LOVE TOXICAL : KANPAGNE CHAPTER 7

23:42



เสียงเปียโนแว่วหวานจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะไม้โบราณผสมกับเสียงเครื่องสักลายนั้นคลออยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่มีภาพวาดของเจ้าแห่งปีศาจขนาดใหญ่ประดับอยู่ล้อมรอบด้วยผลงานออกแบบรอยสักทั้งที่วาดบนกระดาษและบนร่างกายใส่กรอบเรียงรายอยู่บนผนังสีดำ เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานล้วนเป็นงานไม้เก่าที่ซ่อมแซมเพียงคงสภาพให้ดูขลัง ขณะที่เครื่องตกแต่งภายในอย่างรูปปั้นมักข้องเกี่ยวกับเหล่าสาวกปีศาจ กระทั่งเก้าอี้ปรับนอนสำหรับสักยังดูคล้ายกับเก้าอี้ทรมานในสมัยโบราณ

 
ชายหนุ่มใบหน้าเรียวคิ้วเข้มถูกไถเป็นเส้นแยกไม่ให้ติดกัน จมูกโด่งและริมฝีปากหนาตัดผมรองทรงวุ่นอยู่กับการสักลายลงบนแผงอกแข็งแรงของชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งที่มือหนึ่งคว้านหยิบข้าวเกรียบในกล่องพลาสติกใสเข้าปากอย่างสบายอารมณ์
 

ดวงตาดุเรียวจ้องเขม็งอยู่กับการลงสีเพิ่มแสงเงาให้รอยสักเหล่าเซอร์เบอรัสที่เปิดปากคำรามอวดฟันเขี้ยวโค้งแหลมซึ่งพาดจากอกข้างซ้ายมาจรดอกข้างขวา จากนั้นจึงขยับเข็มเติมสีลงมา ณ จุดหนึ่งตรงกลางอกค่อนไปทางซ้ายในตำแหน่งตรงกับหัวใจ บนหน้าผากของเซอร์เบอรัสหัวที่สองนั้นมีชื่อภาษาอังกฤษหวัดๆของใครคนหนึ่งจารึกไว้
 

“ซึงฮวังนี่ใคร” เสียงแหบต่ำแต่เรียบเย็นเช่นเดียวกับสีหน้าราวกับจะฉุดให้ดำดิ่งยังก้นเหวลึกเอ่ยถามทั้งที่มือและสายตายังประสานการทำงานอยู่กับการสร้างสรรค์ลวดลายบนอกของคนที่พักสายตากินขนมอยู่บนเตียงสัก
 

“นางฟ้าของผม”

 
“นางฟ้า?

 
“อืม”

 
“เจอกันในฝันหรือไง”
 

“ผมหมายถึง นางฟ้าที่เป็นคน”

 
ฝ่ายช่างสักหยุดมือเหลือบตาขึ้นมองคนบนเตียงพลางขมวดคิ้วคล้ายไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ไม่ใช่เพราะหูฝาดไปเอง

 
“มึงมีคนที่เรียกว่า นางฟ้าด้วย”
 

“อ้าว ทำไมพูดงั้นละพี่”
 

“ก็แค่คิดว่าคนที่เปลี่ยนคู่นอนไม่ซ้ำหน้าอย่างมึงไม่น่าเห็นใครเป็นนางฟ้าของตัวเองได้”
 

“ผมไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้นมานานแล้วนะ”
 

“ไม่ได้ทำของมึงนี่คือ”
 

“นอนกับคนอื่นไปทั่วไง”
 

“อ้อ...ที่ไม่เห็นมึงที่ร้านเหล้าตั้งนานเพราะแบบนี้นี่เอง โผล่มาอีกทีก็ใช้งานพี่มึงเลยนะ”  คนสักว่าพลางยิ้มมุมปาก “รักแรกสิ”

 
“พี่พูดถึงอะไร”

