LOVE TOXICAL : HIMUP CHAPTER 2
07:47
อากาศภายในอาคารผู้ป่วยฉุกเฉินของโรงพยาบาลนั้นเย็นเสียจนคนที่ยืนรออยู่รู้สึกหนาว
ยิ่งในตอนที่เห็นมารดาถูกเข็นออกมาจากห้องหัตถเวชกลับมายังช่องเดิมของคนไข้โดยมีเฝือกอยู่ที่แขนขวาและข้อเท้าซ้ายก็เริ่มตัวสั่น
ความรู้สึกผิดและละอายใจที่เป็นสาเหตุให้แม่เจ็บนั้นทำให้เขาได้แต่ก้มหน้างุดแกะเล็บไปมา
“ญาติคนไข้ใช่ไหมคะ” แพทย์หญิงเจ้าของไข้เอ่ยถาม
ชายหนุ่มเหลือบมองแล้วพยักหน้ารับ
“คนไข้กระดูกข้อมือขวากับข้อเท้าซ้ายร้าวนะคะ หมอจำเป็นต้องให้ใส่เฝือกและงดใช้งานมือข้างขวากับเท้าซ้ายประมาณสองเดือนนะคะ”
“สองเดือนเหรอครับ”
“หรืออาจจะนานกว่านั้นก็ได้ค่ะ เนื่องจากคนไข้ค่อนข้างมีอายุการสมานของกระดูกต้องใช้เวลานานกว่าคนอายุน้อย
หมอต้องให้คนไข้นอนโรงพยาบาลสักสองสามวันก่อน”
“อา...ขอบคุณครับ” อีกฝ่ายตอบกลับเสียงอ่อน
ก้มศีรษะน้อยๆให้แพทย์หญิงที่เดินกลับไปยังเคาน์เตอร์กลางของห้องฉุกเฉิน
จงออบเม้มริมฝีปากไม่กล้าสู้หน้าเลยได้แต่ก้มมองพื้นสีขาวของโรงพยาบาลมือทั้งสองข้างกำแน่นอยู่ข้างตัว
การเป็นนักกีฬาและเรียนในวิทยาศาสตร์การกีฬามาทำให้เข้าใจเรื่องอาการบาดเจ็บในลักษณะนี้ดีว่ามันหายได้แต่ก็รู้อีกเช่นกันว่ามีความเสี่ยงที่จะไม่กลับมาใช้การได้ดังเก่า
ความเสียใจที่เป็นต้นเหตุให้คนที่ตนเองรักที่สุดเจ็บอัดแน่นอยู่ในอก
“จงออบ...มาหาแม่ใกล้ๆได้ไหม”
เสียงเรียกขานอย่างอ่อนโยนนั้นทำให้ลูกชายหลับตาผ่อนลมหายใจอุ่นผ่านริมฝีปากออกมาแต่เท้ายังขยับก้าวไปใกล้ตามความต้องการของแม่
“ผม...ผมขอโทษ...ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำแม่เจ็บเลย” เขาพร่ำพูดคำขอโทษแม้จะรู้ว่ามันไม่เพียงพอต่อความผิดที่ทำ
ยองจีมองลูกชายตัวเองแทนที่จะโกรธแววตาทั้งคู่กลับเต็มไปด้วยความห่วงใย
มือข้างซ้ายยื่นไปลูบผมดำสนิทเอาไว้เพื่อปลอบโยน
“ผมทำแม่เจ็บ...ผมขอ...” อาการสั่นในน้ำเสียงทำให้ข้อความที่ต้องการสื่อขาดหายและเมื่อมันถูกเติมเต็มด้วยคำว่าไม่เป็นไรของแม่
น้ำตาอุ่นก็คลอที่ดวงตาจนต้องกระพริบไล่ให้มันหายไป
...พอเป็นเรื่องคนในครอบครัวไม่ว่าอะไรก็เหมือนจะทำให้เขาอ่อนแอลง...
“แม่ไม่ได้โกรธหรอกนะ...แม่ไม่เคยโกรธเราเลย” ความนุ่มในน้ำเสียงบ่งบอกถึงความรัก
“แม่รู้ว่าเราไม่อยากให้แม่ทำงาน
แม่รู้ว่าเราไม่อยากเห็นแม่เหนื่อยแต่การที่แม่ต้องเห็นเราเหนื่อยแทบขาดใจกลับมาบ้านทุกวันมันทำแม่ปวดใจมากเลยนะ
เพราะงั้นแม่เลยพยายามเก็บเงินเพื่อให้เรามีชีวิตที่สบายกว่านี้”
“แม่ครับ...”
