LOVE TOXICAL : KANPAGNE CHAPTER 10

00:04


ประธานค่ายเพลง Canción Entertainment ยืนกอดอกมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เอนหลังเอกเขนกอยู่บนโซฟาที่มุมหนึ่งของห้อง สวมกางเกงยีนส์กับเสื้อยืดยาวสีดำทับด้วยโค้ทตัวสั้นหนังกลับสีดำบุขนแกะด้านใน ผมถูกซ่อนไว้ใต้บีนนี่สีดำมีจอนสีทองโผล่ให้เห็น  ใบหน้าขาวเกลี้ยงมีแว่นกันแดดสวมปิดตาอยู่


มึงมานอนนี่ได้ไง


ผมออกจากบริษัทตอนเจ็ดโมง ตั้งใจจะกลับบ้านไปนอนแต่มันง่วง นี่ผมขับรถมาเองด้วยเห็นออฟฟิศพี่ใกล้สุดก็เลยมาอาศัยนอนหน่อย


มึงบ้างานเกินไปแล้วนะจีโฮ พักผ่อนบ้าง


ผมก็บ้างานเหมือนพวกพี่แหละ


พวกกูยังเห็นเดือนเห็นตะวัน แต่ของมึงนี้ออกมาทีฟ้ามืดทุกวันก็ไม่ไหวนะ ดงกั๊บบอกกับคนเป็นน้องที่รู้จักกันมานานตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ชื่อเสียงจนทุกวันนี้ถูกยกย่องให้เป็นศิลปินที่ทุกคนต่างยอมรับในความสามารถทั้งในการเป็นนักร้อง แรปเปอร์ นักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์


อู จีโฮ เป็นคนที่มองผิวเผินจะคิดว่าน่ากลัวและดูเหมือนนักเที่ยวตัวยง แต่ความจริงจีโฮบ้างานระดับที่อยู่ในห้องอัดได้เป็นอาทิตย์ เหล้าดื่มแต่บุหรี่ไม่เคยสูบ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัวบางอย่างก็ออกจะเหมือนคุณป้าด้วยซ้ำ


ก็นี่ไง วันนี้ผมถึงไม่รับงานอะไร เออ พี่ ไอ้ที่พี่บอกให้ผมพาแจโฮมันไปเที่ยวเนี่ย อย่างไอ้แจโฮมันยังต้องมีคนพาไปอีกเหรอ ผมเห็นแม่งไปนู้นมานี่บ่อยจะตาย ขนาดเมาปลิ้นยังกลับบ้านถูก ทำไมต้องกลัวมันหลงด้วย


คนที่จะให้พาไปไม่ใช่แจโฮ


นอกจากแจโฮ พี่ฮันเฮยังมีน้องอีกเหรอ


เออ...เป็นน้องคนรองน่ะ ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรอกเพราะเขาไม่ได้ยุ่งกับวงการเพลงแถมอยู่ต่างจังหวัดอีก พอดีเขามาเยี่ยมกูกับพี่จินแทแล้วเขาอยากไปพิพิธภัณฑ์กับอินซาดง กูกลัวเขาหลงเลยอยากให้มีคนไปกับเขาด้วย


เดี๋ยว...พี่บอกว่าเป็นน้องคนกลางของพี่ฮันเฮก็ต้องเกินยี่สิบแล้วดิ อายุขนาดนี้พี่ยังต้องกลัวหลงอะไรอีก


ก็ใช่ แต่ตัวเล็กไม่ค่อยเหมือนคนอื่น จะพูดยังไงดีวะ แบบจิตใจดีเกินไป เอาใจใส่คนอื่นมากไป แล้วเขาก็ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ กลัวไปคนเดียวเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะลำบาก...ตอนนี้เขาอยู่ที่ห้องอัดเสียงชั้นสี่ มึงมากับกูดิ เดี๋ยวกูพาไปหา ฝ่ายอายุมากกว่าบอกพลางมองคนที่ลุกขึ้นจากโซฟากำลังหาวหวอดอย่างเป็นห่วง


มึงไหวแน่ไหมเนี่ย


ไหวดิ


แต่มึงดูไม่คึก ปกติมึงประสาทแดกกว่านี้


ใจคอจะให้คึกตลอดเลยเหรอ ผมไม่ได้เมายานะเฮ่ย ผมบอกไหวก็ไหวดิคำตอบปนเสียงหัวเราะ มือตบรุ่นพี่ที่ตัวเล็กกว่าบนไหล่เป็นเชิงบอกแทนคำพูดว่าไม่เป็นไรและตามหลังผ่านประตูบานเลื่อนกระจกของชั้นสองออกไปรอลิฟต์ที่เคลื่อนลงมา เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกแทนที่ข้างในจะว่างกลับมีชายสองคนก้าวยืนอยู่


อ้าว...มึงพาตัวเล็กลงมาเลยเหรอ


เอ้า ไม่ได้จะให้ผมพาลงมาเหรอครับ ฮันเฮถามอย่างนอบน้อมยังจับมือน้องไว้ก่อนจะมองไปยังคนคุ้นเคยที่ยืนอยู่ข้างหลังเจ้านายตัวเอง อ้าว มึงมาไงเนี่ยจีโฮ


ขับรถมาอ่ะพี่ คงไม่ได้เหาะมาหรอก


โหย...ใจคอใครมาบริษัทนี่ต้องกวนตีนใส่กูหมดเลยหรือไง


แหม พ่อหนวดปลาหมอ อย่าใจน้อยนะ ก็มันไม่มีใครที่แกล้งแล้วตอบโต้ได้ตลกเท่าพี่นี่หว่า จีโฮว่าพลางหัวเราะขำก่อนที่ตาจะมองผ่านรุ่นพี่หนุ่มอีกคนของตัวเองไปยังชายหนุ่มร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ และสบเข้ากับตากลมเป็นประกายสดใสบนใบหน้านวลน่ารักที่มองตรงมาเพียงครู่ก็เห็นแย้มของริมฝีปากตามมา


...น่ารักแฮะ...


