LOVE TOXICAL : KANPAGNE CHAPTER 10
00:04
ประธานค่ายเพลง
Canción Entertainment ยืนกอดอกมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เอนหลังเอกเขนกอยู่บนโซฟาที่มุมหนึ่งของห้อง
สวมกางเกงยีนส์กับเสื้อยืดยาวสีดำทับด้วยโค้ทตัวสั้นหนังกลับสีดำบุขนแกะด้านใน
ผมถูกซ่อนไว้ใต้บีนนี่สีดำมีจอนสีทองโผล่ให้เห็น
ใบหน้าขาวเกลี้ยงมีแว่นกันแดดสวมปิดตาอยู่
“มึงมานอนนี่ได้ไง”
“ผมออกจากบริษัทตอนเจ็ดโมง ตั้งใจจะกลับบ้านไปนอนแต่มันง่วง นี่ผมขับรถมาเองด้วยเห็นออฟฟิศพี่ใกล้สุดก็เลยมาอาศัยนอนหน่อย”
“มึงบ้างานเกินไปแล้วนะจีโฮ พักผ่อนบ้าง”
“ผมก็บ้างานเหมือนพวกพี่แหละ”
“พวกกูยังเห็นเดือนเห็นตะวัน แต่ของมึงนี้ออกมาทีฟ้ามืดทุกวันก็ไม่ไหวนะ” ดงกั๊บบอกกับคนเป็นน้องที่รู้จักกันมานานตั้งแต่อีกฝ่ายยังไม่ชื่อเสียงจนทุกวันนี้ถูกยกย่องให้เป็นศิลปินที่ทุกคนต่างยอมรับในความสามารถทั้งในการเป็นนักร้อง
แรปเปอร์ นักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์
อู
จีโฮ เป็นคนที่มองผิวเผินจะคิดว่าน่ากลัวและดูเหมือนนักเที่ยวตัวยง
แต่ความจริงจีโฮบ้างานระดับที่อยู่ในห้องอัดได้เป็นอาทิตย์
เหล้าดื่มแต่บุหรี่ไม่เคยสูบ ไลฟ์สไตล์ส่วนตัวบางอย่างก็ออกจะเหมือนคุณป้าด้วยซ้ำ
“ก็นี่ไง วันนี้ผมถึงไม่รับงานอะไร เออ พี่
ไอ้ที่พี่บอกให้ผมพาแจโฮมันไปเที่ยวเนี่ย อย่างไอ้แจโฮมันยังต้องมีคนพาไปอีกเหรอ
ผมเห็นแม่งไปนู้นมานี่บ่อยจะตาย ขนาดเมาปลิ้นยังกลับบ้านถูก
ทำไมต้องกลัวมันหลงด้วย”
“คนที่จะให้พาไปไม่ใช่แจโฮ”
“นอกจากแจโฮ พี่ฮันเฮยังมีน้องอีกเหรอ”
“เออ...เป็นน้องคนรองน่ะ
ไม่ค่อยมีใครรู้จักหรอกเพราะเขาไม่ได้ยุ่งกับวงการเพลงแถมอยู่ต่างจังหวัดอีก พอดีเขามาเยี่ยมกูกับพี่จินแทแล้วเขาอยากไปพิพิธภัณฑ์กับอินซาดง
กูกลัวเขาหลงเลยอยากให้มีคนไปกับเขาด้วย”
“เดี๋ยว...พี่บอกว่าเป็นน้องคนกลางของพี่ฮันเฮก็ต้องเกินยี่สิบแล้วดิ
อายุขนาดนี้พี่ยังต้องกลัวหลงอะไรอีก”
“ก็ใช่ แต่ตัวเล็กไม่ค่อยเหมือนคนอื่น จะพูดยังไงดีวะ แบบจิตใจดีเกินไป
เอาใจใส่คนอื่นมากไป แล้วเขาก็ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่
กลัวไปคนเดียวเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะลำบาก...ตอนนี้เขาอยู่ที่ห้องอัดเสียงชั้นสี่
มึงมากับกูดิ เดี๋ยวกูพาไปหา”
ฝ่ายอายุมากกว่าบอกพลางมองคนที่ลุกขึ้นจากโซฟากำลังหาวหวอดอย่างเป็นห่วง
“มึงไหวแน่ไหมเนี่ย”
“ไหวดิ”
“แต่มึงดูไม่คึก ปกติมึงประสาทแดกกว่านี้”
“ใจคอจะให้คึกตลอดเลยเหรอ ผมไม่ได้เมายานะเฮ่ย ผมบอกไหวก็ไหวดิ” คำตอบปนเสียงหัวเราะ
มือตบรุ่นพี่ที่ตัวเล็กกว่าบนไหล่เป็นเชิงบอกแทนคำพูดว่าไม่เป็นไรและตามหลังผ่านประตูบานเลื่อนกระจกของชั้นสองออกไปรอลิฟต์ที่เคลื่อนลงมา
เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกแทนที่ข้างในจะว่างกลับมีชายสองคนก้าวยืนอยู่
“อ้าว...มึงพาตัวเล็กลงมาเลยเหรอ”
“เอ้า ไม่ได้จะให้ผมพาลงมาเหรอครับ”
ฮันเฮถามอย่างนอบน้อมยังจับมือน้องไว้ก่อนจะมองไปยังคนคุ้นเคยที่ยืนอยู่ข้างหลังเจ้านายตัวเอง
“อ้าว มึงมาไงเนี่ยจีโฮ”
“ขับรถมาอ่ะพี่ คงไม่ได้เหาะมาหรอก”
“โหย...ใจคอใครมาบริษัทนี่ต้องกวนตีนใส่กูหมดเลยหรือไง”
“แหม พ่อหนวดปลาหมอ อย่าใจน้อยนะ
ก็มันไม่มีใครที่แกล้งแล้วตอบโต้ได้ตลกเท่าพี่นี่หว่า”
จีโฮว่าพลางหัวเราะขำก่อนที่ตาจะมองผ่านรุ่นพี่หนุ่มอีกคนของตัวเองไปยังชายหนุ่มร่างเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ
และสบเข้ากับตากลมเป็นประกายสดใสบนใบหน้านวลน่ารักที่มองตรงมาเพียงครู่ก็เห็นแย้มของริมฝีปากตามมา
...น่ารักแฮะ...
