LOVE TOXICAL : HYUNGWONHO CHAPTER 4

08:41




ฮยองวอนรู้สึกตัวตื่นอีกทีก็ตอนที่รู้สึกถึงแรงสั่นของโทรศัพท์มือถือ ตายังปิดสนิทแต่มือคลำหาโทรศัทพ์ในกระเป๋าหยิบออกมาลืมตางัวเงียขึ้นมามองหน้าจอแล้วสไลด์จอรับสาย ชางกยุนก้มมองเพื่อนที่หลับหนุนตักตัวเองได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดีก็ประกอบของต่อ


“อื้อ...จุนฮงเหรอ เราโทรไปเมื่อเช้าไม่รับสายอ่ะ ยังไม่โทรกลับหรือตอบข้อความเหมือนกัน แล้วนี่อยู่ไหนอ่ะ ว่างอยู่ เดี๋ยวไปหาล่ะกัน แค่นี้นะ” คุยกับปลายสายไม่ถึงห้านาทีก็เก็บโทรศัพท์ ร่างสูงลุกจากตักมาขยี้ตาเหมือนยังไม่อยากตื่นแต่ต้องฝืนลุกยืนเกาะผนังด้วยสภาพยังสะโหลสะเหล่


“จะไปไหนวะ”


“ไปร้านกาแฟตรงตึกศิลปกรรม”


“ไปทำไม”


“ไปหาจุนฮงน่ะ จะไปคุยเรื่องยองแจหน่อย”


“งั้นไปด้วย”


“ไม่เป็นไร เราไปแป้บเดียวก็มา นายทำของประกอบฉากนี้ให้เสร็จเหอะ เที่ยงจะได้ไปหาข้าวกินด้วยกัน”


“แต่นายท่าทางยังไม่ตื่นดี เดินไปคนเดียวตกท่อขึ้นทำไงวะ ไม่เอาอ่ะไปด้วยดีกว่า”


“ก็ไม่ใช่เด็กสามขวบนะ” ทั้งที่บอกออกไปอย่างนั้นแต่อยู่ๆก็สะดุดเท้าตัวเองเสียเฉยๆ


“นั่น...สะดุดเท้าตัวเองจนได้ ขืนเดินไปเองอันตราย ไปด้วยกันนี่แหละ” คนตัวเตี้ยกว่าติดกาวกับไม้แล้ววางลงพื้นก่อนจะลุกขึ้นยืนยกแขนไปกอดโอบไหล่เพื่อนไว้เดินออกจากห้องซ้อมไปด้วยกัน


ทั้งคู่เดินไปอย่างไม่เร่งร้อน ตลอดทางนั้นฮยองวอนยังเอาแต่หาวหวอดไม่ค่อยได้มองทางเพราะรู้ว่ามีคนอยู่ข้างๆคงไม่สะดุดล้มไปไหน ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงร้านกาแฟข้างตึกศิลปกรรมที่กรุกระจกใสไว้โดยรอบให้คนผ่านไปผ่านมามองเห็นข้างในซึ่งตกแต่งไว้ในสไตล์วินเทจเพื่อเรียกลูกค้า


ชางกยุนผลักประตูกระจกเข้าไปในร้านที่มีลูกค้านั่งทำรายงานและอาหารหนังสืออยู่ คนตัวสูงกว่าชะเง้อคอมองไปรอบร้านอยู่พักหนึ่งก็ดึงแขนเสื้อเชิ้ตที่เพื่อนสวมทับเสื้อยืดสีขาวลากให้เดินมาด้วยกัน


“จุนฮง” เสียงเรียกชื่อนั้นทำให้ชายหนุ่มผมสีบลอนด์ทองสวมเสื้อสีเทาทับด้วยแจ็กแก็ตมีฮู้ตลายกราฟฟิคหลากสีที่นั่งเท้าคางหันออกไปนอกหน้าต่างโดยมีผู้ชายผมสีเทาตัวหนาสวมเสื้อยืดสีดำสวมทับด้วยแจ็กแก็ตยีนส์อีกคนนอนหลับบนโซฟาหันกลับมา


