LOVE TOXICAL : DUPNON CHAPTER 10

09:51


เสียงแมลงกรีดปีกอยู่บนต้นไม้ใหญ่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบตรงทางเดินของชั้นสี่ ชายหนุ่มคิ้วหนาหน้าดุจับสายกระเป๋าสะพายของเด็กหนุ่มลูกครึ่งผิวขาวจัดสวมชุดนักเรียนมัธยมปลายรั้งให้หันกลับมาหากัน ก่อนจะขยับริมฝีปากฝากคำถามที่ไม่ผ่านกระบวนการคิดออกไป


ไปอ่านหนังสือที่แมคเป็นเพื่อนสักครึ่งชั่วโมงได้ไหมเสียงเข้มดุพูดขึ้น


ฮะ...อะไรนะครับ


ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร


คนชวนบอกออกไปเท่านั้น...ความจริงไม่ได้รู้สึกอะไรหรอกถ้าจะต้องไปไหนมาไหนคนเดียว เรื่องกินข้าวคนเดียวนะปกติ แต่ไม่รู้ทำไมเห็นหน้าเด็กนี้แล้วมันไม่อยากไปคนเดียว


...ถ้ายอมไปก็คงดี...  


...ดี...ทำไมถึงดี...ดีอะไรวะ


เขาเริ่มถามตัวเองอย่างสับสน


แมคตรงไหนครับ


ตรงหัวมุมถนนฝั่งนู้นไง


เก่งวิชาประวัติศาสตร์ไหมครับ


พอได้


แล้วเลขล่ะครับ


ก็คิดเลขไวอยู่


เด็กหนุ่มกระพริบตามองความเรียบเฉยของผู้ชายที่ดูเหมือนจะโตกว่าพอสมควรก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือดูเวลาสามทุ่มยี่สิบนาทีบนหน้าปัดอย่างชั่งใจพักหนึ่งก็เงยหน้า


งั้นก็ได้ครับ...ผมไปด้วย


“ก็ดี” คำนั้นหลุดจากปากพร้อมกับเท้าที่ก้าวเดินนำหน้าจนเกือบจะคล้อยลงบันไดนั้นเอง ถึงมีเสียงเรียกออกมาจากเด็กคนเดิมที่ยังยืนไม่ขยับไปไหน


“อะไร”


“ไม่เปลี่ยนรองเท้าเหรอครับ”


บยอลย่นหน้าผากก้มมองเท้าของตัวเองที่ยังสวมรองเท้าหัวมิกกี้เม้าท์สำหรับใส่ในบ้านที่รุ่นพี่ร่วมห้องซื้อมาเป็นคู่เพราะเห็นมันลดราคา อยู่ๆหน้าก็รู้สึกร้อนขึ้นมาแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาเปิดประตูห้องที่ลืมล็อกเกือบจะเข้าไปแล้วแต่ก็ยื่นคอออกมามองเด็กที่ยืนอยู่


“รอด้วย” สั่งเสร็จก็หายเข้าไปหลังบานประตูสีเลือดหมูที่มีป้ายตัวเลขห้อง 407 ติดอยู่


ฮัลซลกระพริบตามองประตูราวกับส่องเห็นถึงภายในห้องได้นิ่งงัน ดวงตากลมอยากรู้อยากเห็นนั้นกลอกไปมาพร้อมกับริมฝีปากที่ค่อยๆคลี่ขยาย



...ผู้ชายที่เคยคิดว่าน่ากลัว กลับไม่น่ากลัวเลยสักนิด...

...ที่พวกพี่ซองฮักขู่ไว้ว่าเป็นมาเฟียก็คงไม่ใช่...

...มาเฟียอะไรใส่รองเท้ามิกกี้เม้าส์ ขนาดเขายังไม่มีใส่เลย...



บานประตูเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของเจ้าของห้องอีกครั้ง รองเท้าใส่ในบ้านถูกเปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าใบ มีสแนปแบคถูกเพิ่มมาบนศีรษะและกลิ่นของน้ำหอมที่เหมือนจะถูกฉีดเพิ่มมาใหม่ มือหยาบหยิบกุญแจมาล็อกห้องเรียบร้อยก็หันกลับมาเรียกอีกคนที่รออยู่ให้ตามไป



ฝ่ายอายุมากกว่าล้วงกระเป๋าเดินลงบันไดนำหน้าไปเรื่อยเปื่อย นานๆทีก็หันมามองว่าคนข้างหลังยังตามอยู่คล้ายกลัวว่าจะแอบหนีไป พอทั้งคู่พ้นประตูของหอพักออกมาด้านนอกได้ คนอายุน้อยกว่าที่อมยิ้มอยู่ก็จ้ำเท้ามาเดินอยู่ข้างๆ