มึงอย่ามัวประชดประชันได้ไหม ออกจากลิฟต์มาก่อนประธานค่ายด่าเข้าทั้งคู่เลยออกมาจากลิฟต์ได้ หลังจากแจงเรื่องจะให้รุ่นน้องเป็นคนพาเที่ยวก็ปล่อยให้คนแปลกหน้าทั้งสองทักทายกัน


ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณจีโฮ เจ้าของร่างเล็กว่าก้าวเข้ามามองใกล้ๆพร้อมกับริมฝีปากที่เหยียดกว้างจนเห็นฟันกระต่าย คนไม่ทันตั้งตัวผงะไปเล็กน้อยในนาทีที่ฝ่ายตรงข้ามโค้งให้แล้วยื่นมือออกมาหมายจะจับทักทาย


ครับ...มือเรียวที่มีปลาสเตอร์สีเนื้อปิดอยู่ยื่นออกไปจับ


ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ


อ่า...ครับหลังจากทักทาย รุ่นพี่หนุ่มก็กอดคอรุ่นน้องตัวเองลากไปอีกทางเพื่อฝากฝัง


พาน้องกูไปนี่มึงต้องดูดีๆนะ คือน้องกูเขาเป็นคนช่างสังเกตชอบดูนั่นดูนี่ ไม่ตามดูอาจจะหลงเอาง่ายๆ แล้วก็อย่าพาน้องกูไปใกล้ๆที่ที่มีบุหรี่ ตรงไหนคนแออัดอย่าพาเข้าไป สมมุติต้องไปกินข้าวกัน ห้ามหลอกให้น้องกูดื่มเหล้า ห้ามให้กินปลาหมึก และถ้ามีไปกินขนมต้องแน่ใจนะว่าแป้งที่กินไม่ใช่แป้งสาลี


โหย...อะไรจะข้อห้ามเยอะขนาดนี้


มึงไม่เคยเห็นเขาผื่นขึ้นกับชักมาก่อน มึงไม่เข้าใจหรอก


โอเค ผมจะทำทู้กอย่างตามที่บอก แต่พี่ดงกั๊บเขาบอกหรือเปล่าว่า ผมอยู่ได้ถึงหกโมงเย็นเองนะ


เอ้าเหรอ...เออ ถึงตอนนั้นกูอาจจะหาคนไปแทนมึงได้แล้วล่ะ


โอเค งั้นพี่ก็ไปทำงานต่อเถอะไป เดี๋ยวผมดูน้องพี่ให้


ฝากด้วยนะมึง ขอบคุณมากที่ช่วย แล้วกูจะโทรไปถามว่าเป็นยังไงบ้างนะ


เมื่อฮันเฮและดงกั๊บล่ำลาอาลัยรวมทั้งฝากฝังทุกอย่างเรียบร้อย จีโฮก็เดินลงบันไดมาชั้นล่างโดยมีซึงฮวังเดินตามลงมาเงียบๆ พอพ้นจากหน้าตึกมาถึงรถสปอร์ตสีดำที่จอดอยู่ คนตัวใหญ่ก็หันมาหาและเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน


เห็นพี่ดงกั๊บบอกผมว่าคุณจะไปพิพิธภัณฑ์ลีอุมซัมซุงใช่ไหม


ครับ...คุณเคยไปมาก่อนไหมครับ


เคย...แต่มันนานมากแล้ว


จริงๆแล้ว  คุณจีโฮไม่ต้องลำบากไปส่งผมหรอกนะครับ ผมนั่งรถไฟใต้ดินไปเองได้


ไม่ได้ครับ...ผมรับปากพี่เขาแล้ว ผมต้องรักษาคำพูด


แต่คุณดูเหนื่อย


555  ช่วงนี้ผมเร่งทำซิงเกิ้ลเดี่ยวก็เลยไม่ค่อยได้นอน


ไม่ใช่เหนื่อยแบบนั้นครับ อา...ผมไม่รู้ว่าควรพูดดีไหม แต่คุณดูไม่ได้เหนื่อยเพราะอดนอนอย่างเดียว


ฮ่าๆ...ไหนลองบอกหน่อยสิว่าผมเหนื่อยเพราะอะไรล่ะ


ผมอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้ แต่ตอนที่เห็นคุณครั้งแรก ทั้งที่คุณใส่แว่นดำแต่ผมรู้สึกว่า คุณเหนื่อย ไม่ใช่เพราะนอนน้อยแต่เหมือนว่า คุณแบกทุกอย่างไว้บนบ่า


ไอ้ที่แบกบนบ่านี่คือ


ไม่รู้สิครับ อาจจะความคาดหวังของตัวเองกับคนรอบข้างล่ะมั่งครับ


คิ้วของคนที่ซ่อนหน้าไว้ใต้แว่นกระตุกแทบจะทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำเรียบเรื่อยเอ่ยขึ้น ในความสนุกสนานและมั่นใจในตัวเอง เขามีความรับผิดชอบที่ต้องแบกเอาไว้และวางลงไม่ได้ซึ่งก็แปลกที่คนตรงหน้ากลับมองเห็นมัน


คุณรู้หรือครับว่าผมเป็นใครคำแปลกๆหลุดจากริมฝีปาก


รู้สิครับ...ก็คุณจีโฮเป็นเพื่อนคุณบอสกับพี่ชายผมไง คำตอบนั้นมาพร้อมกับการก้มมองและมือที่ล้วงหาบางอย่างในกระเป๋าข้างของเสื้อโค้ทก่อนที่ลูกอมเปลือกสีน้ำตาลเข้มหลายเม็ดจะถูกยื่นมาตรงหน้า อันนี้เป็นลูกอมสอดไส้ช็อกโกแลตนะครับ หมอเขาให้ผมพกไว้ กินช็อกโกแลตมันช่วยคลายเครียดได้ ผมแบ่งให้คุณจีโฮครึ่งหนึ่งนะ เวลารู้สึกเหนื่อยๆอมสักเม็ดสองเม็ดจะได้รู้สึกดีขึ้น


อยู่ๆชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กว่าก็ยิ้มกว้างและไหล่ไหวสะท้านจากการกลั้นหัวเราะทว่าเมื่อได้เห็นตากลมเหมือนกวางน้อยใสซื่อมองมาด้วยความสงสัยใคร่รู้ก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู


มีอะไรเหรอครับ


คุณรู้จักซิโค่ที่เป็นแรปเปอร์ไหม


ไม่ครับ...เขาเป็นใครเหรอครับ


ฮ่าๆ โอเค เข้าใจแล้ว


เขาเป็นใครล่ะครับ...เพื่อนคุณเหรอ


เปล่า ฮ่าๆ ช่างมันเถอะเขาว่าพลางหัวเราะร่วนออกมาอีก


งั้นคุณจีโฮก็เก็บลูกอมใส่กระเป๋าแล้วกลับบ้านไปพักเถอะครับ เดี๋ยวผมไปเอง


ผมก็บอกแล้วนะว่าไม่ได้...คุณอย่าทำให้ผมเป็นคนไม่รักษาสัญญาสิ


แต่ท่าทางคุณดูต้องพักผ่อน...จริงๆนะ ผมเป็นห่วง


คุณเป็นห่วงกระทั่งคนที่เจอกันครั้งแรกเหรอ


ก็รู้จักกันแล้วนี่ครับ จะไม่ห่วงได้ยังไง


ฮ่า เออๆ คุณนี่ตลกดีนะเขาบอกทั้งที่ยังหัวเราะร่วน เก็บลูกอมทั้งกำไว้ในกระเป๋ากางเกง เอางี้ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งคุณที่ลีอุมซัมซุง ระหว่างที่คุณเข้าไปดูพิพิธภัณฑ์ผมจะนอนรอในรถ


จะขับรถทั้งที่ยังหาวแบบนี้อยู่เหรอครับ...ไม่ดีหรอกครับให้ผมไปเองดีกว่า


ไปด้วยกันเถอะ...ถ้าไม่ขับรถก็หาวิธีไปที่นั่นทางอื่นก็ได้ แท็กซี่หรือรถใต้ดิน จะยังไงก็ได้แต่ผมต้องไปกับคุณ