“เราจำเพื่อนแม่ที่เขาเปิดร้านบุฟเฟ่ต์หมูย่างได้ไหม...ตอนนี้เขาจะย้ายไปอยู่กับลูกชายที่อเมริกา
เขาจะขายกิจการ แม่เห็นว่า
มันน่าจะเป็นกิจการของครอบครัวเราได้ก็เลยทำสัญญากับเขาไป
พอดีเงินที่แม่เก็บไว้กับเงินค่าจ้างที่เบิกมาล่วงหน้ามันไม่ยังไม่พอ
คุณฮิมชานเขาเลยสมทบเงินที่เหลือทั้งหมดให้ ตอนแรกแม่ไม่กล้ารับแต่เขาบอกว่า
เปิดร้านให้มีกำไรแล้วค่อยมาคืนก็ได้...แต่กว่าร้านจะปรับปรุงเสร็จก็อีกหลายเดือน
ตัวแม่เองก็ไม่มั่นใจว่าจะทำร้านให้มีกำไรได้หรือเปล่า
อยากขอคำปรึกษาจากคุณฮิมชานเรื่องการตลาดแต่เขายุ่งไม่ค่อยกลับบ้าน แม่ก็เลยเครียดๆน่ะ”
เมื่อได้ยินคำอธิบายถึงเรื่องราวทั้งหมดจากปากของผู้เป็นแม่
คนเป็นลูกฟังเข้าถึงกับกัดปากตัวเองอย่างแรงได้แต่มองแม่ที่ยิ้มอ่อนอยู่บนเตียงด้วยความสำนึกผิด
“แม่บอกพี่จงซองกับพี่จงฮวานเขาหรือเปล่าครับ”
เขาถามเสียงอ่อย
“แม่ตั้งใจจะบอกตอนที่ร้านเสร็จกับที่แม่ทำงานครบจำนวนเงินค่าแรงที่เบิกมาล่วงหน้าน่ะ...อา
แต่ว่าตอนนี้แขนขวาใช้ไม่ได้
แม่จะไปทำให้เขายังไงล่ะ...คงต้องบอกเซยองก่อนแล้วให้หาคนไปทำงานแทน ”
ยองจีถอนหายใจออกมาด้วยไม่รู้ว่าจะจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร
ในนาทีที่กำลังคิดหาทางออก ลูกชายคนเล็กก็โพล่งบางอย่างออกมา
“ไม่ต้องบอกป้าเซยองหรอกครับ...ผมนี่แหละจะไปทำความสะอาดแทนแม่เอง”
“ไม่...ไม่ได้”
“ทำไมล่ะครับ...ในเมื่อผมเป็นคนทำแม่เจ็บ
ผมก็ต้องรับผิดชอบ”
“แค่เราเรียน
ซ้อมกับทำงานพิเศษที่ร้านกาแฟนั่นก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว มาทำความสะอาดต่ออีกเดี๋ยวก็ได้ป่วยเข้าหรอก”
“กว่าป้าเขาจะหาคนได้มันก็นานไม่ใช่เหรอครับ
ให้ผมไปทำซะก็สิ้นเรื่อง...ผมน่ะยังเด็กอยู่ ทำงานแค่นี้น่ะสบายอยู่แล้ว”
“สบายอะไรกัน...กลับบ้านมาอ่านหนังสือไปหน่อยก็สลบทุกที”
“ให้ผมทำเถอะ...แม่บอกว่าเขาไม่ค่อยกลับบ้านด้วย
ถ้าผมไปทำความสะอาดแทนแม่เขาคงไม่รู้หรอก”
“จะไม่รู้ได้ยังไง...คุณฮิมชานเป็นคนละเอียด อะไรตรงไหนไม่อยู่ที่เดิมเขารู้นะ”
“เขาว่าแม่เหรอครับ”
“เขาถามน่ะ...ถามดีๆนะไม่ใช่ในเชิงต่อว่าอะไร
คุณฮิมชานเขาเป็นคนใจดีนะ”
“ถ้าผมไปทำความสะอาด ผมจะไม่ขยับของก็แล้วกัน”
“จงออบ”
ผู้เป็นแม่เรียกอย่างอ่อนใจเพราะรู้นิสัยของลูกชายคนเล็กตนเองดีว่า
บทจะรั้นขึ้นมาล่ะก็จะทำให้ได้อยู่อย่างนั้นเอง “แม่ขอร้องนะ...เชื่อแม่ได้ไหม”
“เชื่อเรื่องอะไรครับ”
คำถามจากใครอีกคนจากด้านหลังเรียกให้ทั้งคู่หันไปมอง...ชายหนุ่มสวมเสื้อกราวน์ขาวเดินล้วงกระเป๋าเข้ามาข้างเตียงโดยมีชายหนุ่มสวมเสื้อยืดสีดำอีกคนเดินมาสมทบ
ทั้งสามดูละม้ายคล้ายกันแต่แตกต่างในรายละเอียดบางส่วนของหน้า
“เออ เรื่องอะไรอ่ะ บอกให้ผมรู้ด้วยสิ”
คนเสื้อดำถามต่อ
