LOVE TOXICAL : KANPAGNE CHAPTER 11
00:21
แถวของผู้คนที่ต่อคิวรอเข้าไปในผับแห่งหนึ่งในฮงแดเริ่มขยับร่นไปทีละน้อย
เมื่อผ่านประตูเข้าไปภายในโต๊ะเก้าอี้ที่เคยจัดวางอยู่ถูกยกเก็บเหลือไว้เพียงพื้นที่โล่งกับเวทีที่เซ็ตระบบเสียงทั้งหมดไว้เรียบร้อย
แสงไฟสีแดงที่กระพริบเป็นจังหวะเหมือนสัญญาณไฟจากไซเรน ชายหนุ่มคิ้วหนาหน้าดุสวมชุดดำทั้งตัวแหวกม่านประตูหลังร้านมองไปยังคนที่ทยอยเข้ามาก็หันไปคุยกับรุ่นพี่แรปเปอร์ของตนเองที่หลังจากซ้อมและรอขึ้นแสดงก็นั่งเอกเขนกกันตามอัธยาศัยก่อนจะเดินไปหาเพื่อนที่ยืนขมวดคิ้วจ้องโทรศัพท์เขม็ง
“มีไรวะมึง” มือแข็งตบลงบนไหล่เต็มแรงแต่คนเป็นเพื่อนไม่ตอบแค่เหลือบหาอย่างเย็นชาก็กลับไปสนใจกับโทรศัพท์ตัวเองใหม่
“ลูกแมวไม่รับโทรศัพท์กูอ่ะ...เมื่อบ่ายเห็นเขาส่งข้อความมาให้กำลังใจในคาทกแต่กูไม่ว่างตอบ
ตอนนี้อยากได้ยินเสียงเขาก็ไม่รับสาย โทรหาพี่ชายเขาแม่งก็ไม่รับเหมือนกันอีก”
“มึงก็จะอะไรนักล่ะ...ออฟฟิศพี่ชายเขามึงบอกอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้ไม่ใช่ไงจะห่วงอะไรอีก”
“ปกติเวลากูโทรไปหาเขารับสายกูตลอดเลยนะ...พอไม่รับแบบนี้กูใจคอไม่ค่อยดี” กวังรยอลย่นหน้าผากพลางเลียริมฝีปากด้วยความกังวลด้วยไม่ใช่วิสัยที่อีกคนจะไม่รับสาย
แต่เมื่อเห็นข้อความในคาทกเด้งขึ้นมาว่า
ถามว่าเขาเล่นกี่โมงและบอกอีกว่ารู้สึกเหนื่อยเลยขอนอนพักก่อนพร้อมอวยพรให้เขาทำเต็มที่ก็คลายใจพอมีรอยยิ้มอยู่บนหน้าบ้าง
“ตกลงว่าไง”
“เขาเหนื่อยน่ะก็เลยขอนอนพัก”
“แบบนี้ก็ไม่ได้เปิดเฟซไทม์อยู่มึงตอนขึ้นเวทีให้เขาดูแล้วดิ
แต่ก็ดีล่ะ เดี๋ยวเห็นองค์จริงมึงเขาจะกลัวซะเปล่าๆ ยิ่งเป็นบ้าอยู่ด้วย”
“อะไร จะบอกว่ากูอยู่กับเขาแล้วเฟคไง”
“กูไม่ได้บอกว่ามึงเฟค แต่มึงอ่อนโยนกับเขาคนเดียว
ถ้าเขามาเห็นร่างหมาบ้าของมึงเขาจะตกใจ เหี้ย พูดแค่นี้จะต่อยกูเหรอ แหมะ
ไม่พูดก็ได้ มึงหายกังวลแล้วก็ไปเตรียมตัวไป...มึงต้องขึ้นเวทีพร้อมกูนะ
เตรียมตัวให้พร้อมเลย อย่าลืมเนื้อกลางอากาศนะ พ่อจะศอกให้”
“นี่มึงกล้าศอกกูเหรอ
เดี๋ยวกูซัดด้วยหลังแหวนกลับแม่ง...ทำเหมือนกับกูไม่เคยขึ้นเวที
ถึงกูจะไม่ขึ้นบ่อยแบบมึงแต่กูก็ไม่ตื่นจนลืมเนื้อหรอกน่า”
“เออ ไอ้คนเก่ง ไอ้คนรวย ไอ้คนมีเงินจะซื้อค่ายเพลงได้”
“โอ๊ย มึงนี่จะประชดให้ได้พระแสงอะไร”
“ไม่รู้...หมั่นไส้ความรวยมึงอ่ะมีอะไรปะล่ะ”
“มึงนี่น่ารำคาญฉิบหาย ไปไหนก็ไปเลยไป” มือใหญ่ผลักหลังเพื่อนออกไป
บยอลถลาห่างออกไปไม่ไกลก็หลุดหัวเราะและหลบมุมหายไปยืนคุยโทรศัพท์
กวังรยอลไถโทรศัพท์ขึ้นไปยังรูปถ่ายดอกหญ้าสีม่วงดอกเล็กๆตรงกรอบหน้าต่างท่ามกลางทิวทัศน์เบลอๆของตึกรามด้านนอกที่อีกคนส่งมาหาเขา
...ดอกหญ้าจากออฟฟิศพี่ฮันเฮล่ะ
...มันน่ารักแต่แกร่งมากเลยนะ ทั้งที่หนาวก็ยังมีดอก
...เห็นมันแล้วไม่รู้ทำไมคิดถึงเจ้าหมาจัง
...กินข้าวด้วยนะ
...เล่นสนุกให้เต็มที่แล้วเจอกันนะ
ข้อความจากในคาทกแม้ไม่มีเสียงหรือสติ๊กเกอร์บอกความรู้สึก
ทว่าก็เพียงพอให้เขาอุ่นและยิ้มกว้างพร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกอย่างบนโลกใบนี้
...นี่คือความสุขของเขา...
...ความสุขที่เขาไม่เคยคิดอยากจะเสียมันไปสักวินาที...
