LOVE TOXICAL : KANPAGNE CHAPTER 9
23:58
สายลมหนาวกลางเดือนมีนาคมพัดผ่านแนวพุ่มไม้ไร้ดอกใบที่แทรกตัวอยู่ระหว่างแนวรั้วไม้
มือเรียวขาวจากชายหนุ่มร่างเล็กที่สวมสเวตเตอร์ถักสีขาวกับกางเกงขายาวสีน้ำตาลทับด้วยเสื้อโค้ทตัวยาวสีกรมท่าคล้องแม่กุญแจใหญ่เข้ากับห่วงโซ่ล็อกประตูรั้วแล้วหันหลังเดินไปหาชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดดำทั้งตัวที่กอดอกยืนพิงรถแวนสีดำห่างออกไปไม่ไกล
“โอเค
ไปกันเถอะ”
คนตัวเล็กว่าพลางเงยหน้าส่งยิ้มกว้างให้พร้อมกับผ้าพันคอผืนใหญ่ถูกพาดบนหลังคอและพันไปโดยรอบก่อนที่มือใหญ่แข็งจะวางลงบนแก้มเนียนที่เย็นจัด
“ลูกแมวแก้มเย็นมากเลยนะ เอาโค้ทของผมมาใส่อีกชั้นไหมจะได้อุ่นกว่านี้” เสียงเข้มนั้นว่า
“ไม่ต้องหรอก
แค่นี้ก็อุ่นแล้ว เจ้าหมาล่ะ ขนของขึ้นรถอยู่คนเดียว เหนื่อยหรือเปล่า”
มือเล็กจับมือใหญ่ที่วางบนแก้มตนเองออกมากุมไว้ในอุ้งมือทั้งสอง
กวังรยอลฟังคำถามพลางมองดวงหน้าอ่อนละมุนที่เปื้อนยิ้มอ่อนโยนกับมือขาวนุ่มที่กุมมือเขาไว้ด้วยรอยยิ้มกว้างให้กับคนที่เขาใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน
แม้ว่าทั้งคู่จะอยู่ด้วยกันล่วงผ่านเวลามานับปีแล้วแต่ซึงฮวังยังคงเป็นเช่นที่พบกันครั้งแรก
“ขนของแค่นี้ไม่เหนื่อยหรอก
แต่ลูกแมวแน่ใจใช่ไหมว่าจะเอาไปฝากแค่เจ้านายของแม่กับเจ้านายพี่ฮันเฮน่ะ”
คนตัวใหญ่กว่าถามหลังจากทั้งคู่ขึ้นรถ
พลางมองไปยังกล่องกระดาษใบใหญ่สองใบรวมทั้งกระเช้าอาหารแห้งและของบำรุงที่วางอยู่บนเบาะตอนหลัง
ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมามีหลายครั้งที่คนตัวเล็กเล่าถึงเรื่องที่แม่และพี่ชายย้ายไปทำงานอยู่ที่โซลกัน
นับจากนั้นทุกปีจะไปโซลเยี่ยมแม่และพี่ชายรวมทั้งนำของไปให้เจ้านายทั้งของแม่รวมทั้งของพี่เพื่อขอบคุณที่ช่วยดูแลทั้งคู่เป็นอย่างดี
ช่วงวันขึ้นปีใหม่ที่ผ่านมาเขามีโอกาสได้กินข้าวร่วมกับคนตัวเล็กและฮันเฮรวมทั้งได้คุยกับแม่ของตัวเล็กที่ตอนนี้ยังอยู่นิวซีแลนด์กับลูกคนเล็กเพื่อสะสางเรื่องที่ดินมรดกต่อผ่านโทรศัพท์ซึ่งจนถึงตอนนี้แม่ของตัวเล็กก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาแต่ดูเหมือนว่าเจ้านายก็ไม่ว่าอะไร
“ไม่ได้เยอะนะ
ปีก่อนขนไปเยอะกว่านี้อีก แต่ปีนี้แม่ไม่ได้มารับก็เลยเอาไปไม่มาก
มีแค่ของเอาไปให้เจ้านายแม่กับพี่ฮันเฮ แล้วก็มีของให้คนในออฟฟิศด้วย อ้อ
แล้วก็มีของกินไปฝากพี่ฮันเฮด้วย”
“ให้คนในออฟฟิศด้วยใจดีจัง”
“ไม่ได้ใจดีหรอก
แต่เวลาที่มีคนดีกับเราและคนที่เรารัก
ในใจมันก็รู้สึกว่าอยากจะดีกับเขาตอบ
มันไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนเป็นกันหรอกเหรอ”
คำตอบที่ลอดผ่านริมฝีปากทันทีนั้นเรียกเสียงหัวเราะแก่ฝ่ายที่ถามพร้อมกับมือใหญ่ข้างหนึ่งจะละจากพวงมาลัยมาลูบผมคนที่คาดเข็มขัดซึ่งเอนหลังพิงเบาะอยู่ข้างๆ
“ไม่ทุกคนหรอกนะที่จะคิดอย่างนี้...แบบลูกแมวเขาเรียกใจดีน่ะถูกแล้ว”
“งั้นเจ้าหมาก็เป็นคนใจดีเหมือนกันสิ”
“555 ยังไงล่ะ”
“ก็ดีกับผมและคนรอบข้างผมเหมือนกันไง”
“ผมไม่ได้ดีกับทุกคนหรอกนะ”
“แค่ดีกับคนที่ดีกับเราก็พอแล้วล่ะ”
“แต่ลูกแมวดีกับทุกคนเลยนะ”
“ก็คนที่เข้ามาหาเขาดีด้วยนี่”
“ไม่กลัวเขาจะหวังผลเหรอ”
“ไม่รู้สิ ผมคงโชคดีที่ไม่มีใครมาหาประโยชน์ หรือถึงหาผมก็ไม่มีให้เขาหรอก ไม่ได้รวยสักหน่อย จะมีก็แต่ใจให้เนี่ยแหละ”
“ให้ก็ได้แต่อย่าให้เยอะกว่าผมนะ” เขาบอกขณะชักมือที่ลูบผมนุ่มนั้นกลับมาจับพวงมาลัย สายตามองตรงไปยังท้องถนนหากริมฝีปากยังแย้มอยู่
“อา
วันนี้เจ้าหมาต้องไปช่วยงานคุณบยอลด้วยใช่ไหม
พอไปส่งผมที่ออฟฟิศพี่ฮันเฮแล้วก็ไปเลยหรือเปล่า”
อีกคนถามต่อพลางดึงโปสเตอร์งานคอนเสิร์ตที่เสียบอยู่บนช่องบนแดดมาออกมาอ่านรายละเอียด
เจ้าหมาเล่าให้ฟังว่า
ทำงานหลายอย่างแต่มีงานอดิเรกคือทำดนตรีเหมือนคนอื่นในครอบครัวเขา
แต่ไม่เคยได้มีโอกาสฟังสักทีว่าเพลงที่เจ้าหมาทำนั่นเป็นยังไง
“ผมอาจจะอยู่ด้วยสักพักแล้วค่อยไป” อยากดูให้แน่ใจก่อนว่าจะไม่มีใครมายุ่มย่ามเป็นประโยคต่อความในตอนท้ายที่เขาไม่ได้เอ่ยออกไป
“ไหนว่าสถานที่ยังไม่เรียบร้อยเลย...ไปถึงออฟฟิศพี่ฮันเฮก็สิบโมงแล้วจะทำทันเหรอ”
“บยอลมันมีคนช่วยอยู่น่ะ ไปช้านิดช้าหน่อยไม่เป็นไรหรอก”
“แล้วแบบนี้เจ้าหมาจะได้ขึ้นเวทีกับคนอื่นเขาหรือเปล่า”
“ก็คงได้ไปแจมกับเขาสักเพลงสองเพลงล่ะมั่งนะ”
“โห
ได้ขึ้นเวทีด้วยเหรอ มิน่า วันนี้ถึงแต่งตัวหล่อเป็นพิเศษ”
คนตัวเล็กบอกด้วยสีหน้าแววตาตื่นเต้น มือนุ่มยกพนมระหว่างจมูกกับปาก
“อยากเห็นจัง”
“จะไปก็ได้นะ
แต่ลูกแมวคงต้องดูผ่านคอมในห้องพักศิลปินนะ ถ้าดูสดข้างนอกคนมันเยอะ
สถานที่มันก็แออัด ไหนจะกลิ่นเหล้า กลิ่นน้ำหอม กลิ่นบุหรี่ตีกันคลุ้งไปหมด
เดี๋ยวลูกแมวหายใจไม่ออกเอา”
“ในนั่นสูบบุหรี่ได้ด้วย”
“เปล่า แต่คนที่มาดูเขาสูบกันข้างนอก มันก็มีกลิ่นติดมา”
“ผมก็พูดไปงั้นแหละ...ผมรู้หรอกนะว่าเจ้าหมาไปทำงาน ถ้าต้องห่วงหน้าพะวงหลังงานคงออกมาไม่ดี”
“ขอโทษนะ” คำสั้นนั้นหลุดจากปากพร้อมกับเสี้ยวหน้าที่เหมือนจะตึงขึ้นจากความไม่สบายใจ
คนตัวเล็กมองรอยหม่นที่ฉายออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
นิ้วเรียวเอื้อมไปจิ้มบนแก้มสีเข้มตัดกับผิวตนเองเป็นเชิงหยอกอยู่หลายทีอย่างเอ็นดู...เจ้าหมาของเขาใส่ใจเขามากกว่าเขาเองด้วยซ้ำและเขาคิดว่ามันน่ารักดีที่มีใครสักคนห่วงเขาเหมือนที่ครอบครัวเขาห่วง
“ขอโทษทำไมเล่า
ผมไม่ได้โกรธสักหน่อย...แน่ะยังไม่ยอมยิ้มอีก ยิ้มหน่อยสิ
วันนี้อากาศก็ดีมาทำหน้าเป็นหมาหงอยแบบนี้ไม่ได้น้า”
เสียงหัวเราะเจือมาในประโยคพร้อมกับนิ้วขาวที่ยังจิ้มแก้มไม่หยุดสุดท้ายคนหน้านิ่งก็หลุดหัวเราะพลางคว้ามือเล็กเย็นมาจับไว้
“เมื่อเช้ากินยาแล้วใช่ไหม...”
