LOVE TOXICAL : CHULJAE&BANGLO CHAPTER 20
07:26
** คำแนะนำเผื่อใครหลงมาอ่าน ต้องอ่านทั้งพาร์ทชอลแจนและพาร์ทบังโล่ ไม่งั้นอาจจะงง **
ฮอนชอลมองแผ่นหลังใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวตรงหน้าพลางนึกย้อนไปถึงอดีตเมื่อราวแปดปีก่อน...ตอนนั้นเขายังทำงานหาเลี้ยงชีพเป็นบาร์เทนเดอร์พ่วงด้วยการเป็นโฮสต์บางทีที่บาร์โฮสต์แห่งหนึ่งแล้วหมอนี่ก็โผล่มาทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์เพื่อหาเงินไปจ่ายค่าเทอมแต่อยู่ได้ไม่กี่เดือนศาสตราจารย์คนหนึ่งก็ดึงตัวไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในอังกฤษ
ยงกุกเป็นคนเงียบขรึมจมดิ่งอยู่ในโลกของตัวเองเป็นหลัก
หากในความสงบมีความมืดลึกลับแฝงเร้น...แค่ปรายตาขึ้นมาคนก็กลัวจนหงอแต่นั่นเป็นเสน่ห์ที่เย้ายวนผู้หญิงหลายคนให้สนใจในตัวมัน
ยิ่งเวลาทำงานเจ้าตัวรู้เสมอว่าจะทำยังไงให้คนชอบ
เพียงเอ่ยคำและยกยิ้มตรงมุมปากอย่างมีชั้นเชิงทำเอาลูกค้าติดกันเกลียวหลงโงหัวแทบไม่ขึ้นในเวลาไม่กี่อาทิตย์
เขากับมันมีหลายอย่างคล้ายกัน...ทั้งเรื่องที่ชอบอยู่กับตัวเอง
หัวรั้นจะทำในสิ่งที่ต้องการ ไม่แยแสต่ออะไรที่ไม่มีความหมายกับชีวิต
มีด้านมืดที่ซ่อนอยู่ซึ่งไม่รู้ด้วยว่าเมื่อมันปรากฏจะก็ยากที่ใครแม้แต่ตัวเองจะควบคุม
และถึงมันจะไม่ใช่โฮสต์
แต่ถ้าลูกค้ารายไหนสวยและรวยพอจะจ่ายมันก็ยอมให้ซื้อบ้างเป็นครั้งคราว
...มีข่าวลือว่าลีลาบนเตียงมันไม่ธรรมดา
ผู้หญิงไม่น้อยวิ่งเข้าหา หากก็นั้นแหละมันอยู่ที่ร้านราวสามเดือนก็จากไป
ได้ยินว่าตอนนี้ได้ดิบได้ดีเป็นนักธุรกิจมีเงินมีคนนับหน้าถือตาก็ไม่คิดหรอกว่าจะได้เจอกันอีก
ทั้งคู่ก้าวเท้าไปตามทางเดินเหมือนไม่มีจุดหมาย
แม้จะผ่านหน้าผับเล็กๆแต่คนข้างหน้ายังไม่มีแนวโน้มจะหยุดเดินทำให้คนสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่คาดว่าอีกฝ่ายจะหาที่คุยแกล้มเกล้าต้องเดินตามต่อกระทั่งมาถึงร้านกาแฟเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงถึงได้หยุดพัก
ยงกุกผ่านประตูกระจกของร้านตรงไปยังหน้าเคาน์เตอร์สั่งเอสเพรซโซร้อนกับบาริสต้าแล้วปรายตามามองทำให้คนที่ยืนข้างตรงสั่งออเดอร์เป็นอเมริกาโน่ทั้งที่ไม่อยากกาแฟแต่อย่างใดก่อนทั้งคู่จะเดินไปนั่งที่โต๊ะมุมในสุดของร้าน
ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรอยู่หลายนาทีจนบริกรเดินมาเสิร์ฟกาแฟให้และจากไป
คนที่แต่งตัวง่ายๆไม่ได้ตั้งใจจะไปไหนไกลนอกจากมาส่งเด็กน้อยของตัวเองที่หอจึงเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน
“ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“อืม”
“ตั้งแต่ออกจากร้านไป ได้ยินว่า ได้ดิบได้ดี ตอนนี้เป็นนักธุรกิจใหญ่แล้วสินะ”
“มึงเองก็มีชีวิตที่ดีที่อเมริกาแล้วนิ”
เสียงแหบเข้มเอ่ยถามแล้วเว้นจังหวะเงียบพลางเหลือบตาคมมองไปยังตาดุของคนตรงข้ามอยู่ไม่กี่วินาทีจึงต่อ
“ทำไมถึงกลับมา”
หลังจบคำถามความเงียบระหว่างทั้งคู่กลับบังเกิดขึ้นอีกครา
ชายหนุ่มผู้มีสถานะเป็นอาจารย์พิเศษหรี่ตามองหน้าเพื่อนเก่าที่นิ่งสงบชั่วครู่ก็เอ่ยตอบ
“กลับมาดูแลคนรัก”
“คนรัก” คิ้วเข้มเลิกสูงขณะถาม “ยองแจน่ะเหรอ”
“ใช่”
“คบกันเมื่อไหร่”
“ประมาณสามปีที่แล้ว” อีกฝ่ายตอบพลางคนกาแฟในถ้วยเซรามิกเป็นวงโดยไม่ทันเห็นตาที่หรี่ลงของคนตรงข้าม
“อ้อ มึงนี่เอง ไอ้ตัวเหี้-ที่ทำเด็กคนนั้นเจ็บปางตาย...ทำเขาเป็นแผลลึกจนแทบเป็นบ้าอยู่แล้วยังมีหน้ากลับมาหาเขาอีกเหรอ คนอย่างมึงนี่นะ จะด่าว่าเหี้-ยังน้อยไป”
คำหยาบลอดจากริมฝีปากบางของผู้เป็นเพื่อนเก่า
ถึงจะไม่ทราบรายละเอียดแต่การที่เบบี้โรสเล่าอาการเพื่อนให้ฟังก็เดาได้ว่า
อกหักแต่วันนี้การได้พบกับเพื่อนเก่าบวกกับช่วงเวลาที่ได้ยินข่าวคราวการไปขุดทองที่อเมริกาก็ทราบได้ทันทีว่าใครเป็นคนทำ
