LOVE TOXICAL : WONSAM&CHULJAE CHAPTER 3
22:24
ปี๊บ ปี๊บ ปี๊บ
เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งเตือนในโทรศัพท์มือถือบนเตียงดังและสั่นส่งแรงสะเทือนไปถึงคนที่นอนคลุมโปงอยู่บนเตียงขยับพลิกตัวไปมาแล้วตลบผ้าห่มลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างงัวเงีย
แสงจากหน้าจอมือถือทำให้ห้องมืดที่คลุมด้วยม่านสีเทาหม่นสว่างพอให้มองเห็นภายในห้องนอนซึ่งนอกจากโต๊ะทำงานที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการทำเพลงที่เป็นระเบียบแล้วนอกนั้นก็รกไปหมด
แสงจากหน้าจอมือถือทำให้ห้องมืดที่คลุมด้วยม่านสีเทาหม่นสว่างพอให้มองเห็นภายในห้องนอนซึ่งนอกจากโต๊ะทำงานที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการทำเพลงที่เป็นระเบียบแล้วนอกนั้นก็รกไปหมด
แจวอนใช้มือไถปิดการปลุกแล้วอ่านข้อความในคาทกที่เด้งขึ้นมา...แม่ผู้อยู่อีกฟากโลกส่งข้อความถามถึงความเป็นอยู่ของเขากับเด็กผู้ชายที่อาศัยอยู่ด้วยกัน
เขาส่งข้อความตอบกลับไปแบบสั้นๆว่า
ก็ดีเหมือนที่เคยทำพลางมองเวลาที่ขึ้นอยู่บนจอจากนั้นจึงกดโทรศัพท์โทรหาใครบางคน
“ขอลางานวันหนึ่งนะครับ ไม่ค่อยสบายอ่ะพี่...อืม
ขอโทษนะครับ”
เขาบอกกับรุ่นที่เป็นเจ้าของผับที่เขาทำงานพิเศษแล้วเดินโซซัดโซเซออกจากห้องเดินไปในความสว่างของแสงไฟที่เหมือนจะมีบางคนเปิดทิ้งไว้ให้
ชายหนุ่มเข้าไปในครัวเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำเกรปฟรุ๊ตยี่ห้อโปรดกระดกดื่มก่อนจะเห็นข้าวต้มชามหนึ่งกับไข่ม้วนและหมูผัดเปรี้ยวหวานใส่อยู่ในจานเดียวกันถูกห่อไว้ด้วยแผ่นพลาสติกวางอยู่ข้างยาแก้ไข้แผงหนึ่งบนเตาไมโครเวฟ
...กินข้าวแล้วกินยาด้วยนะครับ
ถ้าไม่ดีขึ้นก็โทรไปลางานดีกว่านะครับ...
นิ้วเรียวหยิบกระดาษแผ่นเล็กที่เขียนข้อความด้วยตัวอักษรอ้วนกลมอ่านง่ายและน่ารักที่แปะอยู่บนแผ่นพลาสติกที่คลุมอาหารขึ้นมาอ่านพร้อมกับคำพูดที่ว่า
คุยได้แต่อย่าสนิทกับโลกคนเหงาที่เด็กคนนั้นบอกลอยเข้ามาในความคิด
...เด็กประหลาด...
เขาเกือบจะขย้ำกระดาษแผ่นนั้นแล้วแต่ไม่รู้ทำไมจึงยัดมันใส่กระเป๋ากางเกงขาสั้นที่ตัวเองสวมและจัดการอุ่นอาหารแล้วหยิบมันไปนั่งกินบนโซฟาพลางกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปมาหารายการน่าสนใจจนเจอช่องภาพยนตร์ต่างประเทศเลยเปิดแช่ไว้เพื่อไม่ให้ห้องเงียบเกินไป
เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะอยู่ในห้อง
พอต้องมาอยู่คนเดียวแม้จะมีเสียงโทรทัศน์อยู่เป็นเพื่อนแต่ในใจกลับรู้สึกแปลกๆ เขาผุดลุกจากโซฟาวางจานไว้ในอ่างล้างในครัวนึกสงสัยว่า
เด็กคนนั้นจะอยู่บ้านหรือเปล่า
เลยลองไปเคาะประตูห้องเล็กนั้นดูแต่ไม่มีเสียงตอบรับเลยเดินไปมองหารองเท้าที่หน้าประตูก็พบความว่างเปล่า
...ไปเล่นบาสเหรอ...
...มีเพื่อนเหมือนกันสินะ...
