LOVE TOXICAL : CHULJAE&DUPNON CHAPTER 5
22:40
ข้าวหอมมะลิถุงใหญ่ถูกมือขาวข้างหนึ่งหิ้วก้าวไปข้างหน้าผ่านผู้คนที่เดินสวนไปมา
สามลมเย็นยามค่ำคืนพัดพาดเป็นระลอกไกวกิ่งใบของไม้ใหญ่ที่ปลูกรายทางเสียดสีจนเกิดเสียงหวีดหวิดสลับสวบสาบราวกับสำเนียงกระซิบของราตรีกาล
บนฟ้ามีดาวพราวสวยแต่ยองแจกลับเร่งฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งทั้งที่ไฟข้างทางยังคงส่องสว่างและไม่มีเหตุจำเป็นต้องรีบ
ความรีบร้อนมุ่งไปให้ถึงบ้านไม่ใช่เพราะกลัวอันตรายจากโจรผู้ร้าย
ทว่าเส้นทางกระทั่งบรรยากาศรอบข้างยามค่ำคืนคอยแต่กระตุ้นเตือนให้คิดถึงอดีต
...รัตติกาลเป็นของผู้ชายคนนั้นเสมอ...
ผู้ชายมืดมนอาศัยอยู่ใต้แสงจันทร์มากกว่าแสงตะวันที่เข้ามาในชีวิตอันสดใส
ทุกเหตุการณ์แห่งความสุขในตอนเป็นคนรู้จัก ขยับเป็นพี่น้องไปจนถึงคบหาและจบลงด้วยการจากลาพร้อมกับหัวใจที่แตกสลายทั้งดวงของเขา
เกมความรักที่พี่ชายคนนั้นใช้เขาเป็นเหยื่อทดลองก่อนจะหายหน้าไปกลายเป็นรอยแผลเป็นลึกที่ไม่ว่าผ่านเวลาไปนานเท่าไหร่หรือใครก็เยียวยาไม่ได้ แม้จะมีใครเข้ามาแต่รอยแผลและผู้ชายคนนั้นยังคงตรึงแนบในใจจนไม่อาจรักใครได้อีก
“เอ้า นั่น ยองแจใช่หรือเปล่า” เสียงทักทายของใครคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับมือที่เอื้อมมาจับทำให้อีกคนสะดุ้งหยุดเดินก็เห็นเพื่อนผู้หญิงในคณะเดียวกันยืนอยู่
“อ้าว จีมินนี่มาได้ไง”
“กำลังจะออกไปหาแฟนน่ะ...แล้วนายล่ะ บ้านอยู่แถวนี้เหรอ”
“ใช่”
“จริงเหรอ ไม่เห็นเคยรู้เลยว่าอยู่แถวนี้”
“ก็ส่วนใหญ่อยู่หอมากกว่าอยู่บ้านนะ”
“อยู่แถวนี้ได้บ้านต้องรวยมากเลยนะ...นี่นายเป็นลูกคุณหนูหรอกเหรอ มิน่า”
“มิน่าอะไร”
“ก็เห็นมีผู้หญิงมาชอบตั้งเยอะแต่ไม่เห็นยอมคบใครเลย...พวกนักเรียนดีเด่นแถมเป็นลูกคุณหนูก็ต้องเลือกคบคนแบบนี้แหละเนาะ กว่าจะเจอคนที่เหมาะสมกันก็ยาก”
ยองแจกระพริบตาในวินาทีที่ได้ยินคำพูดของหญิงสาวตรงหน้าแล้วฝืนยิ้มออกมาเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งที่มือข้างที่หิ้วข้าวหอมมะลิกำลังสั่น
“ก็พูดซะเว่อร์ ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”
“แหม อย่าเลย...ขนาดดาวนิเทศมาชอบนายยังไม่สนใจเลย”
“มันไม่ใช่เรื่องความเหมาะสมหรอก ฉันแค่รู้ว่าตัวเองเป็นคนน่าเบื่อและไม่มีค่าพอสำหรับใคร” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นฟังแล้วเศร้าจับใจ “อา...ฉันต้องรีบกลับบ้านแล้วล่ะ เธอก็ไปเที่ยวให้สนุกนะ โชคดีนะ”
เขาตัดบทพลางโบกมือข้างที่ว่างให้กับเพื่อนร่วมคณะกอดถุงข้าวในอ้อมแขนแล้วออกวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อขจัดความรู้สึกหยดน้ำอุ่นที่รื้นบนขอบตา...ความรู้สึกเก่าๆยามคิดถึงความรักที่ผ่านพ้นไปเหมือนถูกใครไปสะกิดแผลเป็นในใจ เขาไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาแม้บางครั้งยามอยู่คนเดียวน้ำตาจะไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัวก็ตาม
