LOVE TOXICAL : KANPAGNE CHAPTER 2

22:54




...ทุกครั้งที่พบกันเขาเหมือนหมาสีดำตัวใหญ่ที่หลงทางและบาดเจ็บ...

ละอองเกสรจากดอกไม้บานสะพรั่งเต็มสวนสวยกลางบ้านและใบไม้ที่ผลัดสีจากเขียวเป็นเหลืองปลิดปลิวลอยละลิ่วตามกระแสลมแรงที่พาดพัด ร่างผอมบางสวมเสื้อยืดแขนยาวลายขวางสีดำสลับขาวแขนยาวกับกางเกงขายาวสีดำเลื่อนบานประตูไม้ที่ใช้เป็นสถานที่ทำงานและสอนปั้นเซรามิกส์ออกมายืนมองความสวยงามตรงชานบ้านแล้วใส่รองเท้าเดินไปเก็บผ้าที่ตากไว้ริมรั้วตั้งแต่เช้า

เสียงกริ่งดังทำให้เขาหอบผ้ากองใหญ่ในมือเดินไปที่ประตูรั้วพอเห็นชายหนุ่มตัวใหญ่ในชุดดำสวมแว่นตาดำยืนอยู่ก็ส่งยิ้มทักทายพลางใช้ศอกกดที่จับประตูเหล็กอย่างชำนาญ

ร่างใหญ่ก้าวผ่านบานประตูรั้วพร้อมเก็บแว่นตาเกี่ยวกับกระเป๋าเสื้อ ดวงตาคมทอดมองร่างเล็กที่หอบผ้ากองใหญ่จนแทบมองไม่เห็นหน้าหากไม่ชะโงกออกมา มือใหญ่เลยยื่นไปรวบกองผ้าจากอีกคนมาไว้ในอ้อมแขนของตัวเอง

“มันหนักนะ ไม่ต้องช่วยก็...” คำทัดทานดังขึ้นแต่ไม่ทันจบเพราะอีกคนแทรกขึ้นมาก่อน

“อยู่เฉยๆเถอะ” คำสั้นหากน้ำเสียงมีแววห่วงมากกว่ารำคาญทำให้เจ้าของบ้านที่เดินอยู่ข้างๆ หลุดยิ้มออกมา

หากจะนับตั้งแต่วันที่เจอกันในสวนจนวันนี้ก็เกือบสี่เดือนแล้วที่ผู้ชายคนนี้แวะเวียนมาหาที่บ้านทุกวัน ไม่เคยขาด...ช่วงเวลาห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่มเหมือนเป็นกิจวัตรที่ทั้งคู่จะได้พบและอยู่ด้วยกันก่อนที่อีกฝ่ายจะกลับออกไป

ซึงฮวังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคนที่เขาถือวิสาสะเรียกในใจว่า เจ้าหมาน้อยคนนี้นอกจากชื่อ กวังรยอลที่เขาเคยบอก เพราะทุกครั้งที่พบกันแม้ท่าทางของอีกฝ่ายจะดูไร้อารมณ์แต่สีหน้าแววตาบ่งชัดว่าอ่อนล้าและเหมือนไม่อยากพูดถึงสิ่งต่างๆที่พบเจอมากระทั่งเรื่องของตัวเองทำให้เขาไม่ใคร่อยากจะถามให้เหนื่อยใจไปกว่าเก่า หากสิ่งที่รับรู้ได้โดยไม่ต้องพูดคือความมีน้ำใจ

ผู้ชายตัวใหญ่ที่เหมือนไม่สนใจอะไรเลยคนนี้กลับรู้เสมอว่าในบ้านมีอะไรต้องซ่อมแซม บางคราก็ดูแลรดน้ำให้ต้นไม้ในสวนแถมช่วยกวาดใบไม้ที่ร่วงลงมา  บ่อยครั้งที่ซื้อของมาเติมให้ในตู้เย็นและช่วยเขาทำนู้นทำนี่โดยไม่ต้องร้องขอ

การใช้ชีวิตอยู่ลำพังในบ้านไม่ได้ทำให้คนที่เติบโตมาในครอบครัวที่แม้มีไม่ครบและออกจะแปลกกว่าครอบครัวอื่นแต่ก็อบอุ่น ไหนจะผู้คนในเมืองนี้ที่เอื้ออารีพูดคุยกันได้เสมอไม่รู้สึกเหงา ทว่าการมาหาทุกวันของตัวใหญ่ไม่ได้สร้างความอึดอัดอะไรให้เจ้าของบ้านแต่ยิ่งทำให้บ้านหลังนี้เป็นบ้านกว่าทุกที

