LOVE TOXICAL : CHULJAE&BANGLO CHAPTER 19

07:13


** คำแนะนำเผื่อใครหลงมาอ่าน ต้องอ่านทั้งพาร์ทชอลแจนและพาร์ทบังโล่ ไม่งั้นอาจจะงง **

ร่างโปร่งสูงของชายหนุ่มสวมสูทสีดำอมสีเปลือกมังคุดอันเป็นเอกลักษณ์ประจำห้องเสื้อชั้นนำของประเทศทับเสื้อเชิ้ตสีขาวเอนหลังพิงพนักโซฟาบุผ้าสีเปลือกมังคุดภายในล็อบบี้เล้าจ์สไตล์นีโอคลาสสิคหรูหราและกว้างขวางของโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่งในเกาหลี


เรือนผมสีมณีนิลที่ปรกหน้าถูกมือเรียวเสยปัดให้พ้นทางเผยให้เห็นแหวนเงินสลักรูปหัวใจกรุภายในด้วยกุหลาบมีเพชรขาวประดับตรงเกสร ตัวเรือนเป็นเงินหนาหากสลักลายเถ้าหนามของกุหลาบที่พันขดเป็นเครื่องหมายอนันต์ที่สวมติดนิ้วนางข้างซ้ายบ่งบอกสถานะว่ามีพันธะแล้ว ทว่าหญิงสาวหลายคนที่เฉียดใกล้กลับส่งสายตาเชิญชวน


ยงกุกปรายตายังหญิงสาวเหล่านั้นเพียงผ่านๆ ใบหน้าเรียวคมเข้มเฉกเดียวกับสีผิวยังคงเรียบสงบราวผืนน้ำยามไร้แรงกระเพื่อมไหว ยากจะคาดถึงความนัยเบื้องลึกที่เก็บซ่อนไว้ซึ่งเป็นการแสดงออกทางอารมณ์ของเขายามอยู่ลำพังหรือยามจำเป็นต้องเข้าสังคมกับบุคคลในวงวารที่ล้วนสวมหน้ากากเพื่อผลประโยชน์เป็นอาจิณ


...ความมืดที่แผ่ขยายออกมาจากกายมีอำนาจให้รู้สึกกลัวเกรงเสียจนสตรีที่ประสานสบตาเข้าขวัญหนี...


ฟ้าแปรสีทะมึนหม่นโรยความมืดลงเรื่อยๆตามการล่วงผ่านของเวลา นัยน์ตาดุแลไอร้อนที่ลอยเหนือกาแฟในถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวขอบทองก่อนละมาจับนิ่งยังดอกกุหลาบสีชมพูที่ชูช่ออาบแสงไฟสีส้มทองตรงขอบด้านนอกหน้าต่าง เสี้ยววินาทีนั้นริมฝีปากปิดสนิทเป็นเส้นตรงกลับแย้มคลายทีละน้อย


...เบบี้โรส...


ยงกุกรำพึงเรียกเจ้าของนามกุหลายน้อยในใจด้วยรักยิ่ง...ใบหน้านวลกระจ่างตาแม้นอยู่ในความมืดมิดของค่ำคืน รอยแต้มสีแดงระเรื่อบนพวงแก้มและริมฝีปากลอยมาโดยไม่ทันได้คิดถึงด้วยกุหลาบน้อยดอกนี้สถิตแนบอยู่ในทุกอณูของความทรงจำ


...ทุกความเหนื่อยล้าและเจ็บเศร้าบรรเทาได้เพียงคิดถึงกุหลาบน้อยที่เขาเฝ้าถนอม...


ห้วงเวลาแห่งความคิดถึงท่วงทำนองจากคันชักเสียดสีสายไวโอลินผสานกับการพรมนิ้วไปตามคีย์ของเปียโนจากนักดนตรีหนุ่มที่เข้าประจำการขับกล่อมบรรยากาศในห้องนั้นให้ละมุนหวาน


Les Parapluies De Cherbourg” คำนั้นลอดผ่านริมฝีปากอย่างจำได้ในนาทีที่ได้ยินเพลงนั้นแว่วมา


Mon amour je t'attendrai toute ma vie                                    
ยอดดวงใจ ฉันจะเฝ้า คอยคุณชั่วชีวี


           Reste près de moi reviens je t'en supplie                                
             โปรดเถอะหนา หวนมานี้ กายกรายใกล้


J'ai besoin de toi je veux vivre pour to
               หัวใจฉัน ปรารถนาคุณเคียง อยู่ร่ำไป


                                                     Oh mon amour ne me quitte pas                                
                                             โอ้ยอดรัก อย่าร้างไกล ไปไหนเลย



...บทเพลงประกอบภาพยนตร์ภาษาฝรั่งเศสพร่ำพรรณนาความรู้สึกยามไกลจากคนรักชวนให้เขาหวนหายและโหยหาถึงผู้เป็นเจ้าหัวใจซึ่งห่างไกลกันด้วยเหตุจำเป็น...


