LOVE TOXICAL : HYUNGWONHO CHAPTER 5

08:52




ชางกยุนมองตามหลังของเพื่อนที่ผลุบจากที่นั่งเดินตามหลังอาจารย์โฮซอกไปด้วยความเป็นห่วง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแทบจะลุกตามไปอยู่แล้วถ้าไม่ได้ยินเสียงจากจุนฮงที่เอ่ยถามถึงเพื่อนที่ตามอาจารย์ไปด้วยน้ำเสียงห่วงใย


“ฮยองวอนมีเรื่องกับอาจารย์โฮซอกบ่อยเหรอ”


“อาจารย์เขาเหมือนไม่ค่อยชอบฮยองวอนเท่าไหร่ วันก่อนก็เอาใบให้ไปดรอปมาทีหนึ่งแล้ว” ตอบกลับไปด้วยสีหน้าเครียดเคร่ง


“โหดจัง...ตามไปดูหน่อยดีไหมเนี่ย แต่ต้องไปเรียนแล้วด้วยสิ” จุนฮงพึมพำกับตัวเอง


“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปดูเอง” พูดจบก็ลุกจากเก้าอี้แต่ไม่ลืมจะบอกลา “ไปก่อนนะ ยินดีที่ได้รู้จักนะจุนฮง”


“อ้อ เช่นกัน...แล้วก็ถ้ามีเรื่องอะไร...ให้ฮยองวอนคาทกบอกเราด้วยนะ” คนตัวสูงกว่าทิ้งท้ายแล้วหันไปเขย่าตัวเพื่อนที่หลับเป็นตายอยู่ข้างๆ ปล่อยให้อีกคนวิ่งออกจากร้านไป


ชายหนุ่มกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามไปถึงห้องพักอาจารย์ภาควิชาโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ภายในห้องมีอาจารย์นั่งทำงานอยู่สองคนจึงโค้งทำความเคารพแล้วมองไปยังประตูของหัวหน้าสาขา เท้ากำลังจะก้าวเข้าไป อาจารย์โฮซอกก็ออกจากห้องทำงานของตัวเองเพียงลำพัง


อาจารย์หนุ่มมองลูกศิษย์อีกคนที่ยืนอยู่ตรงประตูขณะเดินเข้าใกล้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว อีกฝ่ายโค้งให้อย่างอ่อนน้อมมีความหวั่นเกรงอยู่ในใจหากยังข่มความรู้สึกให้สบตาและถามถึงเพื่อนตัวเองได้


“ผมมาหาฮยองวอนครับอาจารย์”


“เขาช่วยงานผมอยู่”


“ช่วยงานอาจารย์อยู่เหรอครับ” ถามแล้วก็นิ่งไปในใจคิดอยากจะถามว่าเพื่อนทำอะไรผิดแต่ก็ไม่กล้าถามตรงๆจึงเบี่ยงคำถามเป็นอาสาจะช่วย “งานเยอะไหมครับ ให้ผมช่วยอาจารย์ทำอีกคนได้หรือเปล่าครับ”


“คุณไม่มีอะไรต้องทำหรือไง ถึงมาของานจากผม”


“ไม่มีครับ”


“ของประกอบฉากที่ทำครึ่งๆกลางๆนั้นไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องทำหรอกเหรอ”


ชางกยุนกระพริบตาปริบทันทีที่อาจารย์หนุ่มพูดถึงสิ่งที่เขาทำคั่งค้างไว้ในห้องซ้อม...นี่มีตาทิพย์หรือมีสายบอกถึงได้รู้ว่าเพื่อนเขาและตัวเขาทำอะไรกันอยู่


...อยู่ๆก็ขนลุก...


“กลับไปทำงานของคุณให้เสร็จ...ถ้าทำเสร็จแล้วว่างนัก มาหาผมที่ห้องบรรยาย 409 ผมจะให้งานคุณทำ เชิญคุณไปทำงานของคุณได้แล้ว” ท่าทางอันเย็นชากับมือที่ผายไปทางประตูทำเอาคนได้ยินกลืนน้ำลายเฮือก ขยับริมฝีปากจะพูดแต่เห็นนัยน์ตาคมจ้องนิ่งก็ขยับเท้าเลื่อนประตูออกจากห้องเดินกลับไปห้องซ้อมละครที่มีรุ่นพี่กับเพื่อนรุ่นเดียวกันมาช่วยทำของประกอบฉากกันมากขึ้นแล้ว


ชายหนุ่มทรุดลงนั่งยังกองอุปกรณ์ที่ทำค้างไว้ หยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความผ่านคาทกหาเพื่อนด้วยความเป็นห่วง ฝ่ายคนตัวสูงที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองรายงานตั้งใหญ่ที่ยกออกมาจากในลังซึ่งยังเหลืออยู่อีกสามสี่ตั้งใหญ่ตรงโต๊ะผู้ช่วยข้างโต๊ะเจ้าของห้องซึ่งว่างอยู่พลางเหลือบมองนาฬิกาที่เหลือเวลาอีกสองชั่วโมงหยิบโทรศัพท์ที่สั่นออกมาดูก็เห็นชางกยุนส่งข้อความมาถามเลยได้แต่ตอบไปสั้นๆว่า ยุ่งอยู่ เที่ยงคุยกันไปเท่านั้น


ปากกาสีน้ำเงินกับไม้บรรทัดที่อยู่ในกระบอกไม้ข้างกระถางแคตตัสถูกหยิบมาใช้ ฮยองวอนเริ่มต้นการทำงานด้วยการถอนหายใจเฮือกใหญ่แต่ไม่มีเวลาคิดอาลัยอาวรณ์ต่อโชคชะตาเพราะถ้าทำไม่ทันเวลาอาจมีตายจึงต้องใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับมัน


มือเรียวหยิบรายงานที่มีคะแนนวงอยู่ตรงหัวมุมกระดาษด้วยปากกาแดงและมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเนื้อหาของรายงานกำกับมามากน้อยแตกต่างกันไป เจ้าตัวไม่ได้สนใจอ่านเพียงแค่ลงคะแนนให้ตรงตามรายชื่อไปเรื่อยๆ จนหมดกองหนึ่งก็ไล่เช็กความเรียบร้อยอีกสองครั้งเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาด จึงยกอีกรายงานอีกกองที่อยู่ในลังขึ้นมาทำต่อเนื่องไม่แม้แต่จะแตะกาแฟร้อนที่วางอยู่


เวลาล่วงเลยไปพร้อมกับเสียงและการสั่นของโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใต้กองรายงานแต่คนที่มีนิสัยจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่โดยไม่สนใจรอบข้างนั้นไม่ได้สนใจ เขามุ่งมั่นอยู่กับการลงคะแนนกระทั่งมาถึงรายงานฉบับสุดท้ายที่มีชื่อเขาหราอยู่พร้อมคะแนน


18/20 ถือเป็นคะแนนที่ดีมากสำหรับคนที่มีมาตรฐานการให้คะแนนสูงอย่างอาจารย์โฮซอกซึ่งคนที่ทำรายงานได้คะแนนดีเป็นประจำอยู่แล้วไม่รู้สึกแปลกใจอะไรเท่ากับการได้เห็นกระดาษหนึ่งหน้าเอสี่ที่สอดอยู่ข้างในรายงาน


ปกติเวลาได้รายงานคืนมาเขามักจะเปิดดูความคิดของอาจารย์แต่ในกรณีของอาจารย์โฮซอกทุกครั้งที่ได้รับรายงานคืนไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะได้อ่านความคิดเห็นของอาจารย์ที่มีต่อรายงานเขา เมื่อเห็นมีกระดาษแปลกปลอมแทรกอยู่เลยหยิบออกมาดู


ข้อความที่เขียนด้วยลายมือนั้นยาวสุดกระดาษ ดวงตาสีน้ำตาลกวาดอ่านมันไม่ทุกประโยคเพียงต้องการจับใจความตามประสาคนคุ้นกับการอ่านเร็วเพื่อใช้ในการสอบ เนื้อหาในนั้นว่าด้วยการให้ความคิดเห็นและคำแนะนำเกี่ยวกับการทำรายงานรวมทั้งเรื่องพรีเซนต์หน้าชั้นเรียน


...ผมหวังว่าครั้งนี้คุณจะเอาความคิดเห็นของผมไปปรับปรุงไม่ใช่ปล่อยผ่านไปเหมือนทุกครั้ง...