“ไฟทางมันเสีย” หลังจากที่เงียบกันอยู่นานสุดท้ายคนหน้าดุก็เปิดปากจนได้



“ครับ”



“ทางเดินมันมืด...เดินระวังด้วย”



“อ้อ ครับ” ตอบรับเพียงเท่านั้นก็เงียบ ถึงจะไม่รู้สึกอึดอัดแต่ก็คล้ายว่าต่างฝ่ายต่างไม่รู้จะเริ่มบทสนทนาต่อกันอย่างไรเลยได้แต่เดินออกจากซอยของหอที่ค่อนข้างเงียบออกไปเจอกับถนนรวมทั้งทางเท้าที่มากไปด้วยการสัญจรของรถราและผู้คน



ฝ่ายคนชวนก้าวเท้าไปข้างหน้าแทรกหายเข้าไปในวงของคนมากมายที่เดินสวนไปมาอยู่ในย่านนั้นทำให้อีกคนต้องถอยกลับมาเป็นฝ่ายเดินตามอยู่ข้างหลังก่อนจะถูกฝูงชนเบียดเข้ามาขวางทาง ดวงตาโตมองไปยังแผ่นหลังที่เคลื่อนห่างออกไปทีละน้อยในฝูงชนนั้น แต่เขาไม่กังวลเพราะรู้อยู่แล้วว่าร้านแมคที่จะไปกินนั้นอยู่ตรงไหน



ร้านแมคโดนัลด์นั้นอยู่ไม่ไกลจากตรงหน้า ทว่าพอหันไปมองคนที่ควรจะอยู่ข้างๆกลับกลายเป็นใครไม่รู้เดินต่อผ่านหน้าไปและเมื่อมองกลับไปด้านหลังก็คล้ายจะเห็นเด็กคนนั้นอยู่ลิบๆ กลางผู้คน



...เดินช้าฉิบ...



ใบไม้ร่วงกราวจากต้นผ่านมาตรงหน้าทำให้เด็กหนุ่มหลับตาพลางยกมือข้างหนึ่งปัดมันไปโดยอัตโนมัติก่อนจะรู้สึกได้ถึงมือของบางคนที่จับแขนตัวเองไว้และเมื่อลืมตาก็เห็นคนหน้าดุที่เดินไปไกลแล้วอยู่ตรงหน้าดึงให้เดินตามหลังมาพร้อมกัน



พนักงานโค้งให้กับลูกค้าที่มายืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ บยอลเงยหน้ามองเมนูที่อยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์เงียบๆ แต่มือนั้นยังจับแขนตรงข้อศอกของคนเด็กกว่าไว้โดยไม่มีทีท่าจะปล่อย



“จะกินอะไร” คำถามห้วนดังขึ้นทั้งที่ไม่หันมามอง



“ผมกินมาแล้วครับ”



“ชอบกินอะไร” คำถามถูกเปลี่ยน



“ที่ว่าชอบกินหมายถึงของกินที่นี่เหรอครับ...อา...ก็ ปกติจะสั่งดับเบิ้ลชีสเบอร์เกอร์ เฟรนซ์ฟรายจัมโบ้แล้วก็สตอเบอรี่มิลค์เชก”



“ครับ เอาตามที่เขาสั่งเมื่อกี้แล้วก็เพิ่มโค้กใหญ่แก้วหนึ่งนะครับ”



“เอางั้นเลยเหรอครับ ทำไมคุณไม่สั่งที่คุณอยากกินล่ะครับ”



“คิดไม่ออก” ตอบมาห้วนๆไม่แม้แต่จะหันมามอง


“ทานที่นี่หรือรับกลับคะ”



“ที่นี่”



พนักงานจัดอาหารให้ตามออเดอร์ของลูกค้าวางลงบนถาด หลังจ่ายเงินเรียบร้อยคนโตกว่าก็ยกมันมาวางตรงที่นั่งโซฟาใกล้กับกระจกใสที่สามารถมองออกไปเห็นความเคลื่อนไหวภายนอกได้ถนัดตา เฟรนซ์ฟรายถูกเทจากกล่องลงบนถาดที่มีกระดาษรอง