นาฬิกาข้อมือทองเรือนหรูขยับพ้นจากขอบชายเสื้อในนาทีที่เจ้าของยกข้อมือขึ้นดูเวลา ขณะสมองทวนเรื่องราวเมื่อเช้าที่คุยค้างกันไว้แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือสีพิงค์โกลด์ที่สี่ใกล้เคียงกับกุหลาบตรงหน้าต่างจากกระเป๋าเสื้อที่เย็บซ่อนอยู่ใต้สูทด้านในมากด ใช้เวลาเพียงเศษเสี้ยวของนาทีดวงหน้าอ่อนละมุนที่คิดถึงก็ปรากฏบนหน้าจอ


“เบบี้โรส วันนี้เราเป็นยังไงบ้าง มีความสุขหรือเปล่า” เสียงแหบต่ำถามไถ่ด้วยประโยคเดิมเช่นทุกวัน ตาคมมองเจ้าของตากลมมีประกายสกาวราวแสงดาวที่หรี่เล็กตามการขยับเคลื่อนของริมฝีปากด้วยรักใคร่ ก่อนจะเลิกคิ้วในนาทีที่รอยยิ้มหวานจับใจสลดเศร้าลง


“เป็นอะไรไป ไม่ดีใจเหรอที่เห็นอา”


“ดีใจสิ ผมดีใจมากเลย” ฝ่ายอ่อนกว่าตอบรับจ้องหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองไว้แทบไม่กระพริบตาแต่สีหน้ายังคงไม่สู้ดี


“แล้วทำไมหน้าแบบนั้นล่ะ”


“ก็คุณอาดูเหนื่อยๆ ต้องประชุมเครียดมาทั้งวันแน่ๆเลย...ผมอยากดูแลคุณอาใกล้ๆแต่ก็ทำไม่ได้”


“อาไม่เป็นไรหรอก...แค่เห็นเรายิ้มอาก็หายเหนื่อยแล้ว”


“จริงเหรอ”


“จริงสิ อาเคยโกหกเราที่ไหนกัน...ไหน ยิ้มหวานๆให้อาเห็นหน่อยสิครับ” คำขออย่างนุ่มนวลเช่นดวงตาที่ทอดมาหาทำให้ริมฝีปากอิ่มระเรื่อแย้มกว้างอีกครา ทั้งสองสนทนาถามไถ่เรื่องทั่วไประหว่างกันอยู่พักใหญ่และในไม่ช้าคนเป็นเด็กคลายความกังวลในใจลงไปจนผู้ปกครองหนุ่มวางใจจะเกริ่นเรื่องเพื่อนที่หายไปของอีกฝ่าย


“เรื่องเมื่อเช้าที่เราบอกอาน่ะ...อาเอาเบอร์โทรศัพท์อาจารย์คนนั้นให้เพื่อนอาที่เป็นตำรวจ...เขาจับพิกัดของอาจารย์เราได้แล้วแต่อายังไม่ได้บอกให้เพื่อนอาดำเนินการอะไรเพราะผู้ปกครองของเพื่อนเรายังไม่ได้แจ้งความเรื่องคนหายไว้ ถ้าแจ้งเมื่อไหร่ก็บุกไปได้เลย”


จุนฮงกระพริบตาในนาทีที่ได้ยินคุณอาเล่าวิธีการจัดการปัญหาของตนเองให้ ถึงจะรู้ว่าคุณอาเป็นคนกว้างขวางมีคนรู้จักอยู่หลายวงการแต่ไม่คิดว่าจะมีเพื่อนเป็นตำรวจด้วย


“คุณอามีเพื่อนเป็นตำรวจด้วยเหรอ”


“มีสิ อาเคยเรียนกับเขาตอนม.ต้น...ตอนนี้เขาเป็นสารวัตรแล้ว”


“โห เป็นสารวัตรด้วย เพื่อนคุณอาแต่ละคนนี่ไม่ธรรมดาทั้งนั้นเลย”


“เห็นหรือยังว่า มีเพื่อนเยอะมันดีขนาดไหน เพราะอย่างนั้นอาถึงบอกให้เรามีเพื่อนไว้ไง แล้วตกลงพ่อแม่ของเพื่อนเราจะเอายังไง จะแจ้งความเลยไหม”


“ตอนนี้คุณลุงคุณป้าอยู่แคนาดาแล้วผมก็ไม่ได้บอกเลยว่า ย้วยหายไปกับอาจารย์เขาเลย”


“แต่เราอยากให้เอาเพื่อนเรากลับมาไหม ถ้าอยากอาจะให้เพื่อนพากลับมา”


“ถ้าไปพากลับมาแล้วย้วยยังอาการไม่ดี นอนซมอยู่ที่บ้านอาจารย์เขา แบบว่าถ้าอาจารย์เขาดูแลย้วยอยู่ดีๆมาโดนจับเพราะผมคิดมากไปเองจะทำยังไงครับ”


“อาไม่รู้เรื่องผลลัพธ์จ้ะ เราต้องเป็นคนเลือกเองว่าจะทำยังไง” ผู้เป็นอาให้ทางเลือกแก่เด็กในปกครองของตัวเองตัดสินใจเช่นทุกครั้งเวลามีปัญหา หากให้เวลาแล้วแก้ปัญหาไม่ได้ถึงจะช่วยแต่ช่วยแล้วก็ยังเปิดโอกาสให้คิดเลือกอยู่ดี


...มันเป็นการฝึกให้รู้จักการตัดสินและเรียนรู้ผลกระทบที่ได้จากการตัดสินใจนั้น...


จุนฮงกลอกตาไปมาแล้วเม้มริมฝีปากพยายามคิดหาทางออกให้กับเรื่องนี้ก่อนจะยอมประนีประนอมด้วยการบอกว่าจะรอไปอีกวันหนึ่ง


...ก็ถ้าเข้าใจผิดไปเองจนอาจารย์โดนจับฟรี ย้วยมันก็เสียชื่อ ถึงจะเป็นห่วงจนนอนไม่หลับก็เถอะ ถ้ายังไงให้โอกาสอีกสักวันก็ได้...


