LOVE TOXICAL : KANPAGNE CHAPTER 6

23:33



รถแวนสีดำแล่นมาจอดหน้ารั้วหน้าไม้ที่แน่นขนัดด้วยไม้เลื้อย ท้องฟ้าสีครามลอยคว้างด้วยเมฆขาวและแดดร้อนเริ่มเปลี่ยนสีเข้มเป็นสัญญาณของการก้าวล่วงสู่ยามเย็น ชายหนุ่มหน้าดุสวมกางเกงยีนส์ขาสั้นขาดตรงเข่ากับเสื้อยืดคลุมทับด้วยเสื้อเชิ้ตลายสก็อตเปิดประตูลงจากรถก่อนจะดอมๆมองๆ หากริ่งประตูที่ถูกใบไม้บังอยู่กว่าจะเจอได้ก็หลายนาที


มีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ภายใน สักพักชายหนุ่มตัวสูงใหญ่กว่าผิวสีน้ำผึ้งสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ก็เข็นรถเข็นของสี่ล้อมาหาพลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาและใบหน้าเรียบเฉย


ช้าวะประโยคนั้นแทนคำทักทายทำเอาคนที่อุตส่าห์แบกข้าวของขับรถจากโซลมาถึงอีชอนให้หน้าหงิก


โอโห ไอ้ห่ากวังรยอล...นี่กูถ่อจากโซลมาหามึงถึงนี่ ทางก็ไม่ใช่ใกล้ๆ รถก็ติดสัดหมายังมีหน้ามาด่า เดี๋ยวพ่อเตะขาหลุด


กูไม่ได้ด่า แค่บอกว่า ช้า


บอกว่าช้า แม่งก็เหมือนด่าแหละ คิดดูคนไม่ค่อยได้นอน โดนใช้ให้มาเก็บของแถมต้องถ่อมาตั้งหลายสิบกิโล ถ้าไม่ใช่เพื่อนคนดีของมึงอย่างกูนี่ใครจะทำ แล้วนี่กูก็ยังไม่ได้คิดบัญชีความเป็นห่วงที่กูซื้อโจ๊กมาให้แล้วมึงไม่ยอมกลับมาแดกเลยนะ


โวะ แค่โจ๊ก ตอนมึงมีเรื่องกระทืบนักเลงที่มาเก็บค่าส่วยร้าน ตอนนั้นกูซื้อคาเวียร์ไปฝากแล้วมึงไม่กลับมาแดกเพราะติดลมต้องนอนกับหญิงระบายอารมณ์กูยังไม่บ่นเลย


จะเปรียบเทียบก็ไม่ได้ว่าอะไรนะแต่ทำไมต้องเอาคาเวียร์มาทับถมโจ๊กกูด้วยวะ ใช่สิ โจ๊กก็มันถูกไง สู้คาเวียร์กระป๋องจากรัสเซียของมึงไม่ได้ คนแบบกูมันคนธรรมดามีเงินพอแดกพอใช้ไม่ใช่แบบมึงนิ  พ่อคนรวย พ่อมหาเศรษฐี พ่อคนใส่รองตีนราคาเป็นล้าน


เอาอีกล่ะไอ้เหี้ย เยอะอีกล่ะ


เยอะอะไร ก็กูพูดความจริง


อย่าเยอะน่าบยอล มึงอย่าเยอะ ยิ่งประชดแบบนี้กูยิ่งคันตีนอยากเตะมึงยิบๆเลยเนี่ย


ธ่อ ไอ้พวกหัวรุนแรง ด่ากลับไม่ทันเป็นเตะ


โห กล้าพูดนะมึง...อย่างมึงไม่เรียกหัวรุนแรงดิ อ้อ ลืมไปว่ามึงมีสโลแกนประจำตัว ปากหมาอารมณ์ร้อนชอบชกต่อยใครไม่พร้อมอย่าอ่อยตีน


พูดขนาดนี้ด่ากูชั่วเลยไหมล่ะ


ยังต้องด่าอีกเหรอ ก็ชั่วอยู่แล้วไม่ใช่ไง ขนาดเพื่อนมึงโดนมีดฟันมายังไม่ถามสักคำ


กูเห็นสภาพมึงไม่เหมือนคนเจ็บเลยไม่ถาม ตกลงเจ็บปะล่ะ


ไม่


ก็เนี่ย กูรู้ไงว่ามึงไม่เจ็บแล้วจะถามให้เปลืองน้ำลายทำไม


โอ๊ย คุยกับมึงแล้วปวดหัววะ ไม่เอาล่ะ ไม่คุยกับมึงละ ไหนดูหน่อยดิ เอาของที่กูสั่งมาครบไหมเนี่ย บอกแล้วก็เดินไปเปิดท้ายรถตรวจตราเสื้อคลุมและโค้ทราคาแพงที่แขวนอยู่ก็ปลดมันยื่นให้เพื่อนถือส่วนตัวเองก็วนกลับมายกลังกระดาษใบใหญ่สามใบลงจากรถไปใส่รถเข็นที่รออยู่


ของมึงแม่งโครตเยอะ ดีนะยังเลือกให้กูเก็บ ไม่งั้นคืนนี้ยังไม่รู้กูจะมาได้หรือเปล่าเลย


เออ ขอบใจ


แล้วนี่คิดยังไงวะถึงจะย้ายมาอยู่เมืองเงียบๆแบบนี้เนี่ย


ทำไมต้องคิด


ก็ธุรกิจของมึงอยู่ในโซล เพื่อนมึงทุกคนก็อยู่โซล ชีวิตของมึงอยู่ที่โซลแต่อยู่ๆก็จะย้ายบ้าน ถ้าไม่มีแผนอะไรในหัวคงไม่ย้ายมานี่หรอกหรือว่ามึงหนีตำรวจ


หนีพ่อมึงสิ...ไม่ได้ทำผิดจะหนีทำไม


ก็เผื่อตำรวจตามตัวมึงเจอคิดว่าเป็นพวกเดียวกับไอ้ห่าพวกนั้นก็ได้


ตำรวจแม่งไม่ว่างขนาดนั้นหรอก...จับผู้ร้ายฉกรรจ์ได้ก็ดีใจตายห่าแล้ว


ถ้าไม่ใช่หนีตำรวจก็มาหาลู่ทางทำธุรกิจดิ อย่าบอกนะว่าจะเปิดบาร์โฮสต์ที่นี่...โหย  มึงยังจะทำอีกเหรอวะ ไอ้บาร์โฮสต์ที่มึงเปิดกับแจบอมนั่นก็กำลังรุ่งอยู่แล้ว รอให้มันอยู่ตัวกว่านี้ก่อนไหมค่อยคิดจะเปิด


อย่าเดามั่วน่า


นั่นก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่ แล้วยังไงแน่วะ


เงินเหลือเลยหาเรื่องใช้


โอ๊ย มึงนี่แม่ง ถ้าไม่ใช่มึง ตอบกูแบบนี้กูถีบจริงๆอ่ะ คนเป็นเพื่อนว่าเพราะรู้ถึงความมั่นหน้าและความรวยของอีกฝ่ายดี ทั้งรวยหุ้น รวยอสังหา รวยธุรกิจถึงจะเน้นไปทางสีเทาสักหน่อยแต่ก็ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย ยกเว้นเรื่องกระทืบคนที่จะไม่นับ มันเป็นคนรวยจนไม่รู้จะรวยยังไง รวยแบบที่ครอบครัวตัดหางก็ยังรวย


ว่าแต่มึงเจอบ้านหลังนี้ได้ยังไงวะ


บังเอิญเจอ


ชีวิตมึงนี่มีอะไรตั้งใจบ้างไหมวะ ถามว่ารวยได้ไงมึงก็บอกบังเอิญ ถามว่าหาสาวมายังไงก็บอกบังเอิญ แต่จะว่าไปบ้านหลังนี้สวยดีนะ ดูเหมือนบ้านที่เคยเห็นในนิตยสารเลยวะ แต่ต้นไม้เยอะแบบนี้ต้องทำความสะอาดเหนื่อยเลยนะ คนที่มีบ้านไว้ไสหัวหลับแบบมึงจะอยู่ได้แน่นะ


