LOVE TOXICAL : WONSAM CHAPTER 2
22:16
วันศุกร์ล่วงเข้ามาอีกครั้ง
แจวอนกลับไปทำงานพิเศษที่ร้านรุ่นพี่ที่สนิทกัน
ช่วงเปิดร้านมักจะเป็นเวลาที่เพื่อนสนิทของเขาจะมาหา...รอไม่ถึงสองนาทีกลุ่มชายหนุ่มหน้าตาดีก็เข้ามาจองที่นั่งหน้าเคาน์เตอร์บาร์และเริ่มสนทนากันตามประสา
“มึงได้ยินข่าวมินอาหรือยัง” ชายหนุ่มผมสีดำยุ่งๆผู้มีใบหน้าไม่แยแสสังคมและหมุดเจาะใต้ริมฝีปาก
สวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์สีเดียวกันทับด้วยแจ็กเก็ตยีนส์ที่เรียกกันว่า
กวังมินเอ่ยถาม
“ทำไม”
“เหมือนว่าจะเลิกกับแฟนเศรษฐีคนล่าสุดแล้ว”
“อืม” คนรับหน้าที่บาร์เทนเดอร์ส่งเสียงในลำคอพลางเช็ดแก้วเหล้าไปเรื่อยๆ
“ไม่สนใจหน่อยเหรอ”
“จะให้สนใจอะไร”
“อีกพักคงกลับมาหามึงแน่...”
“มินอานี่ใครวะ” เสียงประสานจากสองชายหนุ่มที่มีชื่อว่าซองมินกับกวังมินเช่นเดียวกับคนที่เอ่ยปากคนแรกซึ่งมีใบหน้าตาละม้ายกันด้วยความเป็นแฝดถาม
“ผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่กล้าทิ้งสุดหล่อของเรา...ทิ้งแล้วก็กลับมาหาซ้ำไปซ้ำมากี่สิบรอบแล้วก็ไม่รู้” ฮยอนกึนเพื่อนอีกคนในกลุ่มว่าพลางหัวเราะเบาๆ
“จริงดิ...กล้าทิ้งแจวอนมันลงต้องสวยมากแหง่” ชายหนุ่มผิวเข้มใส่กริลทองวาววับที่เรียกกันว่ามินซิกสะกิดแขนคนเปิดประเด็นคนแรก
“ก็สวยระดับที่มีเศรษฐีหน้าโง่ซื้อแลมโบให้ขับอ่ะ”
“แหม
นินทากันอยู่เหรอ” เสียงหวานนั้นดังขึ้นจากเบื้องหลังเรียกให้ทั้งหมดหันไปหาต้นเสียงก็เห็นหญิงสาวร่างบอบบางสวมเดรสเปิดไหล่สั้นสีขาวอวดผิวเนียนละมุน
ดวงหน้าสวยนั้นแต้มแต่งด้วยสีสันหวานให้ภาพของผู้หญิงอ่อนโยนหากการยิ้มตรงมุมปากทำให้คนที่เจนจัดกันมามากพอจะรู้อะไรเป็นอะไร
“ขยับหน่อยสิ” มินอาบอกพลางวางมือลงบนไหล่ของมินซิกปล่อยกลิ่นกายอันเย้ายวนให้ดอมดมไปหาคนที่เริ่มชงเครื่องดื่มให้ลูกค้าที่มานั่งอยู่ริมเคาน์เตอร์บาร์ “คืนนี้หลังเลิกงานมีนัดหรือยัง”
แจวอนเหลือบตามองหน้าของผู้มาใหม่แว่บหนึ่งก็กลับมาสนใจกับการชงเหล้าส่งให้ลูกค้าโดยไม่พูดอะไร
“ถ้าไม่มีนัด
คืนนี้ช่วยอยู่เป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม”
“อย่านะมึง...ผู้หญิงแบบนี้ใช้แล้วทิ้งก็พอ” กวังมินเริ่มถากถางพลางกระดกเหล้าเข้าปาก...ใต้ใบหน้ากวนประสาทไม่สนใจใครเขาเอาใจใส่ต่อเพื่อนและคนรอบข้างที่ดีกับเขาเสมอ
“แหม
ปากหมาจังเลยพ่อสไตลิสท์ นึกว่าเจาะปากแล้วจะหายปากหมาซะอีก”
“ปากหมาก็ดีกว่าผู้หญิงที่ใช้ผู้ชายเหมือนทิชชู่ล่ะ
พอใช้จนเปื่อยก็กลับมาหาผ้าเช็ดตัวอย่างแจวอนมัน”
“พูดเกินไปแล้วนะ”
“เกินไปยังไง...ก็เธอไม่ใช่เหรอที่ทิ้งมันไปหาคนอื่น
พอเบื่อก็กลับมาหามัน ทำแบบนี้ตั้งกี่ครั้งแล้ว”
“ฉันไม่เคยทิ้ง...” หญิงสาวโต้กลับยังไม่ทันจบมือเรียวใหญ่ของอีกคนก็คว้าแขนไว้
“ออกไปคุยกันข้างนอก”
แจวอนเดินออกจากหลังเคาน์เตอร์ลากแขนเล็กนุ่มนั้นไปทางหลังร้าน
หญิงสาวสะบัดจากการเกาะกุมทันทีที่อยู่พ้นสายตาพลางเม้มริมฝีปากของตัวเองแน่นขณะสบสายตาเรียบเย็นของอีกคน
เธอรู้จักกับผู้ชายตรงหน้ามานานเพราะเรียนมัธยมต้นมาด้วยกันและได้เจอกันอีกครั้งก็ตอนที่เขาบินกลับมาเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่นี่
ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่สำหรับคนนอกคงเหมือนคบหากันฉันคนรักทั้งที่ไม่ใช่...มันก็แค่ไปไหนมาไหนด้วยกัน มีเซ็กส์ด้วยกันเป็นครั้งคราวพอถึงเวลาเขาก็ผลักไสเธอไปหาคนอื่น
...เรื่องความรักเธอคิดว่าเธอมีให้เขาแต่เขาไม่เคยมี
ความจริงเธอไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าผู้ชายที่มีรอยยิ้มเปื้อนหน้าตลอดเวลาดูอัธยาศัยดีกับคนรอบข้างคนนี้มีหัวใจหรือเปล่า...