“อืม”
“มือลูกแมวยังเย็นอยู่เลย...ไม่สบายหรือเปล่า”
“มือผมก็เย็นแบบนี้อยู่ตลอดอยู่แล้วนะ”
“หนาวไหม ให้ผมจอดรถไปเอาผ้าห่มที่อยู่ท้ายรถมาห่มไหม”
“ไม่ต้องหรอก
มีเจ้าหมากับผ้าพันคอผืนนี้ก็อุ่น”
คนตัวเล็กบอกเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
หากกับอีกคนคำนั้นมีความหมายมากพอให้ทั้งหัวใจเต็มตื้น
เขาเหลือบตาไปหาส่งยิ้มให้เล็กน้อยและหันกลับมามองถนนปล่อยให้อีกคนเกาะกระจกมองออกไปยังบ้านเรือนและแนวต้นไม้ที่ปลูกรายทางซึ่งเหลือเพียงกิ่งก้านไร้ใบพลางพูดถึงสิ่งที่เห็นเรื่อยเปื่อยเป็นเพื่อนคนขับ
เสียงเพลงอะคูสติกคลอเบาไปตลอดทางกระทั่งรถยนต์แล่นมาจอดริมทางเท้าหน้าอาคารสีเทาสูงหกชั้นขนาบข้างด้วยร้านกาแฟและร้านอาหารในย่านกังนัมอันเป็นจุดหมายเดียวกับที่ปรากฏบนหน้าจอจีพีเอสในรถ
“ที่นี่ใช่ไหม...บริษัท Canción Entertainment ที่แม่กับพี่ชายลูกแมวทำงานอยู่”
คนตัวใหญ่ถามหลังจากรถจากรถมายืนมองอาคารสองคูหาที่เพิ่งทาสีใหม่
เหนือบันไดสามสี่ขั้นข้างหน้าที่ทอดขึ้นไปยังประตูบานเลื่อนกระจกที่มีเครื่องสแกนนิ้วมือติดอยู่ข้างๆ
มีป้ายชื่อบริษัทตัวนูนสีทองเป็นภาษาอังกฤษกับสัญลักษณ์ตัวขีดสามเส้นสีชมพูด้านหลัง
เขาไม่เคยได้ยินชื่อบริษัทนี้อาจเป็นเพราะถึงจะชอบดนตรีแต่ก็ไม่ได้ลงคลุกคลีในธุรกิจพวกนี้
ส่วนมากก็จะคลุกกับกลุ่มคนทำงานใต้ดินหรือวนเวียนในวงการหุ้น
ธุรกิจอสังหาและแหล่งเริงรมย์ที่ตัวเองถนัด
พอลองค้นในอินเตอร์เน็ตดูถึงรู้ว่าเป็นค่ายเพลงที่มีโปรดิวเซอร์
นักแต่งเพลงและศิลปินเจ๋งๆรวมอยู่พอสมควร
“ใช่แล้ว แต่ปีก่อนๆตึกนี่ทาสีเขียวเข้มไม่ใช่สีเทาแบบนี้ สงสัยจะเพิ่งทาสีใหม่ อา เดี๋ยวผมโทรหาพี่ฮันเฮก่อนนะแล้วจะมาช่วยยกของ”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมยกเอง”
“ก็ได้แต่ถ้ากลับมายังยกไม่เสร็จจะช่วยนะ”
สุดท้ายคนตัวเล็กก็ยอมแพ้ หยิบโทรศัพท์มาต่อสายหาพี่ชายที่อยู่ในออฟฟิศ
พอวางสายได้จะเดินกลับมาเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังขึ้นพอดี
“ตัวเล็ก...ใช่...ใช่ตัวเล็กจริงๆด้วย”
หญิงสาวผมยกศกสั้นย้อมสีน้ำตาลปลายเขียว
ใบหน้าเรียวแต้มเครื่องสำอางเข้มโฉบเฉี่ยวละม้ายแมวสาวสวมเดรสหนังรัดรูปยาวเลยเข่าทับด้วยโค้ทขนเฟอร์สีน้ำตาลและรองเท้าส้นสูงหัวแหลมร้องพลางเข้ามาสวมกอดทันที
“พี่โบมีสวัสดีครับ” คนถูกกอดทักทายอย่างสุภาพแล้วยิ้มให้ในนาทีที่หญิงสาวผละออกมาสำรวจใบหน้าและเนื้อตัวเขาด้วยความสนใจ
“ตัวเล็ก...นี่เราผอมลงอีกแล้วเหรอ
พี่ก็บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้กินข้าวเยอะๆ
กิมจิกับของกินที่พี่ฝากฮันเฮเอาไปให้เราน่ะ เราได้รับหรือเปล่า
หรือไอ้พี่เรามันแอบเก็บไว้กินเองจะได้ซัดมันสักเปรี้ยง”
“ได้ครับ”
“แล้วทำไมยังซูบอีกล่ะ...ไม่ได้กินเหรอ”
“กินครับ กินเยอะด้วยแต่น้ำหนักมันไม่ขึ้นเอง”
“โถ ตัวเล็กของพี่”
“วันนี้วันเสาร์ทำไมพี่โบมีมาออฟฟิศล่ะครับ”
“อ้อ พอดีมีต้องอัดเสียงซ่อมนิดหน่อย พอดีซิงเกิ้ลดิจิตอลพี่กำลังจะออกน่ะ เพิ่งถ่ายเอ็มวีไปไม่นานนี้เอง แล้วเรามายังไง ใครมาส่ง”
“พอดีเพื่อนผมเขามาทำธุระพอดีก็เลยติดรถมาด้วยน่ะครับ”
“เพื่อน”
โบมีทวนคำแล้วหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ตีหน้านิ่งเหมือนไร้อารมณ์แต่มีบางสิ่งคล้ายรังสีล่องหนแผ่ซ่านออกมาให้รับรู้ถึงความถมึงทึงที่ซ่อนอยู่
แม้จะยกมือและส่งยิ้มทักทายไปตามประสาสาวอารมณ์ดีแต่อีกคนก็เพียงผงกหัวรับไปแกนๆ
และหิ้วกระเช้าลงจากรถต่อ
“เพื่อนเราจริงๆเหรอ”
มือนุ่มที่มีเล็บยาวเคลือบสีสวยประดับจับแขนผอมของคนอายุน้อยกว่าให้เดินตามตัวเองมายืนหน้าบันไดทางขึ้นบริษัทกระซิบถามแต่ไม่ทันได้คำตอบชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมหมวกสแนปแบ็กสีชมพูปักลายหมีเท็ดดี้กับเสื้อแขนยาวลายทางสีขาวสลับน้ำเงินแดงทับด้วยเสื้อกันหนาวเนื้อหาสีดำกับกางเกงยีนส์ก็ผลักประตูออกมาพอดี
“เจ้...เจ้จะทำมิดีมิร้ายอะไรน้องผม”
เสียงจากผู้มาใหม่ถามขณะกระโดดข้ามขั้นบันไดทั้งหมดลงมายืนที่พื้นข้างล่างพร้อมดึงแขนน้องให้มาหลบข้างหลังตัวเอง
“อย่านะครับ อย่า...น้องผมน่ะยังบริสุทธิ์ผุดผ่อง
เจ้จะมาสร้างรอยมลทินให้น้องผมไม่ได้นะ”
“โอ๊ย
ไอ้บ้า...ฉันน่ะรักตัวเล็กเหมือนน้องแท้ๆ จะไปทำอะไรอย่างที่แกพูดได้ไง
เดี๋ยวปั๊ดตบหัวหลุดเลย” คนพูดตัวเล็กกว่าครึ่งเงื้อมือจะฟาดเข้าให้
“เฮ่ยยยยยยย
เจ้จะตบผมต่อหน้าน้องผมเหรอ ตัวเล็กดูดิ เจ้เขาจะตบพี่อ่ะ”
พี่ชายตัวใหญ่หันมาฟ้องเอากับน้องที่อยู่ข้างหลัง “เอ้า หัวเราะอะไรล่ะ
พี่จะโดนเจ้คนนี้ทำร้ายร่างกายนะ แทนที่จะช่วย หัวเราะใส่ซะงั้น”
“เวลาน้องมาทีไรพี่ก็เถียงกับพี่โบมีแบบนี้ทุกที แต่ไม่เห็นพี่โบมีจะตีจริงๆเลย”
“เจ้เขาคีพลุคต่อหน้าเราต่างหาก ลองเราไม่อยู่ดิ โอ๊ย สมองพี่ได้ไหลลงพื้นไปกับท่อระบายน้ำแล้ว”
“ไอ้นี่ก็เว่อร์ตลอด เว่อร์มันทุกเรื่อง...สมองแกยังเหลือพอให้ฉันตบไหลลงท่อเหรอ นึกว่าโดนบอสด่าจนสมองสลายไปหมดแล้วซะอีก”
“ฮู้ย...ปากคอศิษย์พี่นั่นช่างเราะร้ายเยี่ยงคมดาบบาดหัวใจข้ายิ่งนัก
ธาตุไฟภายในข้ากำลังแตกซ่าน อีกไม่นานคงได้กระ...”