เสียงหอบหายใจดังขึ้นตรงหน้าอาคารชุดหรู...ยองแจใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่เกาะพราวหยิบคีย์การ์ดแตะบนเครื่องแล้วเดินผ่านประตูกระจกเลื่อนอัตโนมัติเข้าไปข้างใน กดลิฟต์ตรงไปยังห้องชุดราคาแพงแกล้งยิ้มกว้างให้กับแม่บ้านที่เดินมารับข้าวหอมมะลิก่อนจะเดินไปหาพ่อแม่ที่นั่งดูโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นอยู่คุยด้วยครู่หนึ่ง
ภาพละครบนจอถูกตัดเข้าโฆษณาที่มีนักดนตรีออกมาเล่นเปียโน ชายหนุ่มกลืนน้ำลายพยายามเลี่ยงด้วยการขอตัวไปพักก็ถูกจี้ใจดำ
“เห็นเขาเล่นเปียโนแล้วก็คิดถึงเมื่อก่อนนะพ่อ...ตอนที่ลูกเรายังไม่ขอไปอยู่คนเดียวเพื่อเตรียมสอบซูนึงนะ ตอนนั้นได้ยินเสียงเปียโนทุกวันเลย จริงสิแม่ไม่เห็นเราเล่นเปียโนนานแล้วนะทั้งที่เมื่อก่อนเราชอบเล่นเปียโนมากแท้ๆ ตอนนี้จะยังเล่นได้อยู่หรือเปล่านะ”
“ผมเรียนหนักนะครับ มันเหนื่อยก็เลยไม่อยากเล่น”
“พูดแบบนี้ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยจนขึ้นปีสองแล้วนะ”
“ตอนนี้ผมต้องสอนพิเศษฮันซลด้วย ไว้น้องสอบได้ก่อนแล้วผมจะมาเล่นให้ฟังนะครับ”
“เอาเถอะ แม่ อย่าเซ้าซี้ลูกเลย ให้ลูกไปนอนเถอะ” พ่อของเขาว่าพลางโบกมือให้ไป
หลังอาบน้ำแต่งตัวเขากลับเข้ามาในห้องนอนสีขาวของตัวเองก่อนปิดไฟและล้มตัวลงนอนหลับตาบนเตียงใหญ่อย่างอ่อนแรงพยายามให้ตัวเองนอนหลับแต่การอยู่คนเดียวในบรรยากาศเก่าๆทำให้สรรพเสียงในอดีตลอยวนอยู่ในหู
...เสียงหัวเราะใหญ่ระคนเสียงร้องเพลงและเสียงเปียโนตีกันมั่วจนต้องยกมืออุดหู...ความเจ็บปวดหลั่งไหลมาจนน้ำตาที่กลั้นไว้รินเปียกหมอนพร้อมกับกายที่สั่นระริกจากความพยายามกลั้นเสียงสะอื้น
...ได้แต่ถามตัวเองว่าความทรมานนี้เมื่อไหร่จะจบสิ้น...
...มันจะมีวันนั้นไหม...
...วันที่ลบผู้ชายคนนั้นออกจากใจ...
ขณะที่ใครคนหนึ่งจมกับความทรมาน ด้านล่างยังมีอีกคนที่จมอยู่ในห้วงทุกข์ แสงไฟบนชั้นสิบสองที่อยู่มุมสุดของอาคารติดกับเฉลียงมืดลงแล้วแต่ชายหนุ่มที่สวมฮู้ดดำคลุมตัวยังแหงนมองที่บานหน้าต่างนั้น มือหยาบหยิบบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อออกมาสูบและพ่นควันอยู่แถวนั้นอย่างอ้อยอิ่งเหมือนไม่รู้วันเวลา
แขนที่ซ่อนอยู่ใต้ชายเสื้อเมื่อยกสูงขึ้นมาจรดริมฝีปากเผยให้เห็นสายข้อมือหนังถักที่มีป้ายสีเงินสลักตัวอักษรนูนต่ำ ช่วงนาทีที่แสงไฟทางสีส้มลอดเข้ามาใต้ความมืดของฮู้ดนัยน์ตาคมเรียวนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ฉกรรจ์และริมฝีปากที่บรรจงจูบเบาบนป้ายตัวอักษรนั้นสั่นระริกเจ็บปวด
ภายในใจร่ำร้องเอ่ยคำที่ติดค้างอยู่ทุกวินาทีที่หายใจไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่ปีก็ไม่เคยจาง
...พี่ขอโทษ...
