LOVE TOXICAL - SPECIAL CHAPTER (Jooyoung x Madclown)

20:06





...ความรู้สึกของเธอที่มีต่อกัน

 ...ฉันรู้มันทั้งหมดนั้นแหละ

 ...แต่ฉันจะปิดตาทำเป็นไม่รู้

 ...จนกว่าเธอจะพูดมันออกมา


ชายหนุ่มผมทองสวมเสื้อฮู้ดแขนยาวสีดำมีลายกราฟฟิคด้านหลังกับกางเกงยีนส์สีดำขาดตรงเข่าและรองเท้าไนกี้คู่โปรดฟังพลงผ่านหูฟังสีขาวที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือซึ่งสอดอยู่ในกระเป๋ากาง มือเรียวแข็งข้างหนึ่งกำลังหิ้วถุงพลาสติกสีขาวเดินผ่านร้านรวงที่เปิดไฟสว่างต้อนรับผู้คนที่ยังสัญจรไปมาแม้จะเป็นเวลาเกือบห้าทุ่มแล้วก็ตาม


เขาเดินไปเรื่อยๆเหมือนคนไม่มีจุดหมาย ไม่แม้แต่จะชายตายังกลุ่มหญิงสาวสวยนักเที่ยวที่เหลียวหลังมองตามเขาอย่างให้ความสนใจ ใบหน้าคมสันที่ลงตัวทุกองค์ประกอบจัดได้ว่าหล่อเหลาแต่นัยน์ตาคมรีสองชั้นหลบในไร้แววอารมณ์ใดทำให้ดูเย็นชาจนไม่น่าเข้าใกล้


แสงสีส้มจากไฟริมทางสาดกระทบลงมาทันทีที่เลี้ยวเข้าซอยเล็กที่ซ่อนอยู่ใจกลางเมืองที่คนพลุ่กพล่าน เขาหยุดหยิบคียการ์ดที่ถลอกปอกเปิกแตะบนเครื่องที่อยู่ข้างประตูแล้วก้าวเท้าผ่านเข้าไปในหอพักกลางเก่ากลางใหม่ ค่อยๆก้าวเท้าขึ้นบันไดไปอย่างไม่เร่งร้อนและมาหยุดไขกุญแจหน้าประตูห้องหมายเลข 408


“กลับมาแล้ว” เสียงทุ้มอุ่นพูดเหมือนทุกครั้งที่กลับบ้านลอดผ่านริมฝีปากพร้อมกับการถอดรองเท้าแล้วเขี่ยมันไปรวมกับรองเท้าอีกหลายคู่ที่วางเรียงเป็นระเบียบที่ผนังด้านหนึ่ง ขณะที่สุนัขพันธ์ชิวาว่าสีดำกับปอมเมอเรเนียนสีขาวที่กำลังอร่อยกับอาหารเม็ดอยู่ในชามที่ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของผนังจะผงกหัวขึ้นมาแล้วกระดิกหางละจากอาหารวิ่งไปคลอเคลียเท้าของคนที่เพิ่งกลับมาถึง


เสียงดนตรีประกอบที่มักได้ยินยามมีฉากต่อสู้และเสียงตวัดของมีคมฟาดฟันกันไปมาลอดจากห้องนั่งเล่นดังมาถึงหน้าประตูทำให้อีกคนเปิดปากเพิ่ม 


“อ้วน” พออีกคนเอ่ยปุบ มุมปากของคนใส่แว่นก็กระตุกปับ


“อะไร” ตอบรับคำเรียกนั้นไปทั้งที่ไม่ชอบ


“เสียงโทรทัศน์โครตดังเลย ทำไมไม่ปิดเสียงก่อนมานั่งตรงนี้”  


“ก็เล่นเกมอยู่...หมามันหิว...เลยมาให้ข้าว” 


คิม จูยองมองดวงตาอ่อนใสดูซื่อๆหลังแว่นสายตาของชายหนุ่มผมยุ่งเหยิงผิวขาวจัดที่สวมเสื้อยืดสีเทากับกางเกงขาสั้นนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นไม้ที่ยกสูงจากส่วนวางรองเท้าซึ่งดูเหมือนเด็กหนุ่มทั้งที่อายุอานามเข้าเลขสามที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่าโจ ดงริมหรือที่คนในวงการแรปเปอร์เรียกขานว่า แมดคลาวน์


...ทุกครั้งที่มาค้างที่นี่ตอนสี่ทุ่มห้าสิบห้านาทีเขาจะพบเจ้าของห้องนั่งอยู่ตรงประตู...


...ไม่ว่าจะทำอะไรหรือยุ่งขนาดไหน หากทุกครั้งที่เขาเปิดประตูเข้ามาจะเจออีกฝ่ายอยู่ตรงนั้นเสมอ แม้คำตอบที่ได้รับไม่เคยมีคำว่า รออยู่ แต่คนไม่ค่อยพูดชัดเจนในการกระทำเสมอ...


...ทั้งๆที่รู้แต่เขาก็แกล้งทำไม่รู้ เหมือนกับหลายๆเรื่องที่รู้อยู่แก่ใจก็แกล้งไม่เข้าใจ...


“ไปปิดก่อนมั้ย”


“อืม” คนแก่กว่าตอบรับในลำคอแล้วลุกจากพื้นเดินเข้าห้องนั่งเล่นเพื่อไปปิดเกมและโทรทัศน์ ปล่อยให้อีกคนเดินหิ้วของแยกเข้าครัวและเปิดตู้เย็นมองสลัดออร์แกนิคที่เขาทำให้อีกคนกินเป็นมื้อเย็นซึ่งนอนนิ่งอยู่ที่เก่าก็รู้ว่า อีกคนยังไม่ได้กินข้าว


“ผมซื้อสลัดไว้ให้ในตู้เย็น ป่านนี้แล้วทำไมยังไม่กิน” เขาปิดตู้เย็นเดินออกไปถามเอากับคนที่กำลังกดปิดเกมยิงสัตว์ประหลาดที่เล่นติดต่อกันแบบมาราธอนมาหลายชั่วโมง แต่พอเห็นเสื้อผ้ากองโตของตัวเองถูกซักรีดและพับซ้อนกันเป็นระเบียบอยู่ตรงโซฟาก็เปลี่ยนความสนใจมาถามถึง


“นั่น...เสื้อผ้าผมเหรอ”


“อืม”


“รีดแล้วด้วย”


“อืม”


“ผมบอกแล้วนิว่าไม่ต้องทำให้”


“ก็ซักของตัวเองแล้ว...เผลอซักเกิน”


“ซักเกินแต่รีดแถมพับให้ด้วยอะนะ”


“ไหนๆก็ทำแล้ว...เลยทำให้หมด” ประโยคที่เปล่งออกมามีหยุดพักเป็นจังหวะ...ลักษณะการพูดอันเป็นเอกลักษณ์ที่คนสนิทคุ้นเคยเป็นอย่างดีว่าทุกคำพูดของอีกฝ่ายต้องผ่านกระบวนการประมวลผลในสมองเสียก่อนจึงจะหลุดออกมาได้


จูยองเงียบไม่พูดอะไรแค่มองไปยังกองเสื้อผ้า...คนไม่ชอบทำงานบ้านโดยเฉพาะการซักรีดแต่ซัก รีด พับเสื้อผ้าให้เขาแล้วบอกว่า ทำเกินทุกครั้งที่ถามได้เหรอ


นั่นล่ะ...ถึงจะรู้แต่เมื่ออีกคนตอบแบบนั้นก็จะทำเป็นเชื่อ


“ตกลงแล้วอ้วนกินข้าวหรือยัง”


“เล่นเกม...เพลิน...เลยลืมกิน”

“อ้วนต้องลดน้ำหนักนะ กินตอนห้าทุ่มจะผอมชาติไหน”

“สลัด...กินตอนดึก...ไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอ”

“ก็กินได้ถ้าอ้วนกินน้ำสลัดแบบใส”

“แบบใส...ไม่อร่อย”

“ถ้าจะกินแบบครีม กินเสร็จต้องออกกำลังกายนะ”

“รู้ แล้วนายล่ะ...กินหรือยัง”

“ผมเหรอ ตอนทำเพลงก็ดื่มกาแฟกับกินขนมอะไรไปเรื่อยเปื่อย”

“อิ่มมั้ย”

“ก็...” คนอ่อนกว่าลากเสียงทำท่าคิดแต่หางตาเหลือบยังอีกคนที่ยืนนิ่งมองเขาอยู่เหมือนรอคำตอบที่ทำให้สามารถชวนกินข้าวด้วยกันได้แต่ก็แกล้งทำนิ่งเหมือนไม่รู้อยู่เกือบนาทีจึงตอบ “ยังหิวอยู่”

“กินข้าว...กันไหม” คำชวนลอดผ่านริมฝีปาก ฝ่ายตรงข้ามพยักหน้า เดินแซงเข้าครัวไปหยิบกล่องผักสลัดในตู้เย็นสองกล่องและน้ำสลัดขวดออกมา ก่อนจะสะดุดตากับน้ำแอปเปิ้ลในขวดใสยี่ห้อที่เขาชอบเรียงอยู่ในช่องใส่น้ำ ไหนจะช็อกโกแลต ขนมกับบิสกิตที่เขาชอบก็แน่นตู้ไปช่องหนึ่ง

...อะไรที่เขาชอบอยู่ในตู้เย็นหมด...

