LOVE TOXICAL : HIMUP CHAPTER 1

07:39



Having someone wonder where you are 
when you don't come home at night  
is a very old human need.

การมีใครสักคนอยากรู้ว่าคุณหายไปไหน 
ทำไมถึงยังไม่กลับบ้านในคืนนี้ 
คือความปรารถนาเก่าแก่ของมวลมนุษย์
- Margaret Mead -


ผลึกคริสตัลร้อยระโยงจากโคมระย้าสะท้อนแสงสว่างส่องลงมากระทบบรั่นดีที่เหลือติดก้นแก้วเกิดเป็นประกายแสงพร่างพรายเต้นเร่าอยู่เหนือผืนน้ำสีอำพัน ชายหนุ่มรูปงามผิวขาวสะอ้านรับกับเรือนผมสีดำขลับสวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีเทาพับแขนกองตรงศอกกับกางเกงขายาวสีดำจ้องการไหวกระพริบของแสงระยับนั้นแทบไม่วางตาก่อนจะทอดหายใจยาวและผุดลุกจากเก้าอี้ออกจากล็อบบี้เล้าจ์ของโรงแรมไปยังลานจอดรถสำหรับแขกวีไอพี


เมฆทะมึนกรายมาทำให้ราตรีกาลยิ่งหม่นมืด ลมแรงยามดึกพาดพัดปลิวขั้วหมู่ใบไม้ร่วงกราวจากต้นและหอบกลิ่นชื้นของดินลอยอวล พลันสายฝนก็โหมกระหนำลงมายังรถเมอร์เซเดสเบนซ์ทรงสปอร์ตสีขาวที่เคลื่อนไปบนท้องถนนอย่างโดดเดี่ยว ทว่าเจ้าของรถหนุ่มกลับไม่อนาทรต่อความรุนแรงของพายุด้วยการคงความเร็วในระดับต่ำเกณฑ์กฎหมายกำหนดเพื่อประวิงเวลาไม่ให้ถึงจุดหมายเร็วจนเกินไปแต่ด้วยระยะทางที่ใกล้เพียงไม่กี่สิบกิโลแม้พยายามขับรถเอื่อยช้าเพียงใดก็มาถึงปลายทางในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง


ทันทีที่การ์ดสีทองสัมผัสบนเครื่องสแกนเสียงออดกลับดังขึ้นพร้อมกับประตูไม้มะฮอกกานีสีดำที่เปิดออก เพียงร่างสูงหนาก้าวเท้าผ่านกรอบประตู ไฟกลับสว่างขึ้นอัตโนมัติเผยให้เห็นอาณาเขตอันกว้างขวางของห้องชุดซึ่งตกแต่งด้วยโทนสีดำ ขาวและทองดูเรียบหรูในสไตล์โมเดิร์นลักซ์ชัวรี่


“กลับมาแล้ว” เสียงเข้มติดแหบเอ่ยขึ้นในความเงียบงันพร้อมกับรองเท้าหนังที่ถูกถอดเปลี่ยนเป็นรองเท้าใส่ในบ้าน เจ้าของห้องเดินต่อไปยังโถงกลางที่เชื่อมต่อไปยังส่วนอื่นของบ้านผ่านผนังที่เรียงรายด้วยภาพถ่ายผู้คนและทิวทัศน์สถานที่ต่างๆไปยังห้องน้ำหินอ่อนกว้างขวางเลือกอาบน้ำได้ทั้งแบบแช่ในอ่างหรือฝักบัวและมีประตูเชื่อมไปสู่ห้องแต่งตัวที่มีเสื้อผ้าแบรนด์หรูแขวนอยู่จนแน่น


หลังอาบน้ำชายเจ้าของห้องสวมเพียงเสื้อคลุมอาบน้ำสีดำแล้วหายเข้าครัวไปรินไวน์แดงจากในตู้แช่พิเศษลงแก้วไวน์เนื้อดีและนำมันไปยังห้องนอนที่อยู่ติดระเบียงซึ่งตกแต่งอย่างเรียบง่ายที่สุดในบ้านด้วยการปูพื้นเป็นพรมสีดำมีเตียงคิงไซส์สีขาวตั้งชิดผนัง เหนือหัวเตียงขึ้นไปนั้นมีภาพถ่ายขาวดำขนาดใหญ่ถ่ายทอดทิวทัศน์ของเมืองอะดินบะระในมุมสูงแขวนประดับอยู่พลางทอดหายใจยาวออกมา


...ตอนถ่ายก็ถ่ายมาเอง ตอนเลือกมาประดับห้องก็เลือกมาเอง แต่พอเห็นมันอยู่บนผนังเข้าจริงๆ ไอ้ความรู้สึกว่างเปล่าห่าเหวนี้ก็ไม่รู้ผุดขึ้นมาได้ยังไง...