“กูรู้ว่ากูเลว กูไม่มีอะไรแก้ตัวหรอก” ฝ่ายโทษตัวเองมาตลอดยอมรับแต่โดยดี
นัยน์ตาคมมองกาแฟในถ้วยเซรามิกอย่างหมองเศร้าทำให้เพื่อนเก่าที่คุ้นชินกับความแข็งกระด้างยอมหักไม่ยอมงอถึงกับถอนหายใจออกมา
“เล่าได้ไหม...เรื่องระหว่างมึงกับเขา”
“ถ้ากูเล่า มึงจะช่วยกูหรือเปล่า”
“กล้าต่อรองด้วย”
คำห้วนๆเหมือนเมื่อครั้งยังร่วมงานกันทำให้อีกฝ่ายเหลือบมองเพื่อนที่กอดอกจิบกาแฟร้อนพลางเอนหลังกับพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้านิ่งสงบก็ชั่งใจอยู่หลายนาทีก่อนจะเริ่มเล่าถึงความสัมพันธ์ของตนเองกับเด็กน้อยตั้งแต่การพบกันครั้งแรกจนถึงวันที่เขาตัดสินใจจากมา
ทุกประโยคที่ผ่านริมฝีปากมีความขมขื่นอยู่ในน้ำเสียง แม้จะไม่สบตาหากก็สัมผัสได้ถึงความทุกข์ทน
“กูรู้ว่ากูไม่ควรกลับมาหา...แต่กูทำไม่ได้
กูทนปล่อยเขาเจ็บปวดกับสิ่งที่กูทำไม่ได้อีกแล้ว
กูจะไม่ปล่อยให้เขาเจ็บคนเดียว
ถ้ามันจะมีใครต้องเจ็บจากเรื่องนี้มันควรเป็นกูไม่ใช่เขา”
“มึงนอนกับเขาหรือยัง”
คำถามยิงตรงชนิดไม่ให้ตั้งตัวทำเอาฝ่ายตรงข้ามเหลือบตามองนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะยกมือลูบหน้า
เพียงเท่านั้นก็พอให้เข้าใจความหมายได้
“เงียบ...โอเค รู้เรื่อง ก็ว่าทำไมถึงลืมคนควายๆอย่างมึงไม่ได้ ขี้ขลาดยังพรากผู้เยาว์อีก”
“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก กูไม่เคยฝืนใจเขา...ที่ทำก็เพราะเรารักกัน”
“รักเหรอ...ตอนนั้นยองแจเพิ่งสิบแปดเอง
เขายังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำแล้วเขาก็ไม่ใช่เด็กกร้านโลกแบบที่มึงเคยเจอมาด้วย...เขาเป็นเด็กดีที่ไม่ประสีประสาอะไรแต่มีมึงเป็นคนแรกของเขา...มึงอยู่กับเขาทำให้เขารักเขาผูกพัน
ปากมึงบอกว่า อยากให้เขามีอนาคตที่ดีแต่มึงทิ้งเขาไปโดยไม่บอกอะไรเลย
มึงปล่อยเขาค้างคาอยู่กับการหาเหตุผลที่มึงหายไปเฉยๆตั้งสองปี
แล้วมึงหวังจะให้เขาดีขึ้นในสองวัน นี่มึงใช้สมองหรือส้นตีนคิด”
“กูไม่ได้หวังว่าเขาจะดีขึ้นในวันสองวันแต่กูตั้งใจจะดูแลเขาจนวันสุดท้ายของชีวิตกูนี่แหละ”
“ตั้งใจจะดูแลเลยบังคับเขาให้มาอยู่กับตัวเอง
มึงคิดว่าใช้วิธีห่ามๆตามสันดานมึงแล้วมันจะใช้ได้ผลงั้นสิ
มึงทำเขาเจ็บหนักขนาดนั้นคิดว่าบังคับแล้วเขาจะดีขึ้น คว-เถอะ”
“ที่กูบังคับก็มีแค่ให้เขานอนพักจนอาการดีขึ้น นอกนั้นกูตามใจเขานะ”
“ตามใจเหี้ยอะไร อาการเขาแย่ขนาดนั้นแล้วแทนที่จะปล่อยไปพัก มึงเสือกรั้งให้เขายืนตากลมจนจะล้มอยู่แล้ว”
“ก็เด็กน้อยบอกกูว่าเขาเป็นแฟนกับหลานมึง...จริงๆกูก็รู้ว่าเขาโกหกแต่การที่หลานมึงเออออว่าเป็นแฟนกับเด็กของกูเฉยเลยนี่มันเกินไปวะ” คราวนี้ฝ่ายจำนอนยอมให้ด่าเริ่มมีปากเสียง
“ไม่ใช่หลาน” ประโยคสั้นสวนทันทีเรียกความสงสัยให้คนได้ยินย่นหน้าผาก
“อะไร...เด็กยักษ์นั่นไม่ใช่หลานมึงเหรอ”
“เออ”
“แต่กูได้ยินเด็กคนนั้นเรียกมึงว่าคุณอา”
“เขามีสิทธิ์จะเรียกกูว่ายังไงก็ได้”
เสียงลึกต่ำเอ่ยเน้นทุกคำชัดและเงียบลงชั่วอึดใจ
แม้นหลังจะเอนพิงกับพนักเก้าอี้ ทว่านัยน์ตามีประกายกร้าวฉายชัด
“แต่เขาไม่ใช่หลาน เขาเป็นคนรักของกู”
ฝ่ายสวมสถานะอาจารย์ในปัจจุบันหยุดคนกาแฟในถ้วยเหลือบตาดุประสานเข้ากับตาคมเรียบสนิทในนาทีที่ได้ยินคำสุดท้ายก่อนจะเม้มริมฝีปากพร้อมเอนหลังทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้
...ก็ว่าทำไมตอนนั้นถึงแผ่รังสีน่ากลัวออกมาเหมือนกับว่าถ้าแตะเด็กคนนั้นมันเอาตาย
...ที่แท้ก็เด็กมัน
“ให้ตาย”
“ทำไม”
“กูพอรู้อยู่หรอกนะว่ามึงชอบเด็กแต่ไม่คิดว่าจะคบกับเด็ก แถมเป็นเด็กผู้ชายอีก”
“แต่มึงเป็นพวกไม่ชอบเด็ก ยังเสือกคบกับเด็ก แถมเป็นเด็กผู้ชายด้วย” คำพูดนั้นล้อลอกมาจากอีกฝ่าย
“มึงเจอเขาที่ไหนวะ”