-----------------------------------------------------------------------
ความมืดโรยตัวลงมาพร้อมกับความหนาวเหน็บ
หากแสงไฟสว่างจากร้านรวงและที่ประดับอยู่สองข้างทางทำให้ค่ำคืนนี้ไม่เงียบเหงา
ซึงฮวังก้าวเท้าไปตามทางกระชับผ้าพันคอให้เข้าที่พลางล้วงมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทขณะกวาดมองรอบข้างอย่างสนใจ
ช่วงที่ก้าวเข้ามาในย่านที่มีผู้คนแออัดกว่าปกตินั้นเองที่เขาได้เห็นเพื่อนใหม่ที่มาด้วยกันอยู่ห่างออกไปเป็นเมตรกำลังถูกวัยรุ่นหญิงชายล้อมขอลายเซ็นต์และถ่ายรูป
คนตัวเล็กกระพริบตารับรู้ได้ว่าเพื่อนคนนี้คงเป็นคนดังพอสมควรเพียงแต่เขาไม่รู้ว่าเป็นใครและไม่ใคร่จะหาคำตอบ
พยายามจะเดินไหลไปให้ถึงยังจุดที่อีกคนโดนรุมแต่ก็สู้ไม่ไหวจำต้องหลบมายืนหายใจอยู่หน้าร้านแมคโดนัลด์แทน
จีโฮก้มหัวให้แฟนคลับที่เข้ามาล้อมหลังจากบอกอย่างสุภาพว่าไม่สะดวกให้ถ่ายภาพหรือขอลายเซ็น แขนยาวค่อยๆแหวกฝูงชนพลางชะเง้อหาร่างเล็กในกลุ่มคนทั้งด้านหน้าและด้านหลังแต่ไม่พบ
ใช้เวลาเป็นสิบนาทีกว่าจะเจอว่าคนที่ตามหายืนอยู่หน้าร้านแมคฯ
เหงื่อก็พราวไปทั้งหน้า
ชายหนุ่มไม่พูดพล่ามคว้าข้อมือผอมที่อยู่ใต้แขนเสื้อโค้ทนั้นไว้มั่นได้ก็พาเดินออกจากหน้าร้าน
อาศัยความตัวใหญ่เป็นเกราะคอยกันไม่ให้ร่างเล็กถูกเบียดจนมาถึงหน้าร้านที่มีชายตัวใหญ่หนาเหมือนหมีสวมโค้ทสีดำยืนกอดอกรออยู่ข้างประตูผับที่มีคนทยอยเข้าไปข้างในเป็นระยะ
เพียงเห็นทั้งคู่ก็ยกมือกวักเรียกให้มาหา
“ไอ้บยอลอ่ะ”
“มันเป็นMCอยู่ เลยให้กูมารับมึงแทน...แล้วนี่ยังไงไหนตอนแรกชวนบอกมาไม่ได้ไงวะ
เอ้า คนข้างหลังนั่น มึงพาเด็กที่ไหนมาด้วยวะ”
“เพื่อนกู”
“อายุถึงแล้วใช่ไหมเนี่ย” เสียงทุ้มใหญ่ถามพลางหรี่ตาคาดคะเนอายุอย่างจริงจัง
“ถึงแล้วดิ”
“เออๆ งั้นตามมา” ชายผู้นั้นนำทางเข้าไปในร้านที่อาบไปด้วยแสงสีแดงสลัว
คงมีเพียงเวทีที่สว่างไสว
อากาศที่ร้อนจากฮีตเตอร์ทำให้ลืมความหนาวด้านนอกจนต้องถอดเสื้อนอกที่สวมอยู่มาพาดไว้บนแขน
ทั้งหมดเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นลอยอันเป็นสถานที่สำหรับแขกวีไอพีที่มีทั้งหญิงสาวสวยคละอยู่กับชายหน้าตาดีและดิบเถื่อนนั่งและยืนอยู่ตามโซฟา
เพียงจีโฮก้าวขึ้นมาเสียงทักทายก็ดังทั่วสารทิศ
เจ้าตัวเลยดึงร่างเล็กให้มายืนหลบมุมข้างเสาหน้าระเบียงชั้นลอยแล้วสั่งให้รออยู่จะกลับมาหาเสร็จก็ผละไปหากลุ่มคนรู้จักกับเพื่อนหุ่นหมี
ซึงฮวังเก็บเสื้อโค้ทใส่ถุงพลาสติกใบใหญ่ที่ได้มาจากการซื้อของ
ดึงผ้าพันคอขึ้นมาปิดจมูกพลางเกาะราวขณะทอดสายตาลงไปยังเบื้องล่างเห็นชายหนุ่มที่อยู่บนเวทีก็จำได้ทันทีที่ว่าเป็นคนเดียวกันกับที่เคยมาหาถึงบ้าน
กลุ่มคนทั้งชายหญิงเบียดเสียดแลแออัด
ทันทีที่ชายอีกคนสลับขึ้นมาบทเวที...เสียงอื้ออึงที่ปนเประหว่างเสียงดนตรีและการแรพอันดุดันที่เต็มไปด้วยคำล่อแหลมกับเสียงโห่ร้องจากผู้ชมทำให้คนไม่คุ้นกับโลกกลางคืนอันวุ่นวายและอากาศจากหนาวเป็นร้อนจัดแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
แถมกลิ่นบุหรี่ที่โชยมาอีกเลยได้แต่ยืนพิงเสาอยู่นิ่งๆ
...อยากเห็นเขาแต่ไม่รู้จะทนกับที่นี่ได้นานแค่ไหน...
...ทำไมคนถึงชอบมากันนักนะ ทรมานจัง...
“เราน่ะเข้ามาได้ไง อายุถึงแล้วเหรอ” คำถามที่ดังข้างหูเรียกให้คนตัวเล็กหันไปมองก็เห็นชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาดีร่างสวมเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนกองตรงศอกยืนเท้าแขนกับระเบียงอยู่ใกล้ๆ
“ผมอายุถึงแล้วนะครับ จะดูบัตรประชาชนก็ได้” มือขาวล้วงหากระเป๋าตังค์เพราะคิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่ร้านแต่อีกคนโบกมือเป็นเชิงไม่ต้อง
“ไม่ต้องหรอก...ไม่ได้มาตรวจบัตร
เห็นขึ้นมานี้ได้คงมีคนพามาสิ นี่มากับใครล่ะ”
“ผมมากับคุณจีโฮครับ”
“มากับมันเหรอ” ถามอีกพลางหันไปมอง “เป็นเพื่อนมันเหรอ”
“ครับ”
“มาที่นี่ครั้งแรกสิ...แล้วนั่นเอาผ้าพันคอปิดจมูกแบบนั้นหายใจออกเหรอ”
“ก็ดีกว่าได้กลิ่นบุหรี่น่ะครับ”
“แพ้บุหรี่เหรอ”
“นิดหน่อยครับ พอดีผมเพิ่งกินยาไปด้วย
พอเจอบรรยากาศมืดๆแออัดแบบนี้เลยมึนๆ”
“นี่เล่นยาเหรอ” ฝ่ายนั้นร้องมีทีท่าตกใจ
“เปล่าครับ...ผมหมายถึงยารักษาโรคประจำตัวของผมน่ะ”
“ไม่สบายแล้วมาทำไม
ก็น่าจะรู้อยู่นะว่ามาผับมันเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วที่จะเจออะไรแบบนี้” ชายหนุ่มผู้นั้นว่าพลางกระดกแก้วที่มีน้ำสีอำพันเข้าปาก
“ผมแค่อยากมาดูเพื่อนน่ะครับ
อยากเห็นเขาตอนอยู่บนเวที...พอเห็นแล้วกะว่าจะถ่ายรูปนิดหน่อยก็กลับ”
“แต่สภาพเราดูไม่ไหวเลย...ให้พาไปสูดอากาศข้างนอกก่อนไหม”
“ไม่เป็นไรครับ คุณจีโฮบอกให้ผมรอตรงนี้...ผมก็ต้องรอ”
“จีโฮแม่งหายหัวไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เอางี้ ผมจะไปเอาเก้าอี้มาให้นั่งล่ะกัน
ขืนยืนแบบนี้มีหวังเป็นลมก่อนพอดี” ผู้หวังดีผละออกไปแล้วลากเก้าอี้สตูลบาร์ไร้พนักพิงมาให้
“ขอบคุณครับ” คนตัวเล็กโค้งขอบคุณ
ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้และเอนหัวพิงเสาใหญ่มองลงไปยังหน้าเวทีแต่เพราะอยู่ใกล้บันได
ทุกครั้งที่มีคนเดินขึ้นลงบันไดหลังเป็นอันต้องโดนเบียดแม้จะขยับเข้ามาจนขาติดกับระเบียงแล้วก็ตามสุดท้ายคนที่เอาเก้าอี้มาให้เลยตัดสินใจมายืนซ้อนหลังวางมือทั้งสองกับราวระเบียงกันคนให้โดยเว้นระยะไม่ให้เข้าไปชิดนัก
กลิ่นของดอกไม้โชยจากการบางนั้นมีเอกลักษณ์และหอมอวลแบบที่ไม่เคยได้กลิ่นจากที่ไหนมาก่อนทำให้คิ้วเรียวสวยของอีกคนย่นเข้าหากัน
...หอมน่าถนอมแบบไม่รู้สาเหตุ...
