้ใครคนนั้นจะฝากรอยแผลลึกเอาไว้

“อย่า...ไป” เสียงแหบแห้งและสั่นเทาอ้อนวอนอย่างน่าสงสารลอดผ่านริมฝีปาก เตือนความจำให้นึกถึงแววตาอันทุกข์ทนของคนที่เขารักมากที่สุดในชีวิต

ฮอนชอลขบกรามแน่นพยายามกลั้นน้ำตาที่คั่งอยู่ในอกไม่ให้ไหลออกมา กระชับกอดเด็กน้อยของเขาไว้ในอ้อมแขน วางหน้าผากลงบนเรือนผมนุ่มของอีกฝ่ายและซึมซับรับเอาความทรมานจากการกลัวสูญเสียที่บดบังเนื้อแท้ของความรู้สึกที่ยังต้องการกันและกัน

“ระหว่างเรามันไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย พี่จะรับมันไว้ทั้งหมด ความทรมาน หัวใจที่แตกสลาย ถ้ามันประกอบกลับไปไม่ได้พี่จะกอบมันไว้ในมือถึงมันจะบาดจนเลือดไหลก็ไม่เป็นไร พี่จะไม่ไปไหนอีกแล้ว”

ถ้อยคำแสนเศร้าทว่าหนักแน่นกระซิบอยู่ข้างหู ริมฝีปากอุ่นและจมูกโด่งประทับลงบนกระหม่อมที่มีเส้นผมนุ่มหนารองรับ ดวงตาคมลืมอยู่แม้นแลไม่เห็นสิ่งใดแต่สัมผัสรับรู้ได้ถึงห้วงลมหายใจที่ติดขัดจากการสะอื้นฮักเบาๆอย่างไม่รู้ตัวเริ่มกลับมาสงบนิ่ง

...วันหนึ่งที่ความเจ็บปวดเบาบางลง
...ถึงตอนนั้นเราจะมีความสุขด้วยกัน
...รอยยิ้มและความรักของเราจะกลับมา...
...พี่เชื่อ...

----------------------------------------------------------

Sometimes I cry, babe
Ain't nothin workin
For this pain of mine
I'll just have to fake it
Until I can make it
There's a smile on my face
But I'm broken inside.

ท่วงทำนองการร้องอันแสนเศร้าแว่วกระซิบอยู่ข้างหู สัมผัสอุ่นอ่อนของอ้อมกอดผสานกลิ่นเปลือกเลม่อนของสบู่จางๆที่เคยคุ้นทำให้ความเครียดเคร่งของคนที่หลงอยู่ในวังวนความเจ็บปวดทุกเช้าค่ำกระทั่งหลับคลายลง

อาการกึ่งหลับกึ่งตื่นทำให้ยิ่งขยับเข้าไปหา ทว่าในจังหวะหนึ่งร่างที่ถูกตระคองกอดไว้ในอ้อมแขนกลับตระหนักได้ว่า ความคุ้นเคยที่โอบล้อมและโหยหามาจากใครคนหนึ่งที่เหยียบหัวใจเขาแหลกไม่มีชิ้นดี ตาที่ปิดสนิทกลับลืมโพล่งขึ้นมาคล้ายถูกมือที่มองไม่เห็นกระชากให้ตื่นจากฝัน

ในความมืดมิดไร้กระทั่งแสงไฟจากหน้าต่างด้วยม่านหนาบังไว้สิ้น ยองแจได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองและใครอีกคน ข้างแก้มที่ซบอยู่บนอกกว้างขยับขึ้นลงตามจังหวะของการหายใจทำให้ริมฝีปากเม้มแน่นพร้อมกับมือที่พยายามดันตัวเองออกจากวงแขนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยฝันอยากถูกกอดไว้เช่นนี้ตลอดชีวิต

“เด็กน้อย ตื่นแล้วเหรอ” คำอ่อนโยนเอ่ยถามทันทีที่ร่างผอมขยับไปมาคล้ายจะหนี

ไม่มีเสียงตอบรับจากฝ่ายถูกถาม มีก็แต่เพียงแรงจากมือนุ่มที่ใช้ดันตัวให้พ้นมาจากกัน ช่วงเวลาแห่งการดึงดันระหว่างกันเกิดขึ้นนานหลายนาที จากที่ไม่พูดอะไรเลยสักคำเพียงกระชับกอดคนที่อยากหนีให้แน่นเข้าไว้สุดท้ายอีกคนก็เปิดปาก

“เรายังตัวรุ่มๆอยู่เลย ปวดหัวหรือเปล่า”