“มึงอย่ามัวประชดประชันได้ไหม ออกจากลิฟต์มาก่อน” ประธานค่ายด่าเข้าทั้งคู่เลยออกมาจากลิฟต์ได้
หลังจากแจงเรื่องจะให้รุ่นน้องเป็นคนพาเที่ยวก็ปล่อยให้คนแปลกหน้าทั้งสองทักทายกัน
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณจีโฮ”
เจ้าของร่างเล็กว่าก้าวเข้ามามองใกล้ๆพร้อมกับริมฝีปากที่เหยียดกว้างจนเห็นฟันกระต่าย
คนไม่ทันตั้งตัวผงะไปเล็กน้อยในนาทีที่ฝ่ายตรงข้ามโค้งให้แล้วยื่นมือออกมาหมายจะจับทักทาย
“ครับ...” มือเรียวที่มีปลาสเตอร์สีเนื้อปิดอยู่ยื่นออกไปจับ
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
“อ่า...ครับ” หลังจากทักทาย
รุ่นพี่หนุ่มก็กอดคอรุ่นน้องตัวเองลากไปอีกทางเพื่อฝากฝัง
“พาน้องกูไปนี่มึงต้องดูดีๆนะ คือน้องกูเขาเป็นคนช่างสังเกตชอบดูนั่นดูนี่
ไม่ตามดูอาจจะหลงเอาง่ายๆ แล้วก็อย่าพาน้องกูไปใกล้ๆที่ที่มีบุหรี่
ตรงไหนคนแออัดอย่าพาเข้าไป สมมุติต้องไปกินข้าวกัน ห้ามหลอกให้น้องกูดื่มเหล้า
ห้ามให้กินปลาหมึก และถ้ามีไปกินขนมต้องแน่ใจนะว่าแป้งที่กินไม่ใช่แป้งสาลี”
“โหย...อะไรจะข้อห้ามเยอะขนาดนี้”
“มึงไม่เคยเห็นเขาผื่นขึ้นกับชักมาก่อน มึงไม่เข้าใจหรอก”
“โอเค ผมจะทำทู้กอย่างตามที่บอก แต่พี่ดงกั๊บเขาบอกหรือเปล่าว่า
ผมอยู่ได้ถึงหกโมงเย็นเองนะ”
“เอ้าเหรอ...เออ ถึงตอนนั้นกูอาจจะหาคนไปแทนมึงได้แล้วล่ะ”
“โอเค งั้นพี่ก็ไปทำงานต่อเถอะไป เดี๋ยวผมดูน้องพี่ให้”
“ฝากด้วยนะมึง ขอบคุณมากที่ช่วย แล้วกูจะโทรไปถามว่าเป็นยังไงบ้างนะ”
เมื่อฮันเฮและดงกั๊บล่ำลาอาลัยรวมทั้งฝากฝังทุกอย่างเรียบร้อย
จีโฮก็เดินลงบันไดมาชั้นล่างโดยมีซึงฮวังเดินตามลงมาเงียบๆ พอพ้นจากหน้าตึกมาถึงรถสปอร์ตสีดำที่จอดอยู่
คนตัวใหญ่ก็หันมาหาและเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อน
“เห็นพี่ดงกั๊บบอกผมว่าคุณจะไปพิพิธภัณฑ์ลีอุมซัมซุงใช่ไหม”
“ครับ...คุณเคยไปมาก่อนไหมครับ”
“เคย...แต่มันนานมากแล้ว”
“จริงๆแล้ว คุณจีโฮไม่ต้องลำบากไปส่งผมหรอกนะครับ
ผมนั่งรถไฟใต้ดินไปเองได้”
“ไม่ได้ครับ...ผมรับปากพี่เขาแล้ว ผมต้องรักษาคำพูด”
“แต่คุณดูเหนื่อย”
“555 ช่วงนี้ผมเร่งทำซิงเกิ้ลเดี่ยวก็เลยไม่ค่อยได้นอน”
“ไม่ใช่เหนื่อยแบบนั้นครับ อา...ผมไม่รู้ว่าควรพูดดีไหม
แต่คุณดูไม่ได้เหนื่อยเพราะอดนอนอย่างเดียว”
“ฮ่าๆ...ไหนลองบอกหน่อยสิว่าผมเหนื่อยเพราะอะไรล่ะ”
“ผมอาจจะเข้าใจผิดไปเองก็ได้ แต่ตอนที่เห็นคุณครั้งแรก
ทั้งที่คุณใส่แว่นดำแต่ผมรู้สึกว่า คุณเหนื่อย ไม่ใช่เพราะนอนน้อยแต่เหมือนว่า
คุณแบกทุกอย่างไว้บนบ่า”
“ไอ้ที่แบกบนบ่านี่คือ”
“ไม่รู้สิครับ อาจจะความคาดหวังของตัวเองกับคนรอบข้างล่ะมั่งครับ”
คิ้วของคนที่ซ่อนหน้าไว้ใต้แว่นกระตุกแทบจะทันทีเมื่อได้ยินถ้อยคำเรียบเรื่อยเอ่ยขึ้น
ในความสนุกสนานและมั่นใจในตัวเอง
เขามีความรับผิดชอบที่ต้องแบกเอาไว้และวางลงไม่ได้ซึ่งก็แปลกที่คนตรงหน้ากลับมองเห็นมัน
“คุณรู้หรือครับว่าผมเป็นใคร” คำแปลกๆหลุดจากริมฝีปาก
“รู้สิครับ...ก็คุณจีโฮเป็นเพื่อนคุณบอสกับพี่ชายผมไง”
คำตอบนั้นมาพร้อมกับการก้มมองและมือที่ล้วงหาบางอย่างในกระเป๋าข้างของเสื้อโค้ทก่อนที่ลูกอมเปลือกสีน้ำตาลเข้มหลายเม็ดจะถูกยื่นมาตรงหน้า
“ อันนี้เป็นลูกอมสอดไส้ช็อกโกแลตนะครับ หมอเขาให้ผมพกไว้
กินช็อกโกแลตมันช่วยคลายเครียดได้ ผมแบ่งให้คุณจีโฮครึ่งหนึ่งนะ
เวลารู้สึกเหนื่อยๆอมสักเม็ดสองเม็ดจะได้รู้สึกดีขึ้น”
อยู่ๆชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กว่าก็ยิ้มกว้างและไหล่ไหวสะท้านจากการกลั้นหัวเราะทว่าเมื่อได้เห็นตากลมเหมือนกวางน้อยใสซื่อมองมาด้วยความสงสัยใคร่รู้ก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู
“มีอะไรเหรอครับ”
“คุณรู้จักซิโค่ที่เป็นแรปเปอร์ไหม”
“ไม่ครับ...เขาเป็นใครเหรอครับ”
“ฮ่าๆ โอเค เข้าใจแล้ว”
“เขาเป็นใครล่ะครับ...เพื่อนคุณเหรอ”
“เปล่า ฮ่าๆ ช่างมันเถอะ” เขาว่าพลางหัวเราะร่วนออกมาอีก
“งั้นคุณจีโฮก็เก็บลูกอมใส่กระเป๋าแล้วกลับบ้านไปพักเถอะครับ เดี๋ยวผมไปเอง”
“ผมก็บอกแล้วนะว่าไม่ได้...คุณอย่าทำให้ผมเป็นคนไม่รักษาสัญญาสิ”
“แต่ท่าทางคุณดูต้องพักผ่อน...จริงๆนะ ผมเป็นห่วง”
“คุณเป็นห่วงกระทั่งคนที่เจอกันครั้งแรกเหรอ”
“ก็รู้จักกันแล้วนี่ครับ จะไม่ห่วงได้ยังไง”
“ฮ่า เออๆ คุณนี่ตลกดีนะ” เขาบอกทั้งที่ยังหัวเราะร่วน