คำว่า เหมือนทุกครั้ง สะดุดใจให้คิดว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีความคิดเห็นจากอาจารย์ส่งมาหา แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยได้รับมันในขณะที่เพื่อนร่วมคลาสมีความคิดเห็นเขียนอยู่ในหน้ารายงานเสมอ


เขาลุกขึ้นสอดกระดาษความเห็นของอาจารย์กลับไปที่เก่าค่อยๆเรียงรายงานคั่นด้วยรายชื่อของนักศึกษาที่กรอกคะแนนแล้วเพื่อไม่ให้แต่ละคลาสปนกันใส่ลังกลับไปและยกมันมาตั้งด้านหน้าโต๊ะ แต่ความคิดยังวนเวียนอยู่ที่ข้อความในกระดาษแผ่นนั้น กระทั่งได้ยินโทรศัพท์มือถือแผดลั่นขึ้นมาจึงหลุดจากความคิดมารับสาย


“เฮ้ย ฮยองวอน ไม่เป็นไรใช่ไหม ช่วยงานอาจารย์เขาเสร็จยังวะ...โดนอาจารย์เขาด่าหรือทำอะไรหรือเปล่า ต้องไปดรอปวิชาของอาจารย์เขาไหมหรือยังไง” ชางกยุนโวยวายถามเสียงดังก่อนจะมีเสียงของกีฮยอนตะโกนลอดเข้ามา


“เที่ยงแล้วนะ ขออาจารย์ออกมากินข้าวได้ไหมจะได้คุยกัน”


คนตัวสูงเหลือบมองเวลาบนนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง ความหิวแล่นเข้ามาในทันทีที่เพื่อนเอ่ยถึงเรื่องกินข้าวแม้จะสวาปามเป็ดไปกล่องใหญ่เลยตกปากรับคำออกจากห้องพักอาจารย์เดินไปหาเพื่อนที่ยืนรออยู่หน้าคณะโดยมีหญิงสาวหน้าตาน่ารักผมยาวสลวยรวมในกลุ่มด้วย


“หวัดดีโบมี” เขายกมือขึ้นพร้อมเอ่ยทักทายแฟนของเพื่อนที่ยืนเกาะแขนกีฮยอนไปแบบมึนๆ แล้วมองเลยไปยังชางกยุนที่เอื้อมมือมาจับแขนผอมของเขาไว้แน่นด้วยหน้าที่นิ่วคิ้วขมวด


“อาจารย์ทำอะไรนายปะวะ...ตอนนายตามอาจารย์มาฉันก็วิ่งตามมานะเว้ยแต่อาจารย์บอกว่า นายช่วยงานอยู่แถมไล่กลับไปทำของประกอบฉากต่ออีก”


“อา...เหรอ”


“ทั้งฉันทั้งกีฮยอนส่งคาทกไปหาตั้งเยอะแยะทำไมไม่ตอบกลับมาเลยวะ...รู้ไหมว่าเป็นห่วงเนี่ย”


“ก็...กรอกคะแนนรายงานอยู่เลยไม่ได้ดู” พูดพลางมือก็ลูบท้องที่แบนราบเหมือนไม่มีไส้ทั้งที่กินได้ไม่เคยหยุดไปมาบอกความหิว


“ไปหาร้านนั่งกินข้าวกันดีกว่า...เอาร้านที่อยู่เยื้องกับมอแล้วกันนะ” กีฮยอนเสนอ


“ทำไมต้องออกไปกินข้างนอกล่ะ โรงอาหารของมหาวิทยาลัยก็อยู่แค่นี้เอง” เสียงจากผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มท้วงเพราะไม่เห็นเหตุจำเป็นที่ต้องออกไปกินข้าวเที่ยงนอกมหาวิทยาลัยให้เสียเวลา


“ฮยองวอนเขาไม่ชอบกินข้าวในโรงอาหารมหาวิทยาลัยน่ะ”


“เหรอ” โบมีหันไปมองคนตัวสูงที่ยืนนิ่งเหมือนวิญญาณหลุดจากร่าง...ก่อนจะคบหากับกีฮยอนก็เคยได้ยินเรื่องของฮยองวอนจากปากแฟนหนุ่มอยู่บ้างแต่ไม่คิดว่าจะมีปัญหากับการเลือกที่กินข้าวด้วย “แต่โรงอาหารของมหาวิทยาลัยก็มีตั้งหลายร้าน รสชาติก็ไม่ต่างจากข้างนอกหรอกแถมมีบัตรจะเติมเงินตามไหนก็ได้สะดวกจะตาย ออกไปตอนนี้เจอคนทำงานพักกินข้าวเหมือนกันกว่าจะได้กินเป็นโรคกระเพาะก่อนพอดี”


นาทีที่พูดจบประโยคชางกยุนหันหน้าจากที่สังเกตอาการเพื่อนตัวเองอยู่ไปมองแฟนสาวของเพื่อนด้วยสายตาเย็นชาแม้ริมฝีปากจะยิ้มนิดๆให้ก็ตาม


“คือแบบนี้นะโบมี ฮยองวอนเขาชอบทำบัตรของโรงอาหารหาย แล้วที่นี่ก็มีแต่พวกอาหารชุดแบบที่เขาไม่กินแถมต้องรีบๆร้อนๆ ออกไปกินข้างนอกเลยสะดวกกว่า”


“ขืนทำแบบนั้นทุกครั้งก็เข้าเรียนสายสิ...พวกนายมีเรียนตอนบ่ายกันหรือเปล่า”


“ไม่มี” คนตัวเตี้ยที่เกาะแขนเพื่อนตัวสูงอยู่ตอบห้วนๆ


“อ้อ เพราะไม่มีเรียนบ่ายจะไถลยังไงก็ได้สินะ”


“จริงๆเรากินข้าวเร็วเลยไม่มีปัญหาเวลามีเรียนตอนบ่าย แต่ถ้าเธอกินข้าวช้าก็กินกับกีฮยอนที่นี่แหละ เดี๋ยวเราออกไปกินข้างนอกเอง ไปนะ กีฮยอน โบมี” คนตัวสูงตอบไปเท่านั้นพลางยกมือขึ้นเป็นเชิงลาแล้วออกเดินฉับไปข้างหน้าลากเพื่อนที่เกาะแขนตัวเองอยู่ให้เดินไปด้วยกัน


“ยัยโบมีนี่หน้าตาก็น่ารักดี แต่ปากคอทำไมร้ายจังวะ”ชางกยุนเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าบูดบึ้งทันทีที่สั่งอาหารกับพนักงานในร้านอาหารตรงข้ามมหาวิทยาลัยที่มีคนน้อยที่สุดเสร็จ


“ร้าย...ร้ายยังไง” อีกฝ่ายว่าทั้งที่สายตาจดจ่ออยู่กับเมนูอาหาร


“อะไรวะ โดนพูดแดกดัน แถมถูกมองใส่เหมือนจะบอกว่านายแม่งเรื่องมากนั้นอีก”


