LOVE TOXICAL : KANPAGNE CHAPTER 1

22:48



ครั้งแรกที่ได้พบกัน...เขาเหมือนนางฟ้าที่ตกลงมาจากสวรรค์


ยามดึกสงัดอันเงียบงันราวกับทุกสิ่งในโลกกำลังหลับใหลยังมีสายลมเย็นแห่งราตรีกาลพาดพัดแนวกิ่งไม้ให้ไหวเอนจนเกิดเสียงใบไม้เสียดสีและแล่นมาปะทะกับกายสูงใหญ่ในชุดดำที่ย่ำเท้าไปบนทางเดินร้างผู้คนไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้มข้นในกระแสเลือดทำให้ภาพในดวงตาพร่าเลือนและกว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็อยู่บนสนามหญ้าในสวนสาธารณะ


แสงไฟสว่างจากเสาที่เรียงรายระหว่างทางเดินอิฐในสวนสาดลงมายังใบหน้าหล่อคมที่มีรอยช้ำและคราบเลือดจางติดตรงมุมปากของคนที่หลับตานอนแผ่หราฟังเสียงลมหมุนแผ่วเบาอยู่ข้างหู ไม่แยแสต่อเสื้อผ้าราคาแพงระยับจะเปื้อนเปรอะ


...เขาไม่รู้ว่าที่นี่ที่ไหน รู้แค่ว่า ดื่มหนัก มีเรื่องกับหมาหมู่เป็นฝูงในผับ ระบายอารมณ์ด้วยการกระทืบพวกมันจนยับแล้วก็ขับรถมาเรื่อยๆจนเหนื่อยเกินกว่าจะขับต่อเลยจอดมันเสียดื้อๆ...


...เขากำลังเบื่อ...


...เบื่อกับการมีชีวิตอยู่อย่างไร้ความค่าและไร้ความหมาย...


...ทุกวันความมืดอันเวิ้งว้างไร้จุดสิ้นสุดดูเหมือนจะฉุดให้ดำดิ่ง...


...เมื่อไหร่มันจะจบสิ้น...


ชายหนุ่มนอนนิ่งเหมือนตายอยู่เช่นนั้นนานเป็นชั่วโมงกว่าที่เขาจะได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ แสงสว่างที่ส่องหน้ามืดลงทำให้รู้ว่าใครคนนั้นชะโงกหน้ามองอยู่แต่เขายังยอมไม่ขยับตัว ในไม่ถึงนาทีกลิ่นหอมจางจากปลายนิ้วที่ยื่นมาอังเบาตรงจมูกก็กำจายสู่ปอดก่อนที่มือเย็นเฉียบนั้นจะยื่นมาสัมผัสเบาที่ข้างแก้ม


พลันดวงตาคมสีนิลดุคมกลับเบิกกว้างทำเอาอีกฝ่ายกระโดดถอยห่างออกไปด้วยความตกใจ เสียงพื้นรองเท้าครูดไปกับพื้นอิฐดังอยู่ในหูหากคนบนพื้นวางเฉยเพียงทอดสายตาไกลออกไปยังท้องฟ้าอันดำมืดไร้กระทั่งแสงดารา ก่อนใบหน้าที่ลางเลือนในรายละเอียดซึ่งถูกเงาจะชะโงกเข้ามาบดบังทัศนียภาพตรงหน้า


“ยังไม่ตายใช่ไหมครับ”


“เมาเหรอครับ...”


“วันนี้อากาศเย็นกว่าทุกวันนะครับ มานอนอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”


“ให้โทรเรียกแท็กซี่ให้ไหมครับ”


“คุณมีที่ให้กลับหรือเปล่า”


“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมไม่ใช่มิจฉาชีพหรอก ผมอยู่ที่นี่เป็นสิบปีแล้ว บ้านผมอยู่ใกล้กับสวนสาธารณะนี้เอง”


คำถามสุภาพค่อยๆหลุดจากปากแต่อีกฝ่ายเพียงกระพริบตาปล่อยให้ถ้อยคำมากมายพรั่งพรูเข้ามาในหูและปล่อยมันผ่านไปอย่างไม่ไยดีจนมาสะดุดกับคำถามที่มีคำชวนอยู่ในประโยค


