LOVE TOXICAL : WONSAM CHAPTER 12

06:08



กลิ่นหอมของขนมปังปิ้งที่ลอยอวลไปทั่วทั้งห้องปลุกให้ชายหนุ่มที่นอนหลับอยู่บนพื้นมีผ้าห่มคลุมตัวรู้สึกตัวตื่น กวังมินหรี่ตาขึ้นทีละน้อยเพื่อปรับสายตาให้คุ้นกับแดดอ่อนที่ทอผ่านหน้าต่างบานใหญ่ในห้องนั่งเล่นก่อนจะมองใบหน้าครึ่งบนของแจวอนที่ยังหลับสนิทอยู่ชั่วนาทีก็เปลี่ยนท่าขึ้นมานั่งเกาหัว


เด็กผู้ชายคนที่เขาจำได้ว่าเป็นลูกชายของเจ้านายแม่เพื่อนหอบกระปุกแยมและเนยถั่วรวมทั้งจานออกมาวางบนโต๊ะหน้าห้องครัว ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นมาสบกับคนที่เพิ่งตื่นเพียงครู่ก็ก้มไปดังเก่า ไม่มีแม้กระทั่งรอยยิ้มทำให้อีกฝ่ายย่นหน้าผากพลางขยับเท้าที่มีผ้าปิดอยู่ไปมาสักพักจึงลุกขึ้นยืนแล้วก้าวไปหาทั้งที่รู้สึกเจ็บแปลบที่ฝ่าเท้า

“ให้ช่วยไหม” คำถามห้วนๆดังขึ้นทำให้คนที่กำลังปาดแยมสตอเบอรี่บนขนมปังเงยหน้าไปหาก็เห็นรอยยิ้มกว้างอยู่บนใบหน้ากวนๆที่มีจิวสีเงินเจาะห่างจากริมฝีปาก


“ทำเป็นเหรอครับ”


“แค่ทาขนมปัง ทำไม่เป็นก็แย่แล้ว” ฝ่ายอายุมากกว่าตอบกลับพร้อมหัวเราะตามประสา มองตาคนเด็กกว่าที่ยังยืนนิ่งเหมือนไม่เชื่อในคำพูดกันแต่สักพักก็ดันจานขนมปังปิ้งเปล่ากับมีดปาดขนมปังที่เปื้อนเนยถั่วไปหาและกลับมาทาแยมต่อ


กวังมินทอดสายตาไปยังเพื่อนที่คนหนึ่งหลับบนโซฟาอีกคนหลับบนพื้นแล้วปาดเนยถั่วลงบนขนมปังพลางเหลือบมองคนข้างๆที่สวมชุดนักเรียนเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวผูกไทด์สีกรมท่าทับด้วยเสื้อแขนสั้นสีเดียวกันซึ่งดูเหมือนเด็กผู้ชายมากกว่าเมื่อวาน

“ตื่นเช้าจัง” สุดท้ายคนอายุมากกว่าก็ตัดสินใจเริ่มบทสนทนาทำลายความเงียบ


“ครับ” เมื่อถูกถามอีกคนก็ตอบรับ


“ตื่นเช้าทุกวันแบบนี้เลยเหรอ"



"เคยตื่นสายแบบคนอื่นเขาบ้างปะ"



"ไม่เคยครับ...ผมคิดว่าการตื่นเช้ามันดีกว่าการตื่นสาย วันๆหนึ่งเวลามันน้อย ถ้าตื่นสายก็ไม่ได้ทำอะไรกันพอดี"


“ฮู้ย...ฟังแล้วเหมือนโดนหลอกด่าเลยอ่ะ” คนที่ติดนิสัยพูดอะไรตามใจตัวเองว่าเหล่มองความนิ่งที่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองตอบต่อคำพูดตัวเองอยู่พักนึงก็เอ่ยต่อ “เกลียดแจวอนมันเหรอ”


คนตัวเล็กกว่าไม่ตอบยังคงปาดแยมลงบนขนมปังเหมือนใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เงยหน้าไปหาอีกคนใหม่แล้วเลิกคิ้วทั้งสองข้างคล้ายจะถามและสงสัยอยู่ในที


“แจวอนมันหล่อออกนะ ยิ้มก็เก่งหัวเราะก็ง่าย โกรธใครไม่เป็น อยู่ใกล้ๆสบายใจออกนะ” อีกฝ่ายบรรยายสรรพคุณเพื่อนด้วยรอยยิ้ม ตั้งแต่คบหาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัย  ถึงแจวอนจะไม่ค่อยเล่าเรื่องตัวเองแต่ก็สนิทกันได้เพราะความไปไหนไปกันไม่เคยบ่นอะไรเอาแต่ยิ้มตลอดนั้นแหละ


“เป็นเพื่อนกันมานานแล้วเหรอครับ” อยู่ๆฝ่ายที่เอาแต่ตอบอย่างเดียวกลับเริ่มถามทำให้คนข้างๆไม่ทันตั้งใจฟัง

“ห๊ะ”


“เป็นเพื่อนกันน่ะครับ...นานหรือยัง”


“ก็ตั้งแต่เข้ามหาลัย”


“อ้อ” ลากเสียงในคอเท่านั้นก็ก้มหน้ากลับไปหาขนมปังใหม่จดจ่ออยู่บนแยมตรงหน้าแล้วพูดอีก “ผมไม่ได้เกลียดพี่เขานะครับ”


“แต่มันบอกว่า นายไม่ชอบคุยกับมัน”


“ไม่ชอบคุยด้วย ไม่ได้แปลว่าเกลียดนี่ครับ”


“คงงั้นเพราะถ้าเกลียดคงไม่มาลำบากทำข้าวเช้าให้มันกินทุกวันหรอก...”


