LOVE TOXICAL : WONSAM CHAPTER 16

06:51


รองเท้าผ้าใบสีดำถูกหยิบจากพื้นไปวางเรียงข้างรองเท้าอีกหลายคู่ที่วางชิดกับผนัง แสงสลัวจากหน้าประตูที่เปิดขึ้นอัตโนมัติยามมีคนเปิดเข้ามาสว่างพอจะให้มือเรียวของคนตัวผอมป่ายไปจนเจอสวิตซ์ไฟของห้องโถงได้


แจวอนเดินเข้าในห้องโถงกว้างแขวนกระเป๋าหนังสะพายข้างสีน้ำตาลแขวนไว้บนไม้แขวนสูทที่ดัดแปลงมาใช้แขวนทั้งกระเป๋าและหมวก นัยน์ตากลมมองผ่านหน้าต่างบานใสบานใหญ่ออกไปยังตึกสูงที่ระยับด้วยแสงไฟท่ามกลางสีม่วงหม่นของท้องฟ้าแม้เวลาจะล่วงผ่านเที่ยงคืนมาสองชั่วโมงแล้วก็ตาม


วิถีชีวิตที่วนเวียนอยู่กับโลกกลางคืนมากกว่ากลางวัน ผู้คนรอบข้างที่ได้พบปะพูดคุยและใช้เวลาร่วมกันเป็นส่วนใหญ่ล้วนพอใจกับการใช้ชีวิตยามค่ำคืน หากทุกคราที่พ้นมาจากความสนุกสนานข้างนอก เพียงเหยียบเท้ากลับเข้ามาในบ้านความรู้สึกโหวงว่างก็เข้ามาแทนที่จนกลายเป็นความเคยชิน


ทั้งที่ตั้งใจว่าจะกลับมาให้ทันเจอน้องร่วมบ้านก่อนเจ้าตัวเข้านอน ความรู้สึกอุ่นเล็กๆในใจระหว่างที่เดินไปส่งเด็กคนนั้นที่โรงเรียน บทสนทนาที่ฟังออกจะประหลาดและเป็นปรัชญาให้ต้องตีความทำให้เขารู้สึกอยากใช้เวลาด้วยกันเพิ่มอีกสักนิด แต่กว่าเขาจะเลิกเรียนวิชาทฤษฎีดนตรีที่เขาลงทะเบียนเรียนคนเดียวก็เกือบหกโมงเย็นแล้ว ไหนยังต้องไปรอกินข้าวกับพวกกวังมินที่ต้องถ่ายซ่อมหนังสั้นให้กับยุนกิซึ่งเป็นเพื่อนคณะเดียวกันแต่คนละเอก ต่อด้วยการพาไปโรงพยาบาลและส่งพวกมันที่เจ็บอยู่กลับบ้าน สุดท้ายก็ลงเอยที่กลับบ้านหลังเที่ยงคืนอีกตามเคย

ชายหนุ่มเดินเข้าครัวระหว่างที่กระดกน้ำเย็นดับกระหายก็เห็นโพสอิทที่ติดอยู่บนประตูตู้เขียนไว้ว่า มีแฮมเบอร์เกอร์อยู่ในถุงอุ่นกินได้ก็ขมวดคิ้วด้วยอยู่กันมานอกจากข้าวเช้าที่หาไว้ให้แล้ว มื้ออื่นเขาก็ดูแลตัวเองตามอัธยาศัยแต่ไหงใจดีซื้อของกินเผื่อให้

เขาวางแก้วน้ำไว้ในอ่างล้างจาน ความที่ยังอิ่มท้องเลยไม่ได้หยิบอะไรออกมากิน เพียงแค่ปิดไฟในห้องโถงแล้วเปิดไฟทางเดินไปที่ห้องตัวเองหยิบเอาเสื้อผ้าได้ก็ออกมาอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน ทว่าตอนที่บิดลูกบิดประตูจะเข้าไปในห้องตาก็เหลือบไปทางประตูห้องนอนของน้องร่วมบ้าน

“ราตรีสวัสดิ์” ถ้อยคำจากคนโตกว่าอ่อนเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบหลุดจากปากอย่างไม่ตั้งใจ พอรู้ตัวว่าพูดลอยๆออกไปยังคนที่ไม่มีวันได้ยินเสียงก็ขมวดคิ้วแล้วเปิดประตูกลับเข้าห้องนอนที่จัดเป็นสตูดิโอในการทำเพลงของตัวเองไปในตัว ล้มตัวลงบนเตียงที่เป็นสิ่งเดียวที่พอเหลือที่ว่างและหลับไปในที่สุด
----------------------------------
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือที่แผดเสียงลั่นไปทั้งห้องเรียกให้คนที่นอนคลุมโปงใต้ผ้าห่มป่ายมือไปบนเตียงนอนเพื่อปิดเสียงโทรศัพท์แทนการลืมตาตื่น แม้จะตั้งปลุกไว้เพราะมีเรียนวิชาของอาจารย์ที่เฮี้ยบที่สุดในคณะตัวเองแต่กลุ่มเขาปกติก็ไปสายประจำอยู่แล้วเลยว่าจะนอนต่อ แต่อยู่ๆก็เอะใจขึ้นมาได้ว่า เวลานี้คือเวลาที่น้องร่วมบ้านอีกคนจะตื่นไปเรียนเลยกระเด้งตัวขึ้นมาอัตโนมัติ

แจวอนอาบน้ำเสร็จก็หยิบเสื้อมีฮู้ดสีดำกับกางเกงยีนส์ขาวยาวสีดำมาสวมและเดินออกจากห้อง หากเมื่อออกมาถึงโถงนั่งเล่นไฟกลับยังปิดสนิท บนโต๊ะกินข้าวข้างนอกไม่มีอาหารเช้าวางไว้ พอเข้าครัวเปิดตู้เย็นของที่อีกฝ่ายแปะโน้ตให้อุ่นกินได้ยังอยู่ตามเดิมเลยเดินไปมองรองเท้าของอีกคนก็ยังวางไว้ดังเก่า

เขาย่นหน้าผากหันไปมองนาฬิกาบนผนังที่บอกเวลาเจ็ดโมงสี่สิบ...เมื่อวานก็ออกจากบ้านราวๆนี้ทำไมตอนนี้ยังไม่ตื่นอีก หรือว่าจะตื่นสาย

...ตื่นสายเป็นกับเขาด้วย...

