LOVE TOXICAL : CHULJAE&BANGLO CHAPTER 18

07:05


** คำแนะนำเผื่อใครหลงมาอ่าน ต้องอ่านทั้งพาร์ทชอลแจนและพาร์ทบังโล่ ไม่งั้นอาจจะงง **

ลูกศรสีขาวบนหน้าจอไอแมคเลื่อนไปยังไอคอนรูปเครื่องพิมพ์บนโปรแกรมพิมพ์งานก่อนที่กระดาษสีขาวจะค่อยๆทยอยหายเข้าไปในเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทที่ตั้งอยู่ข้างๆและกลับออกมาด้วยตัวอักษรที่เรียงรายพร้อมภาพประกอบ คนที่นั่งทำรายงานนานเกือบชั่วโมงเอนตัวกับพนักเก้าอี้ก่อนหันไปหาก้อนผ้าห่มที่มีใครบางคนนอนตะแคงขดเล่นเกมอยู่บนเตียงด้านหลัง

“กูทำรายงานเสร็จแล้วนะ” ประโยคนั้นลอดจากปากทำลายบรรยากาศภายในห้องที่ร้างการสนทนาจะมีก็เพียงเสียงจากในเกมที่ดังมานาน

มือขาวยกขึ้นถูกจมูกโด่งบนหน้าเรียวไปมารอให้ร่างบนเตียงตอบสนองแต่เมื่อยังนิ่งวงตาเรียวกลมใต้คิ้วหนาก็หรี่เล็กแทบเป็นเส้นตรง

“เผือก...กูทำรายงานเสร็จแล้ว” คำนั้นดังขึ้นเป็นคำรบสองแต่ไม่มีทีท่าว่าเจ้าก้อนบนเตียงจะขยับตัวแต่อย่างใด

 “ไอ้เหี้-เผือก มึงหูหนวกหรือไง กูบอกว่ากูทำรายเสร็จแล้ว” เจ้าของห้องรออยู่ราวสิบนาทียังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงเลยจำต้องเพิ่มระดับเสียงตะโกนลั่นจนฝ่ายถูกเรียกด้วยฉายาซึ่งตั้งตามสีผิวที่นอนคลุมโปงในผ้าห่มสะบัดผ้าพ้นจากหัวหันมามองเด็กหนุ่มอายุไล่เลี่ยกันที่นั่งหน้าเครื่องไอแมคในสภาพแต่งองค์สีดำทั้งตัว

“โว้ย ไอ้ตี๋ มึงจะตะโกนเสียงดังทำเตี่ยอะไรของมึงเนี่ย” ฝ่ายตรงข้ามตะโกนกลับ ผมสีบลอนด์ยุ่งไม่เป็นทรงจากการไถไปมาบนหมอน หน้านวลน่ารักเหมือนเด็กผู้หญิงในบางทีขึ้นสีแดงตรงแก้มจากความหงุดหงิด

"คิดว่าอยากแหกปากให้เจ็บคอเหรอ เรียกมึงตั้งหลายที มึงไม่ตอบเองนะ”

“กูได้ยินแล้วเว้ย แต่กูเก็บเหรียญจะอัพสเก็ตบอร์ดใหม่อยู่ รออีกสองสามนาทีนี่ไม่ได้เลยไง ดูดิ มึงตะโกนมาเมื่อกี้กูตายเลย” คนมุ่งมั่นกับการเก็บเหรียญในเกมโวยบ้าง

“เอ้า กูบอกมึงตั้งแต่ก่อนมึงจะมาห้องกูแล้วนะว่า พอทำรายงานเสร็จกูจะไปคอนต่อเลย”  

“กูรู้แต่มึงแม่งจะรีบไปห่าอะไรหนักหนา...ไอ้คอนที่มึงจะไปแม่งอีกตั้งนานกว่าจะเล่น แล้วไอ้ร้านที่จัดงานมึงปั่นจักรยานไปยี่สิบนาทีก็ถึงแล้วมะ รีบไปแต่หัววันจะไปช่วยเขาเปิดร้านด้วยไง”