ช่วงเวลาที่อยู่ในความคิดของตัวเองเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง
เมื่อกดรับสายก็ได้ยินเสียงแสบๆของกวังมินเอ่ยทักทาย
“มึงอยู่ไหนล่ะ...ไปกินข้าวกัน”
“อยู่บ้าน”
“ยังไม่ออกมาอีกเหรอ ไม่ทำงานไง”
“พอดีไม่ค่อยสบายเลยลางานน่ะ”
“เอ้า ไม่สบายเหรอ เป็นอะไรมากไหม
ให้กูซื้อข้าวซื้อยาไปให้เปล่า” พอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่สบายก็ถามไถ่ด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมา
“ไม่ต้องหรอก มีแล้ว”
“ให้กูไปหาไหม เผื่อเป็นลมจะได้มีคนช่วย”
“ไม่เป็นไร”
“แน่ใจ...ถ้ามึงเกรงใจก็ไม่ต้องนะไอ้ห่า
ไม่ไหวก็บอกไม่ไหว อย่าฝืน”
“ไม่ต้องเป็นห่วงแค่ไม่สบายไม่ได้จะตาย ถ้าใกล้ตาย
เดี๋ยวกูโทรไปหา”
“555 เออๆ ไม่ไหวโทรมาด้วยนะมึง”
“อืม โชคดี” เขากดวางสายเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงมองกลับไปในห้องกว้าง
ความเงียบนั้นเกาะกุมอยู่ภายในที่แม้แต่เสียงโทรทัศน์ก็ไม่ช่วยอะไรแต่ความคุ้นชินและไม่อยากออกไปไหนเลยต้องเดินกลับไปนั่งตรงโซฟารอกินยากระทั่งผล็อยหลับไปในที่สุด
---------------------------------------
บานประตูไม้หน้าร้านอาหารเกาหลีถูกผลักก่อนที่ร่างเล็กของเด็กลูกเสี้ยวไม่เหมือนคนเกาหลีที่สวมเสื้อคลุมสีเทาจะก้าวเข้ามาข้างในทำให้ชายหนุ่มร่างใหญ่หนาผู้มีผมหน้าม้าสีส้มและชายหนุ่มผมหยักศกสีเข้มสวมผ้ากันเปื้อนสีเข้มที่ยกลังผักและของสดอยู่หันมามอง
“เฮ้ย...วันนี้มาเหรอ นึกว่าจัดการศพอยู่ซะอีก”
“เขายังไม่ตาย”
“เห็นมะ...พี่บอกแล้วแค่สลบไม่ถึงตายหรอก
แล้วนี่ยังไงไม่ต้องดูแลพี่ชายคนใหม่เหรอ”
“ก็ดูจนไม่ได้นอนไปแล้วไงครับ...ตอนนี้ให้เขาดูแลตัวเองไปเถอะ”
“ทำไมแซมน้อยของเราอยู่ๆก็เย็นชาจังวะ ถ้าพี่กับกวักซอกมันไม่สบายขึ้นมาจะปล่อยพวกพี่ดูแลตัวเองปะ”
“มันไม่เหมือนกันนะครับ”
“ไม่เหมือนยังไง”
“ก็พวกพี่เป็นญาติ”
“ถ้าไม่ใช่ญาติก็ไม่ดูงั้นดิ”
“กับพวกพี่ไม่เป็นไร”
“ทำไมอ่ะ”
“พวกพี่เข้าใจง่าย”
“เข้าใจง่าย นี่ไม่ได้ด่าพวกพี่ว่าโง่ใช่ปะ” คนผมหยักศกถามพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดีปลุกให้คนที่นอนฟุบหน้าท่ามกลางกองหนังสือที่นั่งอยู่ด้านในสุดของร้านเงยหน้ามาหา
เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็ลุกพรวดตรงเข้ามากอดอย่างเร็ว
“แซมมี่”
“อ้าว ทำไมพี่มาอยู่นี้ล่ะ ไม่อ่านหนังสือสอบเหรอ” คนอ่อนกว่าเอ่ยถามพลางเลิกคิ้วทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มลูกครึ่งผิวขาวจัดผู้มีเรือนผมยักศกสีน้ำตาลอ่อนกับนัยน์ตากลมสวยสีน้ำตาลอ่อนประดับบนใบหน้านวลละมุนเอาแต่ส่งเสียงเหมือนร้องไห้ในลำคอ
ฮันซลแกล้งสะอื้นมองหน้าของเด็กน้อยที่เห็นกันแต่อ้อนแต่อ่อน
ถึงจะไม่ใช่ญาติแต่ก็เหมือนญาติเพราะแม่ของเขาทั้งคู่เป็นคนต่างชาติที่ซี้กันมาตั้งแต่สมัยเรียนแม้จะแต่งงานไปแล้วก็ยังไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ
บ้านในอเมริกาก็อยู่ในละแวกเดียวกันกระทั่งตอนที่พ่อของเขาย้ายไปปักหลักที่อเมริกาถาวรทั้งที่มีบ้านอยู่แต่เขาก็เลือกเรียนและอาศัยอยู่ที่บ้านของซามูเอลที่เกาหลีมาตลอด
“ฮือ”
“ร้องทำไมอ่ะครับ...ไม่เจอกันไม่กี่วัน
อ่านหนังสือมากเกินจนเพี้ยนแล้วเหรอ”
“ถ้าอ่านได้ก็ดีดิ”
“ทำไมอ่านไม่ได้ล่ะครับ”
"ไอ้ห้องข้างบนมันส่งเสียงดังทั้งคืนเลย
เริ่มมืดหน่อยก็เอาล่ะเสียงกระแทกพื้นเหมือนจะถล่มมาละ ไม่รู้แม่งทำบ้าอะไร บอกเจ้าของหอไปเขาก็ช่วยอะไรไม่ค่อยได้
นี่เลยต้องหนีมาอ่านหนังสือที่ร้านเนี่ย”
“อะไร...ย้ายไปแค่อาทิตย์เดียวนี้ก็มีปัญหาแล้วเหรอ”