ดวงหน้าเรียวขาวเนียนราวกลีบกุหลาบ เรียวคิ้วถูกผมหน้าม้าบดบัง หากไล้ต่ำลงมาจะเห็นดวงตากลมโตสีน้ำตาลสุกใสปรือมองด้วยความง่วง จมูกโด่งได้รูปรั้นปลายเล็กน้อยรับกับริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูอ่อนจางเป็นผู้ชายที่ดูเหมือนเด็กผู้หญิงน่ารักที่มีความดื้ออยู่ในตัว


“หวัดดี ฮยองวอน” เสียงทุ้มเอ่ยมือข้างหนึ่งยกขึ้นทีหนึ่งเหมือนอ่อนแรง ข้างหน้ามีแก้วกาแฟเย็นกับบลูเบอรี่ปั่นที่เหลือก้นแก้ววางอยู่ “แล้วนั่น...”


“อ้อ นี่ชางกยุนเพื่อนเราน่ะ”


“อื้อ หวัดดีนะ นั่งสิ” ครั้งนี้คนพูดไม่ยกมือแต่พยักเพยิดหน้าแบบง่วงๆมาแทน


“ทำไมสภาพเหมือนไม่ได้นอนกันเลย” คนตัวสูงแต่ผอมกว่าที่ถ่อมาจากห้องซ้อมละครเอ่ยถามกับเพื่อนที่เคยเรียนร่วมชั้นกันเมื่อสมัยมัธยมปลาย จุนฮงเป็นเพื่อนที่ย้ายจากอังกฤษมาเรียนที่เกาหลีห้องเดียวกับเขา ส่วนคนที่นอนชื่อจงออบเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนเดียวกับเขาเหมือนกัน


“ก็ไม่ได้นอนอ่ะดิ”


“อ้าว ทำไมล่ะ”


“ก็เมื่อวานพอวางสายจากนาย ฉันก็รอแต่ยองแจไม่เห็นโทรมาหา โทรกลับไปก็ไม่รับฉันกลัวอาจารย์มาส่งแล้วเกิดเป็นลมกลางทางเลยลงมาหาแต่ก็ไม่เจอ แวะไปโรงพยาบาลถามเจ้าหน้าที่ก็บอกไม่รู้ เลยปั่นจักรยานวนรอบๆห้องกับมหาวิทยาลัยถึงตีสี่ กลับมารอที่ห้องจนเช้าก็ไม่ติดต่อมาเลย”


“แต่อาจารย์ฮอนชอลเขาบอกเราว่าจะมาส่งนี้ หรือว่าอาจารย์เห็นยังไม่ดีเลยให้ไปอยู่บ้านเขาไรงี้ไหม”


“เดี๋ยวนะ นายบอกว่า อาจารย์ชื่ออะไรนะ”


“อาจารย์ฮอนชอลที่เป็นอาจารย์พิเศษคณะนายอ่ะ เห็นอาจารย์เขาบอกว่า วันนี้มีสอนตอนเช้า ลองไปถามอาจารย์เขาดูดีไหม”


“ตอนนี้อาจารย์คงเข้าสอนแล้วแหละ” บอกแล้วก็ยกมือปิดปากที่หาวหวอดใหญ่


“ง่วงขนาดนั้นตอนรอก็น่าจะงีบสักหน่อยนะ”


“นอนไม่หลับหรอก ฉันนอนไม่ได้ถ้าไม่มีคนนอนอยู่ด้วย แล้วไหนจะห่วงยองแจมันอีก”


“คงไม่เป็นไรหรอกมั่ง อาจจะนอนบ้านอาจารย์ฮอนชอลก็ได้”


“ไม่รู้สิ บางทียองแจมันก็เปราะบางเหลือเกิน” จุนฮงว่าพลางถอนหายใจด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแบบง่วงๆ