---------------------------------------------------------------
เสียงกระแทกปิดประตูห้องอย่างแรงพร้อมกับการก้าวเข้ามาในห้องของคนที่สวมชุดดำซ่อนตัวตนไว้ใต้ฮู้ดทำให้ชายหนุ่มสวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยแจ็กแก็ตยีนส์สีดำกับกางเกงยีนส์พอดีตัวที่ยืนกระดกน้ำส้มทั้งกล่องต่างข้าวเย็นสะดุ้งหันหน้ามามอง
ร่างที่ถูกปกคลุมด้วยสีดำเดินโซเซเหมือนไร้เรี่ยวแรงผ่านหน้าไปอย่างช้าๆ จนอีกคนที่มองอยู่อดรนทนไม่ได้ต้องเปิดปาก เพราะตั้งแต่กลับมาถึงเกาหลีก็ไม่เคยเห็นอีกฝ่ายออกจากห้องนอน
“พี่ออกไปข้างนอกเป็นด้วยเหรอ” คนอายุน้อยกว่ากอดอกพิงโต๊ะไม้สีดำที่ใช้กินข้าวและนั่งคุยเป็นครั้งคราวถาม
“อืม”
“ตั้งแต่กลับจากอเมริกามาก็หลายเดือนแล้วนะที่ผมไม่เห็นพี่ออกจากห้อง...ทำไมวันนี้ถึงออกไปได้”
“ก็ออกอยู่ตลอด”
“ออกไปไหนมา”
“ไปกินข้าว”
“กินข้าว คนอย่างพี่ต้องกินข้าวด้วย นึกว่ากินอากาศเอา”
“ไอ้ห่า ทำไม ออกไปแดกข้าวไม่ได้ไง กูก็คนนะมึง”
“ออกไป...ทำไมผมไม่เห็นวะ”
“มึงจะเห็นอะไร กว่าจะตื่นก็นู้นสามสี่ทุ่ม แล้วนี่เพิ่งสองทุ่มครึ่งมึงรีบตื่นมาทำไม” คนที่ซ่อนหน้าถามกลับ
“ผมสะดุ้งตื่นอะ...พอจะนอนต่อแม่งนอนไม่หลับ อีกอย่างรุ่นน้องผมที่เป็นบาร์เทนเดอร์มันไม่สบายโทรมาลางาน เอาคนอื่นไปแทนไม่ค่อยเชื่อมือก็เลยว่าจะออกไปดูร้านหน่อย”
“สะดุ้งตื่น นี่มึงฝันอีกแล้วเหรอ”
“เออ”
“ฝันว่ายังไง”
“เรื่องเดิม”
“ฝันถึงเด็กฝรั่งบ่นเรื่องเชือกรองเท้าลุ่ยอะนะ...คนห่าอะไรวะฝันถึงคนไม่รู้จักเป็นเดือนๆ”
“ผมจะไปรู้เหรอ อยู่ๆก็ฝันของแม่งเอง”
“มีคนเคยบอกกูว่า ถ้าเราฝันถึงใครบ่อยๆแปลว่า เขาคนนั้นคือคนที่อยู่ในใจ แต่กรณีมึงนี่กูว่า เด็กคนนั้นอาจจะเป็นเนื้อคู่มึงก็ได้นะ”
“พี่แม่งไร้สาระ...เนื้อคงเนื้อคู่อะไร”
“เอ้า ไอ้บยอลอย่าคิดว่าไร้สาระนะว้อย มึงไม่เคยได้ยินเรื่องเดจาวูเหรอไง ไม่แน่วันนี้เปิดประตูออกไปมึงอาจจะเจอเด็กคนนั้นก็ได้”
ฮัน บยอลเหลือบตาสีชาบนดวงหน้าเรียวดุกับจมูกโด่งงุ้มคล้ายเหยี่ยวจ้องพี่ชายร่วมห้องที่รู้จักกันในร้านเหล้าเมื่อหลายปีก่อนและเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกันในปัจจุบันแล้วถอนหายใจ...ตั้งแต่ย้ายมาที่นี่ตามคำชวนของคนตรงหน้าเขาก็เริ่มฝันว่าตัวเองเดินลงบันไดไปเจอกับเด็กลูกครึ่งแปลกหน้าคนหนึ่งบ่นเรื่องเชือกรองเท้าลุ่ย พอจะเดินเข้าไปใกล้ก็สะดุ้งตื่นทุกที
เขาใช้ชีวิตตื่นตอนกลางคืนและนอนตอนกลางวันมาหลายปีก็ไม่เคยฝันบ้าบออะไรซ้ำๆกัน โดยเฉพาะการฝันถึงคนแปลกหน้าทุกวันมันก็ประหลาดอยู่หรอก แต่การจะบอกว่าเรื่องเกี่ยวข้องกับเรื่องเนื้อคู่หรือพรหมลิขิตอะไรนั้นก็ออกจะเกินไปหน่อย
จากประสบการณ์การใช้ชีวิตกลางคืนอย่างโชกโชน ผ่านอบายมุขและความหยาบกระด้างทุกประการจนกลายเป็นความคุ้นชินทำให้คำเพ้อฝันเหล่านั้นเป็นอะไรที่ห่างไกลเกินกว่าจะคิดถึง
...คนไม่เชื่อเรื่องความรักจะเชื่อห่าอะไรกับเนื้อคู่วะ...