ยามคิดรอยยิ้มน้อยๆก็ผุดตรงมุมปาก เขาเดินตรงกลับไปทางเก่าเดินเลยไปยังหน้าประตูห้องนอนเล็กที่อยู่ด้านในสุดพลางเคาะประตูเรียกและยืนรออยู่อย่างนั้นเกือบห้านาทีก็ไม่มีทีท่าว่าประตูจะเปิด แม้จะลองเคาะใหม่ดูหลายหนแล้วก็ตาม สุดท้ายเลยตัดสินใจไปเอากุญแจในห้องตัวเองมาไข


ภายในห้องสีขาวที่เขาทิ้งไว้ไม่เคยทำความสะอาดจนอับมานาน ตอนนี้กลับมีกลิ่นหอมสะอาดและอากาศโปร่งสบาย ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ บนเตียงนอนเล็กนั้นมีร่างของน้องร่วมบ้านชั่วคราวของตัวเองนอนห่มผ้าปิดขึ้นมาถึงจมูก


ร่างผอมเดินเข้าไปชะโงกอยู่เหนือเด็กที่กำลังหลับ หางตาเหลือบเห็นอะไรบางอย่างเลยหันไปหาก็เจอเข้ากับถุงยาจากโรงพยาบาลและขวดน้ำเปล่ากับแก้ววางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง มือเอื้อมออกไปหมายจะแตะหน้าผากแต่ต้องสะดุ้งชักมือกลับทันทีที่อีกฝ่ายลืมตาโพล่งขึ้นมา


“พี่เข้ามาในห้องผมทำไม” เสียงเย็นเอ่ยถามอย่างไร้อารมณ์ ร่างผอมขยับจากที่นอนอยู่ลุกขึ้นมานั่ง


“เห็นจะแปดโมงแล้วนายยังไม่ไปเรียน เคาะเรียกก็ไม่เปิดเลยมาดู...หน้านายซีดมากนะ ไม่สบายเหรอ”


“ผมไม่ได้เป็นอะไร”


“ไม่เป็นอะไรได้ไง ยาเต็มโต๊ะเลย” นิ้วเรียวชี้ไปยังยาที่กองอยู่ “แล้วนี่ไปหาหมอเองคนเดียวเลยเหรอ ทำไมไม่บอกล่ะว่าไม่สบายจะได้พาไปหาหมอ คาทกพี่เราก็มีไม่ใช่ไง”


“ผมไม่อยากรบกวนพี่หรอกครับ”


“รบกวนอะไร ถ้าไม่สบายก็บอกได้”


“เราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นต้องคอยดูแลกันและกันสักหน่อยนี่ครับ” คำตอบที่เรียบเฉยนั้นทำให้ฝ่ายถูกย้อนจากที่มีสีหน้าเป็นกังวลก็ถึงกับส่งเสียงในลำคอพลางกรอกตามองไปทางอื่น


...เด็กคนนี้นี่ถ้าไม่กวนโมโหสักวันจะไม่ได้หรือยังไง...


“เอาอีกล่ะ...เบื่อไอ้คำว่า ไม่สนิทกันจัง”


“ก็ไม่ได้สนิทกันจริงๆนี่ครับ”


“เราอยู่บ้านเดียวกัน นายทำข้าวให้พี่กินตอนเช้า พี่ไปส่งนายไปโรงเรียน นายดูพี่ตอนไม่สบาย แบบนี้ยังไม่สนิทกันเหรอ”


“นั่นมันไม่ใช่เพราะความจำเป็นหรอกเหรอครับ” อีกฝ่ายสวนมาอีกคำรบ หากครั้งนี้ทำให้คนอายุมากกว่าเงียบไปในทันที นัยน์ตาโตสีเข้มหรี่เล็กและปากที่เม้มเข้าหากันนั้นทำให้ทั้งห้องเงียบไปหลายนาที 



“ผมไม่ได้ป่วย แค่ข้อเท้าบวม พักเท้าสองสามวันก็หาย” สุดท้ายคนเป็นเด็กก็อ่อนใจตอบกลับไป



“ข้อเท้าบวมเหรอ ไปทำอีท่าไหนถึงบวมได้ เออ เราเล่นบาสนินะ คงกระแทกผิดท่าดิ แล้วนี่โทรบอกอาจารย์หรือยังว่าไม่ไปเรียนน่ะ” 


“ไม่ต้องโทรครับ ผมไปเรียนเมื่อไหร่แค่เอาใบรับรองแพทย์ไปยื่นก็จบแล้ว”


“อา งั้นเหรอ”คนโตกว่าว่า มองหน้าคนเป็นน้องที่นั่งพิงหลังกับหัวเตียงด้วยหน้าที่เซียวและไร้แววอารมณ์เหมือนอาการหนักมากกว่าแค่เจ็บข้อเท้า มือเรียวเลยยื่นออกไปหมายจะอังความร้อนของหน้าผากแต่อีกคนก็ยกมือขึ้นมาประสานนวดตรงระหว่างคิ้วพอดี


“นายดูไม่ดีเลยอ่ะ เจ็บเท้าแบบนี้จะเดินไปไหนก็ไม่ได้อีก เอางี้แล้วกัน เดี๋ยววันนี้พี่อยู่ดูนายเอง”


“ไม่มีเรียนเหรอครับ”


“มี แต่โดดสักวันไม่เป็นไรหรอก วันนี้พี่ไม่ได้เรียนวิชานี้คนเดียว พวกกวังมินมันก็เรียน”


“พวกพี่เขาไปเรียนคาบเช้ากันทันด้วย”

“ไม่ค่อยทันหรอกแต่พวกพี่ฝากคนอื่นอัดเสียงอาจารย์กับจดเลคเชอร์ให้น่ะ”

