LOVE TOXICAL : HIMUP CHAPTER 3
07:55
กระสุนปืนแล่นผ่านอากาศกระทบเข้ากลางเป้ารวมกับรอยทะลุของกระสุนอีกหลายนัด ชายหนุ่มสวมเชิ้ตลายตารางหมากรุกขาวดำสอดไว้ในกางเกงยีนส์สีเข้มใส่ที่ครอบหูกันเสียงถูกแว่นตายิงปืนบังไปครึ่งหน้าลดปืนดึงซองกระสุนออกเพื่อบรรจุกระสุนใหม่ในกล่องบนโต๊ะ
นัยน์ตากลมอุ่นแต่ดุทอดยังเป้าตรงหน้าสงบนิ่ง
เมื่อเหนี่ยวไกกระสุนพุ่งออกไปยังตำแหน่งกลางหัวของเป้ารูปคนราวกับจับวาง
มันเป็นทักษะที่ได้มาจากการเข้ากรมเป็นทหารที่เจ้าตัวยังคงฝึกฝนต่อจนถึงระดับแข่งขันได้รางวัลในฐานะนักกีฬายิงปืนสั้น
ทุกวันเสาร์ถ้าไม่มีงานอะไรเขามักจะตื่นสายและใช้เวลาไปกับการเที่ยวชมนิทรรศการใหม่ๆในพิพิธภัณฑ์หรือไม่ก็ขับรถไปถ่ายรูปชมธรรมชาติแถบชานเมือง
หากมีนัดหมายกับเพื่อนก็อยู่ได้ไม่เกินสองทุ่มเพราะส่วนใหญ่ต่างแต่งงานมีพันธะไปหมด
ไอ้คนที่พอจะว่างหรือก็ติดเด็ก ติดสาว
ติดห่าเหวอะไรที่ปลีกมาอยู่ด้วยไม่ได้
ลงท้ายเขาเลยมาขลุกอยู่ที่สนามยิงปืน
เหตุผลที่เขาเลือกซ้อมยิงปืนที่สนามแห่งนี้อยู่ห่างจากที่พักอาศัย
กว้างขวางสะอาดสะอ้านและมีระบบเก็บเสียงปืนที่ดี
แม้จะเปิดบริการถึงดึกก็ไม่มีปัญหาร้องเรียนเรื่องเสียงดัง
หากเทียบกับการเล่นดนตรีที่ร่ำเรียนมาหรือการเก็บสะสมไวน์แล้ว
การยิงปืนเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ฮิมชานรู้สึกสงบเป็นความสงบโดยแท้ที่ไม่มีอะไรให้คิดกังวลรวมทั้งความรู้สึกว่างเปล่า...เพียงจับปืนขึ้นมาก็เหมือนมันจะหายไปหมด
หลังอยู่โยงยาวในสนามยิงปืนหลายชั่วโมงก็ได้เวลาที่ควรจะไปหาอะไรกินก่อนกลับเข้าบ้าน
ชายหนุ่มถอดที่ครอบหูและแว่นยิงปืนออกจากหน้าหล่อสะอาดของตนเองพลางดึงเป้ากระดาษที่ลอยกลับมาเพื่อดูความแม่นยำ
เมื่อทำความสะอาดปืนเก็บใส่ซองปืนพกเรียบร้อยจึงหยิบตะกร้าเหล็กใส่กล่องกระสุนไปคืนเจ้าหน้าที่ ด้วยความที่เป็นพวกไม่พกอะไรนอกจากกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มือถือเลยไม่จำเป็นต้องใช้ห้องล็อกเกอร์
แรงสะเทือนของโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงทำให้มือใหญ่จำต้องหยิบมันออกมา
เพียงเห็นชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ก็กดรับโดยไม่ลังเล
ปลายสายส่งเสียงออกมาเบาโหวงราวกับเกรงใครได้ยินเข้าจนคนฟังขมวดคิ้วแล้วเอ่ยย้ำให้เพิ่มระดับเสียง
“ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้รับสายของคุณ
พอดียุ่งๆก็เลย...”
“ไม่เป็นไรครับ...ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร
ผมแค่จะโทรมาเช็กเฉยๆว่าคุณยองจีสบายดี”
“อ๊ะ...ตายแล้ว ขอโทษนะคะ ขอโทษจริงๆ
ดิฉันลืมแจ้งคุณฮิมชานไปเลย”
“ลืมอะไรครับ”
“ดิฉันล้มค่ะเลยไปทำงานให้คุณไม่ได้...จริงๆดิฉันตั้งใจจะแจ้งตั้งแต่วันแรกที่เจ็บแล้วแต่แบตโทรศัพท์ดิฉันหมดเพิ่งได้ชาร์ทน่ะค่ะ”
“ครับ...ล้มเหรอครับ
แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”
“กระดูกข้อมือกับข้อเท้าร้าวต้องเข้าเฝือกค่ะ...เห็นหมอว่าต้องหยุดใช้มือกับเท้าสองเดือน”
“ล้มตั้งแต่วันไหนครับ”
“คืนวันพุธค่ะ...ดิฉันต้องขอโทษจริงๆนะคะที่แจ้งคุณล่าช้า
ยังไงดิฉันจะบอกนาบีให้หาคนมาทำงานแทนนะคะ
ส่วนเรื่องเงินค่าจ้างที่ดิฉันขอเบิกล่วงหน้าไป ดิฉันจะรีบหามาคืนให้นะคะ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ
คุณยองจีรักษาตัวเองให้หายเถอะ”
“แต่ดิฉันเกรงใจคุณค่ะ...ทั้งที่เบิกเงินมาแล้วกลับทำงานให้ไม่ได้”
“ไม่เป็นไรจริงๆครับ
ผมมั่นใจว่าคุณยองจีเป็นคนดีคงไม่เบี้ยวหนีไปไหนหรอก
ว่าแต่คุณนาบีเขาส่งคนมาทำความสะอาดบ้านให้ผมแทนคุณแล้วใช่ไหมครับ”
“ดิฉันเพิ่งบอกนาบีไปเมื่อเช้านี้เอง...เห็นว่าจะรีบหาคนให้
น่าจะไม่เกินวันจันทร์ค่ะ”
“อา...อย่างนั้นหรอกเหรอครับ”
“ค่ะ ขอโทษจริงๆนะคะ”
“ครับ...ไม่เป็นไร แล้วนี่อยู่โรงพยาบาลไหนครับ
เผื่อผมจะไปเยี่ยม”
“โรงพยาบาล...ค่ะ”
หล่อนเอ่ยชื่อโรงพยาบาลแห่งหนึ่งออกมา “แต่คุณฮิมชานไม่ต้องลำบากมาเยี่ยมหรอกคะ
นี่อีกไม่นานน่าจะได้ออกไปพักฟื้นที่บ้าน”
“พักฟื้นที่บ้าน...บ้านที่อยู่ตอนนี้เหรอครับ”
“ไม่ใช่ค่ะ...ดิฉันไปอยู่บ้านลูกชายอีกคน
พอดีเขาแต่งงานแล้ว
ลูกสะใภ้เขาไม่ได้ทำงานอยู่ดูลูกเขาก็เลยให้ดิฉันไปอยู่ที่นั่น”
“แล้วจงออบล่ะครับ”
อีกฝ่ายเรียกชื่อของลูกชายคนเล็กของปลายสายราวกับคุ้นเคยกันดี ทั้งที่ความเป็นจริงไม่เคยเห็นหน้าตาหรือได้ยินเสียงเลยสักครั้ง
ทว่าผลจากการฟังแม่บ้านของตนเล่าเรื่องลูกชายคนนี้อยู่บ่อยๆในความรู้สึกจึงเหมือนกับเขารู้จักเด็กคนนั้น
“ก็อยู่คนเดียวค่ะ...พอดีช่วงนี้เขาสอบด้วยเลยไม่อยากให้มีอะไรไปกวนเขา”
“อ๋อ...ถ้างั้นคุณยองจีก็พักผ่อนเถอะครับ
ไม่ต้องห่วงเรื่องเงินที่เบิกไป ไว้หายดีแล้วค่อยกลับมาทำงานให้ผมใหม่”
“ขอบคุณมากนะคะ”
“ครับผม”
เขาเอ่ยปิดท้ายและกดวางสายพร้อมเก็บมันใส่กระเป๋าเสื้อก่อนที่คิ้วจะขมวดแทบเป็นปม
สองวันแล้วที่เขากลับถึงบ้านเพื่อพบว่ามีข้าวของหลายชิ้นถูกย้ายตำแหน่ง
ไหนจะฝุ่นที่ยังเหลืออยู่กับคราบน้ำยาทำความสะอาดตกค้าง
รวมทั้งเสื้อผ้าที่ไม่มีการไปรับจากร้านซักรีดมาใส่ตู้เสื้อผ้า
อุตส่าห์เก็บความสงสัยและคิดในแง่ดีว่าแม่บ้านของเขาไม่สบาย
อีกทั้งเชื่อมั่นในระบบรักษาความปลอดภัยของอาคารเลยไม่คิดเปิดกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ในบ้าน
...จะว่าเป็นฝีมือผีก็ตลกเกินไป...