“ถ้าไม่มีที่นอน ไปนอนบ้านผมก่อนไหม”
-------------------------------------------------------------------------------------

ชายหนุ่มเดินตามหลังแผ่นหลังบางที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมสีน้ำตาลตัวยาวผ่านรั้วไม้เข้าไปที่ไหนสักแห่ง ที่มีกลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนจางอบอวล สติของคนกึ่งง่วงกึ่งเมามีไม่มากพอจะสังเกตรายละเอียดอะไรที่อยู่ รอบตัวรู้เพียงแค่ได้ยินเสียงคนชวนมาค้างบอกให้เปลี่ยนเป็นรองเท้าก็ทำตามอย่างว่าง่าย


...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนแปลกหน้าชวนเขามาค้างที่บ้าน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คงทุกครั้งที่ออกมาเที่ยวกลางคืนนั้นแหละและอย่างที่รู้กันดี ชวนมาค้างในที่นี่ไม่ได้หมายความแค่มานอนแต่หมายถึงมีเซ็กส์กันแบบฉาบฉวยด้วย


...ความจริงเขาไม่เคยเกี่ยงว่าจะเป็นเพศไหนขอแค่ถูกใจหน้าชอบใจหุ่นก็พอแต่คราวนี้เขามาทั้งที่ยังเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดเพราะไม่มีแรงจะขับรถกลับบ้านและไม่อยากนอนข้างถนนไปทั้งคืนก็เท่านั้น


ดวงตาคมหรี่เล็กให้กับแสงไฟสว่างสีนวลที่กระทบดวงตากะทันหันพลางมองห้องนอนเล็กที่มีเตียงสีขาวตั้งอยู่ชิดหน้าต่างใสที่มีผ้าม่านสีน้ำตาลตลบขึ้นไปด้านบนแบบผ่านๆ


...จะเอากันในห้องแคบๆนี่จริงดิ...


...ก็ได้นะ ชอบที่แคบๆก็จัดได้...


คนตัวใหญ่ขยับเท้าเข้าไปหาคนที่ยืนถัดจากบานประตูยกแขนจะโอบเอวที่ในความลางเลือนดูคล้ายจะบางเพื่อจะดึงมาหาตัวแต่ก็หวืดเพราะอีกคนเดินผละไปที่ประตู


“คุณนอนห้องนี้ไปก่อนนะครับ แล้วพรุ่งนี้สางเมาเมื่อไหร่ค่อยกลับบ้านแล้วกัน ห้องน้ำอยู่ตรงข้ามห้องนะครับ ถ้าอยากล้างหน้ามีผ้าขนหนูอยู่ในตู้ใช้ได้เลยนะครับ” เจ้าของบ้านแนะนำทุกอย่างเสร็จสรรพพร้อมปิดประตูไม้ที่เปิดค้างอยู่ให้ด้วย


กวังรยอลกระพริบตามองบานประตูที่ปิดสนิทพลางย่นหน้าผากด้วยความรู้สึกเหมือนมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นในชีวิต


...เป็นครั้งแรกที่มีคนชวนมาบ้านแบบมานอนอย่างเดียวจริงๆ...


อยู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกก่อนที่เจ้าของบ้านจะแง้มประตูชะโงกเข้ามาเพียงศีรษะแล้วเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงสดใสเช่นเดิม


“อ้อ เมื่อกี้ผมลืมบอก ฝันดี ราตรีสวัสดิ์นะครับ”


คนตัวใหญ่เขม่นมองบานประตูที่คล้อยปิดลงเบาๆอีกครั้งพลางสางผมยุ่งๆของตัวเองไปมาอย่างมึนๆ


...นี่ช่วยจริงๆใช่ไหม...


...ไม่ได้หวังอะไรจากกันแล้วยังมีการลืมบอกราตรีสวัสดิ์...


...คนประเภทนี้ยังมีอีกเหรอวะ...