“ฝากคนอื่นอัดเสียงกับจดเลคเชอร์ให้ อา แบบนี้ก็เลยไปสายหรือโดดเรียนได้สินะครับ...ดีเนาะ ดูพึ่งพาคนอื่นเยอะดี”

“ก็ไม่ได้ฝากเฉยๆนิ จ้างเสียเงินนะ”

“ใครจ่ายเหรอครับ”

“กวังมินมันจ่าย จริงๆพี่ก็จะช่วยมันออกนะแต่มันบอกว่าแค่นี้มันออกเองได้” คนเป็นพี่เอ่ยชื่อเพื่อนสนิทที่ถูกยำจนมาค้างด้วยเมื่อคืน

“ผมว่าพี่ไปเรียนดีกว่า  อย่าโดดเรียนเลย”

“เฮ้ย แค่โดดเรียนไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย นายสิ เท้าเป็นแบบนี้ขืนเดินกะเผลกๆไปนั่นไปนี่มันจะเป็นหนักกว่าเดิม ให้พี่อยู่ดูนี่แหละดีแล้ว”

“พี่ไม่รู้สึกแย่เหรอครับ”

“รู้สึกแย่เรื่องอะไร”

“ทั้งที่ให้ใจเพื่อนไม่เต็มร้อย แต่ก็พึ่งพาเขาอยู่เสมอเลย” ถ้อยคำถามที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่คิดอะไร หากข้อความที่สื่อสารกลับทำให้คนเป็นพี่หันมามองทั้งที่มือยังกำซองยาบนโต๊ะของอีกฝ่ายไว้โดยไม่ทันได้อ่านรายละเอียด

“หมายความว่าไง”

“ถ้าพี่มีกำแพงกั้นไม่ให้ใครเข้ามาใกล้ก็น่าจะพึ่งตัวเองมากกว่าเป็นฝ่ายรอรับจากเขานะครับ”

“นายจะไปรู้อะไรกับใจคน ถึงพี่จะให้ใจเพื่อนไม่เต็มร้อยก็ไม่ได้หมายความว่าพี่หลอกใช้พวกมันสักหน่อย พี่แทบไม่เคยพึ่งอะไรมันเลยด้วยซ้ำ มีแต่พวกมันที่ให้พี่ช่วยตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่”

จบประโยคนั้น ความเงียบกลับเกิดขึ้นโดยพลัน แจวอนที่เพิ่งรู้ตัวว่าโพล่งความในใจอะไรออกไปได้แต่เลียริมฝีปากมองเด็กบนเตียงที่หยิบหมอนข้างมาสอดหนุนหลังนิ่งงัน

...บ่อยครั้งที่เขาทำตามความต้องการของคนอื่นทั้งที่ข้างในต่อต้าน แต่กลไกความคุ้นชินก็ทำให้ยิ้มและตอบรับกลับไปเสมอ...

ซามูเอลกระพริบตาเหลือบตายังฝ่ายตรงข้ามที่ยืนอยู่ข้างเตียง ใบหน้าหล่อเหลาที่มีรอยยิ้มอาบหน้าเสมอมาบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความกังวล การเอ่ยความรู้สึกในใจให้กับคนอื่นรู้ว่าตนเองไม่ใช่คนใจดีอย่างที่ใครอื่นคิดเป็นเรื่องน่าละอาย


“ผมเข้าใจแล้วล่ะ”


“เข้าใจอะไร” 


“ทำไมพี่ต้องอยากให้คนทั้งโลกรักด้วยล่ะ ทำไมต้องแกล้งยิ้มทั้งที่ข้างในว่างเปล่า ทำไมถึงบอกใครไม่ได้ว่าเหงา ทำไมต้องกลัวที่จะเผยความรู้สึกจริงๆออกมา ถ้าใครคนหนึ่งจะเดินจากไปเพราะตัวตนของพี่ ผมคิดว่ามันดีกว่าที่เขาอยู่ข้างๆเพราะเปลือกปลอมๆที่พี่สร้างนะ”


ตากลมจ้องลึกเข้ามาในดวงตาสีเข้มของอีกคนที่กำลังสั่นไหว ความโดดเดี่ยวที่เกาะกุมและซุกซ่อนอยู่ในหุบเหวแห่งความมืดของหัวใจราวกับสัตว์บาดเจ็บที่ถูกแสงไฟส่องลงไป...แสงไฟที่ชวนให้ตื่นกลัวเพราะไม่รู้ว่าเป็นสัญญาณดีหรือร้าย


“ผมไม่ได้คิดร้ายนะ” เสียงเย็นนั้นดังขึ้นพร้อมกับมือหยาบเพราะการจับลูกบาสเป็นอาจิณแตะลงบนหลังมือ สัมผัสอุ่นจากปลายนิ้วและดวงตาอุ่นอ่อนที่ทอดมาหาคล้ายปลอบว่าไม่เป็นไรอยู่ในทีนั้นทำอีกคนเผลอกัดปากอย่างแรง


...บางครั้งสิ่งที่เขาต้องการจริงๆอาจเป็นแค่มือของใครสักคนที่เข้าใจความคิดเขาโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก


เสียงกริ่งที่ดังขึ้นดึงทั้งคู่ให้หลุดออกจากบทสนทนา เจ้าของห้องกระพริบตาแล้วเดินตรงไปยังประตูก่อนจะพบเข้ากับชายหนุ่มหน้าตาดีผมสีส้ม กายหนาแต่สูงน้อยกว่าเขาพอควรนั้นสวมเสื้อยืดลายทางกับกางเกงยีนส์ขาดๆหิ้วข้าวของพะรุงพะรังยืนอยู่

“มาหาใครครับ”

“ผมมาหาแซม เออ คิม ซามูเอลน่ะครับ”

“อา...”