“ไม่มีอะไรจ๊ะ...ว่าแต่จงฮวานเรามากันได้ยังไง
ไหนว่ายุ่งไม่ใช่เหรอ แล้วจงซองล่ะ ออกเวรแล้วเหรอลูก”
ยองจีหันไปหาชายหนุ่มที่สวมเสื้อกราวน์...จงซองเป็นพี่ชายของจงออบทำงานเป็นเภสัชกรให้โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งและแยกบ้านออกไปแต่งงานมีภรรยารวมทั้งลูกชายคนหนึ่ง
“ขอแลกเวรกับเพื่อนชั่วโมงหนึ่งครับ...แล้วนี่แม่
ไปล้มได้ยังไงครับ”
“นั่นสิ...ปกติแม่ระวังตัวจะตาย”
เสียงของชายหนุ่มสวมเสื้อดำเอ่ยขึ้น...จงฮวานเป็นพี่ชายอีกคนของจงออบทำงานเป็นบาริสต้าที่ร้านกาแฟแถวฮงแดและเป็นนักเขียนอิสระซึ่งแยกออกไปอยู่หอใกล้ๆกับที่ทำงานเช่นกัน
“จงฮวาน แม่น่ะแก่แล้วนะ
คนแก่ก็มีเดินสะดุดเหมือนกันนะ ดีที่จงออบเขากลับมาพอดี ไม่งั้นคงแย่” คนเป็นแม่ปดพลางมองไปที่ลูกชายคนเล็กด้วยรอยยิ้ม
“นั่นไง...ผมก็บอกแม่ให้ย้ายมาอยู่ที่บ้านกับผมกับอึนบีจะได้เล่นกับหลานด้วยตั้งหลายครั้งก็ไม่มา
อยู่กับจงออบสองคนกว่าน้องจะกลับก็มืด
ดีที่น้องกลับมาทันนะครับไม่งั้นใครจะพาแม่มาส่งโรงพยาบาล”
“อย่าเพิ่งว่าแม่ดิ...ถามแม่ก่อนไหมว่าเป็นยังไงบ้าง”จงฮวานสวนทันทีที่เห็นอีกคนยกเรื่องที่เคยเป็นประเด็นขึ้นมา “หมอเขาว่ายังไงครับ...เห็นแม่ใส่เฝือก
ต้องใส่นานไหมครับ”
“กระดูกร้าวน่ะ...เห็นหมอเขาบอกว่าราวๆสองเดือนหรือนานกว่านั้น
แต่สองสามวันนี้หมอจะให้แม่นอนที่โรงพยาบาลก่อนน่ะ”
“ถึงขนาดกระดูกร้าวนี้ต้องล้มแรงมากเลยนะครับ...แล้วอย่างนี้ใครจะดูแม่ล่ะ
จงออบ เดี๋ยวนี้เรากลับถึงบ้านกี่โมง”
“สามทุ่มครับ”
“ดึกแฮะ...จงฮวานเองก็ทำงานทั้งวัน
เอาอย่างนี้นะครับแม่ ระหว่างที่แม่นอนโรงพยาบาลผมจะให้อึนบีพาหลานมาดูแลแม่ที่นี่ก่อน
แล้วพอออกจากโรงพยาบาลก็ไปอยู่ที่บ้านผม”
“แม่เข้าเฝือกแค่ข้างขวาเอง มือซ้ายยังใช้ได้นะ
ไม่ต้องไปอยู่บ้านเราให้ลำบากอึนบีเขาหรอก”
“ไม่ลำบากหรอกครับ
อึนบีเขาอยากให้แม่มาอยู่ด้วยนะครับ จงซอก็ถามหาคุณยายอยู่บ่อยๆ”
“แต่ถ้าแม่ไปใครจะอยู่กับจงออบล่ะ”
“ผมโตแล้วนะครับ ดูแลตัวเองได้
แม่ไปพักฟื้นที่บ้านพี่จงซองเถอะ พี่อึนบีเขาน่าจะดูแลแม่ได้ดีกว่าผม”
“แต่...”
“ผมว่าแม่ไปอยู่บ้านจงซองเถอะ...น้องเองก็อยากให้แม่ไป
ผมก็อยากให้แม่ไป ทั้งมติสามเสียงแล้ว เชื่อพวกผมสักครั้งเถอะ”
ยองจีเม้มริมฝีปากไล้สายตาไล่มองหน้าลูกชายทีละคนและมาจบที่ลูกคนเล็ก...ลูกคนที่หล่อนเป็นห่วงมากที่สุดแต่สีหน้าอันขึงขังระคนความห่วงใยของลูกๆ
ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจยอมรับข้อเสนอ
“งั้นคืนนี้ตอนเขาย้ายแม่ไปอยู่ห้องผู้ป่วยใน
ผมจะอยู่เฝ้าแม่ก่อนแล้วพรุ่งนี้ให้จงซอกพาอึนบีมาดูแม่นะครับ...แล้วก็จงออบ
เรากลับบ้านไปก่อนก็ได้ ช่วงนี้มีสอบไม่ใช่เหรอ
ไปพักไปแล้วสอบเสร็จมีเวลาค่อยมาเยี่ยมแม่ เข้าใจไหม”
“อา...”
