LOVE TOXICAL : CHULJAE&BANGLO CHAPTER 20

07:26


** คำแนะนำเผื่อใครหลงมาอ่าน ต้องอ่านทั้งพาร์ทชอลแจนและพาร์ทบังโล่ ไม่งั้นอาจจะงง **

  
ระลอกความเย็นของสายลมพาดพัดปะทะกายของสองชายหนุ่มที่ก้าวเท้าไปตามทางเดินอย่างเงียบงัน ความอนธกาลโปรยละอองสีดำครอบคลุมฟากฟ้าให้ยิ่งมืดสนิท ผู้คนเริ่มบางตาลงหากแสงไฟริมทางและร้านรวงยังส่องสว่าง

 
ฮอนชอลมองแผ่นหลังใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวตรงหน้าพลางนึกย้อนไปถึงอดีตเมื่อราวแปดปีก่อน...ตอนนั้นเขายังทำงานหาเลี้ยงชีพเป็นบาร์เทนเดอร์พ่วงด้วยการเป็นโฮสต์บางทีที่บาร์โฮสต์แห่งหนึ่งแล้วหมอนี่ก็โผล่มาทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์เพื่อหาเงินไปจ่ายค่าเทอมแต่อยู่ได้ไม่กี่เดือนศาสตราจารย์คนหนึ่งก็ดึงตัวไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในอังกฤษ

 
ยงกุกเป็นคนเงียบขรึมจมดิ่งอยู่ในโลกของตัวเองเป็นหลัก หากในความสงบมีความมืดลึกลับแฝงเร้น...แค่ปรายตาขึ้นมาคนก็กลัวจนหงอแต่นั่นเป็นเสน่ห์ที่เย้ายวนผู้หญิงหลายคนให้สนใจในตัวมัน ยิ่งเวลาทำงานเจ้าตัวรู้เสมอว่าจะทำยังไงให้คนชอบ เพียงเอ่ยคำและยกยิ้มตรงมุมปากอย่างมีชั้นเชิงทำเอาลูกค้าติดกันเกลียวหลงโงหัวแทบไม่ขึ้นในเวลาไม่กี่อาทิตย์

 
เขากับมันมีหลายอย่างคล้ายกัน...ทั้งเรื่องที่ชอบอยู่กับตัวเอง หัวรั้นจะทำในสิ่งที่ต้องการ ไม่แยแสต่ออะไรที่ไม่มีความหมายกับชีวิต มีด้านมืดที่ซ่อนอยู่ซึ่งไม่รู้ด้วยว่าเมื่อมันปรากฏจะก็ยากที่ใครแม้แต่ตัวเองจะควบคุม และถึงมันจะไม่ใช่โฮสต์ แต่ถ้าลูกค้ารายไหนสวยและรวยพอจะจ่ายมันก็ยอมให้ซื้อบ้างเป็นครั้งคราว

 
...มีข่าวลือว่าลีลาบนเตียงมันไม่ธรรมดา ผู้หญิงไม่น้อยวิ่งเข้าหา หากก็นั้นแหละมันอยู่ที่ร้านราวสามเดือนก็จากไป ได้ยินว่าตอนนี้ได้ดิบได้ดีเป็นนักธุรกิจมีเงินมีคนนับหน้าถือตาก็ไม่คิดหรอกว่าจะได้เจอกันอีก

 
ทั้งคู่ก้าวเท้าไปตามทางเดินเหมือนไม่มีจุดหมาย แม้จะผ่านหน้าผับเล็กๆแต่คนข้างหน้ายังไม่มีแนวโน้มจะหยุดเดินทำให้คนสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่คาดว่าอีกฝ่ายจะหาที่คุยแกล้มเกล้าต้องเดินตามต่อกระทั่งมาถึงร้านกาแฟเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงถึงได้หยุดพัก

 
ยงกุกผ่านประตูกระจกของร้านตรงไปยังหน้าเคาน์เตอร์สั่งเอสเพรซโซร้อนกับบาริสต้าแล้วปรายตามามองทำให้คนที่ยืนข้างตรงสั่งออเดอร์เป็นอเมริกาโน่ทั้งที่ไม่อยากกาแฟแต่อย่างใดก่อนทั้งคู่จะเดินไปนั่งที่โต๊ะมุมในสุดของร้าน

 
ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรอยู่หลายนาทีจนบริกรเดินมาเสิร์ฟกาแฟให้และจากไป คนที่แต่งตัวง่ายๆไม่ได้ตั้งใจจะไปไหนไกลนอกจากมาส่งเด็กน้อยของตัวเองที่หอจึงเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน

 
“ไม่เจอกันนานเลยนะ”

 
“อืม”

 
“ตั้งแต่ออกจากร้านไป ได้ยินว่า ได้ดิบได้ดี ตอนนี้เป็นนักธุรกิจใหญ่แล้วสินะ”

 
“มึงเองก็มีชีวิตที่ดีที่อเมริกาแล้วนิ” เสียงแหบเข้มเอ่ยถามแล้วเว้นจังหวะเงียบพลางเหลือบตาคมมองไปยังตาดุของคนตรงข้ามอยู่ไม่กี่วินาทีจึงต่อ “ทำไมถึงกลับมา”

 
หลังจบคำถามความเงียบระหว่างทั้งคู่กลับบังเกิดขึ้นอีกครา ชายหนุ่มผู้มีสถานะเป็นอาจารย์พิเศษหรี่ตามองหน้าเพื่อนเก่าที่นิ่งสงบชั่วครู่ก็เอ่ยตอบ

 
“กลับมาดูแลคนรัก”

 
“คนรัก” คิ้วเข้มเลิกสูงขณะถาม “ยองแจน่ะเหรอ”

 
“ใช่”

 
“คบกันเมื่อไหร่”

 
“ประมาณสามปีที่แล้ว” อีกฝ่ายตอบพลางคนกาแฟในถ้วยเซรามิกเป็นวงโดยไม่ทันเห็นตาที่หรี่ลงของคนตรงข้าม

