LOVE TOXICAL : WONSAM CHAPTER 14
06:23
ร้านกาแฟสไตล์มินิมอลเรียบง่ายและอบอุ่น คลุมโทนสีขาวเป็นหลักแซมด้วยสีดำกับน้ำตาลรวมถึงสีโทนอุ่น ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมเสื้อแขนยาวมีฮู้ดสีเทากับกางเกงยีนส์ฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะไม้ยาวสีน้ำตาลอ่อนที่อยู่ติดกับหน้าต่างกระจกตรงด้านหน้าของร้านโดยวางหมวกสแนปแบคที่มีลายปักเท็ดดี้แบร์อยู่ข้างๆ ก่อนที่ชายหนุ่มร่างบางสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ง่ายๆทับด้วยผ้ากันเปื้อนลายจุดสีชมพูขาวจะถือถาดไม้มีอเมริกาโน่เย็นมาเสิร์ฟ
“กินเสร็จแล้วกลับออฟฟิศนะพี่ ไม่ใช่นั่งอู้อยู่นี่จนบอสพี่โทรมาด่า” คำเตือนที่ดังใกล้ตัวทำให้ฮันเฮที่นอนฟุบอยู่ส่งเสียงครางคล้ายคนแก่ก่อนจะเหยียดหลังขึ้นมานั่งและหันไปสบตากลมใสเฉี่ยวปลายที่ประดับบนใบหน้าละมุน ผมหน้าม้าปัดสีดำสลวยเป็นเงาราวแพรไหมที่ปรกหน้าอยู่นั้นยิ่งขับผิวขาวให้สว่างและอ่อนวัย
“ใจร้ายจังวะ ใจคอไม่คิดว่าพี่ทำงานเสร็จแล้วถึงมานั่งร้านเราบ้างไง”
“ร้านกาแฟแถวออฟฟิศพี่ก็มี ดันถ่อมาถึงนี้ พี่มาถึงร้านผมก็แค่เวลาจะอู้งานเท่านั้นแหละ ถ้างานเสร็จเหรอ นู้น เจอร้านเนื้อย่างกระดกเหล้าพร้อมพ้องเพื่อนนับร้อยชีวิตแต่หัววันแล้ว”
“เอ็งนี่แม่ง พูดซะพี่ดูขี้เมาฉิบหายเลย พี่ก็ไม่ได้ดื่มเยอะอะไรขนาดนั้นสักหน่อย”
“แล้วตกลงอู้งานปะล่ะ”
“เออ ยอมรับก็ได้ว่าอู้ แต่งานพี่ลูกค้าผ่านเกือบหมดแล้วนะว้อย ติดแค่เขียนเนื้อเพลงเพลงสุดท้ายให้จบแค่นั้นแหละ”
“จะอ้างยังไง สุดท้ายก็อู้อยู่ดี แล้วคอยดู เดี๋ยวสักพักบอสพี่ต้องโทรจิกแน่คอย”
“แล้วจะพูดขึ้นมาให้ได้พระแสงอะไร มึง เอ๊ย คุณยู ยองแจ...คุณแม่งเป็นน้องที่ไม่น่ารักเลยวะ” นิ้วเรียวสวยชี้ตรงไปยังเจ้าของร้านกาแฟที่กระโดดขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ว่างข้างๆซึ่งเป็นสายรหัสรุ่นหลานของเขาที่มหาวิทยาลัย มารู้จักกันได้ก็เพราะสายรหัสของเขานัดรวมตัวเลยคุยกันมาเรื่อยๆนับแต่นั้น
“กับพี่พูดดีๆด้วยไม่ได้หรอก ต้องพูดแรงๆจะได้สำเหนียก”
“โอโห นั่นปากคนหรือหมาวะ ปากคอนี่แม่งสมแล้วที่เป็นเพื่อนสนิทไอ้แดฮยอนมัน” คนตัวใหญ่เอ่ยไพล่ไปถึงรุ่นน้องคนสนิทอีกคนที่ทำงานบริษัทเดียวกับเขาและเป็นรูมเมทของคนตรงหน้า ซึ่งฝ่ายนั้นดูเหมือนจะเป็นห่วงเป็นใยพิเศษเหลือเกิน
“ใคร...ใครเป็นเพื่อนสนิท ผมไม่ได้เป็นสักหน่อย”
“แบบเราเรียกไม่สนิทก็ไม่มีหมาที่ไหนสนิทกับแม่งแล้ว...ทำไมถึงชอบบอกไม่สนิททั้งที่มันก็บอกตลอดว่า เราเป็นเพื่อนสนิทมัน”
“ไม่เห็นอยากเป็นเลย” ยองแจเบะปากทำหน้าย่นอย่างรำคาญใจพลางทอดสายตาออกด้านนอก ท่าทางน่าเอ็นดูนั้นทำให้คนเป็นพี่ยื่นมือออกไปขยี้ผมนุ่มไปมา
“พี่อย่าแตะผม ผมนะ” เสียงร้องดังขึ้นพร้อมกับมือนุ่มที่จับข้อมือใหญ่ของอีกคนไว้แต่ก็สู้แรงไม่ได้
“อะไรหนักหนาวะ ก็ผมเรานุ่มอ่ะ จับหน่อยไม่ได้เลยไง ถือเหรอวะที่พี่เล่นผมอ่ะ”
“ถือ”
“ถือห่านอะไรวะ นี่พี่เอ็งนะ”
“เออก็เพราะเป็นพี่ไงถึงไม่ชอบให้มาจับ”
“ทำไม เป็นพี่แล้วทำไม”
“กับคนที่ชอบสองเพศได้นี้ ไม่มีใครเคยบอกเหรอว่า ถ้าไม่คิดอะไรอย่าไปลูบผมคนอื่น พี่แม่งเหมือนหมอนั่นฉิบ ชอบเฟลิตชาวบ้านให้เขาเข้าใจผิดไปทั่ว ทำตัวเจ้าชู้กรุ้มกริ่มตลอดแบบนี้คนที่คบด้วยคนไหนจะทนวะ”
“แค่ลูบหัวเอ็นดูนี่ถึงขั้นได้ข้อหาเจ้าชู้เลยเหรอวะ ทำไมคุณยูใจร้ายกับพี่ขนาดนี้”
“ผมพูดจริงๆนะ...ถ้าพี่อยากคบกับใครสักคนให้มันนานๆ ไม่ต้องเจอปัญหาหึงหวงแบบที่ทำให้พี่ต้อง ทะเลาะกับแฟนจนเลิกกัน พี่ต้องเลิกเอ็นดูหรือใจดีกับใครเรี่ยราดเว้ย” คนเป็นน้องร่ายเตือนสติตามประสาคนที่เฝ้ามองปัญหาความสัมพันธ์ของรุ่นพี่เวลาคบหากับคนอื่นมาตลอด
ฮันเฮเป็นผู้ชายประเภทสนุกสนานไปกับถึงสิ่งรอบข้าง ไม่ถือตัวและคุยกับคนอื่นได้ทุกเรื่อง ชอบใจดีกับคนอื่นไปทั่วเลยกลายเป็นสิ่งดึงดูดให้คนอยากเข้าหา เป็นคนอบอุ่นที่มีปัญหาเสมอเวลาคบหาใครส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจ้าตัวชอบคนประเภทเร้าใจ มั่นใจสูง แต่พอคบไปเรื่อยความใจดีไปทั่วของเจ้าตัวทำให้เกิดปัญหาทะเลาะกันเพราะความหึงหวง สุดท้ายก็ลงเอยที่เลิกรา
...ไม่ใช่ไม่ดี แต่เป็นคนดีกับทุกคนทำให้คนรักประเภทมั่นใจตัวเองมากเฟลจนไม่เชื่อใจ...
“ถ้าคบกันไม่เชื่อใจกัน ต้องคอยระวังห้ามดีกับคนอื่นพี่อึดอัดตาย” ฝ่ายคนเป็นพี่ว่าคว้าอเมริกาโน่เย็นมาดูดอึกใหญ่พลางมองออกไปยังถนนด้านนอกของร้านครู่หนึ่งจึงสังเกตเห็นหญิงชราคนหนึ่งถือของพะรุงพะรังเตรียมจะข้ามถนนเพียงลำพังอย่างเก้ๆกังๆก่อนที่เด็กสวมชุดนักเรียนทับด้วยเสื้อคลุมวิ่งเข้ามาช่วยถือของแล้วให้หญิงชราจับแขนเสื้อตนเองข้ามถนนแล้วเดินหายไปตรงหัวมุมครู่หนึ่งก็เดินกลับมายืนรอสัญญาณไฟเพื่อข้ามกลับมาทางเก่า
“โห สมัยนี้ยังมีเด็กวิ่งมาช่วยคนแก่ถือของแถมพาข้ามถนนอีก เป็นเด็กดีจัง” เจ้าของร้านกาแฟที่เพิ่งเทศนารุ่นพี่เปลี่ยนมาชื่นชมทันทีที่เห็นเด็กคนนั้นจากอีกฝั่ง
คนตัวใหญ่เท้าคางเขม่นมองเค้าลางของใบหน้าที่คล้ายว่าจะเป็นเด็กคนเดียวกับที่คืนกระเป๋าตังค์ให้แต่ยังไม่แน่ใจ กระทั่งอีกฝ่ายผ่านหน้าไปเลยมั่นใจว่าใช่และเมื่อมองตามไปก็เห็นร่างเล็กเดินหายเข้าโรงพยาบาลขนาดกลางซึ่งอยู่ห่างจากร้านไปนิดเดียว
...เด็กดีคนนี้ชื่ออะไรแล้วนะ ซามูเอลใช่หรือเปล่าหว่า...