“ผมทำกินเองอยู่แล้วก็เลยทำเผื่อ อา ขนมปังเก้าแผ่นนี้พวกพี่สามคนกินกันพอไหมครับ”


“อา...นี่ทำให้พวกพี่เหรอ”


“ครับ พอพวกพี่ตื่นขึ้นมามีอะไรให้กินอิ่มๆจะได้รีบไปเรียนกัน” คนเด็กกว่าหยิบมีดปาดเนยสองด้ามพร้อมขวดแยมและเนยถั่ววางลงบนจานเปล่าแล้วกวาดเศษขนมปังที่ร่วงบนโต๊ะลงมาด้วย


“โอ๊ย เจ็บขนาดนี้ไปเรียนไม่ไหวหรอก” ฝ่ายไม่ค่อยจะเข้าเรียนก็สอบผ่านเสมอร้อง


“ถ้าเจาะปากได้ แค่แผลที่เท้าไม่น่าเจ็บขนาดไปเรียนไม่ได้หรอกมั่งครับ”


“เอาเท้ามาเทียบกับหน้าได้ไงเล่า หน้ามันไม่ได้โดนเหยียบตอนเดินตลอดนิ”


“แต่เมื่อวานก็เอาหน้าไปเขาเหยียบมาไม่ใช่เหรอครับ”  ประโยคคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งกลับทำให้คนฟังแทบสะอึกอากาศหันควับกลับมามองแทบทันที


“โห...แรงนะเนี่ย พูดกับผู้ใหญ่แบบนี้ไม่ดีนะรู้ปะ”


“ผู้ใหญ่จริงๆเขาคงไม่พากันกินเหล้าแล้ววิวาทไปทั่วจนเจ็บตัวมาหรอกครับ”


“พวกพี่ไม่ได้เป็นคนเริ่มนะ พวกแม่งเอาตีนมาถีบก่อนพวกพี่ก็ต้องป้องกันตัวปะ”


“ก็แค่พวกพี่แยกย้ายกันกลับบ้านก็ไม่มีเรื่องแล้วล่ะครับ”


“คนเรามันก็มีเรื่องเครียดนะ จะให้กลับบ้านไปเครียดคนเดียวหัวระเบิดตาย”


“เครียดแล้วไปเล่นกีฬาแทนไม่ได้เหรอครับ”


คนอายุมากกว่าเริ่มคิ้วกระตุก การที่เด็กอายุน้อยกว่าตัวเองทำท่าทางไม่สนใจแม้แต่จะมองเขาที่โตกว่า รวมทั้งน้ำเสียงเรียบเฉยที่ใช้ในการตอบโต้เหมือนจะปืนเกลียวกันอยู่ทำให้คนขี้รำคาญเริ่มหงุดหงิด


“พูดไปเด็กอย่างนายก็ไม่เข้าใจหรอก”


“ผู้ใหญ่อย่างพี่ก็ไม่น่าทำความเข้าใจอยู่แล้วล่ะครับ”


คราวนี้กวังมินอ้าปากค้างจ้องเด็กที่อยู่ข้างๆตาแข็งเริ่มรู้สึกได้ว่าหน้าตัวเองกำลังร้อนเพราะความโกรธแต่ยังพยายามคุมตัวเองให้หัวเราะออกมาทั้งที่แววตาและสีหน้าแสนกระด้าง ช่วงเวลาที่ไม่รู้ว่าจะพูดตอบโต้อะไรออกไป โทรศัพท์มือถือที่สั่นไม่หยุดอยู่ในกระเป๋าก็เข้ามาขัดพอดิบพอดี


“อะไร...ใครโทรตาม ยุนกิมันโทรหา ฉิบหายแล้ว มันนัดไปถ่ายหนังสั้นตอนเก้าโมงนี่หว่า แล้วมึงอยู่ไหน ขับรถมารอแถวบ้านแจวอน มึงรู้ได้ไงวะว่าบ้านแม่งอยู่ไหน เช็กพิกัดในมือถือ เออๆ เดี๋ยวกูรีบไป ขอปลุกพวกแม่งก่อน” บทสนทนาตอบโต้จบลงอย่างรวดเร็วก่อนที่เจ้าของโทรศัพท์จะเก็บมันลงกระเป๋าขณะเลื่อนตัวพ้นจากโต๊ะกระโจนไปปลุกเพื่อนที่นอนบนโซฟา