ฮันซลเลือกนั่งฝั่งข้ามกับคนที่ชวนมาปลดกระเป๋าสะพายออกจากหลังหยิบหนังสือออกมาวางไว้บนโต๊ะ พอเงยหน้าขึ้นมาจึงได้เห็นมิลค์เชกถูกเลื่อนมาหาและเฟรนซ์ฟรายทั้งกล่องถูกเทไว้บนกระดาษรองถาด



“กิน” สั่งเสียงเรียบ



“ผมอิ่มแล้วน่ะครับ”



“กินค่อยอ่าน”



“แต่ผม”



“มาสองคนจะให้กินอยู่คนเดียวหรือไง” คนหน้าดุว่าด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้ายแต่เสียงนั้นเพียงพอให้รู้ว่าเริ่มหงุดหงิดแล้ว



“อา เข้าใจแล้วครับ” สุดท้ายเลยต้องยอมหยิบเฟรนซ์ฟรายมากินสองสามชิ้น



“แก้วนั้นของนาย” นิ้วชี้ไปที่สตอเบอรี่มิลค์เชกทำให้คนอ่อนกว่าต้องหยิบมาดูด จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทำแบบฝึกหัด ปล่อยให้อีกคนกัดแฮมเบอร์เกอร์กินพลางมองดูหน้าหนังสือที่เต็มไปด้วยสูตรและตัวเลขซึ่งมี ปากกาสีขีดไว้ในจุดสำคัญ



“จะเข้าคณะบัญชีเหรอ”



“ไม่ครับ จะเข้านิติศาสตร์”



“แต่อ่านเลขนิ”



“พอดีผมอ่อนวิชาเลขก็เลยต้องอ่านเยอะๆหน่อย”



“อ่อนแต่เลข”



“ก็ไม่เชิงแค่เลขหรอกครับ มีพวกประวัติศาสตร์เศรษฐศาสตร์กับภาษาเกาหลีด้วยที่อ่อน”



“อืม”



“จริงสิ เมื่อกี้คุณบอกว่า คิดเลขเก่งใช่ไหมครับ มันมีตรงนี้ที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ คุณช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมครับ” หน้าแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์เตรียมสอบถูกยื่นมาหา อีกคนเหลือบตามองโจทย์ที่เต็มไปด้วยตัวแปรมากมายก็กัดปาก



...ห่า นี่เลขหรือรหัสมอร์สวะ ไอ้ที่บอกว่าถนัดน่ะคือคิดเลขบวกลบคูณหาร กำไรขาดทุน คิดแต้มไพ่ไม่ใช่โจทย์ระดับชิงคณิตศาสตร์โอลิกปิคแบบนี้...



“ไม่ได้”



“อ้าว...ก็ไหนว่า”



“ไม่ได้บอกว่าคิดเลขพวกนี้ไวนิ”



“แล้วคิดเลขแบบไหนไวล่ะครับ”



“พวกที่ไม่ต้องคิดซับซ้อนแทนสูตรวุ่นวาย ใช้ขายของ คิดแต้มไพ่อะไรอย่างนั้น”



“แต้มไพ่” คนฟังย้อนถามพลางเลิกคิ้ว



“งานเก่าน่ะ เคยทำงานในกาสิโน กาสิโนถูกกฎหมายนะไม่ใช่แบบผิดกฎหมาย แล้วมันต้องคิดแต้มไพ่ให้ลูกค้า แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำแล้วนะ”



“เล่นด้วยไหมครับ”



“มีบ้าง”



“ได้หรือเสียครับ”



“ไม่เคยเสีย”



“โอ้ นอกจากเป็นพนักงานก็เป็นนักพนันที่เก่งด้วยสินะครับ”



“ไม่ได้เป็น”



“ก็เมื่อกี้...”



“ตอนนี้เลิกแล้ว ไม่ได้ทำงานพวกนั้นแล้ว”



“อ้อ ครับ” ฝ่ายตรงข้ามส่งเสียงในลำคอผงกหัวขึ้นลงเหมือนเข้าใจปิดแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์แล้วหยิบแบบฝึกหัดภาษาเกาหลีเตรียมสอบที่อยู่ในกองหนังสือบนโต๊ะมาเปิดแทน แต่คนที่มองอยู่กลับไม่สบายใจที่พูดถึงอาชีพเก่าของตัวเอง



ปกติเขาไม่ค่อยสนใจเวลาพูดถึงอาชีพเก่าให้คนอื่นฟัง เพราะคนที่วนเวียนมาให้รู้จักมักหนีไม่พ้นพวกทำงานประเภทที่มีแต่คนในที่เข้าใจหัวอก ส่วนคนนอกก็มองแค่ว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนอันตรายที่ไม่น่าเข้าใกล้ แต่ไม่รู้ทำไมพอบอกเด็กคนนี้ไปถึงรู้สึกไม่ค่อยดี