...มาทำอะไรโรงพยาบาลคนเดียว...
“พี่จะไปไหนอ่ะ” เสียงร้องถามนั้นดังขึ้นทันทีที่เห็นคนเป็นพี่คว้าหมวกกับกาแฟลุกขึ้นจากเก้าอี้กระโจนไปหน้าประตู
“เออ เดี๋ยวมา”
“จะเปลี่ยนที่อู้งานเหรอ ถ้าบอสพี่โทรหาก็รับสายด้วยล่ะ ไม่ใช่ผลักภาระมาให้ผมรับหน้า”
“ไอ้นี่ก็กลัวบอสพี่อะไรนักหนา ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกน่า เดี๋ยวกลับมา” พูดจบก็ผลักประตูออกไปด้านนอก ก้าวเท้าไปบนทางเดินและผ่านประตูบานเลื่อนของโรงพยาบาลเข้าไปด้านใน
ชายหนุ่มชะเง้อคอมองหน้าเด็กผู้ชายตัวเล็กที่เพิ่งเข้ามาก่อนหน้าตัวเองไม่กี่อึดใจ กระทั่งเห็นแผ่นหลังของเด็กคนนั้นถือแฟ้มประวัติคนไข้ที่หนาเหมือนหนังสือประวัติศาสตร์โลกในหอสมุดลากเท้าไปตามทางเดินอยู่เลยกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าไปหา
“ไงหนู” เขาทักทายพลางแตะมืออุ่นลงบนไหล่ สัมผัสได้ถึงอาการกระตุกของไหล่จากความตกใจก่อนที่ใบหน้าอ่อนเยาว์และดวงตากลมใสนั้นจะช้อนขึ้นมามอง
“อา...” เสียงติดแหบว่าพร้อมกับโค้งให้คนแก่กว่าแล้วเอ่ยเสริม “คุณน้ากระเป๋าตังค์ตกเองเหรอครับ ตกใจหมดเลย สวัสดีครับ”
“งะ เรียกพี่ว่าน้าอีกล่ะ ก็บอกแล้วไงว่ายังไม่แก่ขนาดเป็นน้า เรียกพี่ดีกว่า และก็พี่ไม่ได้ชื่อกระเป๋าตังค์ตกนะ พี่ชื่อฮันเฮ”
“คุณน้าอายุเท่าไหร่ครับ”
“สามสิบ”
“ก็อ่อนกว่าแม่ผมนิดเดียวเอง...เรียกคุณน้าน่าจะสุภาพกว่าพี่นะครับ”
คนตัวใหญ่ที่ไม่อยากแก่จือปากทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายให้เหตุผล ถ้าเป็นคนอื่นนี้จะตอกประมาณว่า แม่มีลูกตั้งแต่เด็กหรือไงแต่เพราะเห็นเป็นเด็กเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วนี่หนูมาทำอะไรที่โรงพยาบาลเนี่ย”
“มาหาหมอตามนัดน่ะครับ แล้วคุณน้าล่ะครับมาทำอะไรที่นี่”
“ก็มาเดินเล่นดูอะไรหน่อย”
“เดินเล่น...ในโรงพยาบาลน่ะเหรอครับ”
“ประมาณนั้น แล้วหนูมาหาหมอคนเดียวเหรอ”
“ครับ”
“เป็นเด็กเป็นเล็กคนที่บ้านปล่อยมาหาหมอคนเดียวได้ไง”
“ผมก็มาคนเดียวประจำ”
“บ้าแล้ว พ่อแม่กับพี่ๆหนูไปไหน ทำไมไม่มาเป็น”
“พ่อแม่ผมเขาอยู่อเมริกาน่ะครับ ส่วนพวกพี่ๆเขาก็ยุ่งกันหมดเลยมาหาหมอคนเดียวดีกว่า”
“ได้ไงเล่า...เอางี้ เดี๋ยวพี่ไปหาหมอเป็นเพื่อน” คนทู่ซี้แทนตัวเองเป็นพี่ตามเคย
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วมองหน้าผู้ชายท่าทางใจดีที่หน้าแก่กว่าอายุที่ขันอาสาจะไปหาหมอด้วยแล้วส่ายหน้าไปมาแรงๆเป็นเชิงปฏิเสธ
“ไม่ต้องครับ”
“ทำไมล่ะ...ขอโทษนะ” มือเรียวใหญ่ยกขึ้นส่งสัญญาณขอเวลาแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือที่สั่นไม่หยุดจากในกระเป๋ากางเกงยีนส์ออกมารับสาย เสียงเข้มลึกของเจ้านายดังลอดออกมาให้ได้ยินถึงข้างนอก
“ฮันเฮ...มึงอยู่ไหน” ปลายสายถามอย่างเยือกเย็น การเรียกขานลูกน้องด้วยสรรพนามเช่นนั้นบอกถึงความใกล้ชิดที่มีจนไม่จำเป็นต้องเรียกอย่างให้เกียรติอะไรมาก ทว่ากับอีกคนด้วยวัยวุฒิและตำแหน่งที่อ่อนกว่าทำให้เลือกใช้ภาษาสุภาพตอบกลับไป
“ตอนนี้เหรอครับ...ก็”
“อยู่ร้านกาแฟของยองแจอีกแล้วใช่ไหม” ฝ่ายนั้นดักทางเสียงเรียบแล้วพูดต่อ “กูให้มึงไปซื้อกาแฟสิบห้านาที มึงล่อถ่อไปถึงร้านยองแจมันเลยเหรอ ไอ้ห่านี่ งานการก็ยังไม่เสร็จดี เนื้อเพลงเพลงสุดท้ายของมึงนี่จะรอให้ปลวกแดกก่อนไหมถึงจะเสร็จได้”
“บอส...บอสใจเย็นก่อนนะครับ คือตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ร้านยองแจมันนะ ผมอยู่โรงพยาบาล”
“อยู่โรงพยาบาล ไปทำห่าอะไรโรงพยาบาล”
“พาน้องมาหาหมอครับ”
“พาน้องมาหาหมอ...เดี๋ยว น้องมึงนี่คนไหน ใช่ตัวเล็กหรือเปล่า เฮ้ย ตัวเล็กของกูเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหน โรคหัวใจกำเริบเหรอ ไอ้เหี้ยกูก็บอกให้ดูแลเขาดีๆ หัดลางานกลับไปดูน้องมึงบ้างแม่งก็ไม่ทำ ไอ้...”