เจ้าของบ้านเขาอยู่ได้ ทำไมกูจะอยู่ไม่ได้


อะจ้ะ อยู่ได้ก็ได้ แล้วจะมาอยู่นี่เจ้าของบ้านเขาคิดค่าเช่าเท่าไหร่วะ


มึงหยุดถามได้ไหมเนี่ย เห็นไหมว่ากูเข็นของอยู่


เออๆ


คนซักไม่หยุดยอมเงียบและเดินถือเสื้อคลุมและเสื้อโค้ทที่แขวนอยู่ในถุงพลาสติกคลุมเสื้อตามหลังจนถึงหน้าประตูบ้าน ช่วยเปิดประตูทิ้งไว้ให้ตามคำข้อก่อนจะสังเกตว่าล็อกประตูบ้านนั้นถูกทุบจนพังแต่ไม่ทันได้บอกก็ต้องถอยหลังให้กับเพื่อนที่คว้าไม้แขวนในมือเขาพาดกับลังกระดาษที่ยกอยู่ให้เข้าไปวางไว้บนพื้นในห้องนั่งเล่น


หลังจากขนของกันเข้ามาเรียบร้อย ระหว่างรอเพื่อนไปหยิบน้ำมาให้กิน คนมาช่วยก็ทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นห้องนั่งเล่นข้างลังกระดาษมองออกไปยังบานเลื่อนกระจกที่มีสวนดอกไม้กั้นและฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นบ้านไม้ทรงยาวก่อนจะสังเกตเห็นบางคนสวมเสื้อแขนยาวสีอ่อนกับยีนส์หอบม้วนกระดาษเดินผ่านสวนดอกไม้ตรงมายังที่ที่เขานั่งอยู่


แสงสีส้มทองยามอาทิตย์ใกล้อัสดงสาดลงมากระทบร่าง นัยน์ตากลมสวยต้องแสงเปลี่ยนเป็นสีอำพันอ่อนจางมองตอบมายังคนแปลกหน้าที่นั่งอยู่ คิ้วขมวดเล็กน้อยหากก็เพียงครู่รอยยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรก็ปรากฏบนดวงหน้าเนียนละเอียดที่น่ารักนั้นมือของอีกคนถึงกับยกขึ้นชะงักตาแข็งด้วยความตกใจ


...เหมือนเดินมาจากสวรรค์...


สวัสดีครับ คุณคงเป็นเพื่อนของเจ้าหมาน้อยใช่ไหมครับเสียงนุ่มอ่อนดังขึ้น ร่างบางก้าวขึ้นจากสวนพลางถอดรองเท้าแตะไว้ตรงชานบ้านแล้วเดินเข้ามา ช่วงที่ย่อตัวลงมาหาคนที่นั่งอยู่บนพื้นก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้จากกายบางนั้นจะโชยมาแตะจมูก


หมาน้อย?


อ่า...ผมหมายถึงกวังรยอล ใช่ไหมนะ ชื่อจริงเขา”  


อา...ครับ สวัสดีครับ


ขนของหมดหรือยังครับ คนน่ารักคนนั้นถามยังคงถือกาน้ำชาเซรามิกส์สีขาวเขียนลายใบโคลเวอร์สี่แฉกสีเขียวไว้ในมือ ดวงตากลมใสที่จ้องมาอย่างใจดีทำให้อีกคนเผลอยิ้มตอบอัตโนมัติ


หมดแล้วครับ


เขาไม่เห็นเรียกผมไปช่วยเลย อา ลืมแนะนำตัว ผมชื่อซึงฮวังนะครับ เป็นเจ้าของบ้านนี้


อ้อ ครับ ผมบยอลครับ


ขนของกันสองคนคงเหนื่อยแย่เลย...หิวน้ำหรือเปล่าครับ วันก่อนคุณป้าที่ร้านของชำเขาให้ชาเขียวออร์แกนิคมา เดี๋ยวผมไปชงให้นะครับ เจ้าของบ้านถามแววตาใสซื่อฉายความเป็นห่วงเช่นเดียวกับน้ำเสียงเป็นเวลาเดียวกับที่ในครัว กวังรยอลยืนมองน้ำขวดที่มีอยู่เต็มตู้แต่ไม่กล้าหยิบมาเองโดยไม่กล้าขอ เห็นน้ำเปล่าขวดหนึ่งพร่องไปบ้างเลยหยิบมารินใส่แก้วเดินกลับไปที่ส่วนนั่งเล่น


แดกน้ำเปล่าไปก่อนล่ะกันนะ เขาบอกพลางก้าวเท้าไปหาโดยไม่เงยหน้ามอง กว่าจะเห็นว่า คนที่ตัวเองเรียกว่านางฟ้าและลูกแมวนั้นกับเพื่อนกำลังยิ้มให้กันมือที่ถือแก้วพลาสติกไว้กลับกำแน่น


...อะไร มีอะไร ยิ้มทำไม...


ทำอะไรกัน


เสียงทุ้มติดแหบดังขึ้นจากเบื้องหลังนั้นเย็นเยือกน่ากลัว บยอลเงยหน้าไปมองก็เห็นเพื่อนตัวเองทำหน้าทะมึนทึงยื่นน้ำที่ใช้มือจับแน่นจนเส้นเลือดตรงแขนปูดก็ย่นหน้าผาก


...เป็นเหี้ยอะไรของมัน ทำหน้าเหมือนตอนจะกระทืบคน...


ความคิดนั้นติดอยู่ในใจแต่เมื่อจะเอ่ยถาม คนตัวเล็กกลับขัดจังหวะด้วยการลุกจากพื้นเดินไปดึงชายเสื้อยืดของคนตีหน้ายักษ์กระตุกเบาๆ


ทำไมขนของแล้วไม่เรียกล่ะ...ก็บอกไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่า ถ้าของมาแล้วให้เรียกจะช่วยขน


ของผมมันมีแค่นี้เองมือใหญ่ชี้ไปยังลังกระดาษใบใหญ่สามใบที่วางอยู่บนพื้น


แต่แขนเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ ยกของหนักแบบนี้ แผลก็ปริหมดสิ ไหนขอดูแขนหน่อย มือนุ่มค่อยๆดึงแขนเสื้อข้างที่มีผ้าพันแผลปิดทับอยู่อย่างระแวดระวังและตรวจหารอยเลือดซึมอย่างละเอียด


ไม่ปริหรอก...พยาบาลเขาเย็บแน่นจนผมรู้สึกถึงแรงตอนเขาดึงเลย


แต่ลังมันใหญ่มากเลยนะ น่าจะช่วยกันสามคนจะได้ไม่เหนื่อย


ไม่เอา แขนคุณเล็ก ยกของหนักเดี๋ยวแขนหัก


แขนผมก็เท่ากับแขนคุณบยอลเขานั้นแหละ ถ้าคุณบยอลยกได้ ทำไมนี่จะยกไม่ได้ล่ะ


อะไร รู้ชื่อเพื่อนผมแล้วเหรอ


อืม...เมื่อกี้แนะนำตัวกันเรียบร้อยแล้ว


คนตัวใหญ่มองคนตัวเล็กกว่าด้วยสีหน้าและแววตาที่อ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด มือเรียวใหญ่เอื้อมไปจับข้อมือเล็กขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาของอีกคน


ข้อมือคุณเล็กกว่าบยอลมันอีก


จริงเหรอคนถามเอียงคอมองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อ


ไอ้บยอลมันประเภทตัวผอมแต่วิญญาณกรรมกร ยกของแค่นี้สบาย


ทำไมว่าเพื่อนแบบนั้นล่ะ


ไม่ได้ว่า...พูดเรื่องจริง


ว่าเพื่อนแบบนี้ ไม่น่ารักเลย


เหอะ คนถามส่งเสียงในคอสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าคนตัวเล็กกว่าสังเกตเห็นดวงตาคมแข็งมีแววสลดลงวูบหนึ่งก็หายไป ริมฝีปากที่เหยียดอยู่แล้วยิ่งขยายกว้างมือข้างที่ว่างยกขึ้นลูบผมหน้าของอีกคนที่ลู่ลงมาเบาๆ