“เมาเหรอครับ”
“เปล่า”
“แล้วทำไมมายืนตรงนี้ล่ะครับ...ไปสนุกของคุณต่อเถอะ” หน้านวลน่ารักเหลียวมาหา
ดวงตากลมโตที่โผล่พ้นผ้ากระพริบมองอย่างใคร่รู้ชวนให้เอ็นดูอย่างประหลาด
“คนมันเบียด ผมเลยมายืนกันให้
โดนคนเบียดไปเบียดมาจะแย่กว่าเดิม อีกอย่างวันนี้ผมก็ไม่มีอารมณ์สนุกอะไร
ที่มานี่ก็เพราะมีคนลากมาหรอก”
“เพื่อนเหรอครับ แล้วเขาไปไหนครับ”
“โดนทิ้งไว้นี่น่ะ...เราเองก็โดนเพื่อนมันทิ้งเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“คุณจีโฮไม่ได้ทิ้งผมหรอกครับ
เขาแค่ไปทักทายเพื่อนเฉยๆ คิดว่าเพื่อนต้องเยอะมากเลยทักทายกันนาน” เจ้าตัวตอบซื่อๆแต่ทำให้มีเสียงหัวเราะลอดออกมา
“ก็คนดังนี่นะจะไม่รู้จักคนเยอะได้ไง”
“คุณจีโฮเขาเป็นคนดังเหรอครับ”
“ดังสิ...อะไร อย่าบอกนะว่าไม่รู้”
“ผมไม่รู้หรอกครับว่า ดังขนาดไหน
รู้แค่ว่าคนมีคนรู้จักพอสมควรเพราะตอนที่มาที่นี่เห็นมีคนขอลายเซ็น”
“เป็นเพื่อนกับมันยังไงถึงไม่รู้เนี่ย”
“ก็เพิ่งเป็นเพื่อนกันวันนี้เองครับ
พอดีบอสของพี่ผมเขาให้คุณจีโฮพาผมไปเที่ยวน่ะครับ”
“ที่บ้านไม่มีทีวีหรืออินเตอร์เน็ตหรือไง”
“มีครับ...แต่ผมไม่ค่อยได้เปิดดูหรอก
ปกติผมอยู่ที่โรงปั้นตลอด
ส่วนอินเตอร์เน็ตก็ใช่อ่านข่าวทั่วไปกับดูข้าวของที่มาใช้เป็นแรงบันดาลใจได้มากกว่า”
“ฮ่าๆๆ แปลกดี เพิ่งเคยเจอคนที่ใช้ชีวิตเหมือนคนแก่
แล้วเราน่ะชื่ออะไร...พี่ชื่อคยองอิลนะ” อีกฝ่ายดูจากหน้าเลยถือวิสาสะแทนตัวเองว่าพี่
“ซึงฮวังครับ”
“เราใช้น้ำหอมด้วยเหรอ
ใช้น้ำหอมยี่ห้ออะไร...กลิ่นหอมแปลกดี”
“ผมไม่เคยใช้น้ำหอมครับ ผมใช้แค่สบู่กับแชมพูที่ทำเอง”
“โอ้ จริงดิ...ทำใช้เองด้วย”
“ครับ พอดีผมเป็นโรคภูมิแพ้ทั้งอากาศกับผิวหนังด้วย
เวลาจะใช้สารอะไรที่สัมผัสร่างกายก็ต้องแน่ใจว่าไม่เป็นอันตราย
และผมทดลองแล้วว่าของที่ผมทำเองนี่แหละดีที่สุดก็เลยทำเองมาตลอด”
“อย่างนี้ก็ลำบากแย่สิ”
“ไม่หรอกครับ...ถ้าเราไม่คิดว่ามันลำบากมันก็จะไม่ลำบากไปเอง”
“มีงี้ด้วย”
“คนเราเวลาคิดแต่เรื่องไม่ดี ใจก็จะไม่ดี
แต่ถ้าคิดเรื่องดีๆไว้ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น”
“โห โลกสวยนะเนี่ย”
“จะว่าโลกสวยก็ได้แต่ผมไม่เห็นประโยชน์ที่จะมองโลกแง่ร้ายน่ะ...แต่ถ้ามันอดคิดไม่ได้
ผมจะหาอะไรหวานๆกิน ว่าแล้วก็กินสักเม็ดดีกว่าเผื่อจะรู้สึกดีกับอากาศที่นี่บ้าง” มือเรียวขาวล้วงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทหยิบลูกอมช็อกโกแลตออกมาอมและส่งลูกอมยังไม่แกะเปลือกอีกเม็ดไปให้คนข้างหลัง “เอาไหมครับ”
คยองอิลจ้องหน้านวลที่ถูกแสงสีเหลืองและแดงสาดแทรกที่หันมาหา
ตากลมเหมือนลูกกวางและริมฝีปากที่แย้มกว้างเหมือนเด็กไม่มีแววเจ้าเล่ห์เพทุบายซ่อนเร้นเลยแม้แต่น้อยก็หลุดยิ้มพลางส่ายหัวไปมาเบาๆ
เขาคุ้นเคยกับที่แบบนี้แค่มองก็รู้แล้วว่าคนๆนั้นเป็นยังไง
แต่เขายังไม่เคยเจอใครที่สะอาดขนาดนี้
ตอนแรกที่เข้ามาถามเพราะเห็นอาการไม่ค่อยดีแต่ตอนนี้ที่อยู่เป็นเพื่อนก่อนเพราะกลัวจะโดนคนไม่ดีเข้าหา
“เราไม่เหมาะกับที่แบบนี้เลยนะรู้ตัวไหม...ที่นี่นะมีแต่พวกเขี้ยวลากดินทั้งนั้น”
“จริงเหรอครับ” หน้านวลขมวดยุ่ง “งั้นคุณคยองอิลยิงฟันให้ผมดูหน่อยสิ”
“ห๊ะ”
“ผมจะดูเขี้ยวไง...อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ
ผมรู้หรอกน่าว่าเขี้ยวลากดินหมายถึงอะไร แค่หยอกเล่นน่ะ” คนที่หน้าพราวยิ้มตลอดเวลาเอ่ยในตอนที่เห็นฝ่ายตรงข้ามย่นหน้าผาก
พอเฉลยไม่ช้าริมฝีปากบางของอีกคนก็กระตุกหลุดขำพร้อมกับมือที่หยิบผ้าพันคอที่ตกอยู่ตรงไหล่มาพันปิดจมูกให้อย่างอ่อนโยน
“ปิดจมูกไว้...แถวนี้เขาสูบบุหรี่จัดกัน” คนตัวสูงกว่ากระซิบบอกข้างหูก่อนวางคางเกยบนไหล่บางนุ่มแล้วถอนหายใจออกมา
“เหนื่อยเหรอครับ” เพราะสัมผัสได้ถึงแรงที่ทิ้งลงบนบ่าเลยถามทั้งที่ตากลับไปสนใจกับสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง
ความที่คุ้นกับการถูกสัมผัสจากคนรอบข้างเลยไม่ได้คิดอะไร
“อืม...โครตเหนื่อยเลย”
“ทำไมไม่กลับบ้านล่ะครับ”
“กลับไม่ได้น่ะสิ”
“ต้องรอเพื่อนเหรอครับ”
“จะเรียกเพื่อนก็ไม่ได้ล่ะมั่ง
ต้องเรียกลูกเจ้านายมากกว่า...แล้วเราล่ะ เพื่อนเราจะขึ้นเวทีเมื่อไหร่”