“โอย ไม่ใช่ตัวเล็กครับบอส...แค่น้องที่รู้จักกันเฉยๆ ผมเห็นเขามาโรงพยาบาลคนเดียว ไม่มีพ่อแม่มาด้วย พี่ชายก็ไม่ว่างเลยมาเป็นเพื่อน”
“ตอแหลกูปะเนี่ย”
“ฮู้ย ใครจะกล้าโกหกบอสล่ะครับ ถ้าไม่เชื่อลองเปิดโปรแกรมเช็กดูก็ได้นะว่าผมอยู่ไหนตอนนี้” เมื่อแนะแนวทางเสียงจากหัวหน้าก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงก็อกแก็กอยู่พักหนึ่ง
“แล้วมึงจะอยู่โรงพยาบาลอีกนานไหม”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่บอสครับ ผมส่ง Verse ท่อนแรกกับสองไปให้แล้วนะครับ”
“ส่งมาตอนไหน”
“ก็ก่อนจะออกมานี้แหละครับ โอ๊ะ พยาบาลเรียกแล้วครับ น้องผมเขาต้องไปตรวจแล้วครับ แบต แบตก็จะ...” เจ้าของโทรศัพท์กดปิดเครื่องแกล้งทำเหมือนแบตหมดเพื่อตัดบทสนทนา
ฮันเฮถอนหายใจยกอเมริกาโน่เย็นขึ้นมาดูดอีกอึกจึงเห็นตากลมกระพริบปริบดูไร้อารมณ์แต่ทำให้รู้สึกละอายใจขึ้นมาอย่างประหลาดของเด็กที่ยืนอยู่ข้างๆ
“เอาคนอื่นไปอ้างเพื่อจะอู้งานแบบนั้นมันไม่ดีนะครับ” สุดท้ายคำเตือนเสียงเรียบก็หลุดมาให้ได้ยิน
“ก็ไม่ได้อยากจะอู้นะ แต่สมองมันไม่แล่น ทู่ซี้อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมก็ปวดหัวตายพอดี”
“ก็บอกหัวหน้าไปตรงๆสิครับ โกหกแบบนี้ไม่ดีเลย”
“ก็ไม่ได้โกหกนะ...พี่จะไปหาหมอกับหนูด้วยจริงๆ”
“ผมก็บอกแล้วว่าไม่ต้อง”
“เอาน่า...ให้พี่ไปส่งหน้าห้องตรวจก็ยังดีจะได้ไม่เป็นคนโกหกไง” ฝ่ายอายุมากกว่า เหนือกว่าเรื่องคิดงานไม่ ออกก็มีความเป็นห่วงอยู่ด้วย ฝ่ายอายุอ่อนกว่าเกินรอบหนึ่งนิ่งคิดก่อนจะยอมให้เดินมาด้วย
“ไปส่งแค่หน้าห้องพอนะครับ”
คนต่างทั้งวัยและขนาดตัวเดินเคียงกันไปจนถึงวอร์ดโลหิตวิทยา พยาบาลตรงเคาน์เตอร์รับแฟ้มประวัติพร้อมทักทายคนตัวเล็กด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นกันเอง ผายมือให้ไปนั่งรอสักพักก็ถูกเรียกตัว
ฮันเฮนั่งมองร่างเล็กที่หายเข้าไปในห้องตรวจ ความจริงตั้งใจจะรอเด็กคนนี้จนตรวจเสร็จและส่งขึ้นรถกลับบ้านเลยยังรออยู่พร้อมบรรดาคนไข้อีกหลายสิบคน แต่ไม่ถึงห้านาทีก็เห็นอีกฝ่ายเปิดประตูออกมาใหม่พลางมองหาอะไรบางอย่าง พอเห็นเขาเข้าก็โค้งทีหนึ่งแล้วกวักมือเรียกให้เดินไปหา
“อา...ดีจังที่คุณน้ายังไม่กลับ”
“มีอะไรเหรอ”
“ช่วยอะไรผมหน่อยได้ไหมครับ”
“อืม”
“มาฟังผลตรวจเป็นเพื่อนผมได้ไหมครับ”
“ห๊ะ”
“คือ หมอเขาอยากให้มีผู้ปกครองอยู่ด้วย...คุณน้าไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องพูดด้วย แค่นั่งฟังเฉยๆ ช่วยผมหน่อยนะครับ” คำร้องขอจากเด็กที่มีสีหน้ายุ่งยากใจเพราะไม่อยากรบกวนใครแต่จำเป็นเพราะสุดวิสัยทำให้ผู้ใหญ่ไม่ถามอะไรเพิ่มแต่เลื่อนประตูเดินนำเข้าไปแทน
“ลุงหมอครับ” คนเป็นเด็กเรียกนายแพทย์สูงวัยสวมแว่นตาหนาที่นั่งอยู่หลังโต๊ะสีขาวข้างตู้ไฟที่วางแผ่นเอ็กซเรย์กระดูกและเส้นเลือดวางอยู่
“อ้อ นี่พี่ชายเราที่เปิดร้านอาหารอยู่ใช่ไหม” นายแพทย์ผู้นั้นถามพลางเขม่นมองคนตัวใหญ่สวมหมวกสแนปแบคปิดหน้าที่โค้งสวัสดีให้ผ่านแว่น
“ครับ แต่จริงๆเดี๋ยวลุงหมอก็บอกพ่อเรื่องผลตรวจอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องให้พี่เขามาเลย”
“ให้มาสิดี พ่อแม่เราอยู่ไกล มีพี่มาช่วยกันห้ามจะได้ไม่ดื้อ เชิญนั่งครับ” มือใหญ่ผายเชิญให้ผู้ปกครองของคนไข้เข้ามานั่ง แล้วใช้ปากกาเลเซอร์ชี้ให้ดูฟิลม์เอกซเรย์ส่วนขาและข้อเท้าในจุดที่มีเลือดคั่งตรงรอยต่อระหว่างกระดูกและข้อ
“จริงๆถ้ารู้สึกเจ็บก็ควรมาหาลุงเลยนะไม่ใช่รอให้ถึงวันนัด แล้วนี่เห็นใช่ไหม ที่ข้อเท้าเรากับข้อตรงนี้มันบวมเพราะเลือดมันคั่ง ลุงสั่งแล้วไม่ใช่เหรอห้ามเล่นบาสเก็ตบอล หรือกีฬาที่มีแรงปะทะ ทำไมยังเล่นอีกล่ะ อยากให้ตัวเองข้อติดเหมือนครั้งก่อนจนเดินไม่ได้อีกเลยหรือยังไง”
ฮันเฮกระพริบตามองฟิล์มเอกซเรย์อย่างคุ้นเคยตามประสาคนที่มีน้องป่วยเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นมาก่อน นอกจากเลือดที่คั่งแล้วข้อเท้าที่เป็นเงารางหุ้มกระดูกก็บวมจนน่ากลัว
..ดูภายนอกมองไม่ออกเลยว่า บวมขนาดนี้...
“ถ้าฝืนเล่นนี่ถึงขั้นพิการเลยเหรอครับ”
“คนเป็นฮีโมฟีเลียระดับปานกลางไม่ถึงขั้นเลือดออกง่ายตลอดก็จริงครับ แต่ต้องเลี่ยงไม่ให้ร่างกายถูกกระแทกเพราะเลือดจะออกมาง่าย เวลาเลือดออกภายในเราจะไม่รู้จนกว่ามันจะบวมขึ้นมา ถ้าเลือดออกในสมองก็ถึงขั้นตายได้ คุณต้องห้ามเขาเล่นกีฬาพวกบาสเก็ตบอล ถ้าอยากออกกำลังก็ให้ว่ายน้ำแบบเบาๆเพื่อลดการกระแทกแทน”
“โอ้” ผู้รับสมอ้างเป็นผู้ปกครองหลังจากถามได้ความก็หลุดปากร้องออกมา
“ลุงจะส่งตัวเราไปเจาะเลือดที่คั่งออกนะ จะจ่ายยากับให้ใบรับรองแพทย์ไปลากับทางโรงเรียนด้วย เราเองเป็นพี่ก็ต้องคอยดูเรื่องยากับการเดินของเขาหน่อยนะ ต้องให้หยุดเรียนสักวันสองวัน หลังจากนั้นถ้าบวมน้อยลงแล้วก็พยายามอย่าเดินมาก แต่ถ้าไม่ดีขึ้นให้พามาพบลุงทันที” นายแพทย์สั่งการพลางกดปุ่มเรียกพยาบาลให้หารถเข็นมาคันหนึ่งเพื่อเข็นคนป่วยย้ายไปอีกห้องเพื่อทำการรักษา
“ลุงหมออย่าเพิ่งบอกพ่อกับแม่ได้ไหมครับ”
“ทำไมล่ะ”
“อาการของน้องผมยังไม่ค่อยดีเลย ผมไม่อยากให้พวกท่านต้องห่วงผมเพิ่มไปอีก”
“ถ้าไม่อยากให้พ่อแม่เรากังวลต้องเชื่อฟังลุงด้วยสิ ห้ามเล่นกีฬาหรืออะไรที่ทำให้ตัวเองเสี่ยงเลือดออกง่าย”
“รู้แล้วครับ...สัญญาว่าต่อไปจะไม่เล่นกีฬาพวกนั้นอีก ถ้าเกิดเจ็บขึ้นมาจะรีบมาหาลุงหมอทันทีเลย”
คนเป็นแพทย์ถอนหายใจเหมือนไม่ใคร่เต็มใจจะรับปากช่วยเก็บอาการครั้งนี้ให้ แต่เมื่อคิดถึงเพื่อนที่ยังอยู่อีกฟากของโลกเครียดกับอาการป่วยของลูกสาวก็จำใจหันไปกำชับกับคนเป็นพี่