“ไม่ใช่คนไม่ดีหรอกนะ”



ประโยคนั้นหลุดจากริมฝีปากตามด้วยการกัดแฮมเบอร์เกอร์ในมืออีกคำ ทำให้คนที่จดจ่อกับสุภาษิตเกาหลีในหนังสือชะงัก เงยหน้ามองยังคนที่นั่งมองออกไปยังภาพท้องถนนด้านนอกโดยมีซอสมะเขือเทศเลอะตรงมุมปากก็หลุดยิ้มออกมา



“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”



“บอกไว้ก่อน”



“จะบอกว่าเป็นคนดีเหรอครับ”



“ไม่ถึงกับเป็นคนดีแต่ก็ไม่ใช่คนเลวชาติขนาดต้องกลัวกันหรอก”



“มีเรื่องชกต่อยบ้างไหมครับ”



“ฉันไม่ทำร้ายใครถ้าไม่โดนทำก่อน”



“เป็นนักเลงด้วยเหรอครับ”



“เปล่า”



“แล้วตอนนี้เป็นอะไรครับ...ผมหมายถึงทำงานอะไรอยู่”



“เจ้าของผับ แล้วก็เป็นแรพเปอร์บางที”



“อ้อ...ฟังดูเท่ห์จัง”



“ก็ไม่ขนาดนั้น”



“พวกแรพเปอร์เขาแต่งเนื้อเพลงกันเก่งนะครับ แบบนี้คุณก็ต้องเก่งพวกภาษาสิครับ”



“ถ้าเป็นภาษาเกาหลีก็ได้คะแนนเต็มตลอด”



“งั้นก็สอนผมได้สิ”



“ภาษาเกาหลีนี้ยังต้องสอนอีกเหรอ” คนหน้าดุละสายตาจากบานกระจกใสที่แสร้งทำเป็นมองไปข้างนอก ทั้งที่จริงแล้วมองเงารางๆของอีกคนที่สะท้อนอยู่บนนั้น “อ้อ ลืมไป นายเป็นลูกครึ่งนิ”



“โอ้ ทำไมถึงรู้ว่าผมเป็นลูกครึ่ง ส่วนใหญ่คนเขานึกว่าผมเป็นต่างชาติแท้ๆกันนะ”



“เดาเอา”



“เก่งจัง...งั้นลองเดาดูไหมครับว่าผมเป็นลูกครึ่งเกาหลีกับชาติอะไร”



“อเมริกามั้ง”



“เอ้า ถูกอีก”



“จริงเหรอ”



“ครับ...แต่จริงๆฝั่งแม่ผมเขามีเชื้อสายคนฝรั่งเศสแต่ย้ายมาอยู่อเมริกา พ่อผมเป็นคนเกาหลีแต่อยู่อเมริกา ก่อนหน้านี้ผมก็อยู่นิวยอร์กแต่พ่อผมเขาอยากให้ผมรู้จักเกาหลีบ้านเกิดของพ่อก็เลยส่งผมมาอยู่ที่นี่ แล้วก็คอยบินมาหา”



“ปกติอยู่คนเดียวสิ”



“เปล่าครับ อยู่กับน้องชายอีกคน แต่เขาไม่ใช่น้องชายแท้ๆหรอกนะครับ เป็นลูกของเพื่อนแม่แต่ผมรักเขาเหมือนน้องชายตัวเองจริงๆเลย”



“อยู่กันแค่นั้นทำไมต้องย้ายมาอยู่หอคนเดียว”



“พอดีแม่ของแซมเขาตกลงต่อเติมบ้านก็เลยต้องแยกย้ายกันอยู่ก่อนชั่วคราว พอต่อเติมเสร็จเมื่อไหร่ค่อยกลับไปอยู่ด้วยกัน”



“ตอนนี้ไม่ได้อยู่กับน้องหรอกเหรอ”



“ครับ...เพราะเตรียมสอบซูนึงก็เลยต้องมาอยู่คนเดียว ส่วนน้องก็ย้ายไปอยู่กับลูกชายลูกน้องของคุณลุง”



“ลำบากสิ”



“ไม่หรอกครับ อย่างผมนี้เรียกโครตสบาย เวลาหิวก็ไปฝากท้องไว้ที่ร้านพี่ๆญาติของแซมได้ พวกเสื้อผ้าก็โยนลงเครื่องซักในร้านหยอดเหรียญ เวลาจะรีดก็ให้เพื่อนมาช่วยรีดเอา แล้วก็พยายามไม่ทำให้ห้องเลอะจะได้ไม่ต้องทำความสะอาดบ่อย”