คิม ฮิมชานถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างตะขิดตะขวงใจ...ตั้งแต่ย้ายออกจากคฤหาสน์หลังงามของครอบครัวมาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกในห้องชุดราคาแพงที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงจากการทำธุรกิจ หากการกลับบ้านมักทำให้รู้สึกวูบโหวงในใจอยู่บ่อยๆ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงใช้เวลาอยู่ข้างนอกจนกว่าจะรู้สึกว่าหัวถึงหมอนก็หลับและเขามักจะขับรถช้าๆ แม้จะรู้ว่าไม่มีใครรออยู่ที่บ้าน ตอนที่เปิดประตูเข้ามาในบ้านก็ได้แต่พูดว่ากลับมาแล้วกับตัวเอง แม้แต่คำถามที่ว่ากลับมาแล้วเหรอ นอกจากแม่บ้านก็เหมือนไม่มีใครพูดคำนั้นในบ้านของเขาอีกเลย


...เวลาเล่าให้คนสนิทฟัง ทุกคนต่างลงความเห็นว่า มันเป็นอาการของคนเหงา...


...เหงาเหรอ


ไม่หรอก เขาก็อยู่ของเขาคนเดียวมาหลายปี ถึงจะมีหลายครั้งที่รู้สึกว่างเปล่า แต่ถ้าใครบอกว่ามันคือความเหงา เขาไม่คิดว่าเขาเหงา คนอายุอย่างเขาไม่ใช่เด็กที่จะรู้สึกเหงาอะไรอย่างนั้นแล้ว เพื่อนฝูงหรือก็เยอะแยะทุกวงการไปทางไหนเป็นต้องเจอคนรู้จักเข้าสักคนจะไปเหงาอะไร


เสียงกระแทกของบางสิ่งบนโต๊ะข้างเตียงที่มีเครื่องเล่นแผ่นเสียสีขาวตั้งอยู่ ฉุดเขาจากความคิดให้เดินไปรับสายโทรศัพท์ที่สั่นไม่หยุด เพียงสไลด์จอรับสายเสียงแหลมแหวกอากาศรัวคำเป็นชุดชนิดหูแทบดับกลับดังขึ้นจนต้องยกมันห่างจากตัว


“ไอ้น้องบ้า...ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์แถมไม่โทรกลับอีก ถ้าจะไม่ไปก็โทรมาบอกก่อนหรือรับโทรศัพท์หน่อยมันจะตายหรือไง รู้ไหมว่ากว่ารุ่นน้องของพี่คนนี้เขาจะว่างมาเจอนายได้มันยากขนาดไหน รู้บ้างไหม”


“โอย พี่เยจี เบาๆหน่อยก็ได้ เสียงดังขนาดนี้ เดี๋ยวหลานๆผมก็ตื่นมากลางดึกกันหมด...เด็กๆเล็กต้องนอนให้เพียงพอมันถึงจะดีกับพัฒนาการทางสมองและร่างกายนะ”


“ตั้งใจโทรมาด่าใครจะบ้าโทรในบ้านกันย่ะ”


“จะด่าผมเรื่องอะไร ผมไปทำอะไรให้”


“ยัง...ยังมีหน้ามาถามอีกเหรอ”


“ถ้าพี่ไม่พูดผมจะรู้เรื่องได้ไง”


“ก็เรื่องดูตัวไงย่ะ...พี่อุตส่าห์หาคนที่เหมาะกับแกมาให้ แกก็ตกปากรับคำกับพี่ซะดิบดี พอถึงเวลาก็เบี้ยวนัดทุกที พี่ต้องขอโทษแทนแกจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว” ปลายสายยังคงอยู่ในอารมณ์เกรี้ยวกราด ฝ่ายคนเป็นน้องย่นหน้าผากพยายามคิดทบทวนตัวเองถึงเรื่องราวอันเป็นสาเหตุให้พี่สาวแท้ๆของตัวเองโทรมาด่าตอนตีหนึ่ง


...กูไปตกลงตอนไหนวะ...


...แต่ถ้าตอบว่าจำไม่ได้ไปโต้งๆมีหวังโดนเฉ่งหูชายันเช้า...


“อ้อ...เรื่องนัดดูตัวนี้เอง อ้าว เป็นวันนี้เหรอ ผมนึกว่าเป็นเดือนหน้าซะอีก”


“เดือนหน้าบ้าอะไร เมื่อวานก็โทรมาย้ำแล้ว”


“พี่ชอบโทรมาตอนผมใกล้จะนอน ผมเบลอๆ ก็จำผิดจำถูก”


“แล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์หรือโทรกลับมา” คำถามที่สวนกลับทันควันทำให้อีกฝ่ายทอดสายตาไปยังโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องบนเตียงที่ใช้งานเป็นหลัก


ที่จริงเขามีโทรศัพท์สองเครื่องแต่เครื่องที่ใช้คุยกับครอบครัวจะเป็นเบอร์เก่าและเขาไม่ค่อยเอาติดตัวไปเวลาทำงานเพราะรู้ว่าถ้าพกไปคงมีอันได้ฟังเรื่องนัดดูตัวมันทั้งวัน