“ครั้งนี้ลุงจะไม่บอก แต่เราน่ะ เป็นพี่แซมเขาต้องดูน้องให้เข้มงวดด้วย อย่าปล่อยให้ทำอะไรตามใจอีก เข้าใจที่ลุงพูดใช่ไหม”
“ครับ” คำตอบรับหลุดไปแบบอัตโนมัติพร้อมกับบุรุษพยาบาลที่เข็นรถเข้ามารับ ขณะที่เด็กหนุ่มพยายามจะลุกจากเก้าอี้แขนใหญ่ของผู้ปกครองชั่วคราวก็สอดมาอุ้มไปส่งบนรถเข็นแล้วเดินตามบุรุษพยาบาลไป
“คุณน้ากลับได้แล้วนะครับ” เสียงเล็กจากคนบนรถเข็นดังขึ้น
“จะให้กลับได้ยังไง ไปด้วยกันนี่แหละ” ฝ่ายถูกเรียกตอบขณะจับผนังพิงของรถเข็นก้าวไปข้างหน้า ลมหายใจอุ่นพ่นผ่านจมูกแล้วเริ่มดุ “อาการหนักขนาดนี้หนีมาหาหมอเองได้ยังไง แถมยังฝืนเล่นบาสจนเหงื่อซกขนาดนั้น แล้วข้อเท้าบวมขนาดนี้ยังฝืนเดินไปไหนมาอีก รู้ตัวว่าป่วยก็ควรทำตามหมอสั่งสิ”
น้ำเสียงเข้มหลุดจากริมฝีปากหนาของผู้ชายอายุมากกว่าที่มักยิ้มแย้มเปลี่ยนเป็นจริงจัง ดวงตาสีเข้มมีความห่วงกังวลประหนึ่งเป็นญาติจริงๆคนหนึ่งทำให้คนเป็นเด็กกระพริบตาปริบ
“โมโหเหรอครับ”
“ไม่ได้โมโหแต่เป็นห่วง”
“คุณน้าเป็นห่วงคนที่ไม่สนิทกันทุกคนเลยเหรอครับ ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิสงเคราะห์เด็กและคนชราเหรอครับ” อีกคนพูดยิ้มๆ แต่ยิ่งทำคิ้วของคนหน้าผากกว้างขมวด
“พี่ไม่ขำนะ”
“ผมก็ไม่ได้หัวเราะซะหน่อยนี่ครับ แค่ไม่เข้าใจว่าจะโมโหทำไม”
“เป็นหนู...หนูจะรู้สึกยังไง ถ้าน้องตัวเองไม่สบายแทนที่น้องจะบอกกลับไม่พูด พวกคนป่วยนี้เป็นยังไงกันแทนที่จะบอกให้เรารู้ว่าอาการไม่ดีขนาดไหนจะได้ช่วยดูแล พาไปหาหมอ ดันปิดบังมารู้อีกทีตอนเป็นหนักมากแล้วรักษาไม่ทันจะทำยังไง”
“ลุงหมอเป็นเพื่อนของผมน่ะครับ เวลามาตรวจคุณลุงหมอเขาก็รายงานพ่อแม่ผมเรื่องอาการอยู่แล้ว”
“ก็เมื่อกี้ยังขอไม่ให้ลุงเราบอกเลยนิ”
“ครั้งนี้ผมตั้งใจจะเลิกเล่นมันแล้วครับ ก็เลยไม่อยากให้บอก...ผมยังไม่อยากให้พี่เขาเป็นห่วงแล้วก็ไม่อยากให้สงสารด้วยก็เลยเลือกจะไม่บอก”
“เป็นห่วงแล้วยังไง สงสารไม่ได้หรือไง นี่ครอบครัวนะไม่ใช่คนอื่น จะรู้สึกแบบไหนก็คือรักเราทั้งนั้นแหละ ทำไมต้องคิดมาก”
ซามูเอลเม้มริมฝีปากให้กับถ้อยคำจริงจังที่พรั่งพรูออกมาราวกับการได้พูดเป็นการระบายถึงความอัดอั้นที่มีในอดีตต่อน้องชาย ช่วงเวลานั้นเขาสัมผัสได้ถึงความอุ่นอ่อนที่อบอวลอยู่ในกายของผู้ชายง่ายๆที่ชอบขนม หวานคนนี้
“คุณน้าเป็นพี่คนโตใช่ไหมครับ” คนตัวเล็กว่าเหลือบตาขึ้นไปมอง “เป็นพี่ที่ดีจังครับ”
ชายหนุ่มถอนหายใจตั้งท่าจะดุอีกแต่เพราะร่างเล็กถูกเข็นเข้าไปในห้องปลอดเชื้อซึ่งเป็นกระจกด้านหน้าแต่ถัดเข้าไปมีห้องกั้นอีกชั้นทำให้มองไม่เห็นภายในเลยจำเป็นต้องยืนกระวนกระวายอยู่ข้างนอก ความรู้สึกที่ได้แต่ยืนรออยู่ข้างนอกทำให้เขาคิดถึงบรรยากาศช่วงที่น้องชายคนกลางยังไม่แข็งแรงเท่าปัจจุบัน
...มันหวิวโหวงและว่างเปล่าเหมือนคนไม่ได้กินข้าวอะไรอย่างนั้น...
...เด็กคนนั้นก็อายุประมาณน้องเขาตอนนั้นได้ พอเห็นอะไรที่คล้ายกันมันเลยสะเทือนใจเร็วกว่าปกติ...
นาฬิกาบนผนังเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า อเมริกาโน่เย็นถูกดูดจนหมดและโยนทิ้งลงถังขยะไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรก กว่าคนที่เขารออยู่จะถูกเข็นออกมาก็กินเวลาไปสองชั่วโมง
“เจ็บไหม” คนตัวใหญ่ถลาเข้าไปถาม
“ไม่หรอกครับ” อีกฝ่ายว่าพลางส่ายหน้ามีเหยียดยิ้มบางเหมือนไม่เป็นไรอะไร หากตาของผู้ใหญ่กลับเห็นอาการขาสั่นแสดงถึงความเจ็บไม่น้อยที่กลั้นเก็บไว้
“โกหกอีกแล้ว...เราเป็นเด็กชอบโกหกหรือไง”
“เปล่าครับ”
“แต่ก็โกหกว่าไม่เจ็บ”
“ถ้าเจ็บแล้วยอมให้ความเจ็บเข้ามามันจะยิ่งเจ็บครับ ต้องทำไม่เจ็บแล้วมันจะไม่เจ็บไปเอง”
“ตรรกะไหนของเราเนี่ย”
“ย่าผมสอนมา”
“เป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงมาแบบแปลกจัง”
“ผมโตมากับครอบครัวที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับเลือดน่ะครับ น้องสาวผมเขาเป็นหนักกว่าผมอีก...แค่พ่อแม่ทุกข์ใจกับอาการของน้องมันก็เจ็บปวดพอแล้ว ผมเป็นพี่คนโตจะอ่อนแอไม่ได้ครับ”
ประโยคเหล่านั้นลอยออกมาทำให้คนได้ยินพ่นลมอุ่นออกจากปาก ความเด็ดเดี่ยวแบบนั้นมันเกินกว่าที่เด็กอายุไม่น่าเกินสิบห้าคนนี้ต้องแบกรับ
“อายุเท่านี้เอง ไม่ต้องเข้มแข็งนักหรอก...ไม่ไหวก็บอกเจ็บได้ อยากร้องไห้ก็ปล่อยให้น้ำตามันไหลบ้าง”
“ผมไม่ได้อยากร้องไห้นี่ครับ”
“ไม่ได้หมายถึงตอนนี้สิ” เขาตอบยังคงเดินตามรถเข็นซึ่งบุรุษพยาบาลเข็นต่อไปยังแผนกการเงินและผละจากไปทำหน้าที่ดูแลคนไข้อื่นเพราะเห็นมีญาติมาด้วย “แล้วหลังจากนี้ต้องทำอะไรต่อ”
“ไปจ่ายเงิน รับยา กลับบ้านครับ” ตอบเสร็จก็ต่างฝ่ายต่างเงียบ กระทั่งได้ยินเสียงประกาศเรียกเจ้าตัวก็ทำท่าจะเข็นตัวเองไปแต่คนตัวใหญ่เป็นฝ่ายรับหน้าที่เข็นรถพาไปจัดการทุกอย่าง ตอนที่เห็นเด็กหยิบกระเป๋าตังค์จ่ายค่ารักษาและยาด้วยเงินสดล้วนแถมยังมีเหลืออีกเป็นปึกในนั้นทำให้รู้ว่า ฐานะทางบ้านน่าจะดีแต่พกเงินมาขนาดนี้มันอันตราย
“แล้วนี่เราจะกลับยังไง”
“เรียกแท็กซี่ครับ”
“ไปแท็กซี่...คนเดียวเนี่ยนะ”
“ทำไมไม่ได้ล่ะครับ นั่งแท็กซี่กลับยังดีกว่าขามาที่ขึ้นรถไฟต่อรถเมล์อีกนะครับ”
“เฮ้อ” ลมหายใจอุ่นของคนถามหลุดออกมา “บ้านเราคือร้านดาวดวงใหญ่ใช่ปะ”
“ไม่ครับ บ้านผมไม่ได้อยู่ที่นั่นแต่ก็อยู่ละแวกนั้น”
“อืม...เข้าใจล่ะ” บอกแล้วก็ขยับมาข้างหน้าและทรุดลงไปนั่งยองๆหันหลังให้ “ขึ้นมาสิ”