“ก็กูอยากเจอเขาก่อนเขาจะแสดงนี่”

“เจอเขาก่อนหรือเจอเขาบนเวทีกูไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหน ยังไงเขาก็จำมึงไม่ได้อยู่ดี” คำพูดไร้อารมณ์แต่ตรงไปตรงมาของคนน่ารักที่ยังไม่หยุดจ้องจอทำให้ฝ่ายที่ฟังอยู่สะอึกยกมือกุมอกอย่างสะเทือนใจ

“โห ไอ้เผือก มึงพูดจาไม่ได้เกรงหัวใจกูเลย”

“เอ้า กูพูดผิดตรงไหน...เวลาคุณโฟลว์ซิกอะไรของมึงเขาบินมาเล่นคอน จะงานหลวง งานราษฎร์ มึงไปไม่เคยขาด อัลบั้มก็มีครบ เขาปล่อยซิงเกิ้ลดิจิตอลมึงยังจิกให้กูช่วยสตรีม ไหนจะวันเกิดเขาที่มึงส่งของไปให้เขาอีก เป็นแฟนคลับดีเด่นขนาดนี้ยังไม่เห็นได้เซลฟี่หรือได้ลายเซ็นจากเขาเหมือนแฟนคนอื่นเลย”

“จะได้ได้ไง กูไม่เคยเข้าไปขอนี่”

“แล้วทำไมไม่ขอ...ไม่อยากได้รูปคู่หรือลายเซ็นต์เหมือนชาวบ้านเขาบ้างเหรอไง”

“มึงไม่รู้ดิว่า แฟนคลับเนี่ยมีหลายประเภท...นอกจากแฟนคลับประเภทที่อยากได้โมเม้นร่วมกับศิลปินแล้ว ก็ยังมีแฟนประเภทที่แค่เห็นเขาประสบความสำเร็จ เป็นกำลังสนับสนุนเขาอยู่ไกลๆด้วยก็มี”

“อ้อ มึงกำลังจะบอกว่า มึงเป็นแบบหลัง”

“เออ”

“แล้วถ้าคุณโฟลว์ซิกอะไรของมึงเขามาขอมึงคบมึงเอามะ” เพราะเห็นความเทิดทูนศิลปินของเพื่อนมาแต่ไหนแต่ไรเลยถามอะไรแบบสิ้นคิดออกไป

“เอา” คำตอบสั้นสวนมาทันควัน

“เชี้ย...ทีงี้ตอบไวสัด ไม่ได้อยากอยู่ไกลๆเขาแล้วเหรอ”

“เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ถึงตอบไง”

“ดูหลอกตัวเองฉิบหาย”

“คนเราอยู่ได้เพราะหวังลมๆแล้งๆทั้งนั้นแหละ”

“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”

“มึงจะไปเข้าใจอะไร คนอย่างมึงเนี่ยชีวิตมีแค่คุณอาก็จบหมดทุกอย่างแล้ว” เจ้าของห้องว่าพลางมองคนบนเตียงที่อยู่ๆก็ผุดลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิและเก็บโทรศัพท์ที่นอนจิ้มอยู่เมื่อกี้ใส่กระเป๋ากางเกงยีนส์ขาสั้นแล้วถอนหายใจออกมา ทำให้คิ้วหนาของผู้เอ่ยปากย่นเข้าหากัน

...วันนี้มาแปลกแทนที่จะกวนตีนด่าเหมือนทุกที กลับถอนหายใจเลิกต่อล้อต่อเถียงไวเว่อร์



...หรือมันยังเครียดเรื่องย้วยอยู่...