วาจาราวนักพากย์ภาพยนตร์จีนกำลังภายในและมือที่ทาบอกเหมือนพอจะถูกฟาดเข้าจริงก็กระโดดหลบไปอีกทาง
กวังรยอลยกกล่องกระดาษใบสุดท้ายลงมาวางบนทางเท้า
ตาคมมองร่างเล็กที่เดินมาใกล้พร้อมกับพี่ชายและผู้หญิงที่เหมือนว่าจะเป็นคนรู้จักของทั้งคู่
“จะให้พี่ช่วยเอาอะไรขึ้นไปก่อนไหม” โบมีถามพลางกวาดตามองของที่วางอยู่บนพื้นทางเดิน
“ไม่เป็นไรครับ...พี่เป็นผู้หญิงอย่ายกของเลยครับ ให้เป็นหน้าที่ผู้ชายเถอะ”
ถ้อยคำที่มาพร้อมกับแววตาและรอยยิ้มอ่อนละมุนทำให้หัวใจของหญิงสาวชุ่มฉ่ำ มือเรียวสวยยกขึ้นวางทาบตรงอกค่อนไปทางซ้ายอย่างปลาบปลื้ม
“โถๆๆๆๆ
ตัวเล็กของพี่...อยู่ออฟฟิศนี้มาก็หลายปีไม่เห็นมีผู้ชายตัวไหนมันคิดว่าพี่เป็นผู้หญิงเลย
พ่อทูนหัวคนดีของพี่ มาทีไรมีแต่ทำให้พี่ชื่นใจ”
“เอ้า ก็เจ้อยู่กับพวกผมป่าเถื่อนจะตาย ใครเขาก็นึกว่าเป็นผู้ชายทั้งนั้น”
“โอ๊ย
ฉันไม่พูดกับแกล่ะไอ้เหงือกปลาหมอ...รำคาญ”
ผู้หญิงคนเดียวในวงว่าสะบัดหน้าพรืดใส่รุ่นน้องกลับมาสนใจกับอีกคนที่ยืนยิ้ม
“งั้นพี่ขึ้นไปก่อนนะ อ้อ วันนี้พี่อยู่ห้องอัดที่ชั้นสี่ แวะมาหาได้นะ”
“ครับ”
ชายหนุ่มตัวเล็กรับคำสั้นก่อนจะเหลียวมาหาคนตัวใหญ่ปานกันที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“เอาของไปไว้ข้างในดีกว่า วางไว้ตรงนี้นานๆมันเกะกะคนอื่นเขาเนาะ”
“ตัวเล็กเข้าไปรอข้างในเลย เอาการ์ดนี้แตะบนเครื่องหน้าประตู ส่วนของตรงนี้พี่กับเจ้าหมา เอ๊ย กวังรยอลยกกันไปเอง”
“ให้ผมถือกระเช้าสักอันสิ”
“ไม่ต้อง
ไปรอข้างใน” พี่ชายว่าเสียงแข็ง ถอดบัตรพนักงานที่ห้อยคอคล้องไปที่คอน้อง
รอจนอีกฝ่ายหายเข้าไปในประตูกระจกก็วางกระเช้าไว้บนกล่องและยกมันมาอุ้มไว้
“ดูผู้หญิงคนนั้นสนิทกับน้องพี่จังนะครับ”
เสียงแหบต่ำของคนถามมีแววไม่ชอบใจเจืออยู่
ฮันเฮมองเพื่อนร่วมบ้านของน้องชายที่เหมือนจะไม่ได้คิดกับน้องเขาแค่เพื่อนแต่ก็เป็นดีพอจะไม่ทำอะไรเกินเลย
“ตัวเล็กเป็นพวกจิตใจดี ใครเห็นก็เอ็นดูเลยสนิทกับคนง่าย มึงอยู่ด้วยตั้งนานก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอวะ”
“ครับ...ผมรู้แต่ไม่ค่อยได้เห็นเขาอยู่กับคนที่อายุห่างกันไม่มาก”
“ดาอิลมันก็อายุห่างกับตัวเล็กไม่มากเหมือนกัน เวลาไปหาหมอก็ต้องแวะเจอมันไม่ใช่ไง”
“หมอดาอิลเขามีภรรยาแล้ว”
“พี่โบมีก็มีแฟนแล้ว
ถ้าตัวเล็กจะคบกับพี่โบมีคงคบไปตั้งแต่ตอนพี่เขายังไม่มีแฟนล่ะปะ
แล้วนี่ยังไง ได้ยินตัวเล็กบอกว่า มึงทำเพลงเองด้วย
นี่มีไปช่วยงานเพื่อนที่จัดคอนเล็กๆในผับวันนี้ด้วยนิ”
“ครับ”
“ไปทำอีท่าไหนถึงมาทำเพลงวะ...ไอ้นักธุรกิจอย่างมึงนี่ไม่น่ามาลงหลักอะไรแบบนี้ได้”
“ก็ผมชอบ ผมก็ศึกษาแล้วก็ทำ”
“รวยแบบมึงเปิดค่ายเพลงเองหรือไปเป็นหุ้นส่วนยังได้”
“ผมไม่สันทัดเรื่องวงการบันเทิง...แต่ก็คิดไว้แล้วว่า อาจไปถือหุ้นในค่ายเล็กสักแห่ง”
“เล็งที่ไหนไว้”
“ที่นี่” สิ้นคำตอบสั้นนั้น ฮันเฮถึงกับสำลักน้ำลายในปาก
“แค่กๆ...ทำไมเป็นที่นี่วะ”
“แม่พี่กับพี่ทำงานอยู่นี้ ถ้าถือหุ้นแล้วได้มาบริหารมันก็คุมอะไรง่ายดี”
“หอก...ใจคอจะเอาเงินซื้อทุกอย่างเลยไง บอสกูเขาก็รวยๆกันเขาไม่ขายให้มึงหรอก”
“พี่คงไม่เคยยื่นข้อเสนอทางธุรกิจกับใครมาก่อนสิ...ถ้ามีข้อเสนอดีๆ
คนที่ว่าใจแข็งยังยอมแพ้ได้ ผมก็ไม่อยากจะพูดหรอก
แต่ผลประโยชน์มันไม่เข้าใครออกใครเหมือนกัน
ยิ่งเป็นผลประโยชน์ที่ฝ่ายเรามีแต่ได้ถึงเสียก็ไม่มากใครเขาก็อยากเสี่ยงทั้งนั้น”
“เหมือนที่มึงส่งเสื้อผ้าราล์ฟ ลอเรนคอเลคชั่นล่าสุดทั้งเซ็ตมาให้กูใช่มะ...นั่นจะซื้อใจกูใช่ปะ”
“ได้ผลไหมล่ะครับ”
“ไม่...”