เด็กหนุ่มมองแผ่นหลังกว้างตรงหน้าพลางกระพริบตาปริบอย่างไม่เข้าใจ อีกฝ่ายพอเห็นไม่ขึ้นมาสักทีก็เหลียวไปมองเห็นท่าทางรีรอเข้าเลยเป็นฝ่ายคว้าแขนทั้งสองข้างให้พาดมาบนไหล่
“อะไรครับ” คำถามดังขึ้นจากเบื้องหลัง
“รถพี่มันจอดเลยร้านกาแฟไปหน่อย ขาเราสั้นขนาดนี้คงเดินไปไม่ไหว เพราะงั้นขี่หลังพี่ไป เดี๋ยวพี่จะขับรถไปส่งที่บ้านให้”
“อย่าดีกว่าครับ แค่เรียกแท็กซี่แล้วช่วยพยุงผมเข้าไปก็พอแล้ว” เจ้าของแขนเล็กชักแขนกลับแต่โดนยื้อไว้
“ไม่ได้” คนใจดีเริ่มกลายเป็นดุไปอีกรอบ
“ได้สิครับ ไม่เห็นเป็นไรเลย”
“หนูนี่นะเป็นเด็กดีแต่ดื้อจัง ขึ้นมาเถอะน่า ถ้ายังจะดื้อพี่จะหาเบอร์ร้านดาวดวงใหญ่แล้วโทรไปบอกพวกพี่เราเรื่องเราป่วยให้ฟังนะ” เมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผลเลยใช้ไม้แข็ง ฝ่ายคนตัวเล็กที่ไม่อยากให้รู้ไปถึงหูลูกพี่ลูกน้องตัวเองกุมขมับพลางถอนหายใจอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ปีนขึ้นไปบนหลังกว้างนั้นจนได้
“ดีมาก” ฮันเฮชมก่อนจะหยัดกายลุกจากพื้นโดยแบกร่างเล็กไว้บนหลังเดินออกจากโรงพยาบาลไปตามทาง ทั้งที่มีอีกคนอยู่บนหลังทว่าทุกจังหวะที่ก้าวไปข้างหน้าไม่รู้สึกเลยว่าแบกใครอยู่ ด้วยน้ำหนักที่เบาหวิวเหมือนไม่ค่อยได้กินอะไรเลยทำให้คิ้วขมวด “ทำไมตัวเบาจัง เล่นกีฬาอย่างเดียวไม่กินข้าวหรือไง”
“กินครับ...แต่ผมไม่ชอบกินของจุกจิกหรือขนมหวาน”
“อ้าว ไม่ชอบขนมเหรอ”
“ครับ”
“งั้นอมยิ้มที่ให้ไปได้กินไหม”
“ไม่ได้กินครับ”
“ทิ้งไปแล้วเหรอ”
“ไม่ครับ ผมไม่เคยทิ้งของที่มีคนตั้งใจให้”
“เก็บไว้เหรอ ทั้งลูกอมที่ให้ไปคราวนู้นก็ด้วยเหรอ”
“ครับ กะไว้ว่าถ้าวันไหนรู้สึกน้ำตาลต่ำจะหยิบมากิน”
“อา...แบบนี้นี่เอง อ๊ะ โทษทีแต่พี่ขอแวะร้านกาแฟนี้แป้บนึงนะ” เขาขอทันทีที่เดินมาถึงหน้าร้านกาแฟของรุ่นน้องโดยไม่รอให้อนุญาตก็ผลักประตูเข้าไปตะโกนบอกเจ้าของร้านที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ไม้ชงกาแฟกับเครื่องให้ลูกค้า
“ยองแจ พี่ไปก่อนนะเว้ย”
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวดิ แล้วนั่น...ไปรู้จักเด็กคนนั้นเมื่อไหร่ อะไรเนี่ย คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป”เสียงบ่นนั้นตะโกนไล่หลังแต่คนตัวใหญ่ไม่ได้สนใจเพียงเร่งฝีเท้าแบกคนตัวเล็กเดินไปยังรถยนต์สีดำที่จอดอยู่ริมทางเท้าหน้าถนนใหญ่ จัดการกดปลดล็อกเปิดประตูหันหลังให้ร่างบนหลังเข้าไปนั่งเรียบร้อยก็เดินอ้อมมาฝั่งคนขับ
ซามูเอลกวาดตามองคอนโซลรถที่มีฟิกเกอร์ตุ๊กตาบาร์ตตัวเล็กในอิริยาบถต่างๆวางเรียงกันเป็นแถว สายหุ้มเข็มขัดนิรภัยก็เป็นลายโดนัทชมพูบนพื้นสีเหลืองขณะที่ด้านหลังมีหมอนโดนัทสีชมพูกับหมอนกลมหน้าบาร์ตวางอยู่ก็หลุดยิ้มออกมา
“คุณน้าชอบซิมป์สันเหรอครับ”
“เปล่า”
“แต่มีบาร์ตเต็มรถเลย”
“ชอบแต่บาร์ต ไม่ได้ชอบเรื่องมันนะ...ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่ได้ชอบดูซิมป์สัน ชอบแต่บาร์ตเพราะมันกวนดี แต่ถ้าเป็นอนิเมชั่นเรื่องอื่นก็ดูอยู่ ล่าสุดที่ดูก็เรื่อง Kuroko no Basket เป็นการ์ตูนเกี่ยวกับบาสเว่อร์หน่อยๆ หนูรู้จักหรือเปล่า”
“ไม่ครับ...ผมไม่ค่อยได้ดูอนิเมชั่นญี่ปุ่น”
“แล้วอยู่บ้านดูอะไรบ้างเนี่ย”
“เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก แข่งกีฬากับรายการพวกวิทยาศาสตร์ไม่ก็พวกทำอาหาร อ้อ มีดูหนังกับซีรี่ย์สอบสวนแล้วก็ดูซิมป์สันเป็นครั้งคราวครับ”
“ฮู้ย เด็กอะไรดูทีวียังกะคนแก่ ถ้าเขียนไลฟ์สไตล์ใส่กระดาษให้คนทายต้องคิดว่า อายุห้าสิบปลายๆแหง่”
“ผมว่ามันสนุกออก”
“เพลงนี้ไม่ฟังบ้างหรือไง รายการเพลงเนี่ยดูไหม”
“เพลงน่ะฟังครับ แต่ฟังสากลไม่ค่อยได้ฟังเพลงเกาหลีเท่าไหร่”
“งั้นก็ดี เดี๋ยววันนี้พี่เปิดเพลงเกาหลีในรถให้ฟัง เพลงที่จะเปิดเนี่ยเป็นเพลงระดับมาสเตอร์พีชทั้งนั้น รับรองว่าเราต้องชอบแน่นอน” ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปกดเครื่องเสียงรถที่มีธัมไดร์ฟเสียบคาอยู่ ปล่อยเสียงเพลงให้ดังคลออยู่ในรถ คนขับหยุดรถหลังสัญญาณไฟแดงเอี้ยวตัวไปหยิบหมอนจากเบาะหลังวางลงบนตักให้ “นอนได้นะ เดี๋ยวใกล้ถึงละแวกร้านดาวดวงใหญ่จะปลุกมาถามทาง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมยังไม่ง่วง” คนเป็นเด็กตอบพลางทอดสายตาออกไปด้านนอกรถชื่นชมทิวทัศน์ด้านนอกเงียบๆไม่ให้รบกวนคนขับรถ แต่นาทีที่ได้ยินเสียงแรปประหลาดที่เหมือนจะคร่อมจังหวะอยู่ตลอดหากก็ไล่มาทันในห้องสุดท้ายเสมอตาก็เริ่มกระตุกแต่ไม่พูดอะไรเพราะคิดว่าเพลงต่อไปคงไม่เจอ ทว่าผ่านไปสามเพลงแล้วก็ยังเจออีก
“เพลงพวกนี้ของใครเหรอครับ”
“ของแรปเปอร์ที่หล่อที่สุดในเกาหลี”
“ใครเหรอครับ”
“จอง ฮันเฮ”
ชื่อของแรปเปอร์ที่หลุดจากปากทำเอาดวงตากลมโตหรี่ลงราวกับเคยได้ยินมาก่อนกระทั่งจำได้ว่า ฮันเฮ คือชื่อของคนข้างๆก็หันไปมองนิ่งสักพักก็หลุดหัวเราะเสียงใส
“อะไร ขำอะไร”
“5555”
“เอ้า ไม่ตอบอีก เอาแต่ขำ เป็นอะไร มีอะไรตลกก็แชร์ด้วยดิ”
“คุณน้าคือแรปเปอร์คนนั้นเหรอครับ”
“ว้ายยยยยยย ตายยยยยยย แม่นแล้นหนู...เป็นไงเพลงพี่เพราะใช่ไหมล่ะ ถึงไม่ได้โปรดิวเองหมดแต่ส่วนใหญ่ก็ทำเองนะ โฟลในการแรปของพี่เจ๋งใช่ปะล่า”
สิ้นคำเด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากพยายามกลั้นหัวเราะไม่ให้อีกฝ่ายที่มั่นใจตัวเองเกินร้อยเห็นเพราะกลัวเสียมารยาทจนตัวสั่น อีกฝ่ายเหล่ตามองเห็นอาการแล้วก็หลุดหัวเราะตามไปด้วย
...รู้อยู่แก่ใจว่าหัวเราะเรื่องความมั่นหน้าของเขาแน่นอนแต่ก็ทำไม่รู้เพราะไม่อยากให้เครียด...