เพื่อนอุตส่าห์เหนื่อยขนของมาให้ ต้องพูดกับเพื่อนดีๆ ขอบคุณเพื่อนที่มาช่วยหรือยัง


แล้วสิ...ผมไม่ได้ไร้มารยาทขนาดนั้น


ดีแล้ว เดี๋ยวผมไปชงชากับเอาขนมมาให้กินแก้เหนื่อยนะ


ผมไปช่วย


ไม่ต้องหรอก แค่ชงชาเอง


นั้นแหละ


คนแขนเจ็บไปนั่งเฉยๆเลย


ไม่ได้เจ็บ


เอ พอเจ็บตัวแล้วทำไมดื้อจัง  กลัวผมหายเหรอ ครัวอยู่แค่นี้เอง ไม่หายไปไหนหรอกนะ...ไปนั่งเร็ว ถ้ายังดื้ออีกจะเอาผักยัดใส่ขนมนะ คนพูดยิ้มลูบแขนแข็งแรงนั้นไปมาเหมือนจะปลอบ


อืม เข้าใจแล้วสุดท้ายคนตัวใหญ่ก็ยอมจำนนปล่อยคนตัวเล็กเดินเข้าครัวไป


บยอลกัดริมฝีปากทอดมองบรรยากาศการสนทนาอันละมุนของคนทั้งคู่ด้วยแววตาครุ่นคิด แลทุกอิริยาบถของเพื่อนที่แสดงออกกับเจ้าของบ้าน ไม่ว่าจะเป็นแววตา น้ำเสียง มือไม้กระทั่งคำพูดนั้นถึงจะดูห้วนๆทว่าคนที่รู้จักกันมานานย่อมรู้ดีว่านี่คือกวังรยอลเวอร์ชั่นอ่อนโยนแบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน


...คุณพระ...
...รู้ล่ะว่าทำไมถึงตาขวางใส่...
...ถ้าแจบอมมาเห็นมีขำท้องแตก...


เป็นเหี้ยอะไรของมึง สั่นซะ ผีเข้าหรือไง คนตัวโตที่มานั่งข้างถามพลางเหล่มองคนที่นั่งเม้มริมฝีปากตัวสั่นซึ่งพยายามกลั้นไม่ให้หลุดหัวเราะเสียงดังออกมา


นี่ กูถามอะไรหน่อยได้ปะ


มีไรก็ถามมา


ถ้ากูถามจะไม่ต่อยกูใช่ปะ


อยู่ที่ว่ามึงถามอะไร ถ้าถามพวกปัญหาเชาวน์กวนตีนแบบที่มึงเคยถาม กูจะถีบ


ถ้าไม่ใช่ปัญหาเชาวน์กูถามได้


ลีลาฉิบหาย มีเหี้ยไรก็ถามสิวะคนถูกเซ้าซี้ชักรำคาญ


อย่าเพิ่งโมโหสิวะ กูจะถามล่ะนะ...คือ คุณซึงฮวังคนนี้ใช่มะที่ทำให้มึงหายหัวไปทุกเย็นตั้งสี่ซาห้าเดือนเนี่ย คนเป็นเพื่อนปูทางหมายใจว่า ถ้าอีกฝ่ายทำบ่ายเบี่ยงจะจี้ถามให้หน่อยแต่กาลกลับตาลปัตรเพราะเจ้าตัวยอมรับเสียง่ายๆ


อืม


ที่ย้ายมาอยู่นี่จะย้ายมาอยู่กับเขาด้วยใช่มะ


ใช่


ชอบเขาเหรอวะ


เออ


คนหน้าดุมองเพื่อนที่ตอบคำถามหน้าตาเฉยชา เลยได้แต่กรอกตามองเพดานพลางเบะปากให้


เซ็ง มึงเล่นตอบตรงๆแบบนี้ไม่สนุกเลยแม่ง


จะให้กูตอแหลเพื่อให้มึงไล่จี้ถามเอาไปล้อกับแจบอมมันอะนะ...ฝันไปเถอะมึง


มึงอย่าทำตัวทันคนอื่นไปหมดสิวะ แกล้งโง่บ้างไม่เป็นไง


ทำไมกูต้องทำตัวโง่กับพวกมึงด้วยวะ ไร้สาระ


สรุปคือเขากับมึงเป็นแฟนกันใช่ไหม เออเว้ย ไอ้คนที่ประกาศตัวตลอดว่าไม่อยากผูกพันกับใคร เสือกมีแฟนเฉย อีกคนถามไม่ได้ถือสาอะไรที่อีกฝ่ายจะคบหากันคนเพศเดียวกัน...เรื่องความรักความชอบจะเกิดกับเพศไหนก็ไม่เห็นเป็นไร


ไม่ได้เป็น


อ้าว...หรือว่ามึงคิดจะคบเล่นๆ ไอ้เหี้ย ถ้าแบบนั้นเลิกเลยนะมึง คนจิตใจดีแถมหน้าตาน่ารักแบบนี้ จะคบไม่จริงจังก็ปล่อยเขาไปหาคนดีๆ โอ๊ย ไอ้ห่า ผลักหัวกูทำไมเนี่ย


กูไม่ได้เล่น ครั้งนี้คิ้วเข้มของคนไร้อารมณ์เริ่มขมวด ดวงตาคมฉายแววไม่ชอบใจ...ปกติแล้วกับเพื่อนกับฝูงกวังรยอลไม่เคยลงไม้ลงมือรุนแรง อย่างมากก็ไล่เตะแต่แรงที่ผลักมานั้นรับรู้ได้ถึงความโกรธทำให้อีกคนเลิกทำเป็นเล่นไปโดยปริยาย


ถ้ามึงจริงจังแล้วทำไมถึงบอกไม่ได้เป็นแฟนกัน


กูยังไม่ได้ขอ


ก็ขอสิวะ ถึงขั้นผลักหัวกูเพราะโกรธแทนเขาขนาดนี้แล้วจะรอเหี้ยอะไรอีก


ถ้ากูบอกแล้วเขาไม่เอาด้วยจะทำยังไง เกิดมองหน้ากันไม่ติดขึ้นมา บรรลัยเลยนะมึง


อะไร อะไรกาน...กวังรยอลเพื่อนกูคนที่ไล่กระทืบคนได้ทั่วราชอาณาจักร ไม่เคยกลัวห่าอะไร เสือกกลัวเขาไม่รับรัก


กระทืบคนกับชอบคนมันเหมือนกันหรือไง กับเขากูไม่อยากเร่ง ค่อยๆเป็นค่อยๆไปก็ได้


อ้อ มึงกะจะเอาแบบคนสมัยก่อนสิ คลุมถุงชนซะ เดี๋ยวๆ อยู่ๆกันไปก็รักกันเองอะนะ แต่ดูทรงเขาก็น่าจะชอบมึงอยู่นะ


ไม่แน่หรอก


อ้าว


ถึงเขาจะทำอะไรหลายอย่างๆให้กู เป็นคนแรกในหลายๆเรื่อง ทำให้กูรู้สึกดี แต่ตัวตนเขาเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว เป็นคนใจดี เป็นคนที่ไม่ว่าใครรู้จักต้องเอ็นดู อย่างวันนี้ตอนกลับมาจากไปทำแผล ผ่านใครเป็นถูกทักตลอดทาง บางคนให้ของกินมาอีก กูถึงรู้เขาเป็นที่รักของทุกคน


 “ก็ถามเขาสิว่ารู้สึกยังไง


ถามอะไรเหรอครับ เสียงนุ่มถามขึ้นจากด้านหลังทำให้คนที่นั่งรออยู่หันไปมองก็เห็นเจ้าของบ้านที่กลับเข้ามาพร้อมกับถาดไม้ที่มีถ้วยชาเซรามิกส์สีเขียวสลับน้ำตาลและคุ๊กกี้ในจานแล้วเดินไปหยิบโต๊ะไม้กลมพับได้ที่พิงกับผนังมาให้คนมือว่างช่วยกางจากนั้นจึงวางของทั้งหมดลงกลางโต๊ะ


อา ยังไม่ได้หยิบหมอนรองนั่งมาให้เลยคนตัวเล็กทำท่าจะเดินไปอีกเลยถูกมือใหญ่คว้ามือไว้