...เขาไม่เชื่อเรื่องผี
ตอนไปตั้งแคมป์คนเดียวในป่าที่เขาลือว่าผีดุมากเขายังอยู่มาแล้ว
...จะเป็นอะไรก็เถอะ
มาแหย่ตีนถึงที่ก็ควรโดนสักที
สองเท้าก้าวออกจากสนามยิงปืนไปยังลานจอดรถก่อนจะขับพารถเมอร์ซิเดสเบนซ์สีขาวคู่ใจไปบนถนนที่การจราจรเบาบางลง
เท้าเหยียบคันเร่งจนมิดเพียงเพื่อให้มันไปที่หมายเร็วกว่าทุกครั้ง
แม้สนามจะอยู่ไกลจากบ้านมากแต่เขาก็พาตัวเองกลับมาถึงในครึ่งชั่วโมง
การ์ดสีทองแตะลงบนเครื่อง
ทว่าเมื่อประตูเปิดแทนที่กลไกอัตโนมัติภายในจะเริ่มทำงานกลับกลายเป็นไฟฟ้าเปิดสว่างอยู่เช่นเดียวกับความเย็นภายในห้องซึ่งทำให้รู้ว่าเครื่องปรับอากาศเปิดทำการมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
...ผีห่าอะไร คนเป็นๆนี้แหละ...
ฮิมชานดึงปืนออกจากซองพกหนังที่เหน็บอยู่บนเข็มขัดข้างเอวแต่ยังไม่ปลดเซฟตี้
เขาถือปืนในท่าถนัด ค่อยๆเดินอย่างเงียบกริบเข้าไปในบ้าน
สำรวจทีละห้องอย่างระแวดระวังด้วยความชำนาญเพราะประสบการณ์การใช้ชีวิตเมืองนอกในย่านแออัดทำให้ต้องระวังตัวตลอด
จากโถงทางเดินลึกไปยังส่วนในสุดของบ้านผ่านห้องนอน
ห้องน้ำ ห้องแต่งตัวผ่านมาจนถึงห้องนั่งเล่นยังไม่พบสิ่งผิดปกติ คงเหลือเพียงห้องครัวที่ยังไม่ได้รับการสำรวจ
แต่เมื่อขยับเข้าไปใกล้เสียงกระแทกของบางสิ่งในนั้นเป็นสัญญาณให้เตรียมพร้อม
“ไอ้ฉิบหาย”
คำสบถดังขึ้นในตอนที่เจ้าของบ้านซ่อนตัวอยู่หลังบานประตูที่เปิดโล่งพลางมองไปยังร่างของใครคนหนึ่งยืนอยู่หน้าอ่างล้างจานโดยถือฝาหม้ออยู่ในมือ
ชั่วนาทีที่ฝ่ายนั้นหันหลังจะหาตัวช่วยอีกคนก็พรวดถึงตัวยกปืนจ่ออหน้าพอดิบพอดี
จงออบกระพริบตาในนาทีที่เห็นปากกระบอกปืนห่างจากหน้าตัวเองไม่ถึงสิบเซนติเมตร
ในมือถือฝาหม้อเซรามิกส์สีดำลอกออกจากการทำความสะอาดผิดวิธี
ในใจสบถออกมาเป็นคำว่า เหี้-
ได้คำหนึ่ง
นาทีนั้นระหว่างคนทั้งคู่มีเพียงความเงียบ
ต่างฝ่ายต่างดูเชิงโจรตรงหน้าว่าจะมาไม้ไหนก่อนที่คนตัวเล็กกว่าจะเป็นฝ่ายชูมือที่ถือฝาหม้อขึ้นสูงระดับศีรษะ
ลำพังแค่ทำความสะอาดบ้านให้เจ้านายแม่ก็เหนื่อยจะตายห่านอยู่แล้ว
ยังจะมาป๊ะกับโจรอาวุธครบมือ
...บ้าบอคอแตกกันไปใหญ่แล้วชีวิต...
“อยากได้อะไรเอาไปเล้ย ผมไม่ใช่เจ้าของห้องหรอก
ผมแค่มาทำความสะอาดแทนแม่เฉยๆ” เขาบอกพลางลอบสังเกตหน้าตาของฝ่ายตรงข้ามที่ดูแล้วออกจะเหมือนจารชนในหนังมากกว่าโจรกระจอก
...อยากจะปัดปืนแล้วสู้เหมือนพระเอกในการ์ตูนแต่ยังบ้าไม่พอจะเชื่อว่าทำลงไปแล้วหัวจะไม่กระจุยเลยได้แต่ยืนจำนนเช่นเดิม...
“ชื่ออะไร” เสียงเข้มติดแหบถามเสียงแข็ง
“ชื่อแม่ผมอ่ะนะ...มาปล้นจะรู้ไปเพื่อ”
“ชื่อของนาย”
“มุน จงออบ” ปากขยับตอบแต่คิ้วของคนถูกถามเลิกสูงด้วยความไม่เข้าใจ
...โจรบ้าอะไรทำไมต้องถามชื่อแซ่วะ
จะกวนตีนไม่ตอบก็ไม่ได้ ปืนแม่งจ่อหน้าอยู่เนี่ย
“อายุล่ะ”
“ยี่สิบเอ็ด”
“กีฬาที่เล่น”
“เฮ้ย อะไรนักหนาจะซักประวัติไปเพื่อ”
สุดท้ายก็เก็บความสงสัยไม่ไหวหลุดปากโพล่งออกไป หากอีกฝ่ายลากเสียงเย็นน่ากลัวใส่แถมปืนก็ยังไม่ขยับไปไหนไกลจึงจำต้องตอบ
“วิ่งโว้ย”
“แล้วแม่นายล่ะ...แม่นายอายุเท่าไหร่”
“สี่สิบแปด”
“ที่ว่ามาทำงานแทนแม่น่ะ...แม่เป็นอะไรถึงต้องมาทำแทน”
“ล้มไง...มือกับเท้าเลยต้องเข้าเฝือก”
เจ้าของห้องหรี่ตามองหน้าเรียวที่โหนกแก้มขึ้นเป็นสันชัดจากความผอมกับตาเล็กๆที่จ้องตอบมามีแววรำคาญใจมากกว่าจะกลัวปืนของฝ่ายตรงข้ามที่ดูอ่อนกว่าเขาพอสมควรและคงไม่ค่อยจะมีเงินด้วยเพราะชายเสื้อยืดสีดำที่สวมคลุมร่างแทบไม่มีไขมันนั้นกลายเป็นสีเทาหม่น
กางเกงยีนส์สีซีดที่ขาดเข่าเล็กน้อยก็เหมือนจะซักจนเนื้อผ้าบางไปมากแล้ว
“แล้วฟิกเกอร์ตัวสุดท้ายที่มีคนซื้อให้คือตัวอะไร”
“ปัดโธ่ บ้าปะ ถามอะไรเนี่ย ซักยังกะตำรวจ”
“ตอบ” คำนั้นแทบตวาด
“โอ๊ย รีไวล์กับไซตามะ”
“ทำไมมีสองตัว”
“เอ้าก็มีคนซื้อให้นี่หว่า”
“ตอนซื้อให้น่ะ ซื้อแค่ไซตามะไม่ได้ซื้อรีไวล์ แล้วรีไวล์มาจากไหน”
“ก็...” คนอ่อนกว่าส่งเสียงออกมาได้เท่านั้นก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ “เดี๋ยวๆ
เดี๋ยวก่อน นี่รู้ได้ไงว่า...”