“ก่อนจะเสือกเรื่องกู...เอาตัวมึงให้รอดก่อนเถอะ”
อีกฝ่ายสวนหยุดจิบกาแฟแล้วด่าซ้ำ “ใจมึงทำด้วยอะไร
ไม่ยอมปล่อยเขาไปพักเพราะโกรธที่เบบี้โรสช่วยโกหกเนี่ยนะ
อยากจะควักสมองมึงมาดูจริงๆว่ามีเหี้-อะไรอยู่ในนั้นบ้าง”
“กูไม่ได้จะรั้งเขาไว้นานหรอก...ก็แค่อยากให้เขาพูดความจริงกัน”
“ถ้าเขายืนกรานคำเดิม
มึงก็จะไม่ปล่อยเขาไปสินะ...นี่มึง...มึงไม่เข้าใจจริงๆเหรอว่าทำไมเบบี้โรสถึงโกหก
ถ้าไม่รู้จะบอกให้เอาบุญก็ได้ ที่เขาโกหกช่วยก็เพราะเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน
เขาเห็นมึงทำเพื่อนเขาเจ็บเขาก็ไม่ยอม
แต่มึงก็ยอมให้ความโกรธมันบังตาจนลืมไปว่ายองแจเขาป่วยอยู่ นี่รักเขาเหรอ
รักภาษาอะไรของมึง ไอ้คว-เอ๊ย กูจะด่ามึงยังไงให้สมกับความง่าวของมึงดีวะ” คนเป็นเพื่อนสบถยกมือขึ้นเสยผมของตัวเองอย่างเอือมระอา
“เออ ที่มึงพูดก็ถูก กูผิดเอง” ฝ่ายที่สำนึกได้ถอนหายใจออกมา
“ใช่ ยังไงคนผิดก็คือมึง แต่มึงรู้ใช่ไหมที่เขาเป็นแบบนั้นเพราะเขายังรักมึงอยู่” ถ้อยน้ำเสียงนั้นมีแววเห็นใจแฝงอยู่
ฮอนชอลปรายมองเพื่อนพลางสูดลมหายใจลึกและผ่อนออกทีละน้อย
มือแข็งยกขึ้นมาลูบหน้าปะจมูกแล้วมาหยุดที่ริมฝีปากด้วยท่าทางที่ทุกข์ทนระคนกังวลใจ
...เรายังรักกันแต่ความเจ็บปวดที่เขาทำไว้มันกลายเป็นกำแพงขวางกั้น...
“กูรู้”
“ถ้ารู้ก็ควรหยุดใช้วิธีดันทุรังอย่างที่ทำอยู่ได้แล้ว...อย่าบังคับให้เขาทำอะไรตามใจมึง
ถ้าเขายังไม่พร้อมจะให้มึงเขาใกล้ก็คอยดูเขาห่างๆ แค่ห่างนะไม่ใช่หาย
ถนอมความรู้สึกเขาไว้ให้มาก ให้เวลาเขาปรับสภาพตัวเองหน่อย”
“แล้วมึงจะช่วยกูหรือเปล่า”
“ช่วยอะไร”
“เด็กมึงสนิทกับเด็กน้อยก็น่าจะขอให้ช่วย...” ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะพูดจบประโยคกลับถูกคนตรงข้ามขัดเสียงเรียบ
“กูไม่อนุญาตให้มึงเอาเรื่องเหี้ยๆที่มึงก่อไว้ไปเป็นภาระของเบบี้โรส”
“แค่จะให้ช่วยพูดให้เด็กน้อยรู้สึกดีขึ้นหรือเข้าใจกูบ้างสักนิดก็ไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้”คำสั้นสวนทันควัน “เบบี้โรสเป็นคนของกู
ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์ทำให้เขายุ่งยากกับเรื่องที่เขาไม่มีส่วนต้องรับผิดชอบและอย่าคิดทำอะไรลับหลังกูด้วย
เพราะอย่างกูไม่ใช่ไก่อ่อนที่จะกลัวมึงจนหงอทำอะไรไม่ได้หรอกนะ”
“โอ๊ะ” เพราะการกดน้ำเสียงต่ำและแววตาตวัดมาอย่างดุดันคล้ายการประกาศเตือนทำให้ฝ่ายตรงข้ามหลุดอุทานออกมา
“อะไร”
“เด็กคนนั้นเขารู้ไหมว่ามึงมีด้านมืด” ครั้งนี้เสียงของคนที่ยอมให้ด่ามาตลอดเริ่มแข็งเช่นเดียวกับตาที่เหลือบมา
“ถึงมึงจะเอาเรื่องไม่ดีของกูไปเล่าก็เท่านั้นแหละ...เขาไม่กลัวหรอก”
“มั่นใจจริงนะ”
“พนันกันไหมล่ะ”
ท่าทางไม่แยแสเอนหลังจิบกาแฟสบายๆ เป็นอาการที่คนคุ้นเคยรู้ดีว่า
เจ้าตัวมั่นใจและทุกครั้งที่มั่นใจไม่เคยมีอะไรที่ไม่เป็นไปตามนั้น
“ใครรับพนันมึงก็โง่แล้ว”
“ยังไงก็เถอะ
กูเห็นแก่ความเป็นเพื่อนเก่า
กูจะช่วยสงเคราะห์มึงก็ได้...แต่มึงเองก็ควรทำอย่างที่กูบอกด้วย ตอนนี้
แค่ตอนนี้ให้เวลาเขาหน่อย อย่าเพิ่งเข้าไปใกล้เกินไป
อย่าให้เขาเจ็บไปมากกว่านี้ ไว้เขาดีขึ้นกูจะช่วยตะล่อมเขาให้
แต่ถ้ามึงกล้าทำเขาเจ็บอีกที
รับรองหนนี้ตีนกูนี้แหละจะกระทืบมึงให้จมนรกเอง”
ฮอนชอลจ้องหน้าเฉยชาของเพื่อนที่ละเลียดอยู่กับรสชาติของกาแฟ...ยงกุกยังคงเป็นเพื่อนที่ไม่แสดงออกทางสีหน้า
เวลาเพื่อนมีเรื่องเดือดร้อนถึงจะกวนตีนต้องให้เล่าเรื่องราวทั้งหมดก่อนหากสุดท้ายก็ช่วยอยู่ดี
“ขอบใจ”
คนมีความผิดติดตัวตอบรับแล้วยกกาแฟขึ้นจิบ
ทว่าบนหน้าผากยังคงเป็นร่องริ้วยับย่น
เรียวคิ้วหนาขมวดด้วยใจยังพะว้าพะวงถึงใครอีกคนที่ไม่อยากให้ห่างไปแต่จำต้องปล่อยไปก่อน
...และคืนนี้คงเป็นอีกคืนที่เขาสวดภาวนาขอให้ความเจ็บปวดของเด็กน้อยบรรเทาเบาบางลง...
