LOVE TOXICAL : KANPAGNE CHAPTER 3
23:05
บานประตูไม้ของโรงปั้นถูกเลื่อนเปิดออกพร้อมกับกลุ่มเด็กอนุบาลที่ทยอยต่อแถวเดินออกมาอย่างเป็นระเบียบโดยที่คอแต่ละคนมีสร้อยห้อยจี้เซรามิกส์ที่เด็กๆปั้นตามจินตนาการสวมติดตัว
เจ้าของโรงปั้นโบกมือและยิ้มกว้างตอบกลับเหล่าเด็กน้อยน่ารักที่โบกมือไม่หยุดอยู่ตรงประตูรั้วก่อนที่จะเดินขบวนกันออกไป
ซึงฮวังกลับเข้าโรงปั้นพับผ้ากันเปื้อนที่คุณครูขอยืมเพราะไม่ได้เตรียมมาเหมือนเด็กๆ
เรียงใส่ในตู้ เก็บอุปกรณ์ที่วางระเกะระกะทั้งหมดเข้าที่เข้าทางและกลับมาจดจ่อกับการสเก็ตซ์ภาพคอเลคชั่นหน้าหนาวเพื่อส่งให้แก่โรงแรม
เกสต์เฮ้าส์และวางจำหน่ายในเว็บไซต์อยู่พักใหญ่กว่าจะรู้ตัวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็เห็นว่า
เลยเวลาที่คนตัวใหญ่มาพอสมควรแล้วเลยหยุดทุกอย่างวิ่งออกไปที่ประตูรั้ว
หากวันนี้ที่ประตูรั้วกลับว่างเปล่า
แม้ชะเง้อคอรอจนหกโมงแล้วก็ยังไม่เห็นอีกฝ่ายโผล่มาเลยได้แต่ถอนหายใจเดินไปปิดประตูโรงปั้นเดินกลับเข้าฝั่งบ้านเปิดไฟอ่อนอุ่นซุปผักกับกระดูกหมูอ่อนที่เคี่ยวจนนิ่มและเข้าเนื้อแล้วออกไปมองหาอีกคนใหม่จนหมดเวลาที่เขาจะมาเลยได้แต่ถอนหายใจกลับเข้าบ้านปิดไฟที่เตาหมดอารมณ์กินข้าวไปโดยปริยาย
ในใจนึกกังวลจนหยิบมือถือออกมาเตรียมจะกดโทรศัพท์หาแต่ก็นึกขึ้นได้ว่า
ไม่เคยขอเบอร์โทรศัพท์ คาทกหรืออะไรที่พอจะติดต่อได้ไว้
เพราะความเคยชินที่เห็นเขาทุกวัน ร่างเล็กถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครา ดวงตากลมมองเข็มนาฬิกาบนผนังที่เลื่อนไปเรื่อยๆพร้อมกับเงี่ยหูฟังเสียงกดกริ่งแต่ก็ไร้วี่แวว
บ้านที่ไม่มีเขามาตามเวลาดูเหมือนจะเงียบมากอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน
เจ้าของบ้านกระวนกระวายใจด้วยเป็นห่วงแต่ก็ทำได้แค่ล้างจานอย่างอ้อยอิง
อ่านหนังสือ อ่านและตอบข้อความที่แม่กับพี่และน้องชายส่งมาผ่านคาทกจนทั้งหมดไปทำงานก็ยังพยายามค้นชื่อ
กวังรยอลในเว็บเพื่อเบอร์โทรศัพท์แต่รายชื่อก็มากเกินกว่าจะโทรไปหาได้ทั้งหมดกระทั่งสี่ทุ่มเลยตัดสินใจอาบน้ำอาบท่าเดินออกมามองประตูรั้วในความเงียบงัน
...เป็นอะไรไหมนะ...
...ไม่ได้หนีเพราะทำซุปผักหรอกใช่ไหม...
...งานคงยุ่งแหละเนาะ...
...ใครจะขับรถจากโซลมาอิชอนแล้วขับกลับไปโซลได้ทุกวันไหวก็ต้องมีพักกันบ้าง...