“เขาบอกว่าสี่ทุ่มจะขึ้น
นี่ก็ใกล้จะสี่ทุ่มแล้วคงอีกไม่นานหรอกครับ”
“ถ้าเพื่อนขึ้นแล้วไอ้จีโฮมันไม่โผล่มาทำไง
พี่ไปส่งเราให้ไหม” คนตัวสูงยังไม่มีทีท่าจะผละจากไหล่นุ่มและกลิ่นหอมแปลกนั้นเสนอตัว
หากไม่ทันที่จะได้ยินคำตอบ
จีโฮที่หายไปพักใหญ่เพราะลงไปขอยาแก้ปวดหัวดึงหลังคอเสื้อให้ถอยออกมาจากเพื่อนตัวเอง
“พี่ทำอะไรเนี่ย”
“กูไม่ได้ทำอะไรเลย เห็นเขามึนหัวเลยอยู่เป็นเพื่อน
มึงนั่นแหละหายหัวไปไหนถึงทิ้งเพื่อนไว้แบบนี้”
“ผมไม่ได้ทิ้งแค่ไปขอยามา”
“อ้อ ดีไปเอามาก็ดี
เขาบอกกูว่าปวดหัวเพราะกลิ่นบุหรี่อยู่”
“เออ ผมรู้แล้วล่ะ ขอบคุณที่พี่ช่วยดูเพื่อนผมให้
เดี๋ยวผมดูแลเพื่อนผมต่อเอง” เอ่ยจบก็ขยับไปแทนที่
“ไม่เป็นไร” คยองอิลยกมือรับคำขอบคุณขยับจากที่ยืนเผชิญหน้ากับรุ่นน้องเดินไปประมาณสองก้าวก็หันหน้าเท้าแขนวางบนราวระเบียงของชั้นลอยก่อนหันมายิ้มให้คนที่นั่งอยู่จนฝ่ายที่เพิ่งกลับมาถึงขั้นเลียริมฝีปากจ้องหน้ากลับ
...นี่ไม่ใช่สายชอบมีเรื่องเป็นสายน่ารักตลกเฮฮาแต่ถ้ามันล้ำเส้นกันมากก็จัดได้นะมือเท้าเนี่ย...
“พี่ไปยืนตรงอื่นไม่ได้ไง
หรือไม่ก็ไปดูไอ้อีจองมันหน่อยไหม...ป่านนี้เมามั่วไปหมดแล้ว”
“จะให้คอยดูแม่งตลอดก็ไม่ไหวมั่ง กูไม่ใช่ทาสมันนะ”
“แต่พ่อมันเป็นเจ้านายพี่”
“รู้...แต่ช่างแม่งมันสักชั่วโมงคงไม่ถึงตายหรอก
ขอกูพักบ้างเหอะ”
คนที่ใส่แว่นดำอยู่ตลอดอ้าปากจะตอบโต้แต่เพราะชายเสื้อถูกกระตุกจากร่างเล็กที่ตัวเองยืนซ้อนอยู่เลยก้มลงมองก็เห็นอีกคนเหลียวหน้าเงยมาหา
““รู้จักกันเหรอครับ”
“ก็นิดหน่อย”
“เขาเป็นพี่ไม่ใช่เหรอครับ...ทำไมถึงพูดกับพี่ห้วนจัง”
“มันเป็นสไตล์อ่ะ”
“เป็นสไตล์ที่ไม่น่ารักเลย
พอได้ยินแบบนี้แล้วก็คิดถึงเพื่อนผมเลย”
“เพื่อน...เพื่อนคนนั้นใช่คนที่คุณมาหาถึงนี้หรือเปล่า”
“อืม...เขาเป็นคนแข็งๆ
ชอบพูดห้วนๆกับคนอื่นให้ต้องดุอยู่เรื่อย แต่เขาใจดีกับผมมากเลยล่ะ” คนตัวเล็กบอกพร้อมกับตาที่หรี่ลงจากการยิ้มก่อนที่เสียงของบยอลจะเรียกความสนใจของเขาให้มองไปข้างล่าง
ในตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมชุดดำทั้งตัวที่คุ้นเคยก็ก้าวขึ้นมาบนเวที
ซึงฮวังจ้องคนบนเวทีด้วยรอยยิ้มที่กว้างกว่าเก่าพลางยกสองแขนมาพาดกับราวระเบียง
พยักพเยิดหน้าเป็นบางทีในตอนที่ได้ยินคำถามจากด้านหลังแต่ทุกความสนใจจดจ่ออยู่ ณ
เวทีด้านล่าง
กวังรยอลแนะนำตัวเองบนเวทีคู่กับบยอลที่สลัดตำแหน่งพิธีกรชั่วคราวมาเป็นศิลปินแทน
ดีเจประจำร้านให้สัญญาณแล้วปล่อยดนตรีจังหวะรุนแรงเร่งเร้าลอยออกมาให้ทั้งคู่ได้แสดงฝีมือในการเป็นแรปเปอร์อย่างเต็มที่
โดยไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งที่หัวเราะในทุกครั้งที่ทั้งคู่พ่นคำผรุสวาททั้งหลายให้ได้ยิน
“นั่นเพื่อนที่มาหาเหรอ” สองเสียงประสานถามพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะลอยมา
“ครับ...ตลกจัง
เมื่อกี้เห็นศิลปินขึ้นมาคนสองคนยังปวดหัวอยู่เลย
แต่พอเห็นคุณบยอลกับเขาแล้วทำไมขำก็ไม่รู้ โหย มีสาดน้ำด้วยเหรอเนี่ย
แบบนี้เขาไม่เปียกกันหมดเหรอครับ เดี๋ยวก็เป็นหวัดกันหรอก”
“เวลาที่ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมมากๆ
สาดน้ำลงไปมันช่วยให้สนุกขึ้นน่ะ”
จีโฮตอบกดคางลงไปคลึงกลางกระหม่อมแต่อีกคนไม่ได้ว่าอะไรยังคงสนใจกับการแสดงข้างล่าง
ในไม่ช้าเสียงดนตรีก็เงียบลงเหลือเพียงเสียงโห่ร้องอย่างสนุกสนาน
กวังรยอลหัวเราะพลางกวาดตามองผู้ชมทั้งข้างล่างและบนชั้นลอยที่เกาะราวระเบียงอยู่
ชั่วจังหวะที่แสงสีเหลืองสว่างส่องไปถึงจุดนั้น
พลันตาคมก็เห็นบางคนนั่งเท้าแขนเอาคางเกยอยู่
ดวงหน้าอ่อนละมุนที่ตรึงอยู่ในความคิดเสมอยิ้มกว้างแต่เหนือขึ้นไปมีผู้ชายแปลกหน้ายืนซ้อนอยู่ด้านหลัง
ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาตริตรอง ร่างใหญ่กระโดดลงจากเวทีแทรกแหวกผู้ชมที่ออเต็มด้านล่างวิ่งขึ้นบันไปยังชั้นลอย
เจ้าของร้านกระพริบตาปริบมองเพื่อนอย่างงงๆ
หากการแสดงยังต้องดำเนินต่อจำเป็นต้องหยิบไมค์มาทำหน้าที่เอ็มซีชวนคุยและเชิญศิลปินคนต่อไปขึ้นบนเวที
ไม่ถึงนาทีทุกอย่างก็เข้าสู่ความสนุกสนาน
