LOVE TOXICAL : DUPNON CHAPTER 6

09:01


ขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เรียงรายบนชั้นกระจกหลังเคาน์เตอร์บาร์สว่างขึ้นด้วยแสงไฟหลากสีราวกับเป็นสัญญาณไม่มีเสียงถึงความสนุกยามค่ำคืน ณ ที่แห่งนี้ได้เริ่มดำเนินขึ้นแล้ว ชายหนุ่มหน้าดุคิ้วหนาสวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก็อตกับกางเกงขายาวและรองเท้าผ้าใบเป็นอาจิณโผล่ออกมาจากประตูหลังเคาน์เตอร์บาร์ยืนอยู่ข้างบาร์เทนเดอร์พาร์ทไทม์ที่มาทำงานแทนรุ่นน้องกะวันเสาร์อาทิตย์ที่ลาป่วยสองวันติด


“เช็ดเคาน์เตอร์ใหม่ด้วย...ตรงนี่ ยังเปื้อนอยู่เลย” บยอลสั่งพลางชี้ยังรอยน้ำบนเคาน์เตอร์ตรงที่ตัวเองยืนอยู่ แล้วถอยหลังตรวจดูขวดเหล้าราคาแพงที่วางเรียงเป็นพรอบประดับร้านแล้วหมุนสลากหน้าขวดหันออกมาด้านนอก


ผับแห่งนี้เปิดมาได้เกือบปีโดยการลงขันร่วมหุ้นกันระหว่างเขากับรุ่นพี่ที่ออกเงินทั้งหมดในการทำร้านและให้เขาจ่ายเงินเป็นหุ้นส่วนในภายหลัง ด้วยความที่รุ่นพี่อยู่อเมริกา หน้าที่บริหารทุกอย่างเลยกลายเป็นของเขาไปโดยปริยาย


การเปิดร้านทำให้ได้พบเพื่อนฝูงและผู้คนมากหน้าหลายตา แต่การดูแลร้านให้ได้กำไรเป็นภาระหนักและยากสำหรับเขาเช่นเดียวกันเพราะละแวกนี้ก็มีร้านกลางคืนให้ลูกค้าเที่ยวเยอะ ดังนั้นกลยุทธ์หนึ่งที่เขาเลือกใช้คือการหาพนักงานหน้าตาดี ดูแบดบอยเข้าถึงยากมาทำงาน อาศัยสายสัมพันธ์กับศิลปินของรุ่นพี่ที่กลับมาจากอเมริกาและอยู่ด้วยกันตอนนี้ดึงมาเปิดแสดงสดในร้านเพื่อเรียกลูกค้า


...แต่การที่พนักงานพาร์ทไทม์ประจำวันเสาร์อาทิตย์อย่างแจวอนโทรมาลาป่วยติดกันสองวันทำให้นักเที่ยวสาวดูลดลงไปพอสมควร...


เจ้าของร้านมองออกไปยังลูกค้าที่ทยอยเข้ามานั่งตามโต๊ะอย่างบางตาเพราะยังเป็นช่วงหัวค่ำ ก่อนจะเห็นชายหนุ่มตัวสูงใหญ่สวมเสื้อยืดสกรีนลายเท็ดดี้แบร์น่ารักทับด้วยเสื้อคลุมสีดำกับกางเกงยีนส์ขายาวที่มีรอยขาดประปรายจะเดินเข้ามานั่งตรงเคาน์เตอร์ราวกับเป็นที่ประจำของตัวเอง


“เฮ้ย” คำอุทานของคนทั้งคู่ดังประสานเสียงกันในนาทีที่ต่างฝ่ายต่างเห็นหน้าตามด้วยคำถามที่หลุดจาก ปากพร้อมกันพอดิบพอดี “มาทำอะไรที่นี่วะ”


“ไอ้บยอล มึงตะคอกใส่พี่มึงอย่างนี้เลยเหรอ” อีกคนยื่นมือใหญ่ยกแทบจะโบกหัวใส่คนตัวเล็กกว่า


“โว้ย ใจเย็นๆ ดิพี่ฮันเฮ ผมไม่ได้ตั้งใจ แค่ตกใจที่เห็นพี่อยู่นี่”