“คุณคงเป็นลูกชายของป้าเยริใช่ไหมครับ ยินดีที่ได้รู้จัก ผมกวักซอกครับ เป็นลูกพี่ลูกน้องกับแซมเขา เมื่อวานเขาโทรมาบอกว่าเจ็บขาก็เลยมาดูเขาหน่อยน่ะครับ โอ้ๆๆ ช่วยผมถือนี่หน่อยได้ไหมครับ” คนแปลกหน้าที่อยู่ๆก็โผล่มายื่นถุงพลาสติกสีขาวที่ใส่อะไรบางอย่างมา อีกฝ่ายเลยต้องรับไปถือไว้


“ผมเข้าไปได้ใช่ไหมครับ”

“อ้อ ได้ครับ”

“งั้น รบกวนด้วยนะครับ” กวักซอกโค้งให้และตามหลังคนตัวผอมเข้าไปในห้อง นาทีแรกที่ถอดรองเท้าผ้าใบวางไว้กับพื้นและเงยมาเห็นความกว้างขวางของบ้านก็ออกจะตกใจจนตาโตแต่เมื่อสังเกตข้าวของที่แทบไม่มีอะไรบ่งบอกการใช้ชีวิตในห้องสักเท่าไหร่ก็คิดถึงเรื่องที่น้องเคยเปรยให้ฟัง

“พวกนี้เป็นของกินนะครับ ผมเอามาฝากคุณด้วย ไม่ทราบว่าจะวางไว้ไหนได้บ้างครับ”

“ไว้บนโต๊ะกินข้าวก่อนก็ได้ครับ ทางนี้” เจ้าของบ้านเดินนำทาง วางถุงที่ช่วยหิ้วลงบนโต๊ะกินข้าวและมองอีกฝ่ายที่วางของตามลงมา

“แซมเป็นเด็กดีไหมครับ” อยู่ๆคนตัวหนาก็เริ่มถาม

“ก็ดีครับ แต่เขาชอบเถียง”

“เถียง...เขาเถียงคุณเหรอ แต่ปกติแซมเขาไม่ค่อยจะเถียงอะไรใครนะครับ”

“ไม่รู้สิครับแต่เขาเถียงผมทุกวันเลย วันนี้เจ็บขาก็ไม่บอก ผมจะอยู่ดูให้เขาก็ไม่ยอม ดื้อไม่เข้าเรื่องเลย” อีกคนไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่พูดเริ่มเป็นการฟ้องและสีหน้าก็มีเต็มไปด้วยความกังวลระคนหงุดหงิด คนที่ตามหลังเห็นเข้าก็ไม่พูดอะไรแค่ยิ้มบางๆและตามหลังออกไปจนถึงหน้าประตูห้องนอนที่น้องพักอยู่

เสียงเปิดประตูทำให้เด็กหนุ่มที่นั่งพิงหลังเอนคอกับหัวเตียงเพียงหันไปเจอพี่ชายผมส้มหอบของพะรุงพะรังที่คาดว่าน่าจะเป็นของกินมาเต็มสองมือก็หลุดยิ้มกว้างออกมา

กวักซุกสบตาแล้วเดินเข้าไปยืนข้างเตียงพร้อมยกหลังมือไปอังหน้าผากน้องไม่ถึงนาทีก็เปลี่ยนเป็นขยี้ผมน้องที่ยังไม่เข้าทรงดีให้ยุ่งไปกว่าเก่า

“ไง ไอ้ตัวเล็ก เมื่อวานไปหาหมอไม่บอกพวกพี่เลยนะ แถมยังไปบอกไอ้เด็กฝรั่งมันอีกว่ามีธุระ เดี๋ยวนี้หัดพูดโกหกเหรอ นี่ถ้าไม่เห็นว่าเจ็บพ่อจะเขกให้”

“ผมเห็นพวกพี่ยุ่งกันก็เลยไม่อยากกวน”

“ยุ่งแล้วยังไง เป็นพี่น้องกันนะเว้ย ถ้าเราไม่สบายหรือมีปัญหาอะไร แค่บอกพวกพี่ก็หาเวลาให้ได้อยู่แล้ว”

“เวลาของพี่เป็นเงินเป็นทองออก ผมน่ะไม่เป็นไรหรอกครับ สบายมาก”

“แหม่ สบายๆคงไม่ต้องหยุดเรียนแล้วปะ ถ้าพูดสบายมากอีกทีจะตีเลย”

“ผมก็บอกแล้วว่าเจ็บแค่ขา”

“ไอ้แบบเราเจ็บขาก็อันตรายแล้ว...ก็บอกให้เพลาๆเรื่องเล่นบาสหน่อยก็ไม่ฟัง เรื่องไหนก็ไม่ดื้อ มาเรื่องนี้ล่ะดื้อ จริงๆเล้ย” คนเป็นพี่ยกมือวางบนหัวน้องแล้วกำหมัดทุบลงมาบนมือของตัวเองอีกที เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มกว้างจากคนบนเตียงให้หลุดออกมา

เจ้าของห้องยืนนิ่งมีเพียงตาที่กระพริบแล้วมองบรรยากาศอบอุ่นที่อวลอยู่ระหว่างสองพี่น้องตรงหน้าทำให้ในใจเบาโหวง...เด็กที่ระวังตัวกับเขาอยู่ตลอดกลับยิ้มกว้างและหัวเราะเสียงดังกับใครบางคนที่เขาไม่คุ้นเคย

...รู้สึกเป็นส่วนเกิน...

“พี่มีเรียนไม่ใช่เหรอครับ” อยู่ๆเสียงยังไม่แตกดีของเด็กบนเตียงก็พูดขึ้นดึงให้คนที่จมกับความคิดส่วนตัวให้กลับมาสู่โลกความเป็นจริง

“มีเรียนเหรอครับ...งั้นรีบไปเรียนเถอะครับ ไม่ต้องห่วงไอ้ตัวเล็กมันนะ ผมจะอยู่นี่จนกว่าคุณจะกลับมา” กวักซอกเหลียวมาหาพลางบอกเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ

“ดูเหมือนคุณก็มีธุระ ให้ผมดูเขาเองดีกว่าครับ”

“ไม่เป็นไรครับ ที่ร้านมีคนช่วยอยู่ ผมรอจนคุณกลับมาได้อยู่แล้ว”

“ผมไม่แน่ใจว่าถ้าออกไปแล้วจะกลับมาเร็วน่ะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ...จริงๆถ้าคุณไม่ว่าผมค้างที่นี่เพื่อดูน้องจนหายก็ยังได้”