“ไม่รู้สิ ไม่ได้มอง” บอกแล้วหันไปสั่งอาหารกับพนักงานได้ก็หันมามองเพื่อนอีกครั้ง “ทำหน้าแบบนั้นทำไม ยังไงนั่นก็แฟนเพื่อนเรานะ ปัญหาเท่าที่มีตอนนี้ก็เยอะแล้วอย่าหาเรื่องเพิ่มเลย”


“เออ พูดถึงปัญหาสรุปว่า นายมีปัญหาอะไรกับอาจารย์โฮซอกเขาวะ”


สิ้นคำถามจากความสงสัย ฮยองวอนกระพริบตาแล้วกลอกมันไปมาคล้ายใช้ความคิด...ใจจริงก็ไม่อยากจะโกหกเพื่อนแต่ขืนพูดออกไปก็กลัวเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งอาจารย์โฮซอกเป็นประเภทหูตาทิพย์เลยต้องจำใจโกหก


“เรื่องพรีเซนต์นั้นแหละ...อาจารย์เขาอยากให้เราช่วยงานชดเชยกับคะแนนพรีเซนต์จะได้ไม่ต้องลงทะเบียนเรียนซ้ำให้เห็นหน้าอีก”


“แต่อาจารย์เขาดูไม่ค่อยชอบนาย ขนาดคืนรายงานยังไม่เขียนคอมเม้นอะไรเหมือนคนอื่นแต่ดันใจดีให้แกไปช่วยงานเพื่อไม่ต้องติดเอฟอะนะ”


“จริงๆอาจารย์เขาเขียนคอมเม้นให้เรานะ”


“ห๊ะ เขียนด้วย...เขียนตอนไหนวะ”


“ก็ตอนเรากรอกคะแนนรายงานอยู่เราเห็นอาจารย์เขาเขียนคอมเม้นรายงานเราเป็นหน้าๆสอดไว้ในรายงาน แล้วอาจารย์เขาเขียนลงท้ายประมาณว่าเขียนให้เราทุกครั้งทำไมเราไม่เอามาปรับปรุง แต่เราไม่เคยได้คอมเม้นจากอาจารย์เลยนะ”


“เฮ้ย จริงดิ”


“อืม...เราก็เลยสงสัยนิดหน่อยว่า ใบคอมเม้นอาจารย์มันหายไปไหน”


“มีคนแกล้งนายปะวะ ใครแม่งจะแกล้งได้ TA อาจารย์แม่งก็มีแค่กีฮยอนกับน้องนายไม่ใช่ไง”


“กีฮยอนกับมินมุงไม่ใช่ TA ของอาจารย์น่ะ”


“อ้าว”


“อาจารย์เขาบอกเราว่า ใครอาสามาช่วยเขาก็ให้ช่วยทั้งนั้นแหละ”


“งั้นจะแกล้งก็ง่ายเลยดิ ใครแม่งทำกับนายแบบนี้วะ อย่าให้เจอนะมึง” คนเป็นเพื่อนเข่นเขี้ยว “แล้วงี้ยังไงอ่ะ นายต้องช่วยงานอาจารย์ถึงเมื่อไหร่”


“คงอีกนานอ่ะ”


“ทำไมวะ”


“ก็อาจารย์เขาให้เราเป็น TA ของเขา”


“ห๊ะ พูดว่าไงนะเป็น TA เนี่ยนะ...บ้าแล้ว ทำไมถึงได้...แม่งไรเนี่ย แบบนี้ไม่อึดอัดตายห่าเลยเหรอ” เพื่อนเริ่มโวยวายแทน


“อึดอัดดิ เป็น TA ให้อาจารย์เขานี้นอกจากต้องช่วยงานเอกสารแล้ว เขายังบอกให้ซื้อกาแฟตอนเช้า  มีเวลาว่างตอนไหนเกินสิบนาทีต้องไปหา พอถึงเวลากินข้าวก็ต้องกินด้วยกัน ขนาดกลับบ้านยังต้องกลับพร้อมกันอีก เป็น TA ทีชีวิตต้องลำเค็ญจังเลยอ่ะ” บอกแล้วคนตัวสูงก็เลื้อยลงไปนอนฟุบกับโต๊ะเหมือนหมดพลังงาน


“อะไรคือกินข้าวกับกลับบ้านพร้อมกันวะ บ้าแล้ว ไม่ต้องเลยนะ ไม่ต้องไปทำเลย แบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ”


“ไม่ทำได้ไงเล่า เขาเป็นอาจารย์ ไม่ทำก็ได้เอฟมากินพอดี”


“ถ้าอาจารย์เขาอยากได้ TA นัก เดี๋ยวฉันไปทำให้ก็ได้”


“ก็ไหนว่าโดนตะเพิดตอนจะไปช่วยเราทำงานไง คิดว่าอาจารย์จะให้ทำเหรอ”


“แม่งเอ๊ย อาจารย์ใจร้ายฉิบ” ชางกยุนบ่นออกมาอีกสองสามคำก็หยุดรับอาหารที่มาเสิร์ฟแล้วลงมือกินข้าวอย่างอารมณ์ไม่ดีพร้อมกับอีกคนที่ตบมือร้องว่าจะกินอย่างอร่อยเหมือนทุกทีแล้วตั้งหน้าตั้งตากินเหมือนหิวจัดเช่นทุกทีกระทั่งได้ยินเสียงทักจากเบื้องหลังเลยหยุดมือเหลียวไปมองก็เห็นเพื่อนคนเขียนบทละครเวทียืนยิ้มโดยมีเพื่อนหน้าตาดีตัวสูงกว่าอีกสองคนอยู่ด้วย


“ไปนั่งก่อนนะ” หนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงเข้มแล้วเดินจากไปหาที่นั่งทิ้งอีกคนไว้


“มากินข้าวที่ร้านนี้บ่อยเหรอ” บทสนทนาเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่ายว่าด้วยเรื่องกินอีกเช่นเคย


“มาบ่อยไหมก็ตอบไม่ได้ ปกติเราเห็นร้านไหนคนน้อยก็เข้าร้านนั้นอ่ะ แล้วนี่มากินข้าวเหมือนกันเหรอ”


“งืม” จุนส่งเสียงในรับลำคอแล้วเงียบไปพักหนึ่งก็เอ่ยต่อ “นายชอบกินอะไรบ้างเหรอ แบบว่าระหว่างอาหารจีนกับอาหารเกาหลีชอบอาหารอะไรมากกว่ากัน”


“อะไรอร่อยก็กินทั้งนั้นแหละ แต่อาหารจีนเราเคยกินก็แค่ไม่กี่อย่าง เคยได้ยินว่ามีพวกที่กลิ่นแรงๆด้วย เราไม่ชอบของกินที่กลิ่นแรงๆ เผ็ดมากก็ด้วย ถ้าจะให้เลือกก็ต้องเป็นอาหารเกาหลี”


“อา...จริงสิ เรามีซาลาเปาไส้หมูแดงอยู่ล่ะ นายเก็บไว้กินไหม” ว่าพลางยื่นถุงพลาสติกที่มีซาลาเปาสีขาวสวยอยู่ในนั้นส่งให้


“ไม่เป็นไร...นายเก็บไว้กินเองเถอะ”


“เรากินบ่อยจนเบื่อแล้วล่ะ แต่ที่บ้านเขากลัวเราหิวระหว่างเรียนก็เลยชอบให้พกมากินด้วย ถ้านายช่วยกินได้ก็อยากให้กินแทนน่ะ”


“กินไม่หมดหรอกเหรอ งั้นเรารับไว้ก็ได้” มือเรียวรับซาลาเปาทั้งลูกมาถือกวาดตามองสัญลักษณ์บนถุงพลาสติกแล้วเอ่ยปาก “ภัตตาคารมังกรขาวเหรอ”