“อะไร หัวเราะอะไรอีกล่ะ”
“เปล่าครับ ผมไม่ ไม่ได้ ไม่ได้ขำ” อีกคนก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มละล่ำละลักพูดออกมาพร้อมยกมือยกไม้โบกเป็นเชิงปฏิเสธ มือใหญ่คว้าข้อมือผอมนั้นไว้ยังพยายามย้ำหาสาเหตุที่ทำให้หัวเราะแต่ก็ถูกหันหน้าหนีไปอีกทาง
“ผมไม่ได้หัวเราะนะ จริงๆ
“ไม่เอาดิ หัวเราะอะไรบอกด้วย...สัญญา ถ้าบอกจะไม่โกรธ”
“จริงเหรอครับ”
“อืม”
“ที่ว่าคุณน้าเป็นแรปเปอร์ที่หล่อที่สุดในเกาหลีน่ะ อย่าเอาไปพูดกับคนอื่นนะครับ เดี๋ยวเขาจะว่าเอา”
“ทำไมล่ะ พี่ไม่หล่อเหรอไง”
“ก็หล่อครับ แต่ไม่ได้ถึงขนาดที่สุดในเกาหลี”
“ต้าย ยังจะมีหล่อกว่านี้อีกเหรอ ไหนยกตัวอย่างสักคนสิ”
“ตอนนี้ผมนึกไม่ออกหรอกครับ แต่ที่แน่ๆไม่ใช่คุณน้านะครับ” ซามูเอลหันหน้าที่พราวรอยยิ้มกว้างกลับมาตอบ ดวงตากลมโตอ่อนเดียงสาเปล่งประกายระยับเหมือนแสงตะวันยามต้องผลึกแก้วน่าเอ็นดูจนคนแก่กว่าอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้ผมและเหยียดริมฝีปากกว้างจนเห็นลามไปถึงเหงือก
“หนูน่ารักนะรู้ตัวปะ เวลาที่ยิ้มน่ารักกว่าเวลาทำเฉยๆมากเลยนะ”
“ผมไม่ใช่คนประเภทฝืนยิ้มเวลาที่ไม่อยากยิ้ม”
“อย่าทำตัวแก่ดิ ก็เข้าใจนะว่าอายุเท่านี้ต้องมาเจ็บป่วยก็คงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นภาระใช่ไหมล่ะ แต่ก็อย่างที่บอกน่ะ เวลาเจ็บอย่ากังวลที่จะบอก คำว่าครอบครัวมันหมายถึงการแบ่งปันทั้งสุขและทุกข์นะ อย่าให้ครอบครัวเป็นทุกข์ในเวลาที่สาย แบบนั้นมันทรมานกว่าบอกไปแต่เนิ่นๆแล้วแก้ไขทันนะ” มือใหญ่ขยี้ผมนุ่มแรงๆเป็นครั้งสุดท้ายก็ผละกลับมาจับพวงมาลัยเคลื่อนรถตามสัญญาณไฟเขียวขับต่อไป พลางปรายตามองมือเรียวเล็กที่สางผมยุ่งให้กลับมาเข้าทรงก็เปิดปากถามอีก
“โกรธหรือเปล่าที่พี่ขยี้ผมอ่ะ”
“โกรธ ไม่อ่ะครับ...ทำไมเหรอครับ”
“มีคนบอกพี่ว่าไม่ควรไปยุ่งกับผมคนอื่น แบบลูบหรือขยี้ผมอะไรแบบนี้ไม่ควรทำ”
“จริงๆผมก็ไม่ค่อยชอบ แต่กับคุณน้าก็ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ทำไมล่ะ”
“คนอบอุ่นไม่ค่อยมีปัญหา เข้าใกล้ได้ไม่ต้องกังวลว่าตัวเองจะกลายเป็นหลัก” ถ้อยคำเหมือนปรัชญาฟังเข้าใจยากทำให้คนฟังย่นหน้าผากหลุดอุทานออกมาคำ
“ห๊ะ”
“อย่าใส่ใจเลยครับ เอาเป็นว่า คุณน้าดูปลอดภัยน่ะ”
“ไม่ปลอดภัยหรอก จริงๆใจดีให้ขึ้นรถมาด้วยจะพาไปเรียกค่าไถ่”
“เรียกค่าไถ่เหรอครับ”
“ใช่ กะจะขังไว้หลังไดร์ฟทรูแมคเนี่ย ขังเสร็จจะเรียกค่าไถ่สักแปดแสนล้านวอน วะฮะฮะฮ่า” ว่าแล้วก็หัวเราะเหมือนผู้ร้ายในละครหลังข่าว มองรอยยิ้มเดียงสาที่แย้มบนใบหน้าละมุนก็ยิ้มตอบแล้วเลี้ยวรถเคลื่อนเข้าไปในช่องทางตามลูกศรเพื่อกดสั่งของกินบนหน้าจอมอนิเตอร์
“หนูจะกินอะไร”
“ครับ”
“แฮมเบอร์เกอร์อะไรพวกนี้เอาไหม หรือจะเป็นเฟรนช์ฟราย นักเก็ต ไก่ทอด มิลค์เชคอะไรแบบนี้ก็ได้”
“เออ เมนูมันมีอะไรบ้างเหรอครับ”
“เอ้า ไม่มีเมนูประจำเวลาไปแมคเลยเหรอ”
“ไม่มีครับ ที่บ้านผมไม่ให้กินอาหารฟาส์ตฟู้ด”
“แล้วหิวไหมล่ะ”
“ไม่ครับ”
“งั้นลองกินพุลโกกิเบอร์เกอร์ดูแล้วกัน น้ำเอาเป็นมิลค์เชคเนาะ อย่างน้อยก็เป็นนมไม่ใช่น้ำอัดลม” ทั้งที่ได้คำตอบปฏิเสธแต่เจ้าตัวก็หันไปกดสั่งอาหารเพิ่มกับเครื่องจากนั้นก็เคลื่อนต่อไปยังช่องทางด้านหน้า เงินถูกยื่นออกไปก่อนที่พนักงานจะยื่นถุงพลาสติกที่บรรจุอาหารที่สั่งไว้ส่งผ่านกระจกและใบเสร็จรวมทั้งเงินทอนมาให้
“เอ้า เลี้ยง”
“แต่ผมบอกแล้วว่าไม่หิว”
“ดื้ออ่ะ ไม่หิวก็กินได้ ตัวกระเปี๊ยกเท่านี้กินเข้าไปเหอะไม่เป็นไรหรอก แกะพุลโกกิมากินดูสิ”
“จะดีเหรอครับ กินในรถมันจะเลอะนะครับ”
“คนหิวจะมานั่งคิดเล็กคิดน้อยอะไรเล่า เลอะก็ทำความสะอาดได้ แต่อย่าทำซอสเลอะเบาะก็ดีนะ แบบว่าเบาะมันแพงอะ เพิ่งทำมาใหม่ด้วย”
เด็กหนุ่มที่เหมือนเด็กน้อยหยุดแกะห่อกระดาษแฮมเบอร์เกอร์เหลือบยังเจ้าของรถที่ง่วนกับการมองทางอยู่ข้างหน้าแล้วยิ้ม สัมผัสลึกจากใจรับรู้ว่าเป็นคนไม่มีพิษภัยแต่ชอบพูดอะไรปากไวจนย้อนแย้งในบางทีตามประสาแรปเปอร์ที่พูดเก่ง
“ตกลงจะให้ผมแกะไหมครับ”
“แกะดิ...แกะเลย ลองชิมดูจะได้รู้ว่าเป็นไง”
“มันชิ้นใหญ่จัง แบบนี้จะกินหมดยังไงครับ”
“กินไม่หมดก็ส่งมาให้พี่ เดี๋ยวพี่กินที่เหลือเอง”
เพราะบอกมาเช่นนั้นคนตัวเล็กเลยกัดแฮมเบอร์เกอร์ที่เป็นเหมือนหมูชุบแป้งทอดประกบสอดไส้ผักและเนื้อมากินได้เสี้ยวหนึ่งก็หยุด การถูกสอนให้กินอาหารตามเวลาพอกินนอกความเคยชินเลยกินได้น้อย...หน้าหันไปหาชายที่กำลังขับรถเห็นมองถนนอยู่เลยพับกระดาษห่อจะเก็บ