 
“อ้อ มึงนี่เอง ไอ้ตัวเหี้-ที่ทำเด็กคนนั้นเจ็บปางตาย...ทำเขาเป็นแผลลึกจนแทบเป็นบ้าอยู่แล้วยังมีหน้ากลับมาหาเขาอีกเหรอ คนอย่างมึงนี่นะ จะด่าว่าเหี้-ยังน้อยไป” คำหยาบลอดจากริมฝีปากบางของผู้เป็นเพื่อนเก่า ถึงจะไม่ทราบรายละเอียดแต่การที่เบบี้โรสเล่าอาการเพื่อนให้ฟังก็เดาได้ว่า อกหักแต่วันนี้การได้พบกับเพื่อนเก่าบวกกับช่วงเวลาที่ได้ยินข่าวคราวการไปขุดทองที่อเมริกาก็ทราบได้ทันทีว่าใครเป็นคนทำ

 
“กูรู้ว่ากูเลว กูไม่มีอะไรแก้ตัวหรอก” ฝ่ายโทษตัวเองมาตลอดยอมรับแต่โดยดี นัยน์ตาคมมองกาแฟในถ้วยเซรามิกอย่างหมองเศร้าทำให้เพื่อนเก่าที่คุ้นชินกับความแข็งกระด้างยอมหักไม่ยอมงอถึงกับถอนหายใจออกมา

 
“เล่าได้ไหม...เรื่องระหว่างมึงกับเขา”

 
“ถ้ากูเล่า มึงจะช่วยกูหรือเปล่า”

 
“กล้าต่อรองด้วย” คำห้วนๆเหมือนเมื่อครั้งยังร่วมงานกันทำให้อีกฝ่ายเหลือบมองเพื่อนที่กอดอกจิบกาแฟร้อนพลางเอนหลังกับพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้านิ่งสงบก็ชั่งใจอยู่หลายนาทีก่อนจะเริ่มเล่าถึงความสัมพันธ์ของตนเองกับเด็กน้อยตั้งแต่การพบกันครั้งแรกจนถึงวันที่เขาตัดสินใจจากมา

 
ทุกประโยคที่ผ่านริมฝีปากมีความขมขื่นอยู่ในน้ำเสียง แม้จะไม่สบตาหากก็สัมผัสได้ถึงความทุกข์ทน

 
“กูรู้ว่ากูไม่ควรกลับมาหา...แต่กูทำไม่ได้ กูทนปล่อยเขาเจ็บปวดกับสิ่งที่กูทำไม่ได้อีกแล้ว กูจะไม่ปล่อยให้เขาเจ็บคนเดียว ถ้ามันจะมีใครต้องเจ็บจากเรื่องนี้มันควรเป็นกูไม่ใช่เขา”

 
“มึงนอนกับเขาหรือยัง” คำถามยิงตรงชนิดไม่ให้ตั้งตัวทำเอาฝ่ายตรงข้ามเหลือบตามองนิ่งไปชั่วขณะก่อนจะยกมือลูบหน้า เพียงเท่านั้นก็พอให้เข้าใจความหมายได้

 
“เงียบ...โอเค รู้เรื่อง ก็ว่าทำไมถึงลืมคนควายๆอย่างมึงไม่ได้ ขี้ขลาดยังพรากผู้เยาว์อีก”

 
“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก กูไม่เคยฝืนใจเขา...ที่ทำก็เพราะเรารักกัน”

 
“รักเหรอ...ตอนนั้นยองแจเพิ่งสิบแปดเอง เขายังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำแล้วเขาก็ไม่ใช่เด็กกร้านโลกแบบที่มึงเคยเจอมาด้วย...เขาเป็นเด็กดีที่ไม่ประสีประสาอะไรแต่มีมึงเป็นคนแรกของเขา...มึงอยู่กับเขาทำให้เขารักเขาผูกพัน ปากมึงบอกว่า อยากให้เขามีอนาคตที่ดีแต่มึงทิ้งเขาไปโดยไม่บอกอะไรเลย มึงปล่อยเขาค้างคาอยู่กับการหาเหตุผลที่มึงหายไปเฉยๆตั้งสองปี แล้วมึงหวังจะให้เขาดีขึ้นในสองวัน นี่มึงใช้สมองหรือส้นตีนคิด”

 
“กูไม่ได้หวังว่าเขาจะดีขึ้นในวันสองวันแต่กูตั้งใจจะดูแลเขาจนวันสุดท้ายของชีวิตกูนี่แหละ”

 
“ตั้งใจจะดูแลเลยบังคับเขาให้มาอยู่กับตัวเอง มึงคิดว่าใช้วิธีห่ามๆตามสันดานมึงแล้วมันจะใช้ได้ผลงั้นสิ มึงทำเขาเจ็บหนักขนาดนั้นคิดว่าบังคับแล้วเขาจะดีขึ้น คว-เถอะ”

 
“ที่กูบังคับก็มีแค่ให้เขานอนพักจนอาการดีขึ้น นอกนั้นกูตามใจเขานะ”

 
“ตามใจเหี้ยอะไร อาการเขาแย่ขนาดนั้นแล้วแทนที่จะปล่อยไปพัก มึงเสือกรั้งให้เขายืนตากลมจนจะล้มอยู่แล้ว”

 
“ก็เด็กน้อยบอกกูว่าเขาเป็นแฟนกับหลานมึง...จริงๆกูก็รู้ว่าเขาโกหกแต่การที่หลานมึงเออออว่าเป็นแฟนกับเด็กของกูเฉยเลยนี่มันเกินไปวะ” คราวนี้ฝ่ายจำนอนยอมให้ด่าเริ่มมีปากเสียง

 
“ไม่ใช่หลาน” ประโยคสั้นสวนทันทีเรียกความสงสัยให้คนได้ยินย่นหน้าผาก

 
“อะไร...เด็กยักษ์นั่นไม่ใช่หลานมึงเหรอ”

 
“เออ”

 
“แต่กูได้ยินเด็กคนนั้นเรียกมึงว่าคุณอา”

 
“เขามีสิทธิ์จะเรียกกูว่ายังไงก็ได้” เสียงลึกต่ำเอ่ยเน้นทุกคำชัดและเงียบลงชั่วอึดใจ แม้นหลังจะเอนพิงกับพนักเก้าอี้ ทว่านัยน์ตามีประกายกร้าวฉายชัด “แต่เขาไม่ใช่หลาน เขาเป็นคนรักของกู”