ความสงสัยยังคงวนเวียนเพราะไม่เคยมีใครหยิบยื่นอะไรให้โดยไม่หวังผล แต่ความเมาและง่วงเริ่มเข้ามามีอิทธิพลทำให้เขาเลิกคิด มือถอดเสื้อคลุมและเสื้อยืดที่เลอะหญ้าและกองดินออกจนเหลือบ็อกเซอร์สีดำและกล้ามเนื้อเปล่าเปลือยแข็งแรงสีน้ำผึ้ง เขากดล็อกประตูพร้อมปิดสวิตซ์ไฟจนทั้งห้องมืดสนิทมายังเตียงและหลับไปในทันที


เสียงนกส่งเสียงร้องระคนมากับเสียงใบไม้แกว่งไหวตามลมพร้อมกับแสงอ่อนจากดวงตะวันที่สาดลอดผ้าม่านบางๆตรงหน้าต่างส่องกระทบเสี้ยวหน้าของคนที่นอนอยู่บนเตียงให้รู้สึกตัว ร่างใหญ่ค่อยๆขยับลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยอาการปวดหนึบในหัว ตาหรี่ขึ้นทีละน้อยจนเต็มตาพลางกวาดมองภายในห้องนอนสีขาวสะอาดที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เรียบง่ายน่าอยู่


...ภาพเหตุการณ์เบลอๆตอนดึกแล่นเข้ามาในหัวพอให้รู้ว่าตัวเองมาที่นี่ได้ยังไง...


สิ่งแรกที่เขาทำหลังลุกจากเตียงคือการหยิบเสื้อผ้ามาสวมและตรวจดูของมีค่าในกระเป๋าที่ยังอยู่ดีเหมือนเดิมเลยเดินออกจากห้องไปล้างหน้าล้างตาเพื่อเรียกสติตัวเองกลับมา ขณะที่มองหน้าตัวเองในกระจกความคิดของคนมองโลกในแง่ร้ายยังคงวนเวียนถึงเหตุผลที่คนแปลกหน้าให้ที่พักอาศัย


คนตัวใหญ่ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีก็ออกจากห้องน้ำเดินไปบนพื้นไม้สีอ่อนที่ข้างผนังเจาะเป็นช่องวางแจกันเซรามิกส์สีสันแปลกตาจนมาถึงส่วนนั่งเล่นที่จัดวางเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อนไว้น้อยชิ้นแต่ดูอบอุ่น ประตูกระจกใสบานใหญ่เปิดกว้างไปสู่ชานบ้านที่ยื่นออกไปยังสวนดอกไม้ที่กั้นกลางระหว่างบ้านหลังนี้ไปสู่เรือนอิฐทรงสี่เหลี่ยมยาวที่อยู่ตรงข้าม


กลางพุ่มต้นคัตเตอร์ที่ออกดอกสีฟ้าและขาวบานสะพรั่งมีใครคนหนึ่งง่วนอยู่กับการรดน้ำต้นไม้ด้วยบัวรดน้ำ เพียงชั่วนาทีที่เขายืนมองใครคนนั้นก็รู้สึกตัวเงยหน้ามาหา


นัยน์ตาคมแลดวงหน้านวลละมุนของอีกฝ่าย นัยน์ตากลมโตน่าเอ็นดูจดจ้องมาใคร่รู้ จมูกโด่งที่รั้นปลายน้อยๆกับริมฝีปากบางสีอ่อนในตอนแรกปิดสนิทหากในไม่เสี้ยววินาทีก็เหยียดกว้างดูเป็นมิตรมากกว่าจะมีพิษภัย ร่างผอมบางที่สวมเสื้อยืดแขนยาวขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดทับด้วยผ้ากันเปื้อนขยับเดินเข้ามาหา ช่วงขณะนั้นแสงตะวันได้ลอดผ่านแนวกิ่งไม้ใหญ่สาดกระทบลงมาส่งให้คนตรงหน้าดูราวกับมีรัศมีสีขาวโอบล้อม


...กวังรยอลไม่เคยเห็นนางฟ้า หากความพร่างพราวอบอุ่นของใครคนนั้น ดูราวกับเขาได้เห็นนางฟ้าตกลงมาจากสวรรค์...