ก็ได้ครับ งั้นไปรถเมล์ได้ไหมครับ ผมอยากไปรถเมล์


เพราะประโยคนั้นประโยคเดียวสุดท้ายทั้งคู่ก็ลงเอยด้วยการเดินไปที่ป้ายรถประจำทางซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายช่วงตึก หญิงวัยกลางคนสองสามคนนั่งรออยู่ตรงป้ายอย่างเงียบเหงาทั้งที่เป็นวันเสาร์


เห็นพี่ดงกั๊บบอกว่าคุณอยู่ต่างจังหวัดเสียงเข้มเอ่ยถามขณะมองร่างเล็กสอดส่ายสายตามองไปทั่ว


ผมอยู่ที่อีชอนน่ะครับ


อยู่ที่นั่นตลอดเลยเหรอครับ


ไม่หรอกครับ ผมเคยมาเรียนปริญญาโทที่นี่ แต่ผมไม่ค่อยได้ไปไหนเองหรอกครับ ส่วนใหญ่จะมีคนไปด้วย เขากลัวผมหลงกัน โอ๊ะ รถสายที่เรารอมาแล้ว ไปกันเถอะครับมือนุ่มของคนตอบกระตุกชายเสื้อของอีกฝ่ายเป็นการเตือน ดึงให้ตามขึ้นมาจ่ายเงินสดและเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่คู่กันด้านใน


คุณเคยไปที่พิพิธภัณฑ์นั้นมาก่อนหรือเปล่าเสียงเข้มถามขณะดันแว่นดำและดึงบีนนี่ที่ร่นขึ้นไปให้กลับเข้าที่


ผมเคยไปที่นั่นประมาณสามครั้งได้ครับ


อ๋อ แล้วไปกับใคร


ไปกับเพื่อนของพี่ฮันเฮน่ะครับ ตอนมาเรียนผมพักอยู่กับพี่เขา คือเขาเป็นช่างภาพกับอาจารย์สอนถ่ายรูปที่มหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ เขาเอาภาพถ่ายไปจัดแสดงที่นั่นก็เลยได้ตามไปด้วย


คุณเรียนถ่ายรูปเหรอ


เปล่าครับ...ผมเรียนเอกเซรามิกส์ แล้วคุณจีโฮล่ะครับ ทำงานด้านดนตรีใช่ไหมครับ


ก็ประมาณนั้น


เพลงที่ทำเป็นแบบไหนเหรอครับ


หลายแนว แต่เน้นหนักก็ฮิพฮอพ


เดี๋ยวนี้คนชอบแนวนี้กันเยอะนะครับ


คุณไม่ชอบมันเหรอ


ชอบครับ แต่ส่วนใหญ่ผมจะฟังเพลงบรรเลงครับ เวลาทำงานผมชอบเปิดเสียงเปียโนคลอ มันสบายดี


อา อย่างนี้นี่เองฝ่ายตัวใหญ่กว่าพยักหน้ารับก็เงียบ ในไม่ช้าความอ่อนเพลียก็โถมเข้ามาจนเผลอหลับในที่สุด


ซึงฮวังกวาดตามองทุกสิ่งด้านนอกผ่านหน้าต่างยามรถเคลื่อนจนได้ยินเสียงกระแทกใกล้จึงหันกลับมาข้างตัวก็เห็นผู้นำเที่ยวกำลังหลับ หัวนั้นโงนเงนกระแทกกับขอบพนักที่นั่งแต่ไม่มีทีท่าว่าเจ้าตัวจะตื่น  แขนเล็กเลยยกขึ้นและอ้อมไปค่อยๆดันศีรษะให้เอนมาพิงกับไหล่ตัวเองก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์ข้อความส่งไปหาพยายามขยับตัวให้น้อยที่สุดเพราะกลัวอีกคนจะตื่น


จีโฮตื่นขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนอนแค่ไหนรับรู้เพียงตัวเองเอนหัวพิงกับอะไรบางอย่างและกลิ่นหอมแปลกของดอกไม้จางๆ เมื่อลืมตาเอนกลับมานั่งท่าปกติก็ถึงรู้ว่าตัวเองหลับพิงกับไหล่ของคนตัวเล็กมาตลอด


เราอยู่ไหนแล้ว...ถึงหรือยัง


เลยมาสี่ป้ายแล้วครับ


ห๊ะ เลยมาสี่ป้ายแล้วเหรอ ตายๆ ทำไมคุณไม่ปลุกผมเล่าคนเพิ่งตื่นหายงัวเงียทันทีที่รู้ว่านั่งรถเลยมาไกลพอสมควรแล้ว


คุณดูเหนื่อยๆ ผมเห็นคุณหลับสบายก็เลยไม่อยากปลุกน่ะครับ


เลยมาสี่ป้ายนี่ถ้าดูเส้นทางในนี้มันไกลเอาเรื่องเลยนะ กว่าจะนั่งรถกลับไปก็สิบ ยี่สิบนาทีแล้ว มันจะเสียเวลาเที่ยวของคุณเอานะรู้หรือเปล่า มือใหญ่หยิบโทรศัพท์มือถือยื่นให้ดูหน้าจอที่มีแผนที่เส้นทางปรากฏอยู่


ไม่เป็นไรหรอกครับ ได้นั่งรถมองวิวข้างนอกก็ถือว่าเที่ยวแล้วเหมือนกัน


ชายหนุ่มเลียริมฝีปากพลางหรี่ตาหลังแว่นจ้องหน้าที่อีกฝ่ายที่เหมือนไม่รู้สึกอะไรที่ใช้เวลาหมดไปกับการปล่อยเขาหลับแทนที่จะปลุกตอนถึงจุดหมายพักหนึ่งก็ถอนหายใจ โชคดีที่มันไม่ใช่เรื่องงาน ไม่งั้นเขาคงได้อาละวาดกันไปข้างหนึ่ง


ลงเถอะ เขาบอกเท่านั้นก็ลุกจากเก้าอี้เดินนำไปที่ประตูและก้าวลงมาทันทีที่ประตูรถเปิดออก ลมหนาวพัดกราวมาปะทะแรงอยู่ครู่หนึ่งก็จากไปเหลือไว้เพียงไอความเย็นที่ทำให้ซึงฮวังต้องยกมือที่เย็นเฉียบเยี่ยงน้ำแข็งถูกไปมา


คุณควรปลุกผมนะ...วันนี้ผมว่างพาคุณไปได้ถึงหกโมงเย็นเอง


ครับ คุณบอสชินบอกผมแล้ว


คุณรู้ แต่คุณก็ไม่ปลุกผม เออ แปลกดี อยากมาลีอุมซัมซุง และไปต่อที่อินซาดงแล้วไปจบท้ายที่ไหนนะ ฮงแดใช่ไหม นี่ก็บ่ายแล้วกว่าจะเดินดูข้างในพิพิธภัณฑ์ทั่ว ไม่ทันได้ถึงอินซาดงก็หมดเวลาพอดี