อีกคนลากเสียงแล้วต่อ “ไม่ได้ผลเหี้ยอะไร กูใส่ทุกวันเลยเนี่ย
ผ้าแม่งดี้ดี ซักเท่าไหร่ก็ยังนุ่ม ตอนไปเที่ยวสาวเห็นกูใส่เข้ามาหาก็เยอะ
ขอบใจที่ส่งมาให้กูนะ”
“ถ้าซื้อใจพี่ได้
ตอนผมไม่อยู่ฝากพี่ดูแลลูกแมวของผมด้วย อย่าให้ใครมาเกาะแกะ วุ่นวาย
ดูแลให้สมกับค่าราล์ฟลอเรนที่ผมส่งมากำนัลด้วยนะครับ”
“ถึงมึงไม่บอกหรือส่งของให้กู
กูก็ต้องดูแลอยู่แล้วปะ...ตัวเล็กเป็นน้องกูนะ กูก็รักของกูเหมือนกัน
ขนาดมึงส่งของมากำนัลกูเคยอนุญาตให้ทำอะไรเกินเลยไหม
นี่กูกลับไปที่นู้นบ่อยก็ไปดูมึงอยู่กับน้องกูด้วย”
“ผมไม่เคยคิดจะทำอะไรไม่ดีถ้าเขาไม่ให้”
“เออ ทนให้มันได้อย่างที่ว่าเถอะ แล้วไงจะไปช่วยงานเพื่อนมึงตอนไหน”
“วันนี้ที่ออฟฟิศพี่มีคนอยู่เยอะหรือเปล่า” แทนที่จะตอบกลับมีคำถามสวนมาแทน
“ออฟฟิศกูคนเขาไม่อยู่ประจำเท่าไหร่หรอก
ส่วนใหญ่เข้าๆออกๆ นี่วันเสาร์ด้วย ตอนนี้คงอยู่กันห้าหกคน”
ฮันเฮตอบแล้วหยุดสนทนาเมื่อยกของผ่านประตูเข้ามาเห็นน้องอีกคอเหมือนจะถามว่าคุยอะไรกันแต่ไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคนคำ
ทั้งสามขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุดของอาคารซึ่งมีห้องใหญ่เรียงกันอยู่สามห้อง
สองห้องแรกเป็นห้องทำงานของประธานค่าย
ส่วนอีกห้องเป็นห้องประชุมและรับรองแขกสำคัญ
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อโค้ทดังขึ้นในความเงียบงัน
กวังรยอลรีบวางของลงบนพื้นอย่างระวังแล้วรับโทรศัพท์ที่คนนอกจับใจความได้ว่า
ปลายสายโทรมาเรียกตัว
“อา...ลูกแมว” ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์เอ่ยได้เท่านั้นก็ถูกแทรก
“คุณบยอลโทรตามแล้วเหรอ งั้นเจ้าหมารีบไปเถอะ”
“แต่...”
“ไม่ต้องมาตงมาแต่เลย ตัวเองรับปากเพื่อนว่าจะช่วย ต้องไปช่วยสิ”
“ผมเป็นห่วง”
“ไม่ต้องห่วงหรอก
ผมมาที่นี่ทุกปีนะ แล้วพี่ฮันเฮก็อยู่ ไปช่วยคุณบยอลเถอะ
อย่าให้เพื่อนรอนานเลยนะ”
เจ้าของมือนุ่มที่ยื่นมาเคาะเบาๆบนรอยย่นตรงหน้าผากและขยับขึ้นไปขยี้ผมอีกคนไปมาด้วยรอยยิ้มหวานเพื่อให้คลายกังวล
“ก็ได้...แต่ถ้ามีอะไรโทรหาผมนะ
ถ้าเหงาก็บอก ผมจะเปิดเฟซไทม์ให้ลูกแมวดูผมกับเพื่อนทำงาน อ้อ
ตอนคอนเริ่มเล่นจะเปิดให้ลูกแมวดูนะ ผมน่าจะมารับได้ตอนตีสี่
ลูกแมวจะให้ผมไปรับที่ไหน”
“รับที่นี่แหละกูอยู่ยันเช้าพรุ่งนี้”
“โอเค
งั้นผมมารับที่นี่ ฝากพี่ดูแลด้วยนะครับ”
หันไปพูดกับคนตัวเท่ากันแล้วส่งยิ้มให้คนตัวเล็กที่อยู่ใกล้ๆ
“ลูกแมวอยู่นี่ดูแลตัวเองนะ หิวก็หาอะไรกินด้วย
ยาอย่าลืมกิน...ขากลับตอนมารับลูกแมวผมจะเอาเค้กแครอทที่ลูกแมวชอบมาฝาก
ผมไปแล้วนะ” มือใหญ่เอื้อมมาลูบผมนุ่มของคนตรงหน้า
ส่งยิ้มอุ่นที่น้อยครั้งจะมีใครได้เห็นให้
มองมือขาวโบกอำลาพักหนึ่งก็ผละออกไป
ฮันเฮมองแผ่นหลังกว้างที่หายลับไปก็วางกล่องกระดาษกับกระเช้าที่ยกมาลงบนพื้น
สะบัดมือเร่าเพราะความหนักแล้วจับมือนุ่มของน้องที่เย็นเฉียบมากุมไว้
“เอาล่ะ...ตัวเล็กมาเคลียร์ของกับพี่ก่อนดีไหม ว่าอะไรจะให้ใครบ้าง”
“กระเช้านี้ของคุณบอสคิม
ส่วนกระเช้านี้ของคุณบอสชิน
แล้วก็ในกล่องที่มีสก็อตเทปสีดำเป็นของบอสคิมกับบอสชิน
กล่องที่มีเทปใสมีของพี่กับของที่จะให้เพื่อนๆพี่แหละ”
“เออ พี่ลืมบอกเรา วันนี้บอสคิมไม่อยู่นะ อยู่แต่บอสพี่”
“อ้าว
คุณบอสคิมเขาไม่อยู่เหรอ ว้า เสียดายจัง
นี่น้องทำชุดถ้วยชามเซรามิกส์ตามบุคลิกของบอสเขาด้วยนะ
กะว่าจะอธิบายให้ฟังถึงความพิเศษสักหน่อยแต่ไม่เป็นไร เขียนเอาก็ได้”
“เราไม่ได้มาวันเดิมเหมือนทุกปีนี้
บอสคิมเขามีธุระด่วนพอดีเลยไม่ได้เข้าออฟฟิศวันนี้
แต่บอสเขาบอกว่าถ้ามีของมาให้เอาเข้าไปไว้ในห้องได้เลย”
“ว้า
เสียดายใจจัง งั้นเอาของที่น้องเอามาให้บอสคิมไปไว้ในห้องบอสเขาก่อน
แล้วค่อยไปหาบอสชินกันเนาะ”
คนตัวเล็กจัดแจงส่งกระเช้าให้พี่ชายถือและดึงสกอตเทปสีดำหยิบเอากล่องกระดาษที่อยู่ข้างในออกมาส่งให้พี่ชายไปวางไว้ในห้องแทน
“เสร็จล่ะ ไป ไปหาบอสพี่กันดีกว่า เมื่อเช้านี่ก็ถามยิกๆว่าเราจะมากี่โมง”
“งืม เมื่อเช้าคุณบอสชินเขาส่งคาทกมาบอกให้รีบมาไวๆด้วยล่ะ...มีอะไรหรือเปล่านะ”
“หลังเที่ยงแกจะไม่อยู่ไง พอดีเพื่อนจากอเมริกาของแกจะบินกลับวันนี้เลยนัดสังสรรค์กัน”
“อ้อ”
“แต่เดี๋ยวนะ ตะกี้เราว่ามีการคาทงคาทกไปหา...นี่คุยกับบ่อยเปล่าเนี่ย”
“คุณบอสไม่ค่อยคุยอะไรหรอกแต่ชอบส่งรูปเวลาไปต่างประเทศมาให้ดูกับคุยเรื่องหลาน
บางทีส่งของมาให้ก็จะถามน้องว่า ได้หรือยัง ชอบไหมอะไรแบบนี้”
คนเป็นพี่กรอกตาบน...ปกติแล้วเจ้านายเขาเป็นที่โจษจันในเรื่องความเฮี้ยบ
อะไรที่ไม่ได้มาตรฐานมีอันโดนตอกแรงๆแบบหน้านิ่งซึ่งถึงเป็นการตอกที่มีเหตุผลจริงแต่ก็ทำชาวบ้านหน้าม้าน
ขนาดไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูงยังยิ้มเหมือนไม่ได้ยิ้ม มีก็แต่เรื่องชินอู
หลานรักกับเวลาน้องเขามานั่นแหละถึงมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์หน่อย
ซึงฮวังมองพี่ชายที่กำลังคิดบางสิ่งอย่างหนักเลยตีแขนพี่เบาๆเรียกสติ บุ้ยใบ้ไปที่หน้าประตูไม้มะฮอกกานีที่ติดป้ายทองไว้ว่า The Quiett อันเป็นชื่อในวงการแทนชื่อจริง
หลังจากเคาะเป็นจังหวะขออนุญาต
โผล่หน้าจากหลังประตูมองเข้าไปในห้องทำงานสีดำสไตล์โมเดิร์นตัดกับเฟอร์นิเจอร์สีขาวรวมทั้งโซฟาหนังสั่งทำจากอิตาลีที่วางอยู่
ประดับด้วยข้าวของและภาพวาดแนวเซอร์เรียลลิสม์จากศิลปินรุ่นใหม่แขวนอยู่หลังโต๊ะทำงาน
ชายคนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตลายสก็อตกับกางเกงยีนส์ขายาวดูสบายๆ
ผมตัดสั้นเป็นระเบียบทอดสายตาออกไปยังหน้าต่างบานยาวที่ปรากฏภาพทิวทัศน์ของท้องฟ้าและตึกที่แออัด
“คุณบอส”
เสียงเรียกสดใสทำให้คนที่ยืนถืออเมริกาโน่เย็นอยู่ในมือหันมาหา
ใบหน้าคมดุมีหนวดที่ปลายคางเรียบเฉยหากเพียงเห็นรอยยิ้มกว้างเห็นฟันกระต่ายของอีกฝ่าย
หน้าที่ตึงก็ยิ้มออกมาทันที
“เอ้า...เรามาแล้วเหรอ
เข้ามาสิ” เจ้าของห้องบอกพลางกวักมือให้เข้ามาหา
คนตัวเล็กหยักหน้าหิ้วกระเช้าที่มีทั้งผลไม้ ขนม ชา กาแฟ
และอาหารแห้งที่ใช้ในการทำอาหารซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผลิตของชาวบ้านและทำเองโดยไม่ผ่านกระบวนการใช้สารเคมีมาให้
“ไงเรา ไม่ได้เห็นหน้านานเลย...ไหนว่าว่างจะมาหาพี่ ไม่เห็นมาเลย”
“พอดีติดสอนเด็กๆที่โรงปั้นครับ
แม่ก็ยังไม่กลับมา
พอมีเวลาว่างจะขึ้นมาคุณลุงที่เคยจ้างให้ขับรถพามาเขาไม่สบาย
ลูกชายเขาไม่ให้รับงานขับรถแล้ว”
“อยากจะมาก็บอกพี่สิ จะได้บอกฮันเฮมันให้ขับรถไปรับ”
“ไม่ดีหรอกครับ พี่ฮันเฮเขาต้องทำงาน จะให้ขับรถไปไกลจากนี่ไปอีชอนมันเสียเวลาทำงานนะครับ”
“ไม่เสียหรอก ปกติพี่เรามันก็อู้เวลาทำงานประจำอยู่แล้ว”
“หื้อ...จริงเหรอครับ”
ร่างเล็กว่าแล้วเดินไปหาพี่ชายที่ยกกล่องกระดาษตามเข้ามาทีหลัง “พี่ฮันเฮ
คุณบอสบอกว่าพี่ฮันเฮชอบอู้งานงะ จริงหรือเปล่า”
“ห๊ะ เฮ้ย อะไร ใครอู้ ไม่มี้”
“ยิ่งแม่เราไม่อยู่...พี่เรานี้อู้ประจำ”
เสียงเข้มจากเจ้านายที่กอดอกเลิกคิ้วสูงด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย
ฝ่ายลูกน้องที่ถูกแฉกลางอากาศทำหน้าเหวอ
“พี่ฮันเฮ”
“จ๋า”
“น้องบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าให้ตั้งใจทำงาน
ยิ่งแม่ไปออสเตรเลียนานๆแบบนี้ยิ่งต้องตั้งใจเป็นสองเท่า แม่จะได้ไม่บ่น
ทำไมพี่ไม่ฟังน้องเลย”
“ฟังนะตัวเล็ก...พี่ตั้งใจทำงาน แต่บางทีมันก็มีที่คิดงานไม่ออกเลยต้องไปหาแรงบันดาลใจบ้าง”
“บ้างบ้านเอ็งสิ ไปแม่งทั้งวัน”
“อ้าว
หายไปทั้งวันเลยเหรอ แบบนี้ไม่เรียกหาแรงบันดาลใจแล้วนะ ทำไมถึงดื้อล่ะ
ถ้าดื้อแบบนี้น้องจะโกรธแล้วนะ”
นิ้วนุ่มบีบปลายจมูกโด่งของพี่ชายดึงไปมาเบาๆ
ฮันเฮมองน้องชายคนกลางของตนเองที่แม้วางหน้านิ่งก็ยังดูเป็นมิตรน่าเข้าหา...ซึงฮวังมีพลังบางอย่างที่ทำให้คนเห็นรู้สึกดีแม้ในยามที่เหนื่อยสายตัวแทบขาด
เวลาที่น้องโกรธขึ้นมาถึงไม่มีอาการโกรธเกรี้ยวให้เห็นแต่ใจกลับรู้สึกผิดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ
...เขาไม่อยากให้น้องโกรธ
ไม่ชอบเวลาน้องไม่ยิ้ม ยิ่งถ้าน้องเศร้าจนร้องไห้ออกมา
เขาถึงขั้นร้องไห้ตามน้อง
มันเหมือนว่าเขาซึมซับความรู้สึกของน้องได้ตลอดเวลาและจะเป็นหนักหนากว่าน้องเท่าตัวเสมอ...
“ตัวเล็ก อย่าโกรธ คราวหน้าพี่ไม่ทำแล้ว”
“จริงนะ สัญญากับน้องก่อน”
“สัญญา”
นิ้วเรียวของพี่ยื่นไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยนุ่มของน้องที่ยกมา
ตาเหลือบไปทางเจ้านายตัวเองที่กอดอกรออยู่ก็ส่งผงกหัวพลางส่งยิ้มแห้งๆให้
“ไหนเราบอกพี่ในคาทกว่า มีของมาให้...มีอะไรจะให้พี่ล่ะ”
“อ้อ
นี่ครับมีกระเช้านี้กับของในกล่อง”
มือเล็กหิ้วกระเช้ามาวางไว้บนโต๊ะที่อยู่หน้าโซฟาสีขาวที่วางกลางห้องแล้วหันไปหากล่องที่วางอยู่บนพื้นแกะเทปสีดำที่แปะอยู่ออก
หยิบเอากล่องอีกใบที่อยู่ข้างในซึ่งหุ้มแผ่นกันกระแทกใสไว้อีกชั้นมาให้
“หน้าเราซีดนะ
ไม่สบายหรือเปล่า”
ฝ่ายตรงข้ามถามขณะรับกล่องมาถือไว้พลางจ้องหน้าโดยไม่ยิ้มตามความเคยชินเวลาต้องการสมาธิหรือกังวล
คนเป็นพี่เห็นเข้าลนลานแทบจะเข้าไปลากน้องออกมาห่างๆ
เพราะเดาอารมณ์เจ้านายยากแต่คนอ่อนกว่าเพียงเหยียดริมฝีปากอวดฟันกระต่ายข้างหน้าอย่างอารมณ์ดี
“ผมสบายดีครับ...แค่อากาศมันเย็นนิดหน่อยก็เลยดูซีด”
“เอาชาผลไม้อุ่นๆสักแก้วไหม...ฮันเฮ มึงไปชงชาผลไม้มาให้กูหน่อย”
“ห๊ะ...ผมเหรอ”
“ในห้องนี้มันมีฮันเฮกี่คน...”
“ไม่เป็นไรครับคุณบอส...ผมไม่...”