“ไม่ต้องคิดแล้ว...เอาตามนี้แหละ
นายดูแลแม่มาเยอะแล้ว ให้พี่สองคนดูแลแม่บ้าง”
“อืม...จะเอาอย่างนั้นก็ได้”
จงออบตกปากรับคำด้วยน้ำเสียงเบาโหวง
ความรู้สึกข้างในลึกแล้วเขาชอบความอุ่นใจที่ได้เห็นแม่อยู่ในบ้าน
แต่ถ้าต้องเลือกแล้วล่ะก็ให้แม่อยู่แบบมีคนดูแลทั้งวันจะดีกว่า
...นั่นล่ะ
มันไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้วนี่นะ...
---------------------------------------------------------------
หัวปากกาคอแร้งพ่นหมึกสีดำไปบนกระดาษตามแรงของมือผู้เป็นเจ้าของที่ตวัดเขียนอย่างขะมักเขม้นอยู่ภายในห้องทำงานที่ย้อมด้วยสีครามทะมึนจากท้องฟ้ายามเย็นด้านนอกหน้าต่าง
คงมีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟข้างเครื่องไอแมคบนโต๊ะทำงานที่ส่องให้ตาเห็นสิ่งที่เขียน
ชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งใบหน้าคมดุดันเช่นท่าทางสวมเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนส์ถือกุญแจรถห้อยพวงกุญแจดอกกุหลาบทำจากเงินก้าวเท้าตามทางเดินภายในสำนักงานของตนเองที่ออกแบบโดยเน้นเปิดโล่งและมองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกได้ตลอด
ขณะที่โต๊ะทำงานส่วนใหญ่จะเป็นโต๊ะยาวเพื่อให้พนักงานนั่งทำงานหรือประชุมพูดคุยได้อิสระ
คงมีเฉพาะผู้บริหารที่มีห้องส่วนตัวถึงกระนั้นประตูที่เป็นกระจกทั้งบานเลื่อนเปิดได้ทั้งบานก็ทำให้คนผ่านไปมามองเห็นภายในอยู่ดี
ชั่วขณะที่กำลังเดินผ่านห้องทำงานหนึ่งไปนั้นหางตาสังเกตเห็นแสงเลยถอยหลังกลับมาและเมื่อมองเข้าไปในห้องก็เห็นเพื่อนนั่งก้มหน้าจดจ่ออยู่กับบางอย่างเลยกดปุ่มเปิดประตูเดินเข้าไปหา
“ทำอะไรของมึงอยู่เนี่ย”
เสียงต่ำลึกติดแหบที่แม้แต่ตัวเองที่ว่าเสียงต่ำแล้วยังเป็นโทนที่สูงกว่าดึงสมาธิของฮิมชานให้หยุดมือและเงยหน้าแหงนไปมองเพื่อนที่ชะโงกดูตัวอักษรภาษาจีนที่อยู่บนกระดาษ
“ฝึกสมาธิอยู่”
“ที่นี่...ตอนเลิกงานแล้วเนี่ยนะ”
“ทำไมวะ กูฝึกที่ทำงานไม่ได้หรือไง
อุตส่าห์เปิดไฟแค่หัวโต๊ะ หลอดที่กูใช้ก็ประหยัดไฟเบอร์ห้านะ หรือมึงเห็นกูใช้ไฟบริษัทมันเป็นการคอรัปชั่น
งั้นเอางี้ สิ้นเดือนกูจ่ายค่าไฟส่วนของกูให้เองเลยแม่ง”
“กูแค่ถามจะโมโหทำไมเนี่ย”
“ใครจะรู้นึกว่ามากวนตีน...แล้วนี่ทำไมยังไม่กลับ”
เจ้าของห้องถามพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมองเวลาบนหน้าปัดที่เข็มสั้นชี้เกือบจะถึงเลขเจ็ด
“จะทุ่มแล้วนะมึง...ป่านนี้เมียเด็กมึงร้องไห้รอมึงไปรับแล้วมั่งเนี่ย”
“เรียกเขาแบบนี้อีกแล้ว กูบอกแล้วไม่ใช่ไงว่า
เบบี้โรสกับกูยังไม่มีอะไรเกินเลยกัน”
“ไม่มีอะไรเกินเลย...กล้าพูดเนาะ
ไอ้ที่กอดจูบลูบคลำวางกับดักให้เด็กหลงมึงขนาดนั้นแล้ว ไม่เรียกเกินเลยมั่ง นี่ถ้ามึงไม่ได้กันนะ
กูยอมกราบตีนมึงเลยอ่ะ” คนเป็นเพื่อนตอกกลับ
บัง
ยงกุกเป็นเพื่อนกับเขามานานตั้งแต่สมัยเรียน
ใช้ชีวิตเคียงบ่าเคียงไหล่ผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะจนรู้เช่นเห็นชาติกันดี
กับลูกชายของผู้มีพระคุณที่มันเป็นผู้ปกครองตามกฎหมายนั้น
มันหลอกล่อทุกวิถีทางให้เด็กคุ้นเคยกับ ความรัก ความอบอุ่น