“กูต้องตกใจกว่าไหม ทำไมมึงถึงมาอยู่นี้ได้...อะไร อะไร้ อย่าบอกกูนะว่า เป็นบาร์เทนเดอร์ที่นี่ คนอย่างมึงนี่นอกจากคุมกาสิโนแล้วชงเหล้าเป็นด้วย”


“พี่อย่าพูดถึงอาชีพเก่าได้ปะ ทำจนเลิกทำมาตั้งหลายปีแล้ว เดือนก่อนไปกินข้าวกันก็บอกว่าเลิกทำงานที่กาสิโนแล้ว พี่แม่งไม่เคยจำ ใช่สิ ผมแม่งไม่สำคัญเท่ากับพวกเด็กในสต็อกพี่หรอก”


“มึงเป็นแค่น้องไงไม่ใช่เด็กกู กูก็เลยไม่จำ โว้ย ไม่ใช่ ไอ้ห่า กูทำงานเยอะก็ลืมบ้างไม่ได้ไง มึงแม่งอย่ามาทำน้อยใจ โตจนควายเตะตูดไม่ถึงแล้วยังมาทำเป็น...กูจะอ้วก แล้วตกลงนี่ยังไง มาทำห่าอะไรที่นี่”


“ผมก็มาดูร้านของผมดิ”


“ร้าน...เฮ้ย อย่าบอกนะว่านี่ร้านมึง”


“เออสิ ร้านผมเอง”


“ห๊ะ...มึงเนี่ยนะเป็นเจ้าของร้านนี้ เช็ดดด โกหกกูปะเนี่ย ทำไมกูไม่เห็นรู้มาก่อนเลยวะ”


“เอ้า ก็พี่ไม่เคยถามนี่หว่า แล้วพี่ล่ะโผล่มานี่ได้ไง ไหนสามสี่วันก่อนผมชวนไปกินข้าวพี่ยังบอกทำเพลงยุ่งฉิบหายวายป่วงเวลาเข้าห้องน้ำแม่งยังไม่มี แต่ผ่ามาโผล่นี่เฉย”


“ใจคอมึงจะให้กูทำแต่เพลงทั้งวันทั้งคืนไม่ต้องดงต้องแดกข้าวเลยไง”


 “แต่นี่แม่งร้านเหล้า...ไม่ใช่ร้านข้าววะพี่”


“งานศิลปะมันต้องมีแรงบันดาลใจถึงจะไปต่อได้นะว้อย”


“เลยมาหาแรงบันดาลใจ...ด้วยเหล้า”


“ก็ประมาณนั้น”


“ทำไมผมไม่เคยเห็นพี่มาก่อนเลยวะ ถ้าพี่มาเวลานี้ผมต้องเห็นบ้างดิ”


“คนเราก็มีการมีงานทำปะ จะให้มาทุกวันเลยไง...กูมาแค่ศุกร์เสาร์อาทิตย์ก็พอแล้วไหม”


“แล้วทำไมต้องมาแค่ศุกร์เสาร์อาทิตย์ อยากได้แรงบันดาลใจ วันอื่นก็ได้ไหม”


“แรงบันดาลใจกูเขามาเฉพาะวันศุกร์เสาร์อาทิตย์” คนพูดเลียริมฝีปากพลางคิดถึงรอยยิ้มกว้างของใครอีกคนที่เคยประจำอยู่ตรงเคาน์เตอร์
“นั่น แรงบันดาลใจพี่แม่งไม่ใช่แค่เหล้าแต่เป็นคนอะดิ บอกมาตรงๆดีกว่า พี่มาเล็งใคร”


“โว้ย ไอ้นี่เห็นกูเป็นคนยังไง”


“เห็นเป็นแบบนี้แหละ”


“แบบไหนของมึง”


“มือไว ใจเร็ว พร้อมเปย์...ชอบคนไหนแม่งไม่มีตรอง ขอจีบไว้ก่อน”


“ด่ากูขนาดนี้มึงไม่ต้องเรียกกูพี่ก็ได้”


“ที่พูดเพราะเห็นเป็นพี่หรอกผมถึงพูด...จริงๆ พี่เป็นคนดีกับเพื่อนกับฝูงมากเลยนะ แต่เรื่องเลือกคนคบแบบลักษณะอื่นไม่ไหววะ พี่ชอบใครพี่จะเอาให้ได้ พอคบๆไปคิดว่าไม่ใช่ก็เลิกไวฉิบ แล้วไอ้ก่อนจะเลิกนี้เปย์ไปตั้งไม่รู้เท่าไหร่ เสียดายเงินแทน”