“มึงจะไปไม่ไป”
“ไปครับ...เดี๋ยวกลับมานะครับ”
สิ้นเสียงเรียบแข็งของเจ้านาย ลูกน้องหนุ่มก็ลนลานเปิดประตูหายจากห้อง
ทิ้งน้องให้อยู่กับเจ้านายตนเองตามลำพัง
“ในนี้คืออะไร” คนแก่กว่าถามหลังจากทั้งคู่นั่งลงบนโซฟาสีขาวที่ตั้งกลางห้องแล้วหยิบกล่องกระดาษที่ไม่มีลวดลายอะไรขึ้นมาดู
“เปิดดูสิครับ” ฝ่ายตรงข้ามตอบจ้องมือกร้านที่กำลังดึงสกอตเทปบนกล่องออกแล้วหรี่ตามองหน้าคมนั้นในนาทีที่กล่องถูกเปิดออก
ดงกั๊บหยิบชุดถ้วยกาแฟเซรามิกส์สีม่วงอมครามมีจุดขาวเล็กเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าพราวอยู่และมีกลุ่มดาวต่างๆถูกลากเส้นกำกับด้วยชื่อภาษาอังกฤษสีทองตัวเล็กๆเซ็ตหนึ่งเป็นถ้วยกับจานรองเล็กส่วนอีกใบเป็นทรงกระบอกตรง
มีพวงกุญแจห้อยผลึกหินแท่งทรงยาวใสแต่มีไอเหมือนควันสีน้ำตาลอมเหลืองอยู่ภายในวางอยู่ด้วยสองชิ้น
“ผมเห็นคุณบอสเล่าว่าคุณบอสกับชินอูชอบขับรถขึ้นเขาไปดูดาวด้วยกันก็เลยทำถ้วยกลุ่มดาวขึ้นมาให้คุณบอสกับชินอูใช้เป็นคู่ครับ
ส่วนนั่นเป็นหินสโมกกีย์ ควอตซ์ครับ
เมื่อก่อนผมชอบสะสมหินเป็นงานอดิเรกก็เลยมีหินหลายแบบ ในหนังสือมันบอกว่า
สโมกกีย์ ควอตซ์มันมีพลังในการบำบัดจิตใจสูง ช่วยให้อารมณ์สงบ ผ่อนคลาย
ผมเห็นสีของหินมันเหมาะกับผู้ชายด้วยก็เลยเอามาทำเป็นพวงกุญแจให้น่ะครับ”
ประธานค่ายมองพวงกุญแจที่อยู่ในกล่องเดียวกับถ้วยชาครู่หนึ่งพร้อมกับริมฝีปากที่แย้มออกทีละน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปยังกระเช้าที่วางอยู่บนโต๊ะกลาง
“อันนี้กระเช้าอาหารออร์แกนิคครับ
ในนี้จะมีชาสมุนไพร กาแฟออร์แกนิค มะเขือเทศกับสตอเบอรี่อบแห้ง
แล้วก็มีคุ๊กกี้ธัญพืช แยมผลไม้ที่ผมทำเอง อ้อ มีกิมจิด้วยครับ
นี่ผมก็ทำเองเหมือนกัน
ส่วนตรงมุมนี้ผมทำสบู่เหลวไว้ใช้เองก็เลยเอามาให้ด้วย
เป็นสูตรสมุนไพรไม่ใส่สารเคมีปลอดภัยแน่นอนใส่มาด้วย”
ร่างเล็กอธิบายข้าวของที่ทำขึ้นใหม่ให้โดยเฉพาะกับของสะสมที่นำมาทำเป็นสร้อยให้อย่างตั้งใจ
เรื่องราวที่พูดคุยกันเหมือนไม่สลักสำคัญอะไรกลับกลายเป็นเรื่องที่หยิบจับมาใส่ใจทำเป็นของ
ไหนจะตากลมโตกับรอยยิ้มอารมณ์ดีบนดวงหน้าละมุนที่ส่งมาหา
ทำให้คนหน้านิ่งหลุดยิ้มกว้างอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบหัวของอีกคนไว้อย่างเอ็นดู
ชายหนุ่มหวนคิดถึงช่วงปีแรกที่แจมินย้ายมาเซ็นต์สัญญาเป็นโปรดิวเซอร์และศิลปินสังกัดกับทางค่ายภายใต้การดูแลของพี่จินแทและพาลูกชายคนโตอย่างฮันเฮมาทำงานในตำแหน่งเดียวกันภายใต้การดูแลของเขา
ซึงฮวังยังเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยโซลมักจะแวะเวียนมาเยี่ยมแม่กับพี่ชายอยู่บ่อยๆ
และทุกครั้งจะมีของมาฝากให้เขากับพี่จินแทและคนอื่นในออฟฟิศเป็นประจำแม้จะย้ายไปอยู่ที่อีชอนก็ยังหาโอกาสมาเยี่ยมทุกปี
ช่วงวันเกิดก็ส่งของขวัญมาให้
เด็กคนนี้จิตใจดี
มองโลกสะอาดไม่เหมือนคนอื่นและเป็นคนเอาใจใส่คนอื่นเสมอแม้ในเรื่องเล็กน้อยก็เก็บรายละเอียดไว้หมด
เวลาคุยต่อหน้าหรือส่งข้อความไปหา
ไม่ว่าจะคุยเรื่องอะไรเจ้าตัวก็พิมพ์ตอบกลับมาอย่างใส่ใจ
ทำให้เขาทั้งรักและเอ็นดู
จนบางคราก็คิดว่าถ้ามีหลานแบบนี้หรือชินอูโตมาเป็นคนดีขนาดนี้ได้ก็คงจะดีและมีหลายครั้งเวลาไปต่างประเทศเขาจะซื้อของฝากส่งไปให้
“เป็นเด็กดีนะเราน่ะ”
“ไม่หรอกครับ...ไม่ดีหรอก”
“ไม่ดีตรงไหน”
“ก็ผมมีเรื่องที่ทำไปโดยพละการ...เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคุณบอสด้วย”
“เรื่องอะไร” ตาคมของฝ่ายถามหรี่ลงด้วยความสงสัย
“คือว่า
ผมเอาของเล่นทั้งหมดที่คุณบอสส่งมากับขนมบางส่วนไปบริจาคที่มูลนิธิเด็กมา
ผมคิดว่าถ้ามันอยู่กับผมก็คงไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรมากกว่าวางโชว์ก็เลยเอาไปให้เด็กเขาแบ่งกันเล่นน่าจะดีกว่า”
ร่างเล็กสารภาพ ผุดลุกจากโซฟาเดินไปที่กล่องกระดาษที่เปิดอยู่
หยิบเอาซองเอกสารสีน้ำตาลแล้วยื่นมันมาตรงหน้า
เมื่อเปิดดูก็เห็นใบประกาศจากมูลนิธิเด็กแห่งหนึ่งในอีชอนที่ออกให้เพื่อแสดงความขอบคุณในการบริจาคสิ่งของ
ชื่อของเขากับคนตรงหน้าปรากฏเป็นตัวหน้าในฐานะผู้บริจาค
“ผมมีประกาศที่มูลนิธิเขาออกมาให้ด้วย
ในใบประกาศมีชื่อบอสกับผมเป็นผู้บริจาคร่วมกันด้วย...คุณบอสโกรธผมไหมครับที่ผมเอาของที่คุณบอสตั้งใจให้ผมไปบริจาค”
เสียงและดวงตาที่ละห้อยมองอย่างสำนึกผิดทั้งที่ทำเรื่องดีทำให้คนแก่หลุดยิ้มออกมา
“ทำไมพี่ต้องโกรธเล่า...เราเอาของไปบริจาคให้เด็กๆที่ขาดแคลน พี่ต้องดีใจสิถึงจะถูกใช่ไหม”
“จริงนะครับ...คุณบอสไม่เสียความรู้สึกนะ”
“อืม พี่ไม่เสียหรอก”
คำตอบนั้นเรียกความสดใสให้กลับมาก่อนที่เจ้าของใบหน้านวลเหมือนแมวจะเจื้อยแจ้วถามเขาถึงเรื่องความเป็นอยู่
เรื่องงานไปรวมทั้งเรื่องหลานรักระหว่างรอพี่ชาย
ตลอดการสนทนาคนหน้านิ่งเป็นอาจิณกลับมีรอยแย้มอยู่บนหน้า
“วันนี้ คุณบอสต้องไปหาเพื่อนใช่ไหมครับ”
“ใช่ พี่ไม่รู้ว่ารอบนี้เราจะมาเร็ว วันก่อนฮันเฮมันบอกเราจะมา เพื่อนพี่ก็จะกลับพอดี”
“คงไม่กลับเข้ามาแล้วใช่ไหมครับ”
“อยากกลับเข้ามาแต่เพื่อนมันจะขึ้นเครื่องตอนตีห้าพรุ่งนี้ มันเลยให้พี่เป็นไกด์พาเที่ยวยันเช้าเลย”
ฮันเฮเปิดประตูพรวดเข้ามาพร้อมชาผลไม้ในถ้วยกาแฟใส
กลิ่นแอปเปิ้ลหอมกรุ่นลอยอวลในห้องทำงาน...มือใหญ่เสิร์ฟมันลงบนโต๊ะแล้วถอยไปยืนอยู่ข้างหลังน้อง
“นี่หายไปชงชาหรือไปตกท่อล่อไปตั้งครึ่งชั่วโมง”
“ผมไม่รู้ว่าชามันอยู่ตรงไหนกว่าจะหาเจอเลยนาน”
“แม่บ้านก็อยู่ไม่โทรไปบอกให้ชง”
“ก็บอสให้ผมไปชงไม่ใช่เหรอครับ”
“เออ ไอ้เรื่องอย่างนี้ล่ะง่าวนัก ทีไอ้เรื่องที่มันไม่ได้เรื่องเสือกฉลาด”
“ฮู้ย...”