“เมื่อไหร่จะยอมบอกพวกนั้นเรื่องของเรา”
“บอกทำไม”
“ฉันจะได้ไม่ต้องโดนด่าแบบนี้”
“ก็ไม่ได้บอกให้มาหา”
“แต่นายบอกเองว่าเหงาให้มาได้”
“ก็เพราะมาถึงได้นอนด้วยไง
แค่นอนด้วยไม่พอเหรอจะเอาอะไรอีกล่ะ” ถ้อยคำยังคงเย็นชาฝ่ามือนุ่มเลยยกขึ้นหมายจะซัดแต่อีกคนจับมันไว้ทัน
“ปล่อยนะ
ไอ้เลว”
“ทั้งที่รู้ว่าฉันเลวแต่ก็กลับมาหาตลอด
ไม่เบื่อบ้างเหรอหรือคนรวยพวกนั้นมันปรนเปรอไม่อิ่มถึงต้องกลับมาหาคนเลวแบบฉัน
มันก็ไม่เลวร้ายหรอกที่จะนอนกับเธอแต่ตอนนี้ฉันเบื่อแล้ว
ถ้าไม่อยากโดนด่าก็เลิกมาหาฉันสักทีเถอะ เท่านี้นะ ฉันจะกลับไปทำงานแล้ว” บอกเพียงเท่านั้นก็ปล่อยมือถอยหลังเดินห่างออกมาก่อนจะถูกรองเท้าส้นสูงขว้างมากระทบหลัง
“จอง
แจวอน...ฉันจะเปิดโปงนาย ฉันจะแฉให้คนอื่นรู้ว่านายมันไม่ได้ดีเหมือนที่เห็น”
“ถ้าคิดว่าจะมีคนเชื่อคำพูดเธอก็เอาเถอะ
ตามสบาย”
ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาในร้านแล้วยิ้มกว้างพลางโค้งให้กับลูกค้าที่เลือกมานั่งตรงเคาน์เตอร์บาร์
โดยที่กลุ่มเพื่อนของตัวเองยังคงนั่งอยู่เช่นเดิม
“เอ้า
ยัยนั่นไปไหนแล้วล่ะ” กวังมินถาม
“กลับแล้ว”
“ครั้งนี้จะดีกันอีกไหม”
“ไม่อ่ะ
เบื่อแล้ว”
“ว้อย...พ่อคนดีของเราปฏิเสธคนอื่นเป็นแล้ว” ฮยอนกึนว่าเอื้อมมือไปตบบ่าเพื่อนรักด้วยรอยยิ้ม
อีกฝ่ายเพียงยิ้มตอบโดยไม่พูดอะไรปล่อยให้เพื่อนเข้าใจอย่างที่อยากเข้าใจ
เขาเป็นคนแบบนี้
คนที่มีภาพลักษณ์ภายนอกดูเป็นคนอัธยาศัยดีและปฏิเสธใครไม่เป็น
หากข้างในมีหลายสิ่งที่เก็บงำไว้จะพูดว่าไม่จริงใจก็คงไม่ได้เพราะกับคนที่เรียกว่าเพื่อนเขาจริงใจแต่มันก็ยังมีกำแพงกั้นคนเหล่านั้นไม่ให้เข้ามาถึงพื้นที่ส่วนตัวของเขา
“เออ
เดี๋ยวพวกกูจะไปต่อที่อื่นแล้วนะ ไม่กวนมึงละตั้งใจทำงานล่ะ”
“อืม...อย่าเมาแล้วขับรถล่ะ
กลับไม่ถูกก็หาสักคนให้เขาขับไปส่งถึงสวรรค์เลยล่ะกันนะ”
“555 ไอ้เหี้ยเอ๊ย ไปแล้วนะ” เพื่อนทั้งกลุ่มหันมาด่าติดตลกแล้วทยอยกันออกจากร้านโดยมีชายหนุ่มอีกคนทรุดลงนั่งแทนที่แทบจะในทันที
คนเป็นบาร์เทนเดอร์เสิร์ฟเหล้าส่งให้ลูกค้าพอหันมาเห็นหน้าของคนคุ้นเคยส่งยิ้มมาก็ยิ้มตอบกลับไป
“เหมือนเดิมใช่ไหมครับ”
“อืม” คำตอบในลำคอมาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นก่อนที่เบียร์ดำจะถูกยื่นมาตรงหน้า
ช่วงเวลาสองทุ่มจนถึงสองทุ่มครึ่งของทุกศุกร์ถึงอาทิตย์ที่ในร้านยังไม่ค่อยมีคนเขาจะเจอกับผู้ชายคนนี้เสมอและทุกครั้งที่เจอก็เพียงแค่ส่งยิ้มทักทายกัน