“ที่บ้านไม่เคยหัดให้ทำเหรอไง”



“ก็ให้ลองทำแต่พอดีผมเป็นพวกนอกจากเรียนแล้วชอบทำอย่างอื่นพัง จะล้างจานก็ทำจานแตก จะต้มน้ำก็เหม่อลืมจนครัวเกือบไหม้ ผ้าเคยรีดแล้วไหม้เป็นรู เขาเลยไม่ให้ทำ แต่พวกกวาดบ้านถูบ้านนี้ผมยังทำได้อยู่นะ ซักผ้าถ้าลงเครื่องก็โอเค”  



“เหมือนพวกลูกคุณหนูเลยนะ”



“บอกแล้วว่าชีวิตผมสบายจะตาย ที่จะเดือดร้อนก็คงมีตอนอ่านหนังสือแล้วห้องข้างบนส่งเสียงดังนั้นแหละ แต่ได้คุยกับเจ้าของห้องแล้วคิดว่าคงไม่ดังอีกมั่ง”



“ก็ไม่แน่”



“อ้าว”



“พวกนั้นเป็นศิลปิน...เวลาทำเพลงทีเสียงมันลอดออกมา มีคนร้องเรียกหลายทีก็เลยต้องให้ช่างมาทำห้องให้เก็บเสียง”



“เสียงดังแบบนั้น คุณไม่รำคาญเหรอครับ”



“คือเวลาของฉันกับพวกนั้นมันเหมือนกันน่ะ ประเภทที่กลางวันนอน กลางคืนตื่นทำงานกลับมาอีกทีก็เช้าเลยไม่เคยได้ยิน”



“เออเนอะ ผมก็ลืมไปว่าคุณเป็นเจ้าของผับ”



“เคยเข้าไหม”



“เคยครับ”



“อายุไม่ถึงเขาให้เข้าด้วยหรือไง”



“พอดีญาติผมเขาเปิดผับอยู่ในนิวยอร์ก เขาแอบให้ผมเข้าไปครั้งหนึ่ง”



“เป็นไง”



“ผมไม่ค่อยชอบที่ที่ต้องเบียดกันแถมมีกลิ่นเหล้า กลิ่นบุหรี่ตีกันมั่วเท่าไหร่ วันที่ไปสำลักควันบุหรี่แทบตาย ถ้าให้เข้าไปอีกก็คงไม่ไป”



“อ้อ”



ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจคีบเฟรนซ์ฟรายเข้าปากพลางทอดมองคนที่เริ่มจดจ่อกับการอ่านหนังสืออีกครา ปล่อยความเงียบให้ไหลเข้ามาพร้อมกับเวลาที่หมุนไป



...มองมันอ่านหนังสือก็เพลินดี...



“สุภาษิตพวกนี้มันต้องต่อด้วยคำว่าอะไรเหรอครับ”



“ไหน”



“นี่อะครับ”



มือเรียวขาวหยิบหนังสือพลิกด้านที่เป็นหน้าแบบฝึกหัดไปหาแล้วชี้ไปยังข้อที่เป็นปัญหา คนโตกว่ากวาดตาอ่านสุภาษิตเกาหลีที่มีช่องว่างเว้นไว้ให้เติมด้านหลังก่อนจะขยับบอกคำตอบทีละข้อราวกับเชี่ยวชาญสุภาษิตเหล่านี้ดี



ฮันซลกระพริบตาปริบพลิกด้านหลังแบบฝึกหัดมองหาเฉลยที่จะไม่เปิดเด็ดขาดถ้าทำไม่เสร็จ เห็นเฉลยที่ตรงกับคำตอบที่อีกคนพูดมาก็ตาโต



“โห ตอบถูกหมดเลย คุณนี่เก่งเกาหลีจริงๆด้วย”



“มันยากตรงไหน”



“ถ้าคุณว่าไม่ยาก ช่วยอธิบายความหมายของสุภาษิตแต่ละข้อให้ผมฟังด้วยได้ไหมครับ”



“ต้องอธิบายด้วยเหรอ”



“ก็ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ”



บยอลเหลือบตาจ้องดวงตากลมใสเป็นประกายที่มองกลับมาอย่างมีความหวังดูคล้ายหนูแฮมสเตอร์ตัวน้อยที่วงล้อเครื่องเล่นในกรงตัวเองเกิดไม่หมุนตามการวิ่งของตัวเองต้องให้เจ้าของมาซ่อมให้อยู่พักหนึ่งก็ใจอ่อน ถอนหายใจออกมา