เก็บลูกอมทั้งกำไว้ในกระเป๋ากางเกง “เอางี้
เดี๋ยวผมขับรถไปส่งคุณที่ลีอุมซัมซุง ระหว่างที่คุณเข้าไปดูพิพิธภัณฑ์ผมจะนอนรอในรถ”
“จะขับรถทั้งที่ยังหาวแบบนี้อยู่เหรอครับ...ไม่ดีหรอกครับให้ผมไปเองดีกว่า”
“ไปด้วยกันเถอะ...ถ้าไม่ขับรถก็หาวิธีไปที่นั่นทางอื่นก็ได้
แท็กซี่หรือรถใต้ดิน จะยังไงก็ได้แต่ผมต้องไปกับคุณ”
“ก็ได้ครับ งั้นไปรถเมล์ได้ไหมครับ ผมอยากไปรถเมล์”
เพราะประโยคนั้นประโยคเดียวสุดท้ายทั้งคู่ก็ลงเอยด้วยการเดินไปที่ป้ายรถประจำทางซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายช่วงตึก
หญิงวัยกลางคนสองสามคนนั่งรออยู่ตรงป้ายอย่างเงียบเหงาทั้งที่เป็นวันเสาร์
“เห็นพี่ดงกั๊บบอกว่าคุณอยู่ต่างจังหวัด” เสียงเข้มเอ่ยถามขณะมองร่างเล็กสอดส่ายสายตามองไปทั่ว
“ผมอยู่ที่อีชอนน่ะครับ”
“อยู่ที่นั่นตลอดเลยเหรอครับ”
“ไม่หรอกครับ ผมเคยมาเรียนปริญญาโทที่นี่ แต่ผมไม่ค่อยได้ไปไหนเองหรอกครับ
ส่วนใหญ่จะมีคนไปด้วย เขากลัวผมหลงกัน โอ๊ะ รถสายที่เรารอมาแล้ว ไปกันเถอะครับ”
มือนุ่มของคนตอบกระตุกชายเสื้อของอีกฝ่ายเป็นการเตือน
ดึงให้ตามขึ้นมาจ่ายเงินสดและเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่คู่กันด้านใน
“คุณเคยไปที่พิพิธภัณฑ์นั้นมาก่อนหรือเปล่า” เสียงเข้มถามขณะดันแว่นดำและดึงบีนนี่ที่ร่นขึ้นไปให้กลับเข้าที่
“ผมเคยไปที่นั่นประมาณสามครั้งได้ครับ”
“อ๋อ แล้วไปกับใคร”
“ไปกับเพื่อนของพี่ฮันเฮน่ะครับ ตอนมาเรียนผมพักอยู่กับพี่เขา
คือเขาเป็นช่างภาพกับอาจารย์สอนถ่ายรูปที่มหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่
เขาเอาภาพถ่ายไปจัดแสดงที่นั่นก็เลยได้ตามไปด้วย”
“คุณเรียนถ่ายรูปเหรอ”
“เปล่าครับ...ผมเรียนเอกเซรามิกส์ แล้วคุณจีโฮล่ะครับ
ทำงานด้านดนตรีใช่ไหมครับ”
“ก็ประมาณนั้น”
“เพลงที่ทำเป็นแบบไหนเหรอครับ”
“หลายแนว แต่เน้นหนักก็ฮิพฮอพ”
“เดี๋ยวนี้คนชอบแนวนี้กันเยอะนะครับ”
“คุณไม่ชอบมันเหรอ”
“ชอบครับ แต่ส่วนใหญ่ผมจะฟังเพลงบรรเลงครับ
เวลาทำงานผมชอบเปิดเสียงเปียโนคลอ มันสบายดี”
“อา อย่างนี้นี่เอง” ฝ่ายตัวใหญ่กว่าพยักหน้ารับก็เงียบ
ในไม่ช้าความอ่อนเพลียก็โถมเข้ามาจนเผลอหลับในที่สุด
ซึงฮวังกวาดตามองทุกสิ่งด้านนอกผ่านหน้าต่างยามรถเคลื่อนจนได้ยินเสียงกระแทกใกล้จึงหันกลับมาข้างตัวก็เห็นผู้นำเที่ยวกำลังหลับ
หัวนั้นโงนเงนกระแทกกับขอบพนักที่นั่งแต่ไม่มีทีท่าว่าเจ้าตัวจะตื่น
แขนเล็กเลยยกขึ้นและอ้อมไปค่อยๆดันศีรษะให้เอนมาพิงกับไหล่ตัวเองก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์ข้อความส่งไปหาพยายามขยับตัวให้น้อยที่สุดเพราะกลัวอีกคนจะตื่น
จีโฮตื่นขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนอนแค่ไหนรับรู้เพียงตัวเองเอนหัวพิงกับอะไรบางอย่างและกลิ่นหอมแปลกของดอกไม้จางๆ
เมื่อลืมตาเอนกลับมานั่งท่าปกติก็ถึงรู้ว่าตัวเองหลับพิงกับไหล่ของคนตัวเล็กมาตลอด
“เราอยู่ไหนแล้ว...ถึงหรือยัง”
“เลยมาสี่ป้ายแล้วครับ”
“ห๊ะ เลยมาสี่ป้ายแล้วเหรอ ตายๆ ทำไมคุณไม่ปลุกผมเล่า” คนเพิ่งตื่นหายงัวเงียทันทีที่รู้ว่านั่งรถเลยมาไกลพอสมควรแล้ว
“คุณดูเหนื่อยๆ ผมเห็นคุณหลับสบายก็เลยไม่อยากปลุกน่ะครับ”
“เลยมาสี่ป้ายนี่ถ้าดูเส้นทางในนี้มันไกลเอาเรื่องเลยนะ
กว่าจะนั่งรถกลับไปก็สิบ ยี่สิบนาทีแล้ว
มันจะเสียเวลาเที่ยวของคุณเอานะรู้หรือเปล่า”
มือใหญ่หยิบโทรศัพท์มือถือยื่นให้ดูหน้าจอที่มีแผนที่เส้นทางปรากฏอยู่
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ได้นั่งรถมองวิวข้างนอกก็ถือว่าเที่ยวแล้วเหมือนกัน”
ชายหนุ่มเลียริมฝีปากพลางหรี่ตาหลังแว่นจ้องหน้าที่อีกฝ่ายที่เหมือนไม่รู้สึกอะไรที่ใช้เวลาหมดไปกับการปล่อยเขาหลับแทนที่จะปลุกตอนถึงจุดหมายพักหนึ่งก็ถอนหายใจ
โชคดีที่มันไม่ใช่เรื่องงาน ไม่งั้นเขาคงได้อาละวาดกันไปข้างหนึ่ง
“ลงเถอะ”
เขาบอกเท่านั้นก็ลุกจากเก้าอี้เดินนำไปที่ประตูและก้าวลงมาทันทีที่ประตูรถเปิดออก
ลมหนาวพัดกราวมาปะทะแรงอยู่ครู่หนึ่งก็จากไปเหลือไว้เพียงไอความเย็นที่ทำให้ซึงฮวังต้องยกมือที่เย็นเฉียบเยี่ยงน้ำแข็งถูกไปมา
“คุณควรปลุกผมนะ...วันนี้ผมว่างพาคุณไปได้ถึงหกโมงเย็นเอง”
“ครับ คุณบอสชินบอกผมแล้ว”
“คุณรู้ แต่คุณก็ไม่ปลุกผม เออ แปลกดี อยากมาลีอุมซัมซุง
และไปต่อที่อินซาดงแล้วไปจบท้ายที่ไหนนะ ฮงแดใช่ไหม