 
“นางฟ้าของมึงนะ...รักแรกของมึงสิ”

 
“ก็ประมาณนั้น”

 
“แย่นะ”

 
“แย่ยังไง”

 
“รักแรกมักจบไม่สวย”

 
สิ้นประโยคนั้นคนบนเตียงเปิดเปลือกตาคมขึ้นมองบนเพดานสีดำที่มีแสงไฟสีเหลืองส่องสว่างแล้วกดคางมองชายหนุ่มอายุมากกว่าที่มีฉายาในวงการสักว่า Darknight

 
เหตุที่ได้ชื่อนี้เพราะเจ้าตัวเป็นมือสักที่ไม่ค่อยมีใครติดต่อได้ง่ายนักแต่มีฝีมือในการสักและลายเส้นเทียบชั้นได้กับมือสักชั้นครู ทว่าการรับสักแต่ละครั้งขึ้นอยู่กับความพอใจและให้บริการหลังเวลาเที่ยงคืนแล้วเท่านั้น
 

กวังรยอลรู้จักผู้ชายคนนี้ครั้งแรกในห้องสูบบุหรี่ภายในในคลับชั้นสูงแห่งหนึ่งที่มีเฉพาะเมมเบอร์เท่านั้นจึงจะเข้าได้ การผูกมิตรระหว่างกันเริ่มต้นขึ้นเมื่อผู้ชายหน้าดุหากไร้อารมณ์ทางสีหน้าซึ่งเขามักเห็นนั่งดื่มด่ำกับบรั่นดีเพียงลำพังอยู่มุมในสุดของร้านทุกวันเสาร์ พอถึงเที่ยงคืนก็ลุกไปสูบบุหรี่และกลับออกจากคลับพร้อมหญิงสาวหรือชายหนุ่มหน้าตาดีคนนี้ หยิบบุหรี่ Benson & Hedges มาแลกกับ Pall Mall ของเขา จากนั้นการสนทนากันเล็กน้อยก็เกิดขึ้นและกลายเป็นนั่งดื่มนั่งคุยกันไปในที่สุด
 

บัง ยงกุกเป็นผู้ชายที่ภายนอกดูเรียบนิ่งมีรอยยิ้มบางเหมือนใจดีแต่ภายในกลับเหมือนผืนมหาสมุทรดำมืดยามค่ำคืน น้อยครั้งที่คนเฉยเมยจะพูดแต่เมื่อพูดถ้อยคำกลับขวางโลกและเป็นไปในเชิงลบ ท่าทางรวมถึงรอยสักที่พาดอยู่บนตัวเหมาะแก่การเป็นช่างสัก ทว่าการสักเป็นเพียงงานอดิเรกเพราะแท้จริงอาชีพของยงกุกคือการเป็นนักออกแบบของเล่นและเครื่องใช้สำหรับเด็ก

 
“พี่พูดเหมือนเคยมาก่อน”

 
“มึงไม่เข้าใจหรือไง...ความหมายของรักครั้งแรก มันก็คือครั้งแรก อะไรที่เป็นครั้งแรกไม่มีทางสมหวัง”
 

555

 
“ขำตรงไหน”

 
“ผมขำเพราะรู้ แต่ผมก็ไม่ได้คาดหวังมากขนาดนั้น ก็แค่อยากอยู่กับเขาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้”
 

“แบบนั้นแหละที่เรียกคาดหวัง” ยงกุกบอกเริ่มเก็บอุปกรณ์การสักลงโต๊ะไม้ล้อเลื่อนและหยิบสำลีชุบแอลกอฮอล์มาเช็ดทำความสะอาดบนอกที่ผ่านการสักเรียบร้อย “กูสักให้เสร็จแล้วนะ ไปส่องกระจกดู ถ้าอยากให้เพิ่มเติมหรือแก้ไขลายตรงไหนบอกจะได้จัดการทีเดียว”

