LOVE TOXICAL : CHULJAE CHAPTER 7
09:19
เสียงประกาศตามสายภายในมหาวิทยาลัยแจ้งเตือนคณาจารย์คณะบริหารธุรกิจและคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีดังขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มสวมเสื้อสเวตเตอร์แขนยาวสีเขียวขี้ม้ากับกางเกงขายาวสีดำจะหอบแฟ้มเอกสารออกจากห้องพักอาจารย์ในตึกคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีมุ่งหน้าไปยังตึกคณะศิลปกรรมศาสตร์เพื่อนำเอกสารที่อาจารย์ภาควิชาอื่นลืมไว้กับอาจารย์ภาควิชาตนเองไปส่งคืน
ดวงตะวันสาดแสงยามบ่ายแรงกล้า
การหลบแดดด้วยการเดินเลาะใต้ตึกคณะนิเทศศาสตร์ผ่านคณะดุริยางค์ศิลป์ที่เชื่อมกันไปจนถึงจุดหมายปลายทางเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแต่ยองแจกลับเดินตากแดดจนผิวขาวจัดเริ่มแดง
...เขาเลี่ยงหลีกการได้เห็นหรือได้ยินบางสิ่งที่อาจเกี่ยวข้องถึงใครคนหนึ่งที่เขาพยายามลบเลือน...
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทอดไปยังเส้นทางข้างหน้าและเหล่านักศึกษาที่ทำกิจกรรมทั้งกับเพื่อนและส่วนตัวอยู่หลบร้อนในมุมต่างๆภายในมหาวิทยาลัยด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ก่อนจะสะดุ้งโหย่งเมื่อมีมือของบางคนตบลงมาบนบ่า
“ยองแจ...แค่สะกิดต้องตกใจขนาดนี้เลย”
เสียงทุ้มที่เอ่ยถามดังมาจากชายหนุ่มผิวขาวละเอียดเหมือนน้ำนม
ดวงหน้าเรียวมีทั้งความหล่อผสมความงามอยู่ในคราวเดียวประดับด้วยจมูกโด่งและริมฝีปากอวบอิ่มเหยียดกว้างจนนัยน์ตากลมโตหรี่เล็กลง
“อา...ฮยองวอนเองหรอกเหรอ”
อีกฝ่ายมองหน้าเพื่อนต่างคณะที่ค่อนข้างสนิทกันเพราะเรียนมัธยมต้นและปลายห้องเดียวกันมาตลอด
แม้แต่ตอนเรียนพิเศษยังอยู่ในกลุ่มเดียวกันแต่เจ้าตัวผ่าเหล่าสอบเข้าคณะนิเทศศาสตร์เอกสื่อการแสดงแทนที่จะเป็นคณะบัญชีเหมือนคนอื่นในกลุ่ม
“ใช่” อีกคนตอบยังคงยิ้ม “ตะกี้ตกใจมากไหม เราขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร
อ๊ะ...นี่นายเปลี่ยนสีผมเหรอ”
ถามพลางชี้ไปที่ผมของอีกคนเพราะจำได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่วันผมยังไม่ใช่สีน้ำตาลเข้มเหมือนตอนนี้
“อ้อ ใช่”
“เปลี่ยนทำไม...สีทองก็ดูดีออก”
“พอดีต้องเล่นละครเวทีฉลองครบรอบสี่สิบปีของคณะ บทที่ได้ต้องผมสีเข้มเลยต้องย้อมกลับ ว่าแต่ผมสีนี้ดูไม่ดีเท่าผมทองเหรอ”
“ไม่หรอก...นายเป็นคนหน้าตาดี จะทำผมสีอะไรก็ไม่ต่างกันหรอก แล้วหนนี้ที่คณะจะแสดงเรื่องอะไรเหรอ”
“เฟาสต์น่ะ
อา นายคงไม่รู้จักหรอกเนาะ งั้นจะเล่าเรื่องย่อให้ฟัง
เรื่องนี้มันเป็นตำนานของเยอรมัน
เนื้อหามันก็ประมาณว่ามีผู้ชายคนหนึ่งขายวิญญาณให้ปีศาจเพื่อแลกกับความรู้และความปรารถนาของตัวเอง”
คนเป็นเพื่อนเล่าถึงเรื่องราวที่จะใช้แสดงละครเวทีไปเรื่อยโดยไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของอีกคนที่เริ่มมีแววอึดอัดในดวงตาตั้งแต่นาทีที่ได้ยินชื่อเรื่องแต่ริมฝีปากยังฝืนยิ้ม