คนอ่อนกว่ายินเสียงอีกฝ่ายชัดเจนแต่เลือกเมินเฉย แม้จะถูกถามย้ำถึงอาการป่วยบ้าง เจ็บคอบ้างก็ยังดิ้นรั้นอยู่กับการหนีไปให้ไกลห่าง กระทั่งได้ยินถ้อยคำดุดันอ่อนเบาที่ว่า ถ้าไม่พูดด้วยจะให้อยู่ที่นี่ด้วยกัน ทำนบน้ำตาที่กักไว้ก็รื้นพังครืนลงมาอีกรอบ

“แต่คุณ...คุณสัญญา...ถ้าผม...นอนแล้ว ตื่นมา...คุณจะ...จะให้กลับ” เสียงตะกุกตะกักประท้วงทวงคำพลางสะอื้นหนักจนตัวสั่น หยดน้ำอุ่นไหลอาบรินลงมาหยดบนเสื้อซึมลงบนอก

ฮอนชอลชะงักพร้อมหัวใจที่กระตุกแรงจากความรู้สึกผิด ยิ่งเด็กน้อยของเขาพยายามกลั้นสะอื้นจนร่างไหวไปทั้งตัว ริมฝีปากของเขายิ่งเคลื่อนเข้าไปใกล้และค่อยๆจรดลงบนหน้าผาก ไล่ลงมาถึงดวงตาเปียกชื้นและข้างแก้มแผ่วเบาอย่างทะนุถนอม

“ไม่เอาสิ อย่าร้องไห้นะ...พี่แค่ขู่เฉยๆไม่ได้จะทำจริงๆหรอก พี่แค่อยากได้ยินเสียง อยากรู้ว่าเราไม่ได้เจ็บคอ ถ้าเจ็บจะได้หายาให้เรากินแต่เราไม่ฟังเลยเอาแต่ผลักพี่นี่” ชายหนุ่มบอกขณะกอดและจูบปลอบคนที่เป็นทุกข์ด้วยผลจากการกระทำของเขาในอดีต รับรู้ถึงการซุกซบเข้าหาคล้ายต้องการหลักที่เคยพักพิงอย่างลืมตัว

“ผมจะ...จะกลับ...กลับหอ”

“พี่รู้ว่าเราอยากกลับ แต่เรายังตัวรุ่มๆไม่ดีขึ้นเลย กลับหอไปใครจะดูแลเรา”

“ผมจะกลับ” เจ้าตัวยังคงยืนกรานทั้งที่อ่อนแรงเต็มที

“พี่จะพาเรากลับ จะกลับตอนนี้เลยก็ได้ ถ้าเราหยุดร้องไห้ โอเคไหม” ข้อเสนอจากผู้มากวัยกว่ายื่นมาหา คนฟังรีบรับมันไว้ด้วยการยกมือเช็ดน้ำตาและน้ำมูกที่เปื้อนหน้าเป็นการใหญ่

“เราอยู่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา” เจ้าของห้องว่าปลดแขนที่กอดร่างบางดึงผ้ามาห่มให้แล้วเดินลงจากเตียงหายจากห้องไปครู่เดียวก็กลับเข้ามาเปิดไฟในห้องจนสว่างและถือผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นเข้ามาใกล้ร่างบางที่ขยับเปลี่ยนจากนอนขึ้นมานั่งนิ่งบนเตียงโดยมีผ้าห่มคลุมขา

เพียงเห็นความเซียวซีดของเด็กตรงหน้าก็ถอนหายใจหนักด้วยความกังวล พยายามเช็ดหน้าให้ฝ่ายที่เบี่ยงตัวหลบไปมาก่อนจะจำนนนั่งนิ่งเพราะรู้ว่าเลี้ยงไม่ได้ และในตอนที่ผ้าถูกลดระดับลง นิ้วเรียวใหญ่ค่อยๆเกลี่ยเอาเส้นผมที่ตกระดวงตาปัดไปข้างๆให้

“เราหน้าซีดจัง...ไปหาหมออีกรอบค่อยกลับหอไหม” ประโยคนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใย ยองแจไม่ยอมปริปาก เพียงกระพริบตาแลขาของตัวเองที่เหยียดตรงอยู่เตียงและขยับเหนือขึ้นมายังชายเสื้อยืดเก่าๆของฝ่ายตรงข้าม รอยแตกของลายสกรีนที่ไม่เหลือเค้าโครงเดิม ทว่าคนซื้อให้กับมือยังจำได้ดีจนนึกเกลียดตัวเอง

...เกลียดที่ไม่ว่ายังไงก็สลัดผู้ชายคนนี้ออกจากความทรงจำไม่ได้...