...คงไม่เป็นอะไรหรอก...
...เป็นห่วงจัง...
...พรุ่งนี้จะขอเบอร์ไว้...
ชายหนุ่มบอกกับตัวเองในใจพยายามไม่คิดถึงสิ่งไม่ดี
ใช้เวลามองประตูรั้วอยู่หลายสิบนาทีกว่าที่จะยอมตัดใจปิดไฟทั่วบ้านเดินกลับเข้าไปทำงานต่อในห้องนอนทั้งที่ใจยังคิดกังวลอยู่เช่นนั้น
--------------------------------
บานประตูสีทองสลักลายอย่างประณีตถูกเปิดออกด้วยสองมือแข็งแรงก่อนที่ชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดสำดำกับเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงสแลคสีเดียวกันจะย่างเท้าเข้าไปบนพรมทอมือสีดำภายในเลาจ์หรูตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นลักซ์ชัวรี่ในโทนสีดำ
ขาวและทองตรงไปหาชายหนุ่มแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำทั้งตัวสวมทับด้วยแจ็กแก็ตนั่งซึ่งนั่งอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์โดยมีพนักงานของโรงแรมคอยบริการอยู่
“ไงมึง...ได้ยินว่าไปวันนี้ไปกระทืบลูกหนี้มา”
ผู้มาใหม่ถามด้วยน้ำเสียงเข้มเรียบพลางเท้าแขนข้างหนึ่งบนเคาน์เตอร์คริสตัล
“ก็บอกแล้ว
ไม่มีจ่ายให้บอก อย่าหนี...เสือกหนี ก็โดนสักทีแล้วกัน”
“ได้มาครบไหม”
“กูไปถึงเกาะเซจู
ถ้าไม่ได้ทั้งต้นทั้งดอก กูไม่กลับมาหรอก”
“กระทืบลูกชายขาใหญ่ในอิลซานซะขนาดนั้น
เดี๋ยวพ่อแม่งก็ได้เอาพวกมาล่อ”
“ถ้ากูกลัวคงไม่กระทืบ”
“เฮ้ย
บางทีก็ระวังตัวไว้หน่อย ถึงมึงจะเป็นโรคไร้ความเจ็บปวดห่าอะไรนั่นก็เถอะ
แต่ถ้ามันเสือกยิงหรือแทงมึงขึ้นมาจะตายไม่รู้ตัว เป็นวิญญาณนี้ใช้เงินไม่ได้
เด๊าะกับใครก็ไม่ได้ ไอ้ข้อหลังนี้ถ้ามึงทำไม่ได้ มึงไม่ลงแดงเหรอ”
“เหี้ย...กูไม่ได้บ้ากามขนาดนั้น”
“โถ
อย่ามาพูด
เมื่อคืนกูเห็นมึงไปกับน้องผู้ชายที่หน้าสวยๆคนนั้นอยู่เลย...จะยังไงก็เถอะ
มึงอย่าถึงขั้นเอากับโฮสต์ในร้านล่ะ รักษาสถานะบอสไว้บ้าง
เกิดไปยุ่งด้วยเด็กแม่งคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์นั่นนี่เรื่องเยอะขึ้นมาวุ่นวายตายห่า”
“นั่นกูแค่ทาบทามมาทำงานในร้านด้วย”
“อ้อเหรอ...นึกว่ามีอะไรมากกว่านั้นซะอีก
เพราะเห็นหลายเดือนมานี้ ช่วงห้าโมงเย็นถึงทุ่มหนึ่งเหมือนมึงมีนัดกับใครบางคนที่กูไม่รู้จัก
ถ้าไม่ใช่น้องคนเมื่อวานแล้วมึงไปหาใครมา”