“เป็นเหี้-อะไรของมึงอีกเนี่ย กูก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าคิดมาก อาจารย์ฮอนชอลเขาเป็นถึงอาจารย์ มีชื่อเสียงพอตัวเหมือนกัน เขาไม่ทำอะไรย้วยน้อยของมึงหรอก เดี๋ยวมันอาการดีขึ้นเขาก็พากลับมา” ทั้งที่พูดปลอบแต่อีกฝ่ายยังคงมีสีหน้ายุ่งยากใจและพ่นลมร้อนออกมาเป็นพักๆ แบบที่น้อยครั้งจะมีโอกาสได้เห็น

โช ซึงยอนรู้จักกับ ชเว จุนฮงตอนปีหนึ่ง...เดิมทีไม่ได้สนิทกันเพราะหมอนี่ไม่ค่อยพูด ชอบอยู่คนเดียวดูเข้าถึงยาก แถมยังมีข่าวลือว่าชอบกระทืบคนที่ชมมันว่าน่ารักเลยไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ จนวันหนึ่งที่อาจารย์ให้จับสลากหาบัดดี้ทำงานกลุ่มแล้วเขาดันจับได้มันนั้นแหละถึงรู้ว่า จริงๆไอ้นี่มันไม่ใช่อย่างที่คนอื่นเห็น

มันเป็นคนประหลาด กวนตีนแถมขวานผ่าซาก ที่ดูเย็นชาเพราะมันเลือกสนใจเฉพาะคนที่มันสนิทจริงๆ โดยเฉพาะกับคนที่มันเรียกว่า คุณอา นั่นล่ะคนที่เรียกได้เต็มปากกว่ามันรักและห่วงเสมือนเขาเป็นโลกทั้งใบของมัน

“กูไม่ได้คิดเรื่องย้วยอย่างเดียวสักหน่อย” พูดแล้วก็ถอนหายใจอีก

“แล้วมึงคิดห่าอะไรอยู่...อย่าบอกนะว่าคิดถึงคุณอาอีกแล้ว”

“อืม”

“โว้ย ชีวิตนี่จะคิดถึงเป็นแต่คุณอาหรือไง เดี๋ยวคุณอาเขาก็โทรหาน่า”

“ไม่ได้คิดถึงแบบนั้น”

“แล้วคิดถึงแบบไหน”

“คิดถึงเพราะเป็นห่วง พักนี้คุณอาประชุมติดกันหลายวัน เวลาเห็นหน้าคุณอาดูเหนื่อยมากเลย เมื่อเช้าตอนคุณอาเอากุหลาบมาให้คุณอาถามเรื่องย้วยขึ้นมา มึงก็รู้ว่ากูโกหกคุณอาไม่เป็นก็เลยบอกไป ทั้งที่เหนื่อยมากแท้ๆ แต่คุณอาบอกว่าจะช่วยตามหาย้วยให้ กูไม่ชอบเลยอ่ะ ไม่ชอบที่ทำอะไรให้คุณอาหายเหนื่อยไม่ได้แล้วยังเอาภาระไปให้อีก”

“แล้วใครใช้ให้มึงเครียดเรื่องย้วยมันขนาดนั้นเล่า”

“แต่กูไม่ได้เครียดให้คุณอาเห็นสักหน่อย อุตส่าห์ยิ้มกว้างแล้วแท้ๆ ยังรู้อีก”

“โถ เผือก คุณอาเขาเลี้ยงมึงมา เอาใจใส่มึงจะตายห่า แค่มองตาเขาก็รู้ล่ะ แต่จริงๆนะเผือก มึงจะห่วงอะไรย้วยมันนัก อายุมันก็ไม่ใช่สามสี่ขวบ อาจารย์ฮอนชอลเขาก็บอกแล้วว่า ย้วยอยู่กับเขา อาการดีขึ้นจะพามาส่ง เขาเป็นอาจารย์คงไม่ลวงไปฆ่าหรอก มึงก็อะไรนักหนาไม่รู้”

“ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นกูไม่ห่วงขนาดนี้หรอก แต่นี่เป็นไอ้ย้วย กูถึงห่วง”

“ทำไมมึงต้องห่วงย้วยมากกว่าเพื่อนคนอื่นวะ” ซึงยอนย่นหน้าผากถามอย่างไม่เข้าใจพลางมองเพื่อนที่นั่งก้มหน้าแกะเล็บอยู่บนตัก ความจริงก็สังเกตหลายทีแล้วว่า จุนฮงออกอาการเป็นห่วงเพื่อนซี้ตั้งแต่สมัยมัธยมของมันที่ตอนนี้กลายเป็นรูมเมทร่วมหอเดียวกันมาก