...เหมือนกับข้าวของเครื่องใช้หลายอย่างที่เขาใช้มันมักจะอยู่ในบ้านนี้โดยที่เขาไม่ได้ซื้อเสมอ...

จูยองแกล้งทำไม่รู้เหมือนเคยวางสลัดกล่องหนึ่งตรงหน้าคนใส่แว่นและวางอีกกล่องไว้ฝั่งตรงข้ามมีน้ำสลัดในขวดตั้งตรงกลางพลางพินิจแก้มและเหนียงตรงคอของคนแก่กว่าที่เหมือนจะลดลงเล็กน้อยอย่างตั้งใจเหมือนเป็นการประเมินผลระหว่างกาลของโปรแกรมลดน้ำหนักที่เขาจัดให้อีกฝ่ายปฏิบัติ

การลดน้ำหนักอย่างเคร่งครัดของคนแก่กว่า เริ่มต้นขึ้นเมื่อสามอาทิตย์ก่อน เหตุที่ทำให้ต้องลดเพราะก่อนหน้านี้เขาปล่อยซิงเกิ้ลเพลงใหม่ไต่ขึ้นชาร์ตเพลงหลักของเกาหลีได้อันดับหนึ่งและมียอดดาวน์โหลดถือว่าดีมาก เจ้าตัวเลยให้รางวัลตัวเองด้วยการสั่งหมูสามชั้นมากินติดต่อกันทำให้น้ำหนักพุ่งพรวด ทำให้อีกคนทนไม่ไหวจัดการเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวช่วยลดน้ำหนักให้เสร็จสรรพ

ดงริมเหลือบตามองสลัดที่วางอยู่ตรงหน้าคนตัวสูงกว่าซึ่งไม่มีความจำเป็นต้องลดน้ำหนักแต่อย่างใดกลับกินแต่สลัดตั้งแต่เขาเริ่มลดน้ำหนัก

...มันก็เกือบสองปีแล้วที่มีหมอนี่เข้ามาในชีวิต...


ย้อนไปประมาณสามปีก่อนหมอนี่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในบริษัทที่เขาสังกัดอยู่ ด้วยบุคลิกพูดน้อย แทบไม่แสดงความรู้สึกผ่านสีหน้า หมกตัวอยู่ในสตูดิโอทำเพลงเลยถูกคนในบริษัทจับเข้ากลุ่มรวมดาวชาวเงอะงะที่มีเขาและศิลปินในบริษัทอีกไม่กี่คนซึ่งเป็นประเภทพูดไม่เก่งมาอยู่รวมกัน และการที่ทุกวันศุกร์ต้องมีกิจกรรมกลุ่มร่วมกันทำให้รู้ว่า หมอนี่เป็นคนใจดีและละเอียดอ่อนมากกว่าที่เห็น และยิ่งสนิทกันจะรู้ว่ามีนิสัยชอบแกล้งอยู่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็มีหลายครั้งที่อ่านไม่ออกว่าคิดอะไร


ส่วนจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่ได้มาอยู่ด้วยกันมาจากคืนวันหนึ่งที่เด็กคนนี้ทำเพลงอยู่ในสตูดิโอของบริษัทจนดึกและเดินทางกลับบ้านซึ่งใช้เวลาชั่วโมงครึ่งทุกวัน ส่วนตัวเขาเองก็มีบ้านไกลเลยตัดสินใจเช่าหอพักที่อยู่ใกล้ๆกับบริษัทมาหลายปีดีดักเลยยื่นข้อเสนอให้มาพักกับเขาเวลาเลิกงานดึก


โดยส่วนตัวเขามีเพื่อนเยอะพอควรแต่ความที่เป็นรักสันโดษและเป็นคนที่ชอบคิดอย่างลึกซึ้งกว่าจะกลั่นเป็นคำพูด สามารถจมจ่อมกับอะไรที่สนใจได้นานๆแบบลืมวันลืมคืน รักการนอนเล่นอยู่บ้านหรือปั่นจักรยานมากกว่าการออกไปเที่ยวกลางคืน จึงไม่ค่อยออกไปเที่ยวกับเพื่อนเท่าไหร่ ซึ่งมันก็ดูขัดแย้งกับการเป็นแรปเปอร์ ชอบดนตรีฮิปฮอปและเต้นบีบอยอย่างสุดโต่ง


เขาเหมือนคนมีสองบุคลิก เวลาได้อยู่กับอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับฮิปฮอป ไม่ว่าจะจับไมค์ขึ้นไปยืนบนเวทีต่อหน้าฝูงชน เป็นโปรดิวเซอร์กระทั่งคอมเม้นเตเตอร์ ไม่เคยมีคำว่ากลัวอยู่ในสารระบบ แต่นอกเวลาเขาก็กลายเป็นคนขี้อายและต้องใช้เวลาในการประมวลผมต่อคำถามก่อนตอบ


ไม่ค่อยจะมีใครอยู่กับเขาได้หรอก แม้แต่เพื่อนหรือคนที่เคยคบหามาก็บอก แต่เกือบสองปีที่หมอนี่เข้ามาอยู่ด้วย แม้จะแค่บางช่วงแต่บางช่วงที่ว่าก็นานพอที่อีกฝ่ายหรือตัวเขาจะรู้สึกรำคาญ แต่มันกลับกลายเป็นว่า เขาอยู่กับหมอนี่ได้ดีจนกลายเป็นหลายครั้งที่เฝ้ารอหมอนั่นมาค้าง


บ่อยครั้งตอนไปซื้อของคนเดียวเขาก็เผลอซื้ออะไรที่หมอนี่ เวลาเห็นอะไรเหมาะกับหมอนั่นก็ซื้อมา  เรียนรู้จักหมอนั่นจากหนังสือที่อ่านหรือเพลงที่ฟัง และถ้าหมอนั่นมาค้างที่นี่เมื่อไหร่ถ้าไม่จำเป็นเขาจะไม่รับนัดหลังสี่ทุ่ม และเมื่อถึงเวลาสี่ทุ่มห้าสิบห้านาทีไม่ว่าจะทำอะไรอยู่เขาจะหยุดทุกอย่างออกไปรอหน้าที่ประตูและหาโอกาสชวนให้กินข้าวเย็นซึ่งก็คือมื้อดึกด้วยกันรวมทั้งยกเรื่องอื่นมาอ้างแทนคำตอบที่แท้จริงในทุกครั้งที่ถูกถามถึงเหตุผลเหมือนฉายหนังซ้ำ


ตอนแรกก็ไม่รู้ตัวว่าทำแบบนี้ไปทำไม แต่หลังๆเริ่มสำรวจตัวเองอย่างจริงจังอยู่นานถึงรู้เหตุผล


“วันนี้อ้วนทำอะไรบ้าง” ประโยคคำถามที่ใช้ระดับภาษาเหมือนวัยเดียวกันนั้นเป็นผลจากความเคยชินจนลืมวิธีพูดแบบเป็นทางการไปหมดแล้ว แต่ก็ใช้พูดเฉพาะเวลาที่อยู่ด้วยกันแค่สองคนเช่นเดียวกับชื่อเล่นที่จะเรียกเฉพาะอยู่กันส่วนตัว


...ชื่อ อ้วน ที่เขาตั้งเพราะเวลาจับตัวทีไรจะรู้สึกได้ถึงผิวนุ่มหยุ่นๆ ซึ่งอีกคนไม่ชอบให้เรียก แต่ไม่พูดออกมา เขาเลยเรียกต่อมาจนติดปาก...


“วันนี้เหรอ” พอถูกถามก็ทำท่าคิดอยู่พักหนึ่งจึงตอบ “ก็กินข้าวที่นายทำ...เล่นเกม...ซักผ้า...เล่นกับหมา...นอน...แล้วก็ให้อาหารหมา”


“ไม่ได้ออกไปข้างนอกเหรอ”


“เหมือนว่า...อ้อ ไป ไปปั่นจักรยานตอนบ่าย”


“มิน่า ตอนบ่ายคุณป้าถึงโทรหาผม เขาบอกว่าอ้วนไม่ยอมรับสาย”


“แม่ฉันโทรหานายเหรอ”


“อืม คุณป้าจะเอากิมจิไปให้ที่บ้านแต่อ้วนไม่รับสายผมเลยต้องแวะไปเอาให้แทน ก็ไอ้ถุงที่ผมหิ้วมานั้นแหละ” คนอ่อนกว่าบอก...การอยู่ด้วยกันแม้เป็นครั้งคราวแต่ก็ทำให้ทั้งคู่ได้พบกับครอบครัวของอีกฝ่ายตอนที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมาเยี่ยมนั่นแหละ


...แดยุนหลานสุดที่รักของเขายังเคยมานั่งเล่นที่นี่เลย...