กวังรยอลหยุดหมุนแก้วบรั่นดีในแก้วหกเหลี่ยมปรายตามองรอยแสยะตรงมุมปากของคนที่ถอดแว่นกันแดดเสียบไว้ตรงกระเป๋าเสื้อเชิ้ตซึ่งได้ฉายาในวงการธุรกิจกลางคืนว่าหมาป่าทองคำเพราะหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองก่อนจะเหยียดริมฝีปากกว้างแต่ไม่ใช่รอยยิ้ม
อิม
แจบอกคือชื่อของคนตรงหน้า...ผู้ชายที่บังเอิญรู้จักกันในคาสิโน รู้สึกพูดคุยถูกคอและคอยช่วยเหลือกันมาตลอดจนกลายเป็นเพื่อนสนิท แม้อีกฝ่ายจะอายุมากกว่าหน่อยก็ยังคงพูดคุยกันเหมือนอายุเท่ากัน เวลาที่ชีวิตช่วงไหนของเขาน่าเบื่อมากๆ เพื่อนคนนี้ก็จะโยนนั้นโยนนี่มาให้ทำ
รวมทั้งการเข้าไปเป็นหุ้นส่วนบาร์โฮสต์ซึ่งธุรกิจกำลังไปได้สวยก็เพราะอีกคนชักชวนมาทำ
ในโลกสีเทาที่เขาคลุกคลีอยู่ใบนี้
นอกจากต้องเจออบายมุขหลายรูปแบบแล้วยังต้องพบกับคนหน้าเนื้อใจเสืออีกเป็นตัน
เพื่อนที่คบหาแบบไว้วางใจได้มีไม่กี่คนและแจบอมคือหนึ่งในนั้น
ถึงจะดูเป็นคนเลวแต่แจบอมไม่ใช่คนน่ากลัวหรือเลวร้ายอะไร แค่เป็นพวกดีมาดีตอบ
ร้ายมาร้ายกลับ...แต่ร้ายกลับของมันแค่คูณร้อยใส่ไปเท่านั้น
“กูจะมีเพื่อนบ้างไม่ได้หรือไง”
“โอ๊ะ...ที่หายไปนี่มึงไปหาเพื่อนเหรอ
คนอย่างมึงนี่ยังมีใครกล้าคบนอกจากกูกับไอ้บยอลอีกเหรอ”
“ที่พูดนี่ปากหรือตีน”
“เอ้า
กูจะไปรู้เหรอ หรือว่าจะเป็นเพื่อนในกลุ่มแรปเปอร์ที่มึงชอบไปขลุกด้วยเป็นบางทีวะ”
“ไม่”
“นี่อย่าบอกนะไปหาเพื่อนนอน...ไอ้ห่า
ตกเย็นก็เอาเลยเหรอ สองชั่วโมงสำหรับคนอย่างมึงนี่พอเหรอ”
“ถ้ามึงไม่หยุดเดานะแจบอม...หน้ามึงได้มีรอยตีนกูแน่”
“งั้นก็บอกกูมาว่าไปหาเพื่อนที่ไหน”
“จำเป็นด้วย”
“มึงนี่...เรื่องแค่นี้ต้องมีความลับ”
“ถึงกูไม่บอก
ถ้าคนอย่างมึงอยากรู้ เดี๋ยวก็เสือกจนรู้นั้นแหละ”
“ก็จริงๆ
แต่ถ้ามึงบอกกูมาเลยจะได้ไม่ต้องเหนื่อย บางทีกูก็ขี้เกียจใช้คนเหมือนกัน จะว่าไป
วันนี้มึงไปทวงหนี้ช่วงที่มึงไปหาเพื่อนของมึงคนนี้พอดีเลยนิ...ไม่ได้ไปหาทั้งที่ไปหาทุกวัน
ได้โทรไปบอกเขาหรือเปล่า เดี๋ยวเขาไม่เห็นมึงจะกังวล
แต่คนอย่างมึงคงไม่โทรหรอกมั่ง ทำอะไรตามอารมณ์เป็นหลักอยู่แล้ว” สิ้นคำคิ้วหนาของคนฟังก็ขมวดแทบเป็นปม
เขาไม่ได้ตั้งใจจะทวงหนี้จนเลยเวลา