ก็ผมบอกแล้วไงครับว่าไม่เป็นไร เห็นคุณหลับสบาย แลกกับที่ไม่ได้ไปเดินเล่นที่อินซาดงผมก็โอเคนะ ฝ่ายถูกดุบอกพลางหยิบสายคล้องของกล้องฟิลม์ขึ้นมาจากช่องกระเป๋าเสื้อใหญ่ที่ที่อยู่ด้านในเสื้อโค้ทขึ้นมาชูและยิ้มกว้างแล้วคล้องมันไว้บนคอตนเอง


คุณนี่...คนตัวใหญ่กว่าหลุดได้มาแค่นั้นก็ถูกอีกฝ่ายยัดแซนด์วิชไส้ทูน่าที่ห่อพลาสติกไว้ใส่มือ


ผมได้ยินเสียงท้องคุณร้องตอนที่หลับอยู่ เอานี้ไปกินรองท้องสิครับแต่ขนมปังมันอาจจะรสชาติแปลกหน่อยเพราะผมใช้แป้งอัลมอนด์ทำน่ะครับ พอดีว่าผมแพ้แป้งสาลีอยู่ๆบทสนทนาก็เปลี่ยนไป ร่างสูงกระพริบตารับของกินที่ถูกส่งมาตรงหน้าแบบงงๆ ขณะที่อีกคนหยิบแซนด์วิชออกมากินเช่นกัน


คุณมีกระเป๋าวิเศษของโดเรมอนหรือไง ถึงมีอะไรเต็มไปหมด


ผมพกของกินไว้ตลอดน่ะครับ เพราะต้องกินยา...โอ้ เราต้องข้ามถนนไปขึ้นรถกลับที่ฝั่งนู้นใช่ไหมครับ ตรงนี้ทางม้าลายพอดีเลย ข้ามกันเถอะครับ มือนุ่มยื่นมาจับชายแขนเสื้อของอีกฝ่ายพาเดินข้ามไปรถตรงป้ายรถประจำทาง โชคดีที่รถประจำทางสายที่รออยู่มาถึงพอดีทำให้ไม่ถึงสิบห้านาทีทั้งสองก็มาถึงพิพิธภัณฑ์ลีอุมซัมซุงในที่สุด


ซึงฮวังเดินเก็บภาพตลอดทางที่ทอดไปยังอาคารพิพิธภัณฑ์ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังของโลกถึงสามคนด้วยกันด้วยกล้องฟิล์ม ปล่อยอีกคนให้ยืนกินแซนด์วิชและก้าวเท้าขึ้นทางเดินที่สูงเป็นเนินขึ้นไปเงียบๆ กระทั่งอีกฝ่ายยื่นตั๋วเข้าชมนิทรรศการทั้งส่วนถาวรและพิเศษที่จัดแสดงอยู่ก็ล้วงกระเป๋าจะหยิบเงินออกมาจ่ายแต่มือนุ่มกลับโบกไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ


ไม่เป็นไรครับ ผมออกให้เอง


ไม่ได้ เมื่อกี้คุณก็ให้ลูกอม ให้น้ำกับของกินอีก ถ้าจะให้ออกค่าตั๋วด้วยนี่ไม่ได้หรอก


แค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าเทียบกับที่คุณจีโฮอดนอนพาผมมาเที่ยว แค่นี้นิดเดียวเอง...แต่ถ้าไม่สบายใจก็ไปเลี้ยงข้าวพี่ฮันเฮแทนแล้วกัน  รีบไปกันเถอะครับ เป็นอีกครั้งที่คนตัวเล็กยื่นมือจะมาจับแขนเสื้อดึงให้ออกเดินไปตามทาง ระหว่างนั้นนิ้วเย็นเหมือนน้ำแข็งของตัวเองกลับป่ายไปโดนหลังมือใหญ่เข้า


มือคุณเย็นจัง...เอานี้ไปล่ะกัน ผมให้


ขอบคุณครับ


ถุงร้อนในกระเป๋าเสื้อถูกยื่นออกมา มือเล็กรับมันมาถือไว้ในมือแล้วออกเดินไปตามทางภายในพิพิธภัณฑ์ที่ถูกออกแบบมาอย่างสวยงามและกว้างขวาง กรุผนังด้วยกรอบหน้าต่างหลากรูปแบบ  ในโซนแรกเป็นการจัดแสดงศิลปะสมัยโบราณที่มีเครื่องถ้วยชามเซรามิกส์ รูปปั้นพระพุทธรูปและภาพวาดด้วยหมึก จากนั้นจะเป็นศิลปะสมัยใหม่และร่วมสมัย มีทั้งภาพวาด ประติมากรรมและงานภาพถ่ายน่าสนใจร่วมอยู่


จีโฮเดินตามไปตั้งใจว่าจะคอยจับตาไม่ให้อีกฝ่ายหาย หากด้วยความที่ชอบศิลปะเช่นกัน ท้ายที่สุดจากที่ตามหลังก็ขยับมายืนข้างๆและแลกเปลี่ยนทัศนคติต่องานศิลป์ที่เห็นตรงหน้า ใช้เวลาหมดไปเกือบสามชั่วโมงครึ่งกับการเดินจนทั่วพิพิธภัณฑ์กว่าจะเดินออกมาข้างนอก


ตะวันทอแสงทอดลงมายังพื้นที่ด้านนอก หากความหนาวเย็นของอากาศภายนอกทำให้ความร้อนแทบไม่ระคาย ร่างเล็กก้าวไปเรื่อยๆ ชี้ชวนให้ดูนั่นนี่ด้วยรอยยิ้มกว้างอาบหน้าตลอด กล้องฟิล์มที่คล้องตรงคอถูกหยิบใช้ถ่ายรูปไปทั่ว คนตัวใหญ่หัวเราะออกมาอย่างผ่อนคลายกลายเป็นสนิทกับคนตัวเล็กไปโดยไม่รู้ตัวจนลืมไปแล้วว่าตัวเองมีธุระหลังหกโมงเย็น


กลับกันเถอะครับซึงฮวังหันมาถามในตอนที่ทั้งคู่นั่งจิบกาแฟร้อนแกล้มขนมปังอยู่ด้านนอก


จะไปแล้วเหรอ


คุณจีโฮมีธุระตอนหกโมงไม่ใช่เหรอครับ นี่ก็สี่โมงกว่าแล้ว...ไม่กลับตอนนี้เดี๋ยวไม่ทันเอานะครับ


อา...จริงสิ


พี่ฮันเฮเขาโทรมาบอกผมว่า ให้เพื่อนอีกคนมารอผมอยู่แถวอินซาดง เสียงใสว่าและเงียบไปสองสามนาทีก็พูดต่อ ธุระของคุณจีโฮมันไกลจากอินซาดงมากไหมครับ ถ้าไม่ไกลเราไปด้วยกันได้อยู่หรือเปล่า