หากครั้งนี้ชื่อของเขากลับถูกเรียกออกมา
“วัน”
“ครับ”
“จริงๆแล้วเราไม่ใช่เด็กดีสินะ” นัยน์ตาคมที่ประดับบนใบหน้าที่เรียกไม่ได้ว่าหล่อแต่มีเสน่ห์นั้นเป็นประกายระยับมีความลุ่มลึกแทรกอยู่แต่อีกฝ่ายก็ฉลาดพอที่จะแกล้งไม่รู้
“หมายถึงอะไรครับ”
“เมื่อกี้บังเอิญไปเห็นผู้หญิงคนนั้นกับเราพอดี...พี่คิดมาตลอดเลยนะเนี่ยว่าเราใจดีไม่นึกว่าจะใจร้ายขนาดนั้น”
“ผมก็ไม่เคยบอกว่าตัวเองดีนะ”
“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี้
แค่รู้สึกว่าเราน่าสนใจ” ลูกค้าหนุ่มว่ายังคงยิ้มพลางยกเบียร์ดำขึ้นจิบแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายทำงานต่อโดยนั่งมองอยู่เงียบๆ
จนเวลาดำเนินไปครบครึ่งชั่วโมง กระทั่งบาร์เทนเดอร์กลับมายืนอยู่ใกล้ๆ
เขาก็เรียกอีก
“เราเลิกงานกี่โมงเหรอ”
“ก็ไม่แน่นอนหรอกครับ”
“ถ้ามารับไปกินข้าวมื้อดึกด้วยจะได้ไหม”
“ชอบผมเหรอครับ” คำถามตรงไปตรงมาปนเสียงหัวเราะ
“จะเรียกอย่างนั้นก็ได้”
“ชอบทั้งที่ไม่รู้จักกันเลยนะเหรอครับ”
“พี่ชื่อจอง
ฮันเฮ...เท่านี้ชอบได้แล้วใช่ไหม”
“ผมไม่ใช่คนประเภทที่มาหว่านเล่นๆแล้วจะชอบง่ายๆนะครับ”
“นี่ก็ไม่ได้มาเล่นๆเหมือนกัน” น้ำเสียงที่บอกกลับหนักแน่นเช่นเดียวกับแววตาที่เริ่มจริงจัง
“แต่ผมมีลูกแล้วนะ”
“ห๊ะ...”
“อยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอนเลยครับ
เลิกงานก็ต้องไปกล่อมเขาไม่งั้นเขานอนไม่หลับ”
“ล้อกันเล่นเหรอ”
“เปล่าครับ...ไม่เชื่อดูรูปก็ได้นะ” เขาทำท่าจะควักโทรศัพท์มือถือออกมาให้ดูแต่ลูกค้าสาวที่ทยอยเข้ามาทำให้อีกฝ่ายต้องยกมือโบกไปมา
“ลูกค้าเรามาเยอะแล้ว
ไว้พรุ่งนี้พี่จะมาดู”
“ครับ...ไว้เจอกันพรุ่งนี้”
“พี่ไม่ยอมแพ้หรอกนะ” เขาทิ้งท้ายก่อนไป
“555 โชคดีครับ” แจวอนส่งยิ้มและยกมือโบกลาให้ลูกค้าที่เพิ่งรู้จักชื่อ...ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถูกจีบตอนทำงาน
โดนแทบทุกวันไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิงแต่ทุกครั้งที่เจอการจีบแบบจริงจังเขามักจะหามุกมาสลัดคนเหล่านั้นให้หลุด
ถ้ามาแบบเล่นๆไม่ผูกพันอะไรก็พอได้หรอก
แต่ตอนนี้เขายังไม่สนใจเพศเดียวกัน อีกอย่างถ้าเห็นคนไหนมีแนวโน้มแล้วว่าไม่น่าจบแค่เรื่องบนเตียงก็ไม่อยากจะลากอีกฝ่ายมาถลำ
...เรื่องความรักมันยุ่งยากเกินไปและคนอย่างเขาก็ไม่ดีพอจะให้ใครมารักหรือไปรักใครด้วย...