แต่ลูกหนี้มันหนีไปไกลกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เลยเวลาที่เคยไปหา พอจะโทรศัพท์ไปบอกว่า
ไม่ได้ตั้งใจผิดสัญญาแต่ก็นึกขึ้นได้ว่า ไม่เคยขอเบอร์ติดต่อเอาไว้
ครั้นจะไปหาตอนดึกขนาดนี้ก็คิดว่าคงจะกวนเวลานอน
ทว่าการไม่ได้เห็นหน้าทั้งที่เห็นทุกวันทำให้อารมณ์ไม่ดีจนไม่มีใจจะไปดูแลกิจการหรือเที่ยวเลยต้องมาจ่อมดื่มเหล้าต่างน้ำอยู่ในโรงแรมที่ตัวเองถือหุ้นใหญ่อยู่นี้
ความจริงเขาไม่ค่อยชอบสร้างความสัมพันธ์ที่ผูกมัดตัวเองกับใคร
ยิ่งกับคนที่ดูเหมือนเป็นแสงสว่างต่างกับคนอย่างเขาที่อยู่ในโลกมืดๆ
ควรอยู่ให้ห่างกันไว้ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงเมินเฉยต่อเขาคนนั้นไม่ได้
บ่อยครั้งยามอยู่นิ่งๆก็คิดถึงขึ้นมา หรือแม้แต่ก่อนจะนอนมีบางคราที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นลอยอยู่ในใจและการไม่ได้พบหน้าก็ทำให้รู้สึกหวิวโหวงเหมือนขาดอะไรบางอย่าง
...ทั้งที่เพิ่งเจอกันไม่กี่เดือนแต่แปลกที่รู้สึกเหมือนรู้จักกันมานาน...
“มึงนี่ยังไง
แวะมาหากูแค่ตั้งใจมาด่ากูใช่ไหม”
“เปล่า”
อีกคนว่าแล้วกระดิกนิ้วสั่งวิสกี้กับบาร์เทนเดอร์แล้วพูดต่อ “แค่เบื่อ เห็นมึงอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมกูก็เลยแวะมาดื่มด้วย”
“เหงาไง”
“ก็แค่รำคาญอะไรนิดหน่อย”
“รำคาญเรื่องอะไร
หุ้นที่ช้อนซื้อไว้ตกว่างั้น”
“ไม่ใช่”
“แล้วยังไง”
“งานน่ะ”
“แน่ใจ ไม่ใช่เป็นเรื่องเจ้าของร้านดอกไม้ที่อยู่ตรงข้ามร้านใช่ไหม"
“แน่ใจ ไม่ใช่เป็นเรื่องเจ้าของร้านดอกไม้ที่อยู่ตรงข้ามร้านใช่ไหม"
“คนในร้านนั้นไม่มีค่าให้กูสนใจหรอก”
“แต่กูเห็นพนักงานเขามีคนหนึ่งสเป็คมึงเลยไม่ใช่เหรอ
คนที่หน้าเหมือนแมวขี้กลัวอ่ะ ชื่ออะไรแล้วนะ”
“นัม
แทฮยอน”
“นั่น”
นิ้วใหญ่หยาบชี้หน้าคนเป็นเพื่อน
“รู้ชื่อไม่ได้แปลว่าจีบนะไอ้ห่า”
“แล้วรู้ชื่อมาได้ไง”
“บังเอิญเจอตอนเขามาให้อาหารแมวจรแถวร้านตอนดึกๆ
เห็นว่าเจ้าของร้านให้เขานอนด้วยกันที่ร้าน”
“บังเอิญเจอเลยสานสัมพันธ์”
“กูไม่ยุ่งกับคนมีเจ้าของหรอกนะ”
“รู้ได้ไงว่ามีเจ้าของ”
“กูเห็นลูกน้องตระกูลซงแม่งป้วนเปี้ยนอยู่...ส่งคนมาเฝ้าโดยไม่ให้เจ้าตัวรู้นี้ต้องสำคัญระดับหนึ่งล่ะ”
“เด็กของมินโฮหรือซึงยูน”