เวลาย้วยไปสอนพิเศษวันธรรมดาก็โทรหา คาทกหาตลอด มีการซื้อขงซื้อข้าวไปฝาก เวลาไปเที่ยวไหนต้องรายงาน ถ้าไม่นับคุณอาแล้วล่ะก็ ย้วยเหมือนจะเป็นคนที่สองที่มันให้ความสนใจมาก แต่พอถามว่าเพราะอะไรมันจะบ่ายเบี่ยงตลอดและครั้งนี้ก็เช่นกัน

“อา...เบื่อล่ะ กลับดีกว่า” จู่ๆคนนั่งหน้าหงอยก็วางเท้าบนพื้นลุกขึ้นยืน

“เอ้า เอาอีกล่ะ มึงหนีกูแบบนี้อีกแล้วนะ”

“หนีอะไร ก็มึงบอกเองจะรีบไปหาคุณโฟลว์ซิกไม่ใช่ไง กูไม่อยากถ่วงเวลามึง ไป้ ไปดูคอนให้สนุกนะมึง ขอให้ได้เจอคุณโฟลว์ซิกอะไรของมึงก่อนขึ้นเวที ขอให้เขาจำมึงได้ แล้วก็ขับมอไซด์กลับดีๆ อย่าไปแหกโค้งจนเกือบชนต้นไม้เหมือนเดือนก่อนด้วย

ไอ้เผือก ปากมึงนี่แม่ง ใจคอจะอวยพรหรือแช่งกูแน่วะ

“คิดมากนะตี๋ ใครจะกล้าแช่งเพื่อนรักตัวเองลง...ไปล่ะ ไม่อยากขัดลาภเจอศิลปินสุดที่รักของมึงแล้ว มีไรโทรมาล่ะกันนะ โชคดี” คนตัวขาวกว่ากล่าวคำอำลาแบบรวบรัดชนิดไม่เปิดโอกาสให้เพื่อนต่อคำพร้อมโบกมือแล้วเดินผ่านประตูจากไป

จุนฮงเดินออกจากหอนอกมหาวิทยาลัยที่อยู่ไกลจากหอพักของมหาวิทยาลัยที่ตนอาศัยเพียงสิบนาทีถึง ทอดสายตาออกไปยังถนนหนทางที่ยังคึกคัก ผู้คนมากมายเดินตรัดเตร่ไปมาเช่นเดียวกับร้านรวงที่ยังเปิดให้บริการแต่เจ้าตัวไม่สนใจจะแวะดูอะไร เพียงก้าวไปเรื่อยๆท่ามกลางลมเย็นที่พาดผ่านพลางครุ่นคิดถึงเพื่อนสนิทที่หายไปตั้งแต่เมื่อวานและติดต่อไม่ได้

...ชเว ยองแจ เป็นเพื่อนที่เป็นคนจริงๆ คนแรกของเขา...

ก่อนนี้เขาเคยเป็นเด็กที่กลัวการผูกมิตรกับผู้คน กลัวการถูกทรยศหักหลัง...เพื่อนที่เขามีก็แค่ตุ๊กตากับสเก็ตบอร์ดแต่เมื่อพ่อเสีย คุณอาเป็นคนชวนเขามาอยู่เกาหลีเขาเลยต้องมาใช้ชีวิตและเริ่มเรียนมัธยมปลายที่นี่

วันแรกที่เหยียบเข้าไปในห้องเรียน แม้คุณอาจะบอกให้หาเพื่อนแต่ตอนนั้นเขาไม่รู้จะทำตัวยังไงกับบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยแต่ยองแจเป็นคนแรกที่ยิ้มให้และชวนเขาเข้ากลุ่มที่มีฮยองวอนและจงออบอยู่ด้วย