“อ้อ...ถ้างั้น...อืม...ผมไปเรียนก็ได้” แจวอนตอบรับได้เท่านั้นก็เม้มริมฝีปาก หันหลังเกือบจะเดินถึงประตูแล้วแต่เสียงของเด็กคนเดียวในห้องกลับเอ่ยคำที่ทำให้ยิ้มออก

“เดินทางดีๆนะครับ ตั้งใจเรียนด้วยล่ะและก็อาหารเช้า แฮมเบอร์เกอร์ในตู้เย็นนั่นอย่าลืมอุ่นแล้วเอาติดไปกินด้วยจะได้ไม่หิว เดี๋ยวไม่มีสมาธิเรียน”

“เป็นห่วงเหรอ”ประโยคคำถามนั้นมีรอยยิ้มกว้างของคนถามระบายทั่วหน้า

“ไม่”คำสั้นตอบกลับรวดเร็ว

5555 สำหรับพี่แล้ว ถ้าเราตอบว่าไม่แปลว่าใช่สิเนาะ...ขอบใจนะที่เป็นห่วง พี่ไปเรียนล่ะ จะตั้งใจเรียนด้วยเรียนเสร็จแล้วจะรีบกลับมาหานะ” พี่ชายตัวผอมหัวเราะร่วนหันมามองเด็กบนเตียงพลางเหยียดริมฝีปากจนเห็นฟันเรียงตัวแทบครบแล้วโบกมือเป็นเชิงลาก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องไป

ซามูเอลถอนหายใจออกมาทันทีที่ประตูห้องนอนปิดสนิท สบตากับลูกพี่ลูกน้องตัวเองที่นั่งอยู่บนเตียงพร้อมเลิกผ้าห่มที่คลุมปิดเท้าขึ้นดู พอเห็นว่ามีผ้าพันอยู่ก็โวยวาย

“พันมาขนาดนี้ไม่น่าแค่เท้าพลิกแล้ว”

“นิดหน่อยเอง แค่พักเท้าสองสามวันก็หาย จริงๆพี่ไม่ต้องลำบากมาดูผมยังได้เลย”

“ทำไมเวลาป่วยชอบพูดแบบนี้อยู่เรื่อยเลยวะ”

“ก็มันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ”


“ไอ้ความหวังดีนะก็รับๆมันไปบ้างเหอะ อย่าหักน้ำใจคนอื่นหรือพี่ชายคนนั้นนักเลย”

“ผมทำแบบนั้นเมื่อไหร่กัน” พอพี่ชายพาดพิงถึงอีกคนก็โวยขึ้น

“เมื่อกี้เขาบอกพี่ว่าเราดื้อ ชอบเถียงด้วย”

“อะไรเนี่ย นอกจากขี้เหงายังจะขี้ฟ้องอีก เป็นผู้ใหญ่แค่อายุจริงๆ” คนตัวเล็กส่ายหัวไปมา

“แต่เขาเป็นห่วงเราจริงๆนะ”

“ผมไม่อยากให้เขาเป็นห่วง พวกคนเป็นโรคคนเหงาแบบกินลึกไปยุ่งด้วยจะลำบาก”


“โรคคนเหงาอะไรอีกล่ะ”

“พี่ไม่เข้าใจหรอก”

“บางทีเราก็พูดอะไรเข้าใจยากวะ ไม่เหมือนเด็กพูด นี่มีองค์ประทับปะ น่ากลัวนะนั่น”

“กลัวไหมล่ะ”

“โอ๊ย จะกลัวทำไม ตัวเท่าลูกหมา” มือใหญ่ของพี่ชายวางลงบนผมของน้องก่อนจะขมวดคิ้วเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้ “เออ จริงสิ เมื่อเช้ามืด...”

“อืม”

“เรารู้จักผู้ชายที่ชื่อฮันเฮปะ”

ชื่อของใครคนหนึ่งที่หลุดจากปากพี่ชายเป็นชื่อเดียวกับผู้ใหญ่ตัวเหมือนหมีที่ช่วยรับสมอ้างเป็นผู้ปกครองแถมขับรถแบกเขามาส่งถึงหอพร้อมของกินทำให้น้องชายหันไปหา

“หื้อ ว่ายังไงนะครับ”

“เมื่อเช้าตอนพี่ไปกวาดหน้าร้านอ่ะ ผู้ชายคนนี้เขามาบอกพวกพี่ว่า เราเคยเก็บกระเป๋าตังค์ไปคืนเขาแล้วพอดีเจอเราไปหาหมอเมื่อวานเลยไปเป็นเพื่อน บอกให้เราแอดคาทกไปก็ไม่แอด เขากลัวเราไม่บอกพี่ว่าไม่สบายก็เลยมาบอกไว้”

คนอ่อนเยาว์บนเตียงกรอกตาไปมา...เมื่อวานพอกลับมาถึงบ้าน ได้อาบน้ำแบบทุลักทุเล กินยาและส่งคาทกไปบอกพี่ตัวเองได้ก็หลับ

“คุณน้าคนนั้นเขาไปหาพวกพี่เหรอ”

“เออ...ท่าทางเหมือนไม่ได้นอนเลยแต่เขาดูกังวลมากนะที่เราไม่สบายอ่ะ”

“อา จริงๆเลย...นี่ก็ขี้ฟ้องเหมือนกันนี่นา” อีกคนว่าแต่ครั้งนี้มีเสียงหัวเราะเบาๆปนมาด้วย

“แล้วนี่จะแอดคาทกเขาไปไหม”

“ไม่อ่ะครับ พี่ก็รู้ว่าผมไม่ค่อยชอบคุยคาทกกับใคร อีกอย่างคุณน้าเขาบอกว่าถ้าหายให้ไปเจอที่สนามบาส ก็ไปเจอที่นั่นทีเดียวเลยก็ได้”

“ไม่แอดไปแล้วไปสนามบาสไม่ตรงวันกันทำไง”

“ก็กลับสิครับ ไม่เห็นยากเลย”