ชายหนุ่มผมส้มตะโกนออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ครัวสำหรับทำอาหาร
“ผมไม่ได้อยากมีปัญหานะพี่กวักซอก...แต่มันอ่านหนังสือไม่ได้จะให้ทำยังไงล่ะ”
เด็กหนุ่มตะโกนกลับไป
พี่ชายผมส้มที่ชื่อกวักซอกกับพี่ชายผมยักศกที่ชื่อยองจุนเป็นเจ้าของร้านอาหารแห่งนี้
ทั้งสองคนเป็นพี่น้องกันและยังมีอีกสามคนที่ยังไม่กลับ
ทั้งหมดเป็นญาติห่างๆกับซามูเอลชนิดที่ถ้านับเป็นระยะทางก็คงไกลประมาณโพ้นทะเลแต่เขาก็รู้สึกสนิทเหมือนเป็นพี่ตัวเองเหมือนกัน
“ไม่แน่ข้างบนห้องแกอาจจะเป็นฆาตกรโรคจิตก็ได้
พวกเสียงกระแทกที่ได้ยินอาจเป็นเสียงของเหยื่อที่พยายามดิ้น”
“พี่กวักซอก...พี่ดู Criminal mind มากไปปะ”
“เอ้า แกเคยขึ้นไปหาเขาแล้วเหรอถึงบอกไม่ใช่”
“ไม่เคยอ่ะ”
“งั้นลองดูดิ ถ้าออกมาแบบลับล่อๆ
ฟันธงไปก่อนเลยว่าเป็นฆาตกรโรคจิต”
“อย่าขู่ผมดิ
ผมก็กลัวเป็นนะ...ฮือ...ถ้าไม่ใช่เพราะคุณน้าต่อเติมบ้านและพี่ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย
เราก็คงไม่ต้องแยกจากกันคนละทิศละทางแบบนี้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพราะพี่ยองจุนนั้นแหละ
ถ้ายอมให้เรามาอาศัยด้วยก็จบแล้ว คนใจดำ”
“อ้าว ไอ้เด็กฝรั่ง...พูดจาแบบนี้
เดี๋ยวพ่อไล่ไปข้างนอกเลย” ยองจุนโต้กลับขณะสับหมูบนเขียงไปด้วย
“ก็มันจริงไหมล่ะ”
“ร้านพี่ไม่ใช่หอพักนะไอ้หอกแค่อยู่กันห้าคนพี่น้องก็แออัดยัดเยียดเอาตีนก่ายหน้ากันทุกคืนอยู่แล้ว”
“ทำไมไม่ขยายร้านเล่าจะได้มีที่เพิ่ม”
“เอาเงินมาสิเดี๋ยวขยายให้”
“โหย...หน้าเลือด ขูดรีดกระทั่งเด็ก
ร้านตัวเองลูกค้าก็เยอะแยะเอาเงินไปไหนหมด”
“ส่งน้องเรียนกับทำข้าวให้แกกินฟรีก็เกลี้ยงแล้วว้อย”
“อย่าเถียงกันเลยครับ ยังไงพ่อแม่เราเขาก็ตกลงแบบนี้เราไปแก้ไขอะไรไม่ได้หรอก”
สุดท้ายคนเด็กที่สุดก็เป็นฝ่ายหยุดทัพแล้วหันไปหากวักซอกที่เพิ่งเดินจากหลังร้านกลับเข้ามา
“แล้วนี่พวกพี่อีกสามคนเขาไปไหนเหรอครับ”
“เรฮวานกับซองฮักไปดูเรื่องอาหารให้ลูกค้าที่จ้างในงานแต่ง...ส่วนดงฮยอนมันไปสอนพิเศษ
แล้วนี่ไอ้เด็กฝรั่งทั้งสองจะกินอะไรบอกมาดิจะได้ทำให้
เดี๋ยวลูกค้าเข้าไม่ได้กินนะว้อย”
“ผมเอาข้าวผัดกิมจิกับซุปสาหร่ายชามใหญ่ๆ
ส่วนของแซมมี่เอาไก่ทอดราดซอสเปรี้ยวหวาน”
ฮันซลตะโกนบอกโดยไม่ถามความเห็นแต่อีกคนก็ไม่ได้ค้าน
ทั้งคู่รอไม่นานอาหารก็มาถึงโต๊ะระหว่างที่กินข้าวด้วยกันอยู่ๆคนโตกว่าก็พูดขึ้นมา
“เออ พี่ขอโทษนะ”
“เรื่องอะไรครับ”
“ก็เรื่องที่นายส่งข้อความมาขอความช่วยเหลือแล้วพี่ไม่ได้ตอบกลับอ่ะ
พอดีเมื่อวานพี่ออกมาติวหนังสือกับพี่ยองแจแล้วลืมหยิบมือถือไป
พอถึงห้องมันเหนื่อยขนาดไอ้ข้างบนทำเสียงดังพี่ก็หลับอ่ะ กว่าจะชาร์ตแบตเช็กข้อความได้ก็บ่ายแล้ว
ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร”
“แล้วลูกชายป้าเยริเขาเป็นอะไร ทำไมถึงล้มฟาดไปแบบนั้น”
ซามูเอลเม้มริมฝีปากเหลือบตามองผ่านกระจกไปยังหลังร้านที่มีของสดและของแห้งเก็บไว้พลางคิดถึงใบหน้าหล่อที่มีความหวานซึ่งทรมานกับอาการเจ็บท้องจนแน่นมาถึงอก
“โรคคนเหงา”
“งะ” พอได้ยินคำตอบอีกฝ่ายก็ย่นหน้าผาก
การใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
คุยด้วยกันทุกเรื่องทำให้คนเป็นพี่รู้อยู่บ้างว่าซามูเอลเป็นเด็กที่โตกว่าอายุและละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกคนอื่นเกินไป
ส่วนโรคคนเหงาที่หลุดจากปากเขาเคยได้รับคำอธิบายว่าหมายถึงคนประเภทที่ใช้ชีวิตเหมือนมีความสุขดีทั้งที่ข้างในว่างโหวงเหมือนโพรงเปล่า
...ถ้าโชคดีมีคนเติมให้เต็มได้ก็ไม่เป็นปัญหา
แต่ถ้าโชคร้ายทำยังไงก็เติมให้เต็มไม่ได้คนที่ถูกลากไปเกี่ยวข้องมีแต่จะยุ่งยากไม่สิ้นสุด...