“ระดับนายต้องเล่นเป็นพระเอกแน่เลยใช่ไหม”
“ไม่ใช่พระเอกแต่ก็เป็นตัวเอกอ่ะ
เพราะบทปีศาจเมฟิสโตฟิลีสที่ได้คือตัวดำเนินเรื่องเลย...เนี่ยอีกสามอาทิตย์ก็จะแสดงจริงแล้ว
นายอยากดูไหม เดี๋ยวเอาบัตรฟรีให้”
“ไม่ดีกว่า”
“ทำไมอ่ะ”
“ก็ช่วงนี้ต้องสอนพิเศษให้น้องเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย”
“อา เข้าใจล่ะ แล้วนี่นายจะไปไหนเหรอ”
“จะเอาเอกสารไปให้อาจารย์ซอนจินที่ตึกศิลปะกรรมน่ะ”
“ให้เดินไปเป็นเพื่อนไหม”
“จะไปด้วยเหรอ ไม่มีเรียนเหรอ”
“วันนี้ไม่มีเรียนหรอก”
“แล้วมาทำไมหรือมีซ้อม”
“ใช่ เพิ่งซ้อมเสร็จ”
“ไม่ไปกับเพื่อนที่คณะล่ะ”
“กีฮยอนกับชางกยุนเขาต้องทำฉากอ่ะ ไปอยู่ด้วยเกะกะตายเลย”
“กลับบ้านไหมล่ะ เดี๋ยวเราเอาเอกสารให้อาจารย์เสร็จก็จะกลับหอเหมือนกัน”
“วันนี้ไม่ต้องไปสอนพิเศษเหรอ”
“อืม...พอดีให้แบบฝึกหัดน้องไปลองทำเยอะ เลยให้เวลาทำหน่อยกะว่าพรุ่งนี้จะไปตรวจ”
“งั้นไปนอนเล่นที่หอนายดีกว่า กลับไปบ้านตอนนี้ก็ต้องอยู่คนเดียว”
“พี่มาร์คกับมินฮยอกล่ะไม่อยู่เหรอ”
“มินฮยอกยังเรียนอยู่เลยเห็นบอกเรียนเสร็จต้องแวะไปทำรายงานบ้านเพื่อน พี่มาร์คก็ไปไม่รู้พักนี้ไปไหนกว่าจะกลับมาก็มืด” อีกคนพูดถึงพี่ชายและน้องชายด้วยสีหน้าเหงา
“ถ้าว่างก็ไปช่วยงานอาจารย์โฮซอกสิ ไปอาสาช่วยเผื่ออาจารย์จะเมตตาให้สอบผ่านแบบไม่คาบเส้นอีก” เขาเอ่ยถึงอาจารย์ประจำภาควิชานิเทศศาสตร์ซึ่งดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกกับเพื่อนของเขามากนักเพราะเรียนมาสองปียังได้เกรดซีอย่างสม่ำเสมอ
“อาจารย์เขาไม่อยากเห็นหน้าเราหรอก
ถ้าเป็นมินฮยอกกับกีฮยอนก็ว่าไปอย่าง
รายนั้นอาจารย์เขาเอ็นดูแรงได้เอวิชาที่เราได้ซีมาด้วยแหละ
แถมวันก่อนอาจารย์ยังด่าเรื่องพรีเซนต์รายงานของเรากลางห้องอยู่เลย
ขืนโผล่หน้าไปนี่ได้โดนตะเพิดแน่ ”
“ด่าเลยเหรอ”
“ใช่
เขาบอกว่าเราพยายามไม่พอ รายงานดีมากแต่ตอนพรีเซนต์ไม่ไหว
โดนยิงคำถามตอบช้า ไม่มีลูกเล่น น่าเบื่อ
ให้เราไปเอาดีด้านเป็นนายแบบที่ไม่ต้องพูดอะไรเลยเถอะ”
“โห แรงจัง”
“ก็ด่าเราแรงตลอดแหละ
บางทีโดนด่ามากๆก็อยากจะตอกกลับไปว่า
อากาศข้างล่างที่อาจารย์อยู่สบายดีไหม
ตัดเกรดด็อกรัวๆมาเลยแล้วยิ้มใส่งี้มากอ่ะ แต่กลัวโดนไทร์เลยไม่พูดดีกว่า
นี่วันพรุ่งนี้ก็ต้องเจอกันอีก เจอกันจนกว่าจะจบ
ถ้าอาจารย์ที่ปรึกษาทีสิสเป็นอาจารย์โฮซอกอีกนี่ เราจะลาตายแล้ว” คนพูดเบ้ปาก
“เครียดมากเลยสินะ
งั้นเอาแบบนี้ เดี๋ยวเราสองคนเอาเอกสารไปให้อาจารย์ซอนด้วยกัน
เสร็จแล้วไปนั่งเล่นที่หอเราก่อนแล้วพอเราออกไปสอนพิเศษ
นายก็กลับบ้านไปพร้อมเราเลย ดีไหม”
“ดีเลย” ฮยองวอนยิ้มกว้าง “แดดร้อนจัง เราเดินเลาะตึกนิเทศไปดีกว่าไหมจะได้ไม่ร้อน”
“อา ไม่เอาดีกว่า”
“เดินตากแดดตอนบ่ายแบบนี้ไม่ดีนะ
เดี๋ยวเป็นมะเร็ง เดินเลาะตึกเราไปดีกว่า”