น้ำตาที่เหือดหายทำท่าจะไหลออกมาอีกทำให้ต้องรีบยกมือปิดตาทั้งสองข้างไว้ ฝ่ายที่สังเกตอยู่ตลอดสูดลมหายใจลึกดึงผ้าห่มสีฟ้าลายปลาวาฬน่ารักมาพับพาดบนบ่าแล้วลุกขึ้นสอดแขนทั้งสองข้างไปใต้ร่างบนเตียงใช้แรงที่มีอุ้มร่างผอมเข้ามาในอ้อมแขนของตัวเองอีกครั้ง

คนจะร้องไห้อยู่รอมร่อสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ เกือบจะร่วงลงจากแขนแต่เพราะสัญชาตญาณมือเลยป่ายไปกอดคอฝ่ายที่อุ้มตัวเองเอาไว้แน่นอยู่นาน กว่าจะรู้ตัวว่าเผลอกอดผู้ชายที่ปากบอกว่าเกลียดเข้าก็ตอนที่ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้น

“เด็กน้อย...พี่ไม่ทำเราตกหรอก”

“ปล่อย”

“ปล่อยได้ยังไง ดูหน้าสิ ยังซีดอยู่เลย”

“ผมเดินเองได้”

“ก็รู้ว่าเดินได้...แต่ตอนนี้ยังไม่ควรเดิน เกิดพี่ปล่อยเราเดินเองแล้วล้มสะดุดแข้งขาเป็นอะไรไป พี่ต้องให้เราอยู่นี่ต่อนะ จะเอาอย่างนั้นเหรอ” คำเตือนเรียบร้อยพร่ำถามด้วยรอยยิ้มพราวบนหน้า ยิ่งทำให้คนถูกอุ้มไม่พอใจแต่ทำได้แค่เม้มปากเก็บอารมณ์ไว้
“ที่หอเรามีคนอยู่ด้วยใช่ไหม คนนั้นที่โทรมาหาเรา ที่ชื่อจุนฮงน่ะ รูมเมทเราหรือเปล่า” คนตัวใหญ่และอายุมากกว่าถามอีกขณะอุ้มร่างบางเดินออกจากห้องตรงไปยังประตูหน้าหอ

“อื้อ”

“เขาเรียนคณะที่พี่สอนอยู่ ไม่ได้เรียนบัญชีเหมือนเรา ทำไมถึงรู้จักกันได้ล่ะ แล้วเป็นเพื่อนกันมานานหรือยัง ทำยังไงถึงได้มาอยู่ห้องเดียวกับเราล่ะ”

“เรื่องนั่นคุณไม่จำเป็นต้องรู้” คำตอบห้วนๆต่อคำถามที่ยาวเหมือนขบวนรถไฟผ่านริมฝีปากส่งมาหาแต่คนถามเพียงยิ้มกว้าง สอดเท้าใส่เข้าไปในรองเท้าแตะสีดำโดยไม่มองก็เปิดประตูออกไปข้างนอก ฝ่ายคนอ่อนกว่ากัดริมฝีปากอย่างแรงเมื่อเห็นประตูที่เคยถูกขู่ว่าล็อกจากข้างนอกเปิดออกอย่างง่ายดาย...เพื่อที่จะกันไม่ให้หนีถึงกับต้องโกหก

...คนหลอกลวงคนนี้ยังมีอะไรให้เชื่อได้อีก...

ยามคิดคนอายุน้อยกว่าสูดลมหายใจเข้าลึกและคลายออกยาวๆเพื่อระบายความหนักอึ้งราวถูกก้อนหินยักษ์ทับ ปล่อยสมองให้โล่งด้วยไม่ยากคิดอะไรให้มากเพราะรู้ว่าถ้าคิดจะร้องไห้ออกมาอีกเลยได้แต่ปล่อยให้ตัวเองโดนอุ้มลงบันไดไปถึงชั้นล่างก่อนจะถูกวางลงบนเบาะหนังนุ่มภายในรถหรูด้านข้างคนขับที่ถูกปรับเอนให้นอนสบาย

ฮอนชอลสะบัดผ้าห่มแล้วคลุมร่างที่นอนตะแคงนิ่งไม่แม้แต่จะปรายตามองมาหา ยังคงหนีมือใหญ่ที่เอื้อมมาลูบผมนุ่มของตัวเองอย่างรักใคร่ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามีบางอย่างที่หลงลืมไป

“โทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์ผมอยู่ไหน คืนมาด้วย”

“ยิ้มให้พี่ก่อน แล้วจะคืนให้”