“ผมจะรออีกวันหนึ่ง ถ้าพรุ่งนี้ยังติดต่อไม่ได้หรืออาจารย์ไม่มาส่ง ผมค่อยบอกให้เพื่อนคุณอาจัดการ”


“แล้วเราจะนอนยังไง...เมื่อคืนตอนสะดุ้งตื่นมาเพราะเสียงคาทกของกบน้อยเขาแล้วเราไม่เห็นย้วยกลับมา เราก็นอนไม่ได้อีกเลยไม่ใช่เหรอ” ผู้ปกครองหนุ่มถามและเรียกชื่อเพื่อนตามการเรียกของอีกฝ่าย


“คุณอาก็กล่อมผมหลับก่อน...ถ้าไม่มีอะไรกวนผมคงหลับได้”


“ถ้าไม่อยากให้มีคนกวน เราต้องปิดเสียงโทรศัพท์นะ”


“ทำแบบนั้นไม่ได้งะ เดี๋ยวย้วยโทรมาให้ผมลงไปรับจะทำยังไง” เด็กในปกครองค้านพลางทำปากเป็ด ใจจริงอยากบอกให้คุณอามาหาและกอดเขาจนหลับไปเหมือนเวลาที่อยู่ด้วยจึงเผลอส่งสายตาเหงาเศร้าเช่นทุกเช้าวันจันทร์ที่จำเป็นต้องห่างกันกระทั่งคิดได้ว่าคุณอาเหนื่อยกับการทำงานมากแล้วก็ชะงักแกล้งยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ผู้ปกครองหนุ่มแลอาการของกุหลาบน้อยบนจอโทรศัพท์ที่พยายามซ่อนความรู้สึกเอาไว้ก็หลุดยิ้มอ่อนด้วยความเอ็นดูและสงสาร


“เอาอย่างนี้ เดี๋ยวอาขับรถไปรับเราที่หอ”


“มารับ...คุณอาจะมารับผมเหรอ”


“อืม”


“ไม่เอา ผมไม่ให้มา”


“ทำไมล่ะ”


“ก็คุณอาประชุมติดกันตั้งหลายวันก็เหนื่อยจะแย่แล้ว แถมบริษัทคุณอามันไกลจากหอผมตั้งเยอะ กว่าจะขับมาถึงนี้คงเกือบชั่วโมง ผมไม่อยากให้คุณอาป่วยเพราะมารับผม”


“ไม่ป่วยหรอก...วันนี้อามาประชุมที่โรงแรมใกล้ๆมหาวิทยาลัยของเรา ขับรถไปสิบห้านาทีก็ถึง”


“จริงงะ”


“อาเพิ่งบอกเราไปเองนะว่า อาไม่เคยโกหกเรา”


“แล้วจะไม่เหนื่อยเหรอครับ”


“อาจะเหนื่อยมากกว่าถ้าปล่อยเรานอนไม่หลับ...นะ...เบบี้โรสคนดี...ให้อาไปรับเราเถอะ” น้ำเสียงแหบลึกอบอุ่นเอ่ยคำด้วยริมฝีปากบางหยียดกว้าง ดวงตาดุอ่อนคลายมีแววขอร้องยามทอดมาหาเพียงเห็นผ่านจอโทรศัพท์กลับทำคนอายุน้อยกว่าหัวใจเต้นรัวรู้สึกตัวเหมือนจะลอยได้


...เวลาคุณอาส่งสายตากับรอยยิ้มและน้ำเสียงมีแววจะอ้อนกันทีไร มันเหมือนมีผีเสื้อนับร้อยนับพันบินวนในท้อง มีความสุขจนกลั้นไม่ให้ยิ้มหวานตอบไม่ได้เลย...


“ก็ได้...ผมให้คุณอามารับผมก็ได้”


“ขอบคุณจ้ะ”


“แต่ต้องมาในสิบห้านาทีนี่น้า”


“ได้เลย”


“ผมจะรอนะ”


“จ้ะ อ้อ วันนี้อาไม่ได้ขับรถกลับบ้านนะแต่จะเช็กอินนอนที่โรงแรมเพราะงั้นเราอย่าลืมเอาเสื้อผ้าไว้ใส่นอนกับใส่ไปเรียน พวกหนังสือเรียนที่ต้องใช้ติดมาด้วยนะ ตอนอามาส่งเราจะได้ไม่ต้องย้อนมาเอาของที่หออีก”


“อืม” คนเป็นเด็กพยักหน้ารับแรงๆหลายที


“โอเค แล้วเจอกันครับ”


ยงกุกโบกมือตอบฝ่ายตรงข้ามจนวางสายก่อนจะยกโทรศัพท์มือถือที่หน้าจอเปลี่ยนกลับเป็นรูปเด็กในปกครองยืนอยู่กลางดงกุหลาบปล่อยแสงจากอาทิตย์อัสดงอาบร่างมาจูบเบาๆและเก็บมันใส่กระเป๋าดังเก่าและลุกจากโซฟาถอดเสื้อสูทมาพาดไว้บนแขนก่อนที่ชายสวมเชิ้ตสีเทากับกางเกงสแล็คสีดำพร้อมรองเท้าหนังหัวแหลมมันปลาบจะก้าวมาถึงตัว


“มึงจะไปไหน” เสียงทุ้มจากคนสูงไล่เลี่ยกันแต่ตัวหนากว่าถาม คิ้วเข้มวางวงอยู่เหนือด้วยตาสีน้ำตาลเข้มบนใบหน้าหล่อหมดจดเลิกสูงอย่างสงสัย


“ไปรับเบบี้โรส”


“มึงจำวันผิดหรือเปล่า วันนี้วันพุธนะ...ไม่ใช่วันศุกร์”


“กูรู้”


“แล้วจะไปรับทำไม”


“เพื่อนเขามีปัญหานิดหน่อย เขานอนไม่ได้...กูเลยจะไปรับมานี่”


“แต่มึงยังไม่ได้นอน ขับรถไปไหนตอนนี้ไม่ไหวหรอก มึงกลับไปนอนไป ปล่อยเด็กกุหลาบมันรอบ้าง” ฝ่ายเพื่อนค้านทันทีเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้นอนมาสองสามวันแล้ว


ฮิมชานเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับยงกุกมาเกือบยี่สิบปี รู้จักนิสัยทั้งเบื้องหน้าและเบื้องลึกเป็นอย่างดี ไอ้นิสัยบ้างานอย่างให้ออกมาดีที่สุดของมันเข้าขั้นไม่ธรรมดา ยิ่งตอนนี้ต้องวางแผนรีแบรนด์ดิ้งธุรกิจของเล่นและของใช้สำหรับเด็กอันเป็นธุรกิจที่เปิดดำเนินการร่วมกันมาหลายปี มันและเขาเลยต้องประชุมวางแผนกันทุกวัน พอมีเวลานิดหน่อยแทนที่จะพักกลับเอาไปใช้ขับรถเอากุหลาบไปให้และคุยกล่อมเด็กในปกครองของตัวเอง


“กลับไปกูก็นอนไม่หลับ...กูไม่เคยปล่อยเบบี้โรสให้รู้สึกไม่ดี ยิ่งนอนไม่ได้ด้วยนี้กูปล่อยไม่ได้หรอก”


“เวรเอ๊ย จะรักเด็กคนนั้นอะไรนักหนาวะ ห่วงตัวเองบ้าง...ห่า...ประชุมติดกันตั้งหลายวัน มึงก็ไม่ได้นอน ขืนขับรถไปไหนอีกจะแย่ไปกันใหญ่” คนเป็นเพื่อนสบถอย่างหงุดหงิดเช่นทุกครั้งที่รับทราบวีรกรรมของเด็กไม่รู้จักโต


อันที่จริงตั้งแต่เป็นเพื่อนกันมายังไม่เคยเห็นยงกุกมันรักใครจริงจังเลยสักที จนมันมาเป็นผู้ปกครองให้ลูกชายคนเดียวของศาสตราจารย์ซึงฮยอน...ผู้มีพระคุณของมันซึ่งเขาเองก็นับถือเหมือนญาติผู้ใหญ่เสียชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อนถึงเห็นว่า เพื่อนรักเด็กคนนี้จริงจังมากเพียงใด


เด็กกุหลาบถูกประคบประหงมเลี้ยงดูมาด้วยความรักทั้งหมดที่มันมีและเด็กกุหลาบก็ตอบแทนด้วยการให้ทั้งหมดที่มีเช่นกัน ความสัมพันธ์ของสองอาหลานเพียงในนามเป็นไปในลักษณะที่อบอุ่นอ่อนหวานหากหลายคราก็เข้าข่ายลุ่มหลงเกินไป


...ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของเด็กกุหลาบมากกว่าสุขภาพตัวเอง มันใช้ได้ที่ไหนวะ...


ถ้ากูไม่ไปรับกูจะแย่กว่านี้อีก...มึงน่าจะเข้าใจนะ กับเมียเก่าของมึง มึงก็เป็นแบบนี้”


“ที่กูพูดนี้เพราะเป็นห่วงมึงนะเว้ย”


“กูรู้ว่ามึงเป็นห่วง แต่โรงแรมนี้มันไม่ไกลจากมหาลัยของเบบี้โรส กูขับรถไปรับกลับมาแป้บเดียวก็ถึง”


“มึงจะไปให้ได้ใช่ไหม” ฮิมชานถามย้ำแล้วถอนหายใจ “ได้ จะไปให้ได้ก็ไป เดี๋ยวกูขับรถให้มึงเอง”


“ไม่ต้องหรอก กูขับเองได้”



“ให้กูขับดีกว่า สภาพมึงตอนนี้ขืนขับรถไปกูกลัวจะไปไม่ถึง”


“เอ้า ไอ้เวร แช่งกูทำไมเนี่ย...กูยังไม่เหนื่อยขนาดนั้น มึงไม่ต้องขับให้หรอก” แม้ปากจะบ่นแต่เจ้าตัวกลับหัวเราะออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน


“เหี้-เอ๊ย มึงฟังกูหน่อยเหอะ”


“มึงต่างหากที่ต้องฟังกู...มึงไม่เข้าใจเหรอ กูบอกแล้วนะว่าตอนนี้เขาไม่สบายใจ”


“แล้วยังไง”


“เห็นหน้าอาชาร์ลคนโวยวาย...คงได้อาการหนักไปกันใหญ่”


“โอโห นี่มึง...มึงพูดเหมือนกูรังแกเด็กของมึงงั้นแหละ” 


“หรือไม่จริง...มึงชอบไปพูดให้เขาโกรธอยู่เรื่อย”


“เด็กมึงชอบเอาแต่ใจนี่หว่าถึงต้องดุ ก็ยอมรับว่าบางทีก็มีที่กูเหงาเลยแหย่เล่นแต่กูหวังดีนะ”


“ถ้าเหงาขนาดนั้นก็หาเมียใหม่ซะคนไป”


“ไม่เอาหรอก กูคร้านจะหย่ารอบที่สาม”


“มึงเลือกเมียที่เข้ากับมึงได้จริงๆสิวะ ไม่ใช่ชอบผู้หญิงมั่นใจดูแลตัวเองได้ แต่ตัวมึงเสือกเป็นคนชอบเทคแคร์ชาวบ้าน ตามติดแบบนั้น มันไม่ใช่ตัวเขา เขาก็ทนไม่ได้”


“เดี๋ยวนะ เดี๋ยวๆ ตอนแรกกูพูดเรื่องมึงอยู่นะไหงวกมาเรื่องกูได้วะ”


“ที่กูพูดเนี่ยเพราะเป็นห่วงมึงนะ” ฝ่ายที่ยืนอยู่ตรงข้ามย้อนบ้างแล้วยื่นมือไปแตะบ่าเพื่อนด้วยรอยยิ้ม “เออ มึงกลับไปบ้านไปก่อนเถอะ กูจะไปรับเบบี้โรสเอง กูไม่ขับกลับบ้านหรอกคงมาเช็กอินนอนโรงแรมนี่เอา”


เพียงได้ยินคำไล่  ฝ่ายเพื่อนที่โวยอยู่เป็นนานสองนานแต่อีกคนก็ทำหูทวนลมก็พ่นลมร้อนผ่านริมฝีปากให้ความอะไรไม่รู้เด็กกุหลาบมาที่หนึ่งของเพื่อน


...หลงห่าอะไรเด็กกุหลาบมันปานนี้...