หลังหย่ากับภรรยาคนที่ 2 เขาก็ไม่ได้คบหาอะไรกับใครอย่างจริงจังหลายปีแล้ว อย่างดีก็แค่ระบายอารมณ์ทางเพศที่ฝ่ายหญิงยินยอมพร้อมใจแบบชั่วครั้งชั่วคราวก็จบไป เพราะอย่างนั้นทางบ้านค่อนข้างเป็นห่วงกับการครองตัวเป็นโสดของเขา พี่สาวและพี่เขยเลยขยันนัดคนที่เหมาะมาให้ แม้แต่เพื่อนสนิทหลายคนก็อยากให้ลองดูอีกครั้ง


กลางปีที่แล้วเขาตัดสินใจเข้าพิธีดูตัวกับผู้หญิงที่แม่หามาให้แต่ก็ล้มไม่เป็นท่า เพราะมัวแต่ทำงานจนลืมทุกอย่าง แต่นั่นก็ดีแล้วเพราะเขาไม่คิดจะแต่งงานอะไรกับใครอีก ความบ้างานพอๆกับการสะสมไวน์...เวลาว่างนอกจากสังสรรค์กับเพื่อนหรือกลับไปเยี่ยมพ่อแม่พี่และหลานอีกสองคนแล้ว การไปเที่ยวหาซื้อไวน์สะสมกับการยิงปืนคืองานอดิเรกทำให้ไม่แสวงหาสิ่งที่เรียกว่าความรัก


“พี่ก็รู้ว่าช่วงนี้ผมยุ่ง...ผมมีธุรกิจของตัวเองต้องบริหารตั้งกี่อย่าง ไหนจะของที่บ้านอีก”


“แล้วไง ใจคอจะทำแต่งานเลยหรือไง เมียเมอลูกเลิกจะไม่มีแล้วใช่ไหม”


“เดี๋ยวมันจะมามันก็มาของมันเอง ผมไม่รีบ”


“พูดแบบนี้มาตั้งแต่เยริยังไม่เกิดจนตอนนี้จะสามขวบแล้วยังไม่เห็นแกหาใครได้”


“ไม่ไหวล่ะ ผมเหนื่อย ต้องนอนแล้ว พรุ่งนี้ผมมีประชุมแต่เช้าด้วย ถ้าพี่มีเรื่องด่าหรือเรื่องด่วนอะไรไว้ค่อยคุยพรุ่งนี้นะครับ ฝันดี ราตรีสวัสดิ์” เขากดตัดสายดื้อไม่สนเสียงทัดทานของพี่สาวและไสมันกลับไปบนโต๊ะแล้วก้มลงหยิบแผ่นเสียงที่อยู่ในกล่องใต้โต๊ะวางลงบนเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่เปิดสวิตซ์รออยู่ นิ้วเรียวใหญ่ดันเข็มให้จรดบนแผ่นแล้วเดินไปริมระเบียงชื่นชมกับทิวทัศน์ยามดึกของเมือง


หลังจิบไวน์เคล้าเสียงเปียโน La Campanella เพียงลำพังกระทั่งแสงไฟจากห้องสุดท้ายของตึกฝั่งตรงข้ามดับลงก็ได้ฤกษ์ที่จะหลับเป็นวิถีคนโสดที่เขาคุ้นเคยมาสามปีแล้วและคิดว่าจะให้มันดำเนินต่อไป


...ชีวิตที่ไม่มีพันธะมันก็สบายดีนะ อยากไปไหนก็ไป อยากทำอะไรก็ทำ...

...มันไม่เหงาหรอก

...ไม่เหงาเลยสักนิด
---------------------------------------------------------------------

เสียงออดยาวดังขึ้นภายในตึกคณะวิทยาศาสตร์เป็นการส่งสัญญาณเตือนให้วางปากกาและนำส่งกระดาษข้อสอบที่ทำมาตลอดสองชั่วโมงคืนอาจารย์คุมสอบ นักศึกษาในห้องบรรยายทยอยกันเก็บข้าวของลุกจากเก้าอี้ออกไปจนเหลือเพียงนักศึกษาชายหลังห้องที่ฟุบนอนอยู่กับโต๊ะโดยไม่มีทีท่าจะตื่น


“คุณมุน จงออบ” อาจารย์ชายสูงวัยเรียกพลางเขย่าไหล่แข็งแรงไร้ไขมันไปมาปลุกให้ฝ่ายที่ทำข้อสอบเสร็จและหลับไปพักใหญ่เงยหน้าที่งัวเงียขึ้นมา ดวงตาเล็กตี่แทบลืมไม่ขึ้นจากความง่วงกลายเป็นเส้นตรงเหมือนไม้บรรทัดอยู่บนหน้าเรียวที่มีจมูกสูงเป็นสันเชิดปลายยามริมฝีปากปิดสนิทดูน่ากลัวเกินกว่าจะเข้าใกล้เว้นเสียแต่คนคุ้นเคยที่รู้ว่าไม่มีอะไร


“หมดเวลาสอบแล้วนะ”


“อา...ครับๆ” เขาส่งกระดาษข้อสอบที่เขียนบรรยายเต็มทั้งสี่หน้าให้ มืออีกข้างหยิบกระเป๋าหนังกลับสีน้ำตาลที่ใช้งานมานานสะพายข้างตัวและยัดเครื่องเขียนบนโต๊ะใส่ลงไป