ลูกน้องหนุ่มร้องยกมือขึ้นทาบอกแสดงออกถึงความรวดร้าวผ่านสีหน้าแหยเกที่ดูตลกมากกว่าน่าสงสารแต่เจ้านายปรายมองเล็กน้อยก็เมินกลับมาสนใจคนบนโซฟาที่นั่งกระพริบตาปริบแทน
“ขอโทษนะพี่ไม่อยากดุพี่เราต่อหน้าหรอก แต่มันเหลือเกินจริงๆ อ้อ แล้วนี่เราต้องอยู่รอเพื่อนมารับกี่โมง”
“ตีสี่ครับ”
“ตีสี่...เพื่อนไปทำอะไรถึงมารับเอาป่านนั้น
แล้วนี่เราจะอยู่ยังไงที่นี่
วันนี้ฮันเฮมันต้องมิกซ์เสียงส่งลูกค้าไม่เกินหกโมงเช้าพรุ่งนี้
ใครจะอยู่กับเรา หรือว่ากลับไปรอที่บ้านฮันเฮมัน
เราไปอพาร์ทเม้นต์ใหม่ของฮันเฮมันถูกหรือเปล่า”
“จริงๆผมตั้งใจว่าตอนพี่ฮันเฮทำงานผมจะออกไปเดินเล่นหาแรงบันดาลใจน่ะครับ
พอค่ำๆหน่อยก็ว่าจะแอบไปดูเพื่อนที่ร้านที่เพื่อนผมไปช่วยงานแล้วค่อยกลับมานี่
จะไปนอนที่โซฟาที่ห้องทำงานพี่เขา”
“เราจะไปกับใคร” คนเป็นพี่แทรกถามขึ้น
“ตอนแรกก็นัดกับเพื่อนที่เรียนป.โทไว้
แต่เขาโทรมาบอกเมื่อเช้าว่าติดเลี้ยงลูก ก็เลยว่าจะโหลดแอพพวกสายรถใต้ดิน
รถบัสกับใช้กูเกิ้ลแมพนำทางเอาแล้วไปคนเดียวครับ”
“ไปคนเดียว” เสียงนั้นประสานขึ้นแทบจะพร้อมกัน ฝ่ายเจ้านายประสานสายตากับลูกน้องที่หันมาพอดี
คนเป็นพี่รู้ดีว่า
ถ้าไม่ใช่พื้นที่คุ้นเคยที่ไปมาจนทั่วแล้วน้องของเขาชอบจะหลงทางอยู่บ่อยๆ
เพราะติดนิสัยชอบสังเกตสิ่งรอบข้าง
ตอนมาเรียนที่โซลดีที่เพื่อนเขาเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยที่น้องเรียนและบ้านก็ว่างอยู่เขาเลยส่งน้องไปอยู่ด้วย
เวลาจะไปไหนเพื่อนเขาก็รับอาสาพาไปเลยไม่หลง
“เดี๋ยวนะตัวเล็ก ไหนตัวเล็กบอกพี่หน่อยสิว่าเราจะไปไหนบ้าง” คนแก่สุดกอดอกทำหน้าตึง
“ผมว่าจะไปพิพิธภัณฑ์ลีอุมซัมซุงก่อนเสร็จก็จะนั่งรถไฟฟ้ากลับมาเดินดูของที่อินซาดงแล้วค่อยไปฮงแดต่อ”
“ตัวเล็ก...รถไฟใต้ดินมันมีหลายเส้น
หลายสีนะ เราไม่ได้มาโซลตั้งนาน ตอนอยู่ก็มีคนขับรถรับส่ง
จะไปรถไฟใต้ดินคนเดียวได้ยังไง เดี๋ยวก็หลง”
“ไปไม่ถูกก็ถามได้นี่ครับ”
“ถ้าไปเจอคนแปลกๆจะทำยังไง”
“5555 ผมไม่ใช่เด็กประถมที่ใครให้ขนมก็ตามไปนะ...แล้วที่ที่จะไปก็คนเยอะแยะ ไม่หลงกันง่ายๆหรอกนะ”
“ไม่หลงอะไร
จำได้ไหมตอนเราเรียนที่เรานั่งรถไฟใต้ดินไปหอศิลป์โซมาตรงโอลิมปิคพาร์กคนเดียวน่ะ
เราต่อรถผิดหลงไปไหนก็ไม่รู้ โทรศัพท์เราก็สัญญาณไม่ดีติดต่อลำบาก
พี่กับแม่แทบเป็นบ้า หาเรากันจนไม่ต้องทำอะไร
ไอ้คังมันเลิกสอนกลางคันขับรถไปหาเราตั้งนานกว่าจะรับกลับมาได้”
ชื่อของใครคนหนึ่งที่เผลอหลุดจากปากด้วยความเป็นห่วงทำให้อีกฝ่ายที่จำชื่อนั่นได้แม่นสะดุดใจชะงักนิ่ง
คนเป็นพี่กระพริบตาปริบแล้วเม้มปากแน่นในนาทีที่รู้ตัวว่าเอ่ยถึงคนที่ไม่น่าเอ่ยถึง
“เราอยากไปจริงๆใช่ไหม” เสียงจากเจ้าของค่ายคล้ายรับรู้ถึงความผิดปกติถามขึ้นเพื่อทำลายความเงียบที่เกิดขึ้นในห้อง
“ครับ
แต่ถ้าผมไปแล้วทำให้พี่ฮันเฮกังวล ผมอยู่นี่ดีกว่า”
ริมฝีปากอิ่มของคนตัวเล็กแย้มกว้างเป็นยิ้มจริงๆที่ไม่แฝงแววเศร้าแต่คนเป็นพี่กลับรู้สึกผิด
“ถ้าอยากไปก็ไป แต่ต้องมีคนไปด้วย เดี๋ยวพี่จะหาคนไปกับเรา โอเคไหม”
“ถ้าคุณบอสต้องหาคนพาผมไป อย่าเลยครับ ผมอยู่นี่ได้ หนังสือที่นี่มีเยอะแยะให้อ่านรอ”
“ตัวเล็ก...พี่ขอโทษนะ
พี่แค่เป็นห่วง เดี๋ยวไงพี่โทรหาเพื่อนให้พาเราไป”
ฮันเฮบอกเสียงอ่อยมือใหญ่ลูบผมน้องจากด้านหลัง
ก้มมองหน้านวลของน้องที่หันมาหาเพียงน้องยิ้มและบอกเขาว่าไม่ได้โกรธใจเขายิ่งรู้สึกเศร้าไปอีก
เขารู้ดีว่าน้องเป็นคนที่ใจใส่ความรู้สึกคนอื่นมากกว่าตัวเอง
อะไรที่ทำให้คนรอบตัวไม่สบายใจ
เจ้าตัวจะไม่ตัดทิ้งไปโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกตัวเองและมันทำให้พี่อย่างเขารู้สึกแย่เสมอ
“พี่จะช่วยฮันเฮมันหาคนพาเราไป หรือไม่พี่อาจขับรถไปส่งเราที่ลีอุมซัมซุงก่อนแล้วให้คนตามไปหาแล้วพาเรามาอินซอดงกับฮงแด”
ดงกั๊บว่าแล้วจัดแจงหยิบโทรศัพท์ต่อสายหาคนรู้จัก พอเห็นฮันเฮจะออกไปข้างนอกเหมือนจะไปดูว่าใครในออฟฟิศว่างอยู่ก็เรียกไว้
“จะไปดูใช่ไหมว่าใครว่างบ้าง...พาตัวเล็กไปดูโบมีอัดเสียงซ้อมไป”
เพราะคำสั่งของเจ้านายทำให้พี่ชายเดินกลับมาที่โซฟาจับมือน้องให้ลุกขึ้นพาออกไปข้างนอกด้วยกัน
“พี่ขอโทษนะ” ประโยคนั้นหลุดจากปากทันทีที่พ้นหลังประตูห้องประธานค่าย
“น้องบอกแล้วนะว่าไม่ได้โกรธ
โอ้ๆ พี่ฮันเฮ ของๆ กล่องนั่น น้องเอามาให้เพื่อนๆพี่ในออฟฟิศ
เอาลงไปด้วยดีกว่านะจะได้ไม่ต้องขึ้นมาขน”
คนเป็นน้องเห็นพี่หน้าเศร้าก็เปลี่ยนเรื่องเบนความสนใจ
“อ้อ กล่องนี่ใช่ไหม”
“อืม...พี่โดนคุณบอสว่าบ่อยคงไม่ค่อยอยากขึ้นมาที่นี่ ยกไปด้วยจะได้เอาลงไปแจกเลย...แล้วนี่พี่โบมีอัดเสียงที่ชั้นไหนเหรอครับ”
“ชั้นสี่” พี่ชายตอบขณะยกกล่องกระดาษนั่นมาไว้ในอ้อมแขนเดินเข้าไปในลิฟต์ “หนักเหมือนกันนะเนี่ย เราเอาอะไรมา”
“ปีที่แล้วน้องให้ที่วางตะเกียบกับตะเกียบไป รอบนี้เลยเอาถ้วยชาเซรามิกส์กับชามาให้ แล้วก็ในนั่นมีของกินที่น้องทำมาให้พี่ด้วย”
“ไม่เห็นต้องเอามาให้เลย
เราอยู่คนเดียวต้องทำอะไรแบบนี้ให้มันเหนื่อยจะตาย”
คนเป็นพี่ลากเสียงทั้งที่ยิ้มใช้แขนข้างที่ว่างโอบไหล่บางแล้วเอนหัวลงไปชนกับหัวของน้อง
“ขอบใจนะที่เราคิดถึงพี่ตลอด แต่เราต้องคิดถึงตัวเองด้วย”
“ผมมีความสุขที่ได้ทำให้นะ...ของที่ผมให้เพื่อนพี่ก็แทนคำขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่ดีกับพี่ไง