นี่ก็บ่ายแล้วกว่าจะเดินดูข้างในพิพิธภัณฑ์ทั่ว ไม่ทันได้ถึงอินซาดงก็หมดเวลาพอดี”
“ก็ผมบอกแล้วไงครับว่าไม่เป็นไร เห็นคุณหลับสบาย
แลกกับที่ไม่ได้ไปเดินเล่นที่อินซาดงผมก็โอเคนะ”
ฝ่ายถูกดุบอกพลางหยิบสายคล้องของกล้องฟิลม์ขึ้นมาจากช่องกระเป๋าเสื้อใหญ่ที่ที่อยู่ด้านในเสื้อโค้ทขึ้นมาชูและยิ้มกว้างแล้วคล้องมันไว้บนคอตนเอง
“คุณนี่...” คนตัวใหญ่กว่าหลุดได้มาแค่นั้นก็ถูกอีกฝ่ายยัดแซนด์วิชไส้ทูน่าที่ห่อพลาสติกไว้ใส่มือ
“ผมได้ยินเสียงท้องคุณร้องตอนที่หลับอยู่
เอานี้ไปกินรองท้องสิครับแต่ขนมปังมันอาจจะรสชาติแปลกหน่อยเพราะผมใช้แป้งอัลมอนด์ทำน่ะครับ
พอดีว่าผมแพ้แป้งสาลี” อยู่ๆบทสนทนาก็เปลี่ยนไป
ร่างสูงกระพริบตารับของกินที่ถูกส่งมาตรงหน้าแบบงงๆ
ขณะที่อีกคนหยิบแซนด์วิชออกมากินเช่นกัน
“คุณมีกระเป๋าวิเศษของโดเรมอนหรือไง ถึงมีอะไรเต็มไปหมด”
“ผมพกของกินไว้ตลอดน่ะครับ เพราะต้องกินยา...โอ้
เราต้องข้ามถนนไปขึ้นรถกลับที่ฝั่งนู้นใช่ไหมครับ ตรงนี้ทางม้าลายพอดีเลย
ข้ามกันเถอะครับ” มือนุ่มยื่นมาจับชายแขนเสื้อของอีกฝ่ายพาเดินข้ามไปรถตรงป้ายรถประจำทาง
โชคดีที่รถประจำทางสายที่รออยู่มาถึงพอดีทำให้ไม่ถึงสิบห้านาทีทั้งสองก็มาถึงพิพิธภัณฑ์ลีอุมซัมซุงในที่สุด
ซึงฮวังเดินเก็บภาพตลอดทางที่ทอดไปยังอาคารพิพิธภัณฑ์ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังของโลกถึงสามคนด้วยกันด้วยกล้องฟิล์ม
ปล่อยอีกคนให้ยืนกินแซนด์วิชและก้าวเท้าขึ้นทางเดินที่สูงเป็นเนินขึ้นไปเงียบๆ
กระทั่งอีกฝ่ายยื่นตั๋วเข้าชมนิทรรศการทั้งส่วนถาวรและพิเศษที่จัดแสดงอยู่ก็ล้วงกระเป๋าจะหยิบเงินออกมาจ่ายแต่มือนุ่มกลับโบกไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ
“ไม่เป็นไรครับ ผมออกให้เอง”
“ไม่ได้ เมื่อกี้คุณก็ให้ลูกอม ให้น้ำกับของกินอีก
ถ้าจะให้ออกค่าตั๋วด้วยนี่ไม่ได้หรอก”
“แค่นี้เอง ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าเทียบกับที่คุณจีโฮอดนอนพาผมมาเที่ยว
แค่นี้นิดเดียวเอง...แต่ถ้าไม่สบายใจก็ไปเลี้ยงข้าวพี่ฮันเฮแทนแล้วกัน รีบไปกันเถอะครับ”
เป็นอีกครั้งที่คนตัวเล็กยื่นมือจะมาจับแขนเสื้อดึงให้ออกเดินไปตามทาง
ระหว่างนั้นนิ้วเย็นเหมือนน้ำแข็งของตัวเองกลับป่ายไปโดนหลังมือใหญ่เข้า
“มือคุณเย็นจัง...เอานี้ไปล่ะกัน ผมให้”
“ขอบคุณครับ”
ถุงร้อนในกระเป๋าเสื้อถูกยื่นออกมา
มือเล็กรับมันมาถือไว้ในมือแล้วออกเดินไปตามทางภายในพิพิธภัณฑ์ที่ถูกออกแบบมาอย่างสวยงามและกว้างขวาง
กรุผนังด้วยกรอบหน้าต่างหลากรูปแบบ
ในโซนแรกเป็นการจัดแสดงศิลปะสมัยโบราณที่มีเครื่องถ้วยชามเซรามิกส์
รูปปั้นพระพุทธรูปและภาพวาดด้วยหมึก จากนั้นจะเป็นศิลปะสมัยใหม่และร่วมสมัย มีทั้งภาพวาด
ประติมากรรมและงานภาพถ่ายน่าสนใจร่วมอยู่
จีโฮเดินตามไปตั้งใจว่าจะคอยจับตาไม่ให้อีกฝ่ายหาย
หากด้วยความที่ชอบศิลปะเช่นกัน
ท้ายที่สุดจากที่ตามหลังก็ขยับมายืนข้างๆและแลกเปลี่ยนทัศนคติต่องานศิลป์ที่เห็นตรงหน้า
ใช้เวลาหมดไปเกือบสามชั่วโมงครึ่งกับการเดินจนทั่วพิพิธภัณฑ์กว่าจะเดินออกมาข้างนอก
ตะวันทอแสงทอดลงมายังพื้นที่ด้านนอก
หากความหนาวเย็นของอากาศภายนอกทำให้ความร้อนแทบไม่ระคาย ร่างเล็กก้าวไปเรื่อยๆ
ชี้ชวนให้ดูนั่นนี่ด้วยรอยยิ้มกว้างอาบหน้าตลอด
กล้องฟิล์มที่คล้องตรงคอถูกหยิบใช้ถ่ายรูปไปทั่ว คนตัวใหญ่หัวเราะออกมาอย่างผ่อนคลายกลายเป็นสนิทกับคนตัวเล็กไปโดยไม่รู้ตัวจนลืมไปแล้วว่าตัวเองมีธุระหลังหกโมงเย็น
“กลับกันเถอะครับ” ซึงฮวังหันมาถามในตอนที่ทั้งคู่นั่งจิบกาแฟร้อนแกล้มขนมปังอยู่ด้านนอก
“จะไปแล้วเหรอ”
“คุณจีโฮมีธุระตอนหกโมงไม่ใช่เหรอครับ นี่ก็สี่โมงกว่าแล้ว...ไม่กลับตอนนี้เดี๋ยวไม่ทันเอานะครับ”
“อา...จริงสิ”
“พี่ฮันเฮเขาโทรมาบอกผมว่า ให้เพื่อนอีกคนมารอผมอยู่แถวอินซาดง” เสียงใสว่าและเงียบไปสองสามนาทีก็พูดต่อ “ธุระของคุณจีโฮมันไกลจากอินซาดงมากไหมครับ
ถ้าไม่ไกลเราไปด้วยกันได้อยู่หรือเปล่า”
“ก็ไม่ไกลหรอก”
“ขากลับนี้เราไปรถไฟฟ้าใต้ดินกันไหมครับ มันน่าจะเร็วกว่านั่งรถเมล์
รอบนี้ผมสัญญาว่าถ้าคุณหลับแล้วถึงสถานีที่จะลง ผมจะปลุก”
“ฮ่าๆ โอเค” ไหล่กว้างยักขึ้นพร้อมริมฝีปากที่แย้มออก
การเดินทางจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะลีอุมซัมซุงไปยังอินซาดงโดยรถไฟใต้ดินในช่วงเย็นวันเสาร์เต็มไปด้วยผู้คน