“เออเว้ย  คิดง่ายเนาะ ถ้าเขารออยู่จะทำยังไง ปล่อยให้เขารอเหรอ...ฮู้ย ใจร้าย”


“ผมก็จะรอจนกว่าจะรอไม่ได้แล้ว ค่อยกลับไง”

“เออ คนเรามีคาทกไม่แอดแต่จะไปรอแบบไม่รู้จุดหมาย”


“อา ผมหิวจัง พี่กวักซอกทำอะไรให้ผมกินหน่อยได้ไหมครับ”


“เออ งั้นพี่ออกไปทำข้าวต้มให้กินแล้วกันนะ” กวักซอกขยี้ผมน้องแล้วลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปข้างนอก

เด็กหนุ่มมองบานประตูที่ปิดสนิทลงอีกครั้งพลางครุ่นคิดถึงผู้ใหญ่สองคนที่เหมือนจะเป็นขั้วตรงข้าม...คนหนึ่งอ้างว้างกินลึกถึงภายในแต่ซ่อนไว้ ขณะที่อีกคนอบอุ่นใจดี สองคนนี้ดูเป็นอะไรที่เหมือนจะเติมเต็มกันและกันได้


...แน่หรือ...
-------------------------------------
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมเสื้อยืดขาวกางเกงยีนส์ทับด้วยแจ็กแก็ตยีนส์อีกตัวเดินตรัดเตร่อยู่หน้าอพาร์ทเม้นต์หรูที่มีรถขับออกมานานๆที หน้าที่ซ่อนอยู่ใต้หมวกสแนปแบ็กเงยขึ้นไปยังความสูงของอาคารตรงหน้าพลางหาวหวอด

ฮันเฮยกกาแฟร้อนในมือขึ้นจิบยับยั้งความง่วงไม่ให้ตัวเองไหลไปนอนบนถนน ทั้งที่โต้รุ่งจนถึงเช้าเพราะเจ้านายเร่งงานยิกๆ พอเสร็จงานนอนไปได้หน่อยก็สะดุ้งตื่นนึกขึ้นได้ว่าให้คาทกเด็กไป เลยหยิบมือถือมาเช็กดูแต่ไม่มีใครแอดมาก็กลัวว่า จะไม่ยอมบอกพี่ชายตัวเองว่าป่วยเลยเดินจากออฟฟิศไปบอกแล้วกลับมานอน แต่อะไรบางอย่างในใจมันไม่ยอมให้หลับ สุดท้ายต้องลุกจากโซฟาเดินมาที่อพาร์ทเม้นต์ที่เขาพาเด็กผอมๆคนนั้นมาส่ง

 ...อีกสิบนาทีจะหมดเวลาเข้าเรียน เด็กคนนั้นดูท่าทางเป็นเด็กเรียนคงไม่ไปโรงเรียนสายหรอก ถ้าไม่เห็นออกมาคงนอนอยู่บ้าน ถึงตอนนั้นแหละเขาจะกลับไปนอน...

“บ้าปะวะกู” เขาพูดกับตัวเอง...แค่เพราะเด็กคนนั้นเตือนให้เขานึกถึงช่วงเวลาเจ็บป่วยของน้องทำให้เขาต้องลำบากลำบนถึงขนาดนี้เลย

เขาถอนหายใจขณะเดินกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น จังหวะที่แนบหลังเกือบติดกำแพงบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับอพาร์ทเม้าต์หลบรถที่แล่นออกมาใกล้ ในตอนนั้นเองที่มีผู้ชายสวมเสื้อยืดสีดำทับด้วยแจ็กแก็ตดำตัวใหญ่และยีนส์ขายาวสะพายเป้ถือถุงกระดาษจากร้านแมคโดนัลด์ไว้ในมือเดินออกมา

ตอนแรกเขาไม่ได้สนใจกระทั่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ เขาจำใบหน้าที่มีรอยยิ้มติดมุมปากนั้นได้ดี นาทีนั้นเขาตะโกนเรียกชื่อจริงของฝ่ายนั้นไปโดยไม่ทันได้คิดอะไร

“แจวอน” เพราะชื่อของตัวเองถูกขานขึ้นมาในย่านที่ไม่น่ามีใครรู้จัก เรียกให้แจวอนเงยหน้าจากพื้นทางเดินมองไปโดยรอบพร้อมกับที่ผู้ชายตัวสูงใหญ่คนหนึ่งจะวิ่งข้ามถนนของซอยมาหาและเขาจำได้ในทันทีว่าเป็นลูกค้าที่เจอกันในร้านที่เขาทำงานพิเศษ

...คนที่ชวนเขาไปต่อหลังเลิกงานและบอกเขาว่าไม่ได้มาเล่นๆถึงแม้จะบอกว่ามีลูกแล้ว...

...ตามมารอถึงบ้าน เป็นโรคจิตเหรอวะ มันเกินไปว่ะ...

“เฮ้ บังเอิญจัง เราอยู่ที่นี่เหรอ” ผู้ใหญ่กว่าเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรเพียงมองเฉยจึงต่ออีก “จำพี่ไม่ได้เหรอ พี่เป็นลูกค้าประจำที่ร้านที่เราทำงานไง”


“อ๋อ ครับ” กลไกการยิ้มอัตโนมัติทำให้ริมฝีปากของเขาแย้มกว้างทั้งที่ข้างในไม่รู้สึกยินดีอะไรทั้งสิ้น


“อยู่อพาร์ทเม้นต์นี้เหรอเรา”


“ครับ...ผมอยู่กับแฟน”


เพียงตอบออกไปเท่านั้น ฝ่ายตรงข้ามแทนที่จะชะงักกลับเลิกคิ้วและหลุดหัวเราะออกมา


“โกหกอีกแล้ว” ฮันเฮหัวเราะให้กับความพยายามไล่ทางอ้อมของคนอ่อนกว่าตรงหน้าก็พาลให้คิดถึงเด็กคนเมื่อวาน คนอยู่อพาร์ทเม้นต์นี้เขาชอบโกหกกันหรือไง


“โกหกอะไรครับ”