“ไม่รู้ได้ไง...ก็ไปซื้อให้เองกับมือ”
ประโยคสุดท้ายมาพร้อมกับการถอนหายใจ
ปลายกระบอกปืนถูกลดระดับจากหน้าย้ายกลับไปอยู่ในซองหนัง
จงออบมองตามความเคลื่อนไหวของคนตรงข้ามพลางกระพริบตาปริบโดยไม่พูดอะไรเลยอยู่หลายนาที
กระทั่งได้ยินเสียงเรียกให้ตามมาจึงขยับเท้าไป
ฮิมชานเดินนำไปยังห้องนั่งเล่นและหยุดยืนอยู่หน้าโซฟาหนังสีดำ
แขนทั้งสองยกขึ้นกอดอกเหลือบตายังเด็กที่เดินมึนๆถือฝาหม้อติดมือมาด้วย
“นั่ง” คำสั่งสั้นหลุดจากปาก
“ต้องนั่งด้วยเหรอ”
“จะนั่งดีๆหรือจะให้บังคับนั่ง” เพียงมือป่ายไปข้างลำตัว
คนตั้งท่าจะเถียงเลยไถลตัวลงไปนั่งบนโซฟาตามสั่งแต่ตาเล็กยังจ้องฝ่ายที่กลับมากอดอกใหม่แทบไม่กระพริบ
...คิดว่ามีปืนเลยขู่เอาขู่เอา ลองไม่มีสิพ่อกระโดดเตะก้านคอแน่...
“ทำความสะอาดที่นี่มากี่วันแล้ว”
“วันนี้วันที่สาม”
“มิน่า”
“มิน่าอะไร”
“ห้องไม่สะอาดเลยสักนิด ฝุ่นก็จับ เหลือคราบน้ำยาไว้อีก ถามจริงๆ
ทำความสะอาดไม่เป็นใช่ไหม” การถามคล้ายจะแดกดันในทีทำให้อีกคนแทบลุกขึ้นด่าแต่จำได้ว่าฝั่งนู้นมีอาวุธเลยทำได้แค่จิกเล็บกับโซฟาหนัง
“ทำเป็นแต่ห้องลุงแม่งใหญ่ยังกะวัง ทำคนเดียว ใครจะไปทำสะอาดวะ”
“แม่เรายังทำได้เลย”
“ก็นั่นแม่ไหมเล่า...ลุง
ตัวผมน่ะมีเวลาแวะมาทำความสะอาดที่นี่แค่ชั่วโมงสองชั่วโมงเองนะ”
ถึงไม่กล้ากวนเต็มที่แต่การเรียกขานสรรพนามและการลงท้ายห้วนๆระคนหยาบน้อยๆนั้นเป็นขั้นแรกของการต่อต้าน
“เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เราเรียกฉันว่าอะไรนะ”
“ก็ลุงไง...ลุงน่ะ โถ ลุง อายุมากแล้วก็เลยหูตึงฟังไม่ค่อยได้ยินสิเนาะ”
สรรพนามว่า ลุง
ที่ย้ำหลายต่อหลายรอบสะกิดให้คนเป็นผู้ใหญ่กว่าเริ่มหงุดหงิดจนกัดปากตัวเองแรงๆ
แล้วโวยกลับไปเช่นเวลาเจอเด็กไม่รู้กาลเทศะ
ทุกครั้งที่ได้ยินคุณยองตีเล่าเรื่องลูกชายคนเล็ก ผู้นิสัยดี
ทำงานหนักและขยันขันแข็งจนเขาเอ็นดูไปด้วยทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้า พอเจอตัวเป็นๆทำไมปากขนาดนี้เนี่ย
...ปากอย่างนี้นี่เหมือนกันเลย เหมือนเด็กกุหลาบของไอ้ยงกุกมันเด๊ะ...
“เฮ้ย ไอ้การเรียกคนอื่นทั้งที่ไม่รู้จักกันว่าลุงนี่มันเสียมารยาทมากเลยนะ”
“เสียมารยาทตรงไหน ก็ลุงดูแก่กว่าแม่ผมอีก”
“โห ไอ้...พูดแบบนี้มันเกินไปนะ...เกินไป”
“เกินไปยังไงอ่ะ ลุงถือเหรอที่ผมเรียกว่าลุงงะ...ไม่เป็นไรนะ
ผมเรียกลุงได้ ผมไม่ถือสาหรอก”
“ไอ้เด็กนี่...ดูพูดกับผู้ใหญ่ พ่อแม่ไม่เคยสอนหรือไงว่าควรพูดจากับผู้ใหญ่ยังไง”
“เรียกลุงมันไม่ดีตรงไหนล่ะ ผมไม่ได้เรียกไอ้หรือเรียกหยาบๆสักหน่อย”
“โว้ย...หน้าตาหรือก็ออกจะเรียบร้อย แม่เราหรือก็เล่าเรื่องเราให้ฟังซะดิบดี
ทำไมปากมอมขนาดนี้ได้วะ”
“แค่เรียกสถานะตามหน้า ทำไมลุงต้องโกรธเล่า หรือรับไม่ได้ โธ่เอ๊ย
อย่ายังงี้ดิ คนเรามันต้องหัดยอมรับความจริงให้ได้นะ” คนอายุน้อยกว่าเป็นสิบปีลอยหน้าลอยตาบอกพร้อมรอยยิ้มมุมปาก
ริมฝีปากที่แย้มนิดๆอย่างกวนประสาทคล้ายกับกรรไกรตัดให้เส้นบางอย่างในใจของคนมากวัยกว่าขาดผึงแต่ก่อนที่เจ้าของห้องจะปล่อยตัวเองให้แรงอารมณ์มีอิทธิพลเหนือเหตุผล
ริมฝีปากยังขยับส่งสัญญาณเตือนด้วยคำพูดเรียบเย็นให้ออกไปก่อนเขาจะระเบิดคำด่ากลับ
“กลับไปเลยไป”
“กลับ...จะให้กลับได้ไงเล่า ขืนกลับลุงก็ทวงตังค์ที่แม่เบิกล่วงหน้าไปอะดิ ตอนนี้แม่กับผมไม่มีเงินคืนให้ลุงหรอกนะ
ถ้าไม่ทำงานให้ เรื่องคืนเงินนี่ไม่ต้องคิดเลยเพราะผมไม่มี ไม่หนี ไม่จ่ายด้วยนะ
ลุงจะเอางั้นเหรอ”
“ไอ้นี่...ยังอีก”
“ลุงต้องเข้าใจนะว่ากว่าผมจะซ้อมวิ่ง
กว่าจะทำงานพิเศษเสร็จ ช่วงนี้ผมสอบก็ต้องอ่านหนังสือด้วย
มันก็เหลือเวลาทำความสะอาดไม่กี่ชั่วโมง ทีนี้บ้านลุงแม่งก็ใหญ่
ข้าวของในบ้านแม่งก็แพงกว่าจะสรรหาวิธีทำความสะอาดให้ของลุงได้เนี่ยลำบากฉิบ
ผมเลยต้องค่อยๆทำไปทีละห้อง
ถ้าลุงจะไม่พอใจก็ได้แหละแต่มาขอเงินคืนไม่มีให้นะ
ทั้งตัวผมเนี่ยเหลือแค่ค่ารถกับค่าข้าวกล่องเซเว่นประทังชีวิต
กว่าเงินค่าแรงกับเบี้ยเลี้ยงจะออกก็อาทิตย์หน้านู้น
แต่ถึงยังไงก็ไม่พอให้ลุงอยู่ดีแหละ”
คนเด็กกว่าอธิบายเหตุผลของตนเองยืดยาวที่สรุปใจความสั้นๆได้ว่าหมดตูด...นัยน์ตาเล็กลอบสังเกตหน้าตาผิวพรรณไล่ไปจนถึงเสื้อผ้ากับนาฬิกาข้อมือเรือนทรงฝังเพชรราคาแพงลามถึงทรงผมซึ่งเรียกได้ว่าหมดจดงดงามชนิดที่ออกไปเจรจาธุรกิจต่อข้างนอกโดยไม่ต้องทำอะไรกับตัวเองเลยก็ได้
เจ้านายของแม่นี่ไม่ใช่แค่รวยนะแต่หน้าตาท่าทางเสือกดีอีก...ถ้าแม่หลงคารมไอ้ลุงคนนี้เข้าเขาจะทำยังไง
เขาไม่อยากมีพ่อใหม่หรอกนะแค่อยู่กันสองคนแม่ลูกย่อมดีกว่าอยู่แล้ว
...โครกคราก...
