LOVE TOXICAL : WONSAM CHAPTER 4
22:29
รองเท้าผ้าใบสำหรับใส่เล่นบาสถูกถอดวางบนชั้นวางรองเท้าที่อยู่ติดกับผนังข้างประตูถูกวางสลับกับรองเท้าใส่ในบ้านก่อนที่ร่างเล็กจะหอบหิ้วข้าวของที่ใส่อยู่ในถุงพลาสติกกลับเข้ามาในห้องชุดกว้าง
เสียงโทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ทำให้คนอาศัยเดินเข้าไปในส่วนนั่งเล่นตั้งใจว่าจะปิดโทรทัศน์ช่วยประหยัดเลยได้เห็นร่างเจ้าของห้องสวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงขาสั้นนอนคุดคู้อยู่บนโซฟา
ใบหน้าละมุนยามหลับคล้ายจะผ่อนคลายแต่อาการนอนกัดฟันและกระสับกระส่ายเหมือนฝันร้ายอยู่ตลอดเวลา
ไหนจะเหงื่อที่ผุดทั่วหน้านั้นทำให้คนที่มองอยู่ถอนหายใจหิ้วนมกับเยลลี่ที่ซื้อมาเก็บเข้าตู้แล้วหยิบผ้าสะอาดที่เขาซักพับใส่ตะกร้าใบเล็กบนชั้นวางของในครัวเดินกลับมาเช็ดเหงื่อขณะอังหลังมือไปที่คอสัมผัสความร้อนผ่าวคล้ายเป็นไข้เลยต้องกลับไปหยิบเจลลดไข้ในช่องฟรีซมาแกะแปะให้บนหน้าผาก
...ทั้งที่ไม่อยากใส่ใจแต่จะให้ละเลยเหมือนไม่เห็นก็ทำไม่ลงอีก...
เด็กชายสะบัดผ้าห่มที่พับไว้เมื่อเช้าห่มให้คนที่นอนอยู่
จากนั้นจึงเริ่มทำความสะอาดจานชามที่กองอยู่ในอ่าง
เก็บผ้าที่ปั่นไว้ในเครื่องซักผ้าก่อนออกไปเล่นบาสใส่ตะกร้าไปตากไว้บนราวไม้ที่เฉลียงก่อนจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดตัวโคร่งสวมทับด้วยเสื้อคลุมสีเทาสกรีนลายบาร์ต...ตัวการ์ตูนจากเรื่องซิมสันป์ด้านหลังกับกางเกงขาสั้นสีดำออกมานั่งพื้นพิงหลังกับโซฟาดูการ์ตูนเรื่องเดียวกับที่อยู่บนเสื้อในโทรทัศน์
กลิ่นหอมเย็นโชยแตะจมูกทำให้คนที่หลับอยู่ขยับเปลือกตาขึ้นช้าๆแล้วหรี่ตาคล้ายยังไม่ตื่นดีโดยภาพแรกที่ปรากฏตรงหน้าคือใบหน้ากวนประสาทสีเหลืองของตัวการ์ตูนบนหลังเสื้อ
เจ้าของห้องไล้สายตาจากเสื้อไปยังเรือนผมสีน้ำตาลเข้มสลวย ความรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นทำให้ลืมตัวเอื้อมมือสอดปลายนิ้วเรียวเข้าไปสัมผัสเรือนผมนุ่มนั้นทำให้คนตัวเล็กสะดุ้งหันควับกลับมามองจนอีกคนเองก็รู้สึกตัวว่าไม่ได้ฝันเลยชักมือกลับ
“ขอโทษ” คำนั้นหลุดจากปากไปอัตโนมัติ
“พี่นึกว่าฝัน”
“ครับ ไม่เป็นไร”
“กลับมาตอนไหนเหรอ”
“ก็พักหนึ่งแล้วล่ะครับ”
“กลับมืดจัง...ปกติเล่นบาสเสร็จก็กลับมืดแบบนี้เหรอ”
“สามทุ่มไม่เรียกว่ามืดนะครับ”