ความลุ่มหลงและสัมผัสจากมันจนไม่ยอมห่างไปไหนแถมหวงยิ่งกว่าหมาหวงเจ้าของแบบนั้นจะรอดไปไหนได้
...ตอนที่ระแคะระคายเรื่องมันกับเด็กกุหลาบก็รู้สึกแปลกเหมือนกันเพราะมันไม่มีทีท่าว่าจะชอบผู้ชายมาก่อน
เพื่อนคนอื่นก็เหมือนจะรับไม่ได้แต่มันแสดงออกชัดเจนว่า
ผู้ชายคนเดียวในโลกที่มันรักคือเด็กกุหลาบ
นอกนั้นมันไม่รู้สึกอะไรสักนิดเลยกลายเป็นเรื่องปกติของเขาและเพื่อนฝูงไปแล้ว
“ฮ่าๆ...มึงแม่ง พูดซะกูดูเลวเกิน”
“มึงก็ใช่จะเป็นคนดีเลิศประเสริฐห่าอะไรนะ...ตกลงว่าไง
ทำไมยังไม่รีบไปรับเด็กกุหลาบอีก เดี๋ยวก็งอแงอีก”
“วันนี้เบบี้โรสไปรอเพื่อนสอนพิเศษน่ะ
กูตั้งใจจะไปรับตอนเพื่อนเขาเลิกสอนพอดีจะพาเขากับเพื่อนเขาไปหาอะไรกินต่อ”
“นี่วันศุกร์นะมึง”
“เออ”
“เด็กกุหลาบมันยอมให้มึงพาคนอื่นไปขัดความสุขตัวเองด้วย”
“อ้าว...ว่าเขาอีกแล้ว พอดีเพื่อนเขามีปัญหาหนักน่ะก็เลยขอให้กูพาไปบ้านสวนด้วยกัน”
“โห
ต้องเป็นเพื่อนคนสำคัญมากเลยนะเนี่ยถึงยอมให้ไปอยู่บ้านสวนของมึงเนี่ย”
“แล้วมึงล่ะ วันนี้ไม่มีโปรแกรมไปไหนหรือไง”
“มี...ไปแดกข้าวกับไอ้จุนมยอนกับยงฮวามัน
มึงว่างอยู่ไม่ใช่ไงจะไปด้วยไหม”
“ไม่ล่ะ
ตั้งใจจะไปร้านหนังสือค่อยไปรับเบบี้โรส”
“งั้นก็ไปไป้ ขับรถดีๆล่ะ”
“เออ มึงก็ด้วย กลับบ้านดีๆ ไฟน่ะอย่าลืมปิดนะ
เปลือง กูไปล่ะ”
ยงกุกเอ่ยลาแล้วพรวดหายออกจากห้องไปอย่างไวเพื่อหนีคำสบถของเพื่อนที่ตะโกนไล่หลัง
“ไอ้เหี้ย สุดท้ายก็ไม่พ้นเปลืองไฟบริษัท!!”
---------------------------------------------------------------------------------------------
บานประตูเปิดขึ้นและปิดลงพร้อมกับไฟในห้องที่สว่างอัตโนมัติ
เจ้าของห้องกลับเข้าบ้านหิ้วถุงใส่กล่องชาเขียวออแกนิคจากญี่ปุ่นที่เพื่อนซื้อมาฝากไปเก็บในครัว
มือใหญ่ดันตู้ติดผนังเหนือเคาน์เตอร์ยาวสีขาวที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกในการทำครัวครบครัน
ด้วยความที่เติบโตมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเนื้อสัตว์ทั้งส่งออกรวมทั้งขายในประเทศรายใหญ่ติดอันดับห้าของประเทศ
มีกิจการต่อยอดคือร้านอาหารที่เปิดดำเนินการมาหลายสิบปีและเพิ่งขยายสาขาเพิ่มไปอีกสองแห่งทำให้ฮิมชานเชี่ยวชาญเรื่องเนื้อและทำอาหารเก่ง
แต่หลังๆพอทำงานเยอะเข้าก็ไม่มีเวลาได้ลงมือทำครัวสักเท่าไหร่
นอกจากมีเพื่อนแวะเวียนมาแล้วไม่อยากไปกินข้างนอกถึงจะแสดงฝีมือที
เขามองกระทะที่แขวนอยู่บนผนังเหนืออ่างล้างจานก่อนจะสังเกตเห็นว่ากระทะเคลือบหินอ่อนแขวนสลับกับกระทะสำหรับย่างแถมบนเตายังมีคราบน้ำยาทำความสะอาดเช็ดไม่หมดเหลืออยู่
ปกติคุณยองจี
แม่บ้านของเขาที่รุ่นพี่ของพี่สาวเขาจัดหามาให้จะเข้ามาทำความสะอาดช่วงเย็นจนถึงค่ำทุกวันจันทร์
พุธ พฤหัสและเสาร์
โดยความตั้งใจแรกเขาอยากให้มาทำความสะอาดเต็มวันแค่อาทิตย์ละสองครั้งก็พอแต่เพราะอีกฝ่ายมีงานทำงานอื่นทำในตอนเช้าถึงเย็นไปแล้วและเคยได้ยินความลำบากของหล่อนกับลูกมาเยอะ
ตัวเขาสงสารเลยยอมให้ทำงานช่วงเวลาตามนั้น
ช่วงที่คุณยองจีมาทำงานให้ใหม่ๆ อาจมีวางข้าวของไม่ตรงตำแหน่งบ้างแต่ไอ้การเหลือทิ้งคราบไว้แบบนี้เป็นครั้งแรกที่เคยเจอ