มินซิกส่งเสียงออกมาจากใต้ผ้าห่มด้วยอาการงัวเงียและปวดไปทั้งตัวรวมถึงหัว เมื่อโดนเพื่อนดึงแขนให้ลุกก็ลุกขึ้นตามแต่สักพักก็ล้มลงไปนอนใหม่เป็นอย่างนั้นอยู่จนโดนมือตบรัวๆแบบไม่แรงนักเข้าตรงหน้าอยู่หลายนาทีนั้นล่ะถึงตื่นลืมตาขึ้นมาได้


“โอ๊ย หัวกู” คนถูกปลุกร้องยกมือทั้งสองข้างกุมขมับแล้วกระพริบตามองก็เห็นห้องที่ไม่คุ้นเคยอยู่ตรงหน้าก่อนจะหันไปหาเพื่อนตัวเองที่พยายามเขย่าร่างคนที่นอนซุกทั้งตัวอยู่ในผ้าห่มอย่างบ้าคลั่งแต่ฝ่ายนั้นก็ไม่มีทีท่าจะตื่น


“นี่ที่ไหนเนี่ย”


“บ้านแจวอนมัน”


“บ้านมันเหรอ...กูมาอยู่บ้านแม่งได้ไงวะ” คนเมาค้างย่นหน้าผากเหมือนจำเหตุการณ์เมื่อวานไม่ได้

“เรื่องนั้นอย่าเพิ่งถาม มาช่วยกูปลุกไอ้ห่าแจวอนมันก่อน หลับหรือไหลตายวะไอ้เหี้ย ต้องกระทืบก่อนไหมถึงจะตื่น”


“ตอนนี้กี่โมงอ่ะ”


“แปดโมง”


“เพิ่งแปดโมงเองมึง จะรีบตื่นไปไหน”


“นี่มึงลืมแล้วดิว่ายุนกิแม่งนัดถ่ายหนังสั้นตอนเก้าโมง”


“เออ กูลืมสนิทเลย”


“กูก็ลืมเหมือนกันเนี่ย เมื่อกี้ฮยอนกึนมันโทรมาบอกว่า ยุนกิโทรเตือนถึงจำได้...นี่ฮยอนกึนมันก็ขับรถมารอรับอยู่ข้างล่างแล้วด้วย ปลุกแจวอนมันเสร็จจะได้รีบไป”


“ถ้ามันง่วงก็ปล่อยแม่งนอนไปเหอะ ยังไงมันก็แค่ไปนั่งรอพวกเราเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว”


“เดี๋ยวแม่งตื่นมาไม่เจอจะโกรธอะดิ”


“นั่นใคร...นั่นจอง แจวอน หนุ่มดอกไม้เจ้ารอยยิ้มนะมึง มันโกรธไม่เป็นหรอกอย่างมากก็แค่บ่นแล้วก็ยิ้ม อีกอย่างก็ให้แม่งนอนในบ้านไม่ได้ปล่อยนอนข้างถนนแล้วไม่ปลุกนี่หว่า” มินซิกว่าทั้งที่ยังเบลอๆ แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าตัวเองที่แบตไปแล้ว


“เออ...ก็ได้วะ” สุดท้ายคนที่สรรหาวิธีปลุกเพื่อนให้ตื่นก็ยอมแพ้ผละจากคนบนพื้นลุกขึ้นยืนมองเพื่อนอีกคนที่ทำหน้านิ่วเพราะอาการเมาค้างก่อนจะเห็นเด็กกวนประสาทเดินเข้ามายื่นทิชชู่เปียกกับขนมปังทาเนยถั่วกับแยมใส่ในถุงพลาสติกใสให้


“จะไปแล้วใช่ไหมครับ...ไม่มีเวลาล้างหน้าเอานี่เช็ดไปก่อนและก็ขนมปังปิ้วมาแล้ว ช่วยรับผิดชอบกินให้หมดด้วยนะครับ” คนเด็กที่สุดในห้องบอกหน้าตา พอของที่ถือมาถูกมือใหญ่ของคนที่ช่วยทาเนยบนขนมปังรับไว้ก็หันหลังไปหยิบเสื้อคลุมมีฮู้ดสีดำที่วางบนโต๊ะมาสวมทับเครื่องแบบนักเรียน


มินซิกเขม่นมองเด็กผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นด้วยความสงสัยแล้วหันไปหากวังมินที่อยู่ใกล้ๆสื่อสารด้วยคำถามผ่านดวงตาที่ว่า เด็กคนนี้ใคร


“เออ รีบไปก่อน ไว้ค่อยไปเล่าในรถ” เจ้าของมือและแขนเรียวยาวที่มีรอยสักบอกพลางดึงแขนคนผิวเข้มกว่าให้ลุกตามตัวเองออกไปแต่ไม่วายหันมาหาเด็กคนเดียวที่ยืนอยู่ไม่ไกล “ฝากบอกแจวอนมันด้วยนะ ตื่นแล้วโทรหาพวกพี่ด้วย”