“ถ้ามัวแต่คิดบวกลบกำไรกับคนที่คบด้วยแบบมึงนี่ปวดหัวตายห่า...ให้ถือซะว่าเป็นค่าเรื่องบนเตียงละกัน”


“โอย ท่านพี่กูนี้ไม่ใช่เล่นๆ แล้วตกลงยังไง มาเล็งใครที่นี่ไว้ใช่ปะ...ผมรู้จักปะวะ”


“ถ้ามึงเป็นเจ้าของร้านมึงก็ต้องรู้จักเขาแหละ”


“ใครวะ”


“ก็บาร์เทนเดอร์มึงอ่ะ...น้องวันไง”


“อ้อ...ที่มาทุกเสาร์อาทิตย์มาติดแจวอนมันนี่เอง”


“เขาชื่อจริงว่า แจวอนเหรอ”


“เออ”


“ทำไมไม่ให้เขาทำประจำไปเลยวะ ลูกค้าติดเขาเยอะนิ”


“มันยังเป็นนักศึกษาอยู่เลยจะมาทำประจำอะไรไหวล่ะ”


“อ้าว เหรอ เป็นนักศึกษาอยู่เลย แล้วนี่เขาไปไหนวะ...อยู่หลังร้านเหรอ”


“มันไม่สบายเลยลางาน”


“อ้อ ไม่สบายหรอกเหรอ ไอ้เราก็นึกว่าหลบหน้า”


“หลบหน้า...มันจะหลบหน้าพี่ไปทำไม”


“พอดีวันศุกร์กูชวนเขาไปต่อหลังเลิกงาน แต่เขาบอกกูว่ามีลูกต้องรีบกลับไปหา เขาจะให้ดูรูปลูกเขาด้วยแต่กูต้องกลับไปทำงานต่อเลยขอเขามาดูรูปลูกวันเสาร์ แต่วันเสาร์ก็ไม่มา วันนี้มาก็ไม่เห็นเลยนึกว่าหลบหน้าเพราะไม่อยากให้จีบ”


“ลูก...5555 ไอ้แจวอนมันบอกพี่ว่ามันมีลูกแล้ว และพี่ก็เชื่อแม่งด้วย”


“ใครเชื่อก็บ้าล่ะไอ้ห่า แต่เขาอยากหลอกกู กูก็เลยยอมให้หลอกดูเผื่อจะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น”


“พี่แม่งประสาทวะ...ทฤษฎีไหนแม่งบอกจีบคนต้องทำเป็นเชื่อที่แม่งหลอก”


“ทฤษฎีกูนี่แหละ...ทำตัวโง่ๆไว้อย่าให้รู้ว่าเราร้าย”


555 เออ ลืมไปว่าพี่แม่งฉายา ฮันเฮยกลัง”


คนเป็นพี่หลุดหัวเราะออกมาทันทีที่รุ่นน้องเอ่ยถึงฉายาที่เพื่อนทุกคนต่างรู้กันดี ที่มาของฉายานี้ก็มาจากที่เวลาดื่มเหล้าสังสรรค์ต้องดื่มยกลังจนเมาหลับต้องแบกกลับนั้นแหละถึงจะพอใจ 


“แต่กับพนักงานมึงนี่ยากวะ”


“ยากยังไง”


“ลูกค้ามาให้ท่าเยอะแยะ ไม่เห็นเขาสนใจใครเลย หรือมึงออกกฎไม่ให้พนักงานชอบกับลูกค้า”


“ไม่ได้ออก แต่แม่งตั้งกฎของมันขึ้นมาเอง...พูดตรงๆล่ะกัน แจวอนมันเป็นคนอัธยาศัยดีนะพี่ สนิทกับคนอื่นง่าย จะอะไรก็ได้ยิ้มตลอด แต่มันเหมือนมีเส้นแบ่งเขตว่า ถึงจุดนี้ใครก็เข้าไม่ถึงแล้วนะ อะไรแบบนั้น” คนเป็นน้องเอ่ยกับคนเป็นพี่ที่กำลังย่นจมูกและยู่ปาก ผมที่ถูกหวีเสยขึ้นไปด้านบนจนเห็นลานหน้าผากกว้างมองตามหลักโหงวเฮ้งก็ถือว่าดี แต่มองอีกทีก็เหมือนจะเถิก