และเพราะไม่มีที่นั่งซึงฮวังขยับเข้าไปจนหลังพิงเอากับประตูรถไฟของอีกฝั่งก่อนที่จีโฮจะเป็นฝ่ายยืนกันคนที่เบียดมา
ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็มาถึงสถานีปลายทาง
บนถนนอินซาดงที่ถูกปิดไม่ให้รถสัญจรมีผู้คนเดินขวักไขว่
สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ รวมทั้งแกลอรี่จัดแสดงงานศิลปะ
สี่สิบนาทีสุดท้ายก่อนหกโมงนั่นทั้งคู่เดินเพลินอยู่กับการเดินซื้อของ
“ตอนแต่งเพลงคุณจีโฮใช้สมุดจดอยู่ไหมครับ”
“ใช้...ผมพกติดตัวตลอดแหละ เวลามีไอเดียอะไรต้องรีบจดไม่งั้นลืม” เขาตอบก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อเห็นถุงกระดาษจากพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ไปมาด้วยกันถูกยื่นมาตรงหน้า
“ว่าแล้วว่าต้องใช้อยู่ ผมเลยซื้อนี้มาให้
เป็นสมุดบันทึกของที่ระลึกจากหอศิลป์น่ะครับ
แล้วก็ในมีพวงกุญแจกระต่ายกอดพู่กันกับดินสอกดด้วย
ผมเห็นคุณดูอยู่ตั้งนานไม่เห็นซื้อสักทีก็เลยซื้อให้ รับไว้นะ อย่าปฏิเสธเลย
อีกเดี๋ยวคุณจีโฮก็ต้องไปแล้ว ผมเลยอยากให้อะไรเป็นของขวัญที่เราสองคนได้พบกัน
ถึงผมจะน่าเบื่อไปหน่อยก็เถอะ แต่วันนี้ผมสนุกมากเลยครับ
ขอบคุณนะครับที่ไปเป็นเพื่อนผม”
ชายหนุ่มฟังคำขอและของที่อยู่ตรงหน้า
ยิ่งเห็นดวงหน้าน่ารักพราวด้วยยิ้มก็เม้มริมฝีปาก...ในตอนแรกที่ได้ยินรุ่นพี่บอกว่า
ซึงฮวังไม่เหมือนคนอื่น เขาไม่ค่อยจะเชื่อนักหรอก
แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายแตกต่างอย่างไร
ยามอยู่ใกล้ความอุ่นกลับเต็มในใจและความผูกพันเล็กๆที่ก่อตัวขึ้นทำให้เขาอยากอยู่ด้วยกันนานกว่านี้
“เคยไปร้านสักไหม”
“หื้อ...ไม่ครับ ทำไมเหรอ”
“จริงๆแล้วผมมีนัดกับช่างที่ร้านสักน่ะ แค่ไปเติมสีรอยสักเฉยๆ
ถ้าคุณไม่รีบร้อนอะไรไปร้านสักกับผมไหม แล้วผมจะพาคุณไปที่ฮงแดเอง”
“ถ้าผมไปด้วยจะไม่รบกวนเหรอครับ”
“ไม่หรอก...ผมอยากให้คุณไปด้วยนะ”
“ผมไปด้วยได้อยู่แล้ว...แต่ต้องรีบโทรบอกพี่ฮันเฮนะครับ
เพราะเมื่อกี้พี่เขาส่งข้อความมาบอกผมว่าจะให้รุ่นน้องมาหาผมที่นี่
เดี๋ยวเขาจะมาเสียเที่ยว หรือให้เขาไปด้วยดี”
“อยู่กันแค่นี้ก็พอ”
เขาประกาศเจตนารมย์แล้วจัดแจงหยิบโทรศัพท์ต่อสายหาฮันเฮเพื่อแจ้งเรื่องที่ตนเองจะไปส่งให้ถึงฮงแดเองซึ่งปลายสายก็ไม่ได้ขัดแต่อย่างใด
เมื่อเรียบร้อยทั้งคู่ก็ออกเดินไปตามทาง
บทสนทนาจิปาถะเริ่มต้นจนมาจบลงเมื่อเท้าเหยียบมาถึงหน้าร้านที่ตกแต่งสไตล์โกธิค
เดินลงบันไดไปยังประตูที่อยู่ต่ำกว่าระดับพื้นถนน
เมื่อผ่านประตูไม้สีดำแกะลายเป็นเถ้ากุหลาบล้อมไม้กางเขนเข้าไปภายในร้านจะเห็นภาพวาดของเจ้าปีศาจเด่นเป็นสง่า
ผนังสีดำล้วนกับเครื่องเรือนที่ใช้งานเป็นของเก่าที่ถูกบูรณะให้อยู่ในสภาพดีเมื่อรวมเข้ากับกลิ่นกำยานและบุหรี่เจือจางทำให้ที่นี่ดูขลังและน่ากลัว
หญิงสาวผิวเข้มที่มีรอยสักเต็มตัวกับชายตัวใหญ่ท่าทางดุดันยุ่งอยู่กับการสักให้ลูกค้า
เสียงจากเครื่องสักดังจนไม่ได้ยินสัญญาณออดที่ดังขึ้นเวลามีคนเปิดประตูเข้ามา
จีโฮเดินไปหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์ไม้ที่มีชายหนุ่มผมยักศกสวมเสื้อคอวีแขนยาวสีดำกับกางเกงยีนส์ที่ง่วนอยู่กับการสเก็ตซ์ภาพบนกระดาษ
ชายผู้นั้นเงยหน้าคมจากกระดาษเมื่อเห็นเงาของคนพาดลงมาบังภาพที่วาด
เพียงเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครต่างฝ่ายต่างยักคิ้วเป็นเชิงทักทายก่อนจะหลุดหัวเราะร่วนออกมา
“สายอ่ะมึง...ปกตินัดห้าโมง สี่โมงกว่ามึงก็โผล่ล่ะ
นี่อะไรห้าโมงสิบห้าแล้ว”
“วันนี้ผมไปเที่ยวเลยมาช้า”
“มึงนี่นะไปเที่ยว ไหนว่าจะออกซิงเกิ้ลเดี่ยว ยุ่งฉิบหายวายวอด
นอนก็ไม่ได้นอน เสือกกระแดะไปเที่ยว แล้วไง ไปไหนมาล่ะหนนี้”
“ไปหอศิลป์”
“คิดไงไปหอศิลป์” ถามเสร็จ
เจ้าของร้านก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มแปลกหน้าที่ยืนห่างจากเพื่อนตนเองไปไม่ไกล จากที่ถามเสียงดังก็เปลี่ยนเป็นกระซิบ
“แล้วนั่นมึงหลอกเด็กที่ไหนมาสักร้านกูเนี่ย...อยากได้เปอร์เซ็นต์จนต้องหลอกคนมาเลย”
“เฮ้ย...นั่นเพื่อนผม”
“เพื่อน...เพื่อนมึงเหรอ”
“อืม อย่าเพิ่งถามน่าพี่ยงนัม...มาเติมสีรอยสักที่พี่สักค้างไว้ให้ก่อน
ลงสีไม่เสร็จสักทีใครเห็นก็นึกว่าผมเป็นเกลื้อนหมดแล้ว”
“เอ้า มึงมาโทษกูได้ไง มึงเป็นคนไม่ว่างเองนะ”
“ก็มานี่แล้วไง พี่จะเติมสีก็มา”
“แล้วมึงจะปล่อยเขารอมึงที่นี่...”