 
ฝ่ายสวมสถานะอาจารย์ในปัจจุบันหยุดคนกาแฟในถ้วยเหลือบตาดุประสานเข้ากับตาคมเรียบสนิทในนาทีที่ได้ยินคำสุดท้ายก่อนจะเม้มริมฝีปากพร้อมเอนหลังทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้

 
...ก็ว่าทำไมตอนนั้นถึงแผ่รังสีน่ากลัวออกมาเหมือนกับว่าถ้าแตะเด็กคนนั้นมันเอาตาย

...ที่แท้ก็เด็กมัน

 
“ให้ตาย”

 
“ทำไม”

 
“กูพอรู้อยู่หรอกนะว่ามึงชอบเด็กแต่ไม่คิดว่าจะคบกับเด็ก แถมเป็นเด็กผู้ชายอีก”

 
“แต่มึงเป็นพวกไม่ชอบเด็ก ยังเสือกคบกับเด็ก แถมเป็นเด็กผู้ชายด้วย” คำพูดนั้นล้อลอกมาจากอีกฝ่าย

 
“มึงเจอเขาที่ไหนวะ”

 
“ก่อนจะเสือกเรื่องกู...เอาตัวมึงให้รอดก่อนเถอะ” อีกฝ่ายสวนหยุดจิบกาแฟแล้วด่าซ้ำ “ใจมึงทำด้วยอะไร ไม่ยอมปล่อยเขาไปพักเพราะโกรธที่เบบี้โรสช่วยโกหกเนี่ยนะ อยากจะควักสมองมึงมาดูจริงๆว่ามีเหี้-อะไรอยู่ในนั้นบ้าง”

 
“กูไม่ได้จะรั้งเขาไว้นานหรอก...ก็แค่อยากให้เขาพูดความจริงกัน”
 

“ถ้าเขายืนกรานคำเดิม มึงก็จะไม่ปล่อยเขาไปสินะ...นี่มึง...มึงไม่เข้าใจจริงๆเหรอว่าทำไมเบบี้โรสถึงโกหก ถ้าไม่รู้จะบอกให้เอาบุญก็ได้ ที่เขาโกหกช่วยก็เพราะเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน  เขาเห็นมึงทำเพื่อนเขาเจ็บเขาก็ไม่ยอม แต่มึงก็ยอมให้ความโกรธมันบังตาจนลืมไปว่ายองแจเขาป่วยอยู่ นี่รักเขาเหรอ รักภาษาอะไรของมึง ไอ้คว-เอ๊ย กูจะด่ามึงยังไงให้สมกับความง่าวของมึงดีวะ” คนเป็นเพื่อนสบถยกมือขึ้นเสยผมของตัวเองอย่างเอือมระอา

 
“เออ ที่มึงพูดก็ถูก กูผิดเอง” ฝ่ายที่สำนึกได้ถอนหายใจออกมา
 

“ใช่ ยังไงคนผิดก็คือมึง แต่มึงรู้ใช่ไหมที่เขาเป็นแบบนั้นเพราะเขายังรักมึงอยู่” ถ้อยน้ำเสียงนั้นมีแววเห็นใจแฝงอยู่
 

ฮอนชอลปรายมองเพื่อนพลางสูดลมหายใจลึกและผ่อนออกทีละน้อย มือแข็งยกขึ้นมาลูบหน้าปะจมูกแล้วมาหยุดที่ริมฝีปากด้วยท่าทางที่ทุกข์ทนระคนกังวลใจ

 
...เรายังรักกันแต่ความเจ็บปวดที่เขาทำไว้มันกลายเป็นกำแพงขวางกั้น...

 
“กูรู้”

 
“ถ้ารู้ก็ควรหยุดใช้วิธีดันทุรังอย่างที่ทำอยู่ได้แล้ว...อย่าบังคับให้เขาทำอะไรตามใจมึง ถ้าเขายังไม่พร้อมจะให้มึงเขาใกล้ก็คอยดูเขาห่างๆ แค่ห่างนะไม่ใช่หาย ถนอมความรู้สึกเขาไว้ให้มาก ให้เวลาเขาปรับสภาพตัวเองหน่อย”

 
“แล้วมึงจะช่วยกูหรือเปล่า”

 
“ช่วยอะไร”

 
“เด็กมึงสนิทกับเด็กน้อยก็น่าจะขอให้ช่วย...” ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะพูดจบประโยคกลับถูกคนตรงข้ามขัดเสียงเรียบ

 
“กูไม่อนุญาตให้มึงเอาเรื่องเหี้ยๆที่มึงก่อไว้ไปเป็นภาระของเบบี้โรส”

 
“แค่จะให้ช่วยพูดให้เด็กน้อยรู้สึกดีขึ้นหรือเข้าใจกูบ้างสักนิดก็ไม่ได้เหรอ”

 
“ไม่ได้”คำสั้นสวนทันควัน “เบบี้โรสเป็นคนของกู ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์ทำให้เขายุ่งยากกับเรื่องที่เขาไม่มีส่วนต้องรับผิดชอบและอย่าคิดทำอะไรลับหลังกูด้วย เพราะอย่างกูไม่ใช่ไก่อ่อนที่จะกลัวมึงจนหงอทำอะไรไม่ได้หรอกนะ”

 
“โอ๊ะ” เพราะการกดน้ำเสียงต่ำและแววตาตวัดมาอย่างดุดันคล้ายการประกาศเตือนทำให้ฝ่ายตรงข้ามหลุดอุทานออกมา

 
“อะไร”

 
“เด็กคนนั้นเขารู้ไหมว่ามึงมีด้านมืด” ครั้งนี้เสียงของคนที่ยอมให้ด่ามาตลอดเริ่มแข็งเช่นเดียวกับตาที่เหลือบมา

 
“ถึงมึงจะเอาเรื่องไม่ดีของกูไปเล่าก็เท่านั้นแหละ...เขาไม่กลัวหรอก”

 
“มั่นใจจริงนะ”

 
“พนันกันไหมล่ะ” ท่าทางไม่แยแสเอนหลังจิบกาแฟสบายๆ เป็นอาการที่คนคุ้นเคยรู้ดีว่า เจ้าตัวมั่นใจและทุกครั้งที่มั่นใจไม่เคยมีอะไรที่ไม่เป็นไปตามนั้น