ทั้งที่ไม่เชื่อแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องพกไฟแช็กติดตัวเผื่อไว้สองอันเหมือนกับจิตใต้สำนึกลึกๆบอกให้พกไปก็ไม่เสียหายหรอก
“พี่ฮอนชอล...ผมว่าพี่ทำเพลงมากไปจนประสาทแดกล่ะ โถ เนื้อคู่ แม่งไม่มีจริงหรอก โว้ย นี่พี่ปามาทำไม ผมเจ็บนะ” อีกคนร้องเพราะถูกหมากฝรั่งปาใส่หน้า
“กูขี้เกียจพูดกับมึงล่ะ ไปดีกว่า”
“เฮ้ย...พี่จะรีบไปไหนวะ อุตส่าห์ออกไปข้างนอกแล้วทั้งทีทำไมไม่ออกไปดูร้านบ้างอ่ะ ปล่อยผมดูแลคนเดียวแบบนี้ไม่กลัวผมโกงหรือไง”
“ถ้ามึงจะโกงก็คงโกงตั้งแต่กูยังไม่กลับมาแล้วปะ”
“แต่ผมอาจบริหารงานไม่ดีก็ได้ ถ้าพี่ไปดูร้านจะได้ช่วยกันดูไงว่ามีอะไรต้องปรับปรุงบ้าง”
“กูเชื่อมือมึง...ไปนะ กูไปนอนก่อน”
“อะไรวะ เฮ้ย พี่ฮอนชอล พี่ แม่ง” เขาสบถออกพลางยกมือเสยผมตัวเองไปมาจนยุ่งเหยิง
เมื่อก่อนฮอนชอลที่เขารู้จักในร้านเหล้าและสนิทกันไม่ใช่คนชอบเก็บตัวหรือไว้ใจใครก็ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้การกลับมาเกาหลีครั้งนี้ถึงทำให้พี่ชายคนนั้นเปลี่ยนไป กลายเป็นคนพวกโหมทำงานหนักหาเงินแบบหามรุ่งหามค่ำขนาดนี้
บยอลถอนหายใจอย่างระอากระดกน้ำส้มที่เหลือก้นกล่องดื่มจนเกลี้ยงก็โยนมันลงถังขยะแล้วแตะคีย์การ์ดเปิดประตูออกไปนอกห้องพลางทอดสายตาไปยังความมืดตรงหน้าต่างกระจกที่อยู่ลึกเข้าด้านในสุดของอาคาร จากนั้นก็ล้วงกระเป๋าย่างเท้าลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์
ขณะที่เดินจากชั้นสามลงมาที่ชั้นสองหางตาก็เหลือบเห็นบางคนนั่งอยู่บนขั้นบันได ตอนแรกเขาไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งได้ยินเสียงที่เหมือนเคยได้ยินมาก่อนดังขึ้นด้านหลัง
“เพิ่งซื้อมาเองนะ...ซื้อจากในช็อปตั้งแพง เป็นของแท้ทั้งทีทำไมถึงลุ่ยอีกแล้วเนี่ย”
ถ้อยความที่เป็นประโยคเดียวกันกับที่เคยได้ยินในความฝันเรียกให้ชายหนุ่มชะงักหยุดเท้ากะทันหันแต่ไม่กล้าหันไปมองทำได้แค่ยืนฟังอีกคนบ่นต่อ
“หรือควรจะใช้เชือกรองเท้าถูกๆแทนดี ถ้าเชือกมันลุ่ยจะได้ไม่เสียดาย แต่คนจะมองออกปะว่าไม่ใช่ของแท้” ฮันซลบ่นกับตัวเองขณะแกว่งเชือกรองเท้าที่ปลายลุ่ยไปมาไม่ได้สนใจต่อสิ่งรอบข้างกระทั่งได้ยินเสียงดุเอ่ยขึ้นถึงสะดุ้งเฮือกเงยหน้ามอง
“ทำไมไม่ใช้ไฟแช็กลน” ผู้ชายหน้าตาไม่เป็นมิตรส่งเสียงดุว่า “ลนแล้วหาปลอกพลาสติกหรือสก็อตเทปพันมันก็ไม่ลุ่ยแล้ว”
“ผมไม่มี...ไฟแช็ก” เด็กหนุ่มตอบผู้ชายท่าทางหน้ากลัวคนนั้นอย่างกล้าๆกลัวๆ