 
“เสร็จเร็วจัง” อีกฝ่ายเปลี่ยนท่าจากนอนลุกขึ้นนั่งพลางเหลือบมองนาฬิกาบนผนังที่เข็มสั้นคล้อยจากเลขสิบสองลงมายังเลขสาม

 
“พวกหนังหนาไม่ขยับมันสักง่าย”

 
คนอ่อนกว่าหลุดหัวเราะเบาให้กับคำตอบของคนเป็นพี่ก่อนจะก้าวเท้าลงจากเก้าอี้เอนนอนเดินไปยังกระจกในกรอบไม้ที่แกะสลักลวดลายเถ้ากุหลาบที่มีความสูงเกือบสองเมตร มองเงาสะท้อนของร่างกายแข็งแรงท่อนบนของตนเองที่บัดนี้มีรอยสักส่วนหัวทั้งสามของเซอร์เบอรัสกำลังแยกเขี้ยวคำราม การลงเส้นสีและแสงเงาในแต่ละจุดนั้นประณีตเก็บรายละเอียดแม้แต่จุดเล็กจุดน้อยยิ่งส่งให้รอยสักนี้งดงามทว่าน่าขนลุกในคราวเดียว

 
“จะให้กูเพิ่มอะไรไหม”

 
“ไม่ต้องพี่...มันดีแล้ว”  ชายหนุ่มว่าขณะใช้ปลายนิ้วลูบเบาบนชื่อของคนที่ตอนนี้คงนอนหลับไปแล้ว
 

“หันมานี้...ขอกูถ่ายรูปผลงานหน่อย” เมื่อถูกสั่งอีกฝ่ายก็หันหลังกลับไปปล่อยให้กล้องของโทรศัพท์เก็บภาพรอยสัก
 

“โอเค...ถ้าไม่เพิ่มอะไรกูจะได้เก็บล้างอุปกรณ์ เสร็จแล้วจะออกมาเก็บเงิน”

 
“ให้ช่วยไรไหม”
 

“อยู่เฉยๆ” ช่างสักเฉพาะกิจตะโกนบอกขณะเข็นโต๊ะใส่อุปกรณ์เดินไปด้านหลังร้านเพื่อทำความสะอาด
 

กวังรยอลหยิบเสื้อเชิ้ตสีดำที่แขวนอยู่บนราวแขวนมาใส่จากนั้นจึงหยิบโค้ทยาวสีดำมาสวมทับ เช็กความเรียบร้อยของตัวเองในกระจกอีกครั้ง ระหว่างที่รออีกคนออกมาคิดเงินเลยใช้เวลาไปกับการเดินดูภาพทั้งสวยงามและน่ากลัวในกรอบไม้ที่เรียงรายบนผนัง

 
ความเงียบครอบคลุมภายในร้านที่ตกแต่งในสไตล์โกธิคลึกลับทำให้บรรยากาศน่ากลัว พื้นไม้ยามถูกรองเท้าบู๊ตหนังสีน้ำตาลเหยียบลงไปมีเสียงสะท้อนก้อง แต่คนเคยชินกับความตายไม่รู้สึกอะไรยังคงเดินทอดมองภาพปีศาจสยดสยองไปอย่างเฉยชาก่อนจะมาสะดุดตากับภาพถ่ายรอยสักของลูกค้าคนหนึ่ง

 
รอยสักที่พาดจากแขนข้างขวามาจนจรดถึงอกข้างซ้ายเป็นรูปใบหน้าหมาป่าที่มีแผลฉกรรจ์ยาวจากศีรษะลงมาถึงเปลือกตาแนบหน้าอยู่กับกวางน้อยตัวหนึ่งนอนท่ามกลางหมู่มวลกุหลาบและพุ่มหนามแหลม แม้จะสวยแต่ชวนให้รู้สึกเศร้าหมอง เมื่อเพ่งมองให้ละเอียดจะเห็นขวดยาพิษที่มีของเหลวไหลนอง บนสารพิษนั้นมีถ้อยประโยคที่ทำให้ขมวดคิ้ว  