แม่บอกว่าถ้าเรามีความสุขเวลาทำอะไรถ้าไม่เดือดร้อนใครก็ทำต่อไปได้นี่”
“พี่ไม่อยากเห็นเราเข้าโรงพยาบาล...ไม่อยากเห็นเรานอนบนเตียงแล้วยิ้มเหมือนไม่เป็นไรทั้งที่เราเจ็บ ไปหาหมอมาล่าสุดเป็นยังไง”
“หัวใจแข็งแรงดี ลิ้นหัวใจทำงานปกติ”
“ถ้าเจ็บต้องบอกพี่นะ”
“อืม...ถ้าเจ็บเมื่อไหร่ผมจะบอก
พี่ต้องมาให้ผมกอดแน่นๆนะ”
เสียงนุ่มตอบรับก่อนจะเดินออกจากลิฟต์ผ่านประตูกระจกเข้าไปในช่องทางเดินที่ห้องอัดเสียงและสตูดิโอขนาบอยู่สองข้างทาง
มือใหญ่ผลักประตูที่มีหน้าต่างกลมใสให้มองเห็นข้างในได้
โบมีนั่งจิบน้ำอยู่บนโซฟาคุยกับทีมงานเพียงเห็นว่า
ซึงฮวังเดินเข้ามาก็ส่งยิ้มตบมือลงบนโซฟาข้างตัว
สนทนากันไม่กี่คำก็รับถ้วยชาเซรามิกส์รูปแมวขาวลายจุดดำกับชาออร์แกนิคมาดูด้วยยิ้มที่แก้มแทบปริ
“พี่จะอัดเสียงอีกรอบนานไหม ผมฝากตัวเล็กไว้กับพี่แป้บนึงได้ปะ”
“เออ...จะไปไหนก็ไป” เจ้าของเล็บมือสวยสะบัดมือเป็นเชิงไล่
“เดี๋ยวครับ
นี่...พี่ไปหาเพื่อนใช่ไหม เอานี่ไปด้วยนะจะได้ไม่เสียเที่ยว”
มือขาวของน้องดึงกล่องมาหยิบเซรามิกส์กับชาที่มีสีและรูปแบบต่างกันไปห่อในถุงพลาสติกมีหูหิ้วสามใบใส่มือพี่ได้ก็ปล่อยให้ออกจากห้องไป
ฮันเฮหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความในคาทกลงไปในกลุ่มเพื่อนทุกสาขาอาชีพที่คบหาอยู่และเดินต่อไปยังสตูดิโอส่วนตัวของเพื่อนร่วมงานที่มีป้ายติดว่า
Dindin ก็ไม่พูดพล่ามผลักเข้าไปเลย
“เฮ้ย ชอลมึงว่างไหม”
ชายหนุ่มร่างเล็กสวมเสื้อกันหนาวมีฮู้ดคลุมสีชมพูสดทับด้วยแจ็คเก็ตแขนยาวสีขาว
สวมบีนนี่สีเดียวกับเสื้อนอกสะดุ้งโหย่งมือป่ายไปกดปิดหน้าจอไอแมคแทบไม่ทัน
“โหย
พี่จะเข้ามาก็ให้สุ้มให้เสียงหน่อยได้ไหมวะ ตกใจหมด”
เจ้าของห้องร้องหมุนเก้าอี้มาหาผู้มาใหม่พลางยกมือกุมหัวใจด้วยตาที่ปิดแน่นเพราะตกใจเอาจริงๆ
“จะตกใจห่าอะไรหนักหนา แอบอู้ดูหนังโป๊ในเวลางานไง”
“อู้ว
ดูพูดเข้า
อย่าเหมาว่าผมจะนิสัยเหมือนพี่ดิ...ใช้คอมออฟฟิศดูหนังโป๊แม่งได้โดนบอสด่าวินาศสันตะโรพอดี
ว่าแต่พี่มีอะไรเนี่ย ไหนว่าเดดไลน์ส่งงานลูกค้าวันนี้ ไม่ไปทำวะ”
“กูเอานี้มาให้” ว่าแล้วก็ยื่นของที่น้องเอามาไปตรงหน้า
“อะไรอ่ะ...เฮ้ย นี่น้องพี่มาแล้วเหรอ ปีนี้ทำไมมาไวจัง”
“ปีนี้ติดรถเพื่อนที่มาทำธุระเลยมาไว ว่าแต่มึงว่างไหมจะให้ช่วยอะไรหน่อย”
“ช่วยอะไรอ่ะ”
“หาคนในออฟฟิศที่ว่างพาน้องกูไปเที่ยวหน่อยดิ แล้วก็ขอคนแบบที่พึ่งพาได้ อัธยาศัยดี ไม่สูบบุหรี่ ไม่ขี้รำคาญ ชอบงานศิลปะ ”
“โว้ย คุณสมบัติ นี่หาคนพาเที่ยวหรือหาแฟนให้น้องวะ”
อิม
ชอลหรือที่มีชื่อเรียกในวงการเพลงว่า ดินดิน
ถาม...ตั้งแต่ย้ายมาทำงานที่นี่ไม่เคยเห็นหน้าลูกคนกลางของที่พี่มินแจหรือที่คนในออฟฟิศกันว่าท่านแม่หวงมากสักที
มีแต่ของนี้แหละที่ได้อยู่ทุกปี
รู้ก็แค่ว่าเป็นผู้ชายหน้าตาน่ารักที่บอสคิมกับบอสชินเอ็นดูมาก
“ก็น้องกูเขาไม่ค่อยแข็งแรง
เขาแพ้บุหรี่แล้วบางทีเขาก็ชอบคุยชอบถาม สำหรับกู
กูมองน่ารักแต่คนอื่นกูไม่รู้ไง มาตวาดแว้ดๆใส่น้องกู กูก็ไม่เอา”
“ไปถามไอ้ดงฮยอนมันยังอ่ะ...”
“มันว่างที่ไหนเล่า เห็นบอกกูว่าต้องเร่งทำเพลงตัวอย่างประกอบภาพยนตร์ให้ลูกค้า”
“เออ ดงอุคกับยองฮุนมันก็ว่างอยู่นะพี่ เห็นบอกอยู่บ้านไม่มีอะไรทำแม่งมานั่งเล่นโป๊กเกอร์อยู่ชั้นสองเนี่ย”
“เดี๋ยวกูโบกเลย บอกว่าขอคนไม่สูบบุหรี่ สองคนนี้มันสูบจัดฉิบหาย ชอบทำอะไรพิเรนท์อีก จะให้พาไปได้ไง”
“พูดเหมือนพี่ไม่พิเรนท์แน่ะ ถ้าแจโฮมันอยู่ พี่กับมันเป็นคู่หูทำแต่เรื่องประสาทแดก”
“ตัวเล็กไม่เหมือนแจโฮหรือคนอื่นเว้ย กูยกน้องคนนี้ไว้บนหิ้ง ถนอมยิ่งกว่าแก้ว”
“งั้นต้องให้ผู้หญิงพาไปปะ
แต่เจ๊เยจิน เจ๊เจซแกก็ไม่เข้าออฟฟิศ เจ๊โบมีแกก็ไม่ว่าง อ้อ
มีไอ้แดฮยอนอีกคนเมื่อกี้แม่งบอกแต่งเพลงเพิ่งเสร็จหาคนกินข้าวเที่ยงด้วยอยู่
มันนี่แหละเข้าข่ายคนที่พี่ตามหา”
“โห ไอ้แดฮยอนนี่ไม่ต้องเลย”
“ทำไมอีกอ่ะ”
“ขี้หลีเบอร์แรงขนาดมัน เจอสาวก็วิ่งใส่ทำน้องกูหายว่าไง”
“งั้นเอางี้ ผมไปให้เองแล้วกันแต่ขอทำตรงนี้อีกสิบนาที”
“แบบมึงนี้กูไม่เอานะ เตี้ยๆแบบนี้เวลาหลงไปในดงคนเยอะ น้องกูหาไม่เจอหรอก”
“โอ๊ย
ถ้าจะพูดขนาดนี้เอามีดมาแทงกันเลยก็ได้ แม่ง ไอ้คนนั่นก็ไม่เอา
ไอ้คนนี้ก็ไม่เอา ในออฟฟิศแม่งก็มีกันแค่นี้จะให้ไปหาจากไหนวะ
แล้วน้องพี่มานี้ยังไง ท่านแม่อยู่นิวซีแลนด์ไม่ใช่เหรอ”
“เพื่อนขับรถมาส่ง”
“แล้วไม่ให้เพื่อนคนนั้นพาไป”
“ก็มันไปทำธุระ
เฮ้ย เดี๋ยวแป้บนึง”
คนมาขอความช่วยเหลือยกมือเป็นเชิงให้หยุดพูดขณะหยิบโทรศัพท์ออกมาไถดูข้อความในคาทกที่ตอบกลับ
ส่วนใหญ่เอาแต่ถามด้วยความแปลกใจเพราะคิดว่าต้องพาแจโฮ
น้องชายคนเล็กของเขาไป
...คนส่วนใหญ่ที่รู้จักกับแม่และเขารู้จักแจโฮกันหมด แต่กับซึงฮวังนั่นแทบไม่มีใครเห็น...
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นดึงให้ฮันเฮหลุดจากความคิดรีบรับสาย ได้ยินบอสบอกว่า หาคนได้แล้วให้จะพาขึ้นมาหาก็กดวางสาย
“เออ
บอสหาคนพาน้องกูไปได้แล้ว เฮ้ยๆๆๆ กูฝากมึงเอานี้ให้ดงฮยอน กับ
แดฮยอนมันหน่อยนะ ไปล่ะ”
บอกและวางของที่ติดมือบนโต๊ะได้เสร็จก็วิ่งพรวดหายไปปล่อยเจ้าของห้องให้กระพริบตามองตามหลังกว้างนั้นก็หมุนเก้าอี้กลับมามองถ้วยชากับชาในถุงที่ห่อแผ่นกันกระแทกไว้
...คนบ้านนี้มีแต่คนประหลาด...
0 Comments