ช่วงนาทีที่สมองคิดจินตนาการไปถึงภาพของแม่สวมชุดเจ้าสาวคล้องแขนกับคนตรงหน้า...ท้องกลับส่งเสียงครวญครางประท้วงเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่บ่าย
โดยไม่ได้นัดหมายเสียงร้องจากความหิวนั้นทำให้ต่างฝ่ายต่างจ้องตากันอย่างเงียบงันและเป็นคนแก่กว่านั้นเองที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วถามขึ้นมาก่อน
“นั่นเสียงท้องหรือเสียงฟ้าร้องวะนั่น...ป่านนี้แล้ว
ข้าวยังไม่ได้กินหรือไง”
“อืม”
“สี่ทุ่มแล้วยังไม่กินข้าวอีก”
“ก็ยุ่งทั้งวัน เลยไม่มีเวลากิน”
อีกคนตอบด้วยสีหน้าเฉยชาแม้ท้องจะส่งเสียงร้องดังออกมาอีก
เจ้าของห้องมองหน้าเด็กที่ยังคงทำตัวไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับความหิวโหยของตัวเองราวกับเป็นความเคยชินที่จะปล่อยท้องให้ร้องไปจนกว่าจะมีเวลากินได้
...โรคกระเพาะไม่แดกเอาหรือวะ...
“เฮ้อ จะบ้า” บ่นออกมาได้เท่านั้นร่างใหญ่ก็เดินหนีไปเสียเฉยๆ
ปล่อยให้คนเด็กกว่าย่นหน้าผากเหล่มองตามหลังที่หายไปจากห้องนั่งเล่นแต่ไม่ทันจะได้ลุกไปไหนไกลจากโซฟาหนัง
ฝ่ายนั้นก็โผล่มาใหม่พร้อมกระเป๋าสตางค์สีดำ
“ไป” ประโยคคำสั่งดังขึ้นอีกหน
“ห๊ะ...ไป...ไปไหนอ่ะ”
“ข้าวน่ะจะกินไหม”
“ข้าว?”
“ฉันก็ยังไม่ได้กิน”
“อ๋อ”
“ไปด้วยกัน”
“ไปที่ไหนอีกเล่า...นี่ลุงไม่ได้ยินที่ผมพูดเหรอวะ ผมเพิ่งบอกไปเองนะว่าไม่มีเงิน”
“ผู้ใหญ่ชวนก็มาเถอะน่า...ยัง ยังอีก ลุกมาดิวะ
อย่าให้ฉันรำคาญถึงกับต้องหยิบปืนมาบังคับให้ไปด้วยกันนะ”
“อะไรของลุงวะเนี่ย เอะอะเป็นขู่ด้วยปืนตลอดเลย...พูดดีๆไม่เป็นไง”
“ไอ้เด็กคนนี้นี่เว้ย...พูดมากฉิบ ฉันไปกินข้าวคนเดียวได้”
เจ้าของห้องตัดรำคาญเดินฉับออกจากห้องนั่งเล่นขณะที่มือกดรีโมทควบคุมไฟฟ้าภายในบ้านที่ห้อยอยู่กับพวงกุญแจรถ
พลันเครื่องปรับอากาศกระทั่งไฟในห้องกลับค่อยๆดับลงทีละดวง
“ไม่อยากมาก็ไม่ต้องมา แต่ทนอยู่แบบไม่มีไฟไปสักพักแล้วกัน”
“โหย ลุง...ไม่มีไฟ ไม่มีอากาศ ระเบียงก็เปิดออกไม่ได้
เดี๋ยวผมก็ตายพอดี”
“ช่วยไม่ได้...ฉันไม่อยากเปลืองไฟ” เสียงแหบบอกอย่างไร้อารมณ์และไม่จำเป็นต้องพูดหรือย้ำอะไรเป็นคำรบสอง
ร่างเล็กก็พรวดจากโซฟาตามหลังไปในบัดดล
ผู้ใหญ่คนเดียวตรงนั้นไม่ได้หันกลับไปมองในตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้าตามหลังเพียงเหยียดมุมปากคล้ายจะหยันและขำอยู่ในที
เท้าก้าวพ้นจากประตูห้องก็เดินต่อไปจนถึงหน้าลิฟต์โดยมีคนตัวเล็กกว่าเดินตามหลังมา
“ไหนว่าไม่มา” ผู้ถามใช้เสียงไร้อารมณ์พลางมองประตูลิฟต์ที่ยังเคลื่อนมาไม่ถึงชั้นของตนเองแทบไม่ขยับเขยื้อน
เช่นเดียวกับคนข้างๆที่ยืนมองประตูลิฟต์แทนการมองคู่สนทนาแล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเดียวกัน
“เล่นปิดไฟไล่ขนาดนั้นคงจะอยู่ได้มั่ง”
“เป็นโรคเหรอถึงต้องเถียงผู้ใหญ่ทุกคำ”
“อืม...โรคเนี่ยมันชอบกำเริบเวลาเจอผู้ใหญ่บ้าๆบอๆ”
“เหอะ นี่เหรอ
เด็กคนที่คุณยองจีเล่าว่าเป็นเด็กดี...นี่มันเด็กเปรตชัดๆ”
“เหอะ นี่เหรอ ผู้ชายที่แม่บอกว่า
ใจดีสารพัด...นี่มันผู้ใหญ่ประสาทแดกชัดๆ”
ประโยคที่แทบจะเลียนแบบกันมาทำให้ทั้งคู่ต่างหันมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมายนัยว่าอีกไม่นานคงได้ฉะกันยาวแต่เพราะประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมกับผู้โดยสารเลยต้องสงบศึกกันก่อน
ย่านกลางใจเมืองในวันเสาร์แม้จะมืดแล้ว
หากร้านรวงยังคงเปิดให้บริการรวมถึงคนยังคงเดินกันขวักไขว่...มีจำนวนไม่น้อยที่หายเข้าไปในสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่เปิดกันยันสว่าง...ท่ามกลางผู้คนมากมายที่รายล้อม
ฮิมชานเพียงแลไปข้างหน้าอย่างเรื่อยเปื่อย ทว่า ณ
ขณะหนึ่งที่ตากลมดุทอดไปเห็นต้นไม้ที่แตกกออยู่บนรอยแตกของพื้นทางเดินภายในใจกลับเริ่มรู้สึกวาบหายและว่างเปล่า
แม้จะรู้สึกโหวงๆแต่เขาเลือกจะไม่สนใจและเดินต่อไปข้างหน้าราวกับลืมไปแล้วว่ามีใครอีกคนตามหลังมาด้วย
ฝ่ายที่เดินตามมามองไหล่กว้างหนาที่ยกสูงแล้วผ่อนลงต่ำของชายหนุ่มมากวัยกว่าที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ในวงล้อมของกลุ่มคนห่างจากเขาไปหลายก้าว
ณ
ขณะนั้นเองที่ตาเล็กหรี่ลงด้วยอยู่ๆใจกลับสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยวเหงาที่กัดกินผู้ชายคนนั้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ถึงจะเป็นคนซื่อออกไปทางบื้อและดื้อเงียบในหลายคราวแต่ละเอียดอ่อนพอจะรับรู้ถึงความรู้สึกของคนรอบข้าง
ก็อยู่คนเดียวในบ้านใหญ่ขนาดนั้นจะไม่เหงาได้ไง
ขนาดเขาเข้าไปทำความสะอาดวันแรกยังรู้สึกเลยว่าเป็นบ้านที่ไม่ให้ความรู้สึกอบอุ่นทางใจแม้แต่รูปถ่ายเมืองที่ประดับผนังยังให้อารมณ์ของคนอ้างว้างกลางเมืองใหญ่
...เหงา...ไม่ใช่เหงาธรรมดาแต่เหงาระดับแอดวานซ์เลยด้วย
การเดินทางไปยังร้านข้าวของทั้งคู่สิ้นสุดลงตรงที่คนตัวใหญ่เลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กๆและหยุดยืนรอเด็กที่ตามหลังมาตรงหน้าประตูกระจกติดฟิล์มสีดำสกรีนประตูเป็นตัวอักษรภาษาแปลกตาสีทองพาด
ตัวอาคารสองชั้นทาด้วยสีดำอมเทาดูลึกลับกระทั่งเข้าไปในข้างในร้านซึ่งตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นผสมวินเทจกลับให้ความรู้สึกอบอุ่น
ลูกค้าในร้านบางตาเพราะเป็นเวลาใกล้ปิดร้าน
พนักงานชายตรงเคาน์เตอร์ผงกหัวขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงกระดิ่งหน้าประตู...เพียงเห็นหน้าคำทักทายอย่างคุ้นเคยก็ตามมา
“อ้าว...วันนี้คุณฮิมชานมาหรือครับ เห็นบอกผมจะไปกินอาหารอิตาเลี่ยนที่ร้านเปิดใหม่แถวคาโรซูกิลนี่ครับ”
“พอดีมียุ่งๆเลยไม่ได้ไป...พอจะมีที่ให้ฉันอยู่สักชั่วโมงไหมเนี่ย”
“มีสิครับ...ผมเก็บโต๊ะประจำของคุณไว้ทุกวันเสาร์อาทิตย์แหละครับ”
“อ้อ เกือบลืม...เพิ่มเก้าอี้ให้ตัวนะ”
“เพิ่มเก้าอี้?”