 
Mein Schaetzi,
Son Seunghwang

 
Mein Schaetzi ในภาษา เยอรมัน แปลว่า ที่รัก หรือ คนที่เป็นดั่งดวงใจ คนล่ำค่าในชีวิต” เสียงแหบต่ำกระซิบถามอยู่ข้างหูแต่คนเป็นน้องไม่มีอาการตกใจหรือหันมามอง ยังคงจ้องอยู่ที่ภาพรอยสักนั้น

 
“พี่สักเองปะ”

 
“ใช่”

 
“สวยดี...น่าสักนะ”

 
“คงไม่ได้ เพราะลายนี้เพื่อนกูออกแบบเพื่อสักตัวมันเองคนเดียว” เจ้าของผลงานการสักเอ่ยอย่างเรียบเฉยพลางขยับเข้าไปใกล้ภาพถ่ายนั้นเพื่ออ่านคำต่อท้ายจากภาษาเยอรมัน โอ๊ะ กูเพิ่งเห็น...ชื่อนามสกุลคนที่เพื่อนกูสักกับนางฟ้าของมึงนี่ชื่อเดียวกันเลย

 
“เพื่อนพี่เขาสักชื่อแฟนเหรอ”

 
“เปล่า”

 
“อ้อ คนในครอบครัวสิ”

 
“ไม่ใช่”
 

“แล้วสักชื่อใคร” คนเป็นน้องถามมีแววขำในน้ำเสียงแต่ดวงตาคงเขม่นมองชื่อนามสกุลที่อยู่ในภาพนั้น

 
“คนที่มันรัก”

 
“แต่ไม่ได้คบกัน”

 
“ใช่...”

 
“เพราะ”

 
“อย่ายุ่งเรื่องชาวบ้านมากน่า” คนเป็นพี่ว่าพลางมามองคนข้างตัวแล้วยกยิ้มมุมปาก “ความรักมันก็แบบนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้อยู่ด้วยกัน”

 
อีกฝ่ายสูดลมหายใจละสายตาจากรอยสักที่อยู่ตรงหน้าแม้ว่าจะมีบางสิ่งในใจค้างคาแล้วหันมาหาฝ่ายที่ยืนมองภาพรอยสักอยู่ข้างๆ

 
“พี่เคยรักใครไหม”
 

“เคย”
 

“ตอนไหน”
 

“ตอนนี้แหละ”
 

“เป็นยังไง”
 

“อยู่ในช่วงดูผล”
 

“ดูผล...ผลอะไรวะ”
 

“ความลุ่มหลงที่เขามีต่อกูน่ะ”
 

“ห๊ะ...พี่ว่าไงนะ”
 

เข้าใจยากอีกแล้วนะมึง...เรื่องความรักของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันนะ สำหรับกู ความรักคือการให้ทั้งหมดและได้กลับมาทั้งหมด เมื่อกูรักกูให้หมดทั้งวิญญาณ ถ้าฝ่ายที่กูรักยังลุ่มหลงกูไม่มากพอจะแสดงออกถึงความรักที่มีต่อกู กูจะค่อยๆ วางหมากดักเขาไปเรื่อยๆ จนกว่าความหลงใหลในตัวกูของเขาจะถึงที่สุด และกูกลายเป็นส่วนหนึ่งในจิตวิญญาณเขา กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่เขาไม่มีวันหลุดพ้น
 

ยงกุกเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำลึก ใบหน้าเรียบเฉยมีรอยยิ้มเย็นประทับ  ขณะที่ดวงตาเรียวดุทอดออกไปยังรอยสักรูปกระต่ายขาวที่ถูกทั้งเชือกและเถ้าวัลย์กระหวัดรัดจนเห็นเพียงหน้าพริ้มตาหลับติดอยู่บนผนัง
 