“ห๊ะ”


“ไม่มีอะไรแค่เป็นห่วงมัน” คำตอบเหมือนบอกปัดแต่คนได้ยินก็ปล่อยไป


“แล้วจงออบมานอนอยู่นี่ได้ไง”


“เมื่อวานมันทะเลาะกับแม่ แม่งมารอเราอยู่หน้าหอก็ไม่โทรบอก ออกมาถึงเจอมันนั่งหลับอยู่เลยชวนมามหาวิทยาลัยพร้อมกันแล้วก็หลับเป็นตายอยู่นี้”


“ทะเลาะกันเรื่องอะไรอ่ะ”


“มันไม่ค่อยชอบเพื่อนที่ทำงานแม่”


“ไปเกลียดอะไรเจ้านายแม่ตัวเองนัก”


“ไม่รู้วะ แล้วนายล่ะ ทำไมหน้าหมองจังเมื่อวานไม่ได้นอนเหรอ”


“นอนแต่ฝันร้ายก็เลยเหมือนไม่ได้นอน”


“ฝันร้าย” คราวนี้ทั้งวงที่ยังตื่นอยู่ประสานเสียงย้ำคำขึ้นมาพร้อมกันเพราะการฝันเหมือนเป็นเรื่องผิดปกติของคนขี้เซา


“ฝันว่ายังไงวะ” ชางกยุนที่เงียบฟังอยู่นานถามตาโต


“ก็...” ระหว่างที่กำลังจะตอบ ฮยองวอนสังเกตเห็นสายตาของเพื่อนที่เหลือบสูงไปหาใครบางคนที่อยู่ด้านหลัง ทันใดนั้นความรู้สึกเหมือนมีคนยืนอยู่ข้างหลังก็เกิดขึ้น


“เมื่อวานผมบอกให้คุณมาหาผมหลังซ้อมละครเสร็จใช่ไหม” เสียงเข้มดุเอ่ยอย่างเนิบช้าและเยือกเย็นเสียจนคู่กรณีที่มีเรื่องพิพาทกันเมื่อวานเสียวสันหลังวาบ จุนฮงมองอาจารย์หนุ่มร่างล่ำสันที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตสีเลือดหมูพับแขนถึงศอก กระดุมเม็ดแรกถูกปลดออกจนเห็นกล้ามขาวข้างในกับกางเกงสแลคขายาวสีดำ ใบหน้าหล่อเหลากับผมที่เซ็ตไว้อย่างดีดูเนี้ยบและเซ็กซี่ทุกกระเบียดนิ้ว


...ถ้าไม่ใช่นักศึกษาที่รู้กิตติศัพท์ความโหดอย่างพวกเขาล่ะก็คงตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น...


ทั้งวงหน้าซีดเผือกลงทันทีที่เห็นอาจารย์โฮซอกถือเอสเปรซโซ่ร้อนยืนอยู่ตรงโต๊ะ หลังผงกหัวโค้งทำความเคารพได้ก็แทบไม่มีใครกล้าสบตา ยกเว้นจุนฮงที่เคยได้มีโอกาสเรียนด้วยสองสามครั้งในวิชาเลือกเสรีหลุดยิ้มแห้งๆออกไป



“ตามผมมา ฮยองวอน...ผมมีเรื่องต้องคุยเป็นการส่วนตัวกับคุณ...เยอะเลย” ประโยคในตอนท้ายถูกเน้นหนัก คนตัวผอมที่นั่งก้มหน้างุดห่อไหล่ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้นเหมือนอาจารย์กำลังเดินกลับพลางกลืนน้ำลายเฮือกลงคอ ส่วนเพื่อนก็ได้แต่มองยังคนถูกเรียกตาค้าง



“นายไปมีเรื่องอะไรกับจอมโหดนิเทศวะ” เพื่อนต่างคณะที่เคยเรียนด้วยไม่กี่ครั้งยังรู้ถึงฉายาอาจารย์กระซิบถามอย่างเป็นห่วง