ไม่ต้องไปแล้ว


แต่พื้นมันไม่เย็นไปเหรอ นั่งพื้นเย็นๆ เดี๋ยวไม่สบายนะ


มึงว่าพื้นเย็นไหมคนไม่ยอมให้ไปหันไปถามเพื่อน อีกคนก็เหมือนรู้งานส่ายหน้าจึงพูดต่อ คุณเย็นเหรอ


ก็นิดหน่อย


บยอล มึงถอดเสื้อดิ


ห๊ะ


ถอดเสื้อคลุมมึงออกมานี่


ถอด ถอดไมวะ อะอะ ถอดก็ได้ ถึงจะงงๆแต่ก็ถอดเสื้อเชิ้ตที่สวมทับเสื้อยืดออกมาส่งให้ อีกคนปล่อยมือที่จับมือเล็กนั้นไว้พับเสื้อเป็นทบแล้ววางลงตรงที่นั่งของคนที่ยืนอยู่


นั่งบนนี้จะได้ไม่เย็น


นั่นมันเสื้อคุณบยอลเขานะ


อืม มันไม่ถือหรอก ใช่ปะคนถามเหล่ตาดุมาแล้วคนเป็นเพื่อนจะไปพูดอะไรได้


ครับ แค่นี้เองไม่เป็นไร


งั้นก็ขอบคุณนะครับ คนตัวเล็กนั่งลงบนเสื้อและโค้งให้แล้วแนะนำของกินที่เอามาให้ อันนี้ชาเขียวออร์แกนิค ผมเคยชงดื่มแล้วสดชื่นมากเลย ส่วนนี้ก็คุกกี้ธัญพืชที่ผมทำเอง


ทำเองเลยเหรอครับ


ผมแพ้แป้งสาลีน่ะครับ เวลาจะกินขนมแบบนี้ต้องใช้แป้งข้าวโอ๊ต หรือแป้งชนิดอื่นแล้วแถวนี้มันไม่มีใครทำขายก็เลยต้องทำเอง ลองชิมดูสิครับ


ถ้าอย่างนั้นผมไม่เกรงใจนะครับ คนหน้าดุหยิบคุกกี้มากัดเข้าปากไปคำหนึ่ง ลิ้มรสชาติหวานกำลังดีและเนื้อสัมผัสของแป้งที่มีเมล็ดธัญพืชปนก็ยัดเข้าไปทั้งชิ้นพร้อมอุทานออกมา โอ้ อร่อย


จริงเหรอครับ


แบบนี้ต้องทำกับข้าวเก่งแน่ๆ ใช่ไหมครับถามทั้งที่ปากยังเต็มไปด้วยคุกกี้


555 ไม่เก่งครับ แค่ทำกินเองไม่ท้องเสียเท่านั้นเอง...ถ้าชอบก็กินเยอะนะครับๆ ที่จริงผมทำเก็บไว้ในโหลด้วย ถ้าคุณบยอลจะกลับเมื่อไหร่ เดี๋ยวผมห่อให้เอากลับไปกินที่บ้านนะครับ”  


ไม่ต้องหรอกครับ เกรงใจ


อุตส่าห์ขนของมาให้ถึงนี่ คุกกี้แค่นี้ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ อ้อ จริงสิ นี่ก็เย็นแล้ว ถ้าคุณบยอลไม่มีธุระอะไรอยู่กินข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ


เมื่อถูกชวนคนที่กำลังเพลินกับการกินคุกกี้ถึงกับหยุดเคี้ยวเหลือบมองหน้าของคนตัวใหญ่ที่ตีหน้านิ่งไม่พูดไม่จา ไม่แม้แต่จะจิบชาหรือกินขนมมีเพียงสายตากร้าวแข็งที่จ้องเขม็งมาตั้งแต่ที่เจ้าของบ้านส่งขนมให้กินทำให้คนถูกมองใจคอไม่ดี


...อยู่ต่อแม่งเอากูตายแน่...
..อะไรจะขี้หวงเหี้ยๆขนาดนี้...


พอดีผมมีธุระน่ะครับ คงอยู่กินข้าวเย็นด้วยไม่ได้


ว้า เสียดายจัง ไม่เป็นไรครับ ไว้วันหลังคุณบยอลแวะมาหากวังรยอลเขา ต้องอยู่กินข้าวด้วยกันนะครับ


ครับแกล้งรับคำไปอย่างนั้นแล้วจิบน้ำชาหลบสายตาของเพื่อนตัวเองที่จ้องเหมือนจะสูบเลือด


ทำไมไม่กินล่ะเจ้าของบ้านหันกลับมามองคนตัวโตที่เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดอะไร ไม่ได้ยัดผักลงไปนะ


ผมยังไม่หิว


ขนมไม่ใช่ข้าวนะ ไม่หิวก็กินได้


เห็นบยอลมันกินอร่อย ให้มันกินไปก็ได้


ที่ไม่กินเพราะมันเป็นธัญพืชเหรอ...นอกจากผัก ธัญพืชก็ไม่กินด้วยเหรอคำถามซื่อๆนั้นหลุดมา


เปล่า


งั้นกินนะมือขาวหยิบคุกกี้ยื่นมาใกล้ริมฝีปาก กินเร็ว


เมื่อคนถูกป้อนอ้าปากงับคุกกี้ได้อีกคนก็ปล่อยนิ้วที่ป้อนออก...คุกกี้ถูกกัดไปเพียงครึ่งชิ้นส่วนที่เหลือเลยถูกยื่นกลับไปหาริมฝีปากสีเรื่อสวยนั้น


คุณก็กินด้วยสิ


กินแล้ว


ตอนไหน


ก็ตอนทำเสร็จไง...กินตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว


กินอีกสิ...วันนี้คุณกินไปแค่ช็อกโกแลตเองนะ ช่วยกินชิ้นนี้ให้ผมหน่อย


ซึงฮวังเหลือบตามองตาคมของคนตัวใหญ่ที่จ้องมาเหมือนไม่รู้สึกอะไรแต่ลึกลงไปมีประกายอ้อนอยู่ในที


ภายใต้ท่าทางดุดันน่ากลัวนั้น หากสังเกตด้วยหัวใจมากกว่าดวงตาจะได้เห็นถึงความนุ่มนวลปนความเป็นเด็กในบางทีซ่อนอยู่ซึ่งจะเผยออกมาเป็นบางทีอย่างไม่ตั้งใจ และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้คนตัวเล็กรู้สึกเอ็นดู จึงเลื่อนตัวเข้าไปงับคุกกี้แต่ดันเผลอกัดโดนนิ้วอีกคนเข้าไปด้วย


จังหวะที่ฟันขบบนปลายนิ้ว กวังรยอลกระพริบตาแล้วทอดมองนัยน์ตากลมใสที่สะท้อนภาพของเขาอยู่ในนั้นนิ่งงันชั่วนาทีก่อนจะยกยิ้มเล็กๆพลางเลียริมฝีปากเบาๆ


อย่ากัดนิ้วผมสิเสียงเข้มติดแหบมีแววกระเซ้า


ไม่ได้ตั้งใจนะ เจ็บมากหรือเปล่า ขอโทษนะ เจ้าของบ้านไม่รู้เรื่องรู้ราวรีบขอโทษจับมือของอีกคนพลิกมาดูแผลจนไม่ทันสังเกตเห็นแววตาพอใจที่แทรกขึ้นมา คงมีแต่คนที่นั่งเคี้ยวคุ๊กกี้เต็มปากเป็นหัวหลักหัวตอซึ่งเห็นเข้าถึงกับกลอกตาไปมา


...ได้ยินว่า เจ้าของบ้านเรียก เพื่อนเขาว่า หมาน้อย...

...หมาน้อยเลี้ยงในบ้านนี่ไม่น่าใช่ ถ้าเป็นหมาป่าถึงจะถูก...


สำออยเสียงอ่อนนั้นดังมาจากคนคิ้วหนาหน้าดุ ทำให้อีกฝ่ายที่รู้ตัวว่าโดนด่าปรายตามองแล้วจัดการไล่ทางอ้อมเสร็จสรรพ


บยอล มึงมีธุระไม่ใช่เหรอ จะกลับหรือยัง เห็นบอกว่ารถติด รีบกลับเถอะไป เดี๋ยวไปทำธุระไม่ทันนะมึง  รอยยิ้มการค้าแบบที่เพื่อนใช้ยิ้มเวลาต้องเจรจาธุรกิจถูกส่งมาหาในทันทีที่จบคำไล่ ฝ่ายตรงข้ามเลยแอบยกนิ้วกลางใส่


...หมั้นไส้...