“พี่รู้นะว่าเราไม่มีแฟน ที่ว่ามีลูกนั้นก็ไม่จริง แล้วเราก็ไม่ได้เรียบร้อยน่าเอ็นดูอย่างที่ใครคิด”


“หรือครับ รู้มาจากไหน”


“พี่ก็มีสายของพี่”


“อ้อ”


“รู้ไหม เด็กเวลาทำไม่ดีเนี่ยต้องถูกลงโทษนะ”


“ก็ถ้ารู้ว่าผมไม่ดี ทำไมยังมายุ่งอีกล่ะครับ”


“พอดีพี่เป็นคนชอบอะไรแบบนี้...แบบที่ท้าทายตัวเองน่ะ” คนโตกว่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แววตาระยับอย่างอารมณ์ดีแต่มีความเอาจริงอยู่ในนั้น แต่อีกฝ่ายไม่รู้สึกกลัวเกรงอะไรแค่ส่งเสียงขำในลำคอ


...ไอ้อย่างนี้น่ะเจอมาเยอะแล้ว ไม่แค่คนที่มาชอบเขาหรอกแต่กับคนรอบตัวก็แบบนี้ทั้งนั้น...


“คุณคงเป็นพวกคบกับใครไม่นานสินะครับ...ถ้ารักความท้าทายเอาสนุกก็น่าจะแค่คืนเดียวจบ อยากสร้างข้อผูกมัดแต่นิสัยเป็นแบบนี้ สุดท้ายก็ไปไม่รอด แบบนั้นมันเสียเวลานะครับ”


ประโยคยาวตรงเข้าใส่ด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นทั้งที่หน้ายังเปื้อนรอยยิ้มกว้าง คิ้วเข้มของฮันเฮกระตุกแรงและนิ่งงัน...คาดไว้แล้วว่าเด็กคนนี้คงร้ายอยู่บ้างแต่ไม่ทันคิดว่ามีอะไรอีกมากที่ซ่อนอยู่ในนั้น


...อันตรายเหมือนกันแฮะ...


“ผมไปเรียนก่อนนะครับ” ด้วยเห็นอีกฝ่ายเงียบไป คนอ่อนกว่าจึงเป็นฝ่ายขอตัวและหันหลังกลับ หากเท้าก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงตามหลังมา


“ให้พี่ไปส่งไหม”


“ไม่ต้องหรอกครับ...ผมมีรถ” สิ้นประโยคนั้นบทสนทนาของทั้งคู่ก็จบลง ฝ่ายอ่อนกว่าเดินต่อไปจนกลืนหายไปในความมืดของทางไปลานจอดรถใต้อพาร์ทเม้นต์และไม่ถึงสิบนาทีรถยนต์คันหนึ่งก็ทะยานออกมาจากลานจอด


ฮันเฮกระโดดหลบรถที่เบียดเข้ามาแทบจะเสยขาเขาไปจนติดผนัง นาทีนั้นเขารู้ว่า คนขับน่าจะเป็นเด็กที่เขาเล็งไว้คนนั้นนั่นแหละ


...น่าสนใจดี...

...แบบนี้สิถึงจะสนุก...
-------------------------------------------------------------------
รถยนต์สีดำแล่นมาจอดบนลานจอดรถของมหาวิทยาลัยที่มีรถจอดอยู่ไม่มาก แจวอนดับเครื่องยนต์แต่ไม่ยอมลงจากรถด้วยความรู้สึกหงุดหงิดแล่นอยู่ข้างใน ปกติเวลามาเรียนถ้าไม่นั่งรถโดยสารประจำทางหรือรถไฟฟ้าใต้ดินก็จะไปหากวังมินที่บ้านและซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์มันมา


เขาไม่อยากให้คนในมหาวิทยาลัยรู้เรื่องของเขาเยอะเกินไป แม้แต่การที่คนอื่นรู้ว่าเขามีรถขับและขับรถได้ก็ไม่ต้องการ ถ้าไม่เพราะผู้ชายคนนั้นล่ะก็เขาคงไม่ต้องหลบด้วยการขับรถมาแบบนี้


ลูกค้าคนนั้นชื่ออะไรเขาก็จำไม่ค่อยได้หรอก แต่ไอ้การหาที่อยู่แล้วตามมาดักกันถึงบ้านเพื่อทำความรู้จักเป็นมุกที่นอกจากจะไม่สร้างสรรค์แล้วยังพาลให้เกลียดเอาเสียเปล่าๆ

“ประสาทแดก” ชายหนุ่มสบถออกมาและนั่งอยู่ในรถด้วยอารมณ์คุกรุ่น มือจับพวงมาลัยบีบแน่นกระทั่งหางตาเหลือบไปเห็นถุงกระดาษที่เอาติดตัวมาอารมณ์ขุ่นมัวก็คล้ายจะเบาบางลง


มือเรียวคีบถุงกระดาษนั้นมาเปิดออกแล้วหยิบแฮมเบอร์ร้อนๆที่เขาอุ่นตามที่น้องร่วมบ้านบอกออกมากินรองท้อง รสชาติของเบอร์เกอร์ก็เหมือนที่เคยกินแต่มีบางอย่างที่ทำให้เขายิ้มอย่างไม่มีสาเหตุ


...ไอ้ความเอาใจใส่เล็กๆน้อยๆจากเด็กคนนั้นเปลี่ยนให้เขาอารมณ์ดีได้ง่ายขนาดนี้เชียวหรือ...


ริมฝีปากของเขาเหยียดกว้าง ทุกขณะที่กัดแฮมเบอร์เกอร์เข้าปาก...เขากินมันจนหมดก็หยิบกระดาษในนั้นมาเช็ดมือก่อนจะเปิดประตูลงจากรถตรงไปที่ห้องบรรยายวิชาของอาจารย์โฮซอก


ชายหนุ่มมองห้องบรรยายที่ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดเลยและไฟก็ปิดมืดเลยยกนาฬิกาข้อมือดูเวลาก็เห็นว่า ตัวเองมาเร็วกว่าเวลาเข้าเรียนเป็นชั่วโมง การนั่งอยู่ในห้องรอเวลาเรียนเป็นเรื่องน่าเบื่อแต่เพราะไม่รู้จะไปไหนสุดท้ายเขาก็เดินไปนั่งที่ประจำและเล่นโทรศัพท์ไปเรื่อยเปื่อยจนได้ยินเสียงเปิดประตูจึงละสายตาไปมองก็เห็นเพื่อนร่วมคณะร่างสูงโปร่งเดินมึนถือแฟ้มเอกสารเข้ามาวางบนโต๊ะ


...ฮยองวอน...