 
“ใครรับพนันมึงก็โง่แล้ว”

 
“ยังไงก็เถอะ กูเห็นแก่ความเป็นเพื่อนเก่า กูจะช่วยสงเคราะห์มึงก็ได้...แต่มึงเองก็ควรทำอย่างที่กูบอกด้วย ตอนนี้ แค่ตอนนี้ให้เวลาเขาหน่อย อย่าเพิ่งเข้าไปใกล้เกินไป อย่าให้เขาเจ็บไปมากกว่านี้ ไว้เขาดีขึ้นกูจะช่วยตะล่อมเขาให้ แต่ถ้ามึงกล้าทำเขาเจ็บอีกที รับรองหนนี้ตีนกูนี้แหละจะกระทืบมึงให้จมนรกเอง”

 
ฮอนชอลจ้องหน้าเฉยชาของเพื่อนที่ละเลียดอยู่กับรสชาติของกาแฟ...ยงกุกยังคงเป็นเพื่อนที่ไม่แสดงออกทางสีหน้า เวลาเพื่อนมีเรื่องเดือดร้อนถึงจะกวนตีนต้องให้เล่าเรื่องราวทั้งหมดก่อนหากสุดท้ายก็ช่วยอยู่ดี

 
“ขอบใจ” คนมีความผิดติดตัวตอบรับแล้วยกกาแฟขึ้นจิบ ทว่าบนหน้าผากยังคงเป็นร่องริ้วยับย่น เรียวคิ้วหนาขมวดด้วยใจยังพะว้าพะวงถึงใครอีกคนที่ไม่อยากให้ห่างไปแต่จำต้องปล่อยไปก่อน

 
...และคืนนี้คงเป็นอีกคืนที่เขาสวดภาวนาขอให้ความเจ็บปวดของเด็กน้อยบรรเทาเบาบางลง...

----------------------------------------
ประตูห้องหมายเลข 617 ปิดลงพร้อมกับร่างผอมของคนป่วยที่ซบหน้าร้องไห้อย่างหนักจนเสื้อด้านหลังของฝ่ายที่แบกพามาเปียกชุ่มค่อยๆถูกวางลงบนเตียง เพียงได้กลิ่นสะอาดของผ้าปูเตียงและความนุ่มของสปริงที่นอนคนป่วยก็ล้มหัววางบนหมอนแล้วพลิกตะแคงหันหน้าเข้าหากำแพงแล้วดึงผ้ามาห่มปิดถึงคอ

 
ยองแจหลับตาแสร้งทำเหมือนนอนหลับทั้งที่น้ำตายังคงรินออกมาจนเปียกหมอน...ภายในหัวเต็มไปด้วยความทรงจำระหว่างตัวเองกับคนใจร้ายที่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่เคยลบเลือน

 
...แม้แต่แววตาขื่นขมหม่นเศร้าที่ทอดมาหาก่อนที่จะกลับขึ้นมายังติดตา...

 
...ทั้งที่อยากสลัดทุกความปวดร้าวที่เต้นเร่าอยู่ในอกทิ้งไป แต่ไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง ไม่ว่าเมื่อไหร่ผู้ชายคนนั้นก็ยังอยู่ข้างในราวกับมีใครตอกลิ่มฝังเอาไว้
 

...เขาเป็นแค่เหยื่อโง่ๆที่น่าสมเพช

...เขารู้

...รู้ดีกว่าใครๆทั้งหมด

 
“ย้วย...กินข้าวยัง” คำถามจากความเป็นห่วงดังขึ้นจากเบื้องหลัง “ปวดหัวหรือเปล่า...ให้เราไปหยิบยาให้ไหม”

 
ไม่มีการตอบสนองใดจากเจ้าของฉายาที่ถูกเรียกหา...เพื่อนตัวใหญ่มองคนที่นอนตะแคงคุดคู้ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มสีน้ำตาลแล้วสูดลมหายใจลึกอย่างกลัดกลุ้มเพราะรู้แก่ใจว่าอีกฝ่ายจงใจเลี่ยงการตอบคำถามด้วยการทำเป็นหลับเหมือนทุกครั้งและเขาก็ยอมให้เพื่อนทำอย่างนั้นเพราะไม่อยากเซ้าซี้ หากครั้งนี้การได้เห็นต้นเหตุของปัญหาที่เปลี่ยนเพื่อนให้กลายสภาพเหมือนซากไร้วิญญาณแต่เพื่อนยังคงเลี่ยงการแบ่งปันความทุกข์ทนพวกนั้น

 
...เพราะคิดว่ายองแจเป็นเพื่อนสนิทคนแรกและมีความหมายมากมาตลอด เขาถึงใส่ใจและอยากแบ่งเบาความเจ็บปวดของเพื่อน แต่อีกฝ่ายคงไม่คิดแบบนั้นถึงไม่ยอมเล่าเรื่องให้ฟัง

 
....มันเสียใจตรงที่ไม่ได้รับความไว้ใจ ทั้งที่เขามีอะไรก็เล่าให้ฟังนั้นแหละ...

 
“อย่าแกล้งทำเป็นหลับทั้งที่นายกำลังร้องไห้อยู่ได้ไหม” ถ้อยความถามอย่างตรงไปตรงมาทำให้ลมหายใจเจ้าของร่างผอมบนเตียงถึงกับสะดุดพร้อมกับริมฝีปากที่เม้มแน่น แม้จะตกใจที่เพื่อนถามเหมือนรู้ทุกอย่างแต่ยังพยายามข่มความรู้สึกด้วยการนิ่งเงียบ

 
...เขารู้ว่าเพื่อนถามก็เพราะเป็นห่วง แต่เขาไม่อยากเล่าเรื่องความโง่บัดซบให้ตัวเองรู้สึกน่าสมเพชไปกว่านี้