“อา...ตื่นแล้วเหรอครับ” เสียงทักทายอ่อนอุ่นแต่อีกฝ่ายยังคงนิ่ง ทำให้คนตัวเล็กกว่าโบกมือเรียวที่มีกลิ่นดอกไม้ติดอยู่ไปมาพลางร้องเรียกอยู่สักพักก็ถูกมือใหญ่ของอีกคนรวบไว้พร้อมกับการสบสายตาที่ดำเนินขึ้น


การมองจ้องใครตรงๆ ของกวังรยอลเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างกลัวและหลบเลี่ยง แปลกที่ตัวเล็กกว่ากลับปีนขึ้นมาบนชานไม้พลางยิ้มกว้างแถมยังเขย่งเท้าเข้ามามองกันใกล้กว่าเดิม


“ตาไม่ลอยแล้ว ดีจัง แล้วนี่มีปวดหัวไหมครับ จะกลับที่พักถูกหรือเปล่า ถ้ากลับไม่ถูกบอกชื่อที่พักมาก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมพาไปส่ง อ้อ  ตอนนี้ยังเช้าอยู่เลย ร้านอาหารยังไม่น่าจะเปิดแต่ไม่แน่ใจว่าที่พักคุณมีอาหารบริการให้ตอนเช้าหรือเปล่า ถ้ายังไงก่อนกลับกินข้าวเช้าด้วยกันนะครับ จะได้ไม่หิว” คนชวนยังคงยิ้มพร้อมวางเท้าลงดังเก่าเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นเกือบจะคล้อยหลังหายไปแล้วแต่ก็หยุดหันกลับมากวักมือเรียก


...และไม่รู้ทำไมเขาถึงเดินตามไปเสียเฉยๆ...


“เมืองนี้ไม่ค่อยมีอะไรนอกจากเซรามิกส์กับข้าวของพื้นบ้าน ท่าทางคุณไม่น่าจะใช่คนที่จะมาเที่ยวเมืองแบบนี้เลย ทำไมถึงเลือกมาเที่ยวที่นี่ล่ะครับ” เจ้าของบ้านเอ่ยถามทำลายความเงียบขณะมองคนที่เขี่ยผักทุกประเภทไม่ว่าจะอยู่ในไข่ม้วนหรือในข้าวผัดกิมจิไปไว้ตรงขอบจาน แม้แต่ในน้ำซุปที่เหือดเหลือน้ำติดก้นชามยังมีไชเท้าต้มนอนนิ่งอยู่


“ไม่ได้มาเที่ยว” คนตัวใหญ่ตอบห้วนๆ


“อา มาทำงานหรอกเหรอครับ”


“เปล่า”


“งั้นมาทำวิจัยหรือเก็บข้อมูลไปเพื่อการศึกษาเหรอครับ”


“ไม่”


“ไม่ใช่สักอย่างเลยเหรอครับ”


“ก็แค่เบื่อเลยขับรถมาเรื่อยๆ พอเหนื่อยก็หยุด”


“แสดงว่าไม่ได้มีที่พักที่นี่สินะครับ อา...มิน่าถึงได้ไปนอนอยู่ในสวนสาธารณะ แล้วนี่บ้านอยู่ไหนเหรอครับ รถจอดไกลจากนี้หรือเปล่า น้ำมันหมดหรือยังมีเงินติดตัวไหมครับ ถ้าไม่มียืมผมก่อนได้นะ เติมน้ำมันไว้เดี๋ยวไปหมดกลางทางจะลำบาก ออกจากเมืองนี้ไปหาปั๊มน้ำมันยากนะครับ”


กวังรยอลวางช้อนเซรามิกส์ที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะจ้องหน้าคนที่มีรอยยิ้มละมุนตลอดเวลาพลางเลียริมฝีปาก


“คุณให้คนมาค้างบ้านและยืมเงินแบบนี้ตลอดเลยเหรอ” เสียงเข้มดุถามอย่างจริงจัง


“กับคนไม่รู้จักก็มีคุณคนแรกนี่แหละ”


“ให้ที่พักคนอื่นง่ายๆ ไม่คิดบ้างเหรอว่า ผมจะเป็นคนร้าย”


“ก็ไม่เห็นเหมือนคนร้ายเลย...ท่าทางเหมือนน้องหมาหลงทางมากกว่าอีก ตอนที่เห็นคุณไกลๆนึกว่าใครเอาน้องหมาตัวใหญ่มาทิ้งในสวน ตอนแรกคิดว่าถ้าไม่มีเจ้าของจะเก็บมาเลี้ยงแล้วล่ะ อา ขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะว่าคุณเป็นหมานะ แต่เมืองนี้ตอนดึกๆคนเขากลับบ้านนอนกันหมด พอคุณมานอนตรงนั้นก็เลยคิดว่าเป็นอย่างอื่นมากกว่าคน”