คนที่ดูเหมือนจะอายุมากกว่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยสีหน้ารำคาญก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ทำให้คนอ่อนกว่านั่งตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก อยากจะลุกหนีกลับเข้าห้องแต่ขาก็อ่อนได้แต่กระพริบตามองฝ่ายตรงข้ามหยิบไฟแช็กทรงเหลี่ยมสวมปลอกหนังลายหัวกะโหลกดูมีราคาออกมาจุดแล้วก้มลงหยิบปลายเชือกรองเท้ามาลนไฟ
“มีสก็อตเทปไหม” ผู้ชายคนนั้นวางไฟแช็กบนพื้นบันไดและเงยหน้าดุของตัวเองขึ้นมาหาทำให้ดวงตาของทั้งคู่ประสานกัน ฮันซลกลืนน้ำลายลงคอเมื่อเห็นอีกฝ่ายหรี่ตาเขม่นมองเขาราวกับจะหาเรื่อง
“ไม่ครับ”
“พักอยู่นี่ใช่ไหม”
“ครับ”
“ถ้ากลับห้องก็หาสก็อตเทปมาพันซะ แล้วพรุ่งนี้ไปหาซื้อปลอกเชือกมาสวม...มันจะได้ไม่ลุ่ยอีก”
“ครับ...ขอบคุณครับ”
ฮันซลตอบรับทุกคำพูดแข็งขันเหมือนตอบผู้บัญชาการได้แต่จ้องชายตรงหน้าที่ลุกขึ้นจากพื้นแล้วหันหลังตั้งท่าจะเดินลงบันไดต่อ หากก็หันกลับมามองพร้อมเอ่ยประโยคที่คล้ายคำสั่ง
“วันหลังอย่านั่งตรงบันได คนเดินไปเดินมามันเกะกะ”
“อา ครับ...เข้าใจแล้ว”
เด็กหนุ่มละล่ำละลักตอบรีบลุกจากบันไดขณะที่อีกฝ่ายก้าวเท้าลงบันไดหายจากสายตาไป ตอนนั้นแหละที่ตากลมสวยคู่นั้นเห็นไฟแช็กราคาแพงของอีกคนวางอยู่ตรงเท้า
“คุณ...คุณลืมไฟแช็กอ่ะ” ร่างผอมตะโกนเรียกแล้วออกวิ่งลงบันไดตามไปแต่พอถึงชั้นล่างก็มองไม่เห็นใครนอกจากคนดูแลหอที่กวาดพื้นอยู่หน้าประตู
“โทษนะครับ...ลุงเห็นผู้ชายหน้าดุๆสวมแจ็กเก็ตสีดำผ่านไปหรือเปล่า”
“อ้อ เห็น”
“เขาไปไหนแล้วอ่ะครับ”
“ไม่รู้หรอก ลุงไม่ได้สนใจมอง...ว่าแต่คุณ คนที่เพิ่งย้ายมานิ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คือ ผู้ชายคนเมื่อกี้เขาลืมไฟแช็กอะครับ ผมจะเอามาคืนเขาแต่คืนไม่ทัน ถ้ายังไงฝากคุณลุงคืนได้ไหมครับ”
“ลุงคืนให้ได้แต่คุณต้องบอกชื่อกับหมายเลขห้องของเขากับผมด้วยนะ”
“เอ้า ต้องบอกด้วยเหรอครับ นึกว่าคุณลุงจำคนที่มาเช่าหออยู่ได้ทุกคนซะอีก”
“ลุงก็จำได้แค่คนใหม่นั้นแหละ คนเช่าเก่าจำไม่ได้”
“มีอย่างนี้ด้วย งั้นไม่เป็นไรครับ ไว้ผมหาโอกาสคืนเขาเองก็ได้” เด็กหนุ่มว่าพลางโค้งขอบคุณเก็บไฟแช็กใส่กระเป๋าเสื้อเดินกลับเข้าหอทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะคืนไฟแช็กให้ผู้ชายคนนั้นยังไงแต่คิดในแง่ดีว่า อยู่หอเดียวกันก็คงได้คืนสักวันนั้นแหละ
0 Comments