ชายหนุ่มยืนขวางบันไดทอดมองไปยังคนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หันมาหา
ดวงหน้าอาบยิ้มสวยและนัยน์ตาที่พราวระยับเปล่งประกายแม้ในความสลัว
คนบนชั้นลอยหันมองแทบเป็นตาเดียวแต่เขาไม่ได้สนใจเพียงเดินเข้าไปกระชากคนที่โน้มตัวอยู่เหนือร่างเล็กด้านหลังออกแล้วดึงคนที่นั่งอยู่มากอดไว้แน่น
“บ้าจัง มาได้ยังไง ตรงนี้มันดงบุหรี่เลยนะ
ปวดหัวหรือเปล่า หายใจออกไหม ดูหน้าสิ ทำไมซีดขนาดนี้” เขาถามขณะจับแขนผอมทั้งสองข้างดันตัวห่างออกมาสำรวจไปทั่วด้วยความเครียด
“เจ้าหมา” เจ้าของมือขาวเรียกพลางลูบผมชื้นเหงื่อด้านหลังเบาๆ “หายใจเข้าลึกๆ”
“ก็มัน”
“โกรธผมเหรอ” คำถามนั้นดังขึ้นแต่มือนุ่มยังคงสัมผัสเส้นผมอ่อนโยน
“ผมไม่ได้โกรธ...ผมแค่ไม่คิดว่าจะเจอลูกแมวที่นี่”
“ถ้ารู้จะเรียกเซอร์ไพร้ส์เหรอ” คนตัวเล็กหลุดหัวเราะเสียงใส “แต่เมื่อกี้เจ้าหมาเก่งมากเลยล่ะ
เท่ห์มากด้วยแต่ใช้คำหยาบเยอะไปหน่อยนะ”
“ใครพาลูกแมวมา...พี่ฮันเฮเหรอ” เขายังคงถามไม่ได้สนใจในคำชมดึงมือที่ลูบผมตัวเองมากุมไว้
“เปล่า...ผมมากับคุณจีโฮ”
“จีโฮ”
“อืม...คุณจีโฮเป็นเพื่อนของคุณบอสกับพี่ฮันเฮ
แต่ตอนนี้เขาเป็นเพื่อนของผมด้วยแล้วล่ะ วันนี้เขาพาผมไปเที่ยวเยอะเลยล่ะ”
ร่างใหญ่เหลือบไปยังชายหนุ่มสวมแว่นดำที่สูงไล่เลี่ยกันก็จำได้ว่าเป็นแรปเปอร์คนดังซึ่งเป็นเพื่อนกับบยอลแต่เขาไม่สนิทอะไรเพียงเห็นหน้าไม่กี่ครั้งและทักทายสั้นๆกันเท่านั้น
“อ้อ นายเองเหรอกวังรยอล
ถ้าบอกว่าคันโทแต่แรกก็รู้ล่ะว่าใคร” ฝ่ายตรงข้ามว่ามีรอยยิ้มน้อยๆตรงมุมปาก
“รู้จักกันเหรอ” เสียงเล็กว่าตาโตขึ้นอย่างสนใจ
“รู้จักแต่ไม่สนิท”
“อ่า แบบนี้นี่เอง อ้อ
แล้วรู้จักคุณคยองอิลเขาด้วยไหม เนี่ยเมื่อกี้ตอนที่ผมมึนหัว
เขาช่วยหาเก้าอี้กับอยู่เป็นเพื่อนด้วยล่ะ” สิ้นคำเป็นอีกครั้งที่ตาตวัดไปตามนิ้วขาวที่ชี้
จ้องหน้าหล่อและความสูงที่เหนือกว่าเล็กน้อยราวนายแบบนั้นไว้ก็จำได้ว่าเป็นลูกค้าที่เขาเคยเจอเวลาแวะมาที่นี่
“เคยเห็นแต่ไม่รู้จักชื่อ” ตอบแล้วก็จ้องชายหนุ่มทั้งสองคนไปมาเขม็งด้วยสีหน้าเรียบเย็น
อีกฝ่ายเองก็มองมาอย่างไม่กลัว การเผชิญกันอย่างเงียบๆกรุ่นอยู่ไม่ถึงห้านาทีก็หยุดเพราะเสียงจามติดกันของคนที่เริ่มไม่ไหวกับกลิ่นบุหรี่
“ไปจากนี่เถอะ” คนผิวเข้มสอดแขนแข็งแรงของตัวเองเข้าไปกอดร่างผอมบางแล้วอุ้มลอยจากพื้นก่อนจะพาเดินลงบันไดไป
เพียงเหยียบพื้นได้ก็แทรกตัวผ่านผู้คนที่แออัดผ่านบานประตูหลังร้านไปยังลานที่มีรถจอดอยู่จึงวางร่างนั้นลง
“กลับบ้านกัน”
“แล้วคุณบยอลล่ะ...ไหนว่าวันนี้ต้องอยู่ช่วยถึงตีสามตีสี่นู้นไม่ใช่เหรอ”
“เดี๋ยวมันก็หาคนช่วยของมันได้เอง”
“เจ้าหมา
ทำแบบนั้นไม่ได้นะ...หายไปปุบปับแบบนี้คุณบยอลก็ลำบากแย่สิ งานยังไม่เลิกเลย
แล้วที่ว่าหาคนช่วยได้น่ะใครจะมาช่วย”
“บนชั้นลอยนั้นก็เพื่อนมันตั้งกี่คน...ไอ้คนที่พาลูกแมวเที่ยววันนี้ก็เพื่อนมันเหมือนกัน
สะเออะพาไปลูกแมวไปเที่ยวได้จะช่วยบยอลมันทำนู้นนี่หน่อยไม่ได้หรือไง”
“งะ...พูดจาไม่ดีอีกแล้วนะ
ไปพูดกับคุณจีโฮแบบนั้นได้ยังไง ถ้าไม่พอใจที่ผมมาหาก็ว่าผมสิ” เสียงใสเป็นมิตรเสมอนั้นเจือแววเศร้า “ผมก็แค่อยากมาดูเท่านั้นเองว่าเจ้าหมาเป็นยังไงบ้าง
แต่ไม่รู้ว่าจะทำให้โมโหขนาดนี้”
“ผมไม่ได้โมโห
ผมแค่เป็นห่วง...ลูกแมวจะมาที่นี่ผมไม่ว่านะ แต่ควรจะบอกผม ผมจะได้เตรียมที่ให้
มาเองแบบนี้ที่นี่มันทั้งมืดทั้งคนเยอะ ไหนจะกลิ่นบุหรี่อีก
มันไม่ดีกับสุขภาพของลูกแมวเลย”
“ก็ถ้าบอกว่าจะมา
เจ้าหมาก็ต้องมาคอยดูแลผมแทนที่จะทำงานใช่ไหมล่ะ”
“แต่มันก็ดีกว่าให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้พาลูกแมวมาแบบนี้...รู้ไหมว่ามันอันตราย”
“ใครก็ไม่รู้อะไรกัน
คุณจีโฮเขาเป็นเพื่อนคุณบอสกับพี่ฮันเฮนะ ตอนนี้ก็เป็นเพื่อนผมด้วย”
“ไม่นับจีโฮก็หมอนั่นอีก ลูกแมวไม่เข้าใจเหรอว่า
ที่นี่คนที่มาไม่ใช่คนใจดีอะไรหรอกนะ พวกหวังผลก็เยอะ
ที่มาช่วยนั่นก็ไม่รู้ว่าเพราะหวังดีหรืออะไรกันแน่
ถ้ามาดีก็ดีไปแต่ถ้ามาไม่ดีจะทำยังไง” เสียงเข้มที่เปล่งออกมาแต่ละคำมีความร้อนรนอย่างชัดเจน
แขนแข็งแรงที่โอบรอบเอวก็วางร่างบางลงบนพื้นแล้วคว้าถุงพลาสติกหยิบเสื้อโค้ทตัวยาวที่อยู่ในนั้นมาคลุมบนร่างอีกคนด้วยกลัวจะหนาว