ชายหนุ่มทำงานของตัวเองไปเรื่อยจนเลิกงาน
เจอกับหญิงสาวสักคนที่มาอ่อยรอให้ไปส่งและจบลงบนเตียงเหมือนทุกวัน
เขาลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าแล้วขับรถกลับมาอพาร์ทเม้นต์ของตัวเองตอนตีสามด้วยความรู้สึกว่างเปล่า
มือบิดประตูเข้าไปในความมืดขณะที่เอื้อมมือไปเปิดไฟเหมือนมีบางอย่างร่วงจากกระเป๋าตกลงพื้นก่อนที่กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงที่เขาเพิ่งจากมาจะกระจายขึ้นจมูก
มือบิดประตูเข้าไปในความมืดขณะที่เอื้อมมือไปเปิดไฟเหมือนมีบางอย่างร่วงจากกระเป๋าตกลงพื้นก่อนที่กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงที่เขาเพิ่งจากมาจะกระจายขึ้นจมูก
กลิ่นนั้นทำให้จดจำได้ถึงสัมผัสที่ติดตัวทั่วร่าง
ช่วงเวลาที่ทำลงไปเขาไม่รู้สึกอะไร
แปลกที่ตอนนี้กลิ่นและความทรงจำทำให้รู้สึกปวดเหมือนโดนใครบีบท้องอย่างแรงจนแน่นขึ้นมาถึงอก
ความทรมานฉับพลันนั้นทำให้เรี่ยวแรงที่มีหายไปส่งให้ทั้งร่างล้มคว่ำลงไปนอนหายใจแผ่วอยู่บนพื้น
...อาการนี้เคยเกิดมาก่อนและเขาเคยไปหาหมอแต่หมอบอกว่ามันเป็นอาการใต้จิตสำนึกที่ต้องบำบัดแต่เขาไม่อยากให้แม่รู้เลยปล่อยมันไปซึ่งทุกคราที่เกิดจนคลาย
มันเป็นความสาหัญสากรรจ์ระดับที่เขาอยากหยุดหายใจให้รู้แล้วรู้รอด...
เสียงของหนักกระแทกพื้นดังสนั่นอยู่ด้านนอกปลุกให้อีกคนที่หลับอยู่ในห้องสะดุ้งตื่น...ซามูเอลเขม่นมองไปในความมืดก่อนจะเอื้อมมือเปิดโคมไฟที่อยู่ข้างเตียงพยายามสะบัดหน้าไปมาเพื่อรวบรวมสติให้หลุดจากความงัวเงีย
ในตอนแรกเขาไม่ได้คิดจะลุกออกไปข้างนอก
เพราะเข้าใจว่าเสียงนั้นอาจจะมาจากเจ้าของห้องที่เขาไม่ได้เห็นหน้าเลยตลอดอาทิตย์เพราะฝ่ายนั้นกลับดึกและตื่นสายทุกวัน
แต่อีกใจคิดว่าถ้าผู้ชายคนนั้นเมาแล้วเป็นลมล้มหัวฟาดพื้นขึ้นมาจะแย่เลยหยิบเสื้อคลุมของตัวเองที่พาดอยู่หัวเตียงพร้อมฉวยโทรศัพท์มือถือเปิดแอพไฟฉายเดินออกไปข้างนอก
เด็กชายได้ยินเสียงลมหายใจติดขัดขณะก้าวเท้าเข้ามาตรงทางเดินที่นำไปสู่โถงนั่งเล่นเลยใช้มือถือฉายหาสวิตช์ไฟและกดเปิด
ทันทีที่ทั้งห้องสว่างพอเห็นร่างเจ้าของห้องนอนกองอยู่บนพื้นก็ปราดเข้าไปหาจึงได้เห็นสีหน้าทรมานและมือที่กำแน่นอยู่ตรงอกแต่พอยื่นมือจะไปแตะก็ถูกสั่งห้าม
ทันทีที่ทั้งห้องสว่างพอเห็นร่างเจ้าของห้องนอนกองอยู่บนพื้นก็ปราดเข้าไปหาจึงได้เห็นสีหน้าทรมานและมือที่กำแน่นอยู่ตรงอกแต่พอยื่นมือจะไปแตะก็ถูกสั่งห้าม
“อย่า...ยุ่ง”
“ไม่ยุ่งได้ไง...สภาพนี้