ชายหนุ่มเอ่ยถึงสองทายาทตระกูลนักธุรกิจใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีอิทธิพลประหนึ่งมาเฟียกลายๆ
“บังเอิญนั่งทางในไม่ได้
เลยไม่รู้วะ”
“แน่ใจว่ามาเฝ้าพนักงาน
ไม่ได้มาเฝ้าเจ้าของร้าน”
“เพื่อนกู
คนที่ให้ตึกมาทำร้านฟรีมันบอกว่า เจ้าของร้านแม่งอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดล่ะ
ยิ่งกับพวกคนรวยนี้นอกจากเพื่อนกูแล้วเขาก็ไม่รู้จักใคร
คิดว่าคงไม่บ้าไปเป็นเด็กของพวกนั้นหรอก”
“ก็ไม่แน่หรอก”
อีกคนบอกกระดกบรั่นดีในมือลงคอจนหยดสุดท้าย
เหลือบเห็นแจกันเซรามิกส์ที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมาก่อนก็สะกิดใจให้รู้สึกคิดถึงหน้าคนที่วันนี้ไม่ได้ไปหาเลยวางแก้วหมดอารมณ์จะดื่มต่อ
“กูกลับแล้วนะ”
“อ้าว
อะไรวะ ทิ้งกูเฉย”
“เออ ง่วง
จะกลับไปนอน”
“ง่วงหรือเมา
ไอ้ห่ากระดกเหล้าเหมือนน้ำอย่างนี้ ขับรถไม่ไหวก็นอนโรงแรมดีกว่าไหม”
“ดูถูกกูเกินไป....กูเลวก็ไม่เลวขนาดเมาชนคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่หรอก
ถ้าเกิดชนกูชนให้กูตายคนเดียวพอ”
“ไอ้เวร
แช่งตัวเองอีก ไปไป้ จะไปไหนก็ไป แต่ระวังตัวด้วยนะมึง” แจบอมยกมือโบกให้คนตัวใหญ่ที่พับธนบัตรสอดไว้ใต้แก้วบรั่นดีของตนเองก่อนจะเดินออกจากเลาจ์ไป
กวังรยอลก้าวเท้าพ้นจากประตูโรงแรมระดับห้าดาวเดินเอื่อยอย่างไร้อารมณ์ไปที่รถสปอร์ตของตนเองซึ่งจอดอยู่ในลานจอดกลางสวนสวยแล้วขับออกไปบนท้องถนนยามดึกที่โล่งราวกับเขาเป็นเจ้าของเพียงลำพังตรงไปยังอพาร์ทเม้นต์หรูกลางใจเมือง
ชายหนุ่มถอดเสื้อนอกไว้ในรถแล้วลงมาแหงนหน้ามองฟ้าที่เดือนหรือดาวเลยสักดวงด้วยถูกเมฆดำเคลื่อนมาปิดทับ
ฤทธิ์แอลกอฮอล์และความเบื่อทำให้เขาเลือกเดินเล่นไปเรื่อยเปื่อยแทนการกลับห้อง
ปล่อยความมืดโอบล้อมคอยฟังเสียงลมกับเสียงใบไม้ไกวไปอย่างไม่มีจุดหมายอยู่พักใหญ่ก็เริ่มได้ยินเสียงฝีเท้าคนคล้ายก้าวตามมา
เขาเดินต่อพร้อมประเมินสถานการณ์ในใจแสร้งทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรกระทั่งมองเห็นตรอกมืดเลยเร้นกายหายเข้าไปในนั้นและเฝ้าดูความเคลื่อนไหวก็เห็นชายฉกรรจ์สามคนเดินเข้ามาเหมือนตามหาบางอย่าง
พอเห็นเข้าเท่านั้นคนที่กำลังเบื่อและอารมณ์ไม่ดีก็เหยียดมุมปาก
...รนหาที่...