ฮันเฮมองหน้ารุ่นน้องที่รู้จักกันตอนที่ถูกประธานค่ายเพลงที่ตัวเองทำงานอยู่ชวนไปคลายเครียดด้วยการพาไปเล่นพนันในคาสิโนถูกกฎหมาย แต่ด้วยความที่เล่นอะไรพวกนี้ไม่เก่ง อย่างดีก็ได้แค่เล่นสลาฟตามสีตามอักษรเลยขอตัวไปแกร่วเมาอยู่ที่บาร์ของกาสิโนแทนก็เลยได้เจอกัน พูดจากันถูกคอเลยขอคาทกติดต่อกันไว้ ไปไงมาไงไม่รู้มันเสือกรู้จักกับฮอนชอลเพื่อนของเขาอีกคนจนย้ายไปอยู่ด้วยกัน


“กูรู้อยู่”


“รู้ได้ไง”


“บังเอิญไปเห็นเขาทะเลาะกับแฟนเก่าตอนเดินมาที่ร้าน...จากที่คิดว่าเรียบร้อยกูมองเป็นอีกแบบไปเลย”


“มีเวลาขนาดไปตามดูว่า มันทำอะไรกับใครได้ขนาดนี้แต่ไปแดกข้าวกับน้องไม่ได้เนาะ”


“เยอะอีกล่ะมึง กูบอกว่ากูบังเอิญเจอ ถึงกูจะชอบเขาแต่กูก็มีลิมิตตัวเองนะ  จะมานั่งตาม จนงานไม่เสร็จก็ไม่ไหวนะ เสื้อผ้าที่กูชอบต้องซื้อใส่นี่ก็ไม่ใช่ถูกๆ ไม่มีงานส่งกูจะเอาอะไรแดก เอาอะไรซื้อเสื้อผ้า”


บยอลเบิกตาจ้องหน้ารุ่นพี่ของตัวเองด้วยท่าทางตะลึงพรึงเพริดแบบโอ่เวอร์แอคติ้งจนอีกคนแทบจะยื่นมือมาตบหัวให้รู้แล้วรู้รอดอีกรอบ


“ตอนแรกปูมาซะดี เหมือนรักท่านประธานมาก สรุปนี่แค่กลัวไม่มีแดก”


“มึงพูดอย่างนี้เอาตีนมาลูบหน้ากันเลยก็ได้นะ”


“ได้จริงดิ”


“โอ๊ย ไอ้เหี้ย มึงแยกแยะล้อเล่นกับพูดจริงไม่ออกเหรอ มึงนี่แม่ง ไม่เคย ไม่เคยมีความเกรงใจพี่มึงเลย”


“โถ...พี่ซัคเกอร์อย่าได้ใจน้อยไป ผมเพียงหยอกเล่นเท่านั้นเอง”


“โหย เรียกซัคเกอร์ กูเคยบอกแล้วนะว่าชื่อนั้นมีแค่แม่กับน้องกูที่เรียกได้ มึงนี่แม่งโดนสักทีเหอะ” คราวนี้มือใหญ่เงื้อมาหาคนอ่อนกว่าหลบ พอจะดีดหน้าผากก็ส่ายหนีไปอีกสุดท้ายคนพี่ต้องปล่อยเลยตามเลยลุกจากเก้าอี้จะหนีกลับแทน


“เฮ้ย...พี่ฮันเฮ จะรีบไปไหน”


“อยู่กับคนกวนประสาทแบบมึงกูปวดหัว กลับแม่งเลยดีกว่า”


“โอ๊ย หัวก็ยังไม่ล้านใจน้อยไปไหน อย่าเพิ่งไปดิพี่...มาให้ผมเลี้ยงเหล้าก่อน” พอหลุดคำว่าเลี้ยงเหล้า คนพี่ก็หันควับกระโจนกลับมานั่งสั่งเบียร์ดำทันทีจนคนน้องถึงกับส่ายหัว


...ถ้าเป็นเรื่องเหล้า พี่ฮันเฮแม่งแน่นอนตลอด...