เวลามีอะไรไม่สบายใจ นอกจากคุณอาแล้วก็มีเสียงหัวเราะของยองแจนี่แหละที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นได้ ทั้งที่ดูมีความสุขกับชีวิตมากแท้ๆ แต่อยู่ๆตอนที่ทุกคนในกลุ่มสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกันได้แค่ต่างคณะกัน...ยองแจคนที่มีรอยยิ้มตลอดเวลากลับมีบางอย่างเปลี่ยนไป

ตอนแรกเขาเองก็ไม่รู้กระทั่งมีชื่อติดเป็นเพื่อนร่วมห้องในหอของมหาวิทยาลัยถึงเห็นเพื่อนนอนละเมอร้องไห้บ่นเพ้อแต่ว่า อย่าไปจนเสียงแหบแห้ง แม้พยายามปลุกแต่เจ้าตัวยังคงจมอยู่ในห้วงแห่งฝันร้าย อาการทรมานจนหายใจแทบไม่ออกนั้นทำให้เขาเจ็บแทนซะจนต้องปีนขึ้นไปกอดปลอบเพื่อนเอาไว้

พอถึงตอนเช้าเขาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแต่ยองแจบอกแค่ว่า ฝันร้าย หากเขารู้ดีว่ามีใครบางคนทำให้มันเป็นแบบนั้นซึ่งความที่เป็นคนไม่ชอบซักถ้าเจ้าตัวไม่สะดวกใจจะเล่าเลยทำได้แค่อยู่ข้างๆ คอยปลอบเวลาที่มันกลับมาถึงห้องและนอนร้องไห้อยู่คนเดียวเงียบๆ

...คนเปราะบางเหมือนแก้วที่แสร้งมีความสุข พอหายไปแบบไม่ได้ยินกระทั่งเสียงทำให้เขาเป็นห่วง...

เมื่อเช้าตอนที่เห็นคุณอาเอากุหลาบมาให้ แม้ใบหน้าจะแย้มยิ้มอ่อนโยนหากเขาเห็นความระโหยล้าที่ซึมแทรกอยู่ เพราะแบบนั้นเขาเลยไม่อยากให้คุณอารู้จึงซ่อนความเป็นห่วงเพื่อนเอาไว้ใต้รอยยิ้มกว้างที่ไม่มีใครเคยจับได้ แต่กับคุณอามันไม่เคยใช้ได้ผล

...คุณอาเป็นคนเดียวในโลกที่รู้เสมอว่าเขาเป็นยังไงและรู้วิธีที่ทำให้เขาหายเศร้าเป็นปลิดทิ้ง...

คุณอาขอเบอร์ของอาจารย์ฮอนชอลไปและบอกว่า ถ้าตอนเย็นยังไม่เห็นย้วยกลับให้โทรมาหา คุณอาจะช่วยตามหาย้วยให้แต่เขาไม่ได้โทรเพราะไม่อยากกวนตอนคุณอาประชุม

เป็นอีกครั้งที่เขาถอนหายใจ ลองกดโทรไปหาอาจารย์ฮอนชอลอีกรอบแต่อีกฝ่ายปิดเครื่อง พอโทรหาเพื่อนก็ปิดเครื่องเหมือนกันจึงเก็บมือถือลงกระเป๋าแล้วลากเท้ากลับเข้าห้องเพื่อพบว่า เพื่อนยังไม่กลับเลยได้แต่ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง

โทรศัพท์มือถือสีพิงค์โกลด์ซึ่งเขาใช้เป็นคู่กับคนรักถูกหยิบออกจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ก่อนที่เสียงแซกโซโฟนพลิ้วไหวของชาร์ลี ปาร์กเกอร์ที่ผสานกับเสียงทรัมเป็ต เสียงเปียโน เบสและกลองในเพลง Embraceable  you จะลอยล่องกล่อมคนที่วิตกกังวลให้อ่อนลง

ปกติถ้ายองแจอยู่ด้วยเขาไม่เคยกล้าเปิดเพลงเพราะยังจำเหตุการณ์เมื่อครั้งเรียนอยู่ปีหนึ่งได้ดี ในตอนนั้นเขานั่งทำเวิร์ดช็อปส่งอาจารย์ พอเพื่อนกลับมาได้ยินเสียงเข้าก็ทรุดลงไปนั่งปิดหูตัวสั่นและร้องไห้ออกมาเหมือนคนเสียสติ เป็นอาการเดียวกับตอนที่เจ้าตัวละเมอออกมาไม่มีผิด

...แต่พอถามคำตอบที่ได้ก็คือเครียดเหมือนเคย...