“อ้อ”


“แล้วขี่จักรยานน่ะ อ้วนไปกับใคร”


“ตอนแรก...พาเจ้าเนยกับเจ้าพะโล้ไปด้วย...แต่ชอลโทรมา...พอบอกอยู่ที่สวน หมอนั่นก็เลยปั่นจักรยานมาหา” อีกคนตอบใช้เท้าเล่นกับเจ้าหมาสองตัวที่เอ่ยถึงไปเมื่อครู่พลางคิดถึงใบหน้าของแรปเปอร์ร่วมวงการที่มีฉายาว่า ดินดิน ที่หมู่นี้มักจะพบกันบ่อยเป็นพิเศษเพราะเจ้าตัวบอกว่า พยายามหาแรงบันดาลใจในการทำเพลงที่ค้างอยู่และไม่รู้ว่าจะทำยังไงเลยต้องหาอะไรทำ


อิม ชอลเป็นเด็กอัธยาศัยดี มีเพื่อนเยอะแต่ก็เหมือนคนขี้เหงา อยู่ว่างเป็นไม่ได้ต้องหาอะไรทำหรือไม่ก็ชวนคนอื่นไปเที่ยวด้วยเสมอ


“หมอนั่นดูว่างจัง ไม่มีงานมีการต้องทำเหรอ”


“เห็นบอกว่า...ทำเพลงได้ครึ่งหนึ่ง...เบื่อ...เลยออกมาเดินเล่น”


“เบื่อทีไรก็เจออ้วนทุกครั้งเลยเนาะ” จูยองเหลือบตามองฝ่ายตรงข้ามพลางจิ้มมะเขือเทศสีแดงสดเข้าปากด้วยแววตาไร้อารมณ์ทั้งที่ข้างในกำลังหัวเราะ


...รู้ว่า ไม่มีอะไรแต่ก็ทำเหมือนไม่รู้เพราะอยากดูปฏิกิริยาอีกฝ่าย...


“นายก็...เจอชียอง...บ่อยออก” เมื่อประเด็นเรื่องนี้ถูกยกขึ้นมาคนแก่กว่าที่รออยู่ก็หยิบความสนิทสนมของอีกฝ่ายที่มีต่อแรปเปอร์รุ่นน้องที่มีชื่อในวงการว่า กิริบอย ขึ้นมาพูดบ้าง


หลังจากได้อยู่ด้วยกันสิ่งที่เขารู้มาภายหลัง คือ หมอนี่มีเพื่อนเยอะไม่ใช่เล่น ออกไปแฮงค์เอ้าท์ข้างนอกก็บ่อย ไอ้เรื่องออกไปกับเพื่อนน่ะไม่เป็นปัญหาอะไรหรอกแต่การทำหน้าทะเล้นๆ ยิ้มปากกว้างใส่คนอื่นนอกเหนือจากเขาเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบ


...แต่เขาไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ เหมือนหลายๆอย่างที่ไม่กล้าเอ่ยออกไปโต้งๆ เพราะ ไม่อยากถูกเกลียด

...กับคนสำคัญไม่ว่าเมื่อไหร่หรือจะอายุแค่ไหนก็ไม่อยากทำตัวให้รู้สึกรำคาญ

...ความผิดหวังนะมันน่ากลัวนะแต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือการมองหน้ากันไม่ติด


...สุดท้ายเลยเป็นแบบนี้ ได้แต่ยืนตรงนี้ในสถานะพี่น้อง...


“มีคน...บอกน่ะ”


“ใคร” 


“หลายคน” 


“ไอ้คนที่บอกเขาไม่ได้บอกอ้วนเหรอว่า ออกไปด้วยกันตั้งกี่คน”


“ก็มี...ไปกันสองคนนี้”


“มีแต่ไม่บ่อย ผมไปกับมันแค่กินข้าวกับคุยกันตามประสาเพื่อนเอง”


“นี่ก็แค่ปั่นจักรยานด้วยกัน ถึงจะกินข้าว ออกไปข้างนอกหรือทำเพลงด้วยกัน ก็เป็นแบบน้อง ไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น” อยู่ๆคำตอบจากปากของคนที่พูดติดขัดเป็นประจำก็เอ่ยรวดเป็นจรวด


จูยองเลิกคิ้วมองคนแก่กว่าที่เม้มริมฝีปากทันทีที่พูดจบด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนจะก้มมองจานสลัดซ่อนรอยยิ้มของตัวเองไว้ไม่ให้เห็น


...เวลาที่ดงริมพูดติดกันเป็นพรืดแบบไม่เว้นจังหวะคิดคือความพยายามไม่ให้ตัวเองถูกเข้าใจผิดและทุกคนต่างรู้ดีว่าทุกถ้อยคำที่เอ่ยผ่านปากในตอนนั้นเป็นความจริงเชื่อถือได้ทุกประการ...


“ทำไมต้องใส่อารมณ์กับผมล่ะ ผมยังไม่ได้ว่าอะไรอ้วนเลยนะ” เขาแกล้งทำเป็นถามโดยซ่อนอาการยินดีใต้รอยยิ้มบางตรงมุมปาก


“อา... ก็ไม่อยากให้...พี่ดงจินเข้าใจผิด” คนถูกถามพาดพิงถึงรุ่นพี่ที่เป็นทั้งแรปเปอร์  โปรดิวเซอร์และคร่ำหวอดอยู่ในวงการเพลงมานานซึ่งเกี่ยวพันกับคนที่ถามถึงอยู่เพราะไม่รู้จะอ้างถึงใครดี


“แต่นี่ผมจูยองนะ ไม่ใช่พี่ดงจิน”


“ก็เผื่อ...บางทีนายอาจจะ...เอาไปบอกพี่เขา”


“บอกไปแล้วทำไม...พี่เขาไม่ได้เป็นอะไรกับชอลมันสักหน่อย หรือว่าเป็น เอ้า แต่ไม่ใช่แดฮยอนหรอกเหรอที่เป็น” คำถามอย่างสงสัยของคนหน้าตายที่โยงคนนั้นคนนี่มาร่วมทำให้อีกฝ่ายกระพริบตาปริบ


...หมอนี่บางทีก็รู้ข่าวลืออะไรที่ไม่น่าจะรู้เฉยเลย...


“เรื่องคนอื่น...อย่ายุ่งเลย”เขาบอกปัดหาเรื่องตัดบทจนได้ อีกฝ่ายพยักหน้ารับแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินสลัดของตัวเองมีไก่ทอดส่วนของเขามีไก่ต้มฉีกกินจนหมด


“อ้วนอย่าใส่น้ำสลัดเยอะสิ” หลังจากเงียบไปนานก็โดนดุแถมข้อมือที่กำลังเขย่าน้ำสลัดครีมแครอทลงบนผักก็ถูกนิ้วเรียวของอีกคนคว้าไว้  


“ไม่เยอะ...สักหน่อย”


“ปกติเขาใส่น้ำสลัดกันไม่กี่ช้อน อ้วนนี่ล่อไปครึ่งขวด ถ้าอยากจะกินน้ำสลัดขนาดนี้ตอนดึกแบบนี้อ้วนต้องไปวิ่งที่สวนสาธารณะสิบรอบน่ะถึงจะเบิร์นหมด” พอถูกดุตาก็เริ่มจิกปากก็เริ่มคว่ำ


“อา...ไม่ไหว...ไม่ไหวแล้ว แค่...น้ำสลัด นี่แรปเปอร์นะ...ไม่ใช่ไอดอล อ้วนไม่ได้เหรอ...ทำไมต้องเข้มงวดด้วย”


“ไม่ใช่ไอดอลก็จริงแต่เป็นแบบนี้มันไม่ดีกับตัวอ้วนเองนะ...จำผลตรวจคอลเรสเตอรอลครั้งล่าสุดของอ้วนได้ไหม มันสูงเกินเกณฑ์ขนาดไหน แล้วกางเกงอีก คับจนจะยัดไม่ได้แล้วถ้าไม่ลดมิต้องซื้อกันใหม่ยกตู้เลยเหรอ”


“ก็ปั่นจักรยาน...ออกกำลังกายทุกวัน...ทำไมจะกินนั้นนิดนี่...เพิ่มไม่ได้”


“ปั่นจักรยานกินลมชมวิวสไตล์คนแก่แบบอ้วนมันไม่ช่วยให้น้ำหนักลงหรอก”