“มีคนมาด้วยน่ะ”
“มีคนมาด้วยเหรอครับ”
พนักงานผู้นั้นถามคำด้วยความแปลกใจ...ปกติช่วงวันพักผ่อนสุดสัปดาห์ชายผู้เป็นทั้งเจ้านายเก่าและหุ้นส่วนของร้านจะมากินข้าวที่นี่ช่วงใกล้ปิดร้านเพียงลำพังเสมอโดยให้เหตุผลว่ากินข้าวคนเดียวในร้านตอนดึกๆไม่ค่อยมีคนมันสบายใจดี
“อืม” อีกฝ่ายส่งเสียงในลำคอแล้วเหลียวไปหาคนที่ยืนหมุนคอมองไปรอบร้าน
“เฮ้ย จะกินไหมข้าวน่ะ ถ้ากินก็ตามมา”
ผู้อ่อนวัยกว่าหลายปีก้มหน้าจากที่เงยมองทั่วร้านด้วยความรู้สึกที่ว่า
อาหารต้องแพงแน่นอนกลับมายังคนตัวหนาที่หันมาทำหน้าทะมึนใส่ครู่หนึ่งก็หันกลับเดินจ้ำตามพนักงานไป
...ลุงคนนี้ตัวใหญ่ๆเหมือนจะดุแต่พอไม่มีปืนแล้วไม่ค่อยน่ากลัวเลยอ่ะ
...ไม่รู้ทำไมพอมองแล้วก็คิดถึงช้างขึ้นมา...
...ลุงช้างนี่นะ พูดจาไม่ค่อยเข้าหู ไม่รู้โมโหหิวหรืออะไร...
พนักงานคว้าตะแกรงปิ้งย่างกับถังเหล็กใส่ถ่านสีดำเดินนำทางมายังโต๊ะที่อยู่มุมในสุดของร้าน
หลังจากจัดแจงเรื่องไฟให้เรียบร้อยแล้วเมนูเนื้อทั้งหลายก็ถูกยื่นมา
จงออบกระพริบตาขณะพลิกดูรายชื่อเนื้อในแต่ละหน้า...คนไม่ค่อยได้กินเนื้อ
ลำพังแค่ชื่อเรียกก็งงแล้ว
เจอราคาเข้าไปด้วยลมแทบจับแต่ผู้ชายที่นั่งฝั่งตรงข้ามกลับสั่งเอาสั่งเอา
...คนรวยนี่มันคนรวยจริงๆ...
“เอาเท่านี้ก่อนแล้วกัน” เสียงแหบว่าแล้วเหลือบตามาหาเด็กที่จ้องเมนูไม่พูดอะไรเลยสักคำจึงถาม
“ไม่สั่งหรือไง”
“ผมว่าผมบอกลุงไปหลายรอบแล้วนะว่าไม่มีตังค์”
“สั่งๆไปเถอะน่า”
“สั่งส่งๆได้ไงเล่า...เนื้อบ้าอะไรก็ไม่รู้ แพงฉิบ”
“โวะ...น่ารำคาญเป็นบ้า ไม่น่าให้มาด้วยแหละ”
“โอ๊ะ
ทำอย่างกับผมอยากจะมาด้วยงั้นแหละ”
คนเด็กกว่าสวนแทบจะคำต่อคำก่อนจะเงียบเสียงลงทันทีที่พนักงานอีกคนเสิร์ฟเครื่องเคียงนับสิบอย่างลงบนโต๊ะตามด้วยเนื้อวัวและเนื้อหมูจัดเรียงอย่างสวยงามในจานเซรามิกส์สีดำขอบทอง
ผู้ใหญ่คนเดียวในโต๊ะบรรจงย่างและตัดเนื้อเป็นชิ้นพอดีคำอย่างชำนาญจนเนื้อสุกได้ที่ก็คีบมาไว้บนจานเปล่าจนพูนก็เลื่อนมาให้คนที่กลืนน้ำลายลงคอเพราะความหอมชวนหิวของเนื้อย่าง
“เอ้า...กินซะ”
เพราะประโยคห้วนๆสั่งการทำให้ตาเล็กเหลือบมองหน้าอีกฝ่าย
ริมฝีปากขยับอ้าจะถามกลับถูกคีบเนื้อยัดใส่ปากแทน
“กินเข้าไปจะได้เงียบๆ”
จงออบเคี้ยวเนื้อที่ถูกยัดมาเต็มกระพุ้งแก้ม
ยามลิ้นสัมผัสชิ้นเนื้ออย่างตั้งใจจึงได้พบรสชาตินุ่มละมุนลิ้นแทบละลายในปากรวมกับซอสรสกลมกล่อมจึงเป็นความอร่อยอย่างที่เคยลิ้มลองเมื่อนานมาแล้ว
“เอื้ออันอูอ๋อ”
“เคี้ยวให้หมดก่อนสิวะค่อยพูด เดี๋ยวของในปากกระเด็นฉันจะทำยังไง”
“อันจะอะเอ็นไอ้อังไอ อัดอาเอ็มอากอนาดอี้”
“ไอ้นี่นิ พูดไม่เข้าใจเหรอวะ มารยาทนะมีไหม เคี้ยวให้หมดก่อน”
ผู้ใหญ่กว่าขึ้นเสียงใส่
ฝ่ายเป็นเด็กถึงกับหรี่ตาจ้องเขม็งอย่างไม่พอใจแต่ก็ยอมเงียบและเคี้ยวเนื้อกลืนลงคอจนหมด
“นี่เนื้อฮันอูเหรอ” สุดท้ายก็ได้ฤกษ์ถามใหม่ นิ้วแข็งชี้ไปบนเนื้อในจานที่ย่างและแยกเป็นสามกองตรงหน้า
“ไม่ใช่”
“แล้วเนี่ยอ่ะฮันอูใช่ไหม”
“ไม่”
“งั้นอันนี้เนื้อฮันอูใช่เปล่า”
“ไม่ใช่เว้ย...ทำไมถึงเอาแต่คิดว่าเป็นเนื้อฮันอูอยู่ได้วะ
นี่มันเนื้อวากิวกับมัตสึซากะ”
“เอ้า ใครจะไปรู้เล่า...ผมไม่ค่อยได้กินเนื้อแพงๆหรอก...เคยกินเนื้อฮันอูที่คุณอาของเพื่อนเลี้ยงมาครั้งหนึ่ง
รสชาติมันก็แบบนี้เลยนิ”
“ไม่เหมือนกัน นี่...ดูที่สีเนื้อกับชั้นไขมันมันสิ
เนื้อมัตสึซากะมันจะมีเส้นเนื้อละเอียด ริ้วไขมันจะกระจายตัวบนเนื้อเยอะลายเนื้อมันเลยเหมือนหินอ่อน
แต่ถ้าเป็นวากิวจะเป็นเนื้อที่มีมันแทรกน้อยกว่าดูแน่นๆนุ่มๆ
ส่วนนี่ฮันอูจะมีชั้นไขมันอยู่ตรงกลางหนากว่าเนื้ออื่น
ถ้ากินเข้าไปแล้วจะรู้ว่าความนุ่มมันคล้ายๆกันแต่จะมีรสชาติชุ่มที่แตกต่างกันอยู่”
ทายาทกิจการขายเนื้อสาธยายเนื้อแต่ละประเภทพลางใช้ตะเกียบชี้ไปตามส่วนของเนื้อราวกับอาจารย์
ขณะที่อีกคนก็ชะโงกมองตาม
“ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน”
“ทำไมงี้โง่งี้วะ...ดูไม่ออกกินเอาก็ต้องรู้”
“ไม่รู้หรอก เนื้อแบบไหนมันก็อร่อยเหมือนกันหมดแหละ” คนอายุน้อยโพล่งออกไปอย่างรำคาญ
“เพิ่งจะสอนแยกเนื้อให้เมื่อกี้นี้เองนะ”
“ไอ้เรื่องแยกแยะชนิดเนื้อแพงๆได้มีแต่คนขายกับคนรวยเท่านั้นแหละที่เข้าใจ