“อืม”


“ที่จริงตอนแรกผมคิดว่าคุณเป็นผีด้วยแหละ...ตื่นเต้นมากเลยนึกว่าได้เจอผีตัวเป็นๆแล้ว คิดว่าถ้าชวนผีคุยอาจจะได้แรงบันดาลใจคิดคอลเลคชั่นหน้าหนาวออก พอแตะดูถึงรู้ว่าไม่ใช่ผี แต่ก็ดีแล้วล่ะที่ไม่ใช่ผี ปกติคุยกับคนไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ถ้าคุยกับผี ผีไม่คุยด้วยต้องเสียใจแน่เลย อา ขอโทษนะครับ เหมือนผมจะพูดมากไปแล้วเนาะ พอดีผมติดนิสัยอยู่กับเด็กๆแล้วก็พวกคุณตาคุณยายเยอะก็เลยชอบพูดไปเรื่อยแบบนี้” เจ้าของบ้านปิดปากแทนที่ด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของอีกคน


“คุณอยู่คนเดียวเหรอ” อยู่ๆคนหน้าตายก็ถามขึ้น


“ตอนแรกก็อยู่หลายคน แต่เขาไปอยู่ที่โซลกับนิวซีแลนด์กัน คุณแม่ก็ย้ายไปอยู่โซลเพราะขับรถจากนี้ไปร้องเพลงกลางคืนทุกวันไม่ไหว พี่ชายผมเขาเป็นนักแต่งเพลงกับโปรดิวเซอร์อยู่ที่โซล ส่วนน้องชายก็ไปทำธุรกิจปลาทะเลที่นิวซีแลนด์ ส่วนผมน่ะชอบเมืองนี้มากก็เลยเลือกจะอยู่นี้”


“คุณอายุเท่าไหร่”


“หน้าหนาวนี้ก็ยี่สิบเจ็ดพอดี”


“ห๊ะ” ฝ่ายถามก่อนย่นหน้าผากจนเป็นรอยอีกหนเพราะคิดว่าอีกคนไม่น่าจะอายุมากกว่าเขา


“เราน่าจะอายุเท่ากันใช่ไหม...” อีกคนถามแต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ได้สนใจต่อคำถาม


“ไม่ใช่เด็กแล้ว ทำไมยังพูดว่าอยู่คนเดียวง่ายๆ”


“มันไม่ใช่เรื่องที่พูดยากเย็นอะไรนี่ครับ”


“สำหรับมิจฉาชีพ มันคือช่องโหว่”


“แต่คุณไม่ใช่มิจฉาชีพนี่”


“ผมนี่แหละคนร้าย” เขาบอกอย่างหนักแน่น


“ไม่ใช่หรอก” อีกฝ่ายหยุดหัวเราะเบาๆแล้วพูดต่อ “ตาคุณมันบอก...จริงๆแล้วคุณเป็นคนอ่อนโยน”


ถ้อยประโยคที่หลุดจากริมฝีปากที่มีรอยยิ้มกว้างผสมฟังกังวานซ่าน นัยน์ตากลมน่ารักทั้งคู่ที่ทอดมาหาอบอุ่นและไม่มีแววโกหกเลยแม้แต่น้อยทำให้หัวใจคนตัวโตวูบไหว...ในชีวิตแม้กระทั่งคนในครอบครัวยังเห็นเขาเป็นตัวอันตรายที่ไม่น่าเข้าใกล้ หากคนตรงหน้ากลับพูดคำที่ไม่คิดว่าจะมีวันได้ยินให้ฟัง


กวังรยอลเม้มริมฝีปากให้กับความแปลกของคนตรงหน้าที่เหมือนไม่น่าจะเหลือในโลกใบนี้ ตั้งใจจะถามเรื่องสำคัญอย่างชื่อแต่เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นมาก่อน


“มึงอยู่ไหน” ปลายสายกรอกคำถามมา  


“ไม่แน่ใจ มีอะไร”


“ร้านของมึงที่ร่วมหุ้นกับแจบอมมันอ่ะ ตกแต่งเสร็จแล้ว...มึงจะมาดูไหม เผื่อไม่ชอบตรงไหนจะได้ให้ช่างแก้”