“สำหรับเด็กมันก็มืดแล้ว”
“เป็นห่วงเหรอครับ”
เสียงแหบที่ยังไม่แตกดีถามทั้งที่นั่งหันหลัง “ผมไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงหรอก...พี่ห่วงตัวเองเถอะครับ
ออกมานอนตากแอร์ข้างนอกเดี๋ยวก็เป็นไข้”
“อา” เขาส่งเสียงในคอเพิ่งรู้สึกถึงความเย็นบนหน้าผากพอยกมือไปแตะก็เจอเจลลดไข้แปะอยู่เลยดึงออกมา
“ทำไมไม่เข้าไปนอนในห้องล่ะครับ”
“ไม่ได้ตั้งใจหรอก พอดีกินข้าวกินยาแล้วเผลอหลับ”
“อ้อ” อีกคนส่งเสียงเท่านั้นก็เงียบ
ทั้งที่ในห้องกลับมาเงียบแต่แปลกที่การอยู่กับเด็กคนนั้นกลับทำให้เจ้าของห้องไม่รู้สึกอึดอัดและเริ่มปริปากถามทำลายความเงียบบ้าง
“ดูอะไรอยู่เหรอ...อ๋อ ซิมป์สัน ชอบเหรอ”
“เปล่าครับ”
“แล้วดูทำไม...มันไม่ใช่การ์ตูนสำหรับเด็กสักหน่อย”
“ไม่ใช่แล้วเด็กดูไม่ได้เหรอครับ”
“มุกเสียดสีสังคมแบบผู้ใหญ่มันตลกสำหรับนายเหรอ”
“ผมไม่ได้ดูเพราะตลก
ผมดูเพราะผมอยากรู้ว่าผู้ใหญ่ตลกกันซับซ้อนแค่ไหน”
คนโตกว่าย่นหน้าผากให้กับคำตอบสุดประหลาดที่ออกจากปากของอีกคน...เป็นเด็กที่แปลกจริงๆ...
“นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าชอบพูดอะไรแปลกๆ”
“แปลกยังไงครับ”
“พูดเรื่องเกี่ยวกับใจคนนะ...โตไปอยากเป็นนักจิตวิทยาอะไรแบบนั้นหรือเปล่า”
“ไม่ครับ”
“แล้วอยากเป็นอะไร”
“อะไรก็ได้ที่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับคน...คิดว่าคงเรียนนิติวิทยาศาสตร์
วันๆอยู่กับการผ่าพิสูจน์หลักฐานจากศพอะไรแบบนั้น”
“มีใครที่ไหนเขาอยากอยู่กับศพบ้าง...ไม่กลัวผีเหรอ”
“ผีไม่มีในโลกครับ”
“รู้ได้ไงว่าไม่มี ยังพิสูจน์ไม่ได้เลยนะ”
“พี่คงกลัวผีสินะ”
“เฮ้ย ไม่ได้กลัว”
“มีแต่คนกลัวผีเท่านั้นแหละที่พูดเรื่องผีขึ้นมา”
“ไปอ่านมาจากไหน”
“จากน้ำเสียงของพี่”
“เสียงพี่มันฟังดูกลัวตรงไหน” คราวนี้คนพูดดัดเสียงเข้มพอเห็นอีกฝ่ายยังนิ่งก็ดัดเสียงให้ต่ำลงแล้วพูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนั้น
ซามูเอลนั่งฟังคนเป็นพี่ที่พยายามอย่างหนักในการออกเสียงเพื่อให้เขาพูดว่าไม่กลัวอยู่พักหนึ่ง
ริมฝีปากบนใบหน้าเรียบเฉยเริ่มขยับแย้มทีละน้อย
“ยิ่งดัดเสียงแบบนั่นนั้นแหละแปลว่ากลัว”
คนตัวเล็กหันไปหาคนที่นอนตะแคงข้างอยู่บนโซฟาในระยะที่ใบหน้าห่างกันไม่ถึงห้าเซนติเมตรด้วยรอยยิ้มกว้างและดวงตาที่พร่างพราวสดใส
ทำให้ชายหนุ่มเหยียดยิ้มกว้างตอบอย่างอดไม่ได้