ถึงจะไม่อยากไปแต่เมื่อโดนเพื่อนฉุดแขนพาเข้าใต้ตึกเลยจำใจตามไป
การเดินใต้ตึกนิเทศศาสตร์เลาะผ่านไปยังตึกดุริยางค์ศิลป์แม้มีเสียงดนตรีลอดมาบ้าง
ทว่าเพราะมีเพื่อนอยู่ข้างๆทำให้เขามาถึงตึกคณะศิลปกรรมได้อย่างไม่ยากเย็น
หญิงสาวร่างกะทันรัดสวมชุดทำงานกางเกงสั่งตัดด้วยดีไซน์เรียบแต่เก๋สีเบจยืนคุยอยู่กับชายหนุ่มหน้าตาน่ารักร่างโปร่งบางสวมสเวตเตอร์แขนยาวสีขาวทับด้วยเสื้อคลุมสีดำกับกางเกงสแลคสีดำอย่างสนุกสนานโดยมีชายหนุ่มตัวใหญ่สวมชุดดำทั้งตัวนั่งมองอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยดูราวกับหมาป่าน่ากลัว
ยองแจกับฮยองวอนเลยจำต้องอยู่รอเพราะการเข้าไปขัดจังหวะการสนทนาคงเป็นเรื่องที่ไร้มารยาท เลยเลือกนั่งรอห่างจากคนตัวใหญ่ไปเกือบเมตร
“นักศึกษาเขาชอบการบรรยายของนายมากเลยนะ จะไปว่าไปนายไม่คิดอยากกลับมาเป็นอาจารย์พิเศษที่นี่อีกเหรอ”
“ช่วงนี้งานที่โรงปั้นยุ่งมาก แล้วเราก็ขับรถไม่ค่อยแข็งหลงก็บ่อย สงสารคนมาส่งทำงานกลับบ้านมืดต้องมาส่งเราตอนเช้าอีก”
“ตอนนี้ยังหลงทางอีกเหรอ
เรานึกว่าไม่มีพี่คังคอยไปรับไปส่งแล้วจะจำทางเก่งขึ้นซะอีก เออ
พอพูดถึงพี่คังก็นึกขึ้นได้
นี่รู้เรื่องที่พี่คังจะกลับมาสอนโฟโต้ที่นี่แล้วใช่ไหม”
คนถูกถามกระพริบตามองหน้าเพื่อนที่เคยเรียนร่วมคณะเดียวกันมาแม้จะต่างสาขาก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันราวกับไม่เคยได้ยินมาก่อน
“พี่คังเขากลับมาจากเยอรมันแล้วเหรอ”
“อะไร
นี่ไม่รู้เรื่องเลยเหรอว่าพี่เขากลับมาแล้ว...บ้าน่า ซึงฮวัง
เราเห็นพี่ชายนายสนิทกับพี่เขาไม่ใช่เหรอ
นายเองก็สนิทกับเขานึกว่ารู้แล้วซะอีก”
“ก็ไม่เห็นพี่ชายเราบอกอะไรนะ ส่วนเราตั้งแต่พี่เขาแต่งงานย้ายไปอยู่เยอรมันเราก็ไม่ได้คุยด้วยเลย น่าจะประมาณสามปีได้แล้วมั่ง”
“อ้าว”
“ไม่รู้สิ...พอเราติดต่อพี่เขาไม่ได้
เราคิดว่าเขาคงรำคาญที่เราชอบทำให้เดือดร้อนเลยบล็อกเรามั่ง
เพราะแบบนั้นก็เลยไม่อยากเซ้าซี้
ไม่กล้าถามกับพี่ชายด้วยว่าพี่เขาเป็นยังไง”
“อย่างนี้เรื่องหย่าก็ไม่รู้สิ”
“หย่า หย่าอะไร”
“ก็เรื่องที่พี่เขาหย่ากับพี่ฮานึลเมื่อปีก่อนสิ”
“ฮะ...จริงเหรอ หย่าเป็นปีแล้วเหรอ แต่เราเห็นพี่คังกับพี่ฮานึลเขารักกันมากเลยนะ ทำไมถึงหย่าล่ะ”
“ที่ได้ยินมาก็คือ พี่ฮานึลเขามีคนอื่น มีมาตั้งแต่คบกับพี่คังแล้ว ประมาณว่าคบซ้อนแต่แต่งกับพี่คังเพราะพี่เขารวยกว่าทางนู้น”
“อา”
“แต่ตอนเจอกันที่หน้าห้องคณบดีก็เห็นพี่เขาก็ปกติดีนะ
ยังยิ้มได้ แต่ก็อย่างว่า พี่คังเขาเป็นคนใจดีมาแต่ไหนแต่ไร
อาจจะทำใจอโหสิให้แล้วก็ได้”
คนที่ยืนฟังเรื่องราวจากเพื่อนนิ่งเหมือนไม่มีความเห็นอะไรมีเพียงสีหน้าที่อ่านได้ว่าเป็นห่วงคนที่ถูกกล่าวถึงแต่พักหนึ่งก็ขอตัวกลับ
“เราต้องกลับแล้วล่ะ”
“อ้าว จะไปแล้วเหรอ”
“งืม...พอดีมีงานต้องทำ อีกอย่างคนมาส่งเขายังไม่ได้นอนเลย สงสารเขา”