...ไม่สบายหรือเปล่า
ชายหนุ่มถามตัวเองในใจด้วยความที่เห็นแม่บ้านเหมือนพี่สาวแต่เมื่อมองเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือที่สวมอยู่คิดว่าดึกเกินกว่าจะโทรไปถามไถ่เลยตั้งใจปล่อยไปและเดินตรงไปที่ห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกายที่ออกไปตะล่อนข้างนอกมาทั้งวันก่อนจะพันผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องแต่งตัวที่มีประตูเชื่อมกันอยู่ในห้องน้ำ ตอนที่กดปุ่มให้ประตูตู้เลื่อนเปิดเพื่อหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำจำนวนเสื้อคลุมของเขาหายไปสองตัว
...จำได้ว่าใส่ลงตะกร้ารวมกับเสื้อผ้าที่คุณยองจีต้องส่งไปให้ร้านซักรีดประจำของเขาจัดการ
เมื่อวันพุธ วันนี้วันศุกร์มันควรจะกลับมาตามจำนวนที่หายไป...
...น่าจะป่วยจริงๆ
ไม่อย่างนั้นคงไปเอาเสื้อผ้าให้เขาแล้ว...
...แต่ไม่เห็นโทรมาบอกก่อน...
...อาจจะไม่สบายมาก ยังไงพรุ่งนี้จะโทรไปถามอาการให้แน่...
เจ้าของห้องคว้าเสื้อคลุมอาบน้ำมาสวมทิ้งความสงสัยทั้งมวลไว้ในห้องน้ำก่อนจะดำรงวิถีเดิมก่อนนอนของตนเองด้วยการรินไวน์ชมวิวริมระเบียงเคล้าเสียงเดี่ยวเปียโนของฟรันซ์
ลิซท์จากเครื่องเล่นแผ่นเสียงบนโต๊ะ
ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยกระทั่งแสงสุดท้ายของตึกตรงข้ามดับลงเขาจึงกดรีโมทดับไฟในห้องนอนก่อนจะล้มตัวลงนอนหัวถึงหมอนพร้อมกับความรู้สึกโหวงว่างที่แล่นเข้ามาในยามที่ป่ายมือไปไม่เจออะไรนอกจากสัมผัสจากผ้าปูเตียง
...บางทีถ้าเขาว่างมากพอเขาจะไปหาหมอ...
...อยากรู้เหมือนกันว่าไอ้อาการห่านี่จะรักษายังไง...
-----------------------------------------------------------
ลมหายใจอุ่นร้อนทอดถอนออกมาจากชายหนุ่มสวมเสื้อยืนสีดำกับกางเกงยีนส์มีผ้ากันเปื้อนสีขาวลายทางฟ้าที่กำลังเรียงแก้วเซรามิกส์และจานรองใส่เข้าตู้หลังเคาน์เตอร์ชงเครื่องดื่มและคิดเงินอยู่ภายในร้านกาแฟตกแต่งสไตล์มินิมอลเรียบง่ายและอบอุ่นซึ่งประตูแขวนป้ายปิดไว้
จงออบรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อย...ทั้งที่ปกติร่างกายเขาไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับการใช้ชีวิตในแต่ละวันไปกับการเรียน
การซ้อมและจบลงที่ทำงานพิเศษที่ร้านกาแฟ
หากการต้องไปทำงานแทนแม่ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยสายตัวแทบขาด
เรื่องทำความสะอาดสำหรับเขาไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเพราะตั้งแต่จำความได้การทำงานบ้านเป็นหน้าที่หลักของเขาอยู่แล้วแต่บ้านของผู้ชายคนนั้นไม่เหมือนบ้านที่เขาอยู่
ถึงจะเป็นห้องชุดไม่ใช่บ้านหลัง
หากความกว้างขวางของพื้นที่ใช้สอยในแต่ละห้อง
รวมทั้งข้าวของที่ล้วนราคาแพงไม่ใช่เช็ดถูธรรมดาจะสะอาด
...ของบางชิ้นถึงขั้นต้องหาข้อมูลในเน็ตเลยว่าจะทำความสะอาดยังไง...
...ความใหญ่กับความจุกจิกแถมมีเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงในการทำความสะอาด
มันเลยกลายเป็นสองวันที่รู้สึกว่า แค่คลานถึงบ้านก็บุญแล้ว...