“ช่วงนี้ซ้อมหนักเลยสิถึงหลับคาห้องสอบ” ผู้เป็นอาจารย์ถามอย่างห่วงใย หากอีกฝ่ายไม่ตอบอะไรมากไปกว่ายิ้มกว้างและโค้งขอตัวกลับโดยที่อาจารย์ไม่ได้รู้สึกเป็นการเสียมารยาทด้วยรู้ว่านิสัยของลูกศิษย์คนนี้เป็นคนพูดไม่เก่งเช่นนั้นเอง


นักศึกษาหนุ่มก้าวเท้าออกจากห้องสอบกระทั่งพ้นชายคาของตึกคณะที่ตนเองเรียนอยู่ได้ก็ถอนหายใจออกมา


...ใครจะไปบอกว่า นอนไม่พอเพราะสะกดรอยตามแม่ตัวเองไปทำงานวะ...


เขาถอนหายใจออกมาอีกรอบยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงโรงอาหารก่อนจะตรงไปยังนักศึกษาชายที่แม้จะตัวสูงใหญ่แต่หน้าตาที่จิ้มลิ้มบวกกับผิวขาวละเอียดเหมือนนมสดเช่นเดียวกับสีผมที่ตักพุดดิ้งนมกล้วยใส่ปากเคี้ยวอย่างอร่อยพอมองผ่านๆกลับคล้ายเด็กผู้หญิง


“ใจคอจะแดกแต่กล้วยหรือไง” คำทักทายแรกขัดจังหวะการจ้วงช้อนของคนที่เพลินกับของหวานให้หยุดมองคนที่ปีนเก้าอี้มานั่งยังฝั่งตรงข้าม


“กูแดกกล้วยแล้วหนักหัวมึงมากหรา” คนน่ารักสวนกลับเสียงแข็งตาขวางหมดความน่ารักไปโดยพลัน


“แดกแต่ขนมกับนม ข้าวไม่ยอมแดก ไม่แปลกหรอกถ้าตัวมึงจะสูงเป็นเสาไฟฟ้าแบบนี้”


“ถ้าให้กูแดกข้าวแล้วตัวเตี้ยเป็นหลักกิโลแบบมึงกูก็ไม่เอาหรอกนะ”


“ความสูงระดับหลักกิโลแบบกูนี่แหละกำลังดี อยู่ในระยะที่สายตาของคุณอามึงก้มมองพอดี ไม่ใช่ต้องแหงนคุยกันจนเมื่อยแบบมึง”


ประโยคนั้นเหมือนหมัดชกเข้าหน้าของฝ่ายที่ได้ยินเต็มแรง หน้าขาวเปลี่ยนจากไร้อารมณ์เป็นตูมบึ้ง...สำหรับคนที่กังวลเรื่องความสูงของตัวเองอยู่ แค่ใครสะกิดประเด็นนี้เบาก็เครียดขึ้นมาทันที


“พวกมึงแม่งเป็นห่าอะไรมากปะ พอเถียงกูไม่ได้ชอบเอาเรื่องเกี่ยวกับคุณอามาสู้กูทุกที”


ชเว จุนฮงเบะปากจ้องเพื่อนซี้ที่คบหากันมาตั้งแต่มัธยมปลายจนถึงตอนนี้...เรื่องนิสัยใจคอต่างฝ่ายต่างรู้กันดีว่าเป็นยังไง ยิ่งกับจงออบที่คนส่วนใหญ่ตีความว่าเป็นคนซื่อเพราะไม่ค่อยพูด ยิ้มเป็นอย่างเดียวนั้น เอาเข้าจริงมันดื้อเงียบ แถมความปากหมาที่แสดงฤทธิ์กับคนสนิทหรือคนที่ไม่ถูกกันนี่แรงขนาดตอกกลับไม่ทัน


“ก็มึงหุบปากเป็นแค่เวลาพูดถึงคุณอาคนเดียวนิ” คำตอบนั้นเรียกอีกคนให้ยกนิ้วกลางชูใส่ ฝ่ายที่เห็นหลุดหัวเราะแล้วยื่นนิ้วไปดันหน้าผากที่มีผมหน้าม้าบังอยู่


“สถุลไม่เข้ากับหน้าเล้ยมึงเนี่ย”


“มีเพื่อนอย่างมึงต้องสถุลไว้แบบนี้แหละไม่งั้นคุยไม่รู้เรื่อง แล้วนี่ยังไงหมดเวลาสอบไปตั้งนานทำไมเพิ่งโผล่หัวมา ปล่อยกูรอจนแดกพุดดิ้งไปสองถ้วยแล้วเนี่ย”


“กูทำข้อสอบเสร็จเลยหลับ”


“หลับ...โห กล้าเนาะหลับในห้องสอบ”


“ก็ไปตามดูแม่ทั้งคืน มันง่วง”


“อะไร...มึงถึงขั้นไปตามดูเลยเหรอ นี่ยังไม่เลิกคิดมากอีก กูบอกมึงตั้งแต่มะรืนที่มึงมาหลับหน้าหอแล้วไม่ใช่เหรอว่า คุณป้าทำงานออฟฟิศ มีเพื่อนร่วมงานเป็นผู้ชายสักคนไม่จำที่เขาต้องจีบคุณป้าก็ได้”