“อึดอัดไหม”
“ยังครับ แต่ต่อจากนี้ไม่แน่”
“ทำไมอ่ะ”
“เขาบอกว่าอยากสนิทกับผม”
“กลัวเหรอ”
“ไม่หรอก
แค่ไม่รู้ว่าถ้าสนิทกันแล้วจะเป็นคนประเภทเติมให้เต็มได้หรือเปล่าก็เลยอยากอยู่ห่างๆ”
“ขอโทษนะ”
“ขอโทษทำไมอีกแล้วล่ะครับ”
“ที่ทำให้นายต้องอยู่กับคนแบบนั้น...ถ้ามันทนไม่ไหวหนีมานอนด้วยกันก็ได้นะถึงไอ้ข้างบนจะเสียงดังก็เถอะ”
“ไม่เอาหรอกครับ...ผมไม่อยากกวนสมาธิคนต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ”
“ฮือ...เอาไว้พี่สอบเข้ามหาวิทยาลัยโซลได้
พี่จะย้ายไปหอที่เราอยู่ด้วยกันสองคนได้นะ”
“ตอนนั้นพี่อาจไม่อยากอยู่กับผมแล้วก็ได้”
“ไม่มีทางซะล่ะ”
“แล้ววันนี้พี่ยองแจเขาต้องสอนพิเศษพี่หรือเปล่า” เขาถามไพล่ไปถึงผู้ชายอีกคนที่เป็นทั้งครูสอนพิเศษส่วนตัวและญาติห่างๆ
ทางพ่อของคนตรงหน้า
“สอน”
“ไม่ไปติวล่ะครับ”
“ติวไปแล้วอ่ะตอนนี้พักอยู่”
“ติวที่นี่ เสียงมันไม่ดังไปเหรอครับ”
“ก็ติวที่นี่กันประจำตั้งแต่ยังไม่ต่อเติมบ้านแล้วนะ”
“ตอนผมเล่นบาสเสร็จ เคยแวะมาทำไมไม่เห็นล่ะ”
“นายมากี่โมง พวกพี่ติวกันถึงสองทุ่มก็เลิกแล้ว”
“แล้วพี่เขาไปไหนล่ะครับ”
“เห็นบอกว่าจะไปซื้อกาแฟแต่ไปตั้งพักหนึ่งแล้วยังไม่มาเลยอ่ะ”
ฮันซลตอบแล้วชะเง้อคอไปทางประตูร้าน
“แซม...กินเสร็จยัง มาช่วยพี่หั่นผักที”
เสียงของยองจุนตะโกนออกมาทำให้เจ้าของชื่อลุกจากเก้าอี้เดินไปทางเคาน์เตอร์ครัวเพื่อช่วยงานอย่างที่เคยทำเป็นครั้งคราว
“ให้ผมช่วยไหมคร้าบ กำลังว่างเลย”
“เอาชามไปไว้หลังร้านแล้วกลับมานั่งอ่านหนังสือเถอะไอ้เด็กเตรียมสอบ...ให้มาช่วยเดี๋ยวครัวระเบิดพอดี”
“โถ ทำไมดูถูกฝีมือทำอาหารผมขนาดนี้”
“ไอ้คราวก่อนที่ครัวเกือบไหม้ไม่ใช่เพราะแกเหรอไง”
“ฮือ...ทำไมท่านพี่ถึงทำร้ายจิตใจน้อยๆของน้องได้ถึงเพียงนี้”
“อย่าทำสำบัดสำนวนน้า ขนลุก เอาชามไปเก็บไป้”
กวักซอกว่าคนเป็นน้องทำหน้าง้ำแต่ก็ยอมลุกจากเก้าอี้ยกชามที่กินแล้วไปไว้ในอ่างล้างจานหลังร้านก่อนจะเดินออกมาเจอกับชายหนุ่มผมสีดำผิวขาวจัดสวมเสื้อยืดแขนยาวหลวมๆกับกางเกงยีนส์สีดำกับรองเท้าผ้าใบหิ้วกาแฟกับโกโก้หลายแก้วมาตั้งบนโต๊ะ
ใบหน้านวลมีแก้มและไฝใต้ตาขวานั้นน่าเอ็นดูอยู่แล้วแต่เมื่อยิ้มกว้างจนตาหรี่เล็กทำให้อีกฝ่ายน่ารักและเด็กกว่าอายุจริง
“โหย...นี่พี่ไปเหมากาแฟมาเหรอครับ” คนอ่อนกว่าถาม
“มันมีโปรซื้อสองแถมหนึ่งก็เลยซื้อมาเผื่อให้นายกับพี่ยองจุนกับพี่กวักซอกด้วย”
ยองแจบอกพลางยิ้มแล้วมองไปยังครัวที่เหมือนจะเห็นร่างเล็กๆอยู่ในนั้นเลยเดินไปตรงเคาน์เตอร์เรียกหา
“แซม”
เจ้าของชื่อหันกลับไปมองทางต้นเสียงก็เห็นชายหนุ่มที่คุ้นเคยส่งยิ้มกว้างอบอุ่นมาหา
เด็กชายชะงักเล็กน้อยแล้วยิ้มเหมือนทุกครั้งที่เห็นหน้ากันซึ่งเป็นสิ่งที่ตอนแรกอีกฝ่ายนึกสงสัยแต่พอเห็นบ่อยๆก็ชินจนไม่คิดอะไร
“ใช้แรงงานเด็กนี่ผิดกฎหมายนะครับ”
“ขอให้ช่วยไม่ได้ใช้สักหน่อย” กวักซอกสวนทันควัน
ถึงจะไม่ใช่ญาติแต่ก็สนิทกันเพราะเห็นกันบ่อยและคุยถูกคอ
“แต่ก็จ่ายค่าแรงนี่ครับ...ถึงจะจ่ายด้วยข้าวเย็นก็เถอะ”
“นี่มึงเรียนนิติศาสตร์หรือบัญชีกันแน่วะ...ทำมาคงมาคุยเรื่องกฎหมาย”
“เรียนบัญชีก็ต้องเรียนกฎหมายภาษีนะพี่”