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
เสียงนุ่มเอ่ยถามจากเบื้องหลังดึงให้อีกคนเบิกตาขึ้นเพื่อเรียกสติแล้วหันกลับไปหาชายหนุ่มเจ้าของนัยน์กลมเรียวเหมือนเหยี่ยวและริมฝีปากอวบอิ่มโดดเด่นอยู่บนใบหน้านวลละมุน ผมหน้าม้าสีน้ำตาลเข้มเกิอบดำสลวยเป็นเงาที่ปรกหน้าอยู่นั้นยิ่งขับผิวขาวให้สว่างและอ่อนเยาว์
ยู ยองแจหรือที่อีกคนเรียกขานว่า
พี่ยองแจเป็นเจ้าของร้านกาแฟที่เขาทำงานอยู่
ซึ่งที่นี่ใกล้กับบ้านเขาขนาดที่เดินมาเพียง 500
เมตรก็ถึง
ความจริงจงออบไม่คิดว่าตัวเองจะได้ทำงานพิเศษที่นี่...ตอนที่เห็นป้ายประกาศรับสมัครพนักงานเสิร์ฟในร้านแล้วเดินเข้ามาสมัครพอบอกข้อจำกัดด้านเวลาของตัวเองไปนึกว่าจะแห้วเสียแล้วเพราะร้านกาแฟส่วนมากต้องการคนทำงานเป็นกะ
ส่วนตัวเขานอกจากวันเสาร์แล้ววันอื่นๆก็แวะมาทำงานได้แค่สองสามชั่วโมงแต่คนตรงหน้ากลับตอบตกลง
ความใจดีน่ารักนั้นทำให้รู้สึกดีกับอีกฝ่ายจนถึงขั้นชอบแล้วล่ะ
แต่ถ้าจะให้จีบเป็นเรื่องเป็นราวก็คงไม่ไหว
ลำพังแต่ตัวเองยังเอาไม่รอดเลยขอแค่เห็นหน้าให้มีกำลังใจบ้างก็พอ
“เปล่าครับ”
ลูกน้องหนุ่มตอบกลับพลางยิ้มเหมือนทุกที
“แต่ท่าทางนายเหนื่อยกว่าทุกที...ซ้อมวิ่งหนักมากเลยเหรอ
ใกล้จะแข่งแล้วหรือยังไง พี่บอกแล้วนี่ ถ้าใกล้แข่งไม่ต้องมาก็ได้”
“ผมยังไม่ใกล้แข่งหรอกครับ พอดีช่วงนี้ต้องไปทำงานพิเศษแทนแม่ด้วยก็เลยไม่ค่อยได้นอน”
“ทำงานพิเศษแทนแม่...ทำไมต้องทำล่ะ”
“ไม่กี่วันก่อนแม่ผมเขาหกล้มต้องเข้าเฝือก ต้องงดใช้มือประมาณสองเดือนด้วย
ผมเลยไปทำงานแทนให้”
“งานที่ว่าคืองานทำความสะอาดช่วงเย็นที่นายเคยเล่าให้ฟังน่ะเหรอ
ต้องไปทำแทนตั้งสองเดือนเลย...จะไหวเหรอเนี่ย
แค่ทำงานอยู่จนปิดร้านก็สองทุ่มกว่าแล้ว แบบนี้จะได้นอนตอนไหน”
“ไปทำความสะอาดสองชั่วโมงก็กลับไปก็อ่านหนังสืออีกครึ่งชั่วโมงถึงนอนครับ”
“นายสอบอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ...ถ้าต้องทำถึงขนาดนั้น
ช่วงนี้ยังไม่ต้องมาทำงานที่นี่ก็ได้ แล้วไม่ต้องห่วงเรื่องค่าแรงนะ
พี่จะไม่หักเงินนายหรอก ไว้หมดช่วงสอบไปหรือแม่นายอาการดีขึ้นค่อยกลับมาทำเถอะ”
“อย่าดีกว่าครับ...จะให้ผมทิ้งงานที่ร้านนี้แล้วไปทำงานให้แม่อย่างเดียว
ผมว่ามันดูไม่ค่อยรับผิดชอบ อีกอย่างเวลาเก็บร้านชอบมีคนมาซื้อกาแฟอยู่เรื่อย
ถ้ามีคนอื่นอยู่ช่วยแค่ตอนนั้นก็ว่าไปอย่าง”
“ก่อนนายจะมาทำงานที่นี่พี่ก็เก็บร้านคนเดียวนะ”
“ตอนนั้นมีพี่แดฮยอนอยู่ช่วยไม่ใช่เหรอครับ” คนอ่อนกว่าบอกทำให้คนฟังจากที่ยิ้มบางกลับหุบยิ้มทันที
“เดี๋ยวนี้พี่แดฮยอนไม่มาที่ร้านเลยนะครับ พี่เขาไปไหนเหรอครับ”
ชายหนุ่มถามไพล่ไปถึงเพื่อนสนิทของคนตรงหน้าที่ปกติจะมานั่งคิดงานและอยู่โยงยาวจนถึงร้านปิด
หากเดือนสองเดือนหลังมานี้กลับหายหน้าหายตาไป
เขาเจอพี่แดฮยอนตั้งแต่วันแรกที่มาทำงานพิเศษ...พี่ชายผู้สดใสเสมอคนนั้นเหมือนพระอาทิตย์ที่ดึงดูดคนอื่นให้เข้าหา
เพียงแค่นั่งอยู่ในร้านก็ไม่รู้ว่าลูกค้าแห่กันมาจากไหน
แต่วันไหนไม่มาลูกค้าก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
...พี่แดฮยอนเป็นคนใจดีถึงจะขี้แกล้งไปหน่อย
แต่ถ้าพี่เขาอยู่อย่างน้อยคงพอแว่บกลับไปทำความสะอาดแทนแม่ได้โดยไม่ต้องห่วงอะไร...