ไอ้ยาจกอย่างผมเนี่ยแต่ละวันแค่มีข้าวกับไก่ให้กินครบสามมื้อก็บุญล่ะ”
“เป็นนักวิ่งมันต้องกินโปรตีนสร้างกล้ามเนื้อเยอะๆไม่ใช่หรือไง”
“กินไง”
“กินแต่ไก่เนี่ยนะ”
“ก็กินไก่กับอย่างอื่นที่มันให้โปรตีนในราคาถูกๆน่ะแต่บางทีผมก็ชอบยุ่งจนลืมกินข้าว
พอรู้ตัวอีกทีก็ต้องไปซ้อมแล้วเลยไม่กินก็บ่อย”
“เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะ”
“ถ้ามันจะเป็นก็คงเป็นตั้งแต่เด็กๆแล้ว”
“กินไม่ตรงเวลาแต่เด็กเลยเหรอ”
“อืม”
“มิน่า...ถึงโตได้แค่นี้”
“อ้าว ลุงช้าง แค่ตัวเองสูงกว่าไม่ได้หมายความว่าจะด่าคนอื่นเตี้ยได้นะ”
“ยังไม่ได้พูดสักคำ มีแต่นายพูดอยู่คนเดียว”
“ลุงช้างนี่พูดไม่ดีเลย...ว่าละทำไมแก่แล้วถึงอยู่คนเดียว”
“ใครแก่พูดให้มันดีๆ แล้วลุงช้างห่าอะไรนี่ใคร”
“ก็ลุงไง...ลุงช้าง”
“ไอ้เด็กคนนี้ เรียกผู้ใหญ่แต่ละคำ มันน่าโบกให้สำนึกจริงๆ”
“ตะกี้ลุงบอกผมเองว่าไม่ชอบให้เรียกลุงไม่ใช่ไง
นี่อุตส่าห์เติมช้างเข้าไปให้แล้วนะ”
“ทำไมถึงเป็นเด็กเข้าใจยากขนาดนี้”
“ทำไมอ่ะ ก็ลุงตัวใหญ่เหมือนช้างเลยนี่ เรียกลุงช้าง
ผมว่ามันก็น่ารักดีออก”
“จะว่าฉันอ้วนเหรอ ไอ้เด็กคนนี้นิ”
“ผมยังไม่ได้พูดเลย มีแต่ลุงแหละพูดคนเดียว”
คนเป็นเด็กย้อนด้วยประโยคเดียวกับที่อีกฝ่ายเคยพูดใส่ แม้จะตีหน้าตายแต่ข้างในกลับหัวเราะ
ตอนแรกก็ไม่อยากอะไรด้วยมากหรอกแต่พอแหย่ลุงช้างแกแล้วมีปฏิกิริยาตอบสนองแล้วมันสนุกดี...
“เหอะ...เด็กสมัยนี้มันเป็นยังไง กวนตีนได้ไม่หยุดไม่หย่อน”
“ว่าคนอื่นเขา ลุงช้างก็เหมือนกันแหละ...ไม่ไหว ไม่ไหว
ที่ต้องอยู่คนเดียวในบ้านหลังเบ้อเริ่มขนาดนั้นเพราะปากคอแบบนี้แน่ๆเลย”
“อยู่คนเดียวแล้วยังไง”
“ก็ไม่มีเพื่อนใช่ไหมล่ะถึงอยู่คนเดียว”
“แค่ชอบอยู่คนเดียวไม่ได้แปลว่าไม่มีเพื่อน”
“ชอบอยู่คนเดียวกับต้องอยู่คนเดียวมันไม่เหมือนกันนะลุงช้าง...แบบลุงเนี่ยเขาเรียกว่าต้องอยู่ไม่ใช่ชอบอยู่”
ประโยคเรียบๆนั้นราวกับถูกบางสิ่งจี้ลงมากลางจุดดำในใจและพลังมากพอให้คู่สนทนาชะงักการตัดเนื้อใส่จาน...ตาดุเหลือบยังตาเล็กๆที่จ้องมาอย่างไร้พิษภัย
“ทำไมคิดงั้น”
“บ้านลุงมันเหมือนไม่มีคนอยู่งะ...ผมทำความสะอาดมาสองวันแต่ตรงห้องนั่งเล่นกับห้องครัวมันไม่มีรอยใช้งานเลยมีแต่ฝุ่น
รูปถ่ายครอบครัวหรือคนก็ไม่มีสักกะใบ”
“งานมันเยอะ...กลับมานอนอย่างเดียว”
“ไม่ใช่อ่ะ มันเหมือนไม่อยากกลับมามากกว่า” คนตัวเล็กว่าสบตากับคนตาดุอย่างตั้งใจและเห็นอาการกระตุกอย่างคนถูกจับได้เกิดขึ้นแล้วหายไปในเสี้ยววินาที
“เด็กอย่างนายจะไปรู้อะไร”
“ผมอาจไม่รู้เรื่องเนื้อแต่ความรู้สึกคนน่ะผมรู้นะ”
“น่ารำคาญฉิบ...เอ้า กินเข้าไปจะได้เงียบๆ”
“พอเถียงไม่ได้ก็ให้กินตลอดเลยอ่ะ ลุงช้างนี่น่าสงสารจัง”
“หยุดเรียกว่าลุงช้างสักที”
“ลุงช้างไม่ชอบช้างเหรอ...ทำไมอ่ะ ช้างมันตัวใหญ่ๆ หูกว้างๆ งวงยาวๆ”
คนเป็นเด็กว่าพลางยกมือขึ้นมาวาดหูวาดงวงในอากาศ “แปร๋น แปร๋น
เสียงเหมือนตอนลุงเลย”
“จะหยุดไม่หยุด”
“ไม่หยุดหรอก...เรียกลุงช้างแล้วมันเหมาะกับลุงดีออก จริงๆนะ ลุงช้าง
ลุงช้าง ลุงช้างงงงงง”
ฮิมชานเม้มริมฝีปากจ้องคีบเนื้ออกจากเตาอย่างอดทนจนหมดชักทนไม่ไหวเตรียมจะด่ากลับ
หากในนาทีที่เห็นรอยยิ้มเหยียดกว้างจนตาเล็กหยี่เป็นขีดกับมือทั้งสองข้างที่ยกมาวางบนหัวทำเหมือนหูช้างของคนตรงข้าม
ความหงุดหงิดในใจเมื่อครู่ก็คล้ายเบาบางลงจนริมฝีปากหนาหลุดหัวเราะออกมา
“เพ้อเจ้อวะ”
“แล้วยิ้มไมอ่ะ”
“ทำตัวให้ฉันขำไม่ใช่หรือไง ก็ขำให้แล้วเนี่ย...พอๆหยุดคุย
รีบกินเนื้อให้หมดร้านมันจะปิดแล้ว”
“กินไม่ทันห่อกลับบ้านได้ปะ”
“ใครเขาจะให้ทำอย่างนั้นกันเล่า”
“ลุงช้างดูซี้กับเค้าออก ขอเอากลับก็ได้...”
ยังไม่ทันจะพูดจบเนื้อก็ถูกยัดเข้าปากมาอีก
“บอกให้รีบกินก็กินสิ พูดมากจริง นึกว่าจะเป็นคนไม่ค่อยพูด...ยัง
ยังจะเถียงอะไรอีก กินให้หมดก่อนแล้วค่อยเถียง
อุตส่าห์มีโปรตีนดีๆมาให้กินก็กินเข้าไป ตุนไว้เยอะๆร่างกายจะได้มีโปรตีนไปสร้างกล้ามเนื้อ”
คนอายุมากกว่ายกนิ้วชี้หน้าเป็นเชิงให้หยุดพูดแต่อีกคนทำลอยหน้าลอยตาไม่รับไม่รู้แต่ก็ยอมกินเงียบๆเรียกรอยยิ้มบางให้ผุดตรงมุมปาก
...กวนตีนจะแย่ไปยิ้มให้มันทำไม...
...แต่จะหยุดยิ้มเสือกทำไม่ได้นี่สิ...