เจ้าของห้องพลิกตัวนอนหงายมองเพดานสีขาวของหอพักนักศึกษาที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าหลอดไฟยาวที่ส่องแสงสว่างจ้าก่อนที่ลิสต์รายการเพลงในมือถือจะเปลี่ยนจากเสียงบรรเลงเป็นเสียงดนตรีแจ๊สประกอบเสียงร้องขับขานถ่ายทอดความรู้สึกของผู้รอคอยด้วยสำเนียงเว้าวอนและหม่นเศร้า

Anywhere you wander, anywhere you go
Every day remember how I love you so
In your heart believe what in my heart I know
That forevermore I'll wait for you
I  Will Wait For You หรือ Les Parapluies De Cherbourg  ในภาษาฝรั่งเศสเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ฝรั่งเศสที่มีชื่อเดียวกันที่เคยนั่งดูกับคุณอาด้วยกันทำให้บรรยากาศในห้องยิ่งเปลี่ยวเหงา เจ้าของห้องปิดตาลงในวินาทีนั้นภาพของนักแสดงหญิงชายในเรื่องต่างสวมกอดทอดอาลัยถึงความห่างไกลที่ต้องเผชิญก็ปรากฏ

ไม่ช้าลมหายใจอุ่นก็ทอดยาว ตากลมลืมขึ้นช้าๆพร้อมกับแขนทั้งสองข้างที่ถูกยกสูงจนมืออยู่ในระดับสายตา...เจ้าตัวมองแหวนเงินที่สลักหัวเป็นรูปกุหลาบประดับด้วยเพชรสีชมพูเม็ดเล็กๆตรงเกสร ตัวเรือนล้อมไว้ด้วยดอกรักแกะสลักบนนิ้วนางข้างซ้ายนิ่งนานจึงลดระดับมือข้างนั้นลงมาวางแนบอก

For a thousand summers, I will wait for you
Till you're here beside me, till I'm touching you
And forevermore, sharing our love
Till your here beside me, till I'm touching you
And forevermore, I will wait for you
จุนฮงร้องคลอตามเพลงอย่างคุ้นเคยด้วยเคยฟังบ่อย เดิมทีเขาไม่ได้สนใจในดนตรีมาแต่แรก หากหัดเล่นเปียโนก็เพื่อพ่อกับแม่นมสูงวัยที่หลงใหลเสียงเปียโนเป็นชีวิตจิตใจ กระทั่งได้ใช้ชีวิตอยู่กับคุณอาที่รักดนตรี ด้วยความที่อยากรู้ให้ลึกในสิ่งที่คนที่ตนรักชอบเลยเข้าไปศึกษาและกลายเป็นว่าชอบจนอยากเรียนจริงจังไปในที่สุด

เพราะคุณอารักดนตรีแจ๊ส เขาเลยรักมันดังเช่นทุกสิ่งในโลกขอเพียงคุณอาชอบก็เหมือนมันจะกลายเป็นความชอบของเขาด้วย ทุกครายามได้ฟังเขาจะนึกถึงช่วงเวลาที่ได้นอนอยู่ในอ้อมแขนอุ่นๆ สูดกลิ่นหอมที่ให้ความรู้สึกยั่วเย้าระคนรวยรื่น เสียงกระซิบแหบลึกที่ร้องเพลงกล่อมให้หลับ การแอบอิงที่ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจรวมทั้งลมหายใจคลายเบาเป็นจังหวะอย่างสงบด้วยต่างฝ่ายต่างเป็นเสมือนบ้านของกันและกัน

...ถ้าวันนี้เป็นวันศุกร์ก็คงดี...   



You Might Also Like

1 Comments

  1. โลกของเบบี้โรสคือคุณอา ไม่คิดมากเรื่องย้วยนะคนดี

    ตอบลบ