“ไม่รู้” เจ้าของร้านตอบด้วยเสียงที่ห้วนขึ้นมากะทันหัน
“แต่พี่อยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็อยู่แต่พี่ไม่รู้หรอกว่ามันไปไหนทำอะไร...ถ้าเราอยากรู้ว่ามันไปไหนก็ดูในอินสตราแกรมมันสิ”
“อา”
ลูกน้องหนุ่มตั้งท่าจะอ้าปากพูดบางอย่าง หากเสียงก็กลืนหายเพราะถูกแทรกขึ้นมาเป็นชุด
“ก็อย่างว่าแหละอยู่ร้านกาแฟมันน่าเบื่อไม่เหมือนไปปาร์ตี้กับสาวหรือไปสังสรรค์เมาเหล้ากับเพื่อนฝูงหรอก...คนรักความสนุกอย่างมันน่ะจะให้มาอยู่ที่ที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากกาแฟ
แถมข้างๆยังเป็นโรงพยาบาล ไม่มีอะไรเจริญหูเจริญตาจะอยู่ได้ยังไง”
“คือ”
“อะไร”
“พี่มีอินสตราแกรมพี่แดฮยอนด้วยเหรอครับ...ไหนตอนนั้นที่ผมถาม
พี่บอกผมว่าไม่มีนี่ครับ”
ประโยคคำถามจากความจำครั้งเก่าก่อความเงียบงันให้เกิดระหว่างคนทั้งคู่...เจ้าของร้านได้แต่มองหน้าลูกจ้างที่เขาเห็นเป็นน้องนุ่งคนหนึ่งอยู่หลายนาทีกว่าจะปริปาก
“กดตรงแถบค้นหาแล้วมันขึ้นแนะนำก็เลยเห็น”
“อ้อ อย่างนี้เอง
แต่พี่กับพี่แดฮยอนเป็นเพื่อนกัน
อยู่ด้วยกัน ไม่ฟอลอินสตราแกรมกันไม่รู้สึกแปลกๆเหรอครับ”
“มันไม่ใช่เพื่อนพี่สักหน่อย”
“อ้าว”
“ก็แค่รูมเมท”
“อา”
“รูมเมทประเภทที่จ่ายค่าเช่าบ้านก็ช้า
เมาเป็นหมามาก็ต้องดูแลอีก”
“โห ขนาดนั้นเลยเหรอครับ
แต่พี่เขาดูนิสัยดีออก”
“ก็ดี...ดีกับทุกคนยกเว้นพี่อ่ะ”
“ถ้ามันแย่ขนาดนั้น
ทำไมยังทนอยู่ด้วยกันอีกล่ะครับ”
“มันยังหาที่อยู่ใหม่แบบจ่ายค่าเช่าช้าแล้วไม่โดนเตะออกมาเหมือนที่นี่ไม่ได้
พี่ก็คนดีเลยสงเคราะห์มันไปก่อน”
“อืม”
คนอ่อนกว่าพยักหน้าเหลือบตายังเจ้าของร้านที่ไม่รู้ว่ารอยยิ้มเหือดหายไปไหน...ทั้งที่ปกติเป็นคนยิ้มเก่งแท้ๆแต่พอพูดถึงรูมเมทของตัวเองทีไรหน้าเป็นตาแข็งขึ้นมาทุกที
เพราะไม่อยากให้เสียอารมณ์ไปกว่านี้
จงออบตัดสินใจจะไม่ต่อความถามอะไรให้ยืดยาวและกลับไปเช็ดถ้วยจานที่วางพักอยู่ในตะแกรงเหล็กข้างอ่างล้างจานต่อโดยไม่ทันสังเกตเห็นความเศร้าของคู่สนทนาที่ฉายชัดผ่านดวงตาคู่สวยออกมา
...ความรู้สึกนั้นราวกับว่า
ทุกสิ่งที่เอ่ยออกมาล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ...
1 Comments
พี่ฮิมนี่ละเอียกมากเลยนะคะ อยากรู้ว่าเจออบขึ้นมาจริงๆจะเป็นยังไง คงสนุกน่าดู5555
ตอบลบ