ร่างเล็กพยักหน้ารับค่อยๆโค้งแทนคำลาให้กับคนที่พรวดพราดหายออกจากห้องไปเหมือนลืมแล้วว่าเจ็บตัวกันอยู่แล้วชะโงกมองคนที่นอนตะแคงหลับเป็นตายอยู่บนพื้น


“ถ้าตื่นแล้วไม่อยากไปกับเพื่อนก็น่าจะลุกไปเรียนนะครับ” คนเด็กกว่าว่าเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสะพายหลังที่วางอยู่ข้างโซฟาปล่อยให้คนทำเป็นเนียนพลิกตัวไปมาใต้ผ้าห่มสักพักจึงยอมลืมตาลุกขึ้นมานั่งเสยผมยุ่งของตัวเองไปมา


“รู้ได้ไงว่าพี่ไม่ได้หลับ”


“โดนตบขนาดนั้น ไม่น่าไม่ตื่นหรอกครับ”


“ไม่คิดว่าที่ไม่ขยับเพราะตายแล้วบ้างเหรอ”



“ถ้าจะตายก็คงตายนานแล้วล่ะครับ ขนาดปวดท้องหนักยังผ่านมาได้แบบไม่ไปหาหมอเลย”


แจวอนกลอกตาเล็กน้อยให้กับคำพูดของน้องร่วมห้องแล้วมองร่างเล็กที่กำลังสะพายกระเป๋าไว้บนหลัง ความจริงเขาตื่นหลังกวังมินไม่ถึงห้านาทีแต่ที่ยังหลับตาก็เพราะปวดแก้มข้างที่โดนต่อยเลยได้แต่นอนฟังทั้งสองคนคุย


...วิธีการคุยกับกวังมินก็เหมือนที่คุยกับเขา จนนึกสงสัยว่า ปีนเกลียวกับผู้ใหญ่คนอื่นแบบนี้ตลอดหรือเปล่า


“จะไปเรียนแล้วเหรอ” หลังจากเงียบไปพักหนึ่งก็เริ่มบทสนทนาขึ้นเอง


“ครับ”


“โรงเรียนอยู่ไกลไหม”


“ไม่ครับ”


“เหรอ” เจ้าของห้องลากเสียง ตาจ้องยังคนที่สวมถุงเท้าสีขาวอยู่ข้างโซฟาสองสามวินาทีก็พูดต่อ “รอพี่สักห้านาทีสิ”


ซามูเอลเหยียดหลังที่ก้มลงไปใส่ถุงเท้ากลับขึ้นมาแล้วหันไปมองคนโตกว่าลุกจากพื้นยืนบิดขี้เกียจไปมา แขนที่โผล่พ้นจากชายเสื้อยืดสีดำแขนสั้นที่เจ้าตัวสวมตอนนอนซึ่งอีกฝ่ายเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกมีรอยสักปรากฏให้เห็น


“รอทำไมครับ” เสียงเล็กแหบเอ่ยถาม

“จะไปล้างหน้าน่ะ...จะได้ลงไปข้างล่างด้วยกัน”


“ลงไปทำไมครับ”


“พี่ว่าจะไปหาอะไรกินหน่อย นายก็จะไปเรียนไม่ใช่เหรอ...ลงไปพร้อมกันดิ”


“ไม่ต้องลงไปหรอกครับ ถ้าหิว ผมปิ้งขนมปัง ทาเนยกับแยมไว้ให้บนโต๊ะแล้ว”


“พี่ไม่ชอบกินขนมปังปิ้ง”


“คราวก่อนผมทำทิ้งไว้ให้ก็กินหมดไม่ใช่เหรอครับ”


“กินเพราะกลัวเสียน้ำใจไม่ได้แปลว่าชอบกินนิ”


“ถึงพี่ไม่กินผมก็ไม่เสียใจหรอกครับ” คนเป็นเด็กว่าแล้วเงียบไปพักนึงจึงต่อ “ถ้าไม่อยากกินขนมปังปิ้ง ในตู้มีอาหารสำเร็จรูปที่เวฟก็กินได้อยู่นะครับ ถ้าไม่ชอบมีคิบับจากร้านสะดวกซื้อที่วันก่อนพี่งอแงจะกินให้ได้ด้วย ทุกอย่างในตู้ที่ผมซื้อพี่กินได้หมดนะครับ แต่ถ้ายังไม่พอใจผมติดเบอร์ร้านอาหารเจ้าอร่อยที่มีบริการส่งไว้บนตู้เย็น พี่เลือกกินได้ตามสบายเลย”


คนโตกว่ากลอกตาขณะฟังฝ่ายตรงข้ามร่ายยาว วิธีการที่ซื้อของกินมาตุนให้จนเต็มตู้เหมือนเป็นการ ป้องกันไม่ให้ต้องใช้เวลาร่วมกันในการหาของกินด้วยกันอีก


...ทำแบบนี้มันเรียกไม่เกลียดตรงไหนวะ...