 
“ย้วย” อีกฝ่ายเรียกอีก “ฉันคิดว่านายเป็นเพื่อนสนิทของฉันมาตลอดเลยนะ...ฉันรอให้นายเล่าความทุกข์ของนายให้ฉันฟัง ฉันอยากช่วย อยากแบ่งเบาความเจ็บปวดพวกนั้นจากนายทุกวัน...จนถึงตอนนี้...ทั้งที่เราเจอตัวคนที่ทำให้นายเจ็บแต่นายก็ยังทำเหมือนเดิม...หรือเพราะนายไม่เห็นฉันเป็นเพื่อน นายถึงไม่ยอมเล่าให้ฟัง” น้ำเสียงผิดหวังชัดเจนจากเพื่อนสนิทที่ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้าก็ยังอยู่ข้างๆคอยดูแลไม่ไปไหนและไม่เคยถามซักไซ้ให้ไม่สบายใจทำให้หัวใจที่ถูกบีบรัดจากความทุกข์ตรมอยู่แล้วยิ่งบีบแน่น

 
ยองแจยกมือกุมหน้าอกรู้สึกเหมือนกำลังขาดใจตายจากความเจ็บปวด ริมฝีปากอ้าพะงาบหอบอากาศหายใจ

 
“เพราะ...เพราะเขาหายไป...หายไปเฉยๆ...มัน...มันน่า...สมเพช...และ...และการพูดถึงมัน...ทำให้...เรา...เจ็บ” ถ้อยคำตะกุกตะกักผสมกับการสะอึกเหมือนหายใจไม่ออกตอบกลับ กายสั่นเทาใต้ผ้าห่มยิ่งไหวสะท้านหนัก เสียงทุบแรงตรงหน้าอกและเสียงร้องครางระคนสะอื้นที่กลั้นไม่อยู่ดังขึ้นขณะที่น้ำตายังพังครืนอย่างไม่มีทีท่าจะจบสิ้น

 
จุนฮงกระพริบตาในตอนที่ได้ยินเสียงและอาการของเพื่อนจากด้านหลัง...ความทรมานสาหัญสากรรจ์ที่ไม่มีวันเอาชนะได้นั้นคล้ายกับเมื่อครั้งที่เขาสูญเสียพ่ออย่างไม่มีวันกลับ ความรู้สึกนั้นเหมือนกับตัวเองเป็นแก้วที่ได้แต่มองดูเศษซากแตกละเอียดโดยที่ทำอะไรไม่ได้

 
ตะกอนสีดำหม่นเศร้ากัดกินลึกถึงก้นบึ้งของหัวใจนั้นปวดเสียจนอยากจะตายไปเสียให้พ้นๆแต่พระเจ้าก็ไม่ยอมให้ตายเป็นสิ่งเดียวกับที่เคยได้รับเมื่อนานมา

 
ทั้งที่สัมผัสรับเอาความร้าวรานแตกสลายทางใจไว้ได้ หากเด็กหนุ่มไม่รู้วิธีปลุกปลอบด้วยตลอดเวลาที่ผ่านมามีผู้เรียกขานว่าคุณอาเป็นหลักพักพิงทุกคราที่เจ็บเศร้าจึงได้แต่ปีนขึ้นไปบนเตียงและกอดร่างผอมที่ร้องไห้หนักปานจะขาดใจเสียให้ได้เอาไว้แน่น

 
“ฉันอยู่นี่นะ ตรงนี้ ข้างๆนายเสมอ” ริมฝีปากขยับเอ่ยเพียงเท่านั้นลำคอก็ตีบตัน ช่วงเวลาที่ทำได้แค่กดกอดเพื่อนที่สะอื้นฮักจนตัวโยนอย่างน่าสงสารพาลให้น้ำตาค่อยๆไหลออกมา

 
...การเคว้งคว้างอยู่กับการสูญเสียและความไม่เข้าใจมันเจ็บ...


...เจ็บจนอยากจะตายให้พ้นๆ...

 
...มีเพียงคนเคยประสบจึงจะเข้าใจ...

 
เด็กหนุ่มกอดเพื่อนสนิทไว้ในอ้อมแขนรับเอาความรู้สึกหม่นหมองที่หลั่งไหลไว้และปล่อยเวลาให้หมุนลึกสู่ห้วงเวลาดึกสงัดของราตรีกาล เฝ้ารอกระทั่งร่างผอมสงบลงจึงผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมดึงผ้าห่มที่ร่นลงไปคลุมให้ใหม่ ตากลมแดงก่ำทอดไปยังเรือนผมสีเข้มบนหมอนพลางคราบน้ำตาบนแก้มออกด้วยหลังมือ

 
ชั่วนาทีที่ตกอยู่ในความเงียบงัน ความทรงจำเมื่อครั้งพ่อสิ้นลมไปโดยไม่ทันล่ำลากลับหวนเข้ามาให้คิดถึง

 
วันที่ความตายพรากพ่อไปอย่างไม่มีวันกลับ คำสัญญาที่เคยให้กับพ่อว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไร้ความหมาย ในหัวคิดแค่ว่าอยากจะตาย หากคนคนเดียวที่ต่อลมหายใจเขามาจนถึงตอนนี้ก็คือคุณอา

 
คุณอาอยู่เคียงข้างเป็นทุกอย่างในชีวิตตั้งแต่เขาอายุสิบห้าและไม่เคยมีสักวันที่ว่า คุณอาจะหายไปไหน หากการได้เห็นความล่มสลายทางใจของเพื่อนทำให้ฉุกคิดว่า การไม่มีอยู่ของคุณอาจะเป็นอย่างไร

 
โลกที่ไม่มีคุณอาอยู่ด้วยแล้วคงคล้ายทะเลยามคืนเดือนมืด ทุกสิ่งเป็นสีดำแลเวิ้งว้างว่างเปล่า...ความรู้สึกของการสูญเสียคนที่รักเป็นอะไรที่แค่จินตนาการน้ำตาที่เหือดไปก็เอ่อมาอีก พยายามเช็ดมันออกก็เหมือนไม่ยอมหยุด กระทั่งตอนที่โทรศัพท์สั่นและได้เห็นรูปกับชื่อสายที่โทรเข้ามาบนหน้าจอปากอาการเบะจะร้องไห้ให้ได้ก็หยุดไปเฉยๆ

 
“คุณอา” คนเป็นเด็กเรียกออกไปก่อน

 
“ย้วยเพื่อนเราเป็นยังไง หลับได้หรือเปล่า” ปลายสายถาม

 
“เพิ่งหลับไปเมื่อกี้นี้เอง...ว่าแต่คุณอาคุยกับอาจารย์เขาเสร็จแล้วเหรอ”

 
“จ้ะ”