...ไล่กันหน้าด้านๆ เลยไอ้ห่า...

...ฟรวยเถอะมึง...


จะกลับแล้วเหรอครับ


อะครับ กลับแล้วก็ได้


งั้นรอแป้บนึงนะครับ เดี๋ยวผมไปเอาคุกกี้มาให้ อ้อ ผมทำซุปผักไว้ คุณบยอลกินผักได้ไหมครับ


ได้ครับ...ผมเป็นคนกินง่าย ไม่เหมือนบางคนหรอกครับ เรื่องมาก เลือกกินกระทบกระเทียบใส่เพื่อนเสร็จก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้


ดีเลยครับ ผมจะได้ตักมาให้ด้วย เจ้าของบ้านลุกจากพื้นเดินจากส่วนนั่งเล่นหายเข้าไปในครัว ปล่อยชายหนุ่มอีกสองคนให้เขม่นมองกันด้วยความหมั้นไส้


เพื่อนชั่ว


ก็ชั่วพอกับมึงอ่ะ


ชั่วตรงไหน กูมาช่วยมึงนะ มีหน้าไล่กูหน้าตาเฉย คิดว่ากูจะแย่งหรือไง


กูก็แค่ไม่อยากเห็นเขาดีกับใครต่อหน้า


โอ๊ย ไอ้ห่า กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปี แบบนี้ไม่ใช่แนวกูด้วย จะมาหวงกับกูทำเหี้ยอะไร


ก็ไม่ชอบ ไม่เข้าใจไง


จั๊ดง่าวจริงๆ คุยกับมึงตอนนี้เหมือนคุยกับเด็กคนเป็นเพื่อนส่ายหัวอย่างระอา มึงจริงจังจริงๆใช่ปะ


เออ


ถ้ากูกลับแล้วอยู่กับเขาดีๆนะมึง อย่าปล้ำเขานะว้อย


กูไม่ทำอะไรนางฟ้ากูหรอก ถ้าเขาให้ค่อยว่ากัน


โอ๊ย มีการเรียกนางฟงนางฟ้าอีก จะอ้วก พอแซวปุบมือใหญ่ของอีกคนก็ยื่นมาจะตบหัวแต่เบี่ยงหลบทันก่อนจะหยุดเล่นทันทีที่เจ้าของบ้านเดินหิ้วถุงผ้าที่มีโหลเซรามิกส์สีขาวที่มีคุ๊กกี้อยู่ข้างในกับกล่องข้าวที่ตักซุปผักเดินกลับมา ร่ำลาพร้อมเก็บเสื้อเชิ้ตที่เอาไปรองนั่งเสร็จเรียบร้อยก็ออกจากบ้านมาส่งคนหน้าดุตรงรถที่จอดอยู่


ขอบคุณมากนะครับ ของกินที่คุณให้ ผมจะกินให้อร่อยเลย บยอลว่าพลางยิ้มให้เจ้าของบ้านแล้วเหล่ตามองเพื่อนที่ยืนกอดอกจ้องอยู่ กลับแล้วนะมึง มารยาให้มันน้อยๆหน่อยด้วย พอพูดจบประโยคก็เปิดประตูกระโจนขึ้นรถไม่รอให้เพื่อนที่ขายาวทันได้ถีบ


คุณบยอลนี่ตลกดีเนาะคนตัวเล็กว่าขณะเดินเข้ามาในส่วนนั่งเล่นที่กองด้วยลังกระดาษใบใหญ่


ตลกตรงไหน


ไม่รู้สิ แต่ดูรักหมาน้อยมากเลยน้า...คบกันมานานแล้วเหรอ


ก็นานพอควร


เห็นแล้วก็อยากมีเพื่อนแบบคุณบยอลบ้าง


มีไปทำไม...กวนตีนจะตาย


ผมไม่ค่อยมีเพื่อนเป็นผู้ชายน่ะ เพื่อนที่สนิทกันก็เป็นผู้หญิงแต่เขาแต่งงานมีครอบครัวกันไปหมดแล้ว ถ้ามีเพื่อนผู้ชายสักคนเวลาอยากไปไหนก็จะได้ชวนไง เอ แต่ตอนนี้ก็มีเจ้าหมาน้อยแล้วนี่นะ ชวนเจ้าหมาน้อยไปแทนได้ใช่ไหม


ลูกแมวอยากไปไหนล่ะ


หลายที่เลย แต่ไม่ได้จะไปวันนี้หรอกนะ


จะไปวันไหนก็บอก แล้วจะพาไป


เย้ นอกจากมีหมาแล้วยังมีสารถีเพิ่มด้วยคนตัวเล็กร้องพลางยกมือชูเหนือหัวแล้วหัวเราะเหมือนเด็ก


อืม สำหรับลูกแมว อยากให้เป็นอะไรจะเป็นให้


เห็นไหม ใจดีออก มือนุ่มยื่นมาแตะเบาๆก่อนจะลดมือลงและหันไปเท้าสะเอวมองกองข้าวของ ของหมาน้อยดูจะเยอะนะ แบบนี้จะให้อยู่ห้องไหนดี ให้นอนห้องที่เคยให้นอนคงไม่ได้ มันเล็กไป


ห้องนั่นเป็นห้องของใคร


ห้องของผมเมื่อก่อนน่ะ...พอดีคุณแม่เขาย้ายไปโซลผมเลยย้ายไปนอนห้องคุณแม่แทน


ห้องแม่คุณอยู่ตรงไหน


ข้างห้องเก่าผมแหละ


อ้อ


ไปนอนห้องพี่ชายกับน้องชายผมก็ได้น่ะ ห้องนั่นใหญ่กว่าห้องของแม่ผมอีก


พี่ชายกับน้องชายลูกแมวนอนด้วยกันเหรอ


อืม... พอดีสองคนนี้เขาชอบอะไรคล้ายๆกัน แม่ก็เลยให้นอนด้วยกันไปเลย ที่จริงเตียงเป็นเตียงแยกแต่แจโฮตัวใหญ่ตั้งแต่เด็กแล้ว พี่ฮันเฮก็ตัวใหญ่เลยแก้ปัญหาด้วยการเอาเตียงมาติดกันจะได้ไม่มีใครตกเตียง


บ้านคุณมีแต่คนตัวใหญ่เหรอ


ใช่ ตัวใหญ่กันหมดเลย คุณแม่ก็ตัวสูงกว่า เนี่ยพี่ฮันเฮก็สูงประมาณหมาน้อยนั้นแหละ นี่ก็อยากตัวใหญ่กว่านี้นะแต่ทำไม่ได้แล้วอ่ะ


 “คุณตัวเล็กแบบนี้แหละดีแล้วมือใหญ่เอื้อมไปลูบผมอีกคนเบาๆ ห้องพี่น้องของคุณอยู่ไหน


เยื้องกับห้องนอนเก่าผมน่ะ...หมาน้อยเอาของไปวางในห้องก่อนนะ เดี๋ยวทำอาหารเย็นเสร็จ กินข้าวแล้วจะได้ช่วยกันเก็บของ


ไม่เป็นไร ผมไม่ได้ขนของมาเยอะ เสื้อผ้ากับพวกหมวกมีลังเดียว อีกลังรองเท้า ลังสุดท้ายนั้นของจิปาถะ เก็บแป้บเดียวก็เสร็จ คุณไปทำกับข้าวเถอะ


เอางั้นเหรอ จะเจ็บแขนไหม


ไม่หรอก ไปทำกับข้าวเถอะ...ซุปผักยังเหลืออีกใช่ไหม


จะกินเหรอ ก็ไม่บอกเลยตักให้คุณบยอลไปหมดเลย


ให้มันไปกินแหละดีแล้ว...ผมไปเก็บของนะ อ้อ ถ้าจะใส่ผักในกับข้าว ขออย่าเยอะนะ


จะค่อยๆใส่จนกว่าจะปรับตัวได้ล่ะกัน


โอเค


ตกลงกันเรียบร้อยทั้งคู่ก็แยกย้ายไปทำตามหน้าที่ กวังรยอลทยอยยกลังไปไว้หน้าประตูไม้สีอ่อนที่เยื้องกับห้องนอนด้านในสุดของบ้านค่อยๆเปิดเข้าไปภายในห้องนอนกว้างที่ทาผนังทุกด้านด้วยสีเบจ เครื่องเรือนทำจากไม้ดูเรียบง่ายเหมือนเครื่องเรือนชิ้นอื่นในบ้าน เตียงเดี่ยวถูกดันมาชิดกันจนมีความกว้างพอให้ผู้ชายสองคนนอนปูไว้ด้วยผ้าสีน้ำตาลไร้ลายคลุมทับด้วยผ้านวมสีเดียวกัน ซึ่งที่แตกต่างจากห้องที่เคยนอนคงจะเป็นพวกอุปกรณ์ทั้งคอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง คียบอร์ด ไมค์และอุปกรณ์สำหรับทำเพลงอีกหลายชิ้นที่กินพื้นที่ด้านหนึ่งของห้องไป


...เป็นศิลปินทั้งบ้าน...