“เออ เอามา”



เมื่อรับคำช่วยเด็กหนุ่มฝั่งตรงข้ามก็อ่านออกเสียงสุภาษิตไปทีละข้อให้ฟัง ใช้ดินสอจดข้อความที่คนหน้าดุซึ่งนั่งพิงเสาริมหน้าต่างใสของร้านอธิบายความหมายของสุภาษิตเหล่านั้นให้



“ข้อนี้มันยาวไป อ่านให้ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง เอาโจทย์มาให้ดูหน่อย” พอบอกหนังสือถูกพลิกกลับหัวเลื่อนมาหา กลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้ผสมขนมจากคนอ่อนกว่าลอยมาแตะจมูกแทบจะทันทีที่หัวของอีกคนขยับเข้ามาใกล้ด้วยตั้งใจจะจด คนหน้าดุผงะห่างเรือนผมสีอ่อนนั้นอัตโนมัติไม่ใช่เพราะรังเกียจแต่ไม่ทันคิดว่าผมหอมๆจะเข้ามาใกล้จมูกแต่สุดท้ายเขาก็เคลื่อนตัวกลับไปในตำแหน่งเดิม



หลังอธิบายไปยืดยาวผมสีอ่อนนั้นก็ขยับกลับไปยังที่ตัวเองพร้อมกับหนังสือ ทำให้คนช่วยสอนหนังสือดุนลิ้นในปากรู้สึกแปลกๆแบบที่ตอบตัวเองไม่ได้ว่าเพราะอะไร



“ขอบคุณนะครับที่สอน” เด็กหนุ่มว่าพลางโค้งให้เล็กน้อยก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาถึงรู้ว่า ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเลยครึ่งชั่วโมงมาสิบห้านาทีแล้ว “คุณจะไปทำงานหรือยังครับ”



“มันครบครึ่งชั่วโมงแล้วเหรอ”



“ไม่ใช่ครบอ่ะครับ เกินมาสิบห้านาทีแล้ว”



“อ้อ เกินแล้วเหรอ งั้นก็ต้องกลับแล้วสินะ”



“ร้านคุณอยู่ตรงไหนเหรอครับ”



“เดินจากแมคไปไม่ไกลก็ถึง”



“ที่ทำงานใกล้หอจัง”



“แวะไปไหมล่ะ” คำถามที่ไม่ผ่านกระบวนการกลั่นกรองหลุดจากปากจนคนที่รู้ตัวว่าชวนอะไรออกไปแทบอยากจะตบปาก



...มึงเป็นอะไรของมึงวะบยอล...

...ไม่ได้สนิทกันเลยสักนิด ชื่อก็ยังไม่รู้ ทำไมขยันหลุดปากชวนจังวะ...



“อยากให้ไปเหรอครับ” คนตรงข้ามถามกลับ “แต่ผมต้องอ่านหนังสือ”



“พูดไปงั้นแหละ อายุไม่ถึงไม่ให้เข้าหรอก”



“อ้อ ล้อเล่นหรอกเหรอครับ ผมก็ตกใจนึกว่าชวนไปจริงๆ”



“แล้วนี่จะกลับหอเลยใช่ไหม”



“ครับ”



“อืม” ชายหนุ่มลุกจากโซฟาเดินนำออกมายืนรออยู่หน้าร้าน ปล่อยอีกคนเก็บข้าวของตามหลังมา



“ขอบคุณที่เลี้ยงของกินและสอนหนังสือผมนะครับ”



“ไม่ได้เลี้ยง”



“อ้าว”



“เล็มแทนกินแบบนั้นใครคิดเงินก็งกเกินแล้ว”  



“อา แบบนั้นเอง ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะครับ” คนอ่อนกว่าโค้งให้อีกหน “งั้นก็ แยกย้ายเลยดีไหมครับ”



“แยกไปไหน”



“ก็คุณไปทำงาน ส่วนผมก็กลับหอไงครับ”



“เดี๋ยวไปส่ง”



“ไปส่ง...ทำไมต้องไปส่งอีกล่ะครับ”



“ชวนมาก็ต้องพากลับ”



“ผมไม่ใช่เด็กสี่ห้าขวบนะครับ หอก็อยู่แค่นี้เอง”



“เพราะมันอยู่แค่นี้ไงถึงเดินไปส่ง ถ้าอยู่ไกลก็ไม่ไป”



“มีอย่างนี้ด้วย แต่คุณต้องเดินไปเดินกลับแบบนี้มันไม่เสียเวลาเหรอครับ”



“หยุดเถียงสิ”


“ฮะ”


“หยุดเถียงแล้วเดินไปจะได้ไม่เสียเวลา” คนหน้าดุเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบทำให้คนเด็กกว่าหรี่ตา


...เป็นคนแปลกๆเนาะ...