จบคำคนตาเล็กย่นหน้าผากมองเพื่อนอย่างเอือมระอาพลางถอนหายใจเพราะเรื่องราวที่ว่ามาทั้งหมดไม่ตรงกับที่เคยเล่าให้ฟังเลยสักอย่าง


“มั่วล่ะเผือก มึงแม่งไม่ได้ฟังกูเลยนี่หว่า แม่กูไม่ได้ทำงานออฟฟิศ แต่ทำงานเป็นแม่บ้านอิสระต่างหากเว้ย”


“แม่บ้านอิสระคืออะไร”


“ก็รับงานเองไง”


“อ้อ คุณป้าเป็นแม่บ้านให้ผู้ชายคนที่มึงบอกใช่มะ ทำนานยัง แล้วคุณป้าไปทำงานบ้านให้ผู้ชายคนนั้นได้ไง”


“ทำหกเจ็ดเดือนได้แล้ว พอดีเพื่อนแม่กูเขาเป็นนายหน้าจัดหาแม่บ้านให้พวกเศรษฐีที่อยากได้คนทำความสะอาดแบบไว้ใจได้ แม่กูเลยไปสมัคร พวกพี่กูไม่รู้เรื่องนี้หรอกนะมีแต่กูที่รู้ พอบอกให้แม่เลิกทำแม่ก็บอกว่าจะหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายของตัวเอง แต่มึงเข้าใจปะว่าพี่กูให้เงินแม่กูกินใช้แบบสบายๆอยู่แล้วจะเหนื่อยทำงานอีกทำไม พอพูดก็โกรธทุกที”


“คุณป้าเขาหาเงินไว้ให้มึงเปล่า...เขาเห็นมึงเหนื่อยเป็นนักกีฬาได้ทุนเรียนฟรีแต่ต้องซ้อมหนักฉิบหายวายวอด เบี้ยเลี้ยงมีก็ไม่พอยาไส้ต้องทำงานพิเศษเพิ่มอีก พี่มึงเขาจะช่วยมึงก็ไม่เอาอีก”


“พี่จงซองแต่งงานมีลูกแล้ว ค่าใช้จ่ายเยอะจะตาย พี่จงฮวานก็ผ่อนรถอยู่ แค่มีเงินให้แม่ก็ดีแล้ว ตัวกูเองก็ไม่ใช่เด็กๆจะมาแบเงินขอให้ช่วยตลอดได้ไง”


จงออบบอกเช่นที่เคยตอบ...ตั้งแต่ลืมตาดูโลกเขาไม่เคยเจอพ่อเพราะพ่อเสียไปด้วยโรคมะเร็งก่อนเขาจะเกิด ทรัพย์สินที่พ่อหามาได้ก็ให้พี่ชายสองคนใช้เรียน ส่วนตัวเขาแม่เป็นคนรอกทำงานแทบทุกอย่างเพื่อส่งเสียเขาเรียน มาสบายหน่อยก็ตอนพี่ๆเรียนจบทำงานแล้วกับที่เขาได้เป็นนักศึกษาทุนนักกีฬาเมื่อปีสองปีนี้เอง


พี่ชายและตัวเขาไม่มีใครอยากให้แม่ทำงาน ถึงแม้วนเวียนชีวิตของเขาจะหนักหน่วงต้องเตรียมพร้อมเพื่อการแข่งอยู่เสมอ เวลานอกต้องโร่ไปทำงานพิเศษที่ร้านกาแฟ กลับถึงบ้านต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบไว้เนิ่นๆ มีเวลาให้หายใจแค่วันอาทิตย์เท่านั้นก็เถอะ


“แล้วมึงรู้ได้ไงว่าผู้ชายคนนั้นมาจีบคุณป้าวะ”


“เขาขับรถมาส่งแม่กูตอนดึกๆ”


“หน้าตาเป็นไง”


“กูยังไม่เคยเห็นหน้า เห็นแต่รถ”


“แล้วอายุล่ะ”


“แม่บอกว่าอายุสามสิบสอง”


“ห่างกับแม่มึงตั้งเป็นสิบๆปีเลยนะ”


แต่แม่กูก็ยังสวยอยู่ถูกปะล่ะ”


“ก็ใช่ที่คุณป้าเขายังสวยอยู่ แต่มึงแน่ใจได้ไงว่าผู้ชายคนนั้นเขาจีบ...เขาโทรหรือส่งข้อความมาบ่อยไหม มีชวนไปเที่ยวที่ไหนปะหรือเคยซื้อข้าวของอะไรมาให้มะ”


“ไม่อ่ะ เคยแต่ซื้อขนมกับฟิกเกอร์มาให้”


ขนมนี้พอเข้าใจนะ แต่ไอ้ซื้อฟิกเกอร์นี้ ทำไมถึงซื้อให้วะ”


“แม่กูเขาเอาเรื่องกูไปเล่าให้ฟัง เขาเห็นกูชอบเลยซื้อมาให้”