ผมโทรไปเรียกรถพยาบาลมารับดีกว่า”
“ไม่...เดี๋ยว...ก็...หาย” ถ้อยคำหลุดจากปากตะกุกตะกักเต็มที
“หัวใจอาจจะวายหรือเส้นเลือดในสมองอาจจะแตกก็ได้
ไม่เอาอ่ะ โทรเรียกรถ...” เด็กชายหยิบโทรศัพท์มากดแต่มือของอีกคนพยายามป่ายมาดึงแขนเสื้อไว้
“พี่...ขอ...หมอเคย...บอกแล้ว...ไม่เป็น...ไร” น้ำเสียงระโหยอ่อนกับดวงตาที่ปิดแน่นเพราะความเจ็บทำให้คนเป็นเด็กกัดปาก
“หมอที่ไหนบอก...หมอดูหรือไง
เอางี้ ผมโทรไปหาคุณป้านะ”
“ไม่...ได้”
“นั่นก็ไม่ได้
นี่ก็ไม่ได้ ไม่ไปโรงพยาบาลจะมาตายตรงนี้ไม่ได้นะ ง่าส์ ทำไงดี รออยู่นี่ก่อนนะ” ว่าแล้วร่างเล็กก็วิ่งพรวดหายไปและกลับออกมาใหม่พร้อมกับถุงน้ำร้อน
“พี่ปวดตรงไหนบ้างอ่ะ”
“ท้อง...อก”
“มือมีแรงหรือเปล่า...ไม่น่ามีหรอกเนาะ
งั้นขอโทษนะครับ” ขออนุญาตแล้วถือวิสาสะดึงเสื้อยัดถุงน้ำร้อนเข้าไปตรงท้อง “แล้วแน่นหน้าอกต้องทำ CPR เหมือนในหนังไหมอ่ะ
แต่ผมทำไม่เป็นนะ เอาเป็นนวดล่ะกัน ถ้านวดอาจจะดีขึ้น”
ชายหนุ่มนอนหลับตาฟังเสียงยังไม่แตกดีของอีกคนนิ่งๆ
รู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นจากฝ่ามือที่ลอดผ่านเนื้อผ้าซึ่งนวดคลึงเบาๆบนอก
“โห
ตัวแข็งยังกะหิน...พี่อย่าเกร็งสิ ผ่อนคลายหน่อย หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ทำแบบนี้เรื่อยๆ มันจะดีขึ้นเชื่อผม”
“อา” เขาครางออกมาพยายามฝืนทำตามคำแนะนำของอีกคน
ในตอนแรกเขาคิดว่าไม่ได้ผลจนเกือบถอดใจแต่พอทำไปสักพักก็พบว่า
อาการปวดเกร็งทุเลาลงทีละน้อย
“เหงื่อพี่ออกเยอะจัง
จะช็อกไหมเนี่ย...อย่าเพิ่งช็อกนะ เดี๋ยวผมมา” เป็นอีกครั้งที่ร่างเล็กผุดลุกไปแต่ครั้งนี้กลับมาพร้อมกับอ่างน้ำอุ่นที่มีผ้าสะอาดแช่อยู่และน้ำแข็งใส่ในแก้ว
คนอ่อนกว่าหยิบน้ำแข็งก้อนเล็กยัดใส่ปากที่ปิดสนิทของคนโตกว่าที่ยังนอนคุดคู้บนพื้นแล้วบิดผ้าที่แช่อยู่ในอ่างเช็ดหน้าที่ชื้นเหงื่อนั้นไปมาด้วยความตระหนกและเป็นห่วง
กลิ่นหอมอ่อนของดอกไม้จากสบู่ที่ติดตัวทำให้คนได้กลิ่นรู้สึกดีขึ้นจนผล็อยหลับไปปล่อยให้คนที่ไม่เคยเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ต่อหน้าได้แต่นั่งเฝ้าเงียบๆ
เจ้าของห้องไม่รู้ว่าตัวเองหายปวดท้องและเผลอหลับไปตอนไหน...รู้เพียงแค่บนตัวมีผ้าห่มอยู่และตอนที่ขยับเปลือกตาก็เห็นแสงสว่างสาดเข้ามาให้รู้ว่าเป็นเวลาเช้า
มีเสียงเหมือนบางสิ่งปะทะกับความร้อนและกลิ่นหอมของอาหารลอยเข้ามาในได้กลิ่น
...นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้กลิ่นอาหารร้อนๆในบ้านตัวเอง...