เขาเรียกชื่อของอีกฝ่ายที่ยืนหาวหวอดอยู่หน้าชั้นในใจ ถึงจะเป็นเพื่อนร่วมคณะกันแต่แก็งค์เขาไม่ค่อยจะได้ยุ่งกับฮยองวอนสักเท่าไหร่ ส่วนตัวเขาไม่มีอะไรหรอกออกจะสงสารด้วยซ้ำเวลาโดยอาจารย์โฮซอกจัดหนักตอนรายงานแต่กวังมินดูจะไม่ค่อยชอบหมอนี่สักเท่าไหร่ก็เลยไม่เคยได้คุยกัน


คนตัวสูงผละจากโต๊ะของอาจารย์หน้าชั้นแล้วเงยหน้าที่ดูงัวเงียนั้นเดินตรงมายังจุดที่คนเตี้ยกว่านั่งอยู่ จังหวะที่เข้ามาใกล้ ฝ่ายนั้นหยุดยืนเขม่นมองเขาอยู่สองสามนาทีก็เอ่ยปาก


“อา...มาเช้าจัง”


“นายก็เหมือนกัน”


“เพื่อน...ไปไหนล่ะ”


“ยังไม่มามั่ง”


“เหรอ”


“อืม”


“แล้วนายมาเช้าทุกวันเลยเหรอ”


“ไม่อ่ะ ปกติมาแค่ก่อนเข้าเรียนแป้บเดียวแต่ตอนนี้ต้องมาช่วยงานอาจารย์ก็เลยโดนบังคับตื่นเช้า”


“อา แบบนั้นเอง” แจวอนพยักเพยิดหน้ารับรู้ก่อนจะเงียบ ฮยอนวอนมองเพื่อนร่วมชั้นที่ได้คุยกันเป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่ตอนปฐมนิเทศเมื่อปีหนึ่งไม่ถึงนาทีก็เดินต่อไปยังหลังห้องแล้วทรุดลงไปนั่งขัดสมาธิและส่งเสียงกลับมาให้ได้ยิน


“ฉันจะนอนนะ ถ้าไม่ลำบากอะไรก่อนเข้าเรียนสักสิบนาทีเรียกฉันหน่อยได้ไหม”


“เฮ้ยๆ จะนอนตรงพื้นเนี่ยนะ เดี๋ยวเสื้อก็เปื้อนหรอก”


“แค่ฝุ่นเอง เปื้อนก็ไม่เป็นไรหรอก สะบัดๆก็หลุดแล้ว”


“แต่ถ้าคนอื่นมาเห็นนายนอนแบบนี้แล้วเอาไปพูดไม่ดีจะทำยังไง นายเป็นถึงเดือนคณะเลยนะ”


“ช่างมันสิ ฉันไม่เห็นจะสนใจว่าใครจะพูดยังไง ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้จะคิดยังไงก็ตามสบายเถอะ”


“เพราะแบบนี้สินะนายถึงไม่ค่อยจะป็อบปูล่าร์ในหมู่ผู้หญิงเหมือนคนอื่น”


“สนใจแค่สิ่งที่ต้องสนใจก็พอ ใครรับไม่ได้ก็ปล่อยเขาไป ฉันไม่อยากใช้ชีวิตที่ต้องแคร์ความรู้สึกคนไปทั่วหรอก” คนตัวสูงที่ไม่ค่อยพูดอะไรกับใครเท่าไหร่ว่า


“ไม่มีเพื่อนก็ไม่เป็นไรเหรอ”


“ถ้ามีแล้วไม่เข้าใจสิ่งที่เราเป็น หรือเราต้องคอยทำให้ใครชอบ ฉันไม่เอาหรอก เหนื่อย อา ฉันง่วงแล้วล่ะ ขอนอนก่อนนะ” เพื่อนร่วมชั้นบอกทิ้งท้ายเท่านั้นก็ล้มตัวลงนอนกับพื้นและหลับไปในเวลาไม่กี่นาที


แจวอนหันหลังละสายตาจากร่างโปร่งบางที่ล้มตัวหลบนอนอยู่หลังห้องกลับมายังหน้าชั้นเรียน บนกระดานสีขาวนั้นว่างเปล่าไม่มีตัวอักษรหรือภาพของสไลด์ใดฉายลงไปนั้นดูโหวงว่างเป็นความรู้สึกที่จมอยู่ภายในตัวเขา


...ที่จริงเขารู้ดีว่าตัวเองไม่ได้ชอบชีวิตที่ต้องอยู่คนเดียวมากมายอะไรนักหรอกและไม่ชอบที่ต้องซ่อนตัวเองอยู่ในเปลือกที่มีแต่รอยยิ้มให้คนรอบข้างแบบนี้ นั่นทำให้เขาหวาดหวั่นกับการเป็นตัวเองว่าจะทำให้คนอื่นไม่พอใจ...


...ลึกๆแล้วเขาต้องการใครสักคนที่เข้าใจเขาโดยไม่ต้องพูดอะไรออกมาให้ยืดยาว...ใครสักคนที่ยื่นมือมาจับในเวลาที่ต้องการที่พึ่ง...


..ใครสักคน...แค่คนเดียวก็พอ
    


You Might Also Like

1 Comments

  1. งงว่าตัวเองไปอยู่ไหนมาทำไมพึ่งเคยเจอเรื่องนี้ 🤔🤔
    สนุกมากค่าาา ชอบคาแรคเตอร์น้องแซมมากจริงๆ อ่านรวดเดียวเลย รอตอนต่อไปอยู่นะค้าา

    ตอบลบ