“แล้วที่นาย...ให้ออกกำลังกายด้วยกันทุกคืน...มันไม่ช่วยหรือไง”


“ก็ช่วยแต่มันจะดีกว่านี้ถ้าอ้วนงทำให้ได้ตามเกณฑ์ที่ผมตั้งไว้ ไม่ใช่ทำไปทำมาก็ต่อรองขอลดรอบตลอด”


“ก็มัน...เจ็บนี้”


“เจ็บก็ทนหน่อยสิ...แล้วจะกินเสร็จยัง”



“เสร็จ...ก็ได้” คนพูดตัดสลัดเข้าปากอีกสองสามคำก็รวบช้อน


“ผมให้อ้วนพักท้องครึ่งชั่วโมงค่อยมาออกกำลังกายนะ จะไปทำอะไรก็ทำยกเว้นนอนอืดกับอาบน้ำ”


“อา...” ฝ่ายตรงข้ามร้องพลางกรอกตาไปมาเหมือนเพิ่งคิดอะไรออก “ไม่ได้”


“ไม่ได้คืออะไร” คนที่เก็บจานจะไปล้างชะงักถาม


“ต่อไป...คงออกกำลัง...ในห้องไม่ได้...แล้ว”


“ทำไม”


“เด็กที่อยู่ข้างล่าง...เขาบอกว่า อ่านหนังสือสอบไม่ได้ เพราะเราเสียงดัง”


“เขาขึ้นมาบอกเหรอ”


“อืม”


“ห้องนั้นมีคนมาอยู่ด้วยเหรอ ไม่ใช่ว่าปิดตายไม่ให้เช่าเหรอ”


“อืม”


“แล้วเสียงมันดังเหรอ ดังตรงไหน ไม่ได้ทำอะไรมากสักหน่อยแค่ออกกำลังกายกันเฉยๆ”


“ไม่รู้สิ...เขาว่าดัง...เสียงตึงตังทั้งคืนเขาอ่านหนังสือกับนอนไม่ได้”


“เสียงตึงตัง” จูยองย่นหน้าผากทบทวนความคิด “แค่กระโดดเชือก วิ่งสับขากับซ้อมเตะมวยลมแค่นี้นี่ถึงกับเสียงดังทะลุลงไปข้างล่างเลยเหรอ อ้อ รู้ล่ะ ตอนที่ผมให้อ้วนออกกำลังกาย ผมอาบน้ำอยู่ อ้วนชอบบ่นเจ็บเท้าเลยไปออกกำลังกายบนเตียงใช่ปะ ขาเตียงมันไม่เสมอกัน มันเลยกระแทกพื้นดังอ่ะดิ”


“อา”


“จริงๆผมก็บอกแล้วนะว่า ทำอย่างนั้นนอกจากสปริงที่นอนจะพังแล้วเตียงก็จะพังด้วยอ้วนก็ไม่เชื่อ”


“ก็มัน...” คนแก่กว่าอ้าปากจะค้านแต่นึกอะไรไม่ออกเสียงเลยเงียบหายไปกับสายลม


“วิธีออกกำลังมันก็มีหลายวิธีหรอก แต่อ้วนซิตอัพไม่ไหวบ่นปวดหลังตลอด กระดูกกระเดี้ยวก็ไม่ค่อยดี แค่ดัดขานิดเดียวร้องยังกะโดนเชือดเล่นโยคะไม่ได้แน่  จะให้เล่นเวทก็ไม่มีอุปกรณ์อีกนั้นแหละ” คนอ่อนกว่าว่าหยุดคิดชั่วขณะก็เอ่ยต่อ “เดี๋ยวนี้ยังเต้นบีบอยได้ปะเนี่ย”


“ได้ แต่ก็...”


“ไม่คล่องเหมือนก่อน” อีกคนต่อคำ


“แล้วกรุ๊ปบีบอยอ้วนไปไหน”


“ก็ไปเป็นครู...สอนเต้นกันหมด”


“ฮ่าๆๆ งั้นก็ไปฟิตเนสของบริษัท”


“ไม่เอา”


“ทำไม...หรือขี้เกียจ เออ ผมก็เข้าใจหรอกว่าบอสเขาอนุญาตให้อ้วนทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ แต่ถ้ามีเวลาก็ไปออกกำลังกายที่นั่นสิ อ้วนจะไปตอนไหนก็บอกผมจะได้ลงเลื่อนเวลาออกกำลังกายของตัวเองมาออกพร้อมกัน”


“อย่างนาย...ต้องออกอีกเหรอ...หุ่นก็ดีออก” 


“ผมชอบปวดเข่า หมอบอกให้ออกกำลังกายเข่าจะได้ปวดน้อยลง”


“อา...จริงด้วย...เข่านายชอบเจ็บ แต่ถึงอย่างนั้น...ก็ไม่ไปหรอก”


“มันเสียหายตรงไหนแค่ไปฟิตเนส”


“ก็เหนื่อยแล้ว...นอนแผ่บนพื้นไม่ได้...อยากกินอะไรต้องเดินเกินสิบก้าวกว่าจะได้กิน....และหมาก็มา...เล่นด้วยตอนพักเหนื่อยไม่ได้” เขาตอบออกไปเช่นนั้นทั้งที่ในใจคิดอีกเรื่อง


...หักลบเวลานอน เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันตามลำพังในแต่ละวันมันน้อยนิด...


...ก็แค่อยากจะอยู่ด้วยกันสองคนพร้อมหมาอีกสองตัวแบบนี้เท่าที่จะทำได้...


“แต่ยังไงก็ต้องออกกำลังกายเอาไอ้แคลลอรี่ในน้ำสลัดนั้นออกไปสักครึ่ง”


“ขี่จักรยาน...ไม่พอเหรอ...เดี๋ยวพรุ่งนี้จะปั่นนานขึ้น...จะปั่นให้เร็วขึ้นก็ได้” คนแก่กว่าต่อรอง ถ้าไม่ออกกำลังก็อาจจะได้นั่งดูโทรทัศน์ เล่นกับหมาหรือไม่ก็ดูคลิปตลกๆบนโซฟาด้วยกันเหมือนก่อนลดน้ำหนัก


“ช่วยไม่ได้นี่นะ ข้อจำกัดมันเยอะก็เหลือแต่ปั่นจักรยาน แต่อ้วนไม่ต้องรอพรุ่งนี้หรอก วันนี้แหละ อ้วนต้องปั่น”


“ปั่นตอนกลางคืนเหรอ”


“ใช่ ปั่นมันตอนเที่ยงคืนนี่แหละ เอาล่ะ ผมจะไปล้างจานนะ อ้วนจะไปทำอะไรก็ทำ ยกเว้นนอนอืดกับอาบน้ำ ถึงเวลาช่วยเปลี่ยนใส่รองเท้าผ้าใบด้วย เข้าใจไหม” คนอ่อนกว่าย้ำคำถือจานเดินเข้าครัวก่อนที่ทั้งเจ้าของห้องและสุนัขอีกสองตัวจะตามเข้าไปอัดอยู่ในครัวด้วย


“อ้วนไม่มีอะไรทำเหรอไง จะมาอยู่ในนี่ทำไม”


“ก็นาย...บอกว่า จะทำอะไรก็ทำ...ไม่ใช่เหรอ”


“ใช่ แต่มามองชาวบ้านล้างจานเนี่ยนะ”


“เปล่ามอง...เจ้าสองตัวนี้มันติดนาย...เลยมาอยู่กับมัน”


“อ้วนเอาเจ้าสองตัวนี้ออกไปเลย ผมล้างจานอยู่ เดี๋ยวเผลอเหยียบ”


สุดท้ายคนแก่กว่าก็จำใจอุ้มเจ้าหมาน้อยทั้งสองออกจากครัวพาไปเล่นในห้องนั่งเล่น พลางเปิดโทรทัศน์เปลี่ยนช่องหาสิ่งน่าสนใจก่อนจะเจอคนคุ้นเคยในวงการเพลงนั่งสัมภาษณ์ในรายการหนึ่งเลยหยุดดูอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าสู่โหมดคำถามเรื่องแฟนกับสเป็กซึ่งเป็นคำถามยอดฮิตที่ทุกคนในวงการต้องถูกถาม


ครั้งหนึ่งเขาเคยไปออกรายการที่ถ่ายทอดผ่านแอพพลิเคชั่นหนึ่งในมือถือร่วมกับคนที่ล้างจาน มีคำถามจากแฟนคลับถามว่า หมอนั่นมีแฟนหรือยัง ตอนนั้นเขาจำได้ว่า ตัวเองไม่กล้าหันไปมองเพราะลุ้นคำตอบ แต่อีกฝ่ายอึกอักอยู่สองวิถึงตอบไม่มี


...ไอ้อาการอึกอักก่อนตอบและบอกว่าพนันได้โดยทั่วไปเป็นอาการของคนที่ปกปิดบางอย่าง...