อาจารย์ซอนเอียงศีรษะมองคนตัวใหญ่ที่นั่งหน้าตายอยู่ด้านหลังพลางกลืนน้ำลายแล้วหันกลับมายังหน้าเพื่อนใหม่
“คนมาส่งนี่ดูดุจังนะ”
“ไม่นะ...ไม่ดุ น่ารักจะตาย”
“น่ารักเนี่ยนะ น่ากลัวออก...ดูน่ากลัวกว่าเวลาพี่คังดุนายซะอีก ว่าแต่เขาเป็นใคร เพื่อนเหรอ”
พอถูกถามอีกฝ่ายกลอกตาจะเอ่ยปากตอบแต่คนตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ลุกจากเก้าอี้เดินมาสอดมือผ่านแขนเข้าไปกอดเอวบางไว้จากด้านหลัง
“ขอโทษนะครับ...ผมต้องพาอาจารย์เขากลับแล้ว” เสียงเข้มแหบเรียบเย็นดังขึ้น นัยน์ตาคมกริบจับจ้องมาให้รู้สึกหวาดหวั่น
“อ๊ะ คะค่ะ”
“ไปก่อนนะซอนจิน ไว้คุยกันนะ”
“โอเคจ๊ะ โชคดีนะ”
คนเป็นเพื่อนยิ้มให้กับคนตัวเล็กที่ถูกคนตัวใหญ่เหมือนหมายักษ์เปลี่ยนจากกอดเอวมาจับมือไว้แล้วเดินออกไป
ฝ่ายที่รอเพราะมีเอกสารมาให้เห็นอาจารย์เสร็จธุระก็สะกิดคนที่มาด้วยเดินไปหา
“อาจารย์ครับ”
“อ้าว ยองแจนี่...มาทำอะไรที่นี่จ๊ะ”
“อาจารย์ซอกให้เอาเอกสารที่อาจารย์ลืมไว้มาให้ครับ”
“อ้อ เอกสารนี่นึกว่านึกว่าหายไปแล้ว ขอบใจมากนะ...แล้วนี่เราไม่ต้องเป็นทีมงานคอยดูแลอาจารย์ที่คณะตอนประชุมเหรอ”
“อาจารย์จินยองเห็นว่าเป็นการประชุมสำคัญเลยให้พี่ปีสามปีสี่เป็นคนจัดการแทนครับ”
อาจารย์สาวพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วโบกมือปล่อยนักศึกษาทั้งสองคนที่นำเอกสารมาให้เดินกลับไป ทางเก่า
ยองแจกลั้นลมหายใจระหว่างข้ามทางเชื่อมระหว่างทางเดินระหว่างตึกศิลปกรรมข้ามไปอีกตึก ดวงตามองกลุ่มคนตรงที่ล้อมวงตรงสนามหญ้าหน้าตึกดุริยางค์ศิลป์ยินเสียงเพลงบีทฮิปฮอปผสมกับการแรปแว่วมา
แม้เนื้อหาเป็นการนำอาหารเกาหลีมาแต่งให้ฟังสนุกสนานแต่คนที่ชิงชังในเพลงพวกนี้ยิ่งกำมือทั้งสองข้างแน่น
...ใครคนนั้นที่ติดตรึงในใจหลงใหลมัน
...อดีตบางครายามนอนหนุนแขน
เขาคนนั้นเคยกล่อมด้วยการแรปอ่อนโยนข้างหู
เมื่อเขาร้างหน้าหนีหายเพลงเหล่านี้เหมือนมีดยามได้ยินเมื่อใดก็คล้ายมีใครหยิบมีดมากรีดใจเป็นแผลลึกเมื่อนั้น
“เด็กดนตรีเขาแรปกันด้วย เจ๋งอ่ะ” ฮยองวอนว่าไม่ทันสังเกตอาการอึดอัดคว้าข้อเพื่อนจับไว้ “ไปดูใกล้ๆกัน”
“อย่าดีกว่า”
“ทำไมเล่า...ดูน่าสนุกออก นะ มาด้วยกัน”
“เดี๋ยว ฮยองวอน เราไม่”
ถึงจะค้านอย่างไรก็ถูกคนสูงกว่าลากไปสมทบกับกลุ่มคนที่ส่งเสียงเชียร์อื้ออึ้งสนุกไปกับนักศึกษาชายในวงล้อมที่ถือไมค์แรปตามโจทย์ที่ได้มาอย่างสนุกสนาน
คนไม่เต็มใจมาไม่แม้แต่จะชายตามองได้แต่เม้มริมฝีปากรออยู่อย่างนั้น
“อยู่ๆทำไมมาแรพกันข้างนอกล่ะ” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งลอยเข้ามาในหู
“ก็อาจารย์พิเศษที่คณะเชิญมาสอนวิชาการประพันธ์และเรียบเรียงเพลงเขาบอกว่า
อยากดูพื้นฐานของเด็กปีหนึ่งแต่ละคนว่าเป็นยังไงก่อนเรียนก็เลยให้ออกมาแต่งเนื้อแรปตามโจทย์คำที่ให้กัน”
“อาจารย์เขาหน้าตาหล่อแบบแบดบอยจัง ดี้ดี”