ชายหนุ่มแขวนเสื้อคลุมกับเสื้อโค้ทกับราวแขวน แล้วหันมาแกะเทปกาวบนลังกระดาษเรียงข้าวของที่เลือกมาเฉพาะที่ชอบและใส่บ่อยเข้าตู้เสื้อผ้า พวกของจิปาถะอื่นๆพวกครีม อาฟเตอร์เชฟต่างๆถูกนำไปเรียงไว้ในห้องน้ำ ส่วนรองเท้าที่ติดมาหลายคู่เก็บไว้ในตู้รองเท้าที่มีรองเท้าไม่กี่คู่อยู่ในนั้น จัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินเข้าครัวมองคนตัวเล็กที่ยังสวมผ้ากันเปื้อนวางหม้อมักกะโรนีชีสบนถาดไม้กลางโต๊ะพร้อมจานเซรามิกส์ลายดอกไม้และช้อนส้อม


กินข้าวกัน แต่ล้างมือก่อนนะค่อยกินคำชวนที่มีรอยยิ้มเปื้อนหน้าเรียกรอยยิ้มบางจากอีกคนได้ทันที


ร่างใหญ่ล้างมือเดินกลับมานั่งตรงข้ามกับเจ้าของบ้านที่ใช้ทัพพีตักมักกะโรนีใส่จานให้ มือใหญ่หยิบส้อมจิ้มมักกะโรนีชีสใส่ปาก รสชาติกลมกล่อมหอมชีสอบอวลอยู่ในปากทำให้กินได้ไม่หยุด


อร่อยไหมคนที่เท้าคางมองคนตัวโตกินอย่างอร่อยถามยังคงยิ้มกว้างอยู่เช่นเดิม


อร่อย


ในนั้นมีแคร์รอตแหละ


จริงเหรอ ผมไม่รู้สึก


ก็ต้มจนนิ่มแล้วค่อยใส่ลงไป


ขอบคุณนะ


งืมคนทำพยักหน้ารับตักมักกะโรนีเข้าปากไม่กี่คำก็หยุดเงยหน้ามาพูดอีก นี่ หมาน้อยทำความสะอาดอะไรเป็นบ้างไหมงะ


ทำความสะอาดเหรอ เออ...จะว่ายังไงดีล่ะ คือ ผมไม่เคยทำหรอก ตอนเด็กมีแม่บ้าน พอโตมาเวลาทำความสะอาดอะไรผมจะจ้างเอา


ง่าส์ หมาน้อยเป็นลูกคุณหนูนี่นา


งานบ้านผมไม่ถนัด ถ้างานใช้แรงพวกงานช่าง เปลี่ยนไฟ ซ่อมประตู ก่ออิฐ ฉาบปูน ซ่อมนั้นนี่น่ะทำได้


งะ ตัวเองก็วิญญาณกรรมกรเหมือนกันนิ แล้วทำเป็นไปว่าเพื่อน


อืม วิญญาณกรรมกรกันหมด ไม่งั้นจะคบกันได้ยังไง อ้อ เพิ่งนึกได้ ไอ้ตัวล็อกประตูหน้าบ้านที่ผมทำพัง...ผมยังไม่ได้ซื้อมาเปลี่ยนให้เลย


ไว้พรุ่งนี้ค่อยไปซื้อก็ได้


ไม่กลัวโจรหรือไง


กลัวทำไมอ่ะ อยู่มาตั้งเป็นสิบยี่สิบปียังไม่เคยเจอเลย...อา...กลับมาเรื่องงานช่างก่อน ถ้าหมาน้อยทำได้ งั้นจะให้เป็นฝ่ายซ่อมบำรุงล่ะกัน มีอะไรเสียในบ้านก็ซ่อมเนาะ


พวกงานบ้านน่ะให้ผมทำก็ได้ แต่ต้องสอน


ให้บิดผ้าตาก เก็บผ้า เช็ดจานเก็บ เอาขยะไปเทอะไรประมาณนี้ทำได้ไหม


ให้ทำมากกว่านี้ก็ได้


มากกว่านี้จะเหนื่อยเอาน้า


ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าออกกำลังกาย


แหะๆ ใจดีอีกแล้วบอกแล้วก็ตักมื้อเย็นกินอีกไม่กี่คำความเคยชินทำให้เงยหน้ามองนาฬิกาที่อยู่ตรงผนัง ต้องไปทำงานแล้วใช่ไหม


วันนี้เหรอ...ไม่ล่ะ ผมลาหยุด


ไม่โดนว่าเหรอ


ใครจะกล้าว่าเจ้าของ


เจ้าของ...อา...ตกลงแล้วหมาน้อยทำงานอะไรบ้าง


ถ้าเลิกเรื่องทวงหนี้ก็มีหุ้นเปิดร้านกับเพื่อนน่ะ


เป็นคนกลางคืนสิเนาะ


ใช่...ผมเป็นคนกลางคืน กลัวไหมล่ะ


ไม่กลัวหรอก


คนอื่นเขากลัวผมกันนะ


ทำไมกลัวล่ะ ไม่เห็นน่ากลัวเลย


มีแค่คุณคนเดียวที่พูดแบบนั้น


เหรอ


คนตรงข้ามพยักหน้ารับหันกลับมาตั้งหน้าตั้งตากินเหมือนไม่มีอะไรจะพูดต่อ คนที่รอปฏิกิริยาตอบสนองแบบที่เคยได้เห็นแบบนั้นถึงกับชะงักเงียบแต่เลือกจะกินข้าวโดยไม่ถาม หลังกินข้าวเจ้าของบ้านไล่ให้อีกคนไปอาบน้ำ ส่วนตัวเองจัดการล้างจานชามในอ่าง


ชายหนุ่มอาบน้ำสระผมพยายามไม่ให้น้ำกระเด็นถูกแผลแล้วสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นแบบสบายๆ ทรุดลงนั่งบนพื้นห้องปล่อยให้น้ำจากเรือนผมหยดลงมาบนผ้าเช็ดตัวที่รองอยู่บนตักขณะที่สมองยังคิดวนเวียนถึงอาการแปลกๆของอีกคน


ก๊อก...ก๊อก 


เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นตามมาด้วยร่างบางที่อาบน้ำเรียบร้อยอยู่ในชุดนอนแขนขายาวลายทางสีน้ำเงินขาวเดินเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าคนที่ปล่อยให้ผมแห้งเอง


ไม่เช็ดผมเหรอ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก


ผมชอบให้มันแห้งเอง


ไม่เช็ดแล้วจะแห้งตอนไหน...มานี่มา เช็ดให้ อีกคนฉวยผ้าเช็ดผมบนตักของอีกคนปีนขึ้นบนเตียงอ้อมไปนั่งซ้อนอยู่ข้างหลังและเริ่มเช็ดผมให้อย่างอ่อนโยน ความเงียบครอบคลุมระหว่างคนทั้งคู่คงมีเพียงกลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้จากร่างเล็กที่พอช่วยให้ไม่รู้สึกอึดอัด


เมื่อกี้ตอนอาบน้ำผมกลับไปคิดมาแหละในที่สุดคนเช็ดผมให้ก็เอ่ยคำทำลายความเงียบ


คิดเรื่องอะไร


เรื่องตอนกินข้าว


อา


ถ้าคนอื่นไม่คิดแบบนั้นก็ช่างมันเนาะ


หมายถึง...