รอยห่วงกังวลกระจายทั่วใบหน้าคมทำให้มือนุ่มของคนที่เป็นสาเหตุทาบลงบนแก้มสีน้ำผึ้งเบาๆ
“ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง”
“อย่าขอโทษ...อย่าทำหน้าแบบนั้น” น้ำเสียงเข้มเอ่ยขึ้นอย่างอุ่นอ่อนพลางจัดแจงดึงผ้าพันคอมาพันให้ใหม่ “ลูกแมวใส่เสื้อโค้ทดีๆ
อากาศตอนนี้มันหนาว พันผ้าพันคอไว้แบบนี้ลมจะได้ไม่ถูกคอ เดี๋ยวไม่สบาย”
“แล้วเจ้าหมาไม่หนาวเหรอ...อา
สเวตเตอร์ตัวนี้มันเยินๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนเลย”
“ต้องเคยเห็นสิ...ก็ลูกแมวถักมันนี้”
“เอ๊ะ...อ๊ะ...นี่อย่าบอกนะว่าเอาไอ้เสื้อถักที่ผมซ่อนไว้ในตู้ห้องผมมาใส่น่ะ”
“อืม ผมเห็นมันมีชื่อผมตรงชายเสื้อด้วยก็เลยเอามาใส่”
“มันเยินจะตาย อุตส่าห์ซ่อนด้วยไปเอามาใส่อีกแน่ะ”
“ก็ถักให้ผมไม่ใช่เหรอ
จะเยินแค่ไหนก็ไม่เห็นเป็นไรเลย...อะไรที่ลูกแมวทำให้ผมไม่มีไม่ดีหรอก”
“หายโกรธผมแล้วเหรอ”
“ผมบอกแล้วนะว่าไม่ได้โกรธ”
“ก็ไม่เห็นยิ้มเลย ยิ้มให้ผมดูหน่อยสิ” เพราะคำถามและดวงตากลมที่กระพริบมอง
สุดท้ายหน้าที่เครียดเคร่งก็หลุดยิ้มบางออกมา
“ไปจากนี้กันเถอะ...กลับบ้านกันดีกว่า”
“แล้วคุณบยอลล่ะ ทิ้งงานมาแบบนี้มันไม่ดีนะ”
“วันนี้ผมช่วยงานมันเยอะแล้วล่ะ
ช่วยฟรีด้วย...นี่ก็เหลือแค่รอเคลียร์ของกับพื้นที่แต่มันมีเด็กช่วยอยู่
ไม่มีผมคนหนึ่งไม่เป็นไรหรอก แต่เพื่อความสบายใจของลูกแมวผมจะส่งข้อความไปบอกมันก่อน” ว่าแล้วก็หยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์ข้อความส่ง
“ไม่เข้าไปบอกต่อหน้าเหรอ”
“ขืนเข้าไปอีกลูกแมวจะแย่เอาอ่ะสิ มีแต่บุหรี่
ให้แม่งออกมาดีกว่า...เออ เห็นไหม ให้มันออกมาง่ายกว่าตั้งเยอะ” คนตัวใหญ่ว่านิ้วเรียวชี้ไปยังคนหน้าดุที่แบกเสื้อโค้ทสีดำตัวใหญ่
ส่วนมืออีกข้างถือกุงกระดาษผ่านประตูหลังร้านเดินมาหา
บยอลยิ้มให้ร่างผอมที่ห่อตัวอยู่ใต้เสื้อโค้ทหนาแล้วส่งเสื้อโค้ทที่เอามาด้วยให้เพื่อนและส่งถุงกระดาษลายสวยให้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“วันนี้พาไอ้บ้านี่มันกลับได้เลยครับ...เดี๋ยวผมให้เด็กช่วยเอง
ส่วนนี้เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆที่ผมเตรียมไว้ให้
ตอนแรกจะให้มันเอาไปให้แต่คุณอยู่นี้แล้วเลยเอามาให้เองดีกว่า
ขอบคุณสำหรับของกินที่ฝากเอามาให้ผมกินบ่อยๆด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่อยากทำให้คุณบยอลกินเฉยๆ
ไม่ได้อยากได้อะไรตอบแทนนะ”
“ในนั้นเป็นเค้กแครอทน่ะครับ คุณแพ้แป้งสาลีใช่ไหมครับ
ร้านนี้เขาใช้แป้งอื่นน่ะ มันก็ไม่ได้มีราคาอะไรมากมายหรอก
อย่าให้ผมเป็นคนรับอย่างเดียวเลย ให้ผมเป็นคนให้บ้าง”
“ขอบคุณครับ”
“กลับบ้านดีๆนะครับ เดี๋ยวผมต้องไปดูงานต่อ
ไว้เจอกันนะครับ” เจ้าของร้านยิ้มพลางยกมือขึ้นโบกเล็กน้อยแต่ไม่ทันได้เดินไปไหนก็ถูกเรียกไว้
“เดี๋ยวครับ...คือผมอยากจะฝากคุณบยอลไปขอบคุณคุณจีโฮที่วันนี้พาผมไปเที่ยวมาทั้งวันเลย
แล้วก็ขอบคุณคุณคยองอิลที่เขาช่วยตอนผมอาการไม่ค่อยดีให้หน่อยได้ไหมครับ”
“เออ เมื่อกี้ผมเจอจีโฮเห็นมันถามถึงคุณอยู่
ผมบอกว่าคุณจะกลับบ้านแล้ว มันเลยจะกลับเหมือนกัน
แต่ว่านะผมเพิ่งรู้ว่าคุณเป็นน้องของพี่ฮันเฮ...คุณเป็นน้องแท้ๆของพี่เขาเลยเหรอครับ”
“ครับๆผมเป็นน้องแท้ๆ คุณบยอลรู้จักพี่ผมด้วยเหรอครับ”
“ก็ครับ เอาเป็นว่าผมจะบอกจีโฮมันให้
ส่วนพี่คยองอิลเขาไม่ได้มาที่นี่ทุกวัน แต่ถ้าเจอผมจะบอกเขาให้แล้วกันนะครับ”
บยอลโบกมือลาใหม่อีกรอบและหายเข้าไปในร้านปล่อยทั้งคู่ให้อยู่กันตามลำพัง
กวังรยอลกดโทรศัพท์โทรไปหาฮันเฮเรื่องที่เจอกับซึงฮวังแล้วคงจะกลับบ้านเลยเรียบร้อยก็คว้าทุกอย่างที่อยู่ในมือขาวนั้นมาถือไว้และแทนที่ด้วยมือของตัวเองพาไปที่รถแวนที่จอดอยู่ตรงลานด้านหลัง
“เจ้าหมากินข้าวกลางวันกับข้าวเย็นที่ผมทำมาให้หรือยัง” คำถามนั้นดังขึ้นหลังจากรถเคลื่อนออกไปได้ไม่ไกล
“อืม แล้วลูกแมวล่ะกินข้าวกินยาหรือยัง”
“กินแล้ว ไปกินกับคุณจีโฮมา”
เพียงชื่อของแรปเปอร์คนดังหลุดจากปากมาให้ได้ยินตาคมที่จ้องถนนนิ่งก็กระตุก
มือใหญ่จับพวงมาลัยไว้แน่นกว่าปกติ
พยายามข่มความไม่พอใจที่มีอยู่เพราะรู้ว่าคนตัวเล็กไม่คิดอะไรแต่ฝ่ายที่เอาคางมากดบนกระหม่อมนางฟ้าของคนอื่นนี่มันคิดแบบไหน