...ถึงแม้ผู้ชายคนนี้จะดูน่ากลัว หากในทุกคราที่สบสายตาเขาสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่หยั่งรากลึกอยู่ในนั้น

“จะให้ผมวางตรงไหน” คนตัวใหญ่ถามทำลายความเงียบภายในบ้าน

“ที่โซฟาก่อนก็ได้ เดี๋ยวค่อยไปพับ” คนตัวเล็กตะโกนตอบแล้วเดินเข้าไปในครัว มือเรียวกดสวิตซ์เปิดไฟเพื่อจะเริ่มทำอาหารเย็นแต่เหมือนว่าไฟจะเสียงเพราะกดเท่าไหร่ก็ไม่ติด

“ไฟในครัว” เสียงเข้มดังขึ้นจากข้างหลัง “หลอดไฟมันไม่ได้เสีย แต่สตาร์ทเตอร์มันไม่ดี”

“ก็ต้องไปซื้อมาเปลี่ยนสิเนาะ...งั้น เดี๋ยวผมไปซื้อก่อนนะแล้วจะให้ลุงช่างไฟมาจัดการ คุณหิวหรือยัง ถ้าหิวแล้วโทรสั่งของมากินก่อนได้นะ เพราะถ้ารอสงสัยหิวแย่เลย”

“มีไขควงไหม” อยู่ๆอีกคนก็ถามถึงเรื่องอื่น

“มีอยู่นะ จะเอามาทำอะไร”

“สตาร์ทเตอร์มันเสีย...คุณเอาไขควงมา ผมเปลี่ยนให้ก็ใช้ได้แล้ว”

“โห เก่งจังแค่ดูก็รู้ว่าอะไรเสีย แต่ที่บ้านไม่มีสตาร์ทเตอร์หรอกนะ ยังไงก็ต้องไปซื้อ...ร้านอุปกรณ์ไฟฟ้ามันไกลด้วยสิ ปั่นจักรยานไปก็ต้องรออีกอยู่ดี”

“ผมซื้อมาแล้ว” มือใหญ่ล้วงเอาสตาร์ทเตอร์ในกระเป๋าเสื้อออกมา “เมื่อวานตอนคุณไปเอาของที่ห้องทำงานนะ ผมเห็นไฟมันกระพริบไม่ค่อยดีเลยปีนขึ้นไปดู เห็นมันไม่ค่อยดีก็เลยซื้อไว้ก่อน”

“ปีนไปดูมาหรอกเหรอ นึกว่าเป็นช่างไฟถึงรู้ว่าอะไรเสียซะอีก แล้วนี่จะเปลี่ยนได้เหรอ”

“อืม”

“งั้นผมไปเอาเครื่องมือช่างมาให้นะ” ว่าแล้วก็วิ่งหายออกจากครัวและกลับมาใหม่ด้วยกล่องอุปกรณ์ช่าง มองคนตัวใหญ่ที่เลือกอุปกรณ์อยู่เงียบๆ สักพักก็ดึงชายเสื้อของอีกคนเบาๆ “ถอดเสื้อคลุมก่อนไหม”

อีกฝ่ายพยักหน้าถอดเสื้อคลุมหนาราคาแพงส่งให้ ถลกแขนเสื้อเชิ้ตสีดำข้างในไว้ตรงศอก จัดแจงเลื่อนเก้าอี้ปีนขึ้นไปเปลี่ยนสตาร์ทเตอร์โดยมีเจ้าของบ้านคอยจับเก้าอี้และรับของที่อีกฝ่ายส่งลงมาถือไว้

“เก่งจัง”

“เก่งอะไร ก็แค่เปลี่ยนสตาร์ทเตอร์...ใครๆก็ทำได้”

“แต่ผมทำไม่ได้นะ”

“ทำไม”