“โรคจิตดีจัง...พ่อแม่เด็กที่ซื้อของที่พี่ออกแบบไปถ้ารู้จักพี่แม่งจะเป็นไงวะ”
 

“คนเราทุกคนมีด้านมืด มึงเองก็รู้...ไม่แน่ นางฟ้าของมึงอาจมีด้านมืดที่คาดไม่ถึงก็ได้”
 

“อยากเห็นจัง”

 
“ก็ไปบอกเขาสิ มาบอกกูอะไรกูล่ะ” ฝ่ายอายุมากกว่าบอกแล้วเดินอ้อมไปหลังเคาน์เตอร์ไม้แกะหน้าร้าน “ค่าสัก หกแสนห้าหมื่นวอน”

 
“โห...แพงเหมือนกันนะเนี่ย”

 
“ทำไม...จะไม่จ่ายไง”

 
“คิดราคานี้กับทุกคนเลยหรือไง...ไม่มีจ่ายทำไงวะ”

 
“ติดต่อให้กูสักได้ต้องมีเงินอยู่แล้วนะ กูก็เลยคิดราคาตามความพอใจ คนไหนดูรวยกูก็รีดเยอะหน่อย”
 

5555 พี่แม่ง” อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ พลางหยิบกระเป๋าสตางค์ในกางเกงยีนส์สีดำที่สวมอยู่ควักบัตรBlack Amex ออกมาแต่โดนดักคอไว้ก่อน

 
“ไม่เอาบัตร...ขอเงินสด”
 

“ไม่มี”
 

“อะไร...รวยระดับมหาเศรษฐีไม่มีเงินสดติดตัวเลยหรือไง”
 

“ผมไม่พกเงินสดเยอะหรอก...อย่างดีก็มีติดกระเป๋าสักแสนวอนแต่ตอนนี้ไม่มีนะ เกลี้ยงกระเป๋าแล้ว”
 

“เอาเงินไปทำเหี้ยอะไรมา”
 

“ซื้อขนม”
 

“ขนมอะไรของมึงทำไมแพงจัง”
 

“ช่วงนี้มันมีเทศกาลขนมหวาน แล้วมีหลายร้านที่เคยลงในนิตยสารว่าไม่ใช่แป้งสาลีน่ะ...ลูกแมวชอบกินขนมแต่แพ้แป้งสาลีก็เลยซื้อไปฝาก”
 

“แมวบ้านไหนแดกขนมหวาน”
 

“แมวที่เป็นคนสิ”
 

“อ้อ สรุปแล้วมึงมีทั้งนางฟ้า ทั้งลูกแมวเลย...กูก็นึกว่าคนดี เหี้ย คบควบ”
 

“ไม่ใช่เว้ยพี่...คนเดียวกัน แต่เขาไม่ชอบให้เรียกนางฟ้า แล้วเขาน่ารักเหมือนแมวก็เลยเรียกลูกแมวแทน”
 

“ดูมึงใส่ใจเขาดีนะ...แค่เพราะหลงหรือเปล่า อีกพักหนึ่งพอฝืนตัวเองถึงระดับหนึ่งจะเบื่อเอานะ”
 

“กับคนนี้ผมไม่ได้รู้สึกว่าพยายามอะไรเลยวะ จริงๆผมเป็นคนเบื่อง่าย พี่ก็รู้ แต่นี่อยู่กันมารวมๆกับที่รู้จักกันก็เป็นปีแล้ว แต่ผมกลับรู้สึกว่า การดูแลเขาเป็นกิจวัตรในชีวิต เหมือนเวลาดื่มน้ำน่ะ ถ้าไม่ดื่มก็อยู่ไม่ได้” คนพูดนึกถึงหน้าของคนที่รอเขาอยู่ก็หลุดยิ้มอ่อนโยน “ผมโอนเงิน ค่าสักเข้าบัญชีพี่แทนได้ไหม”
 