ก็ไม่ไกลหรอก


ขากลับนี้เราไปรถไฟฟ้าใต้ดินกันไหมครับ มันน่าจะเร็วกว่านั่งรถเมล์ รอบนี้ผมสัญญาว่าถ้าคุณหลับแล้วถึงสถานีที่จะลง ผมจะปลุก


ฮ่าๆ โอเคไหล่กว้างยักขึ้นพร้อมริมฝีปากที่แย้มออก


การเดินทางจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะลีอุมซัมซุงไปยังอินซาดงโดยรถไฟใต้ดินในช่วงเย็นวันเสาร์เต็มไปด้วยผู้คน และเพราะไม่มีที่นั่งซึงฮวังขยับเข้าไปจนหลังพิงเอากับประตูรถไฟของอีกฝั่งก่อนที่จีโฮจะเป็นฝ่ายยืนกันคนที่เบียดมา ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็มาถึงสถานีปลายทาง


บนถนนอินซาดงที่ถูกปิดไม่ให้รถสัญจรมีผู้คนเดินขวักไขว่ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ รวมทั้งแกลอรี่จัดแสดงงานศิลปะ สี่สิบนาทีสุดท้ายก่อนหกโมงนั่นทั้งคู่เดินเพลินอยู่กับการเดินซื้อของ


ตอนแต่งเพลงคุณจีโฮใช้สมุดจดอยู่ไหมครับ


ใช้...ผมพกติดตัวตลอดแหละ เวลามีไอเดียอะไรต้องรีบจดไม่งั้นลืม เขาตอบก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อเห็นถุงกระดาษจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ไปมาด้วยกันถูกยื่นมาตรงหน้า


ว่าแล้วว่าต้องใช้อยู่ ผมเลยซื้อนี้มาให้ เป็นสมุดบันทึกของที่ระลึกจากหอศิลป์น่ะครับ แล้วก็ในมีพวงกุญแจกระต่ายกอดพู่กันกับดินสอกดด้วย ผมเห็นคุณดูอยู่ตั้งนานไม่เห็นซื้อสักทีก็เลยซื้อให้ รับไว้นะ อย่าปฏิเสธเลย อีกเดี๋ยวคุณจีโฮก็ต้องไปแล้ว ผมเลยอยากให้อะไรเป็นของขวัญที่เราสองคนได้พบกัน ถึงผมจะน่าเบื่อไปหน่อยก็เถอะ แต่วันนี้ผมสนุกมากเลยครับ ขอบคุณนะครับที่ไปเป็นเพื่อนผม


ชายหนุ่มฟังคำขอและของที่อยู่ตรงหน้า ยิ่งเห็นดวงหน้าน่ารักพราวด้วยยิ้มก็เม้มริมฝีปาก...ในตอนแรกที่ได้ยินรุ่นพี่บอกว่า ซึงฮวังไม่เหมือนคนอื่น เขาไม่ค่อยจะเชื่อนักหรอก แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายแตกต่างอย่างไร ยามอยู่ใกล้ความอุ่นกลับเต็มในใจและความผูกพันเล็กๆที่ก่อตัวขึ้นทำให้เขาอยากอยู่ด้วยกันนานกว่านี้


เคยไปร้านสักไหม


หื้อ...ไม่ครับ ทำไมเหรอ


จริงๆแล้วผมมีนัดกับช่างที่ร้านสักน่ะ แค่ไปเติมสีรอยสักเฉยๆ ถ้าคุณไม่รีบร้อนอะไรไปร้านสักกับผมไหม แล้วผมจะพาคุณไปที่ฮงแดเอง


ถ้าผมไปด้วยจะไม่รบกวนเหรอครับ


ไม่หรอก...ผมอยากให้คุณไปด้วยนะ


ผมไปด้วยได้อยู่แล้ว...แต่ต้องรีบโทรบอกพี่ฮันเฮนะครับ เพราะเมื่อกี้พี่เขาส่งข้อความมาบอกผมว่าจะให้รุ่นน้องมาหาผมที่นี่ เดี๋ยวเขาจะมาเสียเที่ยว หรือให้เขาไปด้วยดี


อยู่กันแค่นี้ก็พอ เขาประกาศเจตนารมย์แล้วจัดแจงหยิบโทรศัพท์ต่อสายหาฮันเฮเพื่อแจ้งเรื่องที่ตนเองจะไปส่งให้ถึงฮงแดเองซึ่งปลายสายก็ไม่ได้ขัดแต่อย่างใด เมื่อเรียบร้อยทั้งคู่ก็ออกเดินไปตามทาง บทสนทนาจิปาถะเริ่มต้นจนมาจบลงเมื่อเท้าเหยียบมาถึงหน้าร้านที่ตกแต่งสไตล์โกธิค เดินลงบันไดไปยังประตูที่อยู่ต่ำกว่าระดับพื้นถนน  เมื่อผ่านประตูไม้สีดำแกะลายเป็นเถ้ากุหลาบล้อมไม้กางเขนเข้าไปภายในร้านจะเห็นภาพวาดของเจ้าปีศาจเด่นเป็นสง่า ผนังสีดำล้วนกับเครื่องเรือนที่ใช้งานเป็นของเก่าที่ถูกบูรณะให้อยู่ในสภาพดีเมื่อรวมเข้ากับกลิ่นกำยานและบุหรี่เจือจางทำให้ที่นี่ดูขลังและน่ากลัว


หญิงสาวผิวเข้มที่มีรอยสักเต็มตัวกับชายตัวใหญ่ท่าทางดุดันยุ่งอยู่กับการสักให้ลูกค้า เสียงจากเครื่องสักดังจนไม่ได้ยินสัญญาณออดที่ดังขึ้นเวลามีคนเปิดประตูเข้ามา จีโฮเดินไปหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์ไม้ที่มีชายหนุ่มผมยักศกสวมเสื้อคอวีแขนยาวสีดำกับกางเกงยีนส์ที่ง่วนอยู่กับการสเก็ตซ์ภาพบนกระดาษ


ชายผู้นั้นเงยหน้าคมจากกระดาษเมื่อเห็นเงาของคนพาดลงมาบังภาพที่วาด เพียงเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครต่างฝ่ายต่างยักคิ้วเป็นเชิงทักทายก่อนจะหลุดหัวเราะร่วนออกมา


สายอ่ะมึง...ปกตินัดห้าโมง สี่โมงกว่ามึงก็โผล่ล่ะ นี่อะไรห้าโมงสิบห้าแล้ว


วันนี้ผมไปเที่ยวเลยมาช้า


มึงนี่นะไปเที่ยว ไหนว่าจะออกซิงเกิ้ลเดี่ยว ยุ่งฉิบหายวายวอด นอนก็ไม่ได้นอน เสือกกระแดะไปเที่ยว แล้วไง ไปไหนมาล่ะหนนี้