“วันนี้ออกไปเที่ยวมาสินะ
แล้วเป็นมายังไงหมอนั่นถึงมาพาเที่ยวได้”
“ผมอยากไปดูงานศิลป์น่ะแล้วก็ตั้งใจว่าจะไปดูเจ้าหมาขึ้นเวที
แต่ไม่มีใครว่างพาไปเลย คุณบอสกับพี่ฮันเฮเขากลัวผมหลงทางก็เลยหาคนพาไปให้”
“ไปไหนมาบ้างล่ะ”
“ก็ไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะลีอุมซัมซุง
แล้วก็ไปเดินซื้อของที่อินซาดงมา อ้อ ผมได้ไปร้านสักมาด้วยแหละ รู้ไหมว่าผมเจอรอยสักของเจ้าหมาติดอยู่ด้วยแหละ”
“อะไร
หมอนั่นพาไปร้านสักแถมไปร้านสักที่เดียวกับที่ผมไปด้วย
พาไปได้ยังไงที่แบบนั่นมันมีกลิ่นบุหรี่แถมร้านมันก็ดูเหมือนลัทธิซาตาน
นางฟ้าเข้าร้านมันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”
“นางฟ้า...นางฟ้าอะไรกัน ผมไม่ใช่สักหน่อย” เสียงใสว่าพลางหัวเราะ “อา จริงสิ
ตอนไปที่ร้านนั้นผมเห็นรอยสักที่เจ้าหมาเคยพูดถึงแล้วล่ะ มันก็ตลกดีนะ”
“ตลกยังไง”
“ผมจำลายเส้นของรูปนั้นได้...มันเป็นลายเส้นของพี่ที่เขาเคยช่วยเหลือผมมาตลอด
ก็แปลกดี ทั้งที่เขาแต่งงานไปก็ตัดการติดต่อกับผมไปเลยแท้ๆ แต่ทำไมถึงสักชื่อคนที่เขาเกลียดอย่างผมไว้ตรงนั้นน่ะ”
“พี่...คุณมีพี่ที่ไหนอีกเหรอ” คิ้วเข้มของอีกคนขมวดแทบจะในทันทีที่ได้ยินเรื่องราวของคนที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ผมไม่เคยเล่าให้ฟังใช่ไหม พี่คังน่ะ
เขาไม่ใช่พี่ชายแท้ๆของผมหรอก เรารู้จักกันตั้งแต่ผมอายุเจ็ดขวบได้ล่ะมั่ง
เขาเป็นเพื่อนซี้ของพี่ฮันเฮ เขาเป็นพี่ที่ดีกับผมมากเลยนะ
ตอนที่ผมมาเรียนปริญญาโทที่โซลก็อยู่กับเขา...เขาพาผมไปนั่นไปนี่บ่อยๆ
แต่ตอนที่เขาจะแต่งงาน
เขาบอกผมว่าคงเจอผมไม่ได้อีกแล้วและผมก็ติดต่อเขาไม่ได้อีกเลยตั้งแต่นั้น” ดวงตากลมใสยามเอ่ยถึงคนในความทรงจำมีแววหม่นลง
หากริมฝีปากกลับขยายกว้าง...ในความสงสัยและไม่เข้าใจยังมีความห่วงใยให้เสมอ
“ถ้าลูกแมวมั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรให้เขาแค้นขนาดไม่เผาผี
ไม่มีทางที่เขาจะสักชื่อลูกแมวไว้หรอก...คนเราจะสักชื่อใครสักคนไว้บนตัวได้ก็เพราะคนนั้นมีความหมายกับเขามากต่างหาก”
“แต่ผมไม่คิดว่าผมมีความหมายกับพี่เขาหรอกนะ”
“คุณจะรู้ได้ยังไง...ขนาดผม ลูกแมวยังไม่รู้เลยว่า
ลูกแมวมีความหมายกับผมขนาดไหน”
“ทำไมจะไม่รู้ล่ะ”
“ถ้ารู้ทำไมถึงโกหกผมล่ะ”
ถ้อยคำที่หลุดจากปากคล้ายไม่รู้สึกอะไร
ทว่าคนตัวเล็กที่นั่งเอนหลังอยู่กับเบาะข้างคนขับกลับหลุดขำออกมา
“นั่นไง...ไหนว่าไม่โกรธ โกรธจริงๆด้วย” เสียงหัวเราะดังขึ้นกลางความเงียบในรถอีกครา “รู้ไหม
ทำไมผมถึงไปหาโดยไม่บอก”
“ทำไม”
“เพลงพวกนั้นที่เจ้าหมาชอบน่ะมันมีแต่คำหยาบใช่ไหมล่ะ...ตอนที่อยู่กับผม
เจ้าหมาไม่เคยพูดไม่ดีเลยนี่ ถ้าผมไปด้วยตั้งแต่แรกเจ้าหมาอาจจะทำไม่เต็มที่
ผมน่ะก็แค่อยากเห็น
อยากรู้ทุกอย่างที่เจ้าหมาเป็น...อยากรู้ว่าโลกอีกใบของเจ้าหมาเวลาอยู่กับคนอื่นมันเป็นยังไง
ผมถึงได้ไปโดยไม่บอก”
“อา” เจ้าของรถยินประโยคอ่อนโยนจากคนข้างตัวพลางเม้มริมฝีปากด้วยความรู้สึกอุ่นไปทั้งใจ
“วันนี้ผมได้ไปเที่ยวหลายที่ ได้เห็นอะไรเยอะเลย
มันก็สนุกดีหรอก แต่ผมรู้สึกอยู่ตลอดเลยว่า ถ้าเจ้าหมาอยู่ด้วยมันคงดีกว่านี้”
“เหรอ”
“จริงสิ วันนี้ผมให้ของคนอื่นมาทั้งวันแต่ยังไม่ได้ให้อะไรเจ้าหมาเลย...พอดีตอนที่ไปเดินเล่นแถวอินซาดงน่ะผมไปเจอร้านสร้อยน่ารักมากร้านหนึ่งก็เลยซื้อนี่มาฝาก” เจ้าตัวบอกจบก็หยิบสร้อยคอมีจี้ห้อยรูปลูกหมาขนปุยสีน้ำตาลขาวและอีกเส้นห้อยจี้รูปลูกแมวสีสวาทออกมาวางตรงคอนโซลรถ “อันนี้ผมให้
สร้อยหมากับแมวเหมือนเราสองคนน่ะ นี่ผมเลือกอยู่นานเลยนะ
แต่มันดูไม่เหมาะกับชุดแพงๆของเจ้าหมาเท่าไหร่...เพราะงั้นถ้าไม่ใส่ก็เก็บไว้นะ”
กวังรยอลละสายตาจากท้องถนนชั่วคราวมายังสร้อยรูปสุนัขกับแมวที่วางอยู่ใกล้ๆ
ก็หลุดยิ้มบางให้กับความเอาใจใส่ที่ได้รับเสมอมา
ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเล็กน้อยเพียงใดก็มีความหมายกับชีวิต
“ว้าว...ไม่ได้เห็นแม่น้ำฮันมานานเลย
พอมาเห็นตอนกลางคืนแบบนี้แล้วสวยจังเนาะ” ผู้โดยสารประจำรถแวนร้องอย่างตื่นเต้นในนาทีที่รถเคลื่อนผ่านไปบนสะพานข้ามแม่น้ำสายหลักของประเทศ