“นายน่ารักแฮะ”
เพียงประโยคนั้นเอ่ยผ่านปากคนเป็นเด็กก็เหมือนจะรู้สึกตัวหุบยิ้มเบือนหน้ากลับมามองจอโทรทัศน์เล่นเอาอีกคนชะงักงงเป็นไก่ตาแตกเพราะเพิ่งเคยถูกเมินใส่เฉยๆเป็นครั้งแรก
“เป็นอะไรไป พี่ทำอะไรให้นายโกรธเหรอ”
“เปล่าครับ”
“แล้วทำไมถึงหันหน้าหนีกันอย่างนั้นล่ะ”
“ผมแค่อยากดูทีวีต่อ”
“จริงเหรอ”
“จริงสิครับ”
“ไม่อยากเชื่อเลย”
“ก็ไม่มีใครบังคับให้เชื่อนะครับ”
“ไม่เอาดิ...ถ้าโกรธก็บอกว่าโกรธ”
“ผมไม่ได้โกรธ แต่ตอนนี้มันจะจบแล้ว
เดี๋ยวดูไม่รู้เรื่อง” คนเป็นเด็กหันมาบอกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์แล้วหันกลับไปจ้องหน้าจออย่างตั้งใจ
“จริงนะ”
เขาถามออกไปเสียงอ่อยด้วยความรู้สึกโง่ๆ
ปกติแค่เขายิ้มคนก็ชอบเขาแล้วและถ้าถูกโกรธก็แค่แตะเนื้อแตะตัวคลอเคลียสักหน่อยก็หายแล้วแต่เด็กคนนี้เป็นความแปลกใหม่ของชีวิตจึงไม่รู้ว่าทำตัวเหมือนที่เคยจะโดนหนักกว่าเดิมหรือเปล่า
...แล้วทำไมต้องแคร์ด้วยวะ ไม่ใช่น้องแท้ๆสักหน่อย...
“อืม” เสียงจากในลำคอดังขึ้นอีกรอบ
แจวอนขยับตัวนอนคว่ำประสานแขนของตัวเองแทนหมอนแล้วแนบหน้าด้านหนึ่งนอนมองแผ่นหลังเล็กบางของเด็กตรงหน้าเงียบๆ
ราวกับไม่รู้ว่าจะทำยังไงแต่สุดท้ายก็เป็นฝ่ายเปิดปากเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง
“พี่อยากกินคิบัมอ่ะ” เอ่ยปากชวนออกไปหวังให้อีกคนตอบกลับพอได้รับความเงียบมาแทนก็ไม่ลดละ
“ไปซื้อด้วยกันหน่อยสิ”
“คนอยากกินคือพี่นี่ครับ...อยากกินก็ไปซื้อเอง”
“ลงไปด้วยกันไม่ได้เหรอ พี่ไม่ค่อยสบายอยู่นะ
อยู่ๆหน้ามืดเป็นลมไปทำไงล่ะ”
“ถ้ามันยุ่งยากก็อย่ากินเลยครับ”
“ก็คนมันหิวนี้...แต่ถ้ามีคนทำอะไรให้กินก็คงไม่ต้องลงไป”
“มีรามยอนในครัว พี่ไปต้มกินสิครับ”
“พี่ไม่อยากกินรามยอน”
“มีนมในตู้”
“พี่อยากกินของเค็มๆ”
“ไปเวฟแฮมที่ผมซื้อมากินก่อนก็ได้”
“ไม่เอา...กินแฮมเปล่าเคยปวดท้อง”
“งั้นโทรไปสั่งอะไรมากินแทนสิ”
“แต่พี่อยากกินคิบับ”
“โทรไปสั่งไง”
“พี่อยากกินคิบับใน G25”
ซามูเอลหลับตาพลางถอนหายใจก่อนจะลุกจากพื้นหันมายืนกอดอกมองคนที่นอนคว่ำแต่เอียงหน้ามามองกันอยู่บนโซฟาแล้วกลอกตาไปด้านบนคล้ายเหลืออด
“ทำไมถึงงอแงเป็นเด็กแบบนี้นะ...คิดว่าน่ารักเหรอ”
“แค่ลงไปซื้อคิบับข้างล่างด้วยกันมันจะอะไรหนักหนาล่ะ”
คนโตกว่าโต้กลับเปลี่ยนจากนอนขึ้นมานั่งบนโซฟา