“อืม ซาลาเปานี่มาจากร้านที่บ้านผมเอง แป้งสูตรนี้เป็นสูตรพิเศษของที่ร้านถึงไม่อุ่นซาลาเปาก็ยังนุ่มอยู่ทั้งวันเลยล่ะ”


“โอ้ ขอบคุณมากนะ” บอกเสร็จก็วางไว้บนโต๊ะหยิบช้อนมาจะตักข้าวต่อแต่เห็นสายตาของชางกยุนที่จ้องลูกชายเจ้าของภัตตาคารซึ่งยังไม่ยอมขยับไปไหนเขม็งเลยหันไปหาอีกรอบ “แล้ว ไม่ไปกินข้าวเหรอ”


“ไปแล้วล่ะ กินให้อร่อยนะ...ไว้เจอกัน”


“เช่นกัน” ฮยองวอนว่าพยักหน้าขึ้นลงแล้วกลับมาตักข้าวเข้าปากอย่างสบายอารมณ์ ปล่อยคนที่เข้ามาทักให้เดินไปสมทบกับเพื่อนที่นั่งรออยู่


จุนลากเก้าอี้แล้วหย่อนกายลงไปนั่งมองหน้าเพื่อนอีกสองคนที่เท้าคางมองไปยังคนตัวสูงไล่เลี่ยกันที่อยู่ถัดออกไปไม่ไกลอยู่ครู่ใหญ่ก็กลับมาสุมหัวถาม


“หมอนั่นมันเซ่อหรือโง่กันแน่...บอกใบ้ขนาดนี้นี่ยังไม่รู้อีก” คนหน้าหล่อตาโตเริ่มเปิดปากถาม


“เซ่อขนาดนี้พูดไปตรงๆยังไม่แน่เลยว่าจะเข้าใจ...นายชอบคนแบบนี้เข้าไปได้ยังไงวะจุน” คนที่ตาดุกว่าเสริม


จุนยังไม่ตอบเพียงเหยียดริมฝีปากกว้างแล้วเหลียวไปทางที่คนตัวสูงนั่งเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ยด้วยสายตาอ่อนโยนพลางคิดถึงเรื่องราวระหว่างกันที่เจ้าตัวคนนั้นคงจะจำไม่ได้


“ก็ชอบที่เขาเป็นแบบนี้แหละ”
-------------------------------------------------------------------------------
หลังกินข้าวกลางวันเรียบร้อย ฮยองวอนแวะลากับเพื่อนคนเขียนบทละครเวทีก็เดินกลับมหาวิทยาลัยไปยังห้องซ้อมเพื่อเอากระเป๋าที่ทิ้งไว้แล้วกลับมายังห้องพักอาจารย์ โดยมีชางกยุนที่ตามมาหวังจะแต่เพราะโดนจูฮอนเรียกตัวไปช่วยเลยจำใจต้องกลับบ้าน  


ชายหนุ่มตอบคาทกของยองแจที่ส่งข้อความกลับมาว่า ยังป่วยอยู่ด้วยความโล่งใจก็เริ่มทำงานที่เหลือไปเรื่อยๆจดจ่ออยู่กับมันโดยไม่มองนาฬิกาและไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลย แม้ในตอนที่บานประตูห้องถูกเปิดออกเขายังคงเรียงหนังสือใส่ตู้โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาจารย์เจ้าของห้องกลับเข้ามาแล้ว กระทั่งทำทุกอย่างเรียบร้อยก็ปัดไม้ปัดมือเลยเห็นอาจารย์โฮซอกกอดอกมองเขาอยู่ด้วยสายตานิ่งสงบ


เปลือกตากระพริบขึ้นลงอยู่หลายครั้งกว่าที่ร่างสูงจะสะดุ้งผงะถอยไปจนแขนชนเข้ากับขอบโต๊ะ ถ้วยกาแฟโคลงหมุนแล้วหกออกมาพร้อมกับน้ำสีน้ำตาลเข้มที่กระเซ็นไปทั้งโต๊ะและเกือบจะโดนเสื้อของคนตัวสูงหากไม่เพราะมีมือแข็งฉุดให้ห่างออกมา


“ซุ่มซ่ามจริง” ประโยคนั้นหลุดให้ได้ยินข้างหู ฝ่ายลูกศิษย์กลืนน้ำลายลงคอกำลังจะเอ่ยขอโทษก็มีอีกคำขัดขึ้นมาก่อน “โดนกาแฟหรือเปล่า ไปเอาผ้าเช็ดโต๊ะข้างนอกมาให้ผมหน่อย ชุบน้ำแล้วบิดหมาดๆมาด้วยล่ะ”


อาจารย์หนุ่มปล่อยแขนผอมแล้วเดินเข้าไปหยิบม้วนกระดาษทิชชู่ซับกาแฟที่หก อีกคนรีบออกไปทำตามคำสั่ง ยื่นผ้าชื้นน้ำนั้นให้ พยายามจะเข้าไปช่วยแต่มือใหญ่โบกไล่เลยได้แต่มองเจ้าของแผ่นหลังกว้างจัดการกับกาแฟที่หกทั้งหมดในเวลาไม่กี่นาทีดี


ทันทีที่คนตรงหน้าเหยียดตัวกลับมายืนดังเก่า อีกฝ่ายก็ทำได้แค่โค้งและเอ่ยขอโทษแล้วก้มมองพื้นรอถูกด่าแต่กลายเป็นถูกถามในเรื่องอื่นแทน


“งานเสร็จแล้วใช่ไหม...หิวหรือยัง” เสียงนั้นไม่ถึงกับอ่อนโยนแต่ก็ไม่เรียบเหมือนทุกครั้ง ตากลมของฝ่ายถูกถามเหลือบยังอาจารย์หนุ่มที่ถอดสูทพาดบนเก้าอี้แล้วพับแขนเสื้อเชิ้ตของตัวเองไว้ตรงศอก ใบหน้าขาวที่มีซึมอยู่ตรงหน้าผากดูเหนื่อยล้า


...ท่าทางของอาจารย์ผู้ได้ฉายาจอมโหดบ้าง น้ำแข็งบ้าง ที่แสดงออกอยู่ตรงหน้าเป็นสิ่งที่เขาหรือแม้แต่คนอื่นก็ไม่น่ามีใครเห็น...


...อาจารย์โฮซอกเหนื่อยเป็นเหมือนคนอื่นด้วย...


“เย็นแล้วนะ อยากกินอะไร” คำถามนั้นเรียกอีกคนให้หลุดจากภวังค์


“อา...คือ ผม” ตอบอย่างตะกุกตะกักตาเหลือบยังนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาว่า ห้าโมงกว่าแล้ว


“ถ้าเลือกไม่ได้ก็เก็บกระเป๋าแล้วตามมา” เสียงเรียบสั่งการ คนได้ยินสะดุ้งเกือบตะเบ๊ะใส่แล้วรีบสะพายกระเป๋าตามไป


การเดินออกจากห้องพักอาจารย์ไปตามทางโดยมีนักศึกษาที่เดินสวนมาส่งสายตาเห็นใจมายังคนตัวสูงที่ได้แต่เดินตามต้อยๆทำให้เจ้าตัวยิ่งรู้สึกเกร็งเม้มริมฝีปากครั้งแล้วครั้งเล่า เท้ายังคงก้าวตามไปกระทั่งผ่านมาถึงโรงอาหารของมหาวิทยาลัยที่เปิดทำการจนถึงหกโมงเย็นทุกวันก็คิดว่าจะได้หยุดแต่อีกฝ่ายกลับเดินผ่านไป