 
“คุยอะไรกันเหรอ”

 
“เรื่องย้วยนี่แหละ”

 
“แล้วเป็นยังไงงะ”

 
“ถ้าอยากรู้ก็ลงมาหาอาข้างล่างสิ”

 
“ข้างล่าง...คุณอาอยู่ข้างล่างเหรอ”

 
“จ้ะ...เมื่อกี้อาไปร้านกาแฟเจอขนมที่เราชอบเลยซื้อมาให้ด้วย”

 
“งั้นคุณอารอผมแป้บนึงนะ ผมจะรีบลงไป”

 
“ไม่ต้องรีบหรอก เราเดินมาดีๆอย่าวิ่งมาล่ะ เดี๋ยวล้มไปจะแย่ เข้าใจไหม”

 
“อืม เข้าใจแล้ว”

 
“เจอกันจ้ะ” สิ้นประโยคสุดท้ายพร้อมกับการวางสาย เด็กหนุ่มพรวดจากเตียงยัดเท้าเข้ารองเท้าแตะได้ก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกจากห้องและลงบันไดไปอย่างรีบเร่ง

 
ยงกุกยืนอยู่หน้าประตูกระจกของหอพัก แสงไฟสีขาวที่เปิดไว้สาดกระทบทำให้ร่างสูงโปร่งที่พาดเสื้อสูทสีเปลือกมังคุดไว้บนบ่าเหมือนมีรัศมีสีขาวห้อมล้อม และในตอนที่ยกกล่องกระดาษสีชมพูลายจุดขาวที่ภายในบรรจุด้วยทาร์ตไข่และสตอเบอร์รี่ชีสพายในมือขึ้นสูงระดับสายตา ริมฝีปากกลับแย้มออกช้าๆเปลี่ยนความกระด้างดุของใบหน้าให้ละมุนลงโดยพลัน

 
คนตัวสูงวิ่งลงบันไดถึงขั้นสุดท้ายพลางหยิบคียการ์ดมาแตะกับเครื่องแล้วผลักประตูออกไป เพียงตากลมเห็นรอยยิ้มอุ่นส่งมาหาขอบตาก็ร้อนผ่าวจนต้องกระพริบตาถี่ๆไว้เพื่อไม่ให้หยดน้ำจากความหม่นเศร้าที่เกาะกุมเผยออกมา หากฝ่ายที่รออยู่กลับสังเกตเห็นมันในทันที

 
“มานี่มา” เสียงแหบลึกอบอุ่นเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยนเช่นเดียวกับแววตา แขนทั้งสองกางออกกว้างเหมือนทุกคราที่รับรู้ถึงความเศร้าหมองของอีกฝ่ายเรียกให้เท้าของคนอ่อนกว่าขยับก้าวเข้าไปหาอ้อมกอดที่ประโลมโลกที่เคยแตกเป็นเสี่ยงทั้งใบให้คืนประสานได้อย่างไม่ลังเล

 
ทั้งที่ใจอยากจะซบฟังเสียงหัวใจเพื่อหาความสงบเหมือนตอนที่นอนอยู่ด้วยกันบนเตียง หากตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กตัวเล็กๆเหมือนเมื่อก่อนแถมสูงกว่าคุณอาแล้วเลยทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าซบหน้าที่กำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อลงบนไหล่

 
ถึงไม่ได้ยินเสียงหัวใจแต่ไม่ว่ายังไงอ้อมกอดของคุณอาก็อุ่นและเป็นหลักให้พักพิงได้เสมอ...ไม่ว่าจะเจออะไรมา เลวร้ายแค่ไหนแค่คุณอากอดเอาไว้โดยไม่ถามอะไรก็เหมือนทุกอย่างจะหายเป็นปลิดทิ้ง

 
...เขาเกลียดการร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น แต่กับคุณอาเขารู้ เขาจะดีขึ้นในไม่ช้า...

 
“ผมกลัว” สุดท้ายคำพูดก็หลุดออกมาพร้อมน้ำตาเช่นทุกครั้ง

 
“หื้อ กลัวอะไรคนดี”

 
“ตอนที่ผมเห็นย้วยมันเจ็บเพราะการหายไปของอาจารย์เขา มันเศร้ามากจนผมกลัวว่าวันหนึ่งคุณอาจะหายไป”

 
“อาจะหายไปไหนได้”

 
“ไม่รู้สิครับ มันก็แค่ ผมน่ะคิดนะว่า ถ้าคุณอาหายไปจากชีวิตเหมือนที่อาจารย์ฮอนชอลหายไป โลกที่ไม่มีคุณอามันต้องเลวร้ายมากๆ ผมคงมีสภาพไม่ต่างกับย้วยหรอก ไอ้ความรู้สึกที่อยากจะตายแต่ก็ไม่ตายน่ะ พอคิดถึงมันผมก็ยิ่งเศร้า

 
เบบี้โรส เราไม่จำเป็นต้องคิดอะไรอย่างนั้นเลย อาเคยบอกเราแล้วไม่ใช่หรือ บอกเราตั้งแต่วันที่เราสองคนเปียกฝนในดงกุหลาบ...จำได้ไหมที่อาบอกเราว่า อายกให้เราเป็นเจ้าของอาแล้ว และอาจะไม่ไปไหน ไม่ว่าเราจะเห็นหรือไม่เห็นอาก็ตาม อาจะอยู่เราเสมอ” ถ้อยความกระซิบข้างหูนุ่มนวล...มือเรียวอุ่นลูบผมนุ่มสีสว่างใช้ปลายนิ้วนวดคลึงเบามืออย่างรักใคร่นั้นมีความหมายกับผู้ถูกสัมผัสอย่างยิ่ง

 
เด็กหนุ่มซับน้ำตากับเสื้อเชิ้ตสีขาวก่อนจะขยับถอนหน้าจากไหล่มามองหน้าเปื้อนยิ้มของคนรักโดยที่มือของอีกฝ่ายยังคงลูบผมปรอยๆ

 
“ยิ้มให้อาหน่อยได้ไหม”

 
“อืม” เมื่อถูกร้องขอริมฝีปากกว้างกลับปรากฏบนหน้านวลทำให้มือที่ลูบผมเลื่อนมาจับแก้มเบาๆแทน