“เฮ้ยอย่าเพิ่งเก็บ กินไม่หมดก็เอามานี้”
“อา...ครับ นี่ครับ” เมื่อถูกร้องขอเลยยื่นไปทั้งห่อ
“อย่าส่งมาแบบนี้ดิ ป้อนให้ด้วย”
“ต้องป้อนด้วยเหรอครับ แต่มืออีกข้างก็ว่างนี่ครับ”
“พี่หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้วอ่ะ แต่ขับรถอยู่ต้องใช้สมาธิ”
“อ๋า...ผมเข้าใจแล้ว ที่เอาผมมาเพื่อให้ช่วยเอาของให้กินใช่ไหมครับ” ถามออกไปพร้อมยิ้มบาง
ปกติเขาไม่ใช่คนยิ้มยากเย็นอะไรกับครอบครัว พี่น้องหรือเพื่อนฝูง เขาก็เหมือนเด็กธรรมดาคนหนึ่งยิ้มและหัวเราะออกมาง่ายๆ แต่กลายเป็นผู้ใหญ่ในเวลาที่เจอกับคนที่มีบางอย่างอ่อนแอหรือชวนให้รู้สึกอันตราย
ในตอนนั้นใบหน้าของพี่ชายเจ้าของบ้านก็ลอยเข้ามาในความคิด...ใช่ เขาไม่อยากยุ่งกับพี่ชายที่เป็นโรคคนเหงาเลยแม้แต่น้อย เพราะกลัวจะถลำลึกลงไปในความมืดนั้นด้วยแต่บรรยากาศการคุยกันในตอนเช้าคล้ายจะเห็นแสงเล็กๆปรากฏออกมา เป็นแสงที่บอกว่าถ้าให้โอกาสช่วยสักนิดอาจจะฉุดให้หลุดออกมาได้
“ก็บอกแล้วว่า เอามาเรียกค่าไถ่”
“555 คุณน้านี่ตลกจัง” เป็นครั้งที่เสียงใสหัวเราะออกมา
“ใครจะประหลาดแบบหนูล่ะ ที่จริงน้องชายพี่เขาก็ประหลาดเหมือนกัน แบบว่า มองโลกในแง่ดี คิดร้ายกับใครไม่เป็นอะไรอย่างนั้น แต่กับหนูเหมือนโตกว่าอายุ แบกโลกไว้บนบ่าทั้งใบ”
“ไม่ได้แบกโลกนะครับ แค่แบกน้ำหนักตัวเองก็ลำบากแล้ว อ๊ะ นี่ครับ กินได้” เมื่อพับขอบกระดาษลงมาครึ่งหนึ่งของเนื้อแฮมเบอร์เกอร์แล้วไปยังปากกว้างของคนที่อ้ารออยู่แบบนั้นหลายครั้งจนหมดก็คว้านหากระดาษทิชชู่มาเช็ดมือ
“หนูผอมมากเลยรู้ปะ ดูจากที่กินไม่น่าเล่นบาสเอาเป็นเอาตายได้ขนาดนั้น”
“ผมกินข้าวตรงเวลาน่ะครับ นอกจากมื้อเย็นที่จะมีช้าบ้าง พอนอกเวลามันจะกินได้น้อย ส่วนเรื่องเล่นบาสผมชอบน่ะครับ เวลาเล่นก็เลยลืมเวลา ลืมไปว่าเจ็บหรือเหนื่อยด้วยซ้ำ” เด็กหนุ่มเอ่ยแล้วเงียบเพราะยุ่งกับการเช็ดมือจนเสร็จจึงต่อ “ความจริงผมก็รู้นะว่า เล่นบาสต่อไปอาจถึงขั้นเดินไม่ได้ คราวก่อนที่ข้อติดจนเดินไม่ได้พอหายผมก็แค่อยากจะเล่นมันอีกสักนิด ไม่ได้คิดว่าเจ็บอีกจนต้องเลิกเล่นจริงจังเร็วขนาดนี้”
“โรคที่เป็น รักษาไม่หายเหรอ”
“มันเป็นโรคทางกรรมพันธุ์ เวลาเป็นก็เป็นไปตลอด ไม่มีทางรักษาให้หายขาด”
“ก็เลยอดเล่นบาสดิ หนูคงรักการเล่นบาสมากเลยสินะ แต่เชื่อเถอะสักพักหนูจะปรับตัวได้เอง อย่างเมื่อก่อนพี่เป็นนักกีฬาบาสของโรงเรียนกับมหาวิทยาลัยเชียวนะ ได้ถ้วยมาเยอะเลยด้วยแต่พอจบออกมาทำงาน ก็ไม่ค่อยได้เล่นเหมือนก่อน ไปๆมาๆก็กลายเป็นไม่โหยหาต้องเล่นให้ได้ทุกวัน ดูเฉยๆบางทีก็พอแล้วอะไรแบบนี้ โอ๊ะ นี่ใกล้ร้านดาวดวงใหญ่ของพี่เราแล้วนะ บ้านเราต้องไปทางไหนต่อล่ะ”
“เลี้ยวตรงนั้นครับ แล้วก็ตรงไป...อา จอดตรงนี้ครับ”นิ้วเรียวเล็กชี้บอกทางเป็นระยะจนพารถมาจอดที่ลานจอดรถของอพาร์ทเม้นต์ซึ่งอาศัยอยู่ชั่วคราว
ฮันเฮปลดสายเข็มขัดดึงหมอนที่วางไว้บนตักให้เก็บไปข้างหลัง หิ้วถุงของกินติดมาแล้วลงจากรถ แทบกระโจนไปยังฝั่งข้างคนขับเมื่อเห็นคนเด็กกว่าเปิดประตูทำท่าจะลงมาเดินเอง แขนแข็งแรงจากการออกกำลังกายฟิตกล้ามเพื่อจะได้เป็นผู้ชนะในโครงการเพาะกายสร้างสุขภาพชิงเงินรางวัลมูลค่าหลักล้านวอนจากบอสสอดเข้าไปอุ้มร่างเล็กลอยขึ้นมาพลางใช้เท้าถีบประตูรถตามด้วยใช้นิ้วกดล็อกรถ
“คุณน้าครับ ส่งผมแค่นี้พอครับ เดี๋ยวผมกลับขึ้นไปเองได้”
“โอ๊ย มาถึงขนาดนี้แล้ว ไปส่งมันให้ถึงหน้าบ้านนั้นแหละ อย่าดื้อน่าหรือว่าอาย เป็นเด็กเป็นเล็กโดนผู้ใหญ่อุ้มอย่าไปอายถือว่าสบายไม่ต้องเดินแทนสิ”
“ผมยังไม่ได้พิการนะครับ”
“แต่หมอสั่งว่าห้ามเดิน เอาน่ามาแล้วนี่ ให้ไปส่งถึงห้องเหอะ พี่จะได้บอกพวกพี่หนูให้ดูแลหนูดีๆด้วย”
“พี่ผมไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยหรอกครับ”
“อ้าว...ไหนว่าพ่อแม่อยู่ไกล แล้วหนูอยู่กับใครล่ะบ้านนี้”
“บ้านผมจริงๆอยู่ละแวกนี้เหมือนกันครับแต่กำลังต่อเติมอยู่ บ้านพวกพี่ๆที่ร้านอาหารก็แคบไปอัดกันไม่ไหวแล้วก็เลยต้องมาอาศัยกับลูกชายของลูกน้องพ่อนะครับ”
“อ้อ ก็ยังดีที่มีคนอยู่ด้วย”
คนตัวใหญ่ว่าเดินจากลานจอดรถไปยังประตูกระจก ถามหาคีย์การ์ดที่ใช้ผ่านประตู มือเล็กเลยล้วงมันจากในกระเป๋าเสื้อมาแตะและผ่านเข้าไปจนถึงโถงกว้างที่ตกแต่งผสมผสานความหรูหราอย่างโมเดิร์นได้อย่างลงตัว มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าราคาห้องแพงระยับระดับที่คนฐานะปานกลางที่กระแดะชอบของแบรนด์เนมอย่างเขาไม่น่าเอื้อมถึง
...ครอบครัวเด็กคนนี้คงเป็นเศรษฐี...