“หากูอยู่เหรอ”
ประโยคนั้นหลุดจากปากพร้อมกับเท้าของคนตัวใหญ่ที่กระแทกเข้ายอดอกของหนึ่งในกลุ่มคนที่อยู่หน้าสุดอย่างแรงจนเซถลา
ใครอีกคนวิ่งเข้ามาจะซัดคืนเลยถูกหมัดกระแทกตรงเข้าจมูกกับหว่างคิ้ว
ระหว่างที่ง่วนซัดคนหนึ่งจนร่วงไปกองอยู่อีกคนก็กระโดดถีบเข้ากลางหลังเลยผละลุกเดินปรี่เข้าไปหลบหมัดที่สวนมาอย่างชำนาญแล้วเสยใต้คางจนร่วงลงไปนอน
ฝ่ายที่ยังพอมีแรงทั้งสองคนลุกจากพื้นเข้ามารุม
คนที่เริ่มเบื่อกับการวิวาทเตะก้านคออีกคนจนพับ เอี้ยวตัวฟันศอกใส่ที่เหลือจนหลับ
การชกต่อยและเสียงข้าวของกระแทกกระจัดกระจายในตรอกนั้นดำเนินไปไม่ถึงสิบห้านาทีก็เงียบลง
กวังรยอลปัดฝุ่นบนเสื้อ
ปาดเหงื่อเม็ดเล็กที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากจากการออกแรงสองมือล้วงกระเป๋าก้าวข้ามของที่เกะกะบนพื้นไปอย่างไม่รีบร้อน
ช่วงจังหวะนั้นเองที่มีชายคนหนึ่งในกลุ่มขยับหยิบมีดพับวิ่งเข้าใส่
ฝ่ายที่ระวังตัวอยู่ตลอดเบี่ยงตัวหลบคมมีดเปลี่ยนทิศกรีดทะลุแขนเสื้อเชิ้ตไปถึงเนื้อแขนพร้อมกับเลือดที่ซึมกระจายเป็นวงกว้าง
นัยน์ตาคมจ้องมือมีดตาลุกวาวราวเสือจับข้อมือที่ถือมีดไว้มั่นบีบแรงราวกับจะหักกระดูกให้แตกแล้วดึงทั้งแขนทุ่มลงบนพื้น
ตามด้วยเท้าข้างหนึ่งที่เหยียบลงไปบนยอดอกนับครั้งไม่ถ้วนจนเลือดในปากกระเซ็นติดรองเท้านั้นแหละเขาถึงหยุด
“เหี้ยเอ๊ย”
เขาสบถไม่ใช่เพราะเจ็บแต่รำคาญกับการต้องดูแลแผลเองด้วยการไปโรงพยาบาลสำหรับเขาเป็นเรื่องยุ่งยาก
นอกจากแจบอมกับบยอลแล้วไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเขาเป็นทายาทเจ้าของโรงพยาบาลใหญ่อันดับต้นๆที่ถือครองหุ้นในโรงพยาบาลอื่นทั่วเกาหลี
เวลาป่วยหรือบาดเจ็บทีเรื่องก็ไปถึงหูครอบครัวทีและสุดท้ายเขาก็ถูกครอบครัวด่าทอกระทั่งถึงฟ้าดินที่ส่งเด็กนอกคอกอย่างเขามาเกิด
มือใหญ่กระชากแขนเสื้อที่เปื้อนเลือดออกใช้ฟันช่วยพันผ้ารอบแขนเพื่อห้ามเลือด
เก็บมีดที่ตกอยู่เพราะรู้ว่าถ้าตำรวจมาจะลำบาก
เดินโซเซกลับมาถึงหน้าอพาร์ทเม้นต์ของตัวเองแต่แทนที่จะขึ้นไปทำแผลที่ห้องเขากลับแหงนหน้ามองฟ้า
ดาวดวงหนึ่งพ้นจากแนวเมฆกระพริบเป็นประกายทำให้หัวใจวูบอ่อน
เท้าเปลี่ยนทางก้าวต่อไปยังรถที่จอดอยู่และขับออกไปบนถนนอย่างเร็ว
0 Comments