ยงนัมถามแล้วเงียบลงทันทีที่เห็นร่างเล็กที่กวาดมองไปทั่วร้านอย่างสนใจใคร่รู้ หยิบกล้องขึ้นมาส่องเหมือนจะกดถ่ายแต่นึกอะไรบางอย่างได้เลยลดกล้องไว้ที่คล้องและเดินมายังเคาน์เตอร์เพื่อขออนุญาต
“ผมถ่ายรูปได้ไหมครับ”
“ได้ครับ ถ่ายได้ แต่อย่าถ่ายเจาะลายกับถ่ายติดลูกค้าท่านอื่นนะครับ”
“ขอบคุณครับ” ใบหน้าขาวน่ารักเหมือนแมวยิ้มกว้างจนเห็นฟันกระต่าย
เจ้าของร้านหนุ่มอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม...คนอะไรหน้าเหมือนแมวผสมกระต่าย
“ไปเจอจากไหนเนี่ย”
“รุ่นพี่ผมเขาฝากให้ผมพาน้องชายเขาเที่ยวน่ะ
พอดีเขาจะไปฮงแดต่อผมเลยพามาด้วย”
“หน้าตาน่ารักดี...น่ารักเหมือนมึงเวลาองค์บ้างานไม่ลง”
“ว้าย คุณพี่ชมน้องน่ารัก นี่ชอบน้องหรือจ๊ะ
ชอบก็ไม่บอกจะได้เอาองค์บียอนเซ่มาประทับ”
“อย่าได้ท้าพี่นะน้อง...องค์บียอนเซ่ลงเมื่อไหร่
เดี๋ยวพ่อล่อให้เจ็บตูดจนไปฮงแดไม่ไหวซะเลย”
“พี่แม่งจัญไรวะ”
ฝ่ายลูกค้าที่พ่วงความเป็นรุ่นน้องด้วยว่าพลางหัวเราะร่วน จากนั้นก็เดินตามไปหลังช่างสักประจำตัวไปยังเก้าอี้เอนสำหรับสักที่นั่งประจำ
ซึงฮวังค่อยๆเดินดูทุกอย่างภายในร้าน
เห็นอะไรแปลกตาน่าสนใจก็หยิบกล้องที่เหลือฟิล์มอยู่ไม่มาถ่ายแม้แต่ภาพการทำงานของช่างที่กำลังสักโดยระวังไม่ให้เห็นหน้าลูกค้าจนหมดก็หันมาชมภาพรอยสักที่ติดจนทั่วผนัง
เท้าขยับไปเรื่อยๆ
กระทั่งมาถึงผนังด้านในสุดของร้านที่มีภาพถ่ายรอยสักแขวนอยู่เช่นกัน
หากเมื่อพินิจอย่างตั้งใจจะเห็นว่าลายเส้นผิดแผกจากส่วนอื่นๆของร้าน
ลวดลายนั้นมีความพิเศษและไม่เหมือนกันเลยสักลาย
ทว่าสิ่งที่ทำให้สะดุดใจกลับเป็นภาพถ่ายรอยสักสองรอยที่วางอยู่ข้างกัน
รอยหนึ่งนั้นเป็นรูปของเหล่าเซอร์เบอรัสที่เขาจำได้แม่นว่าเป็นรอยสักเดียวกันกับที่เจ้าหมาสักไว้บนอก
ส่วนรอยสักที่สองเป็นรูปใบหน้าหมาป่าที่มีแผลฉกรรจ์ยาวจากศีรษะลงมาถึงเปลือกตาแนบหน้าอยู่กับกวางน้อยตัวหนึ่งท่ามกลางกุหลาบและพุ่มหนาม
ยาพิษไหลจากขวดยาที่ล้มอยู่และในนั่นถ้อยคำภาษาเยอรมันที่และชื่อภาษาอังกฤษเหมือนชื่อเขาอยู่ในนั้น
คนตัวเล็กยื่นหน้าเข้าไปใกล้ไล้มองภาพถ่ายรอยสักหลังกรอบกระจกนั้นอย่างช้าๆ...ลายเส้นที่คุ้นตานั้นมิใช่เพียงละม้ายแต่ตัวอักษรตัว C
กลับด้านซ้อนอยู่ในตัว Z เล็กๆที่แทรกอยู่ในพุ่มหนามเป็นลักษณะการลงลายเซ็นต์ในภาพวาดเป็นแบบเฉพาะตัวนั้นทำให้กายบางชาวาบ
“ชอบเหรอคะ”
เสียงติดแหบของหญิงสาวดังขึ้นจากด้านหลังเรียกให้หลุดจากภวังค์
นัยน์ตากลมสวยกระพริบถี่ก่อนจะเหลียวไปหาต้นเสียงก็พบกับช่างสักหญิงผมประบ่าผิวเข้มยืนอยู่
“ตรงนี้เป็นผลงานสักของน้องชายฉันค่ะ
ถ้าคุณอยากสักลายที่อยู่ตรงนี้คงไม่ได้นะคะ
เพราะว่ามันเป็นลายที่ลูกค้าสั่งให้วาดใหม่โดยเฉพาะ ยังไงลองดูเป็นลายอื่นไหม”
“ผมไม่ได้จะสักครับ
แค่จำได้ว่าลายเซอร์เบอรัสนั่นเป็นลายเดียวกันกับที่เพื่อนผมสัก
แล้วก็ลายหมาป่ากับกวางนั่นลายเส้นคล้ายกับลายเส้นของพี่ที่ผมรู้จักน่ะครับก็เลยตกใจนิดหน่อย”
“อ้อ...ลายนั้นเป็นลายที่เพื่อนของน้องชายฉันวาดเพื่อมาให้สักน่ะคะ
ก็เป็นไปได้ที่อาจจะเป็นรุ่นพี่ของคุณ”
ซึงฮวังละสายตาจากช่างสักหญิงมายังภาพตรงหน้าพลางกระพริบตาปริบ
แลชื่อภาษาอังกฤษของตัวเองที่อยู่ในรอยสักหมาป่ากับกวางนั้นด้วยความรู้สึกสับสน
...ทำไมคนที่หนีหายไม่ส่งข่าวถึงสักชื่อเขาไว้ตรงนั้น...