“หน้าตาดี แรปก็เก่งด้วย ได้ยินว่าเป็นแรปเปอร์กับโปรดิวเซอร์ให้ศิลปินทั้งในอเมริกากับเกาหลีเลยนะ”
“อาจารย์เขาชื่ออะไรเหรอ”
“อาจารย์จอง ฮอนชอล”
ชื่อของอาจารย์พิเศษทำให้คนที่บังเอิญได้ยินตัวแข็งทื่อเป็นเวลาเดียวกับที่มีคนทั้งเบียดจากด้านหลังเพื่อเข้ามาดูการแรปอย่างใกล้ชิดจนร่างถูกดันหลุดเข้าไปในแถวที่ล้อมอยู่ข้างหน้า
ดวงตาเผลอทอดออกไปตรงกลางวงที่มีนักศึกษาชายถือไมค์แรปประจันหน้ากับนักศึกษาหญิงอีกคน
โดยมีชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีดำคลุมไหล่ด้วยแจ็กแก็ตถักสีเทานั่งอยู่บนลำโพงตัวใหญ่เขียนบางอย่างบนกระดาษ
นาทีที่เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของชายบนลำโพงนั้นทำให้มือเท้าเย็นเฉียบ...องค์ประกอบทุกส่วนไม่ว่าจะเรียวคิ้วหนาหักมุม
วาดโค้งอยู่เหนือนัยน์ตาคมเรียวไล้ลงมายังจมูกโด่งและริมฝีปากอิ่มนั้นเป็นใบหน้าที่ตราอยู่ทั้งยามหลับและยามตื่น
ภาพความทรงจำทั้งหมดถูกกรอกกลับอย่างรวดเร็ว
หากภาพที่หมุนช้าและชัดเจนที่สุดเป็นวินาทีที่เขาหอบข่าวดีที่สอบติดไปหา
เพื่อจะได้ยินเสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียมกับแววตาเย็นชาที่ไล่ส่งเขาไปพร้อมกับคำที่ว่า
ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างกันเป็นแค่เกม
เขาแค่อยากเล่นเกมและเหยื่อในเกมนี้คือเด็กอย่างเขาเอง
...โลกทั้งใบของเขาหมุนคว้าง
มันเจ็บ มันปวด มันทรมานแต่ยังไม่เลวร้ายเท่ากับตอนที่รับรู้ว่า
คนใจร้ายที่เขารักจากไป โดยไม่มีกระทั่งคำลาหรือแม้แต่ข้อความทิ้งไว้
ทว่าคนที่ไม่คิดว่าจะได้พบกันอีก
กลับอยู่ตรงนั้น...แววตาและรอยยิ้มที่มองไปยังนักศึกษาทำให้รู้ว่าความรู้สึกของคนที่เป็นฝ่ายสร้างเกมต่างจากคนที่ถูกลากมาเล่นเพียงใด
เวลาสองปีเต็มที่เขาทนทุกข์อยู่กับรอยแผลเป็นจากเกมความรักที่เขาเล่น...กอดตัวเองอยู่ในห้องร้องไห้ทุกคราที่ได้ยินเสียงเปียโนและบีทดนตรีที่กลายเป็นหนามทิ่มแทง
หากแววตาและรอยยิ้มที่มองไปยังลูกศิษย์ของคนตรงนั้นไร้ซึ่งความทุกข์ใด
...ใช่...
...คนเป็นเหยื่อเจ็บปวดเสมอ...
ยองแจแลอาจารย์หนุ่มด้วยริมฝีปากสั่นระริก
นัยน์ตาหรี่เล็กลงทันทีด้วยรับรู้ถึงอาการเจ็บร้าวตรงหัวใจราวกับมีมือที่มองไม่เห็นบีบเอาไว้ทำให้ลมหายใจของเขาติดขัด...ความเจ็บปวดรุนแรงที่แล่นเข้ามาฉับพลันถึงขั้นต้องกำหมัดทุบอกตัวเองทลายความแน่นหน้าอกพยายามตะกายออกจากกลุ่มคนที่กำลังสนุก
ณ
วินาทีนั้น
คนที่นั่งประเมินฝีมือลูกศิษย์ด้วยรอยยิ้มเงยหน้าจากใบรายชื่อมองไปยังกลุ่มคนที่ล้อมรอบ
ดวงตาสะดุดที่แผ่นหลังใต้เสื้อสีเขียวขี้ม้า
เป็นด้านหลังของคนที่ไม่ว่าจะหายไปในฝูงชนเขาก็ยังหาเจอ
มือใหญ่รวบใบรายชื่อค่อยๆลุกจากลำโพงที่นั่งอยู่ก้าวไปหา
ขณะที่อีกคนที่หลุดออกมาเดินโซเซอ้าปาก
หอบอากาศเข้าในปอดแต่เหมือนร่างกายไม่รับ