ยองแจขมวดคิ้วแทบจะในทันทีเหลือบตามองฝ่ายที่ชะโงกหน้ามาใกล้ๆพลางเลิกคิ้วข้างหนึ่งด้วยรอยยิ้มกว้างละมุนและกวนอยู่ในทีอย่างขวางๆ โดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ


“อุตส่าห์จะเนียนยึดกระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์ไว้สักหน่อย เราดันจำได้อีก ก็ได้ ก็ได้ พี่จะคืนให้เดี๋ยวนี้แหละ” ชายหนุ่มหน้าดุที่บัดนี้พราวด้วยยิ้มกว้างละมุนบอกพร้อมยกมือเป็นเชิงจำนนต่อความต้องการของคนป่วยที่นอนเอนหลังกับเบาะ แล้วหยิบกระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์ที่ชาร์ตแบตจนเต็มทำท่าจะส่งให้ หากเมื่อเห็นมือยื่นมาจะรับก็ดึงกลับ

“ก่อนจะคืนของให้เรา พี่ขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม...”

“ไม่”

“พี่ไม่ได้ขออะไรที่เราทำไม่ได้หรอก”

“จะยากหรือไม่ยาก คุณก็ไม่มีสิทธิ์ขออะไรจากผมทั้งนั้น”

“พี่รู้ว่าพี่ไม่สิทธิ์จะขออะไรจากเรา พี่เองก็ไม่ได้อยากได้อะไรจากเราหรอก แต่อยากให้เราระวังตัวกับอาจารย์จินยองเขาหน่อย แล้วก็ถ้าเราเกลียดพี่มากนักก็อย่าร้องไห้อีก หาวิธีอื่นที่ทำให้เราเป็นสุขและพี่เป็นทุกข์คนเดียวเถอะนะ ให้พี่แบกมันเอาไว้คนเดียว...อย่าให้เราต้องทุกข์เพราะพี่อีกเลย” ถ้อยความอ่อนโยนลอดผ่านริมฝีปากที่ยิ้มละไม ไออุ่นนั้นทำหัวใจของคนที่เคยได้รับมาก่อนวูบไหวด้วยความคิดถึง ทว่าเจ้าตัวอ่อนล้าจากความเจ็บปวดเกินกว่าจะฉุกคิดว่าลึกลงไปใต้จิตสำนึกหัวใจเรียกร้องต้องการสิ่งใด

สิ้นประโยคนั้นยองแจยังปิดปากเงียบ แลเจ้าของมือใหญ่ที่วางกระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์มือถือบนผ้าห่มแล้วเหยียดตัวตรงพลางปิดประตูและเดินอ้อมกลับมาขึ้นรถยังฝั่งคนขับ

“เราหนาวหรือเปล่า พี่หรี่แอร์ให้ไหม” เจ้าของรถถามเอากับแผ่นหลังบางที่นอนตะแคงหันไปหาประตูรถแทนที่จะหันกลับมาภายในรถ แม้ไม่ได้คำตอบกระนั้นนิ้วก็กดปรับระดับความเย็นให้อยู่ดี

“ง่วงก็นอนนะ อย่าฝืน...กว่าจะขับรถไปถึงก็คงใช้เวลาเกือบชั่วโมง ถ้ายังไงเราหลับดีกว่า ถึงหอเมื่อไหร่พี่จะปลุกเอง”นั่นเป็นอีกครั้งที่เขาถ่ายทอดความห่วงใยผ่านคำพูด แต่คนได้รับกลับนิ่งคงมีเพียงไหล่ที่สะท้านขึ้นลงตามการหายใจเป็นสัญญาณบอกถึงการมีชีวิตอยู่

ฮอนชอลเหยียดริมฝีปากกว้างเพราะไม่ได้ยินเสียงสะอื้นหรือมองเห็นกายไหวสั่นจากการสะอื้น มือยื่นไปขยี้ผมนุ่มกับหัวทุยๆด้านหลังไปมาอย่างเอ็นดูรักใคร่ ฝ่ามืออุ่นที่สอดอยู่ในเรือนผมที่ถูกความเย็นของเครื่องปรับอากาศครู่ใหญ่ชวนให้คิดถึงช่วงเวลาที่นั่งรถโดยสารประจำทางไปไหนต่อไหนข้างๆกัน

...ไม่จำเป็นที่ทุกอย่างต้องเหมือนเดิม ขอแค่เด็กน้อยไม่เจ็บเพิ่มไปกว่านี้...

...แค่ให้เขาอยู่ข้างๆประคับประคองดูแลชดเชยกับทุกสิ่งที่ได้ทำลงไปตลอดชีวิต...

...เท่านั้นพอ...

You Might Also Like

0 Comments