“เฮ้ย กูถามมึงหน่อยดิ...ที่มึงไปรับเนี่ยเพราะเด็กมึงเรียกร้องให้ไปหาปะ”


“เปล่า”


“อ้อ มึงอยากไปรับเอง นึกว่าทางนั้นขอ กูจะได้ด่าเด็กกุหลาบของมึงให้” 


“มึงกับยงนัมนี่เหมือนกันเลย เป็นห่าอะไรกับเบบี้โรสนักหนา...เรียกให้มันดีๆหน่อย ชื่อจริงเขาก็มี ไม่เรียกล่ะ” เมื่อได้ยินคำเรียกที่ไม่ชอบ ปากที่ยิ้มก็งวดลงและสายตาที่ปรายมามองนิ่งๆบอกเป็นนัยๆว่าไม่พอใจ คนถูกเตือนเลยฮึดฮัดอย่างรำคาญใจ


ชื่อเบบี้โรสไม่ใช่ชื่อจริงแต่เป็นชื่อที่ยงกุกใช้เรียกเด็กที่เป็นแก้วตาดวงใจของมันซึ่งปกติไม่มีใครเรียกตามมันหรอก ส่วนใหญ่ก็เรียกจุนฮงกันทั้งนั้น มีแค่เขากับยงนัมพี่ชายฝาแฝดของยงกุกมันที่เรียกว่า เด็กกุหลาบ


...ด้วยวัยวุฒิขนาดนี้ก็ไม่อยากจะเรียกคนรักของเพื่อนไม่ดีหรอก ถ้าเด็กมันจะทำตัวน่ารักสมกับหน้า นี่อะไรไม่รู้พอแหย่ปุบสวนกลับแต่ละคำไม่หยาบแต่เสียดแทงถึงใจ พอเป็นคุณอาจะหยอกจะแหย่อะไรก็ยิ้มหวานกอดแน่นอ้อนไปหมด บอกตรงๆเห็นแล้วแม่งหมั้นไส้...


“ก็มึงรักไงเลยไม่เห็นความ...ไม่อยากจะพูด”


“ไม่อยากพูดก็เงียบไป...กูจะรีบไปรับเบบี้โรสแล้ว เออ มึงไม่ต้องแอบขับรถตามไปล่ะ กูไม่ใช่เด็กน้อยที่มึงต้องเป็นห่วงขนาดนั้น กลับบ้านกลับช่องไปดูอพาร์ทเม้นต์ของมึงเหอะ แม่บ้านที่ทำความสะอาดให้มึงเขาทำงานกับมึงมาเป็นปีก็จริงแต่มึงเล่นไม่กลับเป็นอาทิตย์ระวังของจะหาย”อีกฝ่ายบอกส่งยิ้มบางให้ก็ผละไปต่อหน้าต่อตาไม่สนใจฝ่ายตะโกนด่าไล่หลัง


“ไอ้เวรเอ๊ย จะไปดีๆก็ไม่ได้ มาแช่งกูอีก”


ฮิมชานส่ายหัวไปมาขณะมองเพื่อนที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกจากล็อบบี้เลาจน์จนลับสายตาก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์เครื่องดื่มและนั่งลงสั่งบรั่นดีจากบาร์เทนเดอร์มาหนึ่งแก้วด้วยดวงตาฉายแววโดดเดี่ยวที่แม้ความเหงาจะกร่อนลึกถึงภายใน หากเจ้าตัวเลือกจะไม่ยอมรับมัน
----------------------------------------
รถยนต์สปอร์ตซีดานสี่ประตูผลิตภายใต้ค่ายรถ Cadillac ในรุ่น CTS V สีดำแล่นผ่านประตูทางเข้าของมหาวิทยาลัยไปตามถนนที่ใช้สัญจรภายในอย่างเนิบช้าทั้งที่สามารถเร่งความเร็วได้เต็มอัตราสูงสุดถึง 640 แรงม้าแต่เจ้าของรถยังคงเหยียบอยู่ที่ 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


ฮอลชอลปรายตามองยังร่างผอมที่นอนตะแคงหันหน้าหาประตูรถฝั่งข้างคนขับและคอยขยับผ้าห่มที่ร่นลงไปกองบนอกให้ขึ้นมาคลุมคอเป็นระยะตลอดเส้นทางเพราะกลัวความเย็นจากเครื่องปรับอากาศในรถที่แม้จะปรับลดระดับความแรงไปยังจุดเบาสุดแล้วจะทำให้คนป่วยไม่สบายเพิ่ม


ชายหนุ่มหันกลับมาจดจ่อกับการขับรถเพื่อจะพบว่า อีกไม่กี่ร้อยเมตรจะถึงหน้าหอพักของมหาวิทยาลัยซึ่งเปิดไฟสว่างรอต้อนรับนักศึกษาตั้งแต่ตีห้าจนถึงเที่ยงคืนก็ถอนหายใจหนัก ทั้งที่ประวิงเวลาเหยียบช้าเป็นเต่าคลานเพราะอยากอยู่กับเด็กน้อยให้นานกว่านี้แต่สุดท้ายอีกไม่เกินห้านาทีก็จะถึงที่หมายทำให้ใจหาย


...ไม่อยากให้ห่างแต่เด็กน้อยทวงคำสัญญาอยู่ตลอดเลยต้องจำใจพามาส่ง...