สุดท้ายอาหารเย็นมื้อก็จบลงในเวลาเที่ยงคืนสี่สิบสองนาที...ฮิมชานหยิบบัตรเครดิตและใบเสร็จเก็บใส่กระเป๋าสตางค์แล้วเดินออกจากร้านโดยมีคนตัวเล็กและเด็กกว่าเดินตามหลัง
“เดินช้าจริง...เป็นนักวิ่งแน่ปะเนี่ย”
เพราะไม่เห็นว่าจะเดินมาเสมอกันสักทีจึงหันไปถาม
“มันอิ่มจะให้รีบเดินได้ไงเล่า” ฝ่ายที่เร่งความเร็วตามมาจนมายืนอยู่ข้างๆได้เถียง...ต่างฝ่ายต่างเดินด้วยกันเงียบๆก่อนที่คนแก่กว่าจะปริปาก
“วันนี้ไม่ต้องกลับไปทำความสะอาดแล้วนะ”
“ถึงลุงช้างไม่บอก ผมก็ไม่ไปหรอก
ดึกขนาดนี้ใครจะบ้าทำความสะอาดต่ออีก”
“ทำต่อก็ไม่สะอาดขึ้นหรอก...ไปหัดเรียนรู้วิธีทำความสะอาดจากแม่นายมาให้ดีๆก่อนเถอะ”
“ขืนไปถามก็โดนด่าดิ ผมแอบแม่มาทำงานแทนแค่หาคีย์การ์ดห้องลุงกับรหัสที่ลุงเซ็ตให้เฉพาะแม่บ้านเข้าได้เองก็บุญแล้ว”
“ทำไม่ได้ก็ให้คนอื่นมาทำ”
“ได้ไงเล่า...ให้คนอื่นมาทำก็ต้องจ่ายค่าแรงอีก
กว่าแม่ผมจะหายไหนจะเงินที่เบิกไปล่วงหน้าไม่ติดหนี้บานเลยเหรอ”
“ใจคอจะคิดแต่เรื่องเงินหรือไง”
“ต้องคิดดิ...ผมไม่ได้รวยแบบคนอื่นเขานิ ถึงค่าเทอมจะไม่ได้จ่าย
มีสปอนเซอร์สนับสนุนเรื่องอุปกรณ์กีฬา
มีเบี้ยเลี้ยงกับเงินจากทำงานพิเศษแต่มันไม่ได้เยอะหรอกนะ แค่ค่ากิน
ค่าเดินทางกับค่าใช้จ่ายในบ้านก็อานแล้ว”
“แล้วยังไง...จะทำความสะอาดต่อไปทั้งที่ทำไม่สะอาดน่ะเหรอ
บอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันเป็นภูมิแพ้ถึงจะมีเครื่องฟอกอากาศแต่ถ้ามีฝุ่นมากๆฉันก็ป่วย”
“ให้ผมหาวิธีขัดสีข้าวของเป็นล้านๆวอนของลุงหน่อยดิ
ถ้ารู้ว่าต้องจัดการยังไงไม่ให้พังได้นะงานอื่นน่ะทำไวอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มเหล่ตามองสีหน้ายุ่งยากใจของคนเป็นเด็กที่เดินข้างๆแต่เว้นระยะห่างออกไปราวหนึ่งช่วงศอก
“ถ้ามีเวลาไม่มากก็มาทุกวันสิ ทำทั้งอาทิตย์มันต้องสะอาดบ้างล่ะวะ”
“ลุงช้าง...ลุงคิดว่าผมว่างขนาดนั้นเลยไง”
“ทำงานพิเศษเสร็จกี่โมงล่ะ”
“สามทุ่ม”
“แล้วอ่านหนังสือสอบนานแค่ไหน”
“ไม่รู้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์แต่ก็อ่านทุกวันไม่งั้นจำไม่ได้”
“สองชั่วโมงได้ไหม”
“ไม่ถึงหรอก หนังสือเรียนน่ะลุงไม่ใช่การ์ตูน อ่านครึ่งชั่วโมงก็เก่งแล้ว”
“งั้นก็ทำงานพิเศษกับอ่านหนังสือเสร็จค่อยมา...ทำมันวันละชั่วโมงครึ่งก็พอ”
“จะให้ผมกลับบ้านนอนห้าทุ่มเที่ยงคืนทุกวันเลยหรือไง”
“ดูทรงนายแล้ว ถ้าไม่ทำทุกวันมันก็ไม่สะอาดหรอก
ถ้าเหนื่อยจะขับรถไปส่งให้ก็ได้
ถ้าไม่มีเวลากินข้าว...เนื้อน่ะจะให้เลี้ยงทุกวันก็ยังไหว”
จงออบกระพริบตาทันทีที่ได้ยินข้อเสนอและนิ่งไปโดยไม่พูดอะไรอยู่นานด้วยยังระแวงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับผู้ชายคนนี้ที่มีอยู่ก่อนหน้า
“ลุงช้าง...”
“อะไร”
“จะยื่นข้อเสนอมาทำไมเยอะแยะ บอกตรงๆเลยนะ
ถ้าลุงคิดจะจีบแม่ผมโดยเข้าทางผมอ่ะ มันไม่เวิร์กหรอกนะ”
“ฮะ...ว่าไงนะ” เสียงแหบย้อนถามอย่างไม่เชื่อหู
“ผมไม่อยากมีพ่อใหม่หรอกนะ”
“พูดเรื่องอะไรวะ”
“ถึงลุงจะรวยก็เถอะ แต่จะมาจีบแม่ผมล่ะก็
ผมไม่เห็นดีเห็นงามด้วยหรอกนะ”
“จีบ...จีบแม่นายเนี่ยนะ ฉันจะจีบไปทำไม”
“อย่าทำเป็นไก๊น่า ผมรู้นะ ที่ลุงซื้อของมาให้ผมแถมยังคอยมาส่งแม่ที่บ้าน
ไหนจะที่ลุงให้แม่เบิกเงินล่วงหน้าแถมให้เงินช่วยอีกเนี่ยเพราะลุงชอบแม่ผมอยู่”
“นี่ไม่คิดว่าฉันจะช่วยคนไม่หวังผลเลยหรือไง”
“พฤติกรรมลุงมันฟ้องนิ”
“ไปกันใหญ่แล้วไอ้หนู...คิดได้ไงวะ ฉันน่ะนับถือแม่นายเหมือนพี่สาว
ที่ช่วยก็เพราะเห็นเขาลำบากและคงไม่โดนโกงแน่เลยให้เบิกเงินไป
ส่วนพวกของน่ะเพราะแม่นายชอบเล่าเรื่องนายให้ฟัง ฉันเห็นว่าเป็นเด็กดีเลยซื้อมาให้ก็เท่านั้น”
“ไม่มีใครเขาซื้อของฝากแพงๆมาให้คนที่ไม่เคยเห็นหน้ากันหรอก”
“ถ้ารู้ว่าเป็นเด็กเปรตแบบนี้ก็ไม่ซื้อหรอก”
“ลุงจะบอกว่า ลุงช่วยเพราะอยากช่วยงั้นดิ ไม่อยากจะเชื่อเลย ลุงดูไม่เหมือนคนดีเลย”
“อ้าว เฮ้ย ทำไมปากมอมอย่างนี้อีกล่ะ”
“คนดีๆที่ไหนเขาพกปืนกันเล่า”
“ก็ชอบยิงปืนเป็นงานอดิเรกนี่หว่า”
“คนรวยน่ะชอบเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นด้วยไม่ใช่ไง”
“นี่ดูซีรี่ย์มากไปปะวะ...ถ้าแยกแยะไม่ได้ก็เลิกดูได้ล่ะนะ”
“ไม่รู้แหละแต่ลุงดูน่าสงสัย”
“ถ้าไม่ไว้ใจขนาดนั้นก็คอยดูฉันเอาไว้แล้วกันแต่อย่าดูนานๆล่ะ
เดี๋ยวหัวใจวายเพราะความหล่อของฉันเอา” สิ้นคำนั้นตาเล็กกลับกระพริบ
ปากอ้าค้างอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่พูดไม่ออกเพราะความหลงตัวเองของคนตรงหน้า
และก่อนจะได้เปล่งเสียงตอบโต้กลับถูกแทรกขึ้นมาก่อน
“ถึงล่ะ...เข้าบ้านได้แล้ว”
“...บ้าน”
อีกฝ่ายลากเสียงหันกลับไปมองทางข้างหน้าก็พบว่าตัวเองอยู่หน้าตึกกลางเก่ากลางใหม่ที่ใช้ซุกหัวนอนซึ่งห้องที่อยู่เป็นมรดกเดียวที่เขาได้จากการที่พ่อซื้อสิทธิ์ขาดไว้
...เดินมาทางนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...
“ไปล่ะนะ แล้วพรุ่งนี้มาทำความสะอาดด้วยล่ะ”
“ไม่ไปหรอก...วันอาทิตย์ผมไม่มีซ้อม ขอนอนบ้างเหอะ”
“ตื่นแล้วค่อยมาก็ได้”
“อะไรของลุงช้างเนี่ย”
“จะมาไม่มาก็แล้วแต่”
คนตัวใหญ่เอ่ยเพียงเท่านั้นก็หันหลังเดินออกจากหน้าอพาร์ทเม้นต์ไปทิ้งให้คนเด็กกว่ายืนมองตามจนลับสายตาก็แตะบัตรบนเครื่องข้างประตูกระจกเข้าไปในอาคารพร้อมกับคำถามที่เรียกรอยยิ้มในใจ
...ลุงช้างนี่เป็นคนตลกดีนะ...