“ได้”
 

“ขอเลขบัญชีด้วย”
 

ยองกุกเหลือบตามองรุ่นน้องตัวเองที่ยังยิ้มละไมก็พ่นลมผ่านจมูกออกมาครึ่งหนึ่งก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดส่งเลขบัญชีผ่านทางคาทกไปให้ เมื่ออีกคนได้รับก็จัดการโอนเงินผ่านไอแบงกิ้งเสร็จสรรพ
 

“ได้ยังพี่”
 

“อืม”
 

“งั้นผมกลับแล้วนะ”
 

“เออ โชคดี”
 

“พี่ก็ด้วยล่ะ”
 

กวังรยอลโบกมือให้รุ่นพี่ที่พยักเพยิดหน้าแทนคำตอบก่อนจะผลักประตูร้านที่อยู่ต่ำกว่าระดับพื้นถนนก้าวเท้าขึ้นบันไดมายังทางเท้าและเดินฝ่าแสงสีส้มของไฟส่องถนนผ่านร้านรวงที่ปิดทำการเสียเป็นส่วนใหญ่ไปเรื่อยๆ จนผ่านมาถึงตรอกแคบระหว่างตึก เสียงร้องของแมวที่ดังก้องทำให้หันไปมองก็เห็นใครคนหนึ่งนั่งยองๆลูบหัวแมวอยู่ใต้แสงสลัว
 

แทบทุกวันที่ผ่านมาตรงตรอกเขามักได้ยินเสียงแมวร้องและเห็นเงาตะคุ่มของเจ้าของแมวอยู่เสมอ...ผู้ชายหน้าตาหน้าตาท่าทางเหมือนแมวแต่ดูแสนเศร้าเป็นพนักงานในร้านดอกไม้ฝั่งตรงข้ามกับบาร์โฮสต์ที่เขาร่วมหุ้นกับเพื่อนสนิท
 

ช่วงที่เปิดร้านใหม่ๆ หนึ่งในเจ้าของร้านคนหนึ่งที่เหมือนจะเป็นลูกครึ่งไทยชื่อแบงแบงหรืออะไรสักอย่างมักจะทำตัวมีปัญหาไม่ยอมขายดอกไม้ที่จะซื้อมาประดับร้านให้ และเคยมีเรื่องกับเพื่อนเขามาก่อน แต่หลังจากเจรจากับเจ้าของร้านอีกคนก็เหมือนการสั่งดอกไม้จะราบรื่น เลยได้เห็นคนตัวบางหอบดอกไม้มาส่งที่ร้านบ่อยๆ
 

สิ่งที่สะดุดคือการที่พนักงานร้านดอกไม้ธรรมดาไม่มีอะไรพิเศษแต่ตระกูลซงกลับส่งบอดี้การ์ดของตระกูลซงมาคอยดูแลโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลก
 

...คนตระกูลซงทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ แต่ผู้ชายเงียบเหงาคนนี้ไม่มีอะไรที่เข้าข่ายนั้น...
 

“แทฮยอน..ยังไม่นอนอีกเหรอ” คนที่บังเอิญผ่านมาเห็นเอ่ยถาม
 

ฝ่ายตรงข้ามที่ขยับถอยไปในความมืดทันทีที่ได้ยินเสียงพร้อมแนบหลังกับผนังเงยหน้ามาเพ่งมองชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ที่สวมโค้ทสีดำถูกย้อมด้วยไฟทางสีส้ม...ใบหน้าคมคายสีเข้มที่เคยเห็นอยู่บ่อยครั้งยามหอบดอกไม้จากร้านไปส่ง มีหลายครั้งที่อีกฝ่ายใจดีหยิบยื่นขนมฝีมือคนรักตัวเองมาให้เขาได้กินเลยทำให้คลายความระวังขยับออกมาจากความมืด
 