เนี่ย คนที่ไม่ชอบกินผักแต่ก็ยอมกินผักที่ทำให้ ช่วยเปลี่ยนนู้นเปลี่ยนนี่ให้เวลาของในบ้านเสีย ไม่น่ากลัวหรอก...แต่ถ้าวันไหนมีคนพูดให้รู้สึกไม่ดีแบบนั้นอีก จำไว้นะว่ามีผมคนหนึ่งที่ไม่คิดแบบนั้น ถ้อยคำเรียบง่ายจากที่ไม่ผ่านการปั้นแต่งจากคนตัวเล็กที่ยังไม่หยุดมือจากการเช็ดผมราวกับมีเวทมนต์ที่ทำให้คนได้ยินนิ่งงันไปพร้อมกับความอุ่นซ่านที่แล่นเข้ามาในหัวใจ


...เขาไม่ใช่คนละเอียดอ่อน แต่คำพูดเล็กๆน้อยๆ ให้รู้ว่าใส่ใจนั้นทำให้เขาหัวใจพองโต...


ริมฝีปากหยักเหยียดกว้างแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ คอเอนไปด้านหลังพร้อมกับหน้าที่เงยไปหา นัยน์ตาคมสบเข้ากับดวงตากลมเป็นประกายสดใส ในตอนนั้นเองที่ปลายนิ้วนุ่มจะหยิกข้างแก้มสีน้ำผึ้งดึงไปมาเบาๆ


จับได้ไม่กัดใช่ไหม


อืม


เห็นมะ ให้จับด้วย น่ากลัวตรงไหนเนี่ย น่ารักออก จริงๆน้า น่ารัก


ไม่อยากน่ารักเลยแฮะ


ทำไมล่ะ


เหมือนชมเด็ก


คำว่า น่ารัก ไม่ได้แปลว่าน่ารักอย่างเดียวสักหน่อย


แล้วแปลว่าอะไรอีก


หล่อ เท่ห์ น่าเอ็นดู ใจดี ขอบคุณก็ยังได้


น่ารัก...คราวนี้คนตัวใหญ่เอ่ยกลับ ลูกแมวก็น่ารักนะ


555 เลียนแบบกันทำไมงะ


ก็น่ารักจริงๆ


นี่ ผมหมาน้อยแห้งแล้วล่ะ ขอไปนอนก่อนนะ


เด็กอนามัยจังสี่ทุ่มก็นอนแล้วเหรอ


ปกตินอนห้าทุ่มนะ แต่เมื่อวานกว่าจะได้นอนตั้งตีสองตีสามเลยง่วง หมาน้อยปกตินอนกี่โมง


ตีสี่


โห นอนใกล้เช้าแล้วนะนั่น


งานผมมันเลิกประมาณนั้น


ใช้ชีวิตคนละเวลากันเลยงะ


นั่นสิ...แต่เราสองคนก็เจอกันได้นิ


แม่เคยบอกว่า คนเราเจอกันได้เพราะผูกพันกันมาแต่ชาติก่อนล่ะ แต่ก็มีทั้งที่ผูกพันกันชั่วครั้งชั่วคราวกับผูกพันกันไปจนสิ้นอายุขัย ใครที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบหลังนี้แม่บอกว่า เป็นเนื้อคู่กัน


อ้อ แบบนี้นี่เองคนตัวโตพยักหน้ารับเหลือบมองอีกคนที่หาวหวอด ง่วงมากแล้วสิ


อืม...ง่วง ผมไปนอนก่อนนะร่างเล็กปีนจากเตียงลงมายืนกับพื้นพลางโบกมือ ฝันดี ราตรีสวัสดิ์น้า


บอกเสร็จก็เดินลากตัวเองออกจากห้องไปโดยไม่ทันได้ฟังคนที่กำลังจะขยับปากเรียก เมื่อบานประตูปิดลงชายหนุ่มมองประตูนิ่งหลายนาทีแล้วถอนหายใจ ลุกจากพื้นเดินไปปิดสวิตซ์ไฟและล้มตัวลงนอนบนเตียงฟังเสียงเครื่องปรับอากาศ


เปลือกตาคล้อยปิดลงพร้อมกับความอ่อนล้าที่โถมลงมา แปลกที่ร่างใหญ่กลับหลับไม่ลง กลิ่นหอมที่ยังติดบนหน้าและสัมผัสอุ่นจากอ้อมแขนที่เจ้าของบ้านทิ้งไว้เป็นรอยแห่งความทรงจำฝังลึกจนไม่อาจข่มตาหลับได้แต่พลิกตัวกระสับกระส่ายไปมาอยู่บนเตียง


...ปกติเขาไม่เคยจำสัมผัสจากคู่นอนของตัวเองได้สักคน แต่เมื่อวานอ้อมแขนนั้น ความอุ่น ความหอมและความรู้สึกปลอดภัยที่ล่องหนหายไปคล้ายติดตรึงบนตัวเขา...


...นอนไม่ได้...


กวังรยอลลุกพรวดขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงเพื่อตั้งสตินับสิบนาทีแล้วล้มตัวลงนอนใหม่ หากก็ประสบปัญหาเดิม หลังจากนอนใคร่ครวญอะไรบางอย่างอยู่พักหนึ่งสุดท้ายก็เลือกลุกจากเตียงเดินฝ่าความมืดออกจากห้องตรงไปเคาะประตูคนร่วมบ้าน ใช้เวลารอไม่กี่นาทีเจ้าของห้องก็งัวเงียมาเปิดประตูพร้อมกับแสงไฟจากโคมหัวเตียงลอดออกมา


มีอะไรเหรอถามออกไปทั้งที่ตายังลืมไม่ค่อยขึ้น


ผมนอนไม่หลับ


เป็นอะไรอ่ะถึงนอนไม่หลับ แปลกที่เหรอ แต่ก็เคยนอนนี่จะแปลกที่ได้ยังไง


คุณทำให้ผมนอนไม่หลับ


ห๊ะ...ไปทำตอนไหนอ่ะ


เมื่อวานนี้คุณกอดผมนอน...ใช่ไหม


อา ก็เห็นเพ้อนึกว่าหลับแล้วฝันร้ายก็เลยกอดแล้วเผลอหลับไป แต่มันเกี่ยวอะไรกับนอนไม่หลับล่ะ


กลิ่นคุณ...ทำให้ผมนอนไม่หลับ


ยังไงอ่ะ ไม่เข้าใจ


อาจจะฟังดูแปลกไปหน่อย แต่ผมติดกลิ่นคุณแล้ว


ติดกลิ่นเนี่ยนะ


ผมเป็นคนจมูกไว พอคุณมานอนใกล้กลิ่นคุณมันเข้ามาในจิตใต้สำนึกผม


งั้นเอาครีมอาบน้ำขวดใสๆ ในห้องน้ำไปล้างมือสิจะได้มีกลิ่นเหมือนกัน


ไม่เหมือนกันหรอก


เหมือนสิ ก็ผมใช้มันอาบน้ำ


ร่างกายคนเรามันไม่เหมือนกัน...กลิ่นบนตัวคุณมันไม่เหมือนกลิ่นที่ติดบนตัวผม


เง้อ เพิ่งเคยได้ยินเรื่องแบบนี้ แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ


ให้ผมนอนกับคุณ


นอนด้วยกันอะนะ


ใช่ ผมติดกลิ่นคุณ...ถ้าไม่ได้นอนด้วยกัน ผมคงนอนไม่หลับ


ลองทำตามที่บอกก่อนสิ ถ้ายังไม่หลับค่อยมานอนด้วยกัน


เชื่อผมสิ มันไม่ได้ผลหรอก


จริงงะ


จริง...ทำไมล่ะ ไม่ได้เหรอ ให้ผมนอนห้องเดียวกับคุณเถอะนะ หรือว่ากลัว ก็ไหนคุณว่าผมไม่น่ากลัวไงคนตัวใหญ่ชักแม่น้ำห้าสายต่อรอง