-----------------------------------------------------------------------------
ม่านสีขาวกรองแสงอาทิตย์ยามเช้าไว้ให้อยู่เพียงด้านนอก
หากแสงก็แรงพอจะทำให้ทั้งห้องนอนสีขาวสว่าง ฮิมชานพลิกตัวจากนอนตะแคงย้ายมานอนหงาย
นัยน์ตาโตดุลืมขึ้นมองโคมไฟกลางเพดานอยู่ครู่หนึ่งก็ได้เวลาที่จะลุกจากเตียงและออกกำลังกายเบาๆเพื่อไล่ความขี้เกียจ
หลังอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์ขาวยาวแล้วจึงเข้าครัวไปชงกาแฟดื่ม
ระหว่างรอกาแฟจากเครื่องทำกาแฟที่อยู่มุมห้องสายตาก็เหลือบยังรอยถลอกตรงฝาหม้อตุ๋นอาหารสีดำที่มีราคาค่อนข้างแพงเนื่องจากเคลือบด้วยวัสดุอย่างดีหลายชั้น
ขณะที่ภายนอกก็ครอบไว้ด้วยวัสดุอย่างดีที่ให้น้ำหนักเบา
...รุ่นพี่ที่ทำธุรกิจร้านอาหารที่อเมริกาให้เขามา
สนนราคาก็ไม่แพงมากหรอกแค่สองพันกว่าเหรียญ...
หัวที่ผมยังไม่แห้งดีส่ายไปมาคล้ายจะเอือมระอาแต่เมื่อคิดถึงเด็กปากไม่ดีที่ต่อล้อต่อเถียงกันจนดึกดื่นรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาบนหน้า
...เป็นเด็กไม่น่ารักเลยวะ...
นิ้วเรียวดึงแก้วที่มีกาแฟหอมกรุ่นออกจากเครื่องทำกาแฟแล้วยกขึ้นจิบชิมรสแท้ของกาแฟโดยไม่เติมสารอื่นให้เสียรส
ช่วงเวลาละเลียดกับกาแฟดำเนินไปหูกลับแว่วเสียงปิดประตูและในไม่กี่นาทีต่อมาร่างของใครคนหนึ่งกลับเดินไวๆผ่านประตูโล่งของห้องครัวไปต่อหน้า
เจ้าของบ้านวางแก้วกาแฟลงบนเคาน์เตอร์ครัวรีบเดินออกไปยังโถงภายในห้องเพื่อพบกับชายหนุ่มอ่อนวัยกว่าในสภาพหัวยุ่งๆสวมเสื้อยืดสีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์ขาสั้นถึงเข่าในมือถือสมุดเล่มหนึ่งไว้
“ไหนว่าจะไม่มา” คำทักทายแรกเริ่มขึ้น
“ไม่ได้อยากมาหรอกแต่ผมเจอวิธีทำความสะอาดข้าวของแพงๆของลุงแล้วเลยว่าจะมาทำให้มันเสร็จๆจะได้ไม่ต้องมาทุกวันหรืออยู่จนดึกอีก”
คนเป็นเด็กตอบกลับพลางชูสมุดในมือที่มีตัวหนังสือยุกยิกกับภาพวาดโย้เย้เต็มไปหมดให้เห็น
“เหรอ” ผู้ใหญ่กว่าว่ามองเด็กตรงหน้านิ่งงัน
“กินข้าวหรือยัง”
“ยัง”
“ก็ดีจะได้ไปกินด้วยกัน”
“ไม่เอา...ค่าเนื้อเมื่อวานผมยังไม่มีจ่ายลุงเลย”
“ไม่ได้บอกให้จ่าย”
“ผมไม่อยากติดหนี้ลุงช้างหรอก”
“งั้นเหรอ” เสียงเข้มติดแหบนั้นลากยาวและเริ่มคำถามใหม่ “รู้ไหมว่าฝาหม้อที่นายทำถลอกไปราคาเท่าไหร่”
“เท่าไหร่อ่ะ”
“สองพันห้าร้อย”
“วอน?”
“เหรียญ...เหรียญดอลล่าร์สหรัฐน่ะ ตีเป็นเงินวอนก็ราวๆ
สองล้านสองแสนวอนล่ะมั่ง”
“ห๊ะ...ไอ้ฝาหม้อนั้นอ่ะนะ”
“อืม”
“โกหกปะเนี่ย”
“ไม่เชื่อก็ไปค้นในเน็ตเอาสิ”
ฝ่ายตรงข้ามย่นหน้าผากเหลือบตายังหน้าหล่อสะอาดไร้อารมณ์ของอีกคนที่กำลังหยิบมือถือออกมากดก่อนจะยื่นหน้าจอที่มีรูปหม้อแบบเดียวกับในครัวพร้อมราคามาให้ดู
“ในเกาหลีนี่ราคาแพงกว่าที่คิดอีกแฮะ...ช่างเถอะยังไงซะนายก็ติดหนี้ค่าหม้อฉันไปแล้วล่ะนะ
ถ้ารวมค่าเนื้อเข้าไปอีกล่ะก็คงทำงานใช้หนี้อีกนานเลย
แต่ถ้าไปกินข้าวเป็นเพื่อนฉันล่ะก็...ฉันจะไม่รวมค่าเนื้อเข้าไปแล้วก็จะลดหนี้ให้ครั้งล่ะหมื่นวอน” เจ้าของห้องยื่นข้อเสนอด้วยหน้าเรียบเฉยแต่ทำให้อีกคนหรี่ตาลง
“ลุงช้างนี่ไม่เพื่อนจริงๆด้วย”
“มี”
“ถ้าไม่มีเพื่อนไปกินข้าวด้วยก็บอกดีๆก็ได้”
“ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป...ยังไงก็ไปกินคนเดียวได้อยู่แล้ว”
ผู้ใหญ่ในห้องสรุปความปรายตายังคนตรงข้ามพร้อมยักไหล่แล้วหันหลังก้าวเท้าไปข้างหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไรแต่นั่นกลับทำให้ฝ่ายที่มองอยู่เงียบๆผุดยิ้มน้อยๆออกมา
“บอกผมว่าเหงาสิแล้วผมจะไป”
คำนั้นดึงเจ้าของห้องให้หยุดยืนนิ่งสองสามนาทีก่อนจะเหลียวหลังมาหาต้นเสียง
“ทำไมต้องพูดคำนั้นด้วย”
“ก็ลุงช้างเหงาจริงๆนี่”
“ไม่เหงา”
“พูดว่าเหงามันยากไปเหรอ”
“บอกว่าไม่ได้เหงาไง ไอ้เด็กคนนี้นิ”
“ถ้าพูดว่าเหงาไม่ได้...ลดหนี้เป็นห้าหมื่นวอนสิแล้วผมจะไป” เสียงนุ่มจากคนตัวเล็กต่อรอง
“ทำไมถึง...” อีกฝ่ายว่าพลางกัดฟัน “หน้าซื่อๆทำไมหน้าเลือดขนาดนี้วะ”
“เอาเปล่าล่ะ...”
“น่ารำคาญเป็นบ้า” เจ้าของห้องบ่นพลางส่ายหัวค่อยๆหันกลับมามองทางข้างหน้าและย่างเท้าออกไปใหม่
“รีบๆตามมาแล้วกัน ฉันหิว”
จงออบเลิกคิ้วมองแผ่นหลังกว้างหนาของผู้ใหญ่กว่าซึ่งสุดท้ายก็จำนนกับข้อเสนอของเขาซึ่งกำลังเดินห่างจากสายตาออกไปทีละน้อยก่อนจะหลุดหัวเราะเสียงใสแล้วเดินเร็วๆตามไป
...ลุงช้างเนี่ยเป็นคนตลกจริงๆเนาะ...
1 Comments
โอยย น้องออบน่ารักมาก ลุงช้าง555555555555555 โอยขำ
ตอบลบจริงๆฮิมชานเหงาสินะ ได้น้องเป็นเพื่อนอยู่ด้วยก็ดีแล้ววว ต่อไปนี้ก็จะได้ไม่เหงาปากอีก ทะเลาะกันมันส์555555
มาต่อเร็วๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่า