“พัลลี่มันหนีออกมาครับ” เสียงเล็กติดแหลมน้อยๆนั้นว่า
 

“เลยต้องออกมาตามสินะ” คนตัวใหญ่ว่าอุ้มเจ้าแมวสีเทาที่เข้ามาคลอเคลียรอบขาขึ้นจากพื้น...ปกติเขาไม่ใช่คนรักสัตว์อะไรหรอก แต่พออยู่กับคนที่รักสัตว์ไปนานเลยอุ้มขึ้นมาได้แบบชินมือ
 

“คุณชเวยังไม่กลับเหรอครับ” เจ้าของแมวถามพลางมองคนที่กอดพลางลูบหัวลูบหางแมวของเขาไปมา
 

“กำลังจะกลับน่ะ” ฝ่ายถูกถามตอบขณะส่งแมวที่อุ้มอยู่ในแขนกลับไปหาเจ้าของ
 

“อา...ครับ”
 

“เราก็รีบๆนอนเถอะ แล้วก็ล็อกร้านดีหน่อยๆ เจ้าพัลลี่มันจะได้ไม่ออกมาเพ่นพ่านตอนดึกดื่นแบบนี้อีก”
 

“ครับ...ขอบคุณครับ”
 

“ไปนะ”
 

“ราตรีสวัสดิ์ครับ” เจ้าของแมวบอกก้มศีรษะพลางยิ้มบางก่อนจะเดินกลับเข้าไปร้านดอกไม้ปล่อยให้อีกคนผลักประตูเข้าไปในบาร์โฮสต์ที่ออกแบบตบแต่งในสไตล์บาโรกหรูหราที่เหลือเพียงพนักงานทำความสะอาดเก็บกวาดกับหุ้นส่วนของร้านสวมสูทสั่งตัดสีเลือดหมูนั่งจิบไวน์อยู่หน้าเคาน์เตอร์เครื่องดื่มเพียงลำพัง
 

“พวกโฮสต์กลับไปหมดแล้วเหรอ”
 

“ร้านปิดตีสองจะให้อยู่รอมึงกลับมาหรือไง” แจบอมว่าสูดกลิ่นหอมจากไวน์แดงที่ถูกเติมลงในแก้วจีระไนพลางปรายตามายังเพื่อน

 
“วันนี้นึกครึ้มอะไรถึงดื่มไวน์คนเดียว” คนเป็นเพื่อนถามก่อนจะสังเกตเห็นแก้วไวน์อีกใบที่วางอยู่บนกระดาษรองแก้วที่มีตราของรอยประทับอยู่ “อา มีคนดื่มด้วยนิ นี่โฮสต์ขาดแคลนจนต้องรับแขกเองเหรอไง”
 

“พ่อมึงสิ...”

 
“งั้นดื่มกับใคร”

 
“เพื่อนเก่า”

 
“เพื่อนเก่าของมึงคนนี้ กูรู้จักไหมล่ะ”

 
“ตัวมึงรู้ไหมกูไม่รู้ แต่บ้านมึงรู้จักแน่”

 
“ฮู้ย...ตกลงแล้วแม่งเป็นใคร”

 
“ซง กอนฮี”

 
“อ้อ...พวกตระกูลซง” อีกฝ่ายพยักเพยิดหน้าแล้วเอ่ยต่อ “มาทำไม”

 
“ก็แค่อยากให้ช่วยหาคนไปเป็นสาย ส่งข่าวพวกคัง ซึงยุนให้” คนเป็นเพื่อนผู้คุ้นเคยอยู่กับโลกและงานในความมืดดีเอ่ยยังดื่มด่ำอยู่กับรสไวน์ละมุนลิ้น

 
“พอนายใหญ่ตระกูลซงจะลงจากตำแหน่ง ก็เริ่มแย่งอำนาจกันแล้วเหรอ...ทายาททางสายเลือดต้องฟาดฟันกับลูกบุญธรรม คงสนุกพิลึก”