“อาๆ เอาไงก็เอาแล้วกันครับ” ในที่สุดคนอ่อนกว่าก็หยุดถามหาเหตุผลกำลังจะเดินต่อ ข้อศอกที่มีเสื้อแขนยาวคลุมกลับถูกมือของอีกคนคว้าไว้ เจ้าตัวกระพริบตามองมือที่จับอยู่ตรงข้อพับและศอกของตัวเองแล้วเงยสูงไปยังเจ้าของมือที่มองตอบเขามาด้วยแววตาไร้อารมณ์


“เดินช้า ถ้าไม่จับกว่าจะถึง...มันนาน”


คำอธิบายลอดจากริมฝีปากเท่านั้น ก็ออกแรงดึงเบาให้ฝ่ายตรงข้ามที่ยังมึนงงกับเหตุผลให้เดินตามมาอยู่ข้างๆ ระหว่างที่เดินไปด้วยกันคนโตกว่าคอยพาแทรกตัวไปตามช่องว่างกลางผู้คนจนถึงหน้าปากซอยของหอ ความเงียบก็ถูกทำลายด้วยเสียงเข้มๆ


“มันมืด ระวังสะดุด”



อีกฝ่ายได้แต่พยักหน้าหงึกรับปล่อยให้ตัวเองถูกจูงไปเรื่อยๆโดยไม่พูดอะไรกระทั่งมาถึงหน้าหอพัก ผู้ดูแลหอหิ้วถุงขยะสีดำเดินออกมาพอดี เมื่อเห็นเด็กลูกครึ่งยืนอยู่ก็ยกมือทักทายพลางถามถึงเรื่องเสียงรบกวนของห้องข้างบน


“ผมไปคุยกับเขาแล้วครับ...เขาบอกว่าจะลดเสียงลงให้”


“ดีจังนะครับที่เจอ ผมขึ้นไปทีไรเจอแค่ครั้งเดียวเอง แล้วเรื่องไฟแช็กล่ะครับ คืนไปหรือยัง ถ้ายังหลานผมเขาบอกว่าฝากไว้ก็ได้เดี๋ยวทำป้ายหาตัวเจ้าของให้” ผู้ดูแลหอถามถึงอีกเรื่องที่อีกคนเคยมาถามหาว่ามีคนมาถามถึงไฟแช็กบ้างไหมหลายครั้ง


“ไฟแช็ก เออ ลืมเลย ไฟแช็ก” เสียงร้องดังเหมือนเพิ่งคิดขึ้นได้หลุดจากปาก “ไม่ต้องแล้วครับ ผมเจอเจ้าของแล้ว”


“ดี ดี อย่างนี้ก็ไม่ลำบากแล้ว งั้นผมขอตัวไปทิ้งขยะก่อนนะครับ” ลุงคนดูแลหอเดินจากไป ปล่อยให้คนที่เพิ่งนึกเรื่องไฟแช็กได้อ้อมมือไปยังช่องหน้าของกระเป๋าสะพายหลังคว้านหาบางอย่างที่อยู่ในนั้นก่อนจะหยิบมันออกมายื่นให้กับคนหน้าดุที่ยืนนิ่งเหมือนหุ่นยนต์


ตาเรียวเหลือบยังไฟแช็กราคาแพงที่เห็นแว่บแรกก็จำได้ว่าเป็นของรางวัลที่ได้มาจากการเอาชนะโป๊กเกอร์เจ้าพ่อคนหนึ่งในฮ่องกงที่คาสิโนและเขาก็พกมันติดตัวไว้เพราะมันใช้ดีกว่าไฟแช็กอื่น


...จำได้ว่าเก็บมาแล้วทำไมไปอยู่กับไอ้เด็กนี่ได้วะ...


“วันก่อนที่คุณลนเชือกรองเท้าให้ผม คุณลืมไฟแช็กเอาไว้ ผมไม่ได้คิดจะขโมยนะครับแต่ไม่รู้ว่าจะคืนให้ยังไงก็เลยเก็บไว้กับตัว เมื่อกี้ตอนที่อยู่ในร้านผมก็ลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย”



“อ้อ”



“ผมคืนให้นะครับ” ไฟแช็กถูกยื่นมาใกล้อีกแต่อีกฝ่ายยังคงนิ่งไม่มีทีท่าจะรับมันกลับจนต้องถามย้ำ “ไม่เอาคืนเหรอครับ”


“เก็บไว้สิ”


“ครับ?