ไปหอศิลป์


คิดไงไปหอศิลป์ ถามเสร็จ เจ้าของร้านก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าที่ยืนห่างจากเพื่อนตนเองไปไม่ไกล จากที่ถามเสียงดังก็เปลี่ยนเป็นกระซิบ แล้วนั่นมึงหลอกเด็กที่ไหนมาสักร้านกูเนี่ย...อยากได้เปอร์เซ็นต์จนต้องหลอกคนมาเลย


เฮ้ย...นั่นเพื่อนผม


เพื่อน...เพื่อนมึงเหรอ


อืม อย่าเพิ่งถามน่าพี่ยงนัม...มาเติมสีรอยสักที่พี่สักค้างไว้ให้ก่อน ลงสีไม่เสร็จสักทีใครเห็นก็นึกว่าผมเป็นเกลื้อนหมดแล้ว


เอ้า มึงมาโทษกูได้ไง มึงเป็นคนไม่ว่างเองนะ


ก็มานี่แล้วไง พี่จะเติมสีก็มา


แล้วมึงจะปล่อยเขารอมึงที่นี่... ยงนัมถามแล้วเงียบลงทันทีที่เห็นร่างเล็กที่กวาดมองไปทั่วร้านอย่างสนใจใคร่รู้ หยิบกล้องขึ้นมาส่องเหมือนจะกดถ่ายแต่นึกอะไรบางอย่างได้เลยลดกล้องไว้ที่คล้องและเดินมายังเคาน์เตอร์เพื่อขออนุญาต


ผมถ่ายรูปได้ไหมครับ


ได้ครับ ถ่ายได้ แต่อย่าถ่ายเจาะลายกับถ่ายติดลูกค้าท่านอื่นนะครับ


ขอบคุณครับ ใบหน้าขาวน่ารักเหมือนแมวยิ้มกว้างจนเห็นฟันกระต่าย เจ้าของร้านหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม...คนอะไรหน้าเหมือนแมวผสมกระต่าย


ไปเจอจากไหนเนี่ย


รุ่นพี่ผมเขาฝากให้ผมพาน้องชายเขาเที่ยวน่ะ พอดีเขาจะไปฮงแดต่อผมเลยพามาด้วย


หน้าตาน่ารักดี...น่ารักเหมือนมึงเวลาองค์บ้างานไม่ลง


ว้าย คุณพี่ชมน้องน่ารัก นี่ชอบน้องหรือจ๊ะ ชอบก็ไม่บอกจะได้เอาองค์บียอนเซ่มาประทับ


อย่าได้ท้าพี่นะน้อง...องค์บียอนเซ่ลงเมื่อไหร่ เดี๋ยวพ่อล่อให้เจ็บตูดจนไปฮงแดไม่ไหวซะเลย


พี่แม่งจัญไรวะ ฝ่ายลูกค้าที่พ่วงความเป็นรุ่นน้องด้วยว่าพลางหัวเราะร่วน จากนั้นก็เดินตามไปหลังช่างสักประจำตัวไปยังเก้าอี้เอนสำหรับสักที่นั่งประจำ


ซึงฮวังค่อยๆเดินดูทุกอย่างภายในร้าน เห็นอะไรแปลกตาน่าสนใจก็หยิบกล้องที่เหลือฟิล์มอยู่ไม่มาถ่ายแม้แต่ภาพการทำงานของช่างที่กำลังสักโดยระวังไม่ให้เห็นหน้าลูกค้าจนหมดก็หันมาชมภาพรอยสักที่ติดจนทั่วผนัง เท้าขยับไปเรื่อยๆ กระทั่งมาถึงผนังด้านในสุดของร้านที่มีภาพถ่ายรอยสักแขวนอยู่เช่นกัน หากเมื่อพินิจอย่างตั้งใจจะเห็นว่าลายเส้นผิดแผกจากส่วนอื่นๆของร้าน ลวดลายนั้นมีความพิเศษและไม่เหมือนกันเลยสักลาย


ทว่าสิ่งที่ทำให้สะดุดใจกลับเป็นภาพถ่ายรอยสักสองรอยที่วางอยู่ข้างกัน รอยหนึ่งนั้นเป็นรูปของเหล่าเซอร์เบอรัสที่เขาจำได้แม่นว่าเป็นรอยสักเดียวกันกับที่เจ้าหมาสักไว้บนอก ส่วนรอยสักที่สองเป็นรูปใบหน้าหมาป่าที่มีแผลฉกรรจ์ยาวจากศีรษะลงมาถึงเปลือกตาแนบหน้าอยู่กับกวางน้อยตัวหนึ่งท่ามกลางกุหลาบและพุ่มหนาม ยาพิษไหลจากขวดยาที่ล้มอยู่และในนั่นถ้อยคำภาษาเยอรมันที่และชื่อภาษาอังกฤษเหมือนชื่อเขาอยู่ในนั้น


คนตัวเล็กยื่นหน้าเข้าไปใกล้ไล้มองภาพถ่ายรอยสักหลังกรอบกระจกนั้นอย่างช้าๆ...ลายเส้นที่คุ้นตานั้นมิใช่เพียงละม้ายแต่ตัวอักษรตัว C กลับด้านซ้อนอยู่ในตัว Z เล็กๆที่แทรกอยู่ในพุ่มหนามเป็นลักษณะการลงลายเซ็นต์ในภาพวาดเป็นแบบเฉพาะตัวนั้นทำให้กายบางชาวาบ


ชอบเหรอคะ เสียงติดแหบของหญิงสาวดังขึ้นจากด้านหลังเรียกให้หลุดจากภวังค์ นัยน์ตากลมสวยกระพริบถี่ก่อนจะเหลียวไปหาต้นเสียงก็พบกับช่างสักหญิงผมประบ่าผิวเข้มยืนอยู่ ตรงนี้เป็นผลงานสักของน้องชายฉันค่ะ ถ้าคุณอยากสักลายที่อยู่ตรงนี้คงไม่ได้นะคะ เพราะว่ามันเป็นลายที่ลูกค้าสั่งให้วาดใหม่โดยเฉพาะ ยังไงลองดูเป็นลายอื่นไหม


ผมไม่ได้จะสักครับ แค่จำได้ว่าลายเซอร์เบอรัสนั่นเป็นลายเดียวกันกับที่เพื่อนผมสัก แล้วก็ลายหมาป่ากับกวางนั่นลายเส้นคล้ายกับลายเส้นของพี่ที่ผมรู้จักน่ะครับก็เลยตกใจนิดหน่อย


อ้อ...ลายนั้นเป็นลายที่เพื่อนของน้องชายฉันวาดเพื่อมาให้สักน่ะคะ ก็เป็นไปได้ที่อาจจะเป็นรุ่นพี่ของคุณ


ซึงฮวังละสายตาจากช่างสักหญิงมายังภาพตรงหน้าพลางกระพริบตาปริบ แลชื่อภาษาอังกฤษของตัวเองที่อยู่ในรอยสักหมาป่ากับกวางนั้นด้วยความรู้สึกสับสน


...ทำไมคนที่หนีหายไม่ส่งข่าวถึงสักชื่อเขาไว้ตรงนั้น...