“ซื้อบ่อยปะ มีพวกของผู้หญิงบ้างไหม”


“ฟิกเกอร์อ่ะครั้งเดียว แต่พวกขนมอ่ะบ่อย เหมือนไปทำงานที่ไหนก็ซื้อมาฝาก อ้อ มีตุ๊กตาด้วย ซื้อมาจนจะเต็มห้องกูอยู่แล้วห่า”


“แล้วไอ้ตอนที่มึงบอกว่าเขาขับรถมาส่งอ่ะ เขาให้คุณป้าลงจากรถเลยหรือมีลงมาเปิดประตูให้ปะ”


“ไม่...มาส่งก็ขับออกไปเลย”


เมื่อพิจารณาข้อสงสัยของเพื่อนอย่างถี่ถ้วน แล้วไม่เห็นมีอะไรเข้าข่ายว่าฝ่ายนั้นจะจีบแม่ของเพื่อนสักนิดทำให้จุนฮงพ่นลมหายใจผ่านปากออกมา


“เท่าที่ฟังไม่เห็นมีตรงไหนที่เขาจีบคุณป้าเลย ที่มาส่งเพราะคุณป้ากลับบ้านดึก ที่ซื้อของมาให้ก็มีแต่ของที่มึงชอบ กูว่านะเผลอๆที่ซื้อมาเพราะคิดว่ามึงเป็นเด็กสามขวบซื้อให้”


“แต่พักนี้แม่กูกลับบ้านดึกกว่าปกติ แต่ไม่เห็นผู้ชายคนนั้นมาส่งเลย”


“เขาไม่อยู่เปล่า”


“แม่ดูซึมๆด้วย กูกลัวเขาทำอะไรแม่ แต่ถามแล้วแม่ก็บอกแต่ไม่มีอะไร”


“ก็เลยทิ้งงานพิเศษไปสะกดรอยตามคุณป้า...มันได้เรื่องอะไรไหมนั่น”


“ได้ดิ อย่างน้อยก็รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้ว”


“ได้เจอผู้ชายคนนั้นไหม”


“ไม่วะ”


“งั้นวันนี้มึงจะทำไง”


“ไปซ้อมก่อน ซ้อมเสร็จจะไปตามไปดูแม่อีกรอบ มึงไปกับกูไหม”


“ไปไม่ได้เว้ย”


“ทำไม”


“กูต้องตามย้วยมันไปสอนพิเศษ”


“มึงอะนะ โอโห นี่มึงแอดวานซ์ถึงขั้นไปคุมย้วยมันสอนพิเศษด้วย...เป็นพ่อมันเหรอ” คนตาเล็กเลิกคิ้วให้กับคำตอบ ถึงจะรู้ว่าตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยและเป็นรูมเมทกันจุนฮงดูจะเป็นห่วงยองแจ เพื่อนสนิทของเขาอีกคนที่อยู่กลุ่มเดียวกันตั้งแต่เรียนม.ปลายมาก แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นไปดูแลขนาดนี้


...ถ้าไม่ติดว่ามันมีคุณอาที่มันรักยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้ คงคิดว่าเป็นแฟนกับยองแจมันไปแล้ว


“ก็มันไม่สบาย เลยต้องไปดูมันหน่อย เผื่อเป็นลมเป็นแล้งกูจะได้ช่วยไง”


“ก็ไหนว่าอาจารย์ฮอนชอลเขาจะพามันมาส่งตอนที่ดีขึ้นแล้วไม่ใช่ไง กูนึกว่ามันหายแล้วซะอีก”


“ยัง”


“ไม่สบายแล้วแม่งจะไปสอนทำไมวะ ร้านที่มันไปสอนแม่งไกลจากหอตั้งเยอะ”


“ถามมากจัง ก็มันจะไปสอนอ่ะ จะให้กูทำยังไงเล่า”


“ไม่สบายมึงให้มันนอนดิ แล้วมึงไปกับกู”


“โอ๊ย ย้วยมันไม่ถึกเหมือนมึงนะ”


“ได้...งั้นกูเป็นลมให้มึงดูก่อนก็ได้”


“พ่องมึงสิ...ถึงแกล้งเป็นลมกูก็ไปไม่ได้ มึงไม่เห็นเหรอว่า หลังๆย้วยมันอาการไม่ค่อยดี นี่มาป่วยอีก ป่วยแต่เป็นห่วงน้อง กลัวไม่ไปสอนหลายวัน น้องไม่มีคนติวจะสอบไม่ได้เลยต้องไปสอน กูก็ค้านมันแล้วนะแต่มันไม่ยอม กูเลยต้องไปเฝ้ามันแทนเนี่ย”


จงออบสูดหายใจ ปกติเขาไม่ใช่คนชอบเซ้าซี้หรือง้อใครนักหรอก ความที่ไม่อยากไปคนเดียวกลัวโดนรุมตีนแล้วสู้ไม่ไหว แต่พอยกเรื่องยองแจไม่ค่อยแข็งแรงมามากก็สงสารมันเหมือนกัน


“เออๆ เข้าใจแล้ว กูไปตามแม่คนเดียวก็ได้”