ซามูเอลวางชามข้าวต้มข้างจานไข่ข้นฝีมือตัวเองไว้บนโต๊ะกินข้าวด้านนอกพลางหาวหวอดก่อนจะหายไปอาบน้ำอาบท่าเรียกสติ
การนั่งเฝ้าคนป่วยทั้งคืนเพราะกลัวว่าขยับไปไหนแล้วเกิดอาการหนักขึ้นมาอีกจะลำบากกว่าจะแน่ใจว่าอีกคนคงไม่ถึงตายก็เช้าพอดี
เด็กชายเดินกลับเข้ามาในโถงนั่งเล่นอีกครั้งหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จพร้อมคุยโทรศัพท์ไปด้วย...ยังดีที่วันนี้หยุดเลยไม่มีปัญหาไปหลับคาห้อง
“พี่มาที่นี่ไม่ได้เหรอ
ให้พี่ซองฮักมาแทนก็ได้ อา มีออเดอร์ทำอาหารไปส่งงานแต่งสองพันกล่องเหรอ”
คนอายุมากกว่านอนมองเด็กที่ชอบสวมฮู้ดคลุมเดินไปมาคุยโทรศัพท์แต่เมื่อเห็นอีกคนขยับเข้ามาใกล้ก็หลับตาแสร้งหลับเหมือนเดิม
“ให้ผมจับชีพจรดู...ให้แนบหูไปฟังเสียงตรงอกเลยก็ได้ ถ้าเต้นอยู่ก็ไม่ตาย โธ่ อันนั้นผมก็รู้แล้วปะ เดี๋ยว พี่กวักซอก อย่าเพิ่งวาง รู้แล้วว่าต้องทำงานแต่ถ้าพี่เขาตายจริงๆ พี่จะปล่อยผมอยู่กับศพเหรอ
อะไร ไว้ตายจริงแล้วค่อยโทรมาใหม่เหรอ ฮัลโหล ฮัลโหล ทำไมทิ้งกันแบบนี้ล่ะ” เสียงละห้อยมาพร้อมกับการถอนหายใจ คนแกล้งหลับนอนฟังเสียงนั้นแต่ไม่ยอมขยับตัว
คนเป็นเด็กทรุดลงไปนั่งขัดสมาธิมองคนที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่บนพื้นห่างออกไปไม่กี่เมตรด้วยแววตาครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจคลานเข้าไปใกล้ลองเอานิ้วไปอังใต้จมูกโด่งสวยนั้นดูพอรู้ว่าไม่มีลมหายใจเลยผลักร่างนั้นให้นอนหงายแล้วแนบหูลงไปฟังเสียงหัวใจตรงอกแทน
แจวอนสูดกลิ่นอ่อนจากสบู่และแชมพูที่ติดตัวคนที่นอนฟังเสียงหัวใจเขาตรงอก...กลิ่นธรรมชาติที่ไม่ได้ตั้งใจปรุงแต่งชวนให้รู้สึกทั้งสดชื่นและอุ่นในใจอย่างประหลาด
“น้ำ” คนโตกว่าครวญหาน้ำทำให้อีกคนต้องกุลีกุจอไปเอาน้ำแข็งใส่แก้วพร้อมหยิบผ้าที่ซักตากตรงอ่างล้างจานชุบน้ำวิ่งออกมา
“กินน้ำแข็งไม่ให้คอแห้งไปก่อนนะครับ
เดี๋ยวกินน้ำตอนนี้จะสำลัก”
คนตัวเล็กนั่งคุกเข่าชะโงกไปเช็ดหน้าพลางมองใบหน้ารูปไข่ที่มีคิ้วหนาโค้งไล้ต่ำลงมาจะพบกับจมูกโด่งทรงหยดน้ำและริมฝีปากรูปกระจับบางรองรับนั้นเป็นใบหน้าหล่อเหลาที่มีความหวานผสานอยู่
เพียงครู่ก็เห็นเปลือกตาที่ปิดสนิทลืมขึ้นช้าๆ
เผยให้เห็นดวงตากลมเรียวสีเข้มสวยที่ภายในสะท้อนภาพของเด็กผู้ชายผู้มีดวงหน้าเรียวสีน้ำผึ้งเนียนสวย
นัยน์ตากลมโตทั้งคู่แวววาวแลไร้เดียงสา ขณะที่ริมฝีปากบางเคลือบสีอ่อนตามธรรมชาติ
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วนาทีเพราะเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่อยู่ใกล้จนได้เห็นกันชัดเต็มตา...การสบสายตาดำเนินไปครู่หนึ่งก่อนที่คนอ่อนกว่าจะพูดบางคำออกมา
“ยังไม่ตายใช่ปะ”
“ยัง”
“ดีขึ้นไหม”
“อืม”
“ลุกเองได้นะ
ต้องประคองไหม”
“ไม่”
คนโตกว่าตอบพลางค่อยๆผุดลุกขึ้นจากพื้นที่นอนอยู่ทั้งคืนก่อนกวาดตามองผ้าห่มกับอ่างน้ำที่มีผ้าสะอาดกับแก้วใส่น้ำแข็งวางอยู่รอบๆ
“นาย...อยู่นี่ทั้งคืนเลยเหรอ”
“ก็ไม่รู้ว่าพี่เป็นอะไรกลัวไม่อยู่เกิดชักขึ้นมาจะลำบากก็เลยรอ...รอไปรอมาก็เช้าพอดี”
“อา”
“ผมทำข้าวต้มไว้ให้นะ...กินข้าวกินยาเสร็จก็ไปนอนพักในห้องตัวเองนะ
เดี๋ยวผมจะทำความสะอาด” คนอ่อนกว่าบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉยขณะพับผ้าห่มไปวางบนโซฟาแล้วเดินกลับมาหยิบแก้วน้ำใส่ในอ่างและยกมันหายไปทางห้องน้ำปล่อยให้คนป่วยเดินไปยังโต๊ะอาหารที่มีข้าวต้มกับไข่ข้นวางอยู่