"ให้แจบอมมันไปดูสิ"


"มันติดงานอยู่"



“ถ่ายรูปมาสิ”


“กูไม่ว่างขนาดนั้น”


“ถ้ามึงตื่นตอนนี้ได้แถมว่างโทรมาหากูได้นะ...บยอล มึงต้องว่างถ่ายรูปมาให้กูได้เหมือนกัน”


“กูตื่นเพราะช่างโทรมาตาม จะนอนต่อแล้ว”


“โทรมาตามเพราะอยากให้ไปตรวจร้านสินะ”


“อยากให้พูดว่าเป็นห่วงเหรอ...ไม่ล่ะ เห็นสภาพไอ้ที่มึงกระทืบไปเมื่อวานก็คิดล่ะว่าคนอย่างมึงหายไปไม่น่าตาย เลยไม่รู้จะห่วงทำไม ยังไงก็มาดูตรวจร้านด้วยนะ กูจะนอน”


“เหี้ย...แค่นี้นะ เดี๋ยวขับรถกลับไปดู”


กวังรยอลวางสายเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋า เหลือบมองหน้าคนที่กำลังเก็บสำรับกับข้าวบนโต๊ะไปไว้ในอ่างล้างชามพักหนึ่งก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์ดึงแบงค์ห้าหมื่นวอนที่อยู่ในนั้นหลายใบออกมา


“นี่ สำหรับค่าที่พักแล้วก็อาหาร” เขาลุกจากเก้าอี้ไปหาพลางยื่นเงินให้


เจ้าของบ้านละสายตาจากชามในอ่างหันมามองธนบัตรในมืออีกคนและหลุดยิ้มออกมา


“เก็บไปเถอะครับ...ผมไม่ได้ช่วยคนเพราะอยากได้อะไรตอบแทนนะแค่อยากช่วยเฉยๆ”


“ผมไม่ค่อยเชื่ออะไรเรื่องแบบนั้น”


“คุณหมายถึงอะไร”


“ช่างเถอะ...รับไว้ซะ ผมไม่ชอบเป็นหนี้บุญคุณใคร”


“ผมไม่เคยคิดเรื่องบุญคุณกับใครนะ”


“แต่ผมคิด...รับไป เท่านี้นะ” คนตัวใหญ่ยัดเงินใส่ในกระเป๋าผ้ากันเปื้อนแล้วหมุนตัวเดินออกจากครัวไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย คิดว่าชั่วเวลาที่ใจวูบไหวเพราะอีกฝ่ายเป็นเรื่องที่ผ่านมาและจะผ่านไปเหมือนสายลม


...แต่เขาคิดผิด...


ขณะที่เท้าก้าวเกือบพ้นประตูรั้วก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากด้านหลังก่อนที่เจ้าของบ้านจะยื่นลังไม้ที่มีเครื่องเซรามิกส์สีแปลกตาจำนวนหนึ่งส่งให้


“งานเซรามิกส์พวกนี้ถึงจะดูไม่แพงแต่ราคามันเท่ากับเงินที่คุณให้...ถ้าคุณจะให้เงินผม ก็เอานี้ไปด้วย”


“ห๊ะ”


“ตอนแรกผมจะโกรธคุณแหละ แต่คิดว่าคุณคงเจอแต่คนประเภทที่ช่วยหวังผลมาตลอดก็เลยไม่โกรธดีกว่า และเพื่อไม่ให้ติดค้างกัน คุณเอานี่ไป ผมรับเงินไว้ จะได้เสมอกัน”


คนตัวเล็กบอกด้วยน้ำเสียงเช่นปกติ สีหน้ายังคงอ่อนโยนเช่นเดียวกับดวงตา ในตอนนั้นเองหัวใจเขากลับวูบไหวขึ้นมาอีกคราและเหมือนจะมีความร้อนจางๆแผ่ขยายบนหน้า ถึงที่สุดแล้วรอยยิ้มของคนหน้าตายก็ผุดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้


...เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้มาจากการสมเพชเช่นทุกคราหากแต่เป็นรอยยิ้มที่มาจากความเอ็นดู...


...เขาไม่ใช่คนประเภทที่ชอบอะไรที่น่ารัก แต่คนแปลกๆตรงหน้ายิ่งฟังยิ่งมองยิ่งดูน่ารัก...