----------------------------------------
ประตูห้องหมายเลข 617 ปิดลงพร้อมกับร่างผอมของคนป่วยที่ซบหน้าร้องไห้อย่างหนักจนเสื้อด้านหลังของฝ่ายที่แบกพามาเปียกชุ่มค่อยๆถูกวางลงบนเตียง
เพียงได้กลิ่นสะอาดของผ้าปูเตียงและความนุ่มของสปริงที่นอนคนป่วยก็ล้มหัววางบนหมอนแล้วพลิกตะแคงหันหน้าเข้าหากำแพงแล้วดึงผ้ามาห่มปิดถึงคอ
ยองแจหลับตาแสร้งทำเหมือนนอนหลับทั้งที่น้ำตายังคงรินออกมาจนเปียกหมอน...ภายในหัวเต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างตัวเองกับคนใจร้ายที่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่เคยลบเลือน
...แม้แต่แววตาขื่นขมหม่นเศร้าที่ทอดมาหาก่อนที่จะกลับขึ้นมายังติดตา...
...ทั้งที่อยากสลัดทุกความปวดร้าวที่เต้นเร่าอยู่ในอกทิ้งไป
แต่ไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง
ไม่ว่าเมื่อไหร่ผู้ชายคนนั้นก็ยังอยู่ข้างในราวกับมีใครตอกลิ่มฝังเอาไว้
...เขาเป็นแค่เหยื่อโง่ๆที่น่าสมเพช
...เขารู้
...รู้ดีกว่าใครๆทั้งหมด
“ย้วย...กินข้าวยัง” คำถามจากความเป็นห่วงดังขึ้นจากเบื้องหลัง “ปวดหัวหรือเปล่า...ให้เราไปหยิบยาให้ไหม”
ไม่มีการตอบสนองใดจากเจ้าของฉายาที่ถูกเรียกหา...เพื่อนตัวใหญ่มองคนที่นอนตะแคงคุดคู้ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มสีน้ำตาลแล้วสูดลมหายใจลึกอย่างกลัดกลุ้มเพราะรู้แก่ใจว่าอีกฝ่ายจงใจเลี่ยงการตอบคำถามด้วยการทำเป็นหลับเหมือนทุกครั้งและเขาก็ยอมให้เพื่อนทำอย่างนั้นเพราะไม่อยากเซ้าซี้
หากครั้งนี้การได้เห็นต้นเหตุของปัญหาที่เปลี่ยนเพื่อนให้กลายสภาพเหมือนซากไร้วิญญาณแต่เพื่อนยังคงเลี่ยงการแบ่งปันความทุกข์ทนพวกนั้น
...เพราะคิดว่ายองแจเป็นเพื่อนสนิทคนแรกและมีความหมายมากมาตลอด
เขาถึงใส่ใจและอยากแบ่งเบาความเจ็บปวดของเพื่อน
แต่อีกฝ่ายคงไม่คิดแบบนั้นถึงไม่ยอมเล่าเรื่องให้ฟัง
....มันเสียใจตรงที่ไม่ได้รับความไว้ใจ ทั้งที่เขามีอะไรก็เล่าให้ฟังนั้นแหละ...