“ถ้ามีแรงลุกมานั่งเร็วขนาดนี้ได้
พี่ก็น่าจะลงไปซื้อเองคนเดียวได้”
“ก็ไม่อยากลงไปคนเดียว”
“ทีกลับบ้านตีสามตีสี่คนเดียวไม่เห็นเป็นไร”
“พี่ไม่เคยไปไหนมาไหนคนเดียวตอนสี่ทุ่ม”
“ไม่เคยก็เคยซะสิ”
“โฮะ นี่นายพูดห้วนๆกับพี่เลยเหรอ”
“ถ้าไม่อยากให้พูดห้วนๆก็อย่าทำตัวเป็นเด็ก”
“โอ๊ย จะบ้าตาย ที่บ้านไม่สอนเหรอให้พูดกับผู้ใหญ่ดีๆ”
“ก็พี่มาเถียงผมก่อนทำไมล่ะ
อายุมากกว่าแท้ๆไม่อายเหรอมาเถียงกับเด็ก”
“เออ พอ ไปเองก็ได้”
สุดท้ายเจ้าของห้องก็เลือกตัดบทลุกพรวดจากโซฟาเดินไปหยิบกระเป๋าตังค์ในห้องนอนแล้วออกจากห้องคว้ามือถือบนโต๊ะข้างโซฟาปราดไปที่ประตูแล้วกระแทกปิดอย่างแรง
แจวอนเดินออกจากอพาร์ทเม้นต์ด้วยอารมณ์หงุดหงิด
สองมือที่ล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกงกำแน่นแต่พอเห็นคนร่วมอพาร์ทเม้นต์ที่เห็นกันเป็นครั้งคราวก็ตีหน้านิ่งแกล้งยิ้มตอบให้กับคนที่ส่งยิ้มทักทายทั้งที่ข้างในร้อนแทบบ้า
...ตอนแรกก็เห็นใจดี อุตส่าห์ช่วยเขาไว้ก็นึกว่าจะสนิทกับเด็กได้
สุดท้ายก็อย่างที่คิด ไม่น่าไปยุ่งด้วยเลย...
คนโตกว่าขบกรามเดินตรงไปยังร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ที่เปิดไฟสว่างซึ่งอยู่ไกลจากที่พักไม่ถึงสองร้อยเมตร
พลางเตะกระป๋องที่กลิ้งมาขวางหน้าอย่างแรงส่งมันกระทบเสาไฟจนตกลงไปในถังขยะ
...ไม่ว่าจะอะไรก็ต้องทำเหมือนไม่เป็นไร
การเป็นผู้ใหญ่แม่งน่าเบื่อฉิบ...
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเดินผ่านชั้นวางที่เรียงรายด้วยของกิน
ความหงุดหงิดที่อยู่ข้างในทำให้เขาหยิบขนมขบเคี้ยวยัดใส่ตะกร้าจากนั้นก็ตรงดิ่งไปยังตู้แช่เย็นแบบเปิดที่มีของกินสำหรับอุ่นไมโครเวฟกวาดคิบับที่เหลืออยู่ทั้งหมดลงมา
ตามด้วยการพุ่งไปที่ตู้แช่เครื่องดื่มหยิบเบียร์กระป๋องทั้งแพ็กสมทบเข้าไป
...ถึงก่อนหน้านี้จะปวดท้องแต่ต้องดื่มถึงจะหายหงุดหงิด...
มือเรียวกระแทกประตูตู้แช่ปิดแล้วเดินเข้าไปในช่องทางเดินภายในร้านอยู่พักหนึ่งเพื่อให้อารมณ์เย็นลงและตอนที่เดินไปยังแถวที่มีสินค้าประเภทหยูกยาวางเรียงรายตาก็เห็นร่างเล็กสวมฮู้ดสีเทาลายบาร์ตคลุมหัวซุกมืออยู่ในกระเป๋าเสื้อยืนอยู่
...ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ตอนที่เขาเห็นเด็กคนนั้นอยู่ๆตรงหน้า
ความโมโหที่แล่นอยู่ข้างในก็หายเป็นปลิดทิ้งแถมริมฝีปากก็ยิ้มออกมาเสียเฉยๆ..