“ทำเองเหรอ”
“ครับ”
“กินได้แน่นะ”
“ไม่รู้สิ
แต่ถ้ากลัวก็โทรสั่งอะไรมากินแล้วกัน”
“อา” เสียงหลุดจากคอพร้อมกับสีหน้าลังเลแต่สุดท้ายก็หยิบช้อนตักข้าวเข้าปาก
ความอุ่นร้อนของข้าวกับหมูและน้ำซุปที่มีรสเค็มจางๆ
จะบอกว่าอร่อยก็ไม่ได้เรียกว่ากินกันตายได้น่าจะถูก
“ผมไม่เคยทำข้าวต้มเลยเปิดเน็ตแล้วลองทำตามดู
ถ้าไม่อร่อยก็อย่าด่าแล้วกัน ถือว่ากินไม่ให้ท้องว่าง ตอนกินยา
ยาจะได้ไม่กัดกระเพาะ” คำพูดเหมือนรู้ความคิดเล่นเอาคนคิดต้องหันไปมองคนที่หิ้วเครื่องดูดฝุ่นที่เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเก็บไว้ไหนมาเสียบปลั๊กและเริ่มดูดฝุ่น
“ไม่กินข้าวก่อนเหรอ” เขาตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องดูดฝุ่น
“ทำความสะอาดเสร็จก่อนค่อยกิน”
“ไม่หิวเหรอ”
“หิวครับ...แต่ไว้กินทีหลัง
ผมไม่ชอบทำอะไรครึ่งๆกลางๆ”
“อา”
คนเป็นพี่เลียริมฝีปากตักข้าวต้มเข้าปากต่อแล้วมองเด็กที่วุ่นอยู่กับการทำความสะอาดกระทั่งเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างเข้าที่
ความคล่องแคล่วนั้นทำให้รู้ว่าคงทำเป็นประจำ
เมื่อเก็บของเสร็จ
เด็กคนเดิมเดินไปดึงเชือกของม่านหนาหนักให้แสงอาทิตย์จากด้านนอกสาดผ่านหน้าต่างกระจกบานใหญ่ที่เปิดออกไปสู่เฉลียงเข้ามาในห้อง
“นี่ยาแก้ปวดครับ...ไม่รู้ว่าดีหรือเปล่าแต่คุณป้าร้านขายยาบอกว่า
ยี่ห้อนี้ดีที่สุดแล้ว แต่ต้องรอสามสิบนาทีค่อยกินนะ” คนพูดวางกระปุกยาลงตรงหน้าพร้อมคว้าจานไข่ข้นไปยืนกินอยู่ตรงหน้าต่าง
“ทำไมไม่มานั่งกินดีๆ”
“ผมแค่อยากดูวิวตอนเช้าแล้วกินข้าวไปด้วย”
“วิวตอนเช้าเนี่ยนะ”
“งืม”
“สวยเหรอ”
“สำหรับคนอื่นผมไม่รู้
แต่สำหรับผมมันสวย”
ถ้อยคำเรียบเรื่อยแต่มีความสุขเจืออยู่ดึงให้คนที่ไม่รู้จักแสงแดดยามเช้ามานานลุกจากเก้าอี้เดินไปยืนอยู่ข้างๆคนที่ตัวเล็กกว่า
ในตอนนั้นเขาเพิ่งสังเกตฮู้ดของเด็กน้อยที่ร่วงไปกองตรงลำคอเลยได้เห็นผมสีเข้มดูนุ่มสวย
“ลองอธิบายให้ฟังหน่อยว่าสวยยังไง”
“แสงตอนเช้ามันเหมือนพู่กันนะครับ
เวลาส่องกระทบบ้านเรือน
ทางเดินหรือถนนก็เหมือนมันแต้มสีลงไปจนกลายเป็นสีเหลืองทองไปหมด
ผู้คนทยอยออกจากบ้านดำเนินชีวิตของตัวเองแบบไม่รีบร้อน
และตรงสวนหย่อมนั้นตอนที่แดดมันกระทบกับหยดน้ำค้างบนยอดไม้สีเขียวกับดอกไอริชสีขาวที่บานอยู่มันจะเป็นประกายระยิบระยับเหมือนดาวกลางแดดเลย"
ชายหนุ่มทอดสายตาออกไปด้านนอกเฝ้ามองแสงอาทิตย์และวิถีชีวิตผู้คนขณะฟังเสียงอีกคนที่บรรยายอยู่ข้างๆก็เห็นความงามนั้นประจักษ์แก่สายตา
...ตั้งแต่อยู่มาเขาไม่เคยเห็นหรือคิดว่าวิวตอนเช้าจากห้องเขามันสวยขนาดนี้...
“พี่โชคดีนะที่อยู่ในที่ที่ได้เห็นอะไรสวยๆทุกเช้าแต่ก็น่าเสียดาย”
“เสียดาย”
“ที่พี่ไม่เคยตื่นมาดู
แต่ก็นะ โรคคนเหงาเขาไม่ตื่นเช้ากันหรอก”
“โรคคนเหงาคืออะไร”
“ก็ตามชื่อนั้นแหละครับ”
“นายคิดว่าพี่เหงาเหรอ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วพลางถามอย่างสงสัย หากอีกฝ่ายยังคงนิ่งอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะเงยหน้ามาด้วยรอยยิ้มเหยียดกว้างและดวงตากลมที่ทอดหามีแววอ่อนโยน
...เป็นรอยยิ้มที่ทำให้เขาอุ่นใจขึ้นมาอีกครั้ง...