“อย่าแกล้งทำเป็นหลับทั้งที่นายกำลังร้องไห้อยู่ได้ไหม”
ถ้อยความถามอย่างตรงไปตรงมาทำให้ลมหายใจเจ้าของร่างผอมบนเตียงถึงกับสะดุดพร้อมกับริมฝีปากที่เม้มแน่น
แม้จะตกใจที่เพื่อนถามเหมือนรู้ทุกอย่างแต่ยังพยายามข่มความรู้สึกด้วยการนิ่งเงียบ
...เขารู้ว่าเพื่อนถามก็เพราะเป็นห่วง แต่เขาไม่อยากเล่าเรื่องความโง่บัดซบให้ตัวเองรู้สึกน่าสมเพชไปกว่านี้
“ย้วย”
อีกฝ่ายเรียกอีก
“ฉันคิดว่านายเป็นเพื่อนสนิทของฉันมาตลอดเลยนะ...ฉันรอให้นายเล่าความทุกข์ของนายให้ฉันฟัง
ฉันอยากช่วย
อยากแบ่งเบาความเจ็บปวดพวกนั้นจากนายทุกวัน...จนถึงตอนนี้...ทั้งที่เราเจอตัวคนที่ทำให้นายเจ็บแต่นายก็ยังทำเหมือนเดิม...หรือเพราะนายไม่เห็นฉันเป็นเพื่อน
นายถึงไม่ยอมเล่าให้ฟัง”
น้ำเสียงผิดหวังชัดเจนจากเพื่อนสนิทที่ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้าก็ยังอยู่ข้างๆคอยดูแลไม่ไปไหนและไม่เคยถามซักไซ้ให้ไม่สบายใจทำให้หัวใจที่ถูกบีบรัดจากความทุกข์ตรมอยู่แล้วยิ่งบีบแน่น
ยองแจยกมือกุมหน้าอกรู้สึกเหมือนกำลังขาดใจตายจากความเจ็บปวด ริมฝีปากอ้าพะงาบหอบอากาศหายใจ
“เพราะ...เพราะเขาหายไป...หายไปเฉยๆ...มัน...มันน่า...สมเพช...และ...และการพูดถึงมัน...ทำให้...เรา...เจ็บ”
ถ้อยคำตะกุกตะกักผสมกับการสะอึกเหมือนหายใจไม่ออกตอบกลับ
กายสั่นเทาใต้ผ้าห่มยิ่งไหวสะท้านหนัก
เสียงทุบแรงตรงหน้าอกและเสียงร้องครางระคนสะอื้นที่กลั้นไม่อยู่ดังขึ้นขณะที่น้ำตายังพังครืนอย่างไม่มีทีท่าจะจบสิ้น
จุนฮงกระพริบตาในตอนที่ได้ยินเสียงและอาการของเพื่อนจากด้านหลัง...ความทรมานสาหัญสากรรจ์ที่ไม่มีวันเอาชนะได้นั้นคล้ายกับเมื่อครั้งที่เขาสูญเสียพ่ออย่างไม่มีวันกลับ
ความรู้สึกนั้นเหมือนกับตัวเองเป็นแก้วที่ได้แต่มองดูเศษซากแตกละเอียดโดยที่ทำอะไรไม่ได้
ตะกอนสีดำหม่นเศร้ากัดกินลึกถึงก้นบึ้งของหัวใจนั้นปวดเสียจนอยากจะตายไปเสียให้พ้นๆแต่พระเจ้าก็ไม่ยอมให้ตายเป็นสิ่งเดียวกับที่เคยได้รับเมื่อนานมา
ทั้งที่สัมผัสรับเอาความร้าวรานแตกสลายทางใจไว้ได้
หากเด็กหนุ่มไม่รู้วิธีปลุกปลอบด้วยตลอดเวลาที่ผ่านมามีผู้เรียกขานว่าคุณอาเป็นหลักพักพิงทุกคราที่เจ็บเศร้าจึงได้แต่ปีนขึ้นไปบนเตียงและกอดร่างผอมที่ร้องไห้หนักปานจะขาดใจเสียให้ได้เอาไว้แน่น
“ฉันอยู่นี่นะ
ตรงนี้ ข้างๆนายเสมอ” ริมฝีปากขยับเอ่ยเพียงเท่านั้นลำคอก็ตีบตัน
ช่วงเวลาที่ทำได้แค่กดกอดเพื่อนที่สะอื้นฮักจนตัวโยนอย่างน่าสงสารพาลให้น้ำตาค่อยๆไหลออกมา
...การเคว้งคว้างอยู่กับการสูญเสียและความไม่เข้าใจมันเจ็บ...
...เจ็บจนอยากจะตายให้พ้นๆ...
...มีเพียงคนเคยประสบจึงจะเข้าใจ...
เด็กหนุ่มกอดเพื่อนสนิทไว้ในอ้อมแขนรับเอาความรู้สึกหม่นหมองที่หลั่งไหลไว้และปล่อยเวลาให้หมุนลึกสู่ห้วงเวลาดึกสงัดของราตรีกาล
เฝ้ารอกระทั่งร่างผอมสงบลงจึงผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมดึงผ้าห่มที่ร่นลงไปคลุมให้ใหม่
ตากลมแดงก่ำทอดไปยังเรือนผมสีเข้มบนหมอนพลางคราบน้ำตาบนแก้มออกด้วยหลังมือ
ชั่วนาทีที่ตกอยู่ในความเงียบงัน ความทรงจำเมื่อครั้งพ่อสิ้นลมไปโดยไม่ทันล่ำลากลับหวนเข้ามาให้คิดถึง
วันที่ความตายพรากพ่อไปอย่างไม่มีวันกลับ
คำสัญญาที่เคยให้กับพ่อว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไร้ความหมาย
ในหัวคิดแค่ว่าอยากจะตาย
หากคนคนเดียวที่ต่อลมหายใจเขามาจนถึงตอนนี้ก็คือคุณอา
คุณอาอยู่เคียงข้างเป็นทุกอย่างในชีวิตตั้งแต่เขาอายุสิบห้าและไม่เคยมีสักวันที่ว่า
คุณอาจะหายไปไหน หากการได้เห็นความล่มสลายทางใจของเพื่อนทำให้ฉุกคิดว่า
การไม่มีอยู่ของคุณอาจะเป็นอย่างไร
โลกที่ไม่มีคุณอาอยู่ด้วยแล้วคงคล้ายทะเลยามคืนเดือนมืด