“พี่ไม่ชอบอาหารสำเร็จรูป คิบับกินบ่อยเบื่อแล้ว ตอนนี้ไม่มีอารมณ์รอข้าวมาส่ง รามยอนก็ไม่อยากต้ม อยากลงไปซื้ออะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันกิน” เมื่อโดนดักทางเลยพูดดักกลับบ้าง


“จะทำอะไรก็ทำเถอะครับ มันเรื่องของพี่” คำตอบที่ปนมาพร้อมกับการถอนหายใจเหมือนปลงตกทำให้คนเป็นพี่ยิ้มกว้าง


“งั้นพี่ไปล้างหน้านะ รอด้วยล่ะ” สั่งเสร็จก็วิ่งเข้าห้องน้ำ เริ่มขั้นตอนล้างหน้าและบำรุงผิวแบบลวกๆ รอยช้ำบนแก้มเห็นชัดโดยไม่ต้องสังเกตแต่เขาไม่สนใจ แค่รีบล้างหน้าและกลับออกมาหาคนที่คิดว่าจะรออยู่แต่กลายเป็นพบเพียงความว่างเปล่า ทำให้รอยยิ้มบนหน้าหดลงจนกลายเป็นเม้มแน่น


...เด็กคนนี้มันจริงๆเลย...


แจวอนเข่นเขี้ยวคว้ากระเป๋าสตางค์ที่อยู่บนโต๊ะข้างโซฟายัดใส่กระเป๋าพร้อมคียการ์ดพรวดไปหน้าประตูหารองเท้าแตะมาสวมได้ก็เปิดประตูวิ่งออกไปหน้าลิฟต์ พอลงลิฟต์มาข้างล่างได้ก็วิ่งตื้อต่อไปจนเห็นแผ่นหลังของเด็กที่หาอยู่จึงลดระดับความเร็วลงทีละน้อย เมื่อเข้าใกล้พอก็ยื่นมือออกไปคว้ามือเล็กนั้นไว้


คนเป็นเด็กไม่ทันตั้งตัวสะดุ้งทันทีที่มือเย็นสัมผัสเข้ากับมืออุ่นของตัวเอง นัยน์ตากลมเหลือบยังพี่ชายหน้าหล่อร่วมห้องที่อมยิ้มอยู่ข้างๆ ก็สูดลมหายใจ...อุตส่าห์คิดว่า ถ้าไม่รอคงไม่ตามลงมา ทีไหนได้ดันตามลงมาอีก


“พี่บอกให้รอไม่ใช่เหรอ ทำไมรอล่ะ”


“ผมไม่ได้บอกว่าจะรอนี่ครับ”


“แค่รอไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ มันจะอะไรนักหนา” คนเป็นพี่บ่นแบบไม่จริงจัง มือเรียวสวยจับมือเล็กอุ่นแล้วดึงให้เดินต่ออีกครั้ง


“ผมต้องไปโรงเรียน ไม่ได้โดดเรียนจนว่างรอใครต่อใครได้เหมือนพี่นะครับ”


“เฮ้ย พี่ไม่ได้โดดเรียนนะ แต่พี่มีเรียนตอนบ่ายจะให้ไปทำอะไรมหาลัยเช้าขนาดนี้”


“มีเรียนบ่ายก็นอนต่อสิครับ จะตื่นขึ้นมาทำไม”


“ก็บอกแล้วไงว่า หิว เลยลงมาหาไรกิน”


“ลงมาหาของกินก็ไปหาสิครับ จะมาตามผมทำไม แล้วจับมืออีก นี่พี่เป็นสัตว์เลือดเย็นหรือครับ มือถึงได้เย็นขนาดนี้”

คำว่า สัตว์เลือดเย็นที่หลุดจากปากของเด็กลูกครึ่งฟังแล้วเหมือนคำด่าอย่างบอกไม่ถูก ทำให้คนโตกว่าเดาะลิ้นในปากพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน

“โห ใช้คำว่าสัตว์เลือดเย็นกับคนโตกว่างี้ได้ไง”


“สัตว์เลือดเย็นมันหยาบตรงไหนครับ สัตว์ในโลกก็มีแค่เลือดอุ่นกับเลือดเย็น ไม่ถูกหรือไงครับ”

 “ก็ใช่ แต่นี่คนปะ กับคนนี้ควรใช้คำอื่นไหม พวกตัวเย็นอะไรก็ว่าไปสิ”


“มันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ”


“เหมือนกันตรงไหน ถนัดแต่พูดเป็นปรัชญาหรือไง พอพูดแบบชาวบ้าน ถึงไม่รู้ว่าคำไหนต้องใช้ยังไง”


“บางครั้งคำไหนที่ผมไม่ค่อยได้ใช้ ผมก็ใช้ไม่ค่อยถูก”


“อยู่โรงเรียนไม่มีเพื่อนหรือไง”

“มีครับ แต่ไม่เคยมีเพื่อนที่คล้ายๆพี่สักคน”

“ไอ้ที่ว่าคล้ายพี่นี่เป็นแบบไหน” คนเป็นพี่ถามด้วยคิ้วที่ขมวดหากัน


“พวกงอแง พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง”


“โฮะ นี่...นี่นายว่า พี่พูดไม่รู้เรื่องเหรอ”