 
“ใช่...น่าสนุก”

 
“คงรับงานแล้วสิ”

 
“ยัง”
 

“ทำไมอีกล่ะ”

 
“รออยู่ อยากดูก่อนว่าระหว่างฝ่ายซง มินโฮ กับ คัง ซึงยุน ใครเสนอเงินมามากกว่า”

 
“อา มากันทั้งสองพวกเลยสิ...แต่ก็นะ ถ้ามินโฮ ส่ง กอนฮีมา ซึงยุนมันส่งใครมาวะ”

 
“อี ซึงฮุน”

 
“อ้อ ส่งมือขวามานี้เอง ฟังแค่นี้ก็ชักอยากเห็นมันกัดกันแล้วนะ” คนฟังหัวเราะในลำคอ “แล้วมีใครถามถึงลูกจ้างร้านดอกไม้ไหม”

 
“ไม่มีสักคน”

 
“เออ...ก็แปลกดี ส่งคนมาเฝ้าแต่ไม่ถามถึง”

 
“ตระกูลซงคนเยอะจะตาย อาจจะเป็นใครบางคนที่ไม่ได้อยู่ในระดับสำคัญมากอะไรส่งมาก็ได้..แล้วนี่มึงจะกลับไปหาเมียยัง” คำถามที่ผสมเสียงหัวเราะเบาทำให้อีกคนแสยะยิ้มให้

 
“กูบอกมึงตั้งกี่รอบล่ะว่าเขายังไม่ใช่เมีย”

 
“ไม่ใช่ยังไง... เวลาคุยโทรศัพท์กับเขาหน้ามึงนี่บานเป็นจานเชิง ตอนห้าทุ่มมีการโทรไปกู๊ดไนท์ทุกวัน ตระเวนหาแต่ของดีๆให้กินให้ใช้ รู้หมดว่าเขาชอบอะไร แพ้อะไร บางทีก็อดหลับอดนอนไปส่งเขาตอนทำงานอีก  ทางนั้นเขาก็ดูแลมึงโครตดี มีการทำมื้อดึกให้มึงติดตัวมาแดกตอนมึงมาทำงาน  ไหนจะงานเซรามิกส์กับขนมที่เขาฝากให้กูกับบยอลเป็นของขวัญ แถมยังทำขนมมาให้พนักงานให้ร้านเผื่อแผ่ไปถึงร้านตรงข้างๆ แบบนี้มีแต่เมียวะที่ทำ”
 

ถ้อยคำจากปากคนตัวใหญ่ที่ถือแก้วไวน์ในมือแทนที่จะทำให้โกรธ กวังรยอลกลับหลุดยิ้มกว้างออกมาอย่างอารมณ์ดี เพราะตั้งแต่เริ่มอยู่ด้วยกันเขายิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโชคดีที่มีนางฟ้าลูกแมวของเขาคอยดูแล
 

...ก็อยากให้เป็นอย่างที่เพื่อนว่า ทว่าเวลาพูดว่า รัก ทางนั้นก็แค่ยิ้ม ทั้งที่ไม่รู้ว่าเข้าใจความหมายของคำว่ารักตรงกันหรือเปล่า หากก็ไม่อยากเร่งรัด สถานะระหว่างกันเลยคลุมเครือ...
 

...แต่ก็ไม่เคยเห็นมีคนอื่น...
 

“โอ๊ย เห็นมึงยิ้มแล้วรำคาญ รีบกลับบ้านไปเลยไป”
 

“ไม่ต้องไล่ กูไปล่ะ บาย”
 

“เออ เดินทางปลอดภัย” แจบอมอวยพรเหมือนทุกครั้ง มือข้างหนึ่งยกขึ้นโบกไปมาแทนคำลาปล่อยให้เพื่อนเดินผ่านประตูจากไป

 


You Might Also Like

0 Comments