“เรื่องนั้นพี่ก็รู้อยู่แล้วมั้งครับ” คำตอบยังมีรอยยิ้มเจืออยู่
พออีกคนขยับปากจะถามก็ถูกพูดแทรกขึ้นมาแทนราวกับต้องการตัดบท “ผมว่าผมจะออกไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ตค่อยกลับมานอน
พี่ไปกินยาแล้วก็พักผ่อนซะนะครับ ส่วนชามไม่ต้องล้างหรอก เดี๋ยวผมล้างเอง”
“อา...ลำบากนายแย่เลย
ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ขอบคุณนะ
ไว้จะตอบแทนทีหลัง”
“ถ้าจะตอบแทนผมล่ะก็
พี่ไปหาหมอดีกว่า...อาการของพี่น่ากลัวมากนะ ให้หมอตรวจเถอะ”
“พี่เคยไปหาหมอแล้ว”
“หมอไม่ให้ยาเหรอครับ”
“มันต้องบำบัด”
“ด้วยอะไรครับ”
“อา...เด็กอย่างนายคงไม่เข้าใจ”
“ผมว่าผมเข้าใจนะ”
“เข้าใจว่ายังไง”
“มันหายากน่ะ”
“หายาก”
“คนที่จะรับทุกอย่างที่เราเป็น
ฟังทุกอย่างที่เราพูดและอยู่กับเราเวลาที่เราไม่มีใคร...คนที่ทำให้เราอุ่นใจว่าจะอยู่ข้างๆมากกว่าพูดแค่ปาก
มันหายากนะครับ”
ถ้อยคำเรียบง่ายแต่แฝงนัยยะคล้ายจี้ลึกยังจุดดำกลางใจจนรู้สึกปวดแปลบ
ชายหนุ่มกระพริบตาพลางเลียริมฝีปากแล้วยิ้มออกมาเหมือนทุกครั้งราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้ยิ้มทั้งที่ไม่ได้มาจากความต้องการข้างในแต่มีบางสิ่งที่เขาแน่ใจว่าต้องการ
...เขาอยากรู้จักเด็กคนนี้มากกว่านี้...
“นี่ก็ครึ่งชั่วโมงแล้วนะครับ...พี่กินยาแล้วไปนอนเถอะ
ผมจะได้ไปซื้อของแล้วกลับมานอน เดี๋ยวตอนเย็นจะตื่นไปเล่นบาสกับเพื่อนไม่ทัน”
เด็กชายตัดบทพลางยิ้มขณะที่เท้าขยับจะก้าวไปหยิบกระเป๋าสตางค์แต่เสียงเรียกชื่อที่ดังเบื้องหลังทำให้ต้องหันกลับไปหา
“ที่ว่าเราไม่ต้องคุยหรือสนิทกันน่ะ...ลืมมันไปได้ไหม”
ซามูเอลมองผู้ชายที่สวมหน้ากากล่องหนเพื่อฝืนยิ้มอยู่ตรงหน้าพลางยิ้มอ่อน
ในความเป็นเด็กนั้นเขามีบางสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่เคยรู้ การใช้ชีวิตอยู่กับย่าที่สอนให้เขาคิดและมองคนอื่นอย่างลึกซึ้งและละเอียดอ่อนเพื่อเข้าใจในการกระทำจะได้ไม่รู้สึกโกรธ เกลียดใครทำให้เขาเข้าถึงคนเหล่านั้นตั้งแต่แรกพบ
ในความเป็นเด็กนั้นเขามีบางสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่เคยรู้ การใช้ชีวิตอยู่กับย่าที่สอนให้เขาคิดและมองคนอื่นอย่างลึกซึ้งและละเอียดอ่อนเพื่อเข้าใจในการกระทำจะได้ไม่รู้สึกโกรธ เกลียดใครทำให้เขาเข้าถึงคนเหล่านั้นตั้งแต่แรกพบ
ทว่าการจากไปของผู้เป็นย่าและวันเวลาทำให้เขาเรียนรู้ว่าการเข้าถึงจิตใจของคนอื่นมันเจ็บปวดเหลือเกิน
เขาพยายามถอยห่างจากโลกอันสับสนวุ่นวายของผู้ใหญ่ด้วยการไม่เข้าใกล้เกินไป
“แค่คุยกันน่ะได้ครับ
แต่อย่าสนิทกันเลย ผมไม่อยากอยู่ในโลกคนเหงาของใคร”
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากมองเด็กที่หยิบกระเป๋าบนโต๊ะหน้าโซฟาแล้วเดินหายออกไปจากห้องทำให้ภายในอกเบาโหวง
...คำว่า
โลกของคนเหงาจากริมฝีปากของเด็กคนนั้น ฟังแล้วเหงากว่าที่เขาเคยได้ยินจากคนอื่น แม้แต่คำว่าเหงาที่มาจากปากเขาเอง...
0 Comments