...ถึงอย่างนั้นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ยอมแพ้หรอก ยังไงก็ต้องหาวิธีให้กลับไปอยู่ด้วยกัน...


จุนฮงนั่งเตะขาไปมาอยู่บนม้านั่งไม้ยาวหน้าหอพักมีกระเป๋าหนังสะพายข้างสีดำวางอยู่ข้างๆ บรรยากาศรอบข้างยามสี่ทุ่มเงียบเหงาเพราะปกตินักศึกษาจะทยอยกลับเข้าหอมากที่สุดไม่เกินสองทุ่ม คงมีเพียงส่วนน้อยที่กลับมาดึก ตากลมสอดส่ายไปในความสลัวของแสงจากโคมไฟบนเสาสูงรายทางเพื่อหารถยนต์ของผู้เป็นอาแต่กลับกลายเป็นว่า มีรถสีดำคนหนึ่งแล่นมาจอดตรงลานกว้างหน้าหอพักแทน


ไฟหน้าดับลงพร้อมเครื่องยนต์ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเปิดประตูลงจากรถเดินอ้อมมาเปิดประตูยังฝั่งข้างคนขับจากนั้นก็ย่อลงไปนั่งคล้ายสนทนาอยู่ตรงนั้นเป็นหลายนาทีกว่าที่ผู้โดยสารในรถจะถูกอุ้มในท่านอนออกมาโดยมีผ้าห่มคลุมอยู่บนตัว


แม้มองผ่านแสงสลัวไปไม่ชัดนักแต่ลางสังหรณ์ในใจเร้าให้ลุกขึ้นยืนและในตอนที่ฝ่ายนั้นพาคนในอ้อมแขนเดินมาถึงหน้าหอพัก แสงไฟสว่างจ้าสาดลงมาให้มองเห็นชัดเจนเลยว่า ผู้มาใหม่คืออาจารย์จอง ฮอนชอล...อาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยเชิญมาสอนซึ่งเขายังไม่มีโอกาสได้เรียนด้วยมาก่อน


“ปล่อย ผมเดินเองได้” เสียงอ่อนแรงลอดผ่านริมฝีปากตามด้วยการถอนหายใจของอาจารย์หนุ่ม


“อย่าดื้อสิ เรายังไม่ดีขึ้นจะให้เดินเองได้ยังไง...เดี๋ยวพี่อุ้มเราขึ้นไปที่ห้องให้ก่อน พอถึงห้องอยากลองเดินค่อยลองเดิน”


“ผมไม่...ไม่อยากให้คุณอุ้ม”


“แต่พี่ไม่อยากให้เราล้ม”


“จะกลัวทำไม คุณเคยทำผมเจ็บยิ่งกว่าล้มซะอีก” บทสนทนาอย่างอ่อนแรงทว่าสุ้มเสียงแปร่งปร่าสะท้อนความเจ็บแค้นลึกล้ำ คนตัวสูงกระพริบตาปริบดูเหตุการณ์อยู่รู้สึกตงิดในใจแต่ยังไม่กล้าตั้งข้อสงสัยใด


“เด็กน้อยฟังพี่เถอะ...อย่าดื้อสิ” อาจารย์หนุ่มยังคงตะล่อม


“...ให้จุนฮง...โทรหาเขา...ให้เขาลงมา...” ยองแจเอ่ยทีละประโยคอย่างติดขัดและเหนื่อยล้าแต่ไม่ทันจะจบประโยคดีก็มีเสียงแทรกขึ้นมาบอกอย่างชัดเจนว่า อยู่นี่...เสียงนั้นเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยดีและเมื่อหันไปตามต้นเสียงเห็นเพื่อนตัวเองยืนยกมือเหมือนเวลาถูกเรียกตอบในชั้นเรียนก็หลุดยิ้มอย่างโล่งใจออกมา


...เขามั่นใจ...จุนฮงจะไม่ปล่อยเขาอยู่กับผู้ชายคนนี้...


“อาจารย์ฮอนชอลใช่ไหมครับ ผมจุนฮงคนที่อาจารย์คุยด้วยตอนบ่ายน่ะครับ” ในตอนแรกลูกศิษย์หนุ่มกล่าวทักทายแล้วโค้งให้อย่างสุภาพ หากเมื่อเงยหน้าเห็นความอิดโรยและรอยช้ำใต้ดวงตาคล้ายผ่านการร้องไห้อย่างหนักทำให้คิ้วกระตุกและตระหนักได้ในนาทีนั้นเองว่า อาจารย์ที่ยืนตรงหน้าคือคนที่ทำให้เพื่อนเหมือนตายทั้งเป็น


“อืม”


“ขอบคุณมากนะครับอาจารย์ที่ช่วยดูแลและพายองแจมาส่ง ยังไงเดี๋ยวผมดูแลยองแจต่อให้เอง อาจารย์ไปพักผ่อนเถอะครับ พรุ่งนี้มีสอนเช้า นอนดึกจะตื่นไม่ไหวนะครับ” คนเด็กกว่าเอ่ย ใจจดจ่ออยู่กับสภาพของเพื่อนที่ไม่พร้อมจะสู้กับอะไรอีกแล้ว เท้าขยับเข้าไปใกล้และสอดมือจะอุ้มร่างบางมาหาตัวแต่ผู้อุ้มอยู่กลับวางเท้าของเพื่อนเขาลงกับพื้นค่อยๆประคองให้ยืนแล้วจับแขนเอาไว้ให้อยู่ข้างตัวแทนที่จะส่งกลับมา


มือแข็งที่จับแขนไว้แน่นแท้ที่จริงเป็นเพียงการกุมรอบอย่างเบามือ หากฝ่ายที่ภายในเวียนว่ายด้วยแรงอารมณ์จากความโกรธขึ้งไม่รับรู้ด้วย นัยน์ตาสวยตวัดประสานมองตาคมแข็งพร้อมยื่นมือออกไปจับแขนอีกข้างของเพื่อนไว้