แปลกดีนะครับ...ทำไมคนเราถึงสักชื่อคนที่ไม่มีความหมายไว้บนร่างกายตัวเองด้วยนะเขาพึมพำในลำคอ


ไม่มีใครเขาสักชื่อที่ไม่มีความหมายกับตัวเองหรอกคะ รอยสักน่ะมันลบได้ก็จริงแต่ไม่ใช่จะลบกันง่ายๆหรอกนะคะ เพราะอย่างนั้นการที่เราจะสักชื่อใครสักคนลงไป ใครคนนั้นต้องมีความหมายทางใจมากพอที่คนสักจะยอมให้มันประทับอยู่บนตัว


ความหมายทางใจเหรอครับเขาทวนคำคล้ายพูดกับตัวเองมากกว่าต้องการความคิดเห็น ทว่าอีกฝ่ายกลับถามขึ้นมาแทนที่


คุณชื่อซน ซึงฮวังเหรอคะ


ครับ


อ่า...คุณนี้เอง


ทำไมเหรอครับ


ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...คุณมากับจีโฮใช่ไหมคะ


ครับ


ถ้ายังไงนั่งรอก่อนนะคะ คิดว่าอีกครึ่งชั่วโมงก็น่าจะเสร็จ


ครับ ขอบคุณนะครับ ร่างเล็กโค้งขอบคุณแล้วหันไปมองภาพรอยสักหมาป่ากับกวางที่สวยงามนั้นชวนให้รู้สึกเศร้ามากกว่าจะเบิกบาน นัยน์ตากลมมีรอยหม่นแทรกเข้ามาในความสดใสก่อนที่เขาจะหักใจทิ้งความสงสัยทั้งหมดและเดินไปนั่งรถยังเก้าอี้ยาวที่ใช้สำหรับให้นั่งคอย


การเติมสีในรอยสักที่ค้างอยู่ผ่านไปด้วยดีในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จีโฮลุกจากเตียงเช็กรอยสักตรงต้นแขนของตนเองอยู่หน้ากระจกพักหนึ่งก็ดึงแขนเสื้อลงมาคลุมข้อมือและสวมเสื้อโค้ทสั้นของตัวเองกลับดังเก่าแล้วเดินออกมาจ่ายเงิน


รอนานไหมคนตัวใหญ่เอ่ยถามพลางดูภาพวาดลายเส้นดินสอที่อีกคนวาดอยู่


เสร็จแล้วเหรอครับ อีกฝ่ายเงยหน้ามาถามก็เห็นใบหน้าที่ไม่ได้สวมแว่นกันแดดของคนตรงหน้า...ใบหน้าดุมีแววอ่อนล้าและใต้ตาเป็นสีคล้ำจางๆ เลยวางดินสอลงบนสมุดหยิบกระปุกแก้วๆในกระเป๋าเสื้อมาส่งให้


อะไรเสียงในคอนั้นดังขึ้น


อันนี้เป็นเครื่องหอมนะครับ คุณยายแถวบ้านเขาให้ผมเป็นของขวัญ...เวลาเหนื่อยๆผมจะหยิบมันมาดม พอดมแล้วจะสดชื่นขึ้นครับ


แล้ว


พอเห็นหน้าคุณจีโฮแบบไม่ใส่แว่นแล้ว...คุณดูเหนื่อยมากกว่าที่คิดอีก เลยคิดว่าถ้าได้ดมไอ้นี่ดูอาจจะดีขึ้น


ทำไมคุณถึงเอาใจใส่คนรอบข้างนักนะคำถามนั้นห้วนง่ายแต่ริมฝีปากกลับเหยียดกว้าง


เพราะความสุขของผมเกิดจากคนใกล้ตัวนะครับ ผมมีความสุขเมื่อคนที่ผมรู้จักมีความสุข ถึงแม้ว่าความสุขนั้นจะไม่มีผมอยู่เลยก็ตาม คนตัวเล็กว่ายังคงยิ้มหากก็แปลกที่ถ้อยความนั้นฟังแล้วเศร้าอย่างประหลาด อีกคนหยิบมันมาเปิดฝาดมดูพักหนึ่งก็รู้สึกสดชื่นอย่างที่ว่าแต่พอจะส่งคืนเจ้าของก็บอกให้เก็บไว้อีก


ผมหิวแล้วล่ะ...ไปกินข้าวกันไหมเพราะรู้ว่าถ้าคืนให้ก็ไม่รับอยู่ดีเลยหยิบแว่นมาสวมและเปลี่ยนเรื่อง


ประตูไม้ถูกเปิดออกก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกมาด้วยกัน ลมหนาวพัดมาอีกคราทำให้มือเล็กที่เย็นอยู่แล้วยิ่งเย็นจัดจนเจ้าตัวต้องยกมือมาถูกัน จังหวะที่ทอดมองไปยังร้านรวงที่อยู่อีกฝั่งนั้น พลันสายตาก็เห็นร่างสูงของชายสวมเสื้อโค้ทสีเทายาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าร้านกาแฟคล้ายว่าจะมองมายังเขา หมวกสีดำบนศีรษะนั้นบดบังใบหน้ามิให้มองเห็น ทว่าท่าทางการยืนและจิบกาแฟนั้นละม้ายคนที่เขาคุ้นเคย


ร่างบางตัวแข็งทื่อไปในชั่วนาทีที่เห็นชายผู้นั้นแต่ไม่ได้คิดจะเดินเข้าไปเพื่อหาคำตอบ ฝ่ายที่อยู่ไกลออกไปขยับตัวจากเสาที่พิงอยู่เหมือนจะเดินมาหา ตอนนั้นเองที่เสียงเข้มของจีโฮก็ดึงสติให้หันไปหา


หนาวเหรอ...ถุงร้อนมันยังร้อนอยู่ไหม


ไม่แล้วล่ะครับเขาตอบกลับและหันไปยังทางเก่าแต่ใครคนนั้นกลับหายไปแล้ว


มือยังเย็นอยู่หรือเปล่า


ผมมือเย็นอยู่แล้วนะ


งั้นผมให้ยืมมือไหม มือผมอุ่นนะ ถ้าคุณหนาวก็จับมือผมได้ สิ้นคำมือเรียวสวยที่มีพลาสเตอร์ปิดแผลและสวมแหวนเงินสลักลายไม้กางเขนก็ยื่นมาหา เห็นอีกฝ่ายไม่พูดอะไรเลยสักคำก็ชักอายก่อนจะสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายกระตุกชายเสื้อของเขาพร้อมรอยยิ้มพราวบนหน้า


ผมยังไม่หนาวเลย ไว้ผมหนาวแล้วจะขอยืมนะ ว่าแต่แถวนี้มีอะไรอร่อยบ้างครับคนถามกวาดตาไปยังร้านของกินที่เปิดเต็มไปหมด