“อะไรวะ แค่พรีเซนต์ไม่ดีโดนเรียกไปคุยเป็นการส่วนตัวเลยเหรอ อาจารย์โฮซอกแม่งโหดเกินไปแล้ว” ชางกยุนกระซิบเสริม


“อา...” ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะได้พูดอะไรก็มีเสียงดุลอยข้ามมาให้ได้ยินอีก


“จะขัดคำสั่งผมใช่ไหม”


“ไปแล้วครับ...ไปแล้ว” คนตัวสูงแต่ผอมลุกพรวดจากเก้าอี้ทันทีโดยไม่ต้องย้ำเป็นครั้งที่สอง ก้าวขาเลื่อนจากเก้าอี้รีบตามหลังอาจารย์โฮซอกที่ผลักประตูเดินนำไปก่อนแล้ว

----------------------------------
แผ่นหลังกว้างของอาจารย์โฮซอกนั้นดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยมัดกล้ามแตกต่างจากคนเดินตามหลังที่เหมือนตัวใหญ่ก็จริงแต่ข้างในมีแต่หนังหุ้มกระดูก ยิ่งเวลาเดินผ่านใครแล้วเห็นสายตาคล้ายสงสารมองมาแม้หน้าจะนิ่งสงบ หากไหล่ก็ห่อลีบเข้าหากันแทบทันที


ประตูห้องพักอาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ ภาควิชาโฆษณาและประชาสัมพันธ์ที่อยู่ชั้นหนึ่งของอาคารถูกเปิดออก ด้านหน้าสุดของห้องจะมีตู้หลายลิ้นชักให้นักศึกษาแต่ละวิชาส่งงาน ภายในเป็นห้องกว้างนั้นกั้นพื้นที่ให้อาจารย์ในภาควิชาแต่ละคนด้วยฉากกระจกโดยเว้นทางพอให้เดินสวนกันได้ ผู้เป็นอาจารย์เดินฉับเข้าไปในห้องด้านหลังกั้นเป็นห้องบนประตูมีป้ายบอกชื่อและตำแหน่ง


รองศาสตราจารย์ชิน โฮซอก
หัวหน้าสาขาวิชาโฆษณาและประชาสัมพันธ์


โฮซอกวางถ้วยเอสเปรสโซ่ร้อนลงบนโต๊ะทำงานกว้างและยาวพอให้ผู้ช่วยนั่งทำงานด้วยได้ถูกจัดไว้อย่างสะอาดและเป็นระเบียบ นอกจากแลปท็อปสีดำแล้วตรงมุมโต๊ะมีกระถางต้นแคตตัสออกดอกสีแดงสวย ด้านหลังเก้าอี้มีภาพวาดสีน้ำมันของท้องฟ้ายามราตรีที่มีดาวหางพุ่งลงมา ขณะที่หนังสือและแฟ้มเอสารถูกเก็บเป็นหมวดอยู่ในตู้ติดผนังตรงข้ามกับโต๊ะทำงาน 


ร่างหนาทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ทอดสายตายังคนตัวสูงที่ก้มหน้างุดมองพื้นอยู่ตรงหน้า ขาข้างหนึ่งยกขึ้นมาไขว้กับขาอีกข้างหลังพิงพนักแต่ยังเหยียดตรง


“ผมไม่คิดว่าคุณจะเป็นเด็กแบบนี้  ไม่สิ ต้องบอกว่าผิดหวังทีเดียวที่เด็กดูเรียบร้อยอย่างคุณจะกลายเป็นเด็กไม่ดีที่คิดจะแบล็กเมล์อาจารย์แถมไม่รักษาคำพูดด้วย” เสียงเข้มเรียบเย็นแต่เชือดเชือนดังขึ้นกลางความเงียบ คู่กรณีจ้องพื้นไม่ยอมเงยหน้า มือทั้งสองประสานอยู่ข้างหน้าอย่างอึดอัด