ยังคงทุบอกตัวเองที่หัวใจถูกบีบให้เต้นแรงรัวแทบไม่เป็นจังหวะ
เมื่อแดดแผดลงมาซ้ำทำให้ทั้งโลกหมุนคว้างและทั้งร่างคว่ำกระแทกพื้นลงไปนอนหมดสติ
“ยองแจ”
ฮยองวอนที่ถอยออกมามองหาเพื่อนกระโจนเข้าไปหา
สอดแขนเข้าใต้คอมองใบหน้าซีดขาวท่วมเหงื่อด้วยความตกใจ
คนที่ยืนอยู่ใกล้หันมามองแล้วหวีดร้องด้วยความตกใจทำให้ทั้งวงกระทั่งคนแรปชะงักหยุด
“เฮ้ย ยองแจ เป็นอะไรไปวะ มึงงงง” คนเป็นเพื่อนพยายามประคองจะพาไปห้องพยาบาล
“ถอย”
เสียงเข้มดุดังขึ้นข้างตัวทำให้อีกคนหยุดหันไปมองก็เห็นอาจารย์หนุ่มคนที่นั่งคุมลูกศิษย์อยู่ขยับเข้ามาสอดแขน
โอบทั้งร่างที่ไร้สติเข้ามาในอ้อมแขนแล้วอุ้มลอยจากพื้นหันมาเรียก
“คุณตามผมมา”
คนตัวสูงกระพริบตามองหน้าอาจารย์หนุ่มที่อุ้มเพื่อนตัวเองแล้ววิ่งตามหลังคนที่เดินลิ่วๆอยู่ข้างหน้าไปยังรถยนต์สีดำสวยที่จอดอยู่
“ในกระเป๋าเสื้อผมมีกุญแจรถปลดล็อกรถให้หน่อย”
“อา ครับ” พอถูกสั่งก็กุลีกุจอทำตาม
“ขับรถเป็นไหม”
“ผม...ผมอะเหรอ ขับได้แต่มอเตอร์ไซด์”
“งั้นเปิดประตูรถให้ผม
นั่น คุณนั่งตรงนั้นเอาหมอนรองตัก”
สั่งต่อก่อนจะค่อยๆวางร่างเข้าไปนอนบนเบาะหันศีรษะทับบนหมอนที่อยู่บนตักอีกคนด้วยสีหน้าและแววตาของอาจารย์หนุ่มเต็มไปด้วยความเครียดและวิตกกังวลจนหน้าผากเป็นรอยยับ
“เอานี้ให้เขากัด
เผื่อเขาชักจะได้ไม่กัดลิ้นตัวเอง”
ผ้าเช็ดเนื้อดีสีน้ำตาลถูกส่งมาให้ใช้พลางปิดประตูหลังรถได้ก็พรวดมาประจำตำแหน่งคนขับสตาร์ทรถเหยียบคันเร่งขับรถออกไป
--------------------------------------
ขวดน้ำเกลือที่ห้อยระโยงอยู่บนเสาซึ่งไหลตามสายเข้าสู่กระแสเลือดของคนที่นอนไม่ได้สติบนเตียงคนไข้ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล นายแพทย์หนุ่มอ่านค่าผลเลือดเรียบร้อยก็แจ้งอาการของคนป่วยให้ชายหนุ่มที่ยืนกอดอกฟังผลสีหน้าเครียด
“คนไข้เป็นโรคเครียดนะครับและมีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ
แต่ยังไม่ร้ายแรงถึงขั้นต้องรักษา
เหมือนจะมีภาวะอ่อนเพลียจากค่าน้ำตาลและความดันที่ต่ำมาก
คงต้องให้คนไข้นอนให้น้ำเกลือที่นี่สักคืนก่อน”
“ครับ ขอบคุณมากครับ”
ฮอนชอลละสายตาจากนายแพทย์ที่ขยับไปยังเตียงคนไข้ที่อยู่ข้างๆ
ทอดสายตายังใบหน้าเซียวซีดแทบไร้สีเลือดของคนบนเตียงแล้วสูดลมหายใจลึก
พลางสอดมือของตนจับมือนุ่มของอีกคนไว้
ขณะที่มืออีกข้างได้แต่ลูบผมสีเข้มบนหมอน
ตอนที่มหาวิทยาลัยเชิญตัวเขาไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนในคณะดุริยางค์ศิลป์
เขาไม่ลังเลใจเลยที่จะตอบตกลง...เหตุผลในการตกลงไม่ใช่เพราะอยากถ่ายทอดประสบการณ์ความรู้
หากเพียงแค่ต้องการหนทางให้เยียวยาพาเด็กน้อยของเขากลับมาในอ้อมแขนเข้าอีกครั้ง
ภาพความทรงจำเมื่อครั้งอดีตหวนกลับมายังวันแรกที่ได้พบกัน...เขาจำได้ดีว่า
วันนั้นเป็นวันเสาร์