“อาจารย์ครับ...โรงอาหาร” เขาเรียกเบาราวเสียงกระซิบไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคนตรงหน้าจะได้ยิน หากอีกฝ่ายกลับหยุดเท้าหันมาหาและเอ่ยคำที่ทำให้ตากระพริบปริบ


“คุณไม่กินข้าวในโรงอาหารไม่ใช่หรือไง...ข้างๆมหาวิทยาลัยมีร้านอาหารที่ผมไปบ่อย เราจะไปกินข้าวกลางวันกันที่นั่น”


โฮซอกบอกเท่านั้นก็ออกเดินต่อไม่ปล่อยให้ลูกศิษย์หรี่ตามองความสงสัยเพราะไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์ถึงรู้ว่าเขาไม่กินข้าวในโรงอาหาร หากก็ทำอะไรไม่ได้ไปกว่าพับความคิดนั้นและเดินตามหลังไปยังร้านอาหารเล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยข้างมหาวิทยาลัยซึ่งเขาเดินผ่านประจำแต่ไม่เคยคิดเข้ามาสักครั้ง


มือใหญ่เลื่อนประตูก้าวเท้าไปในร้านที่ตกแต่งกลางเก่ากลางใหม่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายด้วยโต๊ะเก้าอี้ไม้ธรรมดามีลูกค้านั่งอยู่สองสามคน อาจารย์หนุ่มเลือกนั่งตรงเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ไม้ยาวที่ถัดเข้าไปจะเห็นครัวอยู่หลังม่านไม้ไผ่ก่อนที่หญิงสูงวัยสวมผ้ากันเปื้อนหน้าตาใจดีจะแหวกม่านออกมาต้อนรับ


“อ้าว โฮซอก...วันนี้มาเร็วจังนะ” เจ้าของร้านทักทายด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างคุ้นเคยพลางยื่นเมนูที่มีภาพวาดอาหารน่ารักประกอบการตัดสินใจแต่เพียงตาเหลือบไปเห็นร่างสูงที่ตามมาด้วยก็เอ่ยถาม “แล้วนั่นพาใครมาด้วยล่ะ”


“คนนี้ลูกศิษย์ของผมครับ เขาช่วยงานเสร็จพอดีเลยพามากินข้าวด้วย”


“ตั้งแต่เรียนจนจบมาเป็นอาจารย์ป้ายังไม่เคยเห็นเคยพาใครมา วันนี้พาลูกศิษย์มาด้วยเนี่ยต้องเป็นลูกศิษย์คนโปรดสินะ”


“ก็เป็นลูกศิษย์ที่ต้องคอยจับตาดูอยู่ตลอด” อาจารย์หนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มกว้างอ่อนโยนแล้วปรายตากลับมายังร่างสูงที่นั่งลงอย่างเก้ๆกังๆอยู่ข้างๆเสี้ยววินาทีก็ชวนผู้มากวัยกว่าสนทนากันด้วยเรื่องราวซึ่งคนเป็นลูกศิษย์ไม่ใคร่จะอยากทำความเข้าใจเพราะลำพังแค่ได้เห็นอาจารย์สุดเฮี้ยบประจำคณะยิ้มได้ถือเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่ง


...ไม่ว่าใครที่เคยข้องแวะกับคณะนิเทศศาสตร์ต่างรู้ดีว่าอาจารย์ชิน โฮซอกไม่เคยยิ้ม อย่างดีที่สุดก็แค่เหยียดมุมปากที่ใครเห็นก็ต่างกลัวและหวังให้ทำหน้าเฉยๆไปเสียจะดีกว่า แต่ที่นี่เขากลับได้เห็นรอยยิ้มของอาจารย์อยู่ตรงหน้าในระยะใกล้...


“วันนี้ผมขอมิลมยอนสูตรพิเศษกับชาเขียวเย็นแล้วกันครับ” สุดท้ายอาจารย์หนุ่มก็สั่งอาหารก่อนจะหันมามองคนที่ก้มหน้าพลิกดูเมนูไปมาเหมือนตัดสินใจไม่ได้สักทีเลยลุกจากเก้าอี้บอกสั้นๆว่าจะไปล้างมือก็เดินหายเข้าห้องน้ำที่อยู่ในสุดของร้านไป


“อาจารย์โฮซอกเขาสอนหนังสือดีไหมจ๊ะ” แววน้ำเสียงอ่อนโยนจากเจ้าของร้านเอ่ยถามทำให้อีกคนเงยหน้าจากเมนูขึ้นมาหา


“ก็ดีครับ” ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มแบบเก้อๆ


“กลัวอาจารย์เขาเหรอ...ไม่ต้องกลัวหรอกนะ อาจารย์โฮซอกเขาก็แค่เป็นคนทุ่มเทกับทุกเรื่องมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่นี่แล้ว พอมาเป็นอาจารย์เขาอยากให้ลูกศิษย์ทุกคนได้ความรู้เต็มที่ก็เลยดูดุไปหน่อย แต่จริงๆเขาเป็นคนใจดีนะ”


คนตัวสูงหลุดยิ้มแหยงๆออกมาทีหนึ่ง...เป็นคนทุ่มเทจริงๆ ทุ่มเทจนประเคนเกรดซีมาให้ตั้งสองตัว


“คุณป้ารู้จักกับอาจารย์มานานแล้วเหรอครับ”


“ก็ตั้งแต่เขามาเรียนมหาวิทยาลัยนี้นั่นแหละจ๊ะ แล้วนี่เราจะสั่งอะไรดีล่ะ”


“คัมจาทังของที่นี่เผ็ดมากไหมครับ”


“ถ้าไม่ชอบกินเผ็ดก็สั่งแบบเผ็ดน้อยได้จ๊ะ”


“งั้นผมเอาคัมจาทังล่ะกันครับแบบไม่เผ็ดมาก ขอมันฝรั่งหั่นชิ้นเล็กๆหน่อยนะครับแล้วก็เพิ่มเส้นอุด้งด้วย”


เจ้าของร้านจดออเดอร์แล้วเดินหายเข้าไปหลังม่านไม้ไผ่เป็นจังหวะเดียวกับที่อาจารย์หนุ่มเดินกลับมานั่งข้างๆ ลูกศิษย์หนุ่มเหลือบไปมองครั้งหนึ่งก็เห็นอีกฝ่ายยกแขนเท้าคางหันมาหาก็นั่งก้มหน้ามองโต๊ะไม้ตัวแข็งเกร็งไปหมดให้อีกคนหลุดยิ้มออกมา


“กลัวอะไรผมนักหนา ทีตอนถ่ายรูปแบล็กเมล์ผมไม่เห็นจะกลัว”


คำพูดที่คล้ายจะหยอกมากกว่าจะโกรธทำให้ฮยองวอนที่นั่งนิ่งอยู่ปรายไปหา ยิ่งเห็นรอยยิ้มก็รู้สึกประหลาดขยับปากจะพูดแต่ก็เลือกเงียบเหมือนเก่า


“มีอะไรก็พูดออกมาสิ ตอนนี้มันนอกเวลาเรียน นอกเวลาทำงานของผมแล้วเหมือนกัน คุณอยากพูดอะไรก็พูด เอาให้เหมือนตอนที่คุณบอกผมว่าขอกินข้าวก่อนแบบวันนั้นสิ”


ร่างสูงย่นจมูกให้กับท่าทางสบายๆของอาจารย์ที่เคยเห็นเป็นครั้งแรก อาการเกร็งแข็งไปทั้งตัวก็เหมือนจะคลายลงมาบ้างแต่ก็ไม่กล้าสบตาตรงๆอยู่ดี