มีเยอะอ่ะ...คุณอยากกินอะไรดีกว่า


หนาวๆแบบนี้ก็ต้องกินซุปร้อนๆเนาะ


โอเค เดี๋ยวผมพาไปเอง


มือใหญ่คว้าหมับเอากับมือเล็กที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อที่ยาวคลุมลงมาให้เดินตามไปยังร้านอาหารที่อยู่ใต้ดินในอาคารแห่งหนึ่ง ผู้คนในช่วงเย็นนั้นค่อนข้างหนาตาแต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนมีอายุมากกว่าจะเป็นวัยรุ่น ทั้งคู่นั่งกินอาหารกันด้วยบรรยากาศผ่อนคลาย


มันไม่อร่อยเหรอด้วยเห็นอีกฝ่ายวางตะเกียบลงทั้งที่กินได้ไม่หมดจานก็ถามขึ้น


อร่อยครับแต่ผมกินเยอะไม่ค่อยได้ ลำไส้ผมไม่ค่อยดี...ถ้ารู้สึกอิ่มแล้วต้องหยุดไม่งั้นจะอาเจียน


อืม ผมได้ยินพี่ดงกั๊บบอกว่า คุณไม่ค่อยสบาย...คือ ผมถามได้ไหมว่าคุณป่วยเป็นอะไร


ผมเป็นโรคหัวใจน่ะครับ แล้วก็เป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง แพ้อาหารที่ทำจากแป้งสาลีด้วย ลำไส้ไม่ค่อยดี อ้อ มีไซนัสด้วยอีกอย่าง เจ้าตัวสาธยายอาการป่วยของตัวเองให้ฟังด้วยรอยยิ้มเหมือนเป็นเรื่องปกติ ฟังดูมันเยอะเนาะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกนะครับ ผมน่ะถึงจะป่วยแต่กำลังใจผมดีมากเลยนะ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองป่วยเลยด้วยซ้ำ พี่หมอบอกผมว่า คนเราถึงจะป่วยแต่ถ้าคิดดี กำลังใจดีก็จะแข็งแรงไปเอง


ผมก็เป็นโรคหัวใจ ฝ่ายตรงข้ามบอกแล้วคีบเกี๊ยวจากในซุปขึ้นมากัดเข้าปาก แต่คนไม่รู้กันหรอกเพราะผมอยากให้คนมองผมที่ความสามารถไม่ใช่ความสงสาร...ตอนนั้นที่คุณบอกว่าผมดูเหนื่อยไม่ใช่เพราะอดนอนอย่างเดียว ผมตกใจนะ ไม่เคยมีใครมองผมลึกขนาดนั้น


ผมเข้าใจนะ...ผมเองไม่ได้ไม่ชอบที่มีคนห่วงใย แต่เวลาที่เห็นคนรอบข้างกังวลกับความป่วยไข้ของผม มันทำให้ผมเศร้า ไม่ว่าจะเจ็บแค่ไหนผมจะยิ้มเอาไว้และบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ซึงฮวังว่าพลางยิ้มบางให้กับซุปกิมจิที่อยู่ตรงหน้าแม้ไม่มีความเศร้าใดแผ่ออกมาให้สัมผัส แปลกที่คนฟังกลับรู้สึกโหวงในใจจนต้องเปลี่ยนเรื่อง


ที่คุณบอกจะไปฮงแดคือไปเดินเล่นฮงแดแล้วค่อยกลับไปออฟฟิศพี่ชายคุณที่นั่นด้วยใช่ไหม


เปล่าครับ ผมจะไปร้านนี้ก่อนค่อยกลับออฟฟิศของพี่เขา จบคำโปสเตอร์อาร์ตมันขนาดเท่ากระดาษเอสี่ที่ถูกคลี่ออกจากการพับหลายทบก็ถูกยื่นมาตรงหน้า คนตัวใหญ่ไล้สายตาอ่านรายละเอียดจนจบก็เงยหน้ามอง


คุณจะไปดูคอนที่ร้านนี้เหรอ


ผมไม่ได้ตั้งใจจะไปดูคอนหรอกครับ แค่อยากไปดูเพื่อนมากกว่า พอดีเพื่อนผมเขาไปช่วยงานเพื่อนที่เป็นเจ้าของร้านนี้น่ะครับ เห็นบอกว่าจะขึ้นเวทีด้วยผมก็เลยอยากไปดูว่าเขาเป็นยังไงบ้างแล้วค่อยกลับ


เพื่อนคุณเป็นเพื่อนกับเจ้าของร้านนี้...บังเอิญแฮะ ผมเองก็เป็นเพื่อนกับเจ้าของร้านนี้เหมือนกัน


คุณจีโฮเป็นเพื่อนกับคุณบยอลเหรอครับ


ห๊ะ คุณรู้จักไอ้บยอลมันด้วย ถ้าคุณรู้จักแบบนี้ ผมก็น่าจะรู้จักเพื่อนคุณน่ะ...เพื่อนคุณนี้เขาชื่ออะไรเหรอ


กวังรยอลครับ


กวังรยอลเหรอ ไม่เห็นจะคุ้นเลย มีชื่อในวงการไหม


ผมไม่รู้หรอกครับ...ผมเพิ่งรู้ว่าเขาชอบดนตรีเมื่อไม่กี่วันนี้เอง


แล้วโทรบอกเพื่อนไว้ใช่ไหมว่าจะไปหานะ


เพราะคำถามที่จริงจังเหลือเกินนั้นทำให้ซึงฮวังเหลือบตายังแว่นตาดำที่อยู่บนหน้าฝ่ายตรงข้ามก็หลุดขำแล้วส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ


คุณจะแอบไปดูเขาว่างั้นเถอะ...แบบนี้คงไม่มีบัตรด้วยใช่ไหม


มันไม่มีขายหน้างานเหรอครับ


คุณไม่ได้ดูรายชื่อศิลปินที่ไปเล่นเหรอ แต่ละคนอยู่ใต้ดินแต่ก็ดังพอตัวเลยนะ...เออ ผมก็ลืมไปว่าคุณคงไม่รู้จักพวกนี้หรอก เอาเป็นว่าบัตรน่ะมันขายหมดตั้งนานแล้ว เรื่องจะไปซื้อหน้างานน่ะอย่าหวังเลย


แบบนี้ก็เข้าไปดูไม่ได้เหรอครับ


ผมพาคุณเข้าได้...แต่ที่นั่นมันแออัดนะ ผมกลัวคุณไม่ไหว คนคุ้นเคยกับการเข้าผับเตือนก่อนจะเห็นอีกคนหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นออกมาดูหน้าจอแต่ไม่ยอมรับสาย รอกระทั่งมันเงียบพักหนึ่งถึงกดโทรศัพท์ส่งข้อความโต้ตอบกับใครสักคนอยู่สักครู่ก็เก็บมันไว้ที่เก่า


เขาบอกว่าสี่ทุ่มจะขึ้นเวที...คุณจีโฮพาผมไปที่นั่น ให้ผมเห็นเขาแว่บนึงก็กลับจะได้ไหมครับ


You Might Also Like

0 Comments