“ปกติคนเราพูดครั้งสองครั้งก็น่าจะเข้าใจแล้ว แต่กับพี่พูดจนเหนื่อยแล้วก็ยังไม่เข้าใจ”

“พี่ไปทำแบบนั้นเมื่อไหร่กัน”
“อย่างตอนนี้ก็เรื่องมือเนี่ย...จะจับอีกนานไหมครับ” คนเป็นน้องว่ายกมือข้างที่ถูกอีกคนกุมไว้แน่นขึ้นมา


“ก็มือนายอุ่นอ่ะ ปกติเด็กไม่น่าจะมืออุ่นขนาดนี้นะ เนี่ย ถ้าพี่เป็นสัตว์เลือดเย็น นายก็เป็นสัตว์เลือดอุ่น”


“ถ้าเป็นแบบนั้นผมยิ่งต้องอยู่ห่างๆ”


“อะไร โกรธเหรอที่พี่เรียกนายว่าสัตว์เลือดอุ่น”

“ไม่ได้โกรธครับ แต่ปกติพวกสัตว์เลือดอุ่นมักกลายเป็นเหยื่อในพื้นที่ของสัตว์เลือดเย็นเสมอ ก็เหมือนเสือถ้าลงน้ำลึกไปเจอจระเข้ก็มีแต่ตายกับตาย”


“ดูสารคดีมากไปปะ...วันหลังดูอะไรที่มันสนุกสมวัยบ้างก็ได้”

“อะไรคือสนุกสมวัยสำหรับพี่เหรอครับ ดูการ์ตูนยังถามเยอะเลย”

“ซิมป์สันมันการ์ตูนผู้ใหญ่ เข้าใจยากจะตาย”

“ผมไม่ได้เด็กขนาดนั่งดูซิมป์สันแล้วไม่เข้าใจ”

“อายุแค่สิบสามจะไปเข้าใจอะไร”

“ผมไม่ได้อายุสิบสามนะ...ผมอายุสิบห้าแล้ว”

“ห๊ะ...สิบห้าเหรอ แต่แม่พี่บอกว่า นายอายุสิบสามอ่ะ” คนอายุมากกว่าทำตาโตด้วยความประหลาดใจ “โกหกกันปะเนี่ย”

“ผมไม่ชอบพูดโกหก” ตอบแล้วนิ่งไปพักนึงคล้ายกำลังคิด “เพราะผมไม่ค่อยสูงเหมือนเด็กลูกครึ่งคนอื่น คุณป้าเขาก็เลยคิดว่าผมอายุสิบสามตลอด คิดแบบนี้มาสองปีแล้ว”

“สิบห้ามันก็ยังเด็กอยู่ดีแหละ”

“บางทีความเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่มันไม่ได้อยู่ที่อายุหรอกครับ บางครั้งคนอายุน้อยก็ซ่อนความเจ็บปวดได้เก่งกว่าผู้ใหญ่ สิ่งที่ทำให้เราโตมันอยู่ที่ว่าใครจะยอมรับความจริงและปล่อยวางทุกสิ่งได้มากกว่า”ถ้อยคำราบเรียบกับนัยน์ตากลมมองตรงไปข้างหน้าแทนที่จะมองคู่สนทนาดูราวกับคนที่ผ่านโลกมามากทำให้คนโตกว่าแลเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนเป็นน้องนิ่งงัน สัมผัสได้ถึงความเด็ดเดี่ยวที่แสนเศร้าแผ่ขยายออกมา

...ท่าทางที่เหมือนไม่สนใจอะไรแต่ความจริงคิดลึกซึ้งยิ่งกว่าผู้ใหญ่นั้นเป็นเหมือนแรงกระตุ้นในใจให้อยากทำความรู้จักกับโลกของเด็กคนนี้จริงๆ ถึงถูกวางเฉยแต่ไม่อยากล้มเลิก...

“ตกลง...พี่จะไม่หาอะไรกินแล้วเหรอครับ” หลังจากเงียบกันไปสักพักฝ่ายเด็กกว่าก็ถามขึ้น เรียกสติคนที่อยู่ในความคิดของตัวเอง

“หาสิ”

“แต่เราเดินผ่านร้านข้าวมาเยอะแล้วนะครับ...ถ้าพี่ลงมาเพราะหิวก็น่าจะไปหาอะไรกินได้แล้ว”

“ก็เดี๋ยวไปส่งนายที่โรงเรียนก่อน ค่อยหาอะไรกิน”

“ไปส่ง...ไปทำไมครับ ไม่ต้องไปหรอกครับ พี่ไปหาอะไรกินเถอะ”

“มันไม่ค่อยหิวแล้ว ไปส่งนายเสร็จเดินกลับมาน่าจะหิวพอดี”

“งั้นพี่กลับไปบ้านแล้วรอหิวค่อยลงมาใหม่แล้วกัน”

“เดินมาตั้งไกลให้เดินกลับไปแล้วลงมาใหม่อีกรอบอ่ะนะ ไม่เอาหรอก ไปส่งนายแล้วเดินกลับดีกว่ากันเยอะเลย”