แล้วไหนจะตอนที่ถามเรื่องสเป็กอีก คำตอบที่ว่า ไม่ชอบคนจู้จี้และชอบคนที่เหมือนแม่ตัวเองกับแม่ของเขา ชอบดูแล ใส่ใจ อ่อนโยน เรียบร้อย ชอบทำอาหารอยู่บ้านและไม่ชอบเที่ยวกลางคืน มันเป็นรายละเอียดที่เจาะจงถึงใครคนหนึ่งยิ่งกว่าตอนเขาบอกว่า ชอบคนสบายๆลุยๆที่ดูดีในชุดวอร์มซะอีก


...แต่หมอนั่นไม่เคยบอกหรือแสดงออกว่า มีใครอยู่ในใจเลย...


“ผมไม่มีสเป็กหรอกครับ ผมเคยได้ยินจากพี่ที่แต่งงานไปแล้วเขาบอกว่า เราอาจจะวาดคนที่เราจะชอบไว้ในใจ แต่เอาเข้าจริงเวลาที่เราเจอใครสักคนที่เรารักจริงๆ เราจะมีข้อยกเว้นทุกอย่างให้กับคนๆนั้น” เสียงในโทรทัศน์ทำให้คนเหม่อเล่นกับหมาอยู่หันไปมอง


...ใครสักคนที่เป็นข้อยกเว้นของทุกอย่าง...


...ใครคนนั้นเขาก็มีเหมือนกันนะ...


คนล้างจานเสร็จเดินสำรวจความสะอาดของบ้าน...ตอนที่เขามาอาศัยแรกๆ เวลาเดินในนี้เท้ามักมีฝุ่นติดเสมอ แต่หลังๆส่วนไหนที่อยู่นอกห้องนอนเจ้าของบ้านกลับสะอาดชนิดที่เขาไม่เคยต้องเหนื่อยทำ


“อ้วนถูพื้นเหรอ”


“ห๊ะ...เออ” คนถูกถามละสายตากลับมาตอบ


“ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าซักผ้าให้ ผมจะทำความสะอาดบ้านเอง”


“ขนเจ้าเนยมันร่วง” เขาพูดถึงหมาปอมสีขาวที่กำลังงับของเล่นอยู่ตรงเท้า


“ก็ไม่เป็นไรนี้ แค่นั้นรอผมมากวาดก็ได้” 


“ไม่อยากฟัง...นายบ่น” 


“ผมเคยบ่นด้วยเหรอ”


“ก็เผื่อว่า...จะบ่น”


“ใส่ร้ายอ่ะ...แต่ก็ขอบคุณอ้วนนะที่ทำให้” จูยองบอกมองคนที่อยู่บนพื้นครู่หนึ่งเหมือนรู้อะไรบางอย่างแต่เลือกจะไม่พูด หันหลังไปหยิบหมอนกับผ้าห่มตรงชั้นที่เป็นพื้นที่เก็บของของเขามาวางเตรียมไว้ตรงโซฟา ความจริงที่นี่มีสองห้องนอนแต่ก่อนเขาจะมาค้างห้องหนึ่งถูกดัดแปลงเป็นสตูดิโอทำเพลงไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนอีกห้องก็ล้นไปด้วยข้าวของถึงแม้จะมีตู้เก็บก็ยังไม่พอ พื้นที่โล่งหนึ่งเดียวในนั้นมีแค่เตียงนอนที่แค่เจ้าของห้องไสตัวลงไปก็เต็มแล้ว เขาเลยยึดโซฟาเป็นที่นอน


“อะไร” อยู่ๆคนอ่อนกว่าก็อุ้มชิวาว่ามายืนค้ำหัว


“ไปได้แล้ว”


“ไปไหน”


“ออกกำลังกายไง”


“ครึ่งชั่วโมง...แล้วเหรอ”


“อีกสิบนาที แต่เดินลงไปข้างล่างนั้นก็ครึ่งชั่วโมงพอดี”


“ขี้เกียจอ่ะ”


“ไม่ต้องเลย”


“อา...ไม่อยากไป”


“ไม่อยากไปเหรอ”


“อืม”


“แน่ใจ”

“อืม”


คราวนี้คนตัวสูงกว่าวางหมาลงกับพื้นกอดอกมองอีกฝ่ายนิ่งพักหนึ่งก็เริ่มขยับตัวก้มลงไปนั่งยองๆยื่นหน้าไปใกล้ ฝ่ายที่ก้มเล่นกับหมาบนตักเงยหน้ากระพริบตาปริบมองคนที่เอาหน้ามาใกล้ลมหายใจรดกันเสี้ยววินาทีก็เอนหัวกระเถิบตัวหนี


“อ้วนอยากออกกำลังแบบที่ไม่ต้องออกไปข้างนอกและไม่เสียงดังด้วยใช่ไหม” คำถามนั้นมาพร้อมกับการขยับตามคนที่ถอยหนีไปอย่างไม่ลดละ สุดท้ายพอหลังแตะกับผนังห้องเจ้าตัวก็ต้องหยุดเพราะสุดทางจะหนีเลยได้แต่หดคอมองคนที่รุกคืบยื่นมือเท้ากับกำแพงและก้มหน้าเข้ามาหาในระยะประชิด


“ที่จริงมันมีวิธีหนึ่งที่ไม่ต้องออกไปข้างนอก เสียงพื้นไม่ดัง แต่มันต้องใช้สารหล่อลื่น  อ้วนอาจจะร้องเสียงดังและมีเลือดออก อ้วนจะเอาแบบนั้นเหรอ”

ดวงหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มตรงมุมปากผสมกับจิวสีเงินที่เจาะอยู่ตรงปลายคิ้วและผมสีทองทำให้อีกฝ่ายดูร้ายและเจ้าเล่ห์กว่าเวลาปกติ เล่นเอาคนแก่กว่าถึงกับกลอกตาให้กับถ้อยความสองแง่สามง่ามที่ส่อเหลือเกินว่าจะเป็นเรื่องบนเตียงของผู้ใหญ่


“เป็น...บ้า...เหรอวะ”  

“ดูใกล้ๆนี่ผิวเนียนดีนะอ้วนเนี่ย”

“ห๊ะ”

“ถ้ามีรอยหรือเลือดออกล่ะ”

“พูดอะไรเนี่ย”

“เป็นจ้ำทั้งตัวคนจะว่ายังไงนะ”

“ฉันแก่กว่านะ...มาพูดแบบนี้...ได้ไง เดี๋ยวต่อยเลย”

“ก็เพราะแก่ไงถึงคิดว่าเหมาะกับเรื่องแบบนี้”

“ทะลึ่ง”

“ผมแค่จะโทรเรียกหมอแผนจีนที่รับงานกะดึกมาฝังเข็มสลายไขมันนี่ทะลึ่งตรงไหนวะ” คนอ่อนกว่าถามด้วยแววตาเป็นประกายและรอยยิ้มกว้างทำหน้าทะเล้นทำให้รู้ตัวว่าถูกแกล้ง

“ถีบซะดีไหม”

“อะไร  อ้วนจะถีบเหรอ เรื่องแค่นี้จะถีบเลยเหรอ แต่ก็นะ เมื่อกี้อ้วนโครตตลกเลย” พูดแล้วร่างสูงก็ขยับถอยไปนั่งหัวเราะท้องคัดท้องแข็งอยู่บนพื้นพร้อมกับหมาที่เข้ามาเลียหน้าก่อนจะเห็นอีกคนชูนิ้วกลางให้แทนคำพูด

“อ้าว แจกฟักใส่เฉย ก็อ้วนไม่ยอมปั่นจักรยาน ผมก็อุตส่าห์หาวิธีลดน้ำหนักแบบที่ไม่เดือดร้อนความขี้เกียจหรือใครให้นะ”

“ไม่ต้องแล้ว” ดงริมว่าจ้องหน้าคนที่ยังไม่หยุดหัวเราะผ่านแว่นสายตาเขม็งรู้สึกว่าถูกทำเกินไป ใบหน้ายังราบเรียบแต่ริมฝีปากข้างหนึ่งกระตุกขึ้นก่อนจะลุกพรวดจากพื้นเดินไปใส่รองเท้าผ้าใบที่หน้าประตู

ถึงสีหน้าและท่าทางจะเหมือนปกติแต่นาทีนั้นจูยองรู้ได้ในทันทีถึงความรู้สึกของอีกคนจึงลุกจากพื้นคว้าเสื้อหนาวเหลือบมองกุญแจไขตัวล็อกจักรยานที่ยังแขวนอยู่ก็หยิบมาด้วยแล้วเดินตามหลังคนที่ใส่รองเท้าผ้าใบเตรียมออกไปข้างนอก