...ลูกคนรวยที่ป่วยจนทำกระทั่งสิ่งที่รักไม่ได้ บอกว่าเจ็บก็ไม่ได้ กลัวว่าจะทำให้คนเป็นห่วงอีกต่างหาก...
...มันคงไม่เศร้าเป็นบ้าขนาดนี้ถ้าไม่ใช่ทุกทีเขาเห็นแต่เด็กคนนี้ดีกับคนอื่นแบบไม่หวังผล
...นี่คือสิ่งที่เด็กคนหนึ่งได้รับจากการทำความดี...
...โลกแม่งบางทีก็เป็นห่าอะไรไปแล้ว...
“คุณน้า ปล่อยผมได้หรือยังครับ” เสียงเล็กนั้นถามขึ้นอีกในตอนที่ทั้งคู่เข้ามาในลิฟต์และนิ้วเรียวเล็กก็กดชั้นที่หมายเรียบร้อยแล้ว
“ก็บอกแล้วว่าจะไปส่งให้ถึงห้อง”
“คุณน้านี่เริ่มเหมือนพวกพี่ๆผมเข้าไปทุกทีแล้ว เวลาเจ็บทำเป็นเรื่องใหญ่เหลือเกิน พ่อผมเขายังให้ผมลุกเองเวลาล้มเลย แต่พวกพี่ๆ นิดเดียวก็ไม่ได้”
“พี่ก็ทำแบบนี้กับน้องชายพี่ที่ป่วยเหมือนกัน อา แล้วไง จะให้เลี้ยวไปทางไหน”
“ขวาครับ นี่ครับ ห้องนี่” หลังจากเดินเลี้ยวมาได้สักพักก็มาหยุดอยู่หน้าประตูบานไม้ผสมหินอ่อนเรียบหรูที่ดูจะต่างจากประตูห้องอื่นที่สีของหินอ่อนที่เป็นสีดำแทนที่จะขาว
“วางผมลงได้แล้วนะครับ”
“โอเค” ชายหนุ่มวางร่างในอ้อมแขนลงกับพื้นอย่างอ่อนโยน ทันทีที่คนเป็นเด็กก้าวลงมายืนเต็มเท้าความรู้สึกเจ็บแล่นแปลบถึงขั้นต้องเม้มปากแน่นอย่างอดกลั้นไม่ให้ร้องออกมา
“นั่น เจ็บมากเลยดิ อย่างนี้จะเดินได้เหรอ ให้พี่อุ้มเข้าไปไหม”
“ไม่ครับ ไม่เจ็บแค่ยังไม่ชินเฉยๆ”
“โกหกอีกแล้ว...วันนี้โกหกกี่ครั้งแล้วรู้ตัวปะ”
“คุณน้าก็เองต้องเลิกทำตัวเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิกระจกเงาอะไรแบบนี้เหมือนกันนะครับ บอกไม่เจ็บก็เชื่อผมหน่อยสิ ไม่ยอมเชื่อแบบนี้ก็ยิ่งเอาแต่ช่วย ผมไม่อยากรู้สึกเกรงใจไปกว่านี้แล้ว”
“เป็นเด็กคิดเล็กคิดน้อยอีกล่ะ ถ้าไม่สบายใจก็คิดว่าเป็นค่าที่หนูเอากระเป๋าตังค์มาคืนพี่ก็ได้ เนี่ย ถ้าวันนั้นหนูไม่มาคืนพี่อดตายทั้งเดือนเลยนะ”
“แต่คุณน้าก็ให้ขนมผมมาแล้ว”
“ไอ้ลูกอมห่อละร้อยวอนอะนะ อย่าไปนับสิ” พอเถียงเหมือนเด็กกลับไปเลยทำให้คนเป็นเด็กหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“เข้าใจแล้วครับ เอาเป็นว่า วันนี้เป็นวันล้างหนี้ คุณน้ากับผมไม่มีอะไรติดค้างกัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องขอบคุณคุณน้าอยู่ดีที่ช่วยผม แถมเลี้ยงของกินอีกต่างหาก ขอบคุณมากนะครับ” ร่างเล็กเกาะประตูเป็นหลักไม่ให้ล้มพลางโค้งลงมาเกือบเก้าสิบองศา
“โค้งขนาดนี้อีกนิดก็คำนับแล้วล่ะ ไม่ต้องนอบน้อมขนาดน้าน นี่ไม่ใช่ชนชั้นขุนนางเป็นขี้ข้า”
“ตลกอีกแล้ว” เด็กหนุ่มถอนหายใจแล้วยิ้มอีกครั้ง “ผมเข้าบ้านก่อนนะครับ ยังไงวันนี้ก็ต้องขอบคุณจริงๆนะครับและก็อย่าอู้งานด้วยการอ้างคนอื่นแล้วปิดโทรศัพท์ใส่เจ้านายตัวเองบ่อยนะครับ เดี๋ยวโดนไล่ออก”
“55555 นั่นไง สุดท้ายก็วกมาด่าล่ะ”
“ผมไม่ได้ด่านะครับ แค่เตือนเฉยๆ ตกงานขึ้นมาจะไม่มีเงินซื้อขนมกินนะ ผมไปแล้วนะครับ โชคดีนะครับ” เจ้าของมือเล็กเอ่ยคำลาพลางโบกมือให้ก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อ ถุงอาหารที่สั่งจากไดร์ฟทรูถูกยื่นมาตรงหน้า
“เก็บนี้ไว้กินเป็นมื้อเย็นสิจะได้ไม่ต้องเดินลงไปข้างล่าง กินฟาส์ตฟู้ดมื้อเดียวคงไม่ถึงขั้นลำไส้สลายหรอก แล้วก็ถ้าขาหายบวมแล้วแวะมาที่สนามบาสสิ เดี๋ยวพี่จะสอนดั้งค์แบบสเปเชียลที่รับรองว่าไม่กระแทกจนเลือดออกตามข้อให้”
“ทำงานให้เสร็จก่อนเถอะครับ ไม่ใช่ขาผมหายบวมแล้วยังไม่เสร็จ”
“เสร็จดิ...เนี่ย กลับไปจะปั่นให้เสร็จ อ้อ แล้วจะให้แวะบอกพี่เราไหมว่า เราป่วย”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมบอกเอง”
“จะบอกแน่อ่ะ”
“ต้องบอกอยู่แล้วครับ...ผมไปที่ร้านทุกวัน วันไหนอยู่ๆไม่ไปที่ร้านพี่เขาจะโทรมาถามว่าทำไมไม่ไป”
“โอเค พี่ไปล่ะนะ...อย่าลืมเชื่อฟังลุงหมอ พรุ่งนี้หยุดเรียนซะ แล้วก็อย่าใช้ขาเยอะ ไม่จำเป็นอย่าเดิน ถ้าไม่ไหวเรียกพี่สักคนมาช่วยดูแล กินยาตามหมอสั่งด้วยนะ”
“ครับ”
“บายนะหนู เป็นเด็กดีล่ะ” ฮันเฮเอ่ยลาเอื้อมมือใหญ่ลูบหัวที่มีเรือนผมนุ่มสลวยปกคลุมขณะที่ดวงตาจับนิ่งบนใบหนาและนัยน์ตาอ่อนเดียงสาด้วยรอยยิ้มกว้างราวนาทีก็หันหลังกลับแต่เดินไปเพียงไม่กี่ก้าวเท้าก็ขยับเหลียวมาอีก
“พวกของกินที่ให้ไปถ้ากินไม่หมด แช่ตู้เย็นไว้นะ เผื่อพรุ่งนี้เอามาเวฟเป็นข้าวเช้าได้...แล้วก็ถ้ามีอะไรเครียดๆ แอดคาทกพี่มาคุยได้นะ ชื่อไอดี Suckergoku”
“ครับ”
“แอดมาด้วยนะ”
“แต่เมื่อกี้คุณน้าบอกว่า ถ้าเครียดค่อยแอด”
“ตอนนี้ไม่เครียดเหรอ”
“ไม่ครับ”
“ก็ตอนจะแอดถ้ายังไม่เครียดก็แกล้งเครียดสักนาทีแล้วค่อยแอดมาดิ๊...ไปล่ะ ไปจริงๆแล้วนะ บาย” ในที่สุดคนตัวใหญ่ก็ยอมไปจนได้
ซามูเอลลดมือที่โบกไปมาเมื่อคนอายุมากกว่าลับสายตาไปแล้วชะโงกมองไปในถุงของกินที่ได้รับมาและเพิ่งสังเกตว่าในนั้นมีพวงกุญแจหน้าบาร์ตใส่มาด้วยก็แย้มริมฝีปากเป็นรอยยิ้มบาง
...เป็นคนอบอุ่นที่ตลกดีจัง...
0 Comments