มันก็ใช่ แต่ผมไม่ค่อยได้นอนห้องเดียวกับใครนะ ล่าสุดที่เคยนอนกับคนอื่นก็ตอนปีใหม่ที่ทุกคนกลับมาบ้านเลยไปนอนรวมกันสี่คนแม่ลูกที่ห้องนั่งเล่น


ผมเป็นหมาของคุณไม่ใช่เหรอ...ให้หมาของคุณนอนกับคุณด้วยไม่ได้เหรอ ผมไม่ทำอะไรหรอก แค่นอนด้วยกันเฉยๆ


ง่าส์


ไม่สงสารผมเหรอ แขนผมก็เจ็บอยู่ ถ้าพักผ่อนไม่พอ แผลมันอาจหายช้าก็ได้...เถอะนะ ให้ผมนอนด้วย สัญญาจะไม่กวน ไม่กรน ไม่อะไรทั้งนั้นขอแค่ให้ผมนอนกับคุณ


คราวนี้ตากลมใสปรายมองใบหน้าเลือนรางในแสงสลัว ยากจะรู้ว่าสีหน้าของอีกคนเป็นอย่างไร ทว่าน้ำเสียงเว้าวอนกันอยู่อย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น สูดลมหายใจพลางชั่งใจอยู่หลายนาทีก็ใจอ่อน


ก็ได้ แต่ผมนอนดิ้นนะ ถ้าถีบตกเตียงห้ามด่านะ


อืมร่างใหญ่ส่งเสียงในลำคอ ก้าวเท้าผ่านบานประตูเข้าไปในห้องนอนที่มีแสงสลัวจากโคมไฟส่องพอให้เห็นข้าวของในห้องได้ลางๆ


ซึงฮวังปิดประตูเดินงัวเงียโซซัดโซเซไปถึงเตียงใหญ่กลางห้องได้ก็ล้มตัวลงนอน ปล่อยให้เพื่อนร่วมบ้านที่เดินตามหลังขึ้นมานอนบนเตียงเดียวกัน ช่วงจังหวะที่ใกล้จะเคลิ้มหลับก็รู้สึกมีแขนใหญ่สอดเข้ามากอดให้นอนในอ้อมแขน ตาข้างหนึ่งลืมขึ้นมองก็เห็นการกระเพื่อมไวของแผ่นอกกว้าง


กอดทำไม


ผมติดนิสัยเวลานอนต้องกอดอะไรสักอย่าง


อะไรงะ...พอเจ็บตัวขึ้นมาดูมีปัญหากับการนอนจังเนาะ


ไม่ได้ทำอะไรนี่ แค่กอด


มากอดคนอื่นทั้งที่ไม่ได้ขออ่ะนะ


เมื่อวานลูกแมวก็ทำนิ


ก็ตอนนั้นใครให้นอนเพ้อล่ะ


ตอนนี้ก็เพ้ออยู่...


เจ้าของห้องปรือตาทั้งสองข้างมองไปในความมืด สัมผัสได้ถึงท่อนแขนแข็งแรงที่อยู่ใต้ศีรษะและความอุ่นของอ้อมแขนที่มีกลิ่นหอมเย็นติดมาด้วย ความง่วงสะสมจากเมื่อวานยังมีอยู่แต่การสนทนาทำให้ยังมีแรงพอจะต่อรองเพื่อให้ได้สิ่งที่อยากรู้


ให้กอดก็ได้ แต่ต้องเล่าเรื่องตัวเองมาให้ฟังหนึ่งเรื่อง ไม่เอาเรื่องสั้นๆ พูดสองสามประโยคจบนะ


เรื่องของผมน่ะเหรอ อยากฟังอะไรล่ะ


งืม เรื่องอะไรก็ได้


ชีวิตผมไม่มีอะไรน่าเล่าหรอก


ไม่เป็นไร อยากฟัง


ไม่ง่วงแล้วเหรอ


ง่วง แต่อยากฟังมากกว่า


ทำไมถึงอยากฟังล่ะ


ก็ฟังเรื่องผมมาเยอะแล้ว เลยอยากรู้เรื่องของหมาน้อยบ้าง...เล่ามาเถอะ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ผมอยากฟังเสียงอ่อนเบากระซิบบอก


อืม...ผมชื่อชเว กวังรยอล


เรื่องนั้นรู้แล้ว


เดี๋ยวสิ ยังเล่าไม่จบ


555” หัวเราะทั้งที่ตาใกล้จะปิดเต็มที


เกิดวันที่ 23 พฤษภาคม สูง 181 ซม. ผมมีพี่ชายสองคน พี่สาวคนหนึ่ง ครอบครัวผมเป็นตระกูลหมอที่ทำธุรกิจโรงพยาบาล พ่อแม่กับพี่ๆผมเป็นหมอแต่ผมเข้ากับคนที่บ้านไม่ได้เลย ตอนเจ็ดขวบพ่ออยากดัดสันดานเลยส่งผมไปอยู่ฟาร์มกับลุงที่แคนาดา ซึ่งผมคิดว่า ผมโชคดีที่ถูกส่งไปเพราะลุงของผมก็แปลกแยกจากคนในตระกูลเหมือนกัน คนตัวใหญ่เริ่มเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ฟัง


งืม


ผมสนิทกับลุงมาก ลุงสอนผมหลายเรื่อง ให้ผมลองทำทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดีแล้วให้ผมไปคิดเอาว่าจะทำยังไงต่อ ผมรักลุงของผมมากนะแต่ท่านเกิดเป็นมะเร็งและก็จากไปกะทันหัน ผมเลยต้องกลับมาอยู่เกาหลีตอนอายุสิบห้า ผมเข้ากับคนที่บ้านไม่ได้ มีเรื่องชกต่อยทุกวัน ผมหนีออกจากบ้านตอนเรียนจบมัธยมปลาย ผมไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย วันๆเลยเอาเงินมรดกที่ลุงให้ไว้มาเทรดหุ้น เทรดไปเทรดมาโชคดีได้กำไรก็เลย อา ลูกแมว หลับแล้วเหรอ เขาเอ่ยถามเพราะได้ยินเสียงลมหายใจและไออุ่นพ่นรดอยู่ตรงอก เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบรับแขนแข็งแรงก็กระชับร่างบางให้เข้ามาประชิดกับกายตนเองก่อนที่เสียงแผ่วของคนที่คิดว่าหลับไปแล้วจะเอ่ยขึ้น


จบแล้วเหรอ ยังนี่ เล่าต่อสิ


ผมนึกว่าลูกแมวหลับแล้ว


ยัง แต่ใกล้แล้ว


ง่วงก็นอนเถอะ


ก็มันยังไม่จบ


ไว้พรุ่งนี้ผมค่อยเล่าให้ฟัง


อืม ติดไว้พรุ่งนี้นะ พรุ่งนี้ต้องเล่าเรื่องนี้ให้จบ แล้ว...แล้ว ถ้าจะนอนกันแบบนี้อีก...ต้องเล่าเรื่องตัวเองให้ฟังอีกเรื่องนะ


จ๊ะ


งั้นนอนแล้วนะ ฝันดี ราตรีสวัสดิ์จบประโยคนั้นคนตัวเล็กก็เอนหัวเข้าไปใกล้ซบหน้าลงกับอกกว้างยอมให้กอดโดยดุษฏี


ราตรีสวัสดิ์ ฝันดีนะลูกแมวคนตัวใหญ่ว่า ฟังเสียงงัวเงียเหมือนแมวร้องพลางกอดร่างบางแนบกับตัวอย่างอ่อนโยน ยินเสียงคล้ายละเมอที่ลอดมาจากริมฝีปากแดงระเรื่อก็ทำให้รอยยิ้มของคนได้ยินผุดพรายอย่างเป็นสุข


กอดแบบนี้ก็อุ่นดี


กวังรยอลตอบรับก้มลงไปจูบเบาตรงหน้าผากสูดกลิ่นเรือนผมนุ่มหอมของอีกคนไว้เต็มปอดก็หลับตา


...เขาไม่เคยกอดใครแล้วอุ่นขนาดนี้...


...หรือคิดอีกถ้าคนที่กอดไม่ใช่ลูกแมว...


...มันคงไม่มีวันอุ่นเท่านี้...
 



You Might Also Like

0 Comments