“แปลกดีนะครับ...ทำไมคนเราถึงสักชื่อคนที่ไม่มีความหมายไว้บนร่างกายตัวเองด้วยนะ”
เขาพึมพำในลำคอ
“ไม่มีใครเขาสักชื่อที่ไม่มีความหมายกับตัวเองหรอกคะ
รอยสักน่ะมันลบได้ก็จริงแต่ไม่ใช่จะลบกันง่ายๆหรอกนะคะ
เพราะอย่างนั้นการที่เราจะสักชื่อใครสักคนลงไป
ใครคนนั้นต้องมีความหมายทางใจมากพอที่คนสักจะยอมให้มันประทับอยู่บนตัว”
“ความหมายทางใจเหรอครับ” เขาทวนคำคล้ายพูดกับตัวเองมากกว่าต้องการความคิดเห็น
ทว่าอีกฝ่ายกลับถามขึ้นมาแทนที่
“คุณชื่อซน ซึงฮวังเหรอคะ”
“ครับ”
“อ่า...คุณนี้เอง”
“ทำไมเหรอครับ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...คุณมากับจีโฮใช่ไหมคะ”
“ครับ”
“ถ้ายังไงนั่งรอก่อนนะคะ คิดว่าอีกครึ่งชั่วโมงก็น่าจะเสร็จ”
“ครับ ขอบคุณนะครับ”
ร่างเล็กโค้งขอบคุณแล้วหันไปมองภาพรอยสักหมาป่ากับกวางที่สวยงามนั้นชวนให้รู้สึกเศร้ามากกว่าจะเบิกบาน
นัยน์ตากลมมีรอยหม่นแทรกเข้ามาในความสดใสก่อนที่เขาจะหักใจทิ้งความสงสัยทั้งหมดและเดินไปนั่งรถยังเก้าอี้ยาวที่ใช้สำหรับให้นั่งคอย
การเติมสีในรอยสักที่ค้างอยู่ผ่านไปด้วยดีในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
จีโฮลุกจากเตียงเช็กรอยสักตรงต้นแขนของตนเองอยู่หน้ากระจกพักหนึ่งก็ดึงแขนเสื้อลงมาคลุมข้อมือและสวมเสื้อโค้ทสั้นของตัวเองกลับดังเก่าแล้วเดินออกมาจ่ายเงิน
“รอนานไหม” คนตัวใหญ่เอ่ยถามพลางดูภาพวาดลายเส้นดินสอที่อีกคนวาดอยู่
“เสร็จแล้วเหรอครับ”
อีกฝ่ายเงยหน้ามาถามก็เห็นใบหน้าที่ไม่ได้สวมแว่นกันแดดของคนตรงหน้า...ใบหน้าดุมีแววอ่อนล้าและใต้ตาเป็นสีคล้ำจางๆ
เลยวางดินสอลงบนสมุดหยิบกระปุกแก้วๆในกระเป๋าเสื้อมาส่งให้
“อะไร” เสียงในคอนั้นดังขึ้น
“อันนี้เป็นเครื่องหอมนะครับ
คุณยายแถวบ้านเขาให้ผมเป็นของขวัญ...เวลาเหนื่อยๆผมจะหยิบมันมาดม
พอดมแล้วจะสดชื่นขึ้นครับ”
“แล้ว”
“พอเห็นหน้าคุณจีโฮแบบไม่ใส่แว่นแล้ว...คุณดูเหนื่อยมากกว่าที่คิดอีก
เลยคิดว่าถ้าได้ดมไอ้นี่ดูอาจจะดีขึ้น”
“ทำไมคุณถึงเอาใจใส่คนรอบข้างนักนะ” คำถามนั้นห้วนง่ายแต่ริมฝีปากกลับเหยียดกว้าง
“เพราะความสุขของผมเกิดจากคนใกล้ตัวนะครับ
ผมมีความสุขเมื่อคนที่ผมรู้จักมีความสุข
ถึงแม้ว่าความสุขนั้นจะไม่มีผมอยู่เลยก็ตาม” คนตัวเล็กว่ายังคงยิ้มหากก็แปลกที่ถ้อยความนั้นฟังแล้วเศร้าอย่างประหลาด
อีกคนหยิบมันมาเปิดฝาดมดูพักหนึ่งก็รู้สึกสดชื่นอย่างที่ว่าแต่พอจะส่งคืนเจ้าของก็บอกให้เก็บไว้อีก
“ผมหิวแล้วล่ะ...ไปกินข้าวกันไหม” เพราะรู้ว่าถ้าคืนให้ก็ไม่รับอยู่ดีเลยหยิบแว่นมาสวมและเปลี่ยนเรื่อง
ประตูไม้ถูกเปิดออกก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกมาด้วยกัน
ลมหนาวพัดมาอีกคราทำให้มือเล็กที่เย็นอยู่แล้วยิ่งเย็นจัดจนเจ้าตัวต้องยกมือมาถูกัน
จังหวะที่ทอดมองไปยังร้านรวงที่อยู่อีกฝั่งนั้น
พลันสายตาก็เห็นร่างสูงของชายสวมเสื้อโค้ทสีเทายาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าร้านกาแฟคล้ายว่าจะมองมายังเขา
หมวกสีดำบนศีรษะนั้นบดบังใบหน้ามิให้มองเห็น
ทว่าท่าทางการยืนและจิบกาแฟนั้นละม้ายคนที่เขาคุ้นเคย
ร่างบางตัวแข็งทื่อไปในชั่วนาทีที่เห็นชายผู้นั้นแต่ไม่ได้คิดจะเดินเข้าไปเพื่อหาคำตอบ
ฝ่ายที่อยู่ไกลออกไปขยับตัวจากเสาที่พิงอยู่เหมือนจะเดินมาหา
ตอนนั้นเองที่เสียงเข้มของจีโฮก็ดึงสติให้หันไปหา
“หนาวเหรอ...ถุงร้อนมันยังร้อนอยู่ไหม”
“ไม่แล้วล่ะครับ” เขาตอบกลับและหันไปยังทางเก่าแต่ใครคนนั้นกลับหายไปแล้ว
“มือยังเย็นอยู่หรือเปล่า”
“ผมมือเย็นอยู่แล้วนะ”
“งั้นผมให้ยืมมือไหม มือผมอุ่นนะ ถ้าคุณหนาวก็จับมือผมได้”
สิ้นคำมือเรียวสวยที่มีพลาสเตอร์ปิดแผลและสวมแหวนเงินสลักลายไม้กางเขนก็ยื่นมาหา
เห็นอีกฝ่ายไม่พูดอะไรเลยสักคำก็ชักอายก่อนจะสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายกระตุกชายเสื้อของเขาพร้อมรอยยิ้มพราวบนหน้า
“ผมยังไม่หนาวเลย ไว้ผมหนาวแล้วจะขอยืมนะ ว่าแต่แถวนี้มีอะไรอร่อยบ้างครับ”
คนถามกวาดตาไปยังร้านของกินที่เปิดเต็มไปหมด
“มีเยอะอ่ะ...คุณอยากกินอะไรดีกว่า”
“หนาวๆแบบนี้ก็ต้องกินซุปร้อนๆเนาะ”
“โอเค เดี๋ยวผมพาไปเอง”