 
จุนฮงมองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มสดใส ปลายนิ้วที่เคลื่อนขยับอยู่บนแก้มให้ความรู้สึกที่มีทั้งความรักและความเอ็นดูเป็นวิธีการแสดงความรู้สึกแทนคำพูดของคุณอาที่เขาชอบ

 
“ขอโทษนะครับ”

 
“หื้อ...เราจะขอโทษอาเรื่องอะไร”

 
“ก็คุณอาอุตส่าห์ขับรถมารับแต่ผมต้องอยู่ดูแลย้วยมันงะ”

 
ไม่เป็นไร เราดูเพื่อนเถอะ...ตอนนี้เพื่อนเราก็ต้องการให้มีคนอยู่ด้วย”

 
“แล้วคุณอาไม่ต้องมีเหรอ”

 
“อามีอยู่แล้ว”

 
“ใครครับ”

 
“อามีเราอยู่ตรงนี้” ชายหนุ่มว่า นิ้วเรียวละจากแก้มขาวราวน้ำนมจรดลงบนหน้าอกในตำแหน่งเดียวกับหัวใจก่อนลงน้ำหนักเสียงหนักแน่นในท่อนความสุดท้าย “พอแล้ว”

 
ถ้อยคำสั้นกระชับ ทว่ากินลึกถึงหัวใจยิ่งทำให้เด็กตระหนักถึงความโชคดีของตัวเองและเป็นอีกครั้งที่เขาซุกหน้ากลับไปบนไหล่ของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ชายของเขา

 
“ง่าส์ ผมไม่อยากให้คุณอากลับแล้ว นอนที่หอกับผมกับย้วยนะ” จากที่ร้องไห้คนเป็นเด็กเริ่มเปลี่ยนมางอแง

 
“อาขึ้นไปที่หอเราได้ที่ไหน”

 
“ปลอมเป็นนักศึกษาจิ”

 
“ฮ่าๆ ได้ยังไงกันเล่า ไม่ได้หรอก”

 
“ก็ผมไม่อยากให้คุณอาไปนี่นา”

 
“อาก็ไม่อยากไปหรอก อยากเห็นหน้าเบบี้โรสของอานานๆแต่เรามีเวลาอีกเยอะที่จะได้เจอกัน ก็อย่างที่บอก ตอนนี้เพื่อนเราต้องการเรานะ”

 
“ถ้าวันศุกร์แล้วย้วยยังอาการไม่ดีขึ้น ให้ย้วยไปอยู่กับเราได้ไหม”

 
“ได้สิ”

 
“ทำไมของ่ายจัง”

 
“หรือเราอยากจะอยู่ดูเพื่อนเราที่...” ยังไม่ทันพูดจบประโยคอีกคนก็สวนทันควัน
 

“ไม่เอา”

 
“ถ้างั้นวันศุกร์อาจะมารับ ถ้าย้วยไม่ดีขึ้นให้เขาไปกับเราด้วย โอเคไหม”

 
“อืม” ฝ่ายถูกถามพยักหน้าแรงๆ

 
“นี่ก็จะเที่ยงคืนแล้ว...เราขึ้นไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยกินขนมที่อาซื้อมาแล้วอย่าลืมแบ่งเพื่อนล่ะ”

 
“คุณอาต้องไปแล้วจริงๆเหรอ” คนเป็นเด็กทำหน้าตูมผละจากไหล่มามองผู้ปกครองด้วยสายตาละห้อยหาเหมือนลูกหมาที่ไม่อยากให้เจ้าของจากไปไหนเรียกเสียงหัวเราะเบาให้หลุดออกมาจากคนมากวัยกว่า ขณะที่มือกร้านจะปลดจากการกอดร่างที่สูงกว่าไล้ไปมาบนข้างแก้มก่อนริมฝีปากบางจะขยับประทับลงบนแก้มนวลหอมของคนรักระเรื่อยมาจนถึงเรียวปากนุ่ม

 
“แบบนี้” ประโยคนั้นดังขึ้นในนาทีที่ริมฝีปากของทั้งคู่ห่างจากกัน “เรียกว่า จูบปลอบใจ”

 
“รู้ด้วย”

 
“รู้สิ...ผมรู้ความแตกต่างของรสจูบของคุณอานะ ผมแยกได้ว่าอันไหนคือจูบปลอบ จูบดีใจ จูบด้วยรักเอ็นดูและจูบแบบที่ต้องการผมได้ด้วยแหละ” เจ้าของดวงหน้าน่ารักที่เอียงแก้มแนบบนฝ่ามือแข็งสีน้ำผึ้งที่ตัดกับผิวขาวเนียนของตนเองบอกด้วยแววตาที่ทอประกายสุกใสแล้วถามขึ้นอีก “คุณอารู้ไหมว่าทำไมผมรู้”

 
“อาไม่รู้หรอก”

 
“คุณอาเดาดูสิ”

 
“อืม คงเพราะเราฉลาดล่ะมั่ง”

 
“ผิด”

 
“แล้วจริงๆคำตอบมันคืออะไร”

 
“เพราะคุณอาคือคนที่ผมรักที่สุดไง” เจ้าตัวคนถามบอกพลางเหยียดยิ้มจนตาเล็กหยีจนชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วไปบีบจมูกที่ยังเป็นรอยแดงจากการร้องไห้และการเช็ดน้ำมูกเบาๆ

 
“ปากหวานนะเรา ไปหัดปากหวานแบบนี้มาจากไหนกันนะ”

 
“ไม่ได้ปากหวานสักหน่อย ผมแค่พูดตามความรู้สึกเฉยๆ”

 
“ฮ่าๆ อย่างนั้นเหรอ” ผู้ถูกเรียกว่าคุณอาหลุดหัวเราะออกมาแล้วกอดเด็กที่ตัวสูงกว่าไว้แน่นแล้วเอ่ยลา “เราไปนอนได้แล้วนะ พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ”

 
“ต้องไปแล้วจริงๆเหรอ ผมยังไม่ได้ถามเลยว่าคุณอากับอาจารย์ฮอนชอลรู้จักกันได้ยังไง”

 
“อาเคยทำงานพิเศษที่เดียวกับเขาน่ะ”

 
“งานอะไรครับ”

 
“บาร์เทนเดอร์”