“ก็ที่บ้านนี้ไม่มีบันไดปีนนะ เพราะงั้นเวลาไฟเสียพี่ชายผมจะเป็นคนเปลี่ยนให้เพราะเขาตัวสูง แต่มีครั้งหนึ่งไฟในห้องนอนผมไฟเสียแล้วผมต้องอ่านหนังสือสอบ ตอนนั้นไม่มีใครอยู่บ้านด้วยก็เลยต้องเปลี่ยนหลอดไฟเอง แต่ตัวผมเตี้ยขนาดยืนเขย่งบนเก้าอี้แล้วยังไม่ถึง ทำไปมาทำมาก็เลยตกลงมาแขนซ้น ตั้งแต่นั้นแม่ก็ห้าม ถ้าไม่มีใครเปลี่ยนจริงๆให้ไปตามลุงช่างที่อยู่ซอยถัดไปแทน”

“เจ็บไหม”

“ตอนนั้นน่ะเหรอ...ก็เจ็บ แต่พอแขนซ้นทั้งพี่ชายทั้งน้องชายเขาทำทุกอย่างที่ต้องใช้แขนแทนผมเกือบหมดเลย พวกการบ้านกับงานบ้านไม่ต้องทำเลย นอนเฉยๆ แถมคุณแม่ยังซื้อขนมอร่อยมาให้กินอีก ดูเหมือนเว่อร์ใช่ไหมล่ะ แค่แขนซ้นเองแต่บ้านผมเป็นแบบนี้แหละ ทุกคนในบ้านเขาเป็นห่วงผมกันมาก อย่างว่า ผมไม่ค่อยแข็งแรงตั้งแต่เด็กแล้วพอมีอะไรแบบนี้ทีไรเป็นเรื่องใหญ่ตลอดเลย”

“คุณป่วยบ่อยเหรอ”

“ตอนเด็กป่วยแทบทุกวันเลย แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นเยอะล่ะ แล้วคุณล่ะป่วยบ่อยไหม”

“ไม่...ผมไม่เคยป่วย”

“จริงงะ”

“อืม”

“ทั้งที่ไม่กินผักก็ไม่ป่วยเหรอ” ถามเพราะสังเกตมาทุกครั้งที่กินข้าวด้วยกันว่าเขี่ยผัก เวลาทำกับข้าวเลยไม่ใส่ผักลงไป

“ใครบอกคุณว่าไม่กินผักแล้วจะป่วย”

“คุณยายของผมน่ะ... ตอนเด็กๆผมป่วยบ่อยมาก คุณยายจะคอยทำซุปผักให้กิน คุณยายบอกว่า ต้องกินจะได้หายไวๆ หัวใจจะได้แข็งแรงด้วย ผมเลยกินมาตลอด แต่พอเห็นคุณไม่กินผักก็เลยสงสัยน่ะว่า ทำไมถึงไม่เคยป่วย”

“ผมออกกำลังกายน่ะ...อะ เสร็จแล้ว คุณลองไปเปิดไฟดูสิ”

พอถูกสั่งเจ้าของบ้านเลยผละจากเก้าอี้เดินไปกดสวิตซ์ดู แสงไฟในห้องพลันสว่างวาบคนที่ปีนลงมาบนพื้นดังเดิมมีเหงื่ออาบหน้า มือเล็กเลยหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าผ้ากันเปื้อนออกมาซับให้

“ขอบคุณนะที่เปลี่ยนไฟให้”

“อืม” อีกฝ่ายส่งเสียงในลำคอกดหน้าลงมาเพื่อให้อีกคนเช็ดเหงื่อได้ถนัด

“วันนี้ผมจะทำข้าวห่อไข่ล่ะ...เดี๋ยวผมจะใส่แฮมกับไส้กรอกให้คุณเยอะๆเลยน้า”

“ให้ช่วยอะไรไหม”

“ไม่ต้องหรอก ไปล้างหน้าล้างมือแล้วนั่งพักก็พอ” คนตัวเล็กบอกพลางดันหลังให้อีกคนออกไปจากครัวก่อนจะเดินกลับมาทำอาหารเย็นจนเสร็จก็ยกไปตั้งบนโต๊ะพร้อมกับที่อีกคนกลับเข้ามาในห้องพอดี

“อ๊ะ...อย่าเขี่ยถั่วลันเตาออกสิ” เจ้าของบ้านร้องทันทีที่เห็นอีกคนเขี่ยถั่วออกจากข้าว

“ผมบอกแล้วว่า ผมไม่กินผัก...ปกติคุณก็ไม่ใส่ผักในอาหารนิ ทำไมวันนี้ใส่มา”

“ถั่วไม่ใช่ผักสักหน่อย”

“ทำไมจะไม่ใช่”