ทุกสิ่งเป็นสีดำแลเวิ้งว้างว่างเปล่า...ความรู้สึกของการสูญเสียคนที่รักเป็นอะไรที่แค่จินตนาการน้ำตาที่เหือดไปก็เอ่อมาอีก
พยายามเช็ดมันออกก็เหมือนไม่ยอมหยุด
กระทั่งตอนที่โทรศัพท์สั่นและได้เห็นรูปกับชื่อสายที่โทรเข้ามาบนหน้าจอปากอาการเบะจะร้องไห้ให้ได้ก็หยุดไปเฉยๆ
“คุณอา” คนเป็นเด็กเรียกออกไปก่อน
“ย้วยเพื่อนเราเป็นยังไง หลับได้หรือเปล่า” ปลายสายถาม
“เพิ่งหลับไปเมื่อกี้นี้เอง...ว่าแต่คุณอาคุยกับอาจารย์เขาเสร็จแล้วเหรอ”
“จ้ะ”
“คุยอะไรกันเหรอ”
“เรื่องย้วยนี่แหละ”
“แล้วเป็นยังไงงะ”
“ถ้าอยากรู้ก็ลงมาหาอาข้างล่างสิ”
“ข้างล่าง...คุณอาอยู่ข้างล่างเหรอ”
“จ้ะ...เมื่อกี้อาไปร้านกาแฟเจอขนมที่เราชอบเลยซื้อมาให้ด้วย”
“งั้นคุณอารอผมแป้บนึงนะ ผมจะรีบลงไป”
“ไม่ต้องรีบหรอก เราเดินมาดีๆอย่าวิ่งมาล่ะ เดี๋ยวล้มไปจะแย่ เข้าใจไหม”
“อืม เข้าใจแล้ว”
“เจอกันจ้ะ”
สิ้นประโยคสุดท้ายพร้อมกับการวางสาย
เด็กหนุ่มพรวดจากเตียงยัดเท้าเข้ารองเท้าแตะได้ก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกจากห้องและลงบันไดไปอย่างรีบเร่ง
ยงกุกยืนอยู่หน้าประตูกระจกของหอพัก
แสงไฟสีขาวที่เปิดไว้สาดกระทบทำให้ร่างสูงโปร่งที่พาดเสื้อสูทสีเปลือกมังคุดไว้บนบ่าเหมือนมีรัศมีสีขาวห้อมล้อม
และในตอนที่ยกกล่องกระดาษสีชมพูลายจุดขาวที่ภายในบรรจุด้วยทาร์ตไข่และสตอเบอร์รี่ชีสพายในมือขึ้นสูงระดับสายตา
ริมฝีปากกลับแย้มออกช้าๆเปลี่ยนความกระด้างดุของใบหน้าให้ละมุนลงโดยพลัน
คนตัวสูงวิ่งลงบันไดถึงขั้นสุดท้ายพลางหยิบคียการ์ดมาแตะกับเครื่องแล้วผลักประตูออกไป
เพียงตากลมเห็นรอยยิ้มอุ่นส่งมาหาขอบตาก็ร้อนผ่าวจนต้องกระพริบตาถี่ๆไว้เพื่อไม่ให้หยดน้ำจากความหม่นเศร้าที่เกาะกุมเผยออกมา
หากฝ่ายที่รออยู่กลับสังเกตเห็นมันในทันที
“มานี่มา”
เสียงแหบลึกอบอุ่นเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยนเช่นเดียวกับแววตา
แขนทั้งสองกางออกกว้างเหมือนทุกคราที่รับรู้ถึงความเศร้าหมองของอีกฝ่ายเรียกให้เท้าของคนอ่อนกว่าขยับก้าวเข้าไปหาอ้อมกอดที่ประโลมโลกที่เคยแตกเป็นเสี่ยงทั้งใบให้คืนประสานได้อย่างไม่ลังเล
ทั้งที่ใจอยากจะซบฟังเสียงหัวใจเพื่อหาความสงบเหมือนตอนที่นอนอยู่ด้วยกันบนเตียง
หากตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆเหมือนเมื่อก่อนแถมสูงกว่าคุณอาแล้วเลยทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าซบหน้าที่กำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อลงบนไหล่
ถึงไม่ได้ยินเสียงหัวใจแต่ไม่ว่ายังไงอ้อมกอดของคุณอาก็อุ่นและเป็นหลักให้พักพิงได้เสมอ...ไม่ว่าจะเจออะไรมา
เลวร้ายแค่ไหนแค่คุณอากอดเอาไว้โดยไม่ถามอะไรก็เหมือนทุกอย่างจะหายเป็นปลิดทิ้ง
...เขาเกลียดการร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น แต่กับคุณอาเขารู้ เขาจะดีขึ้นในไม่ช้า...
“ผมกลัว” สุดท้ายคำพูดก็หลุดออกมาพร้อมน้ำตาเช่นทุกครั้ง
“หื้อ กลัวอะไรคนดี”
“ตอนที่ผมเห็นย้วยมันเจ็บเพราะการหายไปของอาจารย์เขา มันเศร้ามากจนผมกลัวว่าวันหนึ่งคุณอาจะหายไป”
“อาจะหายไปไหนได้”
“ไม่รู้สิครับ
มันก็แค่ ผมน่ะคิดนะว่า ถ้าคุณอาหายไปจากชีวิตเหมือนที่อาจารย์ฮอนชอลหายไป
โลกที่ไม่มีคุณอามันต้องเลวร้ายมากๆ ผมคงมีสภาพไม่ต่างกับย้วยหรอก
ไอ้ความรู้สึกที่อยากจะตายแต่ก็ไม่ตายน่ะ พอคิดถึงมันผมก็ยิ่งเศร้า
“เบบี้โรส เราไม่จำเป็นต้องคิดอะไรอย่างนั้นเลย อาเคยบอกเราแล้วไม่ใช่หรือ บอกเราตั้งแต่วันที่เราสองคนเปียกฝนในดงกุหลาบ...จำได้ไหมที่อาบอกเราว่า อายกให้เราเป็นเจ้าของอาแล้ว และอาจะไม่ไปไหน ไม่ว่าเราจะเห็นหรือไม่เห็นอาก็ตาม อาจะอยู่เราเสมอ” ถ้อยความกระซิบข้างหูนุ่มนวล...มือเรียวอุ่นลูบผมนุ่มสีสว่างใช้ปลายนิ้วนวดคลึงเบามืออย่างรักใคร่นั้นมีความหมายกับผู้ถูกสัมผัสอย่างยิ่ง