“คุณไม่มีอะไรจะอธิบายถึงสิ่งที่ทำลงไปเลยหรือไง”


“อา...” ริมฝีปากอิ่มเริ่มขยับแต่ความคิดในหัวตีกันกระจัดกระจายจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไร กระทั่งได้ยินเสียงตบโต๊ะขึ้นมาถ้อยคำก็พรั่งพรูเหมือนสายฝนเทกระหน่ำ


“เมื่อวานนี้ผมพาเพื่อนไปโรงพยาบาล ผมไปซื้อของกินกลับมาเข้าห้องน้ำแล้วเจออาจารย์พอดี ผมไม่ได้ตั้งใจจะถ่ายรูปอาจารย์แต่นิ้วผมมันไปโดนโปรแกรมกล้อง ผมตกใจจะกดปิดมันกลายเป็นกดถ่ายแทน และผมก็ตั้งใจจะลบรูปอยู่แล้วแต่ตอนนั้นผมต้องเอาของไปให้เพื่อนผม พอออกมากินข้าวผมกำลังจะกดลบอาจารย์ก็มาเห็นพอดี”


“ถ้าคิดจะลบก็ควรลบตั้งแต่รู้ว่าตัวเองกดถ่ายแล้ว นี่ถ้าไม่ใช่ผมบังเอิญเจอคุณก็คงไม่ลบ...หรือจริงๆแล้วในใจคุณคงคิดว่าการมีรูปนั้นอยู่ อาจจะใช้ต่อรองเรื่องเกรดกับผมได้”


“ผมไม่...” ขยับอ้าปากไปได้สองประโยค ในส่วนต่อท้ายที่ว่า อยากยุ่งกับเรื่องของอาจารย์เป็นคำที่อยู่ในใจแต่ไม่ทันได้พูดก็ถูกขัดเสียก่อน


“แต่ถึงคุณจะมีรูปนั้น คุณคิดเหรอว่าใครจะเชื่อ คิดดูสิระหว่างหัวหน้าภาควิชาที่สร้างชื่อเสียงให้มหาวิทยาลัยมาหลายปีกับนักศึกษาเล่นละครเก่งที่มีปัญหาในวิชาที่ผมสอนตลอด คนเขาต้องเชื่อผมมากกว่า และอีกอย่างถึงคุณจะกู้รูปพวกนั้นมาได้แต่สมัยนี้รูปแบบนั้นตัดต่อไม่ถึงสิบนาทีก็ได้แล้ว ใครมันจะไปเชื่อคำพูดคุณกัน”


“ผมไม่ได้จะแบล็กเมล์ มือผมแค่ไปโดนเฉยๆครับ”


“ผมไม่เชื่อ”


ฮยองวอนสูดลมหายใจให้กับคำที่ผู้เป็นอาจารย์สวนมาแบบดุดันไม่เปิดโอกาสให้คนที่สติกระเจิดกระเจิงแม้ว่าจะหน้านิ่งได้เรียบเรียงความคิดเลยแม้แต่น้อย


ทำไมเขาต้องอยากหาเหาใส่หัว โดยเฉพาะเหาที่ชื่ออาจารย์ชิน โฮซอกด้วย ถึงอาจารย์ดาซมจะแต่งงานแล้วก็ตามแต่การที่อาจารย์โฮซอกกับอาจารย์ดาซมจะจูบกัน แม้มันจะผิดศีลธรรมแต่มันก็เรื่องส่วนตัว เขาไม่เห็นอยากเอาตัวเองเข้าไปพัวพันให้เดือดร้อนรำคาญแต่นิ้วพาซวยเอง แถมรูปหลักฐานก็ไม่มีแล้วจะเอาอะไรอีก


...ก็ได้แค่คิดในใจ ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น...