“ผมไม่ได้แบล็กเมล์นะครับ” อ้อมแอ้มตอบไปเหมือนหยั่งเชิง


“นิ้วมันไปโดนก็เลยถ่ายแต่ก็เพื่อนไม่สบายก็เลยต้องดูเพื่อนก่อน พอดูเสร็จก็ลังเลว่าจะลบดีไหมเลยต้องรอให้เจ้าตัวมาลบ” ฝ่ายตรงข้ามทวนคำอธิบายขึ้นมาหน้าตาเฉย


“ไม่ได้รอนะครับ...กำลังจะลบแต่...อาจารย์เอาโทรศัพท์...ผมไปก่อน”


“แล้วไอ้ตอนได้รูปนั้นมารู้สึกยังไงล่ะถึงได้เก็บไว้จนผมไปเห็นน่ะ”


“ก็...” ลากเสียงยาวเท่านั้นก็เงียบ ใครจะกล้าบอกออกไปว่ารู้สึกขนลุกแบบสุดๆ ทำไมความซวยต้องมาตกอยู่กับการนิ้วลั่นแค่ครั้งเดียวด้วย


“คงคิดว่า ผมกับอาจารย์ดาซมทำเรื่องผิดศีลธรรมอยู่ใช่ไหม แต่ผมไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มหรอกนะ”


“เหรอครับ” ตอบกลับไปแบบแกนๆ ใจก็อยากจะบอกอยู่หรอกว่าไม่เชื่อแต่ไม่พูด กระทั่งอีกฝ่ายเปิดปากเองก็เบิกตากว้างเหมือนถูกอ่านใจ


“เธอดึงเสื้อผม ผมเลยถลาลงไปโดนเข้า” คำแก้ตัวแบบไม่น่าเป็นไปได้ผ่านริมฝีปากมาให้คนที่นั่งข้างๆได้ยินจากที่หน้านิ่งเริ่มจะเบะปาก


...ก็ไม่อยากจะสนใจหรอก แต่ไอ้การโกหกโบ้ยไปให้อาจารย์ดาซมทั้งที่เห็นตำตามันออกจะเกินไปไหม...


“ผมไม่ได้โกหกนะ...คุณลองเอาเมมโทรศัพท์คุณไปกู้รูปออกมาสิ จะได้เห็นมือของเธอที่ดึงเสื้อผมอยู่  และถ้าคุณอยู่ต่ออีกสักนิดคุณจะได้ยินเธอขอโทษผมเป็นสิบๆรอบ แต่คุณก็ดันรีบหนีไปซะก่อน” เป็นอีกครั้งที่อาจารย์หนุ่มเหมือนอ่านใจได้แต่ถ้อยคำที่เหมือนจะเชื่อไม่ได้ทำให้อีกคนเจือปากกับโต๊ะ


...ก็ลบหลักฐานไปแล้วจะพูดอะไรก็พูดได้นิ แต่ไอ้ครั้นจะวิ่งไปถามอาจารย์ดาซมว่าจริงไม่จริงมีหวังได้ซวยไปอีก ลำพังแค่ต้องมาผูกติดกับอาจารย์ที่ชี้เป็นชี้ตายผลการเรียนได้ก็ลำบากแล้ว เพราะงั้นปล่อยผ่านมันไปแล้วจำใจอยู่กันจนสิ้นเทอมนั้นแหละง่ายสุด...


คนตัวสูงพยักเพยิดหน้าเหมือนเข้าใจแต่ความจริงแค่ไม่อยากตอบอะไรก่อนจะขยับถอยให้เจ้าของร้านที่นำอาหารมาเสิร์ฟ พอเห็นหน้าตาของคัมจาทังที่ยังเดือดปุดแถมส่งกลิ่นหอมโชยอบอวลใบหน้านิ่งกับอาหารแข็งเกร็งก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใส มือเรียวหยิบช้อนมาถือโบกไปมาอย่างมีความสุข


“ว้าว น่ากินสุดๆเลย ผมจะกินให้อร่อยเลยนะครับ” เขาร้องออกมาเหมือนทุกครั้งที่เห็นอาหารน่ากิน หยิบตะเกียบคีบอุด้งเข้าปากโดยไม่ทันสังเกตเห็นอาจารย์หนุ่มที่เท้าคางจ้องมองมาด้วยสายตาเอ็นดูและรอยยิ้มอุ่นตรงมุมปาก


“ทั้งที่ยิ้มตอนเห็นของกินได้น่ารักขนาดนั้นแท้ๆ ก็น่าจะยิ้มแบบนี้ตอนพรีเซนต์หน้าชั้นในวิชาผมบ้างนะ” เพราะคำพูดที่มีแววขันเหมือนพอใจอยู่ในทีที่ไม่คาดว่าจะมีวันได้ยิน ทำให้มือชะงักกึกพร้อมกับซี่โครงหมูบนช้อนที่ร่วงจนน้ำซุปกระเซ็นถูกเสื้อกระจายเป็นวงน้ำสีส้ม


เจ้าตัวกระพริบตามองเสื้อตัวเองอย่างไร้อารมณ์ตั้งใจว่าจะช่างมันเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่กินข้าวแล้วเปื้อนเสื้อ ทว่ามือใหญ่แข็งกลับดึงตัวให้หันไปหา เสื้อยืดถูกดึงขึ้นจากตัวเพื่อไม่ให้ความร้อนจากน้ำซุปไปถึงผิวเนื้อพร้อมกับทิชชู่กำหนึ่งที่หมาดน้ำถูกยัดใส่มือ


“ทำไมซุ่มซ่ามนักเนี่ย...โดนลวกหรือเปล่า เอานี้ประคบไว้ก่อน จับเสื้อไว้เดี๋ยวไปเอาผ้ามาให้” อาจารย์หนุ่มสั่งจับมือลูกศิษย์ให้มาจับเสื้อแทนที่มือตัวเองแล้วลุกพรวดไปเปิดตู้ข้างห้องน้ำหยิบผ้าสะอาดออกมาเหมือนรู้จักร้านนี้ดีแล้วนำมันชุบน้ำบิดหมาดเดินกลับมาเช็ดรอยเปื้อนบนเสื้อออก


“เรานี่เป็นยังไงกัน ชอบเหม่อตลอดเวลา พอไม่ใช่เรื่องที่สนใจก็เฉยไปหมด พอทำอะไรก็ไม่ค่อยระวังตัว ไม่ฟังคนอื่นเขาเตือนอีกต่างหาก มองสิ่งรอบตัวบ้าง นี่ดีนะเป็นแค่แกงหกไม่ใช่ไปสะดุดล้มกลางถนน ชีวิตมันจะลำบากนะ ถ้าเอาแต่สนใจแค่สิ่งที่ชอบ คนอื่นเขาต้องมาคอยดู คอยมองให้วุ่นวายเขาไปอีก” 


ฮยองวอนแลรอยย่นบนหน้าผากของคนที่วุ่นอยู่กับการทำให้รอยแกงจางลง เสียงเข้มที่เริ่มบ่นถึงความซุ่มซ่ามของเขามีแววเป็นกังวลชัดเจน  สรรพนามที่เรียกก็เปลี่ยน ไหนจะถ้อยคำที่เหมือนกับรู้นิสัยที่เขาเป็นไปหมดทุกอย่างทำให้รู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก...มันไม่ใช่ความรู้สึกกลัวเหมือนทุกครั้ง และไม่ใช่ความรู้สึกประดักประเดิดใจ มันคล้ายๆว่าจะคาดไม่ถึงมากกว่า


“ตกลงเราโดนลวกหรือเปล่า” เมื่อถูกถามอีกครั้ง เจ้าตัวก็ส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงปฏิเสธเลยได้เห็นอีกคนเสยผมพลางถอนหายใจ “ก็ยังดีที่ไม่โดน แต่กลับไปบ้านรีบแช่เสื้อล่ะ เดี๋ยวจะซักไม่ออก”


“ขอบคุณครับ” ฝ่ายทำให้เดือดร้อนว่าพลางก้มศีรษะให้แล้วกลับมาจดจ่อกับข้าวมื้อเย็นของตัวเอง กวาดเอาทุกอย่างในชามแม้แต่แกงหยดสุดท้ายเข้าปากตามด้วยน้ำก็พนมมือบอกขอบคุณอาหารปิดท้าย ในนาทีนั้นเขาได้ยินเสียงเหมือนคนหัวเราะเบาๆและเมื่อเงยหน้าก็เห็นมุมปากของอาจารย์หนุ่มกระตุกไหวคล้ายกำลังกลั้นไม่ให้หัวเราะเสียงดังออกมา


...ตั้งแต่มาร้านนี้อาจารย์เอาแต่ทำอะไรที่เขาหรือนักศึกษาคนอื่นไม่เคยเห็นมาก่อน...