...ยังมีคนที่คิดแบบนี้อยู่ในโลกอีกเหรอ...


“คุณยิ้มอะไร”


“ผมแค่สงสัย”


“สงสัยอะไร”


“คุณถูกเลี้ยงมาแบบไหน...อยู่มาแบบไหน”


“ก็แบบที่ไม่เหมือนคุณนั้นไง”


“มีชื่อให้เรียกไหม”


“คุณจะรู้ทำไม รู้ไปก็ไม่ได้คุยกันอีกหรอก” คนตัวเล็กกว่าบอกแขนที่ถือลังไม้เริ่มสั่นเพราะความหนักจนอีกคนต้องสอดมือมายกมันมาไว้ในแขนตัวเองแล้วเอ่ยคำที่ติดในใจ


“ขอโทษนะ”


“ผมไม่ได้โกรธ ไม่ต้องขอโทษหรอก”


“ถึงไม่โกรธก็เถอะ...แต่ผมรู้สึกไม่ดีน่ะ เอาจริงๆนะ ที่ผมให้เงินคุณ ผมไม่ได้จะดูถูกคุณหรอก แค่ชินเพราะต้องให้ตลอดน่ะ”


 “สังคมที่คุณอยู่ต้องให้เงินถึงจะช่วยเหรอ”


“ประมาณนั้น”


“ที่แบบนั้นไม่น่าอยู่เลย”


“ก็ไม่ได้อยากอยู่ แค่ไม่เคยเจอที่ที่ไม่ต้องให้เงินก็มีคนช่วย” คนตัวใหญ่ว่าแล้วก้มมองงานเซรามิกส์ในลังไม้ “นี่คุณปั้นเองเหรอ”


“อืม...เป็นคอลเลคชั่นหน้าร้อน”


“สวยดี...ผมจะรับไว้แล้วกัน เอาไปตั้งในห้องเวลาเห็นจะได้นึกถึงคนแปลกๆอย่างคุณ”


“คนแปลกๆเหรอ”


“อืม...ผมไปล่ะ ขอบคุณที่ช่วย”  


ชายหนุ่มหันหลังกระชับลังไม้ในแขนให้เข้าที่แล้วย่างเท้าเดินไป หากไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดหันกลับมามองคนที่ยืนอยู่ตรงประตูรั้วไม้ที่มีดอกไม้บานสะพรั่งพร้อมกับลมที่พาดพัดพากลิ่นหอมที่ละม้ายปลายมือของอีกคนมาแตะจมูก


“ซน ซึงฮวัง คือชื่อของผม...แล้วก็นะ ถ้าคุณเลี่ยงสังคมไม่น่าอยู่นั้นไม่ได้จริงๆและเกิดเหนื่อยขึ้นมา ลองแวะมาเดินเล่นที่เมืองนี้ดูสิ ถึงจะเงียบแต่ก็สวยนะและคนที่นี่ใจร้ายก็มีแต่ไม่เท่าคนใจดีหรอก”


“เปลี่ยนเป็นที่นี่ได้ไหม” เขาตะโกนกลับไป


“ที่นี่...ที่นี่อะไร”


“ผมแวะมาที่นี่...ที่บ้านคุณอีกได้ไหม”


อีกฝ่ายกระพริบตามีทีท่านิ่งไปเหมือนไม่แน่ใจสิ่งที่ได้ยินชั่วขณะก่อนจะเหยียดริมฝีปากกว้างตอบกลับ


“จะมาก็ได้ แต่ห้ามให้เงินอีกนะ”


กวังรยอลมองรอยยิ้มกว้างอุ่นอ่อนของคนตัวเล็กที่แม้ไม่มีแสงตะวันสาดกระทบก็คล้ายมีละอองสีขาวจางๆห้อมล้อมก็หลุดยิ้มออกมาอีกครา


...มีบางอย่างทำให้เขารู้สึกอุ่นและคุ้นเคยทั้งที่รู้จักกันไม่ถึงวัน...


...หรือคนแปลกๆที่ชื่อซน ซึงฮวังคนนั้น...


...จะเป็นนางฟ้าตกสวรรค์จริงๆ...


You Might Also Like

0 Comments