กวักซอกเหล่ตามองคนอายุน้อยกว่าที่เพิ่งเข้ามาในร้านอยากจะยกสันมีดฟาดใส่สักทีแต่ก็ยั้งไว้เพราะเห็นลูกค้าคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาในร้านเลยจัดการไล่
“ถ้ามึงทำกับข้าวแบบแซมไม่ได้นะยองแจ
เชิญไปอยู่กับไอ้เด็กเตรียมสอบแล้วติวหนังสือให้มันนู้นเลยไป”
“555 โดนไล่เฉยเลยอ่ะ...งั้นผมไปติวหนังสือให้น้องก่อนนะ
แล้วก็อย่าลืมเอาโกโก้กับกาแฟที่ผมซื้อมาฝากแช่ตู้เย็นล่ะเดี๋ยวละลายหมด”
ยองแจบอกทิ้งท้ายผละจากหน้าเคาน์เตอร์ไปยังโต๊ะที่มีเด็กลูกครึ่งนั่งอ่านหนังสือพลางย่นแขนเสื้อมากองตรงข้อศอกแล้วเริ่มติววิชาคณิตศาสตร์ให้
“รับอะไรดีครับ”
ยองจุนเดินอ้อมจากเคาน์เตอร์มาหาลูกค้าที่เลือกนั่งใกล้กับคนที่กำลังสอนหนังสือ
ผู้ชายท่าทางแปลกๆ สวมเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ราคาแพงซึ่งซ่อนหน้าซ่อนตาด้วยการคลุมฮู้ดปิดลงมาครึ่งหน้าที่ระยะหลังนี้เขาเห็นมากินข้าวในร้านประมาณทุ่มและกลับออกไปตอนสองทุ่มทุกวันโดยจะมาคนเดียวเป็นประจำแต่ครั้งนี้กลับพาผู้ชายตัวสูงใหญ่หน้าตาตลกแต่ดูดีเวลาอยู่นิ่งๆ
สวมยืดสีดำทับด้วยเสื้อคลุมเหมือนเสื้อของนักแข่งเบสบอลมาด้วย
“เอาปลาหมึกผัดเผ็ดกับข้าวสองที่ ซุปเกี๊ยวหนึ่ง
ขาหมูต้มจานใหญ่หนึ่ง แล้วก็โซจูสอง”
คนปิดหน้าสั่งเหมือนรู้แล้วว่าข้างในเมนูมีอะไรโดยไม่ให้อีกคนสั่งสักคำ
“อุตส่าห์กลับมาอยู่เกาหลีทั้งที
ใจคอมึงจะออกมาแดกข้าวกับกูด้วยสภาพแบบนี้จริงๆเหรอ”
“สภาพแบบไหน”
“ก็ใส่เสื้อปิดหน้าปิดตาจนคนอื่นเขานึกว่ากูมากับผีดิบเนี่ย...หน้าตาก็ดีจะปิดหน้าทำไม”
“มันเป็นสไตล์...ก็เหมือนมึงอ่ะที่ชอบใส่เสื้อลายหมีแล้วหวีผมเปิดหน้าผาก
บอกตั้งกี่ครั้งว่าข้างหน้ามันเถิกเยอะแล้วอย่าเซ็ตผมแบบนั้นก็ยังทำ”
“พูดอย่างนี้เอาไม้หน้าสามมาตีหน้ากูเลยก็ได้นะไอ้ฮอน...”
พอจะเรียกชื่อก็ถูกมือกระแทกปิดปากกะทันหันจนคนตรงข้ามหน้าหงายเกือบล้มจนหลุดอุทานด่าออกมา
“ไอ้ห่ากระแทกมาแบบนี้จมูกกูหักทำไงวะ...ทำตัวสุภาพชนบ้างไม่ได้เหรอไง
ไอ้ซาดิมส์”
“คุณฮันเฮครับ ผมก็ผมเคยบอกแล้วคุณแล้วว่าอย่าเรียกชื่อจริง”
“แหมะ คุณไอออน คุณนี่นับวันยิ่งประสาท
ทำตัวลึกลับติดต่อยาก พอเจอกันทีดูแต่งตัวยังกะนักฆ่า
จะเรียกชื่อก็ต้องเป็นชื่อในวงการ คุณมึงไหวปะวะเนี่ย”
ฮันเฮว่าพลางแยกเขี้ยวใส่ในตอนท้ายให้กับคนที่หลบอยู่ใต้เงาฮู้ดซึ่งรู้จักกันมานานโขตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม
ก่อนที่จะมีชื่อเสียงฮอนชอลคนที่เขารู้จักทำงานหลักเป็นบาร์เทนเดอร์ให้คลับชั้นสูงแห่งหนึ่ง
แต่เวลาว่างหมอนี่จะทำดนตรี
วันดีคืนดีเกิดมีคนชวนไปทำงานที่อเมริกาแล้วโชคดีชนะพนันได้เงินหลายล้านเหรียญในคาสิโน
จากนั้นก็มือขึ้นได้โอกาสเลยได้ไปร่วมงานกับคนดังและเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นภายในเวลาแค่สองปีโดยใช้นามแฝงในวงการว่า
ไอออน
...ตั้งแต่กลับจากอเมริกาน้อยคนที่จะเคยเห็นหน้าค่าตาของหมอนี่ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายรักสังคมมีเพื่อนเยอะถึงกลายเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ยอมให้ใครพบแบบนี้...