เด็กหนุ่มซับน้ำตากับเสื้อเชิ้ตสีขาวก่อนจะขยับถอนหน้าจากไหล่มามองหน้าเปื้อนยิ้มของคนรักโดยที่มือของอีกฝ่ายยังคงลูบผมปรอยๆ
“ยิ้มให้อาหน่อยได้ไหม”
“อืม” เมื่อถูกร้องขอริมฝีปากกว้างกลับปรากฏบนหน้านวลทำให้มือที่ลูบผมเลื่อนมาจับแก้มเบาๆแทน
จุนฮงมองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มสดใส
ปลายนิ้วที่เคลื่อนขยับอยู่บนแก้มให้ความรู้สึกที่มีทั้งความรักและความเอ็นดูเป็นวิธีการแสดงความรู้สึกแทนคำพูดของคุณอาที่เขาชอบ
“ขอโทษนะครับ”
“หื้อ...เราจะขอโทษอาเรื่องอะไร”
“ก็คุณอาอุตส่าห์ขับรถมารับแต่ผมต้องอยู่ดูแลย้วยมันงะ”
“ไม่เป็นไร เราดูเพื่อนเถอะ...ตอนนี้เพื่อนเราก็ต้องการให้มีคนอยู่ด้วย”
“แล้วคุณอาไม่ต้องมีเหรอ”
“อามีอยู่แล้ว”
“ใครครับ”
“อามีเราอยู่ตรงนี้”
ชายหนุ่มว่า
นิ้วเรียวละจากแก้มขาวราวน้ำนมจรดลงบนหน้าอกในตำแหน่งเดียวกับหัวใจก่อนลงน้ำหนักเสียงหนักแน่นในท่อนความสุดท้าย
“พอแล้ว”
ถ้อยคำสั้นกระชับ
ทว่ากินลึกถึงหัวใจยิ่งทำให้เด็กตระหนักถึงความโชคดีของตัวเองและเป็นอีกครั้งที่เขาซุกหน้ากลับไปบนไหล่ของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายของเขา
“ง่าส์ ผมไม่อยากให้คุณอากลับแล้ว นอนที่หอกับผมกับย้วยนะ” จากที่ร้องไห้คนเป็นเด็กเริ่มเปลี่ยนมางอแง
“อาขึ้นไปที่หอเราได้ที่ไหน”
“ปลอมเป็นนักศึกษาจิ”
“ฮ่าๆ ได้ยังไงกันเล่า ไม่ได้หรอก”
“ก็ผมไม่อยากให้คุณอาไปนี่นา”
“อาก็ไม่อยากไปหรอก อยากเห็นหน้าเบบี้โรสของอานานๆแต่เรามีเวลาอีกเยอะที่จะได้เจอกัน ก็อย่างที่บอก ตอนนี้เพื่อนเราต้องการเรานะ”
“ถ้าวันศุกร์แล้วย้วยยังอาการไม่ดีขึ้น ให้ย้วยไปอยู่กับเราได้ไหม”
“ได้สิ”
“ทำไมของ่ายจัง”
“หรือเราอยากจะอยู่ดูเพื่อนเราที่...” ยังไม่ทันพูดจบประโยคอีกคนก็สวนทันควัน
“ไม่เอา”
“ถ้างั้นวันศุกร์อาจะมารับ ถ้าย้วยไม่ดีขึ้นให้เขาไปกับเราด้วย โอเคไหม”
“อืม” ฝ่ายถูกถามพยักหน้าแรงๆ
“นี่ก็จะเที่ยงคืนแล้ว...เราขึ้นไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยกินขนมที่อาซื้อมาแล้วอย่าลืมแบ่งเพื่อนล่ะ”
“คุณอาต้องไปแล้วจริงๆเหรอ”
คนเป็นเด็กทำหน้าตูมผละจากไหล่มามองผู้ปกครองด้วยสายตาละห้อยหาเหมือนลูกหมาที่ไม่อยากให้เจ้าของจากไปไหนเรียกเสียงหัวเราะเบาให้หลุดออกมาจากคนมากวัยกว่า
ขณะที่มือกร้านจะปลดจากการกอดร่างที่สูงกว่าไล้ไปมาบนข้างแก้มก่อนริมฝีปากบางจะขยับประทับลงบนแก้มนวลหอมของคนรักระเรื่อยมาจนถึงเรียวปากนุ่ม
“แบบนี้” ประโยคนั้นดังขึ้นในนาทีที่ริมฝีปากของทั้งคู่ห่างจากกัน “เรียกว่า จูบปลอบใจ”
“รู้ด้วย”
“รู้สิ...ผมรู้ความแตกต่างของรสจูบของคุณอานะ
ผมแยกได้ว่าอันไหนคือจูบปลอบ จูบดีใจ
จูบด้วยรักเอ็นดูและจูบแบบที่ต้องการผมได้ด้วยแหละ”
เจ้าของดวงหน้าน่ารักที่เอียงแก้มแนบบนฝ่ามือแข็งสีน้ำผึ้งที่ตัดกับผิวขาวเนียนของตนเองบอกด้วยแววตาที่ทอประกายสุกใสแล้วถามขึ้นอีก
“คุณอารู้ไหมว่าทำไมผมรู้”
“อาไม่รู้หรอก”
“คุณอาเดาดูสิ”
“อืม คงเพราะเราฉลาดล่ะมั่ง”
“ผิด”
“แล้วจริงๆคำตอบมันคืออะไร”
“เพราะคุณอาคือคนที่ผมรักที่สุดไง”
เจ้าตัวคนถามบอกพลางเหยียดยิ้มจนตาเล็กหยีจนชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วไปบีบจมูกที่ยังเป็นรอยแดงจากการร้องไห้และการเช็ดน้ำมูกเบาๆ
“ปากหวานนะเรา ไปหัดปากหวานแบบนี้มาจากไหนกันนะ”
“ไม่ได้ปากหวานสักหน่อย ผมแค่พูดตามความรู้สึกเฉยๆ”
“ฮ่าๆ
อย่างนั้นเหรอ”
ผู้ถูกเรียกว่าคุณอาหลุดหัวเราะออกมาแล้วกอดเด็กที่ตัวสูงกว่าไว้แน่นแล้วเอ่ยลา
“เราไปนอนได้แล้วนะ พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ”