“ไม่ต้องไปครับ ผมไม่อยากให้พี่ไปส่ง”

“อะไรนะ นายว่ายังไงนะ”

“ผมไม่อยากให้พี่ไปส่ง”

“ห๊ะ...พูดอะไรไม่เห็นจะเข้าใจเลยอ่ะ” คนเป็นพี่ได้ยินชัดทุกคำแต่ทำเป็นหน้ามุ่ยเอียงหูลงมาฟังอีกคนเหมือนไม่ได้ยิน

ซามูเอลห่อไหล่ขยับศีรษะถอยทันทีที่อีกคนเอนทั้งหูทั้งตัวลงมาหา แก้มบวมที่มีรอยเขียวช้ำจางๆจากการวิวาทปรากฏตรงหน้าทำให้มือข้างที่ว่างซึ่งกำหมัดขึ้นมาพร้อมจะชกออกไปทุกเมื่อต้องลดกลับข้างลำตัวและเปลี่ยนเป็นถอนหายใจออกมา

“จะบ้าตาย” สุดท้ายก็ทำได้แค่บ่นและปล่อยอีกคนจับมือเดินต่อไปจนถึงหน้าประตูโรงเรียน

แจวอนมองโรงเรียนที่แบ่งฟากระหว่างชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลายออกจากกันผ่านสีตึก เสียงจากเด็กนักเรียนที่ทยอยเดินผ่านประตูรั้วโรงเรียนดังจ้อแจ้ เป็นภาพที่ทำให้เขานึกถึงวันเก่าๆสมัยเรียนมัธยมที่มักมีกลุ่มผู้หญิงมายืนรอจะเดินเข้าโรงเรียนพร้อมกันเสมอ

“ปล่อยมือผมได้หรือยัง” คนอ่อนกว่าถาม

“อืม” ตอบในลำคอแต่มือก็ยังจับไว้อย่างเก่าทำเอาคนถามเริ่มเม้มริมฝีปาก นึกอยากจะใช้ศิลปะป้องกันตัวสะบัดให้หลุดแต่เพราะห่วงจะเจ็บตัวจนลำบากตัวเองนั่งทำแผลเลยต้องอดทน

“พี่ไม่เข้าใจที่ผมพูดเหรอครับ”

เมื่อถูกถามอีก ฝ่ายตรงข้ามก็กระพริบตาก้มหน้าลงไปหาเด็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมคล้ายไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง


“ใช่ ไม่เข้าใจ...ก็นายบอกเองว่า พี่เป็นพวกพูดไม่ค่อยรู้เรื่องไม่ใช่เหรอ”


“จะเอาคืนผมเหรอครับ”


“เปล่าซะหน่อย” เขาบอกด้วยดวงตาคู่สวยที่พราวระยับ ยิ่งเห็นหน้าเอือมระอาของอีกคน ไหนจะหมัดที่กำแน่นอยู่อีกข้างแต่ไม่กล้าสวนออกมาน่าจะเพราะกลัวเขาเจ็บซ้ำ ความรู้สึกเป็นห่วงบ่งบอกถึงมิตรภาพที่ก่อตัวนั้นทำให้ริมฝีปากเหยียดกว้าง


คนเป็นเด็กจ้องตาของฝ่ายอายุมากกว่าเขม็งพยายามดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมแต่ยิ่งออกแรงอีกคนก็เริ่มหัวเราะราวกับกำลังสนุก ยื้อยุดเหมือนเล่นชักคะเย่อกันแบบนั้นอยู่สักพักสุดท้ายหน้าที่นิ่งก็หลุดยิ้มออกมาจนได้

“ถ้าพี่เป็นตัวเองกับผมได้ พี่ก็น่าจะเป็นกับคนอื่นด้วยนะ”

“นายหมายถึงอะไร”


“ก็ความรู้สึกนะครับ กับคนอื่นแสดงออกให้เท่ากับที่แสดงออกกับผมด้วยสิ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องแกล้งยิ้มทั้งที่ไม่ได้รู้สึกเถอะครับ ทำแบบนั้นนอกจากจะเหนื่อยแล้ว ท้องก็จะปวดไม่หายด้วย”


“ก็อยากจะทำอยู่หรอก แต่พี่ไม่ได้อ่านใจใครได้เหมือนนายนิ”


“ไม่เห็นต้องอ่านใจได้เลย นั่นเพื่อนนะครับ ถ้าต้องระวังตัวกระทั่งกับเพื่อนก็ไม่น่าเรียกเพื่อน”


“มันสบายใจกว่าที่จะเป็นแบบนั้น อีกอย่างนายเองก็ทำเหมือนกันนิ”


“ทำอะไรครับ”


“เก็บความรู้สึกไง...ตอนนั้นที่นายยิ้ม พอพี่บอกว่าน่ารักดี นายก็หยุดยิ้มเลยไม่ใช่เหรอ”

“ผมก็แค่ขี้เกียจยิ้มแล้วเท่านั้นเอง”