“ถ้าอยากให้กูออกมาข้างนอกด้วย
มึงช่วยหาชื่ออื่นที่ไม่ใช่ชื่อจริงหรือชื่อในวงการเรียกแทนได้ไหม”
“เอ้า
เรื่องเยอะอีก...ก็มึงเองไม่ใช่เหรอที่เรียกกูออกมาบอกจะเลี้ยงข้าว
จริงๆก็แค่อยากกวนประสาทกูสินะ โฮ โลกนี่ช่างไม่ยุติธรรม อยากเจอเพื่อน
เพื่อนก็แค่อยากกวนตีน”
อีกฝ่ายร้องดึงทิชชู่บนโต๊ะฉีกเป็นสายแล้วแปะที่ตาทำหน้าเหยเกเหมือนร้องไห้
“เหี้ย...สมงสมองมึงนี่ไปหมดแล้วเหรอ พอๆ
กูรู้ว่ามึงบ้าแต่นี่ร้านประจำกู เดี๋ยวเขาเห็นกูพาคนบ้ามาเขาจะไม่ให้กูเข้าอีก”
“ถ้าเขาจะไม่ให้เข้า ก็น่าจะตั้งแต่ตอนคุณพี่แต่งตัวเป็นผีดิบแบบนี้แล้วนะคร่า” คนตัวใหญ่กว่าจีบปากจีบนิ้วแบบสะดีดสะดิ้งจนอีกคนยกเท้าอยากจะยันโครมแต่เพราะอาหารมาเสิร์ฟเลยต้องนิ่งและเริ่มต้นกินข้าวเย็น
“เออ อร่อยเว้ย...เพราะอร่อยแบบนี้นี่เอง
คนอย่างมึงถึงยอมออกจากบ้านมากินข้าวข้างนอก”
“อร่อยก็แดกเข้าไปเยอะๆนะ
เดี๋ยวจะไม่มีแรงไปหาน้องอะไรนั้นของมึงที่ผับอ่ะ”
คนเป็นเจ้ามือคะยั้นคะยอพลางคีบปลาหมึกใส่จานแต่ศีรษะกลับขยับเอียงไปทางโต๊ะของคนที่นั่งติวหนังสือเหมือนสายตาจับจ้องอยู่ตรงนั้น
“จำได้ด้วย”
“มึงเล่นส่งคาทกเพ้อถึงน้องเขาให้กูอ่านทุกวัน
กูคงจำไม่ได้หรอก”
“555 ก็น้องมันน่ารักอ่ะ”
“จ้า น่ารัก
แต่พอมึงจีบติดอีกสองเดือนก็ส่งข้อความมาบอกกูว่าเลิกกันแล้วและเพ้อถึงน้องคนใหม่ให้ฟัง”
“เฮ้ย คนนี้ไม่เหมือนคนอื่น
ดูมีอะไรในตัวน่าสนใจเยอะดีคงไม่เบื่อง่ายๆหรอก”
“อย่าพูดเล้ย ครั้งที่แล้วก็แบบนี้ จริงๆนะฮันเฮ
กูว่ามึงน่าจะหาใครสักคนที่มึงอยากอยู่ด้วยไปนานๆ
มัวแต่ตามหาคนที่ใช่ไปเรื่อยๆแบบนี้สุดท้ายจะไม่เหลือใคร”
“กูก็จริงจังแต่ยังไม่ลองคบจะรู้ได้ยังไงว่าอยู่กันยืด
แต่จริงๆกูจำได้ว่าเมื่อก่อนมึงเป็นคนบอกแบบนี้กับกูก่อนนะ”
“แต่วันหนึ่งตอนที่มึงเจอคนที่รักจริงๆ
แต่รักเขาไม่ได้หรือเขาไม่รักมึงตอบจะรู้สึก”
“พูดเหมือนกับมึงเคยงั้นแหละ”
ฮอนชอลเม้มริมฝีปากละสายตาจากเพื่อนมองไปยังชายหนุ่มผมดำที่นั่งห่างออกไปไม่ไกลครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับมาในทันทีที่เห็นอีกฝ่ายหันมามองเหมือนรู้สึกตัว
“เออ...ลองขาหมูดูสิมึง อร่อยนะ” เขาคีบหมูใส่ผักราดน้ำจิ้มแล้วยัดเข้าปากเพื่อนรวดเร็วจนโดนด่า
“ไอ้เหี้ย ชิ้นตั้งใหญ่ยัดมาได้”
“ปากมึงก็ใหญ่แดกเข้าไปได้อยู่แล้วน่า...กินๆ”
ยองแจกระพริบตามองลูกค้าที่นั่งกินข้าวกันอยู่โต๊ะข้างๆ...ผู้ชายที่สวมฮู้ดคลุมหน้าดูเหมือนจะเป็นลูกค้าประจำเพราะทุกครั้งที่มาติวหนังสือให้น้องที่เป็นญาติกันก็มักจะเห็นเขากินข้าวที่โต๊ะนั้น
ในบางครั้งเขารู้สึกเหมือนถูกจ้องมองก็พอหันไปก็ไม่มีอะไร
“พี่ยองแจ...แทนค่าตรงนี้ถูกไหมครับ พี่ยองแจ” เสียงของคนเป็นน้องที่เรียกทำให้คนพี่ได้สติหันกลับมา
“อืม...พอแทนค่าจะได้ผลลัพธ์ออกมา
แล้วใส่สูตรนี้ก็จะแก้โจทย์ได้แล้ว”
“พี่เก่งจัง พอผมทำเองไม่เห็นจะได้แบบนี้”
“ก็ไม่เข้าใจจะไปทำได้ยังไงล่ะ...ไหน
มีตรงไหนไม่เข้าใจอีก”
“ไม่มีแล้วครับ”