“ไม่ใช่นะ ในวิกิพีเดียบอกว่า ถั่ว สมุนไพรและเครื่องเทศไม่นับรวมเป็นผัก”

“แต่ผมไม่ชอบ”

“ลองชิมแล้วเหรอถึงบอกไม่ชอบ”

“อะไรเขียวๆมันไม่อร่อยทั้งนั้น”

“กินดูก่อนดิ”

“ไม่”

“ใจร้ายจัง ดูสิ ดูหน้าคุณถั่วลันเตาจะร้องไห้แล้วนะ” คนพูดทำหน้าสลด เอื้อมไปจิ้มถั่วลันเตาในจานอีกคนด้วยส้อมแล้วขยับมันขึ้นลงพลางดัดเสียง “ฮือ เจ้ามนุษย์ เราออกจะมีประโยชน์นะ ทำไมเจ้าไม่กินเรา”

“ไม่อร่อยไง”

“ฮือ ชิมเราสักคำก่อนสิ นะ นะ ชิมเราสักคำ”

“ถ้าจะให้กินคุณต้องป้อนผม”

“อะไร...แค่ให้กินผักต้องป้อนด้วย ทำตัวเป็นเด็กไปได้”

“ผัก...ไหนว่าถั่วไม่ใช่ผัก”

“งะ พูดผิดนิดหน่อยไม่ได้เลย มาๆ ป้อนก็ได้ แต่ถ้าให้ป้อนจะตักคำใหญ่ๆ” พอถูกขอเลยทำท่าจะตักแต่คนตัวใหญ่กลับดึงแขนเล็กที่ยื่นส้อมเสียบถั่วลันเตาใส่เข้าปากเพราะไม่อยากกินคำใหญ่

“กินแล้ว”

“อร่อยไหม”

“ก็ไม่แย่”

“เห็นไหม บอกแล้ว”

“ไม่แย่ไม่ได้แปลว่าอร่อย”

“แต่ก็กินได้ไม่ใช่เหรอ เพราะงั้นกินเถอะนะ”

“ลองบอกเหตุผลที่ผมต้องกินให้ฟังสิ”

“ก็กินแล้วจะได้ไม่ป่วย จะได้แข็งแรง”

“ผมก็บอกแล้วว่าไม่กินผักผมก็ไม่ป่วย”

“แต่นี่ไม่ใช่ถั่วธรรมดานะ มันเป็นถั่วในข้าวห่อไข่ที่ผมทำ...ผมใส่ความรักของผมลงในนี้ด้วย ถ้าคุณกินนะ ความรักของผมจะทำให้คุณไม่ป่วยเป็นสองเท่าเลย”

“ห๊ะ” พอได้ยินคำว่า รัก มือที่จับแขนอีกคนไว้ก็หลุดอัตโนมัติ ข้าวในปากก็แทบสำลัก “ใส่ความรักเนี่ยนะ”

“อืม...”

“คุณนี่เหมือนเด็กเลย”

“ทำไมล่ะ...ตอนที่แม่กับพี่ชายน้องชายผมยังอยู่ เราพูดว่ารักกันทุกวันเลยนะ กอดกันก็บ่อย แม่ผมเคยบอกด้วยนะว่า เวลาทำอะไรให้ใส่ความรักลงไปด้วย ไม่ใช่แค่เรามีความสุขแต่คนรับจะได้มีความสุขด้วย...เวลาคุณทำอะไร คุณไม่ได้ทำเพราะรักหรอกเหรอ”

“ไม่”

“แล้วทำเพราะอะไร”

“เงิน”

“เพื่อเงินทุกอย่างเลยเหรอ โห ชีวิตคุณนี้ไม่สนุกเลยจริงๆ”

“ก็แค่เกือบ...อย่างเวลามาที่นี่ผมไม่ได้มาเพราะเงิน”

555 ถึงคุณมาเพราะเงินก็ไม่มีให้หรอก...ต่อให้ยกโทรทัศน์ในบ้านไปจำนำยังไม่พอค่ารองเท้าคุณเลย”

“อะไร รู้ราคาด้วย”

“ตอนแรกก็ไม่รู้ แต่เห็นมันสวยดีเลยถ่ายรูปไว้เผื่อได้แรงบันดาลใจ พอไปค้นในเน็ตดูถึงรู้ว่าคุณใส่เพชรเดินแหละ” คนตอบหัวเราะสดใส

“อยากใส่ไหม”