“ผมพูด...ความจริงนะครับ”


“มองหน้าผม” คำนั้นสวนมาอย่างเร็ว


“ครับ”


“ถ้าพูดความจริงต้องกล้ามองหน้าผม” เสียงดุนั้นคล้ายข่มขู่ คนเป็นลูกศิษย์หลับตาสูดลมหายใจ...ไม่รู้ว่ามีเวรมีกรรมอะไรถึงต้องยุ่งกับคนที่ไม่อยากเข้าใกล้ กลั้นใจพยายามจะมองหน้าเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์แต่เพียงไม่ถึงห้าวินาทีก็ก้มหน้ากลับมาเหมือนเก่าพร้อมกับเสียงถอนหายใจของอีกคนจะดังขึ้น


“ได้...จะเอาแบบนี้ก็ได้ ต่อไปนี้ผมคงต้องจับตาดูคุณอย่างใกล้ชิด...เพราะงั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปคุณต้องมาเป็นTAให้ผม”


สิ้นคำความเงียบก็บังเกิดขึ้นชั่วอึดใจ ฝ่ายที่ก้มหน้าฟังคำสั่งในตอนแรกยังไม่ทันคิดอะไร กระทั่งลองทวนคำซ้ำไปซ้ำมาก็เงยหน้าขึ้นมามองอาจารย์ที่กำลังยกลังกระดาษขึ้นมาตั้งบนโต๊ะ


“คุณต้องรับผิดชอบดูแลงานที่ผมมอบหมายให้ วันไหนผมมีสอนตอนเช้าคุณต้องซื้อกาแฟมาให้ผมตอนเจ็ดโมงเช้า ช่วงเช้ากับเที่ยงคุณต้องกินข้าวพร้อมผม และถ้าวันไหนต้องอยู่ช่วยงานผมจนเย็น คุณต้องไปกินข้าวกับผมเหมือนกัน แล้วคุณก็ต้องรอกลับบ้านพร้อมผม ทุกครั้งที่มีเวลาว่างเกินสิบนาทีคุณต้องมาที่ห้องนี้ไม่ว่าผมจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ตาม” รายละเอียดของงานถูกร่ายยาวทำเอาคนไม่ทันตั้งตัวลืมความกลัวจ้องหน้าอีกฝ่ายตาค้าง


...อยู่กับคนที่เขาไม่ชอบตัวเองทุกวี่ทุกวัน อกได้แตกตายก่อนพอดี แล้วเขาก็มีเพื่อนมีฝูง มีสิ่งต้องทำเหมือนกันนะจะให้มาผูกติดอยู่นี้ได้ยังไง...


“แต่...แต่อาจารย์ก็มี TA อยู่แล้วนี่ครับ...ละ...ละ ผมก็มีเรียน มีซ้อมละคร...จะมาช่วย...ยังไงครับ”


“ผมไม่มี TA


“ก็ผมเห็นกีฮยอน...”


“ใครอาสาผมก็ให้ช่วยทั้งนั้น”


“แล้ว...แบบนั้น...ไม่ดีกว่าเหรอครับ”


“ดีกว่ายังไง...ในเมื่อคุณคิดจะแบล็กเมล์ผมก็ต้องเป็นคุณที่ต้องทำสิ หรือจะไม่ทำก็ได้ ผมก็แค่ให้เอฟคุณวิชานี้กับวิชาหน้า ไม่ดีกว่า ทำให้โดนไทร์เลยดีไหม” โฮซอกเอ่ยอย่างเฉยชา คิ้วเลิกขึ้นเป็นเชิงให้เลือกขณะจ้องลึกลงมาในดวงตาของลูกศิษย์ที่ยังค้างแข็งเพราะความตกใจ


ร่างสูงกระพริบตาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ทั้งที่ข้างในหัวใจกำลังเต้นรัวและมือทั้งสองข้างที่วางข้างลำตัวก็เกิดสั่นน้อยๆขึ้นมา จะให้หกสูงคิดฝ่ายตรงข้ามก็เหนือกว่าตัวเองทุกทาง ในตอนนั้นความรู้สึกมันเหมือนกำลังเผชิญเคราะห์หนักในรอบยี่สิบปี


...แค่นิ้วลั่นชีวิตต้องฉิบหายขนาดนี้เลยเหรอ...


“เอาเป็นว่าตอนนี้คุณเป็น TA ของผม” เสียงเข้มเรียบเย็นสรุปผลจากความเงียบงันพลางตบมือลงบนฝากล่อง  


“ในนี้มีรายงานนักศึกษาที่ผมตรวจแล้วกับใบรายชื่ออยู่ งานแรกของคุณวันนี้คือเช็กชื่อและกรอกคะแนนให้หมด อย่าให้ตกหล่น เพราะทุกครั้งที่คุณทำงานพลาดผมจะหักจากคะแนนเก็บในวิชาที่คุณเรียนกับผม กรอกเสร็จแล้วเรียงเลขที่เก็บใส่แฟ้มที่อยู่ในตู้ เห็นป้ายคลาสที่ผมติดไว้ข้างแฟ้มไหมใส่มันไว้ในนั้น อีกสองลังใหญ่ที่อยู่ตรงตู้มีกล่องนึงผมติดไว้ว่าให้ย่อยก็ย่อนมันซะ อีกลังเป็นหนังสือกับรายงานวิชาการคุณเรียงใส่ตู้หนังสือตามล็อกด้วย ทำให้เสร็จภายในสี่โมงเย็นวันนี้ เข้าใจที่ผมอธิบายเรื่องงานแล้วใช่ไหม แค่นี้นะ ผมจะกลับไปสอนแล้ว”


“อะ...อะ...อา” ประโยคที่กำลังจะสานต่อเป็นคำพูดลอดจากปากของคนตัวสูงแต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจ เพียงหยิบหนังสือที่ต้องใช้ติดตัวมา ขณะที่จะเปิดประตูออกจากห้องส่วนตัวไปสุดท้ายคำจากฝ่ายที่ตะกุกตะกักอยู่ครู่หนึ่งก็หลุดออกมา


“กาแฟครับ”


ลูกศิษย์หนุ่มหลับตาแน่นทันทีที่คำสั้นนั้นหลุดจากริมฝีปาก รู้สึกโมโหตัวเองที่เอ่ยถึงสิ่งที่ไม่ได้อยากจะเอ่ยเพราะสติหลุดเผลอมองกาแฟบนโต๊ะเลยพูดออกไป


อาจารย์หนุ่มหยุดยืนอยู่หน้าประตูเหลียวหลังมามองแผ่นหลังของลูกศิษย์หนุ่มที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่หน้าโต๊ะทำงาน วินาทีนั้นริมฝีปากคนเป็นอาจารย์กลับเหยียดกว้างและแววตาก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด


“นั่นของคุณ...ถ้าไม่ชอบกาแฟขมมีน้ำตาลซองอยู่ข้างนอก แล้วก็ผมมีต้องไปคุยธุระข้างนอกตอนเที่ยง ถ้าคุณหิวผมอนุญาติให้คุณออกไปกินข้าวได้ แต่งานต้องเสร็จในสี่โมงเย็นล่ะ” ถ้อยคำสุดท้ายลอยผ่านลมพร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลง


ฮยองวอนเม้มริมฝีปากสูดลมหายใจเข้าลึกและผ่อนออกยาวหลายนาที ในสมองเต็มไปด้วยความคิดวุ่นวายสับสนจนจับต้องไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอัน หากมีเรื่องหนึ่งที่ตรึกตรองซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น



...คนทำผิดที่จูบกับคนแต่งงานแล้วมันอาจารย์ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเขาต้องเป็นฝ่ายกลัวและรับเละทุกอย่างแบบนี้ด้วยล่ะ... 

You Might Also Like

0 Comments