“อาจารย์ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมกับยองแจอยู่ด้วยกันมานาน ผมดูแลเขาได้และดีด้วย” เสียงเข้มเน้นหนักในตอนท้ายแต่ไม่มากพอให้อีกฝ่ายปล่อย ระหว่างที่ขบคิดว่าจะทำยังไงให้เพื่อนถูกปล่อยมาหาปลายนิ้วเย็นของเพื่อนกลับแตะเบาบนหลังมือและเลื่อนไปกำชายเสื้อยืดของเขาไว้แน่นจนสั่น ยิ่งเป็นแรงกระพือให้ใจที่ร้อนลุกโหมเผลอตวาดลั่นให้อาจารย์ปล่อยมือจากเพื่อนอย่างลืมตัว


“คุณเป็นอะไรกับเขา”


“เขาเป็น...เป็นแฟนผม” คนป่วยตอบกลับรวดเร็วขณะชายดวงตาแดงก่ำมาหา เท่านั้นก็เพียงพอให้ฝ่ายถูกถามตัวจริงจนใจรับสมอ้างไปด้วยความสงสาร


เพียงเสี้ยววินาทีหน้าคมไร้แววอารมณ์กลับกระด้างแข็งเช่นเดียวกับตาดุที่เริ่มมีวาวโรจน์ดั่งไฟร้อนพร้อมจะผลาญทุกสิ่งที่ขวางหน้ากลับจับนิ่งยังดวงตาของคนตัวสูง ถ่ายทอดอำนาจแห่งแรงโทสะที่วนเวียนอยู่ภายในให้ปะทุเดือดเสมือนสัตว์ร้ายหมายเอาชีวิตผู้รุกล้ำเขตแดน


เด็กหนุ่มที่โตเพียงตัวกระพริบตาแสร้งทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาพยายามปกป้องเพื่อนอย่างเต็มกำลังทั้งที่มือเริ่มเย็นและสั่นจากความหวาดหวั่นในอำนาจแฝงซึ่งละม้ายผู้ปกครองของตนยามจมดิ่งสู่โลกแห่งความมืดและแค้นขึ้งแทบไม่ผิดเพี้ยนจะต่างก็เพียงผู้เป็นอาซ่อนระลอกคลื่นไว้ใต้ความสงบเย็น หากคนตรงหน้าคล้ายมหาเพลิงพร้อมลุกโชนเพียงโยนเชื้อไฟ


ยองแจเม้มริมฝีปากเหลือบมองหน้าขาวของเพื่อนที่ซีดและมีเหงื่อซึมอย่างเห็นได้ชัด...ถึงจะตัวใหญ่และมีเรื่องวิวาทมาบ้าง หากเอาเข้าจริงเพื่อนก็เป็นแค่เด็กปีสองอายุตามสากลยังไม่ยี่สิบเลยด้วยซ้ำ การจะรับมือผู้ชายที่เจนโลกอันมืดมิดมานานไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะที่เขาเองแม้แต่แรงจะสะบัดให้พ้นจากการกุมแขนหลวมๆยังทำไม่ได้แล้วจะช่วยอะไรไหว


ชั่วเวลาของการจ้องตอบนั้นดำเนินไปนานเกือบสิบนาทีก่อนที่อาจารย์หนุ่มจะระเบิดเสียงหัวเราะราวจะหยันคนทั้งโลกออกมาให้ได้ยิน เท้าย่างไปหาลูกศิษย์ในคณะซึ่งไม่เคยสอนจนทั้งสองประจันหน้ากันในระยะเกือบประชิด ทำให้อีกคนเม้มริมฝีปากรู้สึกหนาวอย่างไม่มีสาเหตุขณะที่เสียงจากจิตใต้สำนึกย้ำเตือนให้ระวัง


“คุณเป็นแฟนกับเขาเหรอ” คำถามจากอาจารย์หนุ่มดังขึ้นอีกครา


“ครับ”


“งั้นเหรอ” เพียงได้ยินคำตอบมุมปากก็เหยียดออกเป็นรอยแสยะยิ้มเหมือนเสียสติ “ถ้าเป็นแฟนกัน จูบกันให้ดูหน่อยสิ”


ถ้อยความที่เด็กอ่อนหัดทั้งคู่ไม่คาดคิดลอดจากริมฝีปากที่กำลังยิ้มอย่างคนที่รู้สถานการณ์ทุกอย่างดีเพียงแค่อยากลองเล่นสนุกไปกับเกมแห่งการโกหกนี้ด้วย


น้ำลายถูกกลืนลงคอก่อนหน้าขาวน่ารักนั้นจะหันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเพื่อนที่นิ่งงันกับความต้องการที่เปล่งผ่านผู้เป็นอาจารย์...ทั้งที่สงสารและอยากปกป้องเพื่อนเหลือเกิน ทว่าจะให้ถึงขั้นรับสมอ้างด้วยการสัมผัสใครอื่นถึงจะเป็นเรื่องหลอกๆก็ทำไม่ได้


...ทุกอณูในร่างกายเขามีผู้เดียวที่ครอบครองเป็นเจ้าของคือคุณอาเท่านั้น...