“ไม่เอาหรอก...เอาจริงๆนะ ถ้าไม่ใช่ว่าต้องไปสอนหรือไปทำธุระข้างนอก ผมก็ไม่ใส่รองเท้าดีๆหรอก พวกรองเท้าหนังนี่เวลาใส่ทีไม่สบายเท้าเลย ต้องฝืนใจใส่พอถึงบ้านปุบผมสลัดทิ้งเดินเท้าเปล่าปับเลย แต่ถ้าเดินเท้าเปล่ามากๆเท้าเย็นก็ไม่สบายอีกก็เลยต้องใส่สลิบเปอร์ อ้อ จริงสิ พูดถึงสลิบเปอร์ก็นึกขึ้นได้ ผมมีอะไรจะให้คุณด้วย” บอกเสร็จก็วางช้อนวิ่งออกไปอีกรอบและกลับมาพร้อมสลิบเปอร์ที่เป็นหัวลูกสุนัขสีดำในถุงพลาสติกใสสองคู่วางลงบนพื้นข้างเท้าของอีกคน

“วันนี้ผมไปเดินตลาดนัดชุมชนมา เห็นสลิปเปอร์คู่นี้แล้วคิดถึงคุณก็เลยซื้อมาให้”

“ทำไมถึงมีสองคู่”

“คู่หนึ่งเอาไว้ใส่บ้านนี้ไง อีกคู่ผมให้คุณเอากลับไปใส่ที่บ้านคุณ”

“ไม่ต้องหรอก...เอาไปให้ฝุ่นเกาะเปล่าๆ”

“ทำไมอย่างนั้นล่ะ”

“ผมทำงานไม่เป็นที่...กว่าจะถึงบ้านแค่อาบน้ำกับนอนก็หมดเวลาแล้ว”

“ก็เคยบอกแล้วนิ ถ้าเหนื่อยก็นอนที่นี่ได้”

“ผมทำงานน่ะ พอกลับจากนี้ก็ไปทำงาน”

“อ้อ ทำงานกะกลางคืนหรอกเหรอ ผมนึกว่าคุณมาที่นี่หลังเลิกงานซะอีก แบบนี้ไม่ลำบากแย่เหรอ ขับรถจากโซลมาอิชอนแล้วก็ขับกลับไปโซลใหม่”

“ถ้าลำบาก ผมคงไม่มา”

เจ้าของบ้านเท้าคางยิ้มพลางมองคนตัวใหญ่ที่ตอบคำถามเสร็จก็ก้มหน้าตักข้าวที่มีถั่วลันเตาอยู่ในนั้นเข้าปากไปเรื่อยๆเหมือนลืมแล้วว่า เพิ่งเถียงกันเรื่องถั่วไป

จริงๆแล้วเขาไม่ชอบบังคับให้ใครทำในสิ่งที่ไม่ชอบ แต่เขารู้สึกว่า เวลาแกล้งจนเปิดปากเถียงกันทีไรอีกคนดูจะผ่อนคลายลงเลยเป็นเหตุผลให้ทุกวันเขาต้องหาสักเรื่องมาเป็นประเด็นให้เถียงกัน

“อร่อยแล้วเหรอ”

“อะไร”

“ถั่วลันเตาน่ะ อร่อยแล้วเหรอ...เห็นตักกินไม่หยุดเลย”

“ก็ไม่”

“แน้ๆๆ...อร่อยก็บอกมาเถอะ”

“ไม่”

“แล้วกินทำไมล่ะ”

“เพราะคุณบอกว่าคุณใส่ความรักลงไป ผมเลยกิน” ฝ่ายตรงข้ามตอบพลางเงยหน้ามาหา นัยน์ตาคมดุมีแววจริงจังและอ่อนโยนในทีทำให้เจ้าของบ้านหลุดยิ้มหวานออกมา

“งั้นพรุ่งนี้จะทำซุปผัก”

“อ้าว...”