เด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักที่มีไฝเม็ดเล็กใต้ตาเอาเค้กมาให้และแนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนบ้านห้องข้างๆที่ย้ายมาอยู่ใหม่เพื่ออ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ในตอนแรกเขาไม่ได้สนใจเด็กคนนี้เลยเพราะช่วงเวลาการใช้ชีวิตและสังคมที่ดูจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
แต่ทุกครั้งที่เขากลับจากทำงานและออกมายืนสูบบุหรี่ตรงระเบียงข้างนอกเขาจะเห็นเด็กคนนี้นั่งตากลมอ่านหนังสืออยู่และเป็นฝ่ายนั้นเองที่เริ่มชวนเขาคุยจนการสนทนาข้ามระเบียงกลายเป็นกิจวัตรของพวกเขาไป
มันควรเป็นเรื่องน่ารำคาญแต่การได้เห็นเด็กที่ยิ้มตาหยีและหัวเราะเสียงดังอย่างจริงใจในทุกเรื่องที่เขาเล่าทำให้เขามีรอยยิ้ม หากเหตุการณ์ที่ทำให้เขาจดจำได้ดีที่สุดคงเป็นวันที่เขากลับมาด้วยสภาพป่วยหนักจนล้มคว่ำไปกับพื้นและก็เป็นเด็กคนนี้ที่ใจกล้าปีนข้ามระเบียงมาดูแลเขาจนหายป่วย
นับแต่นั้นเหมือนความสัมพันธ์ของเขากับเด็กคนนี้จะรุดหน้าถึงขนาดออกไปกินข้าวซื้อของด้วยกัน
บ่อยครั้งที่เขาแวะไปหาเด็กคนนี้ที่ห้องเพื่อช่วยสรุปใจความสำคัญในหนังสือเตรียมสอบให้
และเช่นเดียวกันกับที่เด็กคนนี้แวะมาหาเขาที่ห้อง อยู่เป็นเพื่อน
คอยให้กำลังใจ กระทั่งออกความเห็นเรื่องเพลงที่เขาทำ
ตอนนั้นเขาไม่รู้จักความรัก...เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรักหน้าตาเป็นยังไง
รู้แค่ว่าเมื่อโลกสีดำของเขาสว่างไสวกว่าที่เคยเป็นมาและความสุขเดียวที่มีคือการได้ใช้ชีวิตร่วมกับเด็กคนนี้คือความรักสำหรับเขา
ชีวิตเขายามมีเด็กคนนี้ในอ้อมกอดเป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดตั้งแต่เกิดมา
ถ้าเพียงเขาไม่บังเอิญรับรู้ว่า เด็ก
น้อยที่เขารักมาจากบ้านเศรษฐีมีเงินซึ่งไม่เคยทำงานบ้าน
แต่ทำทุกอย่างแม้แต่เช็ดถูพื้นห้องให้เขา...ไม่เคยนอนเกินสี่ทุ่ม
แต่นอนอ่านหนังสือถึงตีสามทุกวันเพื่อรอเขากลับมาบ้านและเป็นคนเดียวที่บอกว่า
รักคนเลวที่มีแต่ตัวอย่างเขา
นั่นทำให้เขากลัว...กลัวว่าเด็กน้อยผู้เป็นแสงสว่างในชีวิตจะถูกความมืดมิดของชีวิตคนบาปอย่างเขากลืนหาย
เด็กน้อยยังมีอนาคตที่ดีรออยู่และเขาไม่อยากเป็นคนทำลายแสงสว่างนี้ด้วยมือตัวเอง
...เขายอมหัวใจสลายด้วยการเอ่ยคำโกหก
สร้างเรื่องเกมความรักทั้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
ผลักไสคนที่เขารักไปให้พ้นจากปากเหวเพื่อปกป้องรอยยิ้มนั้นไม่ให้เลือนหาย...แต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ
ตัวเองจะมีโชคและโอกาสได้ตะกายขึ้นมาอยู่ในจุดที่ทัดเทียมกันได้
ดวงตาคมเรียวมีแววหม่นเศร้า...ความขมขื่นตีรวนรุนแรงพาให้ใจยิ่งปวดรวดร้าว เมื่อเห็นปฏิกิริยาในการพบกันครั้งแรกหลังผ่านเวลาไปสองปี
...ความเจ็บ
ความทรมาน
ความรู้สึกเหมือนว่าจะตายเสียให้ได้ของคนบนเตียงเป็นความรู้สึกเดียวกับที่
เกิดขึ้นหลังจากที่เขาเลือกเดินจากมา...