“ต้องไปแล้วจริงๆเหรอ ผมยังไม่ได้ถามเลยว่าคุณอากับอาจารย์ฮอนชอลรู้จักกันได้ยังไง”
“อาเคยทำงานพิเศษที่เดียวกับเขาน่ะ”
“งานอะไรครับ”
“บาร์เทนเดอร์”
“ไม่ยักรู้ว่าคุณอาเคยเป็นบาร์เทนเดอร์ แล้วยังไงต่องะ”
“เรื่องมันยาว ตอนนี้ดึกมากแล้ว ไว้พรุ่งนี้ตอนอาโทรหาเรา อาจะเล่าให้ฟัง”
“ก็ได้”
สุดท้ายคนอ่อนกว่าก็จำนนยอมให้แขนผอมแต่แข็งแกร่งหลุดจากการกอดตนเอง
หน้านวลสลดลงแม้ในตอนที่ถูกมือเรียวขยี้ผมจนยุ่งเหยิงกระทั่งอีกฝ่ายยื่นข้อเสนอให้ไปส่งจึงกระตือรือร้นขึ้นมา
“อยากไปส่งอาที่รถไหม”
“ไป”
การตอบรับอย่างรวดเร็วเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากผู้ใหญ่กว่า
มือละจากเรือนผมนุ่มยื่นมาหาและคนเป็นเด็กก็ยื่นมือออกไปหาพร้อมประสานนิ้วเช่นที่เคยจับมือกันมาก่อนหน้า
ทั้งคู่เดินผ่านประตูรั้วของหอพักไปยังริมทางเดินที่มี Porsche 911 Carrera 4 สีดำจอดอยู่
ชายหนุ่มลูบผมเด็กในปกครองเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก้าวขึ้นไปประจำตำแหน่งคนขับ
ปิดประตูพร้อมคาดเข็มขัดเรียบร้อยแต่ยังไม่สตาร์ทเครื่องยนต์หากลดกระจกลงมาเพื่อบีบแก้มนุ่มๆไม่ให้ทำหน้าหงอย
“ขับรถกลับดีๆนะครับ ถ้าพรุ่งนี้เช้าตื่นไม่ไหวไม่ต้องเอากุหลาบมาให้ผมหรอกน้า”
“พรุ่งนี้ถ้าอาเหนื่อยจริงๆ อาจะให้คนเอากุหลาบมาให้แทน”
“ไม่เอาอาชาร์ลนะ”
คนเป็นเด็กทำเสียงอ่อนอ้อนดักคอเพราะรู้ว่าถ้าสองคนนั้นเอาดอกไม้มาให้ล่ะก็ไม่พ้นได้ปะทะฝีปากกันอีกตามเคย...นี่ไม่ติดว่าอาชาร์ลเป็นเพื่อนรักของคุณอา
ล่ะก็มีบ้านแตกกันไปข้างแล้ว
“งั้นพรุ่งนี้ให้อายงนัมมาแล้วกัน” ชายหนุ่มแกล้งทำเอาอีกคนแบะปากเป็ดออกมาทันที
“จะอาชาร์ลหรืออายงนัมผมก็ไม่เอาทั้งนั้นแหละ”
“ฮ่าๆ อารู้...แค่หยอกเราเล่นน่ะ...อย่างอนอานะ”
“จริงๆผมก็อยากจะงอนอยู่หรอก แต่คุณอาเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เพราะงั้นวันนี้จะไม่งอนก็แล้วกัน”
“เบบี้โรสของอานี่น่ารักจัง...เอาล่ะ
อาไม่แกล้งเราแล้วดีกว่า เรารีบไปนอนเถอะไปคนดี
ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”ยงกุกกล่าวลาเอื้อมมือไปจับมือนุ่มขาวมาจรดริมฝีปากแล้วจูบเบาๆ
“ฝันดีจ้ะเบบี้โรสที่รักของอา”
“อืม...รักคุณอานะ ฝันดีครับ บ้ายบาย”
“อ้อ
อาเกือบลืม” ฝ่ายที่กดปุ่มปิดกระจกปล่อยนิ้วทันทีที่คิดบางอย่างได้
“เราระวังอาจารย์ฮอนชอลเขาหน่อยนะ...ถ้าไม่จำเป็นจริงๆอย่าเข้าไปใกล้หรือยุ่งอะไรกับเขาล่ะ”
“ทำไมอ่ะครับ”
“เพราะเขาไม่ใช่คนประเภทที่แค่มองก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่”
“ผมรู้...รู้ตั้งแต่ตอนที่ผมช่วยย้วยมันโกหกแล้ว อาจารย์เขามองผมเหมือนจะฆ่ากันเลยแหละ”
“เพราะแบบนั้นอาถึงไม่อยากให้เราเข้าใกล้เขาเกินความจำเป็น”
“แต่ถ้าเขาทำร้ายย้วยอีกจะให้ผมอยู่เฉยๆเหรอ...ไม่ได้หรอก ย้วยเป็นเพื่อนผมนี่”
“ถ้าเขาทำอะไรไม่ดีกับเพื่อนเรา...มาบอกอา อาจะจัดการเอง”
“สุดท้ายก็ต้องให้คุณอาช่วยอีกจนได้...เนี่ย แล้วแบบนี้ผมจะอยู่โดยไม่มีคุณอาได้ยังไงกัน”
“อาก็อยู่ไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีเรา”
“เรื่องนั้นผมรู้...ก็ผมน่ะเป็นกุหลาบน้อยของคุณอาคนเดียวนี่นะ”
“รู้ก็ดีแล้ว...ไปล่ะ อาไปแล้วนะ ฝันดีจ้ะ”
“อืม”
จุนฮงส่งเสียงตอบรับในคอพลางยิ้มหวาน
ยืนโบกมือไปมาระหว่างที่รถของผู้ปกครองเคลื่อนผ่านจนลับสายตาจึงหันหลังเดินกลับ
ลมเย็นยามเที่ยงคืนพัดผ่านมาปะทะผิวขาวจนเย็น
ทว่าเจ้าตัวกลับไม่รู้สึกอะไรด้วยหัวใจเต็มตื้นความอุ่นจากผู้เป็นที่รัก
...การมีคุณอาเป็นความโชคดีที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว...
1 Comments
ชอบตอนคนแก่คุยกัน บังโล่น่ารักสุดอะไรสุด คนแก่รักเด็กมันช่างมุ้งมิ้งเหลือเกิน
ตอบลบ