“เลี้ยงแน่นะมึงไม่ใช่มาเก็บเงินกูทีหลัง หนนี้กูโบกหัวมึงไม่ได้ กูจะไปโบกหัวฮอนชอลแม่ง”


“จะตามไปโบกหัวพี่ฮอนชอลถึงบ้านเลยเหรอ...มีเวลาไปเหรอ ขานั้นแม่งหมกตัวอยู่แต่ในห้องไม่เห็นจะออกไปไหน อ้อ ลืม วันสองวันนี้เห็นออกไปข้างนอก ถามก็บอกไปกินข้าว ไม่รู้ไปกินข้าวด้วยสภาพกลัวแสงเหมือนผีดิบแบบนั้นมีร้านไหนแม่งขายให้ด้วยเหรอ”


“มีดิ”


“พี่รู้ได้ไงว่ามี”


“ก็ไปกินกับมันมาเมื่อวาน...ร้านแม่งชื่ออะไรน้า ดาวดวงใหญ่มั่งแต่มันอยู่ฝั่งนู้นต้องข้ามถนนไป เดินอีกนิดหน่อย ร้านนั้นกับข้าวอร่อยมาก คนในร้านก็มีน้ำใจ กูทำกระเป๋าตังค์ตกวิ่งมาคืนกูอี้ก ร้านแบบนี้มึงต้องไปโดนสักมื้อนะ”
“ไปดินเนอร์สวีทหวานกันสองคนแล้วยังมีหน้ามาบอกให้ผมไปแดกอีกเหรอ...พวกพี่แม่ง ทำกันขนาดนี้ เหล้าไม่ลงไม่เลี้ยงมันล่ะ”


“ไปแดกด้วยกันก็จริงแต่แดกยังไม่ทันอิ่มเสือกทิ้งกูเฉย ต้องนั่งแดกต่อคนเดียว”


“จะยังไงก็ไปแดกกันสองคนไม่ชวนผมอยู่ดี”


“ไอ้ห่า...ตอนกูไปแดกกันมึงตื่นยัง ก็ยัง กว่าจะรอมึงฝันเสร็จจนสะดุ้งตื่นก็เลยเวลาที่ฮอนชอลแม่งชวนแดกข้าวล่ะ วันหลังอยากแดกก็เสือกตื่นให้ทันบ้างไรบ้าง เออ จะว่าไปที่มึงออกมาร้านตอนหัวค่ำได้เพราะสะดุ้งตื่นจากฝันอีกปะ”


เมื่อถูกถามถึงคำถามประจำบยอลย่นหน้าผากพลางครุ่นคิดย้อนกลับไปถึงเวลาก่อนหน้านี้...จู่ๆหน้าของเด็กลูกครึ่งผิวขาวจัดหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูที่ทำเชือกรองเท้าลุ่ยที่เจอกันเมื่อวานก็แว่บเข้ามาในความคิด


...เด็กคนที่มีเค้าร่างคล้ายกับคนในความฝัน...

...เด็กคนที่บ่นเรื่องเชือกรองเท้าอยู่ตรงบันไดหอด้วยเสียงและถ้อยคำที่เหมือนกับในความฝัน...


“ไม่วะพี่...วันนี้ไม่ได้ฝัน ที่ตื่นได้เพราะเสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือ”


“เออเว้ย ฝันได้ฝันดีตั้งหลายเดือน บทจะไม่ฝันก็ง่ายๆงี้เลย แต่ก็ดีล่ะ มึงไม่ฝันจะได้มีห่าอะไรคุยนอกจากเรื่องฝันของมึงบ้าง” คนเป็นพี่ว่าพลางจิบเบียร์ดำที่บาร์เทนเดอร์ชั่วคราวเลื่อนมาก่อนที่เจ้าของร้านจะไปหยิบขวดเบียร์ดำยี่ห้อที่ชอบจากในตู้แช่มากระดกดื่มด้วย


“ผมถามอะไรพี่หน่อยดิ”


“เออ ถามมา”


“มันจะเป็นไปได้ไหมที่เราจะเจอคนที่เราฝันถึงในชีวิตจริง”


“คงได้ล่ะมั่ง”


“แล้วถ้าเจอแบบเหมือนจำลองทั้งเหตุการณ์และคนที่เราฝันถึงในชีวิตจริงล่ะพี่”


“โว้ย แบบนั้นเขาเรียกเดจาวูแล้วมึง นี่ อย่าบอกกูนะว่ามึงเจอเหตุการณ์ที่มึงฝันถึง”


“มันก็...” อีกคนลากเสียงยาวเหมือนไม่อยากจะพูดถึงแต่ทำให้อีกคนตาลุกด้วยความตื่นเต้น