...เป็นมนุษย์เหมือนกันหรอกเหรอ นึกว่าเป็นหุ่นยนต์สังหารมาตลอดเลย...


ท่าทางสบายๆของคนที่นั่งอยู่ใกล้กันแตกต่างจากภาพที่คุ้นชินทุกวันทำให้คนที่ถูกข่มขู่มาทั้งวันรู้สึกผ่อนคลายมากพอจะไม่หลบตาตอนที่ฝ่ายนั้นเงยหน้ามาหาราวกับได้ยกระดับพลังในการต่อกรกับอาจารย์ขึ้นมาอีกขั้นแม้จะทนสายตาของอาจารย์ได้แค่ห้านาทีก็ตาม


“อิ่มหรือยัง”


“ครับ”


“กลับไปบ้านแล้วจะทำอะไร”


“วันนี้เหรอครับ...คงจะทำการบ้าน เล่น SNS อ่านหนังสือแล้วก็นอน”


“เล่น SNS เป็นด้วย”


“ก็...ต้องเป็นสิครับ”


“งั้นเหรอ” อาจารย์หนุ่มว่าแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาสไลด์ไปมา ครู่เดียวโทรศัพท์ของอีกคนก็เกิดสั่นพอล้วงออกมาดูก็เห็นมีแอคคาทกของคนแปลกหน้าที่ไม่ได้รับแอดโผล่ขึ้นมาพร้อมสติ๊กเกอร์เหล่ตาใส่


“วอนโฮนี่...ใครฟร่ะ” เจ้าของเครื่องเผลอหลุดปากออกมาขณะสะกดตัวอักษรภาษาอังกฤษของแอคนั้น


“ผมเอง”


“อ้อ อาจารย์เองเหรอครับ” พอได้คำตอบก็พยักหน้ารับไม่ทันได้คิด พอเริ่มตั้งสติได้ก็สะดุ้งแทบสะบัดหน้าไปหาแอคคาทกที่แอดมาใหม่


“กดรับสิ” อาจารย์หนุ่มบอกขณะชี้นิ้วไปยังโทรศัพท์ที่อยู่ในมือเรียว


“อะอา...” คนไม่ทันตั้งตัวเผลอกดรับไปตามคำสั่ง ฝ่ายที่ได้ไปอยู่ในคาทกของลูกศิษย์เรียบร้อยยกมือเรียกเจ้าของร้านที่เสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าอีกคนที่นั่งตรงเคาน์เตอร์ห่างออกไปจากคนทั้งคู่


“ป้าครับ คิดเงินด้วยครับ”


“จะให้คิดแยกหรือยังไงดีจ๊ะ”


“คิดรวมไปเลยครับแล้วก็คิดค่าที่ผมทำผ้าของป้าเปื้อนด้วยนะครับ”


“โอ๊ย เรื่องผ้านะไม่คิดหรอก คิดแค่ราคาอาหารก็พอ ทั้งหมดก็เก้าพันวอนจ๊ะ” เจ้าของร้านบอกยิ้มๆ รับเงินมาก็เดินอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์เพื่อทอนเงิน


“อา อาจารย์ครับ...ผมว่าแยกจ่ายดีกว่า”


“ผมพาคุณมา ผมก็ต้องจ่าย” คำตอบนั้นไม่ใช่การดุหรือทำเพราะเป็นหน้าที่แต่คนความรู้สึกช้าไม่ทันคิดอะไรได้แต่หยิบกระเป๋าสะพายหลังแล้วลุกตามไปโดยหยิบเงินออกมากำไว้ในมือกะว่าจะจ่ายคืนหลังออกจากร้านไป


โฮซอกก้าวไปบนทางเท้าพลางแหงนหน้ามองฟ้าที่กำลังเปลี่ยนสีเช่นเดียวกับความมืดที่คืบคลานเข้ามา 


ฮยองวอนเดินตามหลังอย่างไม่เร่งร้อนทอดสายตามองแผ่นหลังกว้างแข็งแรงที่อยู่ใต้เสื้อเชิ้ตที่ชายถูกดึงออกจากขอบกางเกง มือใหญ่สางผมที่ถูกจัดทรงไว้อย่างดีให้ลู่ลงมาเป็นธรรมชาติและในนาทีที่ฝ่ายนั้นเอี้ยวตัวกลับมาหา อาจารย์สุดเฮี้ยบที่คนทั้งคณะนิเทศเกรงกลัวกลับกลายเป็นชายหนุ่มท่าทางใจดีที่เข้าถึงง่ายพาลให้สงสัยว่า ภาพลักษณ์แบบไหนคือตัวตนจริง


มือใหญ่คว้าแขนผอมที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อแขนยาวในวินาทีที่ร่างสูงซึ่งความคิดยังไม่เข้ารูปเข้ารอยเพราะความประหลาดของคนตรงหน้าทันทีที่เข้ามาถึงตัวแล้วพาเดินไปเรื่อยๆโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำกระทั่งมาถึงหน้าประตูรั้วของคนเป็นลูกศิษย์ถึงได้ฤกษ์ปล่อยแขน


“บ้านสวยนะ” ในที่สุดความเงียบระหว่างกันก็ถูกทำลายลงด้วยคำชม คนตัวสูงมองบ้านตัวเองสลับกับหน้าอาจารย์ของตัวเองด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกทั้งที่ในใจนึกแปลกใจว่าทำไมอาจารย์ถึงรู้จักบ้านของเขาได้ เพราะนอกจากเพื่อนไม่กี่คนแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าบ้านเขาอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย


...แต่ถ้ารู้ว่าใกล้แล้วจะเดินมาส่งทำไมอีก...


“จะเข้าบ้านหรือยัง”


“อะครับ...ขอบคุณนะครับที่มาส่ง แล้วก็นี่ค่าอาหารเมื่อกี้ครับ” คนอ่อนกว่าบอกแล้วยื่นเงินไปให้แต่อีกฝ่ายกลับโบกมือไม่รับท่าเดียว


“แทนที่จะให้เงิน เปลี่ยนเป็นตั้งใจพรีเซนต์หน้าชั้นในวิชาผมแทนดีกว่า...ผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเทศนาคุณให้คนทั้งห้องฟัง แล้วเวลาได้รายงานคืนก็อ่านความคิดเห็นของผมบ้าง ไม่ใช่อ่านแล้วขยำทิ้ง”


“ผมก็อยากอ่านนะครับ...แต่มันไม่เคยถึงมือผมเลย” ทั้งที่กล้าๆกลัวๆแต่ก็เปิดปากพูดเรื่องที่เพิ่งรู้ในวันนี้ออกไปให้ได้ยิน


“คุณหมายความว่ายังไง”


“ก็ความคิดเห็นที่อาจารย์พูดถึง...ผมไม่เคยได้เลยนะครับ”