มือใหญ่คว้าหมับเอากับมือเล็กที่ซ่อนอยู่ใต้แขนเสื้อที่ยาวคลุมลงมาให้เดินตามไปยังร้านอาหารที่อยู่ใต้ดินในอาคารแห่งหนึ่ง
ผู้คนในช่วงเย็นนั้นค่อนข้างหนาตาแต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนมีอายุมากกว่าจะเป็นวัยรุ่น
ทั้งคู่นั่งกินอาหารกันด้วยบรรยากาศผ่อนคลาย
“มันไม่อร่อยเหรอ” ด้วยเห็นอีกฝ่ายวางตะเกียบลงทั้งที่กินได้ไม่หมดจานก็ถามขึ้น
“อร่อยครับแต่ผมกินเยอะไม่ค่อยได้
ลำไส้ผมไม่ค่อยดี...ถ้ารู้สึกอิ่มแล้วต้องหยุดไม่งั้นจะอาเจียน”
“อืม ผมได้ยินพี่ดงกั๊บบอกว่า คุณไม่ค่อยสบาย...คือ
ผมถามได้ไหมว่าคุณป่วยเป็นอะไร”
“ผมเป็นโรคหัวใจน่ะครับ แล้วก็เป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง
แพ้อาหารที่ทำจากแป้งสาลีด้วย ลำไส้ไม่ค่อยดี อ้อ มีไซนัสด้วยอีกอย่าง” เจ้าตัวสาธยายอาการป่วยของตัวเองให้ฟังด้วยรอยยิ้มเหมือนเป็นเรื่องปกติ “ฟังดูมันเยอะเนาะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกนะครับ
ผมน่ะถึงจะป่วยแต่กำลังใจผมดีมากเลยนะ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองป่วยเลยด้วยซ้ำ
พี่หมอบอกผมว่า คนเราถึงจะป่วยแต่ถ้าคิดดี กำลังใจดีก็จะแข็งแรงไปเอง”
“ผมก็เป็นโรคหัวใจ”
ฝ่ายตรงข้ามบอกแล้วคีบเกี๊ยวจากในซุปขึ้นมากัดเข้าปาก “แต่คนไม่รู้กันหรอกเพราะผมอยากให้คนมองผมที่ความสามารถไม่ใช่ความสงสาร...ตอนนั้นที่คุณบอกว่าผมดูเหนื่อยไม่ใช่เพราะอดนอนอย่างเดียว
ผมตกใจนะ ไม่เคยมีใครมองผมลึกขนาดนั้น”
“ผมเข้าใจนะ...ผมเองไม่ได้ไม่ชอบที่มีคนห่วงใย
แต่เวลาที่เห็นคนรอบข้างกังวลกับความป่วยไข้ของผม มันทำให้ผมเศร้า
ไม่ว่าจะเจ็บแค่ไหนผมจะยิ้มเอาไว้และบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร”
ซึงฮวังว่าพลางยิ้มบางให้กับซุปกิมจิที่อยู่ตรงหน้าแม้ไม่มีความเศร้าใดแผ่ออกมาให้สัมผัส
แปลกที่คนฟังกลับรู้สึกโหวงในใจจนต้องเปลี่ยนเรื่อง
“ที่คุณบอกจะไปฮงแดคือไปเดินเล่นฮงแดแล้วค่อยกลับไปออฟฟิศพี่ชายคุณที่นั่นด้วยใช่ไหม”
“เปล่าครับ ผมจะไปร้านนี้ก่อนค่อยกลับออฟฟิศของพี่เขา”
จบคำโปสเตอร์อาร์ตมันขนาดเท่ากระดาษเอสี่ที่ถูกคลี่ออกจากการพับหลายทบก็ถูกยื่นมาตรงหน้า
คนตัวใหญ่ไล้สายตาอ่านรายละเอียดจนจบก็เงยหน้ามอง
“คุณจะไปดูคอนที่ร้านนี้เหรอ”
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะไปดูคอนหรอกครับ แค่อยากไปดูเพื่อนมากกว่า พอดีเพื่อนผมเขาไปช่วยงานเพื่อนที่เป็นเจ้าของร้านนี้น่ะครับ
เห็นบอกว่าจะขึ้นเวทีด้วยผมก็เลยอยากไปดูว่าเขาเป็นยังไงบ้างแล้วค่อยกลับ”
“เพื่อนคุณเป็นเพื่อนกับเจ้าของร้านนี้...บังเอิญแฮะ
ผมเองก็เป็นเพื่อนกับเจ้าของร้านนี้เหมือนกัน”
“คุณจีโฮเป็นเพื่อนกับคุณบยอลเหรอครับ”
“ห๊ะ คุณรู้จักไอ้บยอลมันด้วย ถ้าคุณรู้จักแบบนี้
ผมก็น่าจะรู้จักเพื่อนคุณน่ะ...เพื่อนคุณนี้เขาชื่ออะไรเหรอ”
“กวังรยอลครับ”
“กวังรยอลเหรอ ไม่เห็นจะคุ้นเลย มีชื่อในวงการไหม”
“ผมไม่รู้หรอกครับ...ผมเพิ่งรู้ว่าเขาชอบดนตรีเมื่อไม่กี่วันนี้เอง”
“แล้วโทรบอกเพื่อนไว้ใช่ไหมว่าจะไปหานะ”
เพราะคำถามที่จริงจังเหลือเกินนั้นทำให้ซึงฮวังเหลือบตายังแว่นตาดำที่อยู่บนหน้าฝ่ายตรงข้ามก็หลุดขำแล้วส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบ
“คุณจะแอบไปดูเขาว่างั้นเถอะ...แบบนี้คงไม่มีบัตรด้วยใช่ไหม”
“มันไม่มีขายหน้างานเหรอครับ”
“คุณไม่ได้ดูรายชื่อศิลปินที่ไปเล่นเหรอ
แต่ละคนอยู่ใต้ดินแต่ก็ดังพอตัวเลยนะ...เออ ผมก็ลืมไปว่าคุณคงไม่รู้จักพวกนี้หรอก
เอาเป็นว่าบัตรน่ะมันขายหมดตั้งนานแล้ว เรื่องจะไปซื้อหน้างานน่ะอย่าหวังเลย”
“แบบนี้ก็เข้าไปดูไม่ได้เหรอครับ”
“ผมพาคุณเข้าได้...แต่ที่นั่นมันแออัดนะ ผมกลัวคุณไม่ไหว”
คนคุ้นเคยกับการเข้าผับเตือนก่อนจะเห็นอีกคนหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นออกมาดูหน้าจอแต่ไม่ยอมรับสาย
รอกระทั่งมันเงียบพักหนึ่งถึงกดโทรศัพท์ส่งข้อความโต้ตอบกับใครสักคนอยู่สักครู่ก็เก็บมันไว้ที่เก่า
“เขาบอกว่าสี่ทุ่มจะขึ้นเวที...คุณจีโฮพาผมไปที่นั่น
ให้ผมเห็นเขาแว่บนึงก็กลับจะได้ไหมครับ”
0 Comments