“เฮ่ย...จริงดิ มึงเจอคนที่บ่นเรื่องเชือกรองเท้ามึงแล้วเหรอ เป็นไงบ้างวะ”


“ก็ไม่เป็นไง”


“ไม่ตื่นเต้นเลย”


“ทำไมต้องตื่นเต้นด้วยวะพี่”


“ฝันถึงกันทุกวันตั้งหลายเดือน มึงไม่อยากรู้เหรอว่าเขาเป็นใคร”


“เออ ผมก็ลืมถาม”


“อ้าว เจอแล้วไม่ถามชื่อแซ่เลยเหรอ”


“คือผมรีบออกมาดูร้านไง พอให้ไฟแช็กเขาไปลนเชือกรองเท้าเสร็จก็เดินมาเลย ไม่ได้ถามชื่อรู้แค่อยู่หอเดียวกัน”
“ว้ายยยยยย...อยู่หอเดียวกัน นี่มันไม่ใช่แค่เดจาวูแล้วว้อย แบบนี้เขาเรียกอะไรรู้ปะ”


“อะไร”


“เนื้อคู่”


เจ้าของร้านกลอกตาขึ้นมองเพดานทันทีที่ได้ยินรุ่นพี่พูดเหมือนกับพี่อีกคนที่ป่านนี้คงหมกตัวทำเพลงไม่ออกไปไหนอีกตามเคย


“โว้ย พี่แม่งไร้สาระเหมือนพี่ฮอนชอลเลยวะ เนื้อคงเนื้อคู่อะไรก็แค่เด็กคนหนึ่งทำเชือกรองเท้าลุ่ย เนี่ย ให้ไฟแช็กมันไปลนพอมาถึงร้านไม่รู้ไฟแช็กผมไปหล่นหายที่ไหน แต่ช่างเหอะถึงจะแพงแต่มีคนซื้อให้ไม่ได้ซื้อเอง หายก็ช่าง”


“มึงไปลืมไว้กับเด็กคนนั้นเปล่า”


“ผมจำได้ว่าเก็บใส่กระเป๋ามา”


“แน่ใจเหรอ สมมุติถ้ามึงลืมไว้แล้วเด็กคนนั้นเขาเก็บไว้ล่ะจะว่ายังไง”


“ไม่ได้อยู่กับมันหรอก...พอเหอะ เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า”


“อ้าว มึงเปิดประเด็นมาแบบนี้ พอกูขอเสือกลึกหน่อยตัดบทกันง่ายงี้เลย”


“ไม่ได้ตัดบท แต่คนแม่งเริ่มเยอะแล้ว ผมมาอยู่คุยกับพี่ตรงนี้ มันเกะกะ บาร์เทนเดอร์ทำงานยากอีก”


“อา...นี่ก็ได้เวลาพี่ต้องกลับเหมือนกันวะ งั้นกลับเลยแล้วกัน ไปละนะไอ้บยอล”


“โชคดีพี่...กลับดีๆล่ะ”


“คงโชคดีแหละ ถ้ามึงช่วยเป็นพ่อสื่อให้กูกับน้องแจวอนหน่อย”


“โอ๊ย นี่ก็จะหลีให้ได้ เออ จะช่วยเท่าที่ช่วยได้แล้วกัน บายนะพี่”


“เออ ขอบใจมาก บาย” คนตัวใหญ่วางแก้วเบียร์ดำลงกับแผ่นกระดาษรองแก้วที่พิมพ์ตราสัญลักษณ์ของร้านแล้วเดินแทรกผ่านผู้คนที่ทยอยกันเดินเข้ามาในร้านหนาตา


บยอลแลแผ่นหลังกว้างของคนเป็นพี่กระทั่งลับหายไปจากสายตา กลิ่นของน้ำหอมและแอลกอฮอล์เริ่มผสมปนเปกันในอากาศ ใบหน้าของเด็กลูกครึ่งที่ดูเหมือนจะกล้าๆกลัวๆอยู่ในทีจนแทบจะวิ่งหนีกันอยู่แล้วลอยเข้ามาอีกครั้งในความคิด



...เนื้อคู่ห่าอะไร ก็แค่เด็กฝรั่งคนหนึ่งเท่านั้นแหละ...









You Might Also Like

0 Comments