“อ้วน”

“อะไร” น้ำเสียงที่ยังคงเดิมแต่แววกระแทกในตอนท้ายที่โผล่มาเล็กน้อยนั้น ถ้าไม่ตั้งใจฟังจะไม่รู้และผ่านเลยไปแต่ไม่ใช่กับคนที่ยืนซ้อนหลังอยู่ตรงประตู

“จะไปไหน”

“ปั่นจักรยาน”

“จะไปทั้งที่ไม่เอากุญแจล็อกรถไปด้วยเนี่ยนะ”  เสียงจากด้านหลังถามทำให้ต้องหันกลับไปตั้งท่าจะเดินผ่านไปหยิบกุญแจแต่อีกคนก็ขวางพลางชูกุญแจไว้ให้เห็น “ผมเอามาให้แล้ว”

“ขอบใจ”ปากบอกไปทั้งที่ไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น มือคว้ากุญแจนั้นมาถือไว้ก่อนเปิดประตูเดินดุ่มไปตามทางผ่านหน้าประตูห้องพักที่เรียงรายลงบันไดออกไปยังด้านหลังหอที่ใช้เป็นลานจอดรถ ปลดล็อกยกจักรยานที่อยู่ในช่องจอดออกมาโดยไม่ได้สนใจคนข้างหลังที่ล็อกห้องและตามลงมาแบบเงียบๆ

“จักรยานอ้วนเหมือนล้อมันเบี้ยวเลยนะ” ความเงียบที่กินเวลามาหลายสิบนาทีถูกทำลายลงด้วยการถาม แต่คนอายุมากกว่าทำไม่ได้ยินปั่นจักรยานตรงไปยังสนามที่อยู่ห่างจากด้านหลังของหอพักไปไม่ไกล ค่อยๆเพิ่มความเร็วในการปั่นปล่อยลมเย็นให้แล่นปะทะกายเพื่ออารมณ์ที่ร้อนอยู่จะเย็นลงบ้าง

จากที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินตามหลังจูยองเริ่มเร่งฝีเท้าออกวิ่งตามอย่างไม่ลดละขณะจ้องล้อหลังของจักรยานที่ดูจะเคลื่อนออกจากเฟรมจักรยานทีละน้อยในทุกครั้งที่ปั่น  

แรงขับเคลื่อนจากการปั่นทำให้ตอนที่จักรยานเลียบไปกับแปลงดอกไม้ล้อหลังเกิดสะบัดชนเข้ากับขอบปูน แรงกระแทกนั้นส่งผลให้แกนปลดไวที่ยึดล้อกับเฟรมจักรยานหลุด คนปั่นเริ่มรู้สึกได้ถึงความโคลงเคลงของคล้ายมีชิ้นส่วนที่หลุดออกเลยกระโดดลงมาทันที

ดงริมหลับตาแน่นกดคางลงกับตัวต่ำเท่าที่จะทำได้พร้อมยกแขนทั้งสองข้างบังเพื่อให้ศีรษะถูกกระแทกน้อยที่สุด แต่แทนที่ตัวจะกระแทกพื้นกลับมีมือแข็งแรงของใครบางคนดึงเขาเข้ามากอดไว้ไม่ให้ล้ม ช่วงนาทีที่ทุกอย่างคล้ายหยุดนิ่งลงตาที่ปิดสนิทก็ลืมขึ้นมองถึงรู้ว่า ต้นเหตุที่ทำให้เขาโกรธเป็นคนเดียวกับที่ช่วยไม่ให้เขาเจ็บตัว

“อ้วนเป็นอะไรเปล่า เจ็บตรงไหนไหม” เสียงคุ้นเคยเอ่ยถามด้วยความกังวลก่อนจะเอนศีรษะออกห่างจากคนที่กอดเล็กน้อยเพื่อดวงตาคมกวาดไปทั่วตัวเพื่อมองหารอยแผลได้ถนัดจนแน่ใจว่าไม่มีก็ถอนหายใจมองหน้าซีดแทบไม่มีสีเลือดกับแว่นที่เอียงกะเท่เร่ก็ขยับให้เข้าที่แล้วยิ้มบาง “เจ้าอ้วนเอ๊ย”

“ห๊ะ” คนถูกว่าย่นหน้าผากหลุดปากออกมาได้เท่านั้น

“อ้วนไม่พอทำจักรยานพังอีก...”

คนอายุมากกว่าถูกว่าเข้าไปครั้งเดียวก็เหมือนสติกลับเข้าร่างเหลือบตามองคนที่ยิ้มระรื่นพลางกัดปาก มือจะยกขึ้นมาชูนิ้วใส่แต่ชะงักเพราะอีกคนพูดแทรก

“เฮ้ย อย่าแจกฟักผมนะ”

“ไอ้...” คำที่อยากจะด่าหลุดออกมาได้เท่านั้นก็นิ่ง

...เวลาที่คนเราอายุมากขึ้นข้อเสียอย่างหนึ่งที่ตามมาพร้อมวัยวุฒิคือการที่ไม่สามารถแสดงความรู้สึกด้านลบได้อย่างตรงไปตรงมา...

“ด่าสิ” คนตรงข้ามว่าพลางหัวเราะ “ผมเคยบอกอ้วนแล้วนะว่า เวลาไม่พอใจกันให้บอก มีอะไรในใจก็พูดตรงๆ กับคนอื่นผมก็เห็นอ้วนพูดได้นะแต่กับผมนี่ไม่ยอมพูด ไอ้ท่าปากกระตุกนิดหน่อยเวลาโกรธผมของอ้วนน่ะ ถ้าไม่ใช่ผม ก็ไม่มีใครเขาสังเกตกันหรอก แล้วเวลาโกรธหัดฟังคำเตือนผมด้วย นี่ดีนะวิ่งมาทัน ไม่งั้นอ้วนสมองไหลไปแล้ว”

ถ้อยความที่มีแววเอ็นดูมากกว่าจะโกรธในบางประโยคนั้นมีความหมายมากพอให้รู้ว่าเอาใจใส่ ดวงตาใสหลังแว่นเหลือบยังคนมีรอยยิ้มอยู่บนหน้าก่อนจะสัมผัสได้ถึงหลังมืออุ่นที่สัมผัสเบาบนข้างแก้ม

“ตัวเย็นจัง อ้วนแล้วยังจะหนาวอีกเหรอ...เอ้า ใส่นี้ไว้จะได้ไม่เป็นหวัด” แขนผอมแต่แข็งแรงทั้งสองข้างปล่อยร่างนุ่มหยุ่นที่กอดไว้เพื่อสะบัดเสื้อหนาวที่พาดอยู่บนไหล่คลุมหัวและตัวที่เตี้ยกว่าแล้วเอ่ยต่อ “รออยู่นี้ก่อนนะ ผมไปเก็บซากจักรยานอ้วนให้ก่อน”

บอกเสร็จร่างสูงก็ขยับเดินไปดูซากความเสียหายอยู่พักหนึ่งก็ตามเก็บจักรยานที่ทุกอย่างยังอยู่ดียกเว้นล้อหลังกับล้อที่กระจายไปอีกทาง ฝ่ายที่ถูกเสื้อคลุมหัวไว้มองคนที่ถูกแสงไฟทางสาดกระทบความร้อนที่เคยอยู่ในใจกระจายกลายเป็นฝุ่น

...ความละเอียดอ่อนที่แสดงออกทางการกระทำมากกว่าพูดทำให้อุ่นยิ่งกว่าเสื้อหนาวบนตัว...

“สภาพจักรยานเละขนาดนี้ วันนี้ผมยกผลประโยชน์ให้จำเลยไม่ต้องออกกำลังกายล่ะ” คนตัวสูงแบกจักรยานและล้อกลับมาว่า “ไว้พรุ่งนี้ตอนเช้าผมเอาจักรยานอ้วนไปให้เขาซ่อมเสร็จ ค่อยปั่นชดเชยของวันนี้ไปด้วยแล้วกัน แต่ก่อนปั่นกรุณาเช็กสภาพรถให้แน่ใจก่อนนะ สุ่มสี่สุ่มห้าปั่นแล้วชิ้นส่วนมันหลุดอีก ผมทำงานอยู่มาช่วยอ้วนไม่ได้นะ”

“รู้แล้ว”

“ดีที่รู้ แล้วเอาไง กลับห้องไหม”

“อืม” เสียงนั้นอยู่ในลำคอ ตาหลังแว่นใสจ้องแผ่นหลังของคนตัวสูงที่นำอยู่ข้างหน้าจนลืมมองทางเลยสะดุดชนเข้ากับอีกคนไปเต็มๆ

เจ้าของร่างสูงหันคอกลับมามองคนอายุมากกว่าที่หน้ากระแทกกับหลังตัวเองหลุดหัวเราะเบาแล้วยื่นมือข้างที่ว่างไปจับมืออีกคนไว้ดึงให้มาเดินข้างกัน

“แค่เดินยังจะล้มอีก...อะ...จับมือผมไว้ล่ะกันจะได้ไม่ล้ม”

นิ้วเรียวสวยสอดกระชับในร่องนิ้วของมือพร้อมกับความอุ่นที่ประทับลงมา จังหวะการก้าวเท้าไม่เร่งร้อนเช่นเดียวกับจังหวะหัวใจที่ลดระดับความเร็วลง คนที่แบกจักรยานไว้ในแขนข้างหนึ่งรับรู้ได้จึงเหยียดยิ้ม

...ระหว่างที่อยู่ด้วยกัน จังหวะการเต้นของหัวใจที่ผ่อนคลายสำหรับเขาสำคัญกว่าหัวใจที่เต้นแรง...