 
“ไม่ยักรู้ว่าคุณอาเคยเป็นบาร์เทนเดอร์ แล้วยังไงต่องะ”

 
“เรื่องมันยาว ตอนนี้ดึกมากแล้ว ไว้พรุ่งนี้ตอนอาโทรหาเรา อาจะเล่าให้ฟัง”

 
“ก็ได้” สุดท้ายคนอ่อนกว่าก็จำนนยอมให้แขนผอมแต่แข็งแกร่งหลุดจากการกอดตนเอง หน้านวลสลดลงแม้ในตอนที่ถูกมือเรียวขยี้ผมจนยุ่งเหยิงกระทั่งอีกฝ่ายยื่นข้อเสนอให้ไปส่งจึงกระตือรือร้นขึ้นมา

 
“อยากไปส่งอาที่รถไหม”

 
“ไป”

 
การตอบรับอย่างรวดเร็วเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากผู้ใหญ่กว่า มือละจากเรือนผมนุ่มยื่นมาหาและคนเป็นเด็กก็ยื่นมือออกไปหาพร้อมประสานนิ้วเช่นที่เคยจับมือกันมาก่อนหน้า ทั้งคู่เดินผ่านประตูรั้วของหอพักไปยังริมทางเดินที่มี Porsche 911 Carrera 4 สีดำจอดอยู่

 
ชายหนุ่มลูบผมเด็กในปกครองเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก้าวขึ้นไปประจำตำแหน่งคนขับ ปิดประตูพร้อมคาดเข็มขัดเรียบร้อยแต่ยังไม่สตาร์ทเครื่องยนต์หากลดกระจกลงมาเพื่อบีบแก้มนุ่มๆไม่ให้ทำหน้าหงอย

 
“ขับรถกลับดีๆนะครับ ถ้าพรุ่งนี้เช้าตื่นไม่ไหวไม่ต้องเอากุหลาบมาให้ผมหรอกน้า”

 
“พรุ่งนี้ถ้าอาเหนื่อยจริงๆ อาจะให้คนเอากุหลาบมาให้แทน”

 
“ไม่เอาอาชาร์ลนะ” คนเป็นเด็กทำเสียงอ่อนอ้อนดักคอเพราะรู้ว่าถ้าสองคนนั้นเอาดอกไม้มาให้ล่ะก็ไม่พ้นได้ปะทะฝีปากกันอีกตามเคย...นี่ไม่ติดว่าอาชาร์ลเป็นเพื่อนรักของคุณอา ล่ะก็มีบ้านแตกกันไปข้างแล้ว

 
“งั้นพรุ่งนี้ให้อายงนัมมาแล้วกัน” ชายหนุ่มแกล้งทำเอาอีกคนแบะปากเป็ดออกมาทันที

 
“จะอาชาร์ลหรืออายงนัมผมก็ไม่เอาทั้งนั้นแหละ”

 
“ฮ่าๆ อารู้...แค่หยอกเราเล่นน่ะ...อย่างอนอานะ”

 
“จริงๆผมก็อยากจะงอนอยู่หรอก แต่คุณอาเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เพราะงั้นวันนี้จะไม่งอนก็แล้วกัน”

 
“เบบี้โรสของอานี่น่ารักจัง...เอาล่ะ อาไม่แกล้งเราแล้วดีกว่า เรารีบไปนอนเถอะไปคนดี ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน”ยงกุกกล่าวลาเอื้อมมือไปจับมือนุ่มขาวมาจรดริมฝีปากแล้วจูบเบาๆ “ฝันดีจ้ะเบบี้โรสที่รักของอา”

 
“อืม...รักคุณอานะ ฝันดีครับ บ้ายบาย”

 
“อ้อ อาเกือบลืม” ฝ่ายที่กดปุ่มปิดกระจกปล่อยนิ้วทันทีที่คิดบางอย่างได้ “เราระวังอาจารย์ฮอนชอลเขาหน่อยนะ...ถ้าไม่จำเป็นจริงๆอย่าเข้าไปใกล้หรือยุ่งอะไรกับเขาล่ะ”

 
“ทำไมอ่ะครับ”

 
“เพราะเขาไม่ใช่คนประเภทที่แค่มองก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่”

 
“ผมรู้...รู้ตั้งแต่ตอนที่ผมช่วยย้วยมันโกหกแล้ว อาจารย์เขามองผมเหมือนจะฆ่ากันเลยแหละ”

 
“เพราะแบบนั้นอาถึงไม่อยากให้เราเข้าใกล้เขาเกินความจำเป็น”

 
“แต่ถ้าเขาทำร้ายย้วยอีกจะให้ผมอยู่เฉยๆเหรอ...ไม่ได้หรอก ย้วยเป็นเพื่อนผมนี่”

 
“ถ้าเขาทำอะไรไม่ดีกับเพื่อนเรา...มาบอกอา อาจะจัดการเอง”


 
“สุดท้ายก็ต้องให้คุณอาช่วยอีกจนได้...เนี่ย แล้วแบบนี้ผมจะอยู่โดยไม่มีคุณอาได้ยังไงกัน”

 
“อาก็อยู่ไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีเรา”


 
“เรื่องนั้นผมรู้...ก็ผมน่ะเป็นกุหลาบน้อยของคุณอาคนเดียวนี่นะ”


 
“รู้ก็ดีแล้ว...ไปล่ะ อาไปแล้วนะ ฝันดีจ้ะ”


 
“อืม”


 
จุนฮงส่งเสียงตอบรับในคอพลางยิ้มหวาน ยืนโบกมือไปมาระหว่างที่รถของผู้ปกครองเคลื่อนผ่านจนลับสายตาจึงหันหลังเดินกลับ ลมเย็นยามเที่ยงคืนพัดผ่านมาปะทะผิวขาวจนเย็น ทว่าเจ้าตัวกลับไม่รู้สึกอะไรด้วยหัวใจเต็มตื้นความอุ่นจากผู้เป็นที่รัก


 
...การมีคุณอาเป็นความโชคดีที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว...
 


You Might Also Like

1 Comments

  1. ชอบตอนคนแก่คุยกัน บังโล่น่ารักสุดอะไรสุด คนแก่รักเด็กมันช่างมุ้งมิ้งเหลือเกิน

    ตอบลบ