แสงไฟจากบ้านเรือนที่สะท้อนลงบนพื้นน้ำยามค่ำคืนเป็นประกายระยับจับตา
“จอดรถลงไปดูไหม”
“ได้เหรอ”
“ถ้าสักสิบนาทีคงไม่เป็นไรหรอก
ตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีรถด้วย ไม่เกะกะใครหรอก ลงไปดูด้วยกันนะ”
คำชวนจากคนตัวใหญ่เอ่ยขึ้นก่อนที่รถแวนจะจอดเข้าข้างทางติดกับราวกันที่จะไปถึงส่วนที่เป็นทางเท้าบนถนนที่แทบจะร้างรถสัญจร
เท้าก้าวข้ามรั้วแล้วอุ้มร่างที่เล็กกว่าข้ามตามมาโดยไม่ฟังเสียงทัดทานที่บอกว่าจะข้ามมาเองและในที่สุดทั้งคู่ก็มาเกาะราวสะพานทอดสายตายังผืนน้ำระริกไหว
“ลูกแมวเคยมาเดินเล่นริมแม่น้ำฮันไหม”
“เคยแต่ก็นานแล้วล่ะ”
“มากับใคร” ร่างสูงขยับตัวมายืนซ้อนข้างหลังและยืดแขนออกไปเกาะราวกันลมไม่ให้กระทบกับร่างบาง
“มากับที่บ้านแล้วก็เพื่อนที่มหาวิทยาลัย เออ
เคยมากับพี่คังด้วย”
“อิจฉาจัง”
“อิจฉาอะไร”
“ผมอยากเป็นคนแรกที่ได้มาดูแม่น้ำฮันกับลูกแมวน่ะ”
“มันไม่สำคัญที่ใครพามาเป็นคนแรกหรอก
มันสำคัญที่ว่ามาดูกับใครมากกว่า”
“มาดูกับผมแล้วเป็นยังไง”
“มีความสุขดี” ไหล่ผอมสั่นเบาๆจากการหัวเราะ “นี่
ถ้าวันไหนที่ผมว่างแล้วเจ้าหมาไม่ได้กลับดึกเกินไป เรามาที่โซลกันอีกได้ไหม
ผมมีหลายที่เลยนะที่อยากพาเจ้าหมาไป ไม่สิ จริงๆต้องบอกว่า
อยากให้เจ้าหมาอยู่กับผมทุกที่ที่ผมอยู่มากกว่า เดี๋ยวนี้
บางทีเวลาที่มองไปไม่เห็นเจ้าหมา ผมจะรู้สึกใจหาย บ้าเนาะ
เหมือนว่าผมจะเป็นโรคติดเจ้าหมาไปแล้วล่ะ”
“งั้นผมจะอยู่ใกล้ๆลูกแมวแบบนี้ตลอดไปเลยดีไหม”
“ไม่ดีหรอก...วันหนึ่งเจ้าหมาก็ต้องมีคนที่อยากอยู่ด้วยมากกว่าผม
คนที่เจ้าหมาอยากใช้เวลาทั้งชีวิตที่เหลืออยู่กับเขา
เจ้าหมาจะมาผูกติดกับผมไปตลอดไม่ได้หรอกนะ”
“ผมไม่ต้องการคนอื่นหรอก...ชีวิตผมมีความหมายก็เพราะลูกแมวนะ
ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะอยู่กับลูกแมวแบบนี้ ดูแลกันและกันไปจนวันสุดท้ายของชีวิต” เสียงเข้มเอ่ยคำด้วยรอยแย้มกว้าง
คางวางลงบนไหล่แล้วคลึงเบาๆราวจะนวด
ซึงฮวังแลพื้นน้ำระยับตรงหน้า
อากาศอันหนาวเหน็บยามค่ำคืนถูกแทนที่ด้วยสัมผัสของไออุ่นจากกายใหญ่ที่โอบล้อม
เสียงลมหวีดหวิวพัดมาข้างหูคล้ายทำนองเพลงแสนเศร้าและเปล่าเปลี่ยว ทว่าชายหนุ่มกลับรู้สึกสงบสุข
“ผมรักลูกแมวนะ...อย่าทิ้งผมไปไหนเลยได้ไหม
เราจะอยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆแบบนี้ได้หรือเปล่า” ถ้อยความร้องขอดังขึ้นข้างหูแม้จะทุ้มเข้มแต่มีความสั่นอย่างคนหวาดหวั่นอยู่ในที
“ผมไม่เคยทิ้งใครที่เข้ามาในชีวิตผมนะ”
“ไม่รู้สิ
บางทีผมก็กลัว...ก่อนหน้านี้ผมไม่ใช่คนที่มีความสุขกับชีวิตหรอก
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ไปทำไม พอมีลูกแมว ผมถึงรู้จักความสุขเป็นครั้งแรก
มันเลยทำให้ผมกลัว...กลัวว่าความสุขที่อยู่ตรงนี้มันจะหายไป”
“อย่ากลัวเลย
ผมไม่ไปไหนหรอก...ถ้าเจ้าหมาไม่เบื่อจนทิ้งผมไปก่อน ผมก็ไม่มีวันทิ้งเจ้าหมาหรอกนะ
เราจะอยู่กันไปจนตายเลยก็ได้และตอนพวกเราตาย
เราก็บอกหลานๆให้ฝังเราไว้ด้วยกันเลยดีไหม” มือเย็นเฉียบลูบไปมาบนหลังมือใหญ่สีเข้มที่วางอยู่บนราวสะพานราวกับจะปัดเป่าความกลัวในใจให้หายไป
กวังรยอลสูดลมหายใจซบหน้าลงบนไหล่บางผอมของคนที่เป็นทุกอย่างในชีวิต
ความทุกข์ในใจจากความกลัวที่จะสูญเสียยังคงอยู่
ทว่าความอบอุ่นอ่อนโยนและความสุขที่หลั่งไหลมาจากคำง่ายๆที่คนตัวเล็กเปล่งออกมาช่วยบรรเทาเบาบาง
เนิ่นนานเหลือเกินที่เขาเฝ้าหาคำตอบของการมีชีวิตอยู่
จนมาวันหนึ่งที่ค้นพบว่า
คำตอบทั้งหมดที่เขาตามหาอยู่ผู้ชายตัวเล็กที่มีหัวใจสะอาดกว่าคนอื่น
และถ้าจะมีอะไรจะพรากนางฟ้าของเขาไปแล้วล่ะก็
ต่อให้ต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มีเขาก็จะเอานางฟ้าของเขากลับมา
...เขาขอสาบานด้วยชีวิต...
1 Comments
ตามมาจากเด็กดีค้าบ ไม่รู้จะเม้นอะไรเพราะเราเม้นไปในเด็กดีตั้งแต่ตอนนู้นแล้วอ่า เป็นฟิคที่ดีมากแล้วก็ติดงอมแงมเลยคั้บ อย่าว่าเราเลยนะที่เราอ่านแค่คู่คันเปญ ดัพนอน วอนแซม แล้วก็บังโล่อ่ะ 5555 ติดตามไรท์อยู่เสมอนะคะ ชอบฟีลคู่คันเปญที่สุดแล้ว แล้วก็รอแคนเปญอยู่ตลอดเลยค่ะ ไรท์สู้ๆ
ตอบลบ