ทั้งสองคนเริ่มออกเดินเงียบๆไปด้วยกันโดยไม่พูดอะไรจนขึ้นมาถึงหน้าประตูห้อง มือของทั้งคู่ที่จับกันมาตลอดทางเลยมีอันต้องแยกจากกัน

ดงริมไขกุญแจประตูห้องหมายเลข 408 แล้วผลักเข้าไปด้านใน เจ้าเนยและเจ้าพะโล้ผงกหัวจากเบาะนอนขึ้นมามองทั้งสองคนพลางกระดิกหางให้สองสามทีก็ไหลหลับต่อ คนตัวสูงวางชิ้นส่วนจักรยานพิงกับผนังด้านหนึ่งในห้องนั่งเล่นแล้วร้องออกมา

“เฮ้อ หิวแฮะ”

“หิวก็หาอะไรกินสิ”

“ไม่เอาหรอก ดึกแล้ว”

“ผอมจะแย่...กินเข้าไป...ก็ไม่ได้อ้วนขึ้นหรอก”

“ขืนกิน เดี๋ยวมีคนตบะแตก...อาบน้ำ นอนเลยดีกว่า ผมขออาบน้ำก่อนนะ” ว่าแล้วก็หยิบเสื้อผ้าเดินหายเข้าห้องน้ำไปพักหนึ่งก็กลับออกมาในนั่งบนพื้นข้างคนที่นั่งดูโทรทัศน์สภาพสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีดำเผยให้เห็นรอยสักที่เต็มแขนข้างซ้าย

“เพลงที่ทำกับพี่ซานอีถึงไหนแล้ว” คนเพิ่งอาบน้ำเอ่ยถาม

“ก็เพิ่งเริ่ม”

“จะให้ช่วยฟังมั้ย”

“ยัง”

“คืนนี้จะทำต่อมะ”

“ไม่”

“งั้นก็อาบน้ำแล้วนอนซะนะ...เจ้าอ้วน” บอกพลางยื่นมือเรียวมาขยี้ผมจนคนแก่กว่าเหลือบตามองนิ่ง

“ไม่ใช่...เด็กนะ”

“ไม่ชอบเหรอ”

“ช่างเถอะ”

“เจ้าอ้วนเอ๊ย” คนตัวสูงกว่าเรียกอย่างเอ็นดู

“อะไร”

“เวลาไม่ชอบอะไรเห็นบอกกับคนอื่นตรงๆได้นิ แต่กับผมเวลาไม่พอใจกลับไม่พูด”

“ถ้ารู้...ว่าไม่ชอบ...ก็อย่าทำสิ”

“รู้แต่ถ้าไม่พูดแปลว่าทำได้”

“ถึงพูดไป...นายก็ไม่ทำหรอก”

“ก็พูดออกมาให้ฟังก่อนสิ บางอย่างนะถึงจะรู้อยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายอมพะนำไม่ยืนยันด้วยคำพูด จะให้ทำเป็นรู้ได้ยังไงล่ะ อ้วนน่ะมีอะไรในใจที่ไม่ยอมบอกผมอยู่ใช่ปะ ผมจะบอกอะไรให้นะ ไม่ว่าอ้วนจะพูดอะไร ต่อให้บอกว่า เกลียด ผมก็ไม่เกลียดตอบหรอก เพราะงั้นมีอะไรก็บอก คนรอฟังเขาอยากได้ยิน”

ครั้งนี้จูยองละสายตาจากภาพในโทรทัศน์หันมาหา ใบหน้ายังเรียบเฉยทว่านัยน์ตาคมจ้องลึกลงมายังดวงตาหลังแว่นนั้นจริงจังสื่อความสำคัญในทุกประโยคที่เอ่ย

...บางทีมันอาจถึงเวลาที่จะใบ้อะไรให้คนบื้อเข้าใจสักหน่อย...

ดงริมฟังคำของอีกฝ่ายพลางกระพริบตาปริบพยายามจะคิดแต่ระบบประมวลผลในสมองยังไม่เข้าใจ

“นายหมายถึง...”


“คิดไม่ทันเหรอ”


“เออะ”


“ที่ทำดีกับผมทุกวันเนี่ยทำกับทุกคนเหรอ”


“ยังไงนะ”


“เกลียดไม่ใช่เหรอเรื่องทำความสะอาดนะ ไม่ชอบชื่อที่ผมเรียกด้วยไม่ใช่เหรอ ของที่ผมชอบก็เผลอซื้อมาอยู่เรื่อยเลยนิ เวลาที่ส่งคาทกหรือข้อความมาหาก็ตอบไวตลอดแล้วที่ไปนั่งหน้าประตูก็รออยู่ใช่ไหมล่ะ”

“อา”


“ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ” 


“ก็พูด...ให้เข้าใจสิ”


“อย่างที่พี่ซองฮวาพูดในโทรทัศน์น่ะ...ใครที่เป็นข้อยกเว้นทุกอย่างของอ้วนล่ะ”

“ห๊ะ”


“ฮ่าๆ เออ คิดไม่ทันก็ช่างเถอะ กะอีแค่รอ ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว” คนหน้าตายหลุดหัวเราะแล้วโบกมือไล่ “ไป อ้วน ไปอาบน้ำนอนได้ล่ะ”


“อืม” อีกฝ่ายลุกจากพื้นที่นั่งอยู่เดินเข้าห้องที่เต็มไปด้วยข้าวของแต่เป็นระเบียบกว่าเมื่อก่อนเพราะคนมาอาศัยด้วยเป็นบางทีซื้อกล่องกับต่อชั้นให้วางของ หยิบเสื้อผ้าเข้าไปอาบน้ำ ขณะที่เช็ดผมด้วยผ้าจนหมาดในหัวก็ยังใคร่ครวญถึงคำพูดของคนร่วมห้อง


‘เกลียดไม่ใช่เหรอเรื่องทำความสะอาดนะ

ไม่ชอบชื่อที่ผมเรียกด้วยไม่ใช่เหรอ

ของที่ผมชอบผมใช้ก็เผลอซื้อมาเรื่อยเลยนิ


เวลาที่ส่งคาทกหรือข้อความมาหาก็ตอบไวตลอด

ที่ไปนั่งหน้าประตูก็รออยู่ใช่ไหมล่ะ’


...เดี๋ยวนะ...


...ที่พูดมาทั้งหมดนั้น...


...ไม่ใช่ว่ารู้หมดทุกอย่างอยู่แล้วเหรอ...


“เฮ้ยยยยยยยยยยย” คิดได้ถึงตรงนั้นริมฝีปากก็หลุดร้องลั่น แข้งขาเหมือนอ่อนจนไถลลงไปนั่งกับพื้นกระเบื้อง กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงไขประตูห้องน้ำพร้อมกับใครอีกคนที่ถลาเข้ามาหาอย่างรีบร้อนเพราะคิดว่าล้ม


เพราะไม่ได้สวมแว่นตาทำให้ทุกที่ปรากฏแก่สายตาพร่าเลือน หากก็แปลกที่ดวงหน้าของคนตัวสูงที่ยื่นมาใกล้กลับชัดเจนในความทรงจำจนไม่จำเป็นต้องมีแว่นก็รู้ได้ว่า สีหน้าในตอนนี้เป็นอย่างไร และนั่นทำให้หน้าขาวจัดกลายเป็นสีแดงลามไปถึงหู


“อ้วนเป็นไร...หกล้มเหรอ” เสียงนุ่มถาม มือเรียวยื่นมาจับที่แขนแล้วขยับมาทาบที่หน้าผาก “ตัวก็ไม่เห็นร้อนทำไมหน้าแดงตัวแดงไปหมดงี้อ่ะ”


“หวายยยยยยยยยย” เสียงร้องดังขึ้นพร้อมกับมือไม้ที่ปัดฝ่ายตรงข้ามออกอย่างเงอะงะก่อนที่คนสายตาสั้นจะก้มหน้าซุกกับเข่าปล่อยผ้าเช็ดตัวคลุมปิดหัวและยกมือทั้งสองข้างปิดหู


...หัวใจกำลังเต้นรัวแทบไม่เป็นจังหวะ เร็วเสียยิ่งกว่าตอนแรปซะอีก..