“ทำไม่ได้สินะ” ผู้ใหญ่ในวงสนทนาหัวเราะร่วนอย่างอ่านขาด...ยังคงส่งยิ้มหยันให้กับการกัดฟันที่กลัวแต่ก็โมโหของคนตัวสูงซึ่งระดับความต่างทางกายภาพไม่ได้ทำให้คนเจนชีวิตอันธพาลจนเชี่ยวชาญในการกระประเมินหาจุดอ่อนจุดตายเกรงแม้แต่น้อย


จุนฮงสูดลมหายใจให้กับการอ่านคนอื่นได้ลึกถึงความนึกคิดของอาจารย์หนุ่มตรงหน้า...ผู้ชายคนนี้มีบางอย่างเหมือนคุณอา บางอย่างที่ดูเหมือนมีเพียงคนเคยเผชิญหน้ากับความเลวร้ายของโลกมานานเท่านั้นถึงจะมี กระนั้นอาจารย์ฮอนชอลกลับแตกต่างจากคุณอาลิบลับและนั่นทำให้ความรู้สึกไม่พอใจเริ่มกลายเป็นเกลียดชัง อยากวิวาทกันให้หมดเรื่องหมดราวเหมือนทุกครั้งแต่ครั้งนี้คู่ต่อสู้อันตรายเกินไป


“คุณมีปัญหาอะไรกับเด็กของผม” เสียงแหบต่ำกดลึกเย็นเยือกยิ่งกว่าน้ำแข็งเอ่ยถามจากเบื้องหลัง


ฮอนชอลหรี่ตาลงในวินาทีที่ได้ยินด้วยรู้สึกเคยคุ้นกับเสียงมีเอกลักษณ์เช่นนี้เมื่อนานมา ช่วงขณะที่เหลียวหลังไปหาต้นเสียง เพียงได้เห็นหน้าของผู้ตั้งคำถามตาซึ่งกอดอกมองอยู่ด้วยแววตาแข็งกร้าวเลือดเย็นประหนึ่งนักฆ่าเล็งเป้าสังหาร แทนที่จะหวั่นเกรงกลับกลายเป็นตาเบิกกว้างด้วยความแปลกใจและคาดไม่ถึงเช่นเดียวกับฝ่ายตรงข้ามที่ย่นหน้าผากในทันทีที่เห็นกัน


“จอง ฮอนชอล”


“บัง ยงกุก”


ต่างฝ่ายต่างขานเรียกชื่อกันและกันออกมา นัยน์ตาน่ากลัวอันเกิดจากความต้องการปกป้องคนของตัวเองของทั้งคู่คลายแววอ่อนเล็กน้อย ยงกุกปรายมองไปยังหน้าเซียวแทบไม่มีสีเลือดที่ใกล้หมดแรงเต็มทีของยองแจแล้วเคลื่อนมายังเด็กในปกครองที่มีสีหน้าสงสัย


“คุณอา” จุนฮงเรียกออกมาเบาๆ 


“เบบี้โรส พาเพื่อนเราขึ้นไปนอนที่ห้องก่อนไป”


“ผมจะพาไปแต่อาจารย์เขาไม่ยอมปล่อยแขนย้วยมันอ่ะ” เพียงเห็นหน้าผู้ปกครองของตนเองก็ใจชื้นเลยหลุดปากฟ้องออกไป


“ถ้าห่วงเขาจริงๆก็ปล่อยมือ ให้เขาขึ้นไปนอนพักหรืออยากให้เขาล้มพับลงไปตรงนี้” ประโยคของผู้มาใหม่ตั้งใจให้ตระหนักถึงสุขภาพของคนป่วยที่ขาสั่นแทบจะยืนไม่ไหวได้แต่เอนพิงกับเด็กของเขาไว้


อาจารย์หนุ่มถอนหายใจยาวขณะทอดสายตาเว้าวอนขอความเห็นใจกลับไปยังเด็กน้อยของเขาที่มองตอบมาด้วยแววตาเจ็บปวดระคนอ่อนล้า มือสากปลดออกจากแขนที่จับพยุงก่อนจะยกขึ้นหมายจะแตะแก้มเซียวนั้นให้อุ่นแต่อีกคนกลับเบี่ยงหลบ


ยองแจแลความทุกข์ทนที่ฉายชัดบนแววตาและใบหน้าของชายผู้เคยเป็นทุกอย่างในชีวิต น้ำตาก็รื้นออกมาอย่างไม่มีเหตุผลพยายามยกหลังมือเช็ดน้ำตาแต่ไม่เป็นผลเลยได้แต่ซ่อนหน้าซบกับหลังเพื่อนเอาไว้


“เบบี้โรสพาเพื่อนเราขึ้นไปนอน เดี๋ยวทางนี้อาจัดการเอง”


“อืม” ฝ่ายถูกสั่งพยักหน้าตอบรับในลำคออย่างว่าง่ายก่อนจะกระซิบบอกเพื่อนที่ร้องไห้หนักจนเสื้อยืดด้านหลังชื้นด้วยน้ำให้สอดเท้าเข้ามา จากนั้นจึงแบกเพื่อนขึ้นหลังหยิบคีย์การ์ดในกระเป๋ากางเกงยีนส์มาสแกนตรงเครื่องแล้วผลักประตูเดินเข้าหอพักไป


ยงกุกรอกระทั่งร่างของเด็กในปกครองลับสายตาไปจึงหันกลับมายังชายหนุ่มวัยเดียวกันที่ยืนถอนหายใจพลางเสยและปัดผมตนเองไปมาจนยุ่งเหยิงอย่างกลัดกลุ้ม



“ฮอนชอล มึงตามกูมานี่...กูมีเรื่องต้องคุยกับมึงเยอะเลย” เขาสั่งลงท้ายประโยคด้วยการเน้นเสียง ต่างฝ่ายต่างจดจ้องกันพักใหญ่ก่อนที่ทั้งคู่จะหันหลังเดินออกจากหอพักเลี้ยวไปตามทางเดินจนลับหายไปพร้อมกับเขตแนวรั้วที่สิ้นสุด

You Might Also Like

1 Comments

  1. มนุษย์ด้านมืดปะทะกันมันช่างกร๊าวใจเหลือเกิน

    ตอบลบ