“ก็กินถั่วลันเตาได้แล้ว พรุ่งนี้ก็กินผักได้...เดี๋ยวจะใส่ความรักลงในซุปเยอะๆ คุณจะได้กิน”

“ผมไม่กิน”

“แต่ผมตั้งใจว่าจะทำให้อร่อยและหน้าตาไม่เหมือนผักให้นะ”

“ก็นั้นแหละ”

“อา...พูดจาใจร้ายมากเลย คุณผักในตู้เย็นได้ยินต้องร้องไห้แน่เลย”

“ผักมันร้องไห้ไม่ได้หรอก”

“แต่คนทำให้กินร้องได้นะ...ฮือ...เจ้ามนุษย์ทอดทิ้งผัก”

“เฮ้อ” อีกคนถอนหายใจ

“รำคาญเหรอ โฮ เจ้ามนุษย์ไม่รักผักแล้วยังรำคาญอีก” คนตัวเล็กกว่าแกล้งกำมือยกขึ้นมาทำท่าเช็ดน้ำตาในอากาศปรอยๆ พลางเหลือบไปยังคนตัวใหญ่ที่กวาดข้าวในจานคำสุดท้ายเข้าปากก็วางช้อน กอดอกมองกันไม่ถึงนาทีก็เอื้อมมือใหญ่มาลูบผมนุ่มของเขาไปมา

“ทำให้อร่อยแล้วกัน ถ้าไม่อร่อยไม่กิน”

“พูดแล้วนะ...เกี่ยวก้อยสัญญาด้วย” นิ้วก้อยเรียวยื่นมาหาจากคนตัวเล็กที่เอื้อมมาสุดปลายแขนเลยได้เห็นรอยยิ้มบางที่มักหลุดออกมาเป็นครั้งคราวคล้ายลืมตัวพร้อมกับนิ้วก้อยที่เกี่ยวเข้าหา

ซึงฮวังยิ้มกว้างอีกคราด้วยชอบเวลาเห็นคนตัวใหญ่ยิ้มมากกว่าทำหน้าไร้อารมณ์แต่ไม่เคยเอ่ยปากบอกเพราะเกรงอีกคนจะประหม่าจนหยุดยิ้ม

ถึงจะไม่ค่อยรู้รายละเอียดความเป็นมามากนัก แต่ทุกครั้งที่พบกัน คนตรงหน้าเหมือนหมาสีดำตัวใหญ่ที่หลงทางและบาดเจ็บ การจะเข้าใกล้ต้องไม่ผลีผลาม ค่อยๆเป็นค่อยๆไปเอาใจใส่ให้รู้ว่าไม่คิดร้าย

การเติบโตมาในครอบครัวที่ออกจะแปลกแต่อบอุ่น มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กันเสมอแม้จะมีเรื่องไม่เข้าใจกันก็มักหันหน้าคุยกันอย่างมีเหตุผลทำให้เขาเข้าใจผู้คนและพอใจที่จะได้เห็นคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมีความสุขขึ้นทีละนิดก็ยังดี

“ทุ่มหนึ่งแล้ว คุณต้องไปแล้วสิ” คนตัวเล็กบอกขณะมองไปยังนาฬิกาตรงผนัง

“อืม” อีกคนตอบในลำคอแล้วลุกจากเก้าอี้หยิบเสื้อคลุมที่ถอดไว้เพราะเปลี่ยนสตาร์ทเตอร์ยืนรอคนที่กำลังกระดกน้ำลงคอก่อนจะลุกมายืนข้างๆ แล้วเดินออกจากบ้านไปด้วยกัน

“ล็อกบ้านดีๆล่ะ อย่าลืมเรื่องไฟด้วย”

“รู้แล้ว...คุณก็เหมือนกันนะ ขับรถดีๆล่ะ”

“อืม”

“คุณสัญญาแล้วว่าจะกินซุปผัก ห้ามหนีนะ”

“ไม่หนี”

“งั้นพรุ่งนี้เจอกันน้า ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ บะบาย” เจ้าของบ้านยื่นหน้าเข้าไปใกล้แล้วยกมือทั้งสองข้างโบกไปมาจนอีกคนอดไม่ได้ที่จะยิ้มและลูบผมอีกรอบ

“อืม ฝันดี” พูดจบก็เดินผ่านประตูรั้วหันหลังก้าวเท้าไปตามทางเดินกลับไปยังลานจอดรถที่อยู่ใกล้สวนสาธารณะ ปล่อยให้อีกคนมองตามแผ่นหลังกว้างนั้นห่างออกไปช้าๆ ที่ดูราวกับมีความมืดครอบคลุมทุกคราที่ก้าวพ้นบ้านหลังนี้ทำให้ความรู้สึกโหวงว่างและเป็นห่วงแทรกเป็นริ้วในใจจนมือต้องพนมขึ้นขอกับฟ้า

...ขอให้เขาปลอดภัยทุกวันด้วยเถอะ...

You Might Also Like

0 Comments