“เก็บไว้ก่อน”


“เก็บทำไมอ่ะครับ”


“เชือกรองเท้าไม่ลุ่ยอีกหรือไง”


“ไม่ครับ ตั้งแต่ทำตามคุณบอกมันไม่เคยลุ่ยอีกเลย”


“ถึงไม่ลุ่ยก็อาจต้องใช้”


“จะใช้อะไรล่ะครับ ผมไม่สูบบุหรี่”


“ต้องสูบบุหรี่อย่างเดียวหรือไงถึงใช้ได้” คนโตกว่าเริ่มกอดอกจ้องตาคู่สนทนาเอาไว้เขม็ง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่อยากได้คืน


...ผูกมิตรเหรอวะ...


...ผูกไปทำซากอะไรกับเด็กแบบนี้...


...ก็ไม่ใช่คนอัธยาศัยดีขนาดจะอยากรู้จักคนไปทั่วปะวะ...


...แล้วมึงเป็นเหี้ยอะไรของมึงวะบยอล...


...เด็กนี่แม่งอยู่กันคนละโลกเลย...


...เกิดเอ็นดูเด็กอะไรของมึงขึ้นมา แค่เอาไฟแช็กคืนก็จบ...


...แต่ใจมันไม่อยากได้คืน...


“ถ้าจะใช้เดี๋ยวผมไปซื้อถูกๆมาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟแช็กแพงขนาดนี้หรอกครับ”


“ฝากไว้ก่อน”


“คะครับ”


“ฉันมีไฟแช็กหลายอันน่ะ อันนั้นฉันฝากไว้ก่อนแล้วกัน อยู่ห้อง 308 ใช่ไหมล่ะ วันไหนจะใช้แล้วจะไปทวงคืน”


“ไม่เอาหรอกครับ เอาคืนไปเถอะ ไฟแช็กแพงขนาดนี้ เกิดผมทำหายขึ้นมา ผมไม่มีปัญหาใช้หรอกนะ”


“อย่าทำหายสิ”


“แต่ผมเป็นคนซุ่มซ่าม”


“ฝากไม่ได้ก็ทิ้ง”


“คุณจะบ้าเหรอ ของเป็นล้านๆวอนให้ทิ้ง”


“ได้มาฟรี ถ้าฝากไม่ได้จะทิ้งก็ไม่เป็นไรหรอก”


“ใครเขาจะให้ไฟแช็กแบบนี้ฟรีๆกัน”


“อย่าเอาสิ่งที่ไม่เคยเจอมาตัดสินว่าคนอื่นต้องไม่เคยเจอด้วยสิ”


เด็กหนุ่มย่นหน้าผากจ้องตากับคู่สนทนาของตัวเองที่พยายามบ่ายเบี่ยงจะไม่รับคืนให้ได้ก่อนจะเห็นเขายกนาฬิกาข้อมือดูเวลาแล้วตัดบทใส่กันหน้าตาเฉย


“ฉันจะไปทำงานแล้ว ถ้าฝากไม่ได้ก็ทิ้ง เท่านี้แหละ” บอกจบก็หันหลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินเหมือนรีบร้อนต้องไปให้ถึงร้านในเวลาไม่กี่นาทีนี้


“อ้าว เดี๋ยวสิคุณ...อะไรของเขาฟร่ะ”


ฮันซลจ้องแผ่นหลังที่ห่างสายตาไปพลางเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ มองไฟแช็กราคาแพงที่ถือไว้ด้วยความรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจ


...คนที่ไหนเอาของราคาแพงฝากกับคนที่รู้จักกันแค่เลขห้อง...


...แถมวันนี้ก็รบกวนเขาตลอด ทั้งกินฟรี แถมให้สอนหนังสืออีกแต่เขาก็ไม่ว่าอะไร...


...หรือจะเป็นวิธีทำความรู้จักแนวใหม่...


“เป็นคนแปลกๆเนาะ” เด็กหนุ่มบอกกับตัวเองพลางเก็บไฟแช็กลงกระเป๋าก่อนจะหยิบคีย์การ์ดแตะเครื่องเดินเข้าหอ


...ถึงจะแปลกไปหน่อยแต่ก็ใจดีล่ะนะ...


You Might Also Like

0 Comments