“งั้นวันนี้พอแค่นี้แหละ”
“อ๊าก...จบสักที หัวจะแตกอยู่แล้ว โอ๊ย
พี่ตีผมทำไมเนี่ย” เด็กหนุ่มร้องออกมาทันทีที่ถูกมืออีกคนฟาดเข้าที่แขน
“แหกปากซะเสียงดัง เกรงใจลูกค้าพี่ยองจุนเขาบ้างสิ”
“ผมไม่ได้หัวดีแบบพี่กับแซมสักหน่อย”
“ผมไม่ได้หัวดีสักหน่อย...พี่เองจริงๆก็เรียนเก่งออก
มีแค่เลขเท่านั้นแหละที่ได้คะแนนไม่ดี”
เด็กคนเดียวในร้านที่ออกจากเคาน์เตอร์ครัวหลังจากช่วยหั่นผักเป็นกะละมังบอกขณะทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่พร้อมดูดโกโก้ที่อยู่ในมือไปด้วย
“โจทย์ยากสูตรเยอะขนาดนี้ ถ้าไม่มีเทคนิคใครจะไปทำได้”
“ตอนพี่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัย พี่ก็ไม่เก่งเลขเหมือนกัน”
“แล้วทำไมถึงเก่งขึ้นมาได้ล่ะครับ”
คำถามจากความอยากรู้อยากเห็นของฮันซลทำให้ยองแจนิ่งงัน
ดวงตาปรายไปยังตัวอักษรมากมายบนกระดาษ
ในนาทีนั้นคล้ายมีเสียงฮัมเพลงลอยเข้ามาในโสตประสาทพร้อมกับรอยยิ้มกว้างของใครคนหนึ่งที่แม้ผ่านคืนวันเนิ่นนานหากในใจยังจดจำ
“พี่ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ” เสียงที่เอ่ยถามอย่างเป็นห่วงกับมือเล็กอุ่นที่ยื่นมาจับทำให้เขารู้สึกตัว
“อา...ไม่เป็นไร พี่แค่นึกขึ้นได้ว่า
แม่ฝากซื้อข้าวหอมมะลิ
ยี่ห้อนี้ไม่มีในร้านสะดวกซื้อต้องไปซื้อในซุปเปอร์มาเก็ตด้วยสิ”
“จริงสิวันนี้วันเสาร์พี่กลับบ้านนี่เนาะ
งั้นรีบไปซื้อดีไหมอ่ะพี่ เดี๋ยวซุปเปอร์มาร์เก็ตมันจะปิดก่อน”
“แล้วจะกลับกันหรือยัง พี่จะเดินไปส่ง”
“ไม่ต้องห่วงพวกผมหรอก...หอผมก็หอเก่าที่พี่เคยอยู่ตอนเตรียมสอบอ่ะ
เดินไปสิบห้านาทีก็ถึงแล้ว”
“พี่ไม่ได้ถามถึงเรา พี่หมายถึงแซม”
“ของแซมนี้ไม่ยิ่งไม่ต้องห่วงเลย
ข้ามถนนตรงนี้เดินอีกห้านาทีก็ถึง”
“อ้าว นี่พักกันไม่ไกลจากบ้านเลยนิ”
“พ่อแม่พวกผมเขาไม่ยอมให้เราพักไกลเกินกว่าที่พี่ยองจุนจะไปหาได้หรอก...แม่ไม่อยากให้ไกลสายตาผู้ใหญ่”
“งั้นพี่ไปก่อนนะ จะรีบไปซื้อข้าว”
“โอเคคร้าบ บะบาย...เจอกันพรุ่งนี้นะครับพี่” เด็กทั้งสองโบกมือลา
มองพี่ชายหยิบข้าวของใส่กระเป๋าแล้วสะพายเดินผ่านเคาน์เตอร์ก็ก้มศีรษะให้กับกวักซุกและยองจุนแทนคำลาก่อนผลักประตูออกไปข้างนอก
พอคนที่ซ่อนหน้าใต้ฮู้ดเห็นเข้าก็หันมาเร่งเพื่อนที่กินอยู่
“อะไร...ยังแดกไม่หมดเลยจะรีบไปไหน”
“กูมีธุระ”
“เอ้า ชวนกูมา พอแดกยังไม่ทันอิ่มบอกกูมีธุระหน้าตาเฉย
จะเบี้ยวเลี้ยงข้าวกูเหรอ”
“เปล่า แต่กูนึกขึ้นได้ว่ามีธุระจริงๆ
ส่วนมึงตอนนี้ได้เวลาไปหาน้องอะไรนั้นของมึงแล้วนิ รีบๆแดกจะได้ไป”
“เพิ่งสองทุ่มเองนะมึง...น้องเขามาสามทุ่มนู้น”
“เออๆ ถ้างั้นมึงก็แดกต่อไปเลยแล้วกัน
ส่วนนี่เงินค่าข้าว กูไปก่อนนะ” เจ้ามือควักเงินออกมาวางบนโต๊ะแล้วรีบร้อนเดินออกไป
“ไอ้ห่า ชวนกูมาแล้วทิ้งกูเฉยเลย...แม่งจริงเลยนะมึง”
ฮันเฮบ่นพลางถอนหายใจหมดอารมณ์กินเลยลุกจากเก้าอี้พร้อมกำเงินที่อยู่บนโต๊ะตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน
จังหวะที่ลุกจากเก้าอี้กระเป๋าตังค์ที่สอดไว้ในกระเป๋าหลังของกางเกงยีนส์ก็ร่วงบนพื้นอย่างไม่รู้ตัว
“ไงเด็กฝรั่งทั้งสองจะกลับบ้านยัง
มีใครอยากให้พี่ไปส่งไหม”
ยองจุนถามพลางเด็กหนุ่มผิวขาวเก็บหนังสือลงกระเป๋าสะพายหลังระหว่างที่เด็กชายผิวสีน้ำผึ้งดูดโกโก้รอขณะที่มือเช็ดโต๊ะไปด้วยก่อนที่เท้าจะสะดุดกับกระเป๋าสตางค์ที่อยู่บนพื้น
“คุณ...คุณครับ กระเป๋า”
เจ้าของร้านหยิบมันขึ้นมารีบหันไปเรียกคนที่จ่ายเงินเสร็จแต่อีกคนไม่ได้ยินเดินออกไปต่อหน้าต่อตา
พอขยับจะตามก็เห็นลูกค้ากรูกันเข้ามาเป็นสิบ
“พี่ยองจุน เอากระเป๋าน้าเขามาก็ได้ ผมจะกลับบ้านพอดี
เดี๋ยววิ่งออกไปคืนให้น้าเขาเอง” ซามูเอลเห็นอีกคนยืนเก้ๆกังๆเลยอาสาหยิบกระเป๋าหนังสีดำอาศัยความตัวเล็กวิ่งออกไป
“เฮ้ย รอด้วยดิแซม...พี่ยองจุน ผมไปก่อนนะ” ฮันซลว่ารีบสะพายกระเป๋าขึ้นหลังพร้อมโค้งให้คนเป็นพี่แล้วรีบตามน้องไปเช่นกัน
เด็กชายวิ่งตามหลังของคนตัวสูงใหญ่ที่ก้าวขายาวๆไปข้างหน้าท่ามกลางผู้คนขวักไขว่อย่างไม่เร่งร้อนแต่ทำให้คนตามหอบกว่าจะตามทันก็ตอนที่อีกฝ่ายยืนรอสัญญาณไฟข้ามถนนอยู่
“น้า...น้าครับ” นิ้วเรียวเล็กที่สะกิดตรงแขนทำให้คนตัวใหญ่สะดุ้งหันไปมองก็เห็นเด็กลูกครึ่งยืนหอบอยู่ข้างๆ
“เออ...นายหมายถึงพี่เหรอ” ฮันเฮถามกลับพลางยกนิ้วชี้มาที่ตัวเอง
“ครับ น้านั้นแหละ
เมื่อกี้น้าทำกระเป๋าตังค์ตกไว้ที่ร้านข้าวครับ”
“อ้อ จริงด้วย ทำตกตอนไหนวะไม่เห็นรู้เรื่องเลย
ขอบใจมากนะ”
มือใหญ่ตบกางเกงยีนส์ก่อนจะรับกระเป๋าของตัวเองกลับมาแล้วเปิดออกมาดูข้าวของข้างในเมื่อเห็นว่าอยู่ดีก็โล่งใจเอ่ยขอบคุณคนเป็นเด็กไปทันที
“ไม่เป็นไรครับ...ผมไปก่อนนะครับ”
“เออ เดี๋ยวนะ”
“ครับ”
“พี่ให้เป็นค่าตอบแทนที่นายเอากระเป๋ามาคืน” เขาบอกแล้วล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบเอาอมยิ้มที่พกติดตัวเวลาคิดงานไม่ออกไปให้
คนอ่อนกว่ารับอมยิ้มจากอีกคนมาถือไว้พร้อมกับสัญญาณไฟข้ามถนนที่เปลี่ยนเป็นสีเขียว
“ขอบคุณนะ...เป็นเด็กดีจริงๆ”
ชายหนุ่มอวยพรพลางยื่นมือมาลูบหัวที่อยู่ใต้ฮู้ดของเด็กที่เอากระเป๋ามาคืนให้ตัวเองแล้ววิ่งข้ามถนนหายไปกับกลุ่มคนที่ข้ามกลับมาจากอีกฟากเช่นกัน
“แซม” เสียงคุ้นเคยที่ตะโกนเรียกจากข้างหลังทำให้เด็กชายเก็บอมยิ้มใส่กระเป๋าแล้วหันไปมองพี่ชายที่วิ่งมาหา
“คืนน้าเขาไปแล้วเหรอ”
“อืม”
“แล้วนี่ยังไงจะกลับบ้านเลยไหม...อย่าเพิ่งกลับได้ปะ
ไปกินคัสตาร์ดที่ร้านสะดวกซื้อกันสักถ้วยแล้วค่อยกลับได้เปล่า”
“พี่หิวเหรอ”
“ไม่เชิงงะ”
“ที่อยากกินเพราะกลัวหรือเปล่า”
“กลัว...กลัวอะไรอ่ะ”
“อย่าไปฟังพี่กวักซอกมากเลย
ข้างบนห้องพี่ไม่ใช่ฆาตกรโรคจิตหรอก”
“พี่ไม่ได้กินเพราะกลัวนะ แค่จะกินเพราะอยากล้างปาก”
“555 แต่หน้าพี่ซีดจังเลย”
“อะไร ซีดตรงไหน คนตัวขาวก็หน้าขาวแบบนี้แหละ”
“ถ้าพี่บอกแค่อยากล้างปากก็จะเชื่อนะ...”
“โอเค งั้นไปกันเถอะ” ฮันซลคว้ามือของซามูเอลมาจับก่อนทั้งคู่จะเดินไปตามทางและหายเข้าไปในร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ด้วยกัน
0 Comments