“เด็กน้อย...พี่ขอโทษ” เขาพร่ำคำ ริมฝีปากหยักประทับแนบบนหลังมือของคนบนเตียง นัยน์ตาทั้งคู่ที่มองอยู่ทุกข์ทรมานอย่างที่สุด
ฮยองวอนลากเท้าหิ้วถุงใส่ของกินเข้ามาในเขตห้องฉุกเฉินด้วยสีหน้าตื่นตะลึงเพราะไปเห็นบางสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้ามาก่อนหน้านี้
เดินจนถึงเตียงที่เพื่อนนอนให้น้ำเกลือพอเห็นอาจารย์พิเศษจับมือและมองเพื่อนตัวเองด้วยท่าทางไม่เหมือนอาจารย์กับนักศึกษาที่พบกันเป็นครั้งแรกทำให้ตากระพริบถี่
“คุณกลับไปเลยก็ได้ เดี๋ยวผมเฝ้าเขาเอง” เสียงเข้มของคนเป็นอาจารย์บอก
“หมอเขาบอกให้ยองแจค้างเหรอครับ อาจารย์”
“ใช่ ต้องอยู่ให้น้ำเกลือทั้งคืน คุณมีเบอร์พ่อแม่ของเขาใช่ไหม โทรแจ้งหน่อยนะว่า เขาไม่สบาย”
“โทรไปแล้วครับ เห็นแม่บ้านบอกเพิ่งขึ้นเครื่องบินไปแคนาดา ตอนนี้คงอยู่บนเครื่อง”
“โอเค งั้นคุณทิ้งเบอร์ติดต่อทางบ้านเขาให้ผมแล้วกัน ผมจะโทรแจ้งเอง” ฝ่ายผู้ใหญ่กว่าขอ คนมีศักดิ์เป็นลูกศิษย์เลยต้องหากระดาษลอกเบอร์ในมือถือส่งให้
“อาจารย์ครับ ผมว่า ผมกับเพื่อนรบกวนอาจารย์มาเยอะแล้ว เดี๋ยวผมเฝ้ายองแจเขาเองดีกว่า”
“ไม่เป็นไร คุณน่ะกลับเถอะ ทางบ้านจะได้ไม่เป็นห่วง”
“ที่บ้านผมเขาไม่ค่อยเคร่งครับ อีกอย่างพรุ่งนี้ผมไม่มีเรียนครับ มีแค่ไปซ้อมบทละครตอนบ่าย แล้วอาจารย์ไม่ต้องกลับไปสอนต่อเหรอครับ”
“ผมแจ้งให้นักศึกษาทำรายงานมาส่งแล้ว”
“แล้วพรุ่งนี้มีสอนไหมครับ”
“ผมมีสอนตอนเช้า”
“ถ้าอย่างนั้น อาจารย์กลับไปพักดีกว่าครับ ผมเฝ้ายอง...” ถ้อยคำยังหลุดออกมาไม่จบประโยค อาจารย์หนุ่มก็แทรกขึ้นด้วยเสียงที่ดุและจริงจัง
“ผมเฝ้าเขาเอง”
คนตัวสูงกว่ากลอกตาไปด้านข้างแล้วมองยังใบหน้าหล่อที่มีรอยริ้วของความห่วงกังวลต่อเพื่อนตัวเองราวกับเคยคุ้นกันมาเนิ่นนาน
ปากอยากจะเอ่ยถามแต่ก็ลังเลใจเพราะอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ไม่ใช่เพื่อนของตัวเอง
...ลำพังแค่มีเรื่องกับอาจารย์คนเดียวก็รับมือยากแล้ว
ถ้าจะมีเรื่องกับอาจารย์เพิ่มอีกก็เห็นจะไม่ไหว
อีกอย่างที่นี่ก็เป็นห้องฉุกเฉินมีพยาบาลกับหมอและคนเดินเข้าออกตลอดคงไม่เป็นไร
“เอาแบบนั้นก็ได้ครับ...ผมกลับก่อนก็ได้ อ้อ ผมรบกวนขอเบอร์อาจารย์หน่อยนะครับ ผมจะได้โทรมาถามอาการของยองแจได้”
อาจารย์หนุ่มพยักหน้าบอกหมายเลขโทรศัพท์ของตนเองให้แก่ฝ่ายที่ร้องขอ
“ยิงเบอร์เข้าเครื่องผมด้วย ผมจะได้รู้ว่าเป็นคุณ”
“อา ครับ ยิงไปแล้ว เออะ ผมลืมถามเลย อาจารย์ชื่ออะไรนะครับ”
“จอง ฮอนชอล”
“ครับ...งั้น ผมลากลับก่อนนะครับ ถ้าอาจารย์มีอะไรหรือยองแจเขาฟื้นโทรเรียกผมได้เลยนะครับ”
“ขอบใจมากนะ”
ฮยองวอนก้มศีรษะให้อาจารย์แล้วก้าวเท้าห่างออกมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูพลางหันไปมองในห้องฉุกเฉินอีกครั้งอย่างเป็นห่วงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์โทรแต่นิ้วดันไปโดนแกลอรี่ภาพพร้อมกับภาพของชายหนุ่มรูปงามตัวใหญ่หนาผิวขาวจัดสวมเสื้อเชิ้ตสีอ่อนซึ่งเขาแน่ใจว่าคืออาจารย์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขากำลังจูบกับหญิงสาวคนหนึ่งจะปรากฏหราขึ้นมา
“เชี้ยๆๆๆ” เขาสบถออกมารีบปิดรูปที่เผลอกดถ่ายมาอย่างไม่ตั้งใจออกจากหน้าจอด้วยใจตุ๊มๆต่อมๆ แต่จะให้กดลบรูปออกนิ้วก็ไม่ยอมเห็นด้วย
...มันไม่เป็นไรหรอก ถ้าอาจารย์โฮซอกจะจูบกับใคร...
...แต่มันเป็นเพราะคนที่อาจารย์จูบคืออาจารย์ดาซม...
...อาจารย์ดาซมคนที่แต่งงานแล้ว...
0 Comments