“อย่าแตะ”


“แตะไม่ได้อีก เป็นอะไรเนี่ย”


“ไม่ได้เป็น”


“ไม่ได้เป็นแล้วไปนั่งบนพื้นทำไม”


“อย่าเพิ่งยุ่ง”


“อะไร...คนเป็นห่วงมาว่า ยุ่งอีก”


“กำลัง...ใช้ความคิด...ขออยู่...คนเดียวได้ไหม”


“อ้อ ไม่ได้ล้มแต่กำลังคิดนี่เอง ไอเดียเพลงกำลังพุ่งดิ โอเค งั้นไม่กวนแล้ว อ้วนจะได้ใช้ความคิดไป แต่อย่าร้องเสียงดังอีกล่ะ คนนอนๆอยู่ตกใจหมด” อีกฝ่ายว่าพลางพยักหน้าเหมือนเข้าใจดีก่อนจะลุกจากพื้นยืนมองแว่นสายตาที่วางอยู่บนขอบอ่างล้างหน้า


“ผมเอาแว่นตาอ้วนเสียบตรงคอเสื้อให้ จะได้ไม่ต้องคลำหาจนล้มจริงๆอีก”


ดงริมนั่งซุกหน้านิ่งไม่ตอบหรือขานอะไรสักคำปล่อยให้มือเรียวเสียบแว่นไว้กับคอเสื้อด้านข้าง ยินเสียงอีกคนขยับตัวเกาะประตูห้องน้ำมือของเขาก็ยื่นไปคว้าชายเสื้ออีกคนไว้อัตโนมัติ


“เอ้า ไรอีกล่ะ”


“กระจก”


“ห๊ะ...อะไรนะ”


“ส่องกระจก”


“ส่องกระจก...ส่องทำไม”


“คำตอบ...อยู่ในกระจก”


“คำตอบ”


จูยองทวนคำแล้วขมวดคิ้วยังคงไม่เข้าใจความหมายที่คนบนพื้นต้องการสื่อสารแต่ก็ยอมมองไปบนกระจกเหนืออ่างล้างหน้าแลเงาสะท้อนของตัวเองที่ปรากฏขึ้นมา


“ก็ไม่เห็นจะ...” ถ้อยคำชะงักงันไปในนาทีที่จดจำเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้


...คนที่เป็นข้อยกเว้นทุกอย่างคือคนที่สะท้อนอยู่ในกระจก...


รอยยิ้มของคนตัวสูงผุดพรายทั่วหน้าเกือบจะหัวเราะออกมาแต่จำต้องเม้มริมฝีปากเก็บอาการมันไว้และแกล้งทำเหมือนไม่รู้เรื่องเอ่ยปากถามออกไปอีก


“ไหนอ่ะ ไม่เห็นมีอะไรเลย”

เจ้าของห้องที่หลับตาซบอยู่ตรงเข่าลุ้นว่าอีกคนจะพูดยังไงถ้ารู้ว่าใครคนนั้นที่เขาเอ่ยถึงคือใคร ทว่าพอได้ยินคำถามจากคนร่วมห้องก็ผงกหัวเงยหน้าจ้องคนที่ย่นหน้าผากเหมือนไม่เข้าใจสิ่งที่สื่อ

“ไม่เข้าใจเหรอ”

“ไม่อ่ะ”

“จริงเหรอ”

“อืม”

“คิดอีกหน่อยสิ”

“เออ” อีกคนลูบคางทำท่าคิด “อืม...คิดตอนง่วงๆผมคิดไม่ออกหรอก”

“ง่วงนัก...ก็ไปนอนเลยไป” คำตอบชวนผิดหวังทำให้เอ่ยปากไล่และซบหน้ากลับไปที่เข่าใหม่

“อา ถ้าอ้วนไม่มีอะไรแล้ว ผมไปนอนล่ะนะ” บอกจบก็แกล้งเดินย่ำเท้าเหมือนออกไปจากห้องน้ำแล้ว ตาคมมองร่างที่ห่อตัวเองเหมือนลูกบอลกลมๆเงียบๆก็ก้มลงไปนั่งอยู่ข้างๆ

“บื้อ...” เสียงอู้อี้นั้นลอดออกมา “ฉลาดทุกเรื่อง...มาบื้องี้ได้ไง”

“ก็บอกแล้วไง...ถึงรู้แต่ไม่พูดก็จะทำไม่รู้”

“จะให้พูดอะไรอีก ก็พูดไป...” คนอายุมากกว่าเงยหน้ามาตอบเสียงนั้นอย่างลืมตัว พอเห็นเค้าลางใบหน้าของอีกคนยังอยู่ก็อุทานลั่น “เฮ้ยยยยยยย ยังไม่ออกไปอีก”


“พูดสิ”


“พูดไร” ถามกลับทำท่าจะมุดหน้าหนีอีกเลยถูกมือแข็งคว้าแขนทั้งสองข้างไว้ให้เผชิญหน้ากันต่อ

“คนที่เป็นข้อยกเว้นทุกอย่างของอ้วนนะ...คนนั้นมันใครเหรอ”


 “ง่าส์”


ดงริมกัดฟันร้องออกมาในลำคอ ดวงหน้าขาวที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงจัดเหมือนจะสุก ทั้งที่เห็นคนตรงหน้าไม่ชัดเพราะขาดแว่นสายตาแต่ก็อายเกินกว่าจะทนได้เลยก้มหน้าปิดตาแน่น จูยองมองอาการนั้นด้วยรอยยิ้มกว้างรู้สึกได้ว่า ตอนนี้แหละที่หน้าเด็กดูน่ารักที่สุด 


“จะไม่พูดดิ” 


“รู้แล้ว...จะให้พูด...อีกทำไม”


“ไม่...ผมไม่รู้หรอก อ้วนพูดมาสิ” 


“งะ ง่า เง้อ งื้อ โงยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” เสียงร้องหลุดจากปากไม่เป็นภาษา ความร้อนที่อัดแน่นอยู่ในตัวและทั่วร่างกายนั้นเหมือนตัวกำลังจะแตก ไม่กล้าจะลืมตามองเลยไม่รู้ว่า อีกคนยิ้มให้ตนเองอ่อนโยนเพียงใด


คนตัวสูงเลียริมฝีปากเฝ้ามองท่าทางประหลาดเหมือนเด็กมีปัญหาทั้งที่อายุมากกว่าหลายปีอยู่หลายนาทีก่อนจะหัวเราะและปล่อยแขนอีกคนเป็นอิสระแล้วเอื้อมมือไปลูบผมที่เริ่มแห้งนั้นอย่างเอ็นดู


“เอาเถอะ ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ผมก็บอกอ้วนแล้วว่า รอได้”


“ไม่ต้องพูด...ไม่ได้เหรอ” เสียงอ่อนนั้นต่อรอง


“555 ไม่ได้”


“นายก็...ไม่เห็นพูด”


“เรื่องอะไรล่ะ”


“คนที่เป็น...ข้อยกเว้น...ของนายไง”


“ก็ไม่ถามนิ”

“ถ้าถามล่ะ”


“ไม่บอกหรอกเพราะเจ้าตัวเขาไม่ยอมพูดออกมาก่อน ขนาดขยั้นขยอให้พูดอยู่ตรงนี้ยังไม่พูดเลย”


“งะ” เจ้าของห้องหลุดออกมาได้เท่านั้นก็เหมือนสมองตีบตันคิดอะไรไม่ออก มือกำแล้วคลายด้วยรู้แล้วว่า อีกคนหมายถึงใคร


“แต่วันนี้ถือว่าเขาพยายามได้ดี ตบรางวัลให้ละกัน” คนตัวสูงบอกยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนที่หลับตาแน่นแล้วจรดริมฝีปากบางลงบนขมับเบาๆ   



“ไปนอนแล้ว...ฝันดีนะอ้วน” ประโยคบอกลากระซิบแผ่วข้างหูที่มาพร้อมกลิ่นหอมจางยิ่งนั้นแม้ได้ยินเสียงประตูห้องน้ำปิดลงก็ยังไม่กล้าลืมตา เสียงหัวใจเต้นดังอื้ออึ้งประหนึ่งว่าเผชิญหน้าอยู่กับศัตรูทั้งสนามพร้อมกับมือที่ป่ายปัดเรือนผมของตัวเองจนไม่เป็นรูปทรงสุดท้ายก็ไถลตัวลงไปนอนอยู่บนพื้นกระเบื้อง ในหัวมีคำถามที่ดังก้องอยู่เพียงว่า



...แล้วพรุ่งนี้จะมองหน้าโดยไม่เป็นลมได้ยังไง..
 



You Might Also Like

0 Comments