“ไปคนเดียวได้แน่นะ...ไม่ใช่มางอนกูทีหลัง”


“เผือก ไอ้เรื่องขี้งอนเนี่ยบอกตัวเองดีกว่านะ ไปล่ะ กูไปซ้อมแล้วนะ”


“ไม่กินข้าวก่อนเหรอไง ตอนเที่ยงมึงก็ไม่เห็นแดกอะไรเลย”


“ตอนนั้นถ้าแดกอ่านหนังสือไม่ทัน แดกตอนนี้ไปวิ่งจุกตายห่า เดี๋ยวแดกทีเดียวตอนเย็น”


“เอานี่ไปรองท้องหลังวิ่งไป เผื่อไปตามคุณป้าแล้วไม่มีเวลาแดก” ถึงไปด้วยไม่ได้ เพื่อนยังมีกะใจหยิบขนมปังไส้แฮมสองห่อส่งให้


“ซื้อให้กูเหรอเนี่ย”


“อื้อ”


“น่ารักจริ้ง หนูเบบี้โรสของคุณอาเนี่ย” นิ้วสากยื่นไปจะจับแก้ม หากคนที่นั่งอยู่เบี่ยงตัวหลบพลางลูกแขนปรอยๆ


“เชี้ย...อย่าทำเสียงสองใส่กู ขนลุก จะไปซ้อมก็ไปเลยไป”


“แหม่ ทีมึงละเสียงสอง สาม สี่ใส่คุณอาก็ยังไม่ขนลุกเลย อย่าทำหน้างอดิวะ ล้อเล่นแค่นี้ ไปล่ะ เจอกันพรุ่งนี้”


คนตัวเล็กกว่าว่า หยิบขนมปังยัดใส่กระเป๋า วิ่งเหยาะจากโรงอาหารไปยังสนามกีฬาของเขตที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าที่โรงยิมสำหรับเล่นกีฬาในร่มก็ออกไปวอร์มบริหารร่างกายตามตารางที่โค้ชกำหนดให้นักกีฬากรีฑาประเภทลู่ทุกคนปฏิบัติ


จงออบเป็นนักกีฬากรีฑาและฝึกซ้อมอย่างจริงจังมาตั้งแต่อายุสิบสอง โค้ชคนแรกของเขาเป็นครูสอนพละในโรงเรียนประถมที่เขาเรียนอยู่ จากนั้นโค้ชของเขตเห็นแววเลยให้เขาเข้ามาเป็นนักกีฬาของเขต ความทุ่มเทในการวิ่งทำให้เขาได้เหรียญติดมาทุกครั้งที่ลงแข่งจนได้ทุนเรียนฟรีในคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาที่มหาวิทยาลัยนี้


ชีวิตนักกีฬาที่บ้านไม่มีฐานะอะไรทำให้ไม่มีเวลาเที่ยวเล่นอะไรมากเหมือนคนอื่น ข้าวของที่อยากได้ต้องเก็บเงินซื้ออยู่นาน เรื่องอาหารการกินก็จำกัดจำเขี่ย มีดีอยู่อย่างเดียวคือการได้อยู่บ้านกับแม่


นอกจากการวิ่งกับครอบครัวก็เหมือนไม่มีอะไรที่เขาให้ความสำคัญ...เรื่องคบหากับใครสักคนอย่าไปหวัง เพราะเขาจัดลำดับความสำคัญของแฟนในระดับต่ำกว่าเพื่อนฝูงแถมไม่ค่อยมีเวลาดูแลใครจะมาทนได้


...มันเหนื่อยแต่ทำไงได้ล่ะ...


หลังใช้เวลาสองชั่วโมงกับการวอร์มบริหารเพื่อเตรียมพร้อมกับการทดสอบจับเวลาที่มีขึ้นทุกวันเสาร์ ปกติโค้ชจะกักตัวนักกีฬาบางคนที่วิ่งไม่ได้มาตรฐาน โชคดีที่เขาวิ่งได้เหนือกว่าเกณฑ์ที่โค้ชตั้งไว้ตลอดเลยรอดกลับบ้านได้


ชายหนุ่มออกจากสนามด้วยชุดเดียวกับที่ใส่ไปสอบและโดยสารรถประจำทางกลับไปแถวบ้านตัวเองซึ่งเป็นอพาร์ทเม้นต์กลางเก่ากลางใหม่อยู่เกือบกลางเมือง หลบมุมรอจนกระทั่งเห็นหญิงวัยกลางคนสวมกางเกงสีดำกับเชิ้ตสีเดียวกันคล้ายชุดฟอร์มเดินออกมาก็ค่อยๆตามไปห่างๆ


บ้านของผู้ชายคนนั้นอยู่ในตึกที่ได้ชื่อว่ามีราคาห้องชุดแพงติดอันดับสามในโซล ห่างจากบ้านเขาประมาณห้าป้ายรถเมล์และเพื่อประหยัดค่าเดินทางรวมทั้งออกกำลังไปในตัว แม่ของเขาเลยเดินทางด้วยการเดิน


ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่คิดจะสะกดรอยตามไปดูหน้าผู้ชายที่แม่ทำงานเป็นแม่บ้านให้ถึงแม้จะตะขิดตะขวงใจเพราะมีเพื่อนอีกคนของแม่ทำงานอยู่อพาร์ทเม้นต์ใกล้ๆกัน และแม่ไม่มีอาการผิดปกติอะไร พักหลังแม่ดูแปลกไป ไอ้ความรู้สึกที่มีอยู่เลยระเบิดจนต้องตามมาดู


หน้าตาของผู้ชายคนนั้นเป็นยังไงไม่เคยเห็นหรอก ดูเอาจากรถยนต์ที่ใช้ขับ ของที่ซื้อมาให้มันไม่ใช่ถูกๆ พวกเศรษฐีน่ะเวลาชอบใครก็เปย์ให้ทั้งนั้นและไอ้วิธีการเข้าหาด้วยการให้นั่นให้นี่กับเขาไม่ได้หมายความว่า ฝ่ายนั่นคิดจะจีบแม่โดยติดสินบนเขาหรอกเหรอ


เพียงคิดลมหายใจก็ทอดยาวออกมา เสี้ยวนาทีสั้นๆที่ละสายตาแผ่นหลังของแม่ที่เดินนำอยู่ข้างหน้า เมื่อมองขึ้นมาอีกครั้งแม่ก็อันตรธานหายไป


“อ้าว เฮ้ย” คำอุทานหลุดจากปากอย่างไม่ตั้งใจ ช่วงจังหวะที่หันรีหันขวางมองหาไปรอบตัว มือของใครสักคนแตะลงบนไหล่ เมื่อหันไปก็เห็นหญิงวัยกลางคนสูงระดับไหล่ของเขา ผมสีน้ำตาลเข้มรวบเป็นหางม้าสวมเสื้อและกางเกงสีดำคล้ายชุดฟอร์มแต่ไม่มีตราบริษัทใดติดยืนกอดอก ใบหน้าเรียวแม้มีร่องรอยแห่งวัย หากยังสวยน่ามอง


“ตามแม่มาตั้งแต่เมื่อวาน...วันนี้ยังไม่เลิกตามอีกเหรอ” เพียงประโยคแรกขึ้นมาให้ได้ยินรวมกับสายตาดุของแม่ทำให้ลูกชายคนเล็กของบ้านเม้มริมฝีปากด้วยความหวาดหวั่นใจ


“แม่...แม่รู้เหรอครับว่าผม...” อ้าปากพูดไม่ทันจบประโยคกลับถูกผู้เป็นแม่ขัดขึ้นมาอีก


“แม่ว่าเราเคยคุยเรื่องนี้กันหลายครั้งแล้วนะ...ทำไมเราถึงดื้อแบบนี้ล่ะ”


“ผมไม่เห็นว่า แม่ต้องทำงานพวกนี้เลย พี่จงซองกับพี่จงฮวานก็ให้เงินแม่ใช้จะมาทำงานกับผู้ชายโสดแปลกหน้าแบบนั้น เขาอาจจะสนใจแม่ขึ้นมาแล้วตามเซ้าซี้มันไม่ดีหรอกนะครับ”


“เพ้อเจ้อใหญ่แล้ว...แม่บอกเราตั้งกี่ครั้งว่า คุณฮิมชานน่ะเขาอายุห่างกับแม่ตั้งสิบห้าสิบหกปี งานเขาก็ยุ่งแทบไม่กลับห้องด้วยซ้ำ ที่เขาขับรถมาส่งเพราะเขากลับมาบ้านเจอแม่กำลังจะกลับพอดี พวกของที่ซื้อเขาเอ็นดูเราเขาก็ซื้อมาฝาก มันไม่มีอะไรอย่างที่เราคิด”


“ผมไว้ใจแม่นะว่าไม่คิดอะไร แต่ผมไม่ไว้ใจเขา...ใครจะไปรู้ว่าคนรวยแบบเขาคิดอะไรอยู่ล่ะ ผมไม่อยากมีพ่อใหม่”


“ถ้าเราคิดอย่างนั้น แม่ก็ไม่รู้จะพูดกับเราไปทำไม...อยากจะทำอะไรก็ทำ แต่แม่จะไม่ลาออกจากงานนี้หรอกนะ” จียองเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือแววผิดหวังเช่นเดียวกับแววตาแล้วหันหลังก้าวเท้าเร็วๆตั้งใจจะเดินหนีก่อนจะได้ยินหรือหลุดปากพูดอะไรให้หมองใจกันในครอบครัว ความรีบร้อนทำให้ลืมสังเกตทางลาดเท้าจึงเหยียบพลาดถลาล้มกลิ้งบนพื้นทางเท้าไปกระแทกเข้ากับหัวรับน้ำดับเพลิงเต็มแรง


จงออบเบิกตากว้างในนาทีที่เห็นร่างบางกลิ้งไปกระแทกหยุดอยู่ข้างหัวรับน้ำดับเพลิงก่อนจะวิ่งกระโจนไปหาพร้อมตะโกนสุดเสียง


“แม่!!


You Might Also Like

1 Comments