“อา ตอนนั้นจะยังไงก็เถอะ แค่ตอนนี้นายยิ้มให้พี่ก็พอ” เขาว่ายังคงยิ้มอารมณ์ดี “ตอนเย็นพี่มารับนายกลับด้วยดีไหม”

“ไม่เอา” คำตอบสวนกลับทันควันเช่นเดียวกับริมฝีปากที่หดลงดังเก่าเรียกเสียงหัวเราะร่วนจากคนที่ไม่ยอมปล่อยมือไปสักทีได้เป็นอย่างดี

“โหย ตอบซะไว คิดก่อนค่อยตอบสิ”


“จะมาส่งหรือมารับผมก็ไม่เอาทั้งนั้น”


“อะไรเล่า มีพี่ชายหล่อๆมารับมาส่งไม่ดีเหรอ”

คราวนี้คนตัวเล็กไม่พูดแต่ส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะเหลือบไปเห็นเพื่อนของตัวเองที่โบกมือเรียกอยู่เลยยกมือข้างที่ว่างขึ้นเป็นเชิงตอบรับทำให้อีกคนหันตามไปบ้างเลยได้เห็นเด็กนักเรียนชายกลุ่มใหญ่กลุ่มใหญ่ยืนรออยู่

...นึกว่าไม่มีเพื่อน ที่ไหนได้ เพื่อนเยอะเป็นฝูงเลย...


“เพื่อนเยอะเนาะ...เพื่อนเยอะขนาดนี้ ถ้ามีพี่เป็นเพื่อนเพิ่มสักคนคงไม่เป็นไรเนาะ”


“ผมไม่อยากเป็นเพื่อนกับคนพูดไม่รู้เรื่อง”


“แต่พี่อยากเป็นด้วยนี่...ไม่ได้เหรอ ถึงจะเกินกำหนดสามวันมาแล้วแต่พี่ก็ทำให้นายยิ้มได้ไม่ใช่เหรอ จะอนุโลมสักหน่อยไม่ได้หรือไง” ชายหนุ่มเอ่ยพลางก้มหน้ายื่นไปหาคนเป็นเด็กใกล้ๆ คิ้วเลิกสูงขึ้นขณะที่ตาเป็นประกายที่เบิกกว้างเช่นเดียวกับรอยยิ้ม...มันเป็นการแสดงออกที่เขาทำบ่อยเวลาอยากจะอ่อยใครสักคนเล่นๆ หากครั้งนี้เขาทำด้วยความรู้สึกจริงจัง


“พี่อยากโดนผมต่อยจริงๆใช่ไหมครับ” อีกฝ่ายบอกจริงจังเริ่มยกมือที่กำหมัดทำท่าจะทุบเข้าให้จริงๆ “ผมไม่เล่นกับพี่แล้วนะ ผมต้องไปเรียนแล้ว”

“อา อา เข้าใจแล้วจะปล่อยให้ไปเรียนก็ได้” ในที่สุดฝ่ายที่จับมือไว้แน่นก็ยอมปล่อย แจวอนมองเด็กตรงหน้าที่เช็ดมือชื้นเหงื่อจากการเกาะกุมกับเสื้อกันหนาวยังคงยิ้มเอ็นดู


“ให้พี่มาส่งอีกได้ไหม”


“ผมก็บอกแล้วว่าไม่เอา”

“แอบตามมาก็ได้”


“หูตึงหรือไงเนี่ย” คำนั้นหลุดจากริมฝีปากลอยมาให้คนเป็นพี่ได้ยิน แต่แทนที่จะโกรธเขากลับยิ้มยืนมองร่างเล็กที่กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปทางเพื่อนที่ยืนอยู่โดยไม่แม้แต่จะบอกลา ทว่าในตอนที่ไปได้ครึ่งทางเจ้าตัวกลับหันมาหาและตะโกนบางคำที่ทำให้รอยยิ้มที่กว้างอยู่แล้วกว้างมากไปอีก


“กินข้าวเสร็จแล้วอย่าลืมเอาถุงน้ำแข็งประคบด้วย หน้าจะได้ไม่บวม แล้วก็ตอนบ่ายไปเรียนด้วยนะครับ”

“โอเค” เขาตะโกนกลับ


“และไม่ต้องมารับผมนะ ถึงมาผมก็ไม่อยู่หรอก แค่นี้นะครับ” สิ้นประโยคนั้นร่างเล็กก็วิ่งไปร่วมกลุ่มกับเพื่อนที่ยืนรออยู่และค่อยๆหายจากสายตาไป


แจวอนสูดลมหายใจ ใบหน้าหล่อเหลานั้นยังมีรอยยิ้มละไมอาบทั่ว...ทั้งที่นานๆจะตื่นเช้าออกมาข้างนอกแต่แทนที่จะง่วงเขากลับรู้สึกสดชื่นตื่นเต็มตา แสงอ่อนจากดวงตะวันฉายลงมากระทบทำให้ความรู้สึกอุ่นภายในแผ่ซ่านมาภายนอก

...ถ้าตื่นตอนเช้าแล้วสบายใจแบบนี้  เขาก็อยากตื่นเช้าแบบนี้ไปตลอด...

    

You Might Also Like

0 Comments