“ผมสอดมันไว้ในรายงานคุณ”


“นั้นแหละครับ...มันหายไป”


“จะหายไปได้ยังไงก่อนจะไปแจกผมยังเช็กอยู่เลย”


“ถามคนอื่นก็ได้ครับ...ผมไม่เคยได้ความคิดเห็นของอาจารย์ในรายงาน ไม่ใช่แค่วิชานี้นะครับ แต่วิชาอื่นที่เรียนกับอาจารย์ก็ไม่เคยได้”


“จริงเหรอ” อาจารย์หนุ่มกลอกตาไปด้านบนพลางเลียริมฝีปาก “โอเค งั้นต่อไปผมจะคืนรายงานให้คุณก่อนคนอื่นจะได้ตัดปัญหาเรื่องความคิดเห็นของผมหายไป”


“อา...ขอบคุณครับ” คนตัวสูงกว่าโค้งให้ทีหนึ่งแล้วเหยียดหลังยืนนิ่งเหมือนไม่กล้าเข้าบ้าน กระทั่งได้ยินคำสั่งถึงหยิบกุญแจมาไขเปิดประตูรั้ว


“ผม...เข้าบ้านแล้วนะครับ ขอบคุณเรื่องข้าวเย็น...กับที่เดินมาส่งผมด้วยนะครับ” ทั้งที่อยากจะพูดแบบไม่เกร็งแต่เมื่อเห็นสายตาของฝ่ายตรงข้ามกลับมาเรียบเย็นก็เริ่มพูดตะกุกตะกักพร้อมโค้งเกือบเก้าสิบองศาให้เรียบร้อยก็หันหลังจะเข้าบ้าน ทว่าเสียงจากข้างหลังที่ดังขึ้นทำให้เท้าที่ก้าวไปข้างหน้าชะงักนิ่ง


“พรุ่งนี้ผมมีสอนเช้า คุณก็มีเรียนเช้าอย่าลืมหน้าที่ตัวเอง อย่าให้ต้องตามแบบวันนี้อีก แล้วก็ปิดบ้านให้มันดีๆ เวลาจะออกหรือกลับบ้านคาทกแจ้งผมด้วย ยิ่งเอ๋อๆอยู่ ตกท่อไปอีกรอบไม่มีคนช่วยล่ะลำบากตาย”


“ครับ”


ฮยองวอนรับคำก่อนเดินเข้าบ้านที่มืดสนิทเพราะยังไม่มีใครกลับมาจึงเอื้อมมือไปกดสวิตซ์เปิดไฟให้ทั้งบ้านกลับมาสว่างและเข้าไปในครัวเปิดตู้เย็นหยิบนมกล้วยมาเจาะหลอดดูด ในตอนนั้นเองที่คำพูดของอาจารย์โฮซอกที่หน้าบ้านก็คล้ายย้อนมาเข้าหู


...ตกท่อไปอีกรอบ...


...ไอ้เดินตกท่อน่ะเขาเคยตกมาจริงๆ แต่ก็แค่ครั้งเดียว ตอนนั้นมันมืดท่อระบายน้ำที่อยู่ใกล้ร้านข้าวมันเปิดอยู่ เขาไม่ทันระวังเท้าเลยจุ่มลงไปติดในท่อแต่มันก็ตั้งแต่ปีหนึ่งเทอมสองแล้วและตอนนั้นเขาก็จำได้ลางๆว่ามีคนมาช่วยดึงเขาออกมาแต่จำหน้าไม่ได้เพราะฝ่ายนั้นใส่ฮู้ดคลุมหมด


...นี่ อาจารย์เขาเลี้ยงกุมารหรือลูกเทพไว้หรือไงถึงรู้เรื่องเขาไปหมดทุกอย่างเลยเนี่ย...


ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเองพลางลูบต้นแขนที่ขนลุกซู่แล้วกวาดตามองไปรอบๆ ห้องครัวด้วยความรู้สึกหวาดระแวงพอได้ยินเสียงประตูตู้เย็นปิดก็สะดุ้งเฮือกยกมือทาบอกตั้งจิตเพื่อบอกกับสิ่งลี้ลับ


...ไม่ต้องมาหลอกนะ ไว้พรุ่งนี้นอกจากกาแฟให้อาจารย์ เดี๋ยวจะซื้อน้ำแดงไปฝากกุมารนะ สาธุ...


You Might Also Like

6 Comments

  1. ปกติเรามักเป็นนักอ่านเงาอยู่บ่อยๆแต่ฟิคคู่นี้แต่งได้ดีมากไม่ค่อยเหมือนใคร เน้นเนื้อเรื่อง เน้นอารมณ์ฟีลลิ่ง พึ่งรู้ว่าความโรแมนติกไม่จำเป็นต้องเน้นฉากอย่างว่าบ่อยๆก็ได้ ชอบคาแลคเตอร์ของวอนโฮและโดยเฉพาะฮยองวอนมากกกก(เหมือนเราเลย5555) ชอบทุกอย่างเลยค่ะ แต่งต่อนะคะ จะรอค่ะ😊

    ตอบลบ
  2. เนื้อเรื่องน่ารักมากเลยค่ะ รอมาต่ออยู่นะคะ เพิ่งได้อ่าน แงง อาจารย์โฮซอกน่ารักมากเลย ดูใส่ใจ ตอนแรกก็แบบทำไมใจร้ายใส่ฮยองวอนจัง ฮยองวอนต้องเสียใจมากแน่ๆเลย จริงๆแลเวคืออาจารบ์ใส่ใจฮยองวอนมากเลยนะ นี่ที่รู้ง่าอยู่ไหนอะไรยังไงคงเพราะกีฮยอนกับมินฮยอกหลุดปากสินะ คนที่ไปช่วยอาจารย์ก็คือคนใกล้ตัวฮยองวอนทั้งนั้นเลย ไม่แปลกที่อาจารย์จะไม่รู้ อย่างมินฮยอกถามๆหน่อยก็คงหลุดมาแล้วแหละ 555555 น่ารัก ดูติดพี่ชายมากเลย กีฮยอนเลิกกับแฟน!!! 5555 หรือโบราจะเป็นคนแกล้งนะ ไม่หนอก ไม่ได้เกี่ยวกันเลน เอ๊ะ หรือเกี่ยว ยังไงนะ ไรท์รอนะค้าาา สู้ๆนะค้าา เป็นกำลังใจให้น้าา

    ตอบลบ
  3. เนื้อเรื่องน่าติดตามมากๆเลยค่ะ สนุกมาก ไรท์อย่าทิ้งเรื่องนี้นะคะ พลีสสสสสสสส

    ตอบลบ
  4. ไรท์ไม่มาต่อแล้วเหรอคะ เค้ารออยู่น๊าาาาาาา

    ตอบลบ
  5. เป็นเรื่องที่อ่านแล้วสมูธมาก อยากให้ไรต์มาแต่งต่อมากๆเลยค่ะ กำลังสงสัย ว่าทำไมอาจารย์รู้เรื่องฮยองวอนดีจังเลย เงื่อนไขการมาเป็น TA คือแบบ เราว่าเหมือนผูกมัดน้องไว้กับตัวเลยอะ ทำเหมือนคนเป็นแฟนกันงี้ ที่บอกว่า ผมพาคุณมา ผมก็ต้องเลี้ยงสิ อีก มันแปลกๆนา พี่วอนโฮนาาา จริงๆคือ พี่แอบสนใจน้องใช้ม้าาา เนี่ย ยังมีอีกหลายๆจุดที่ยังสงสัยและรอไรต์กลับมาเฉลยนะคะ นะ นะ นะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เดี๋ยวมาต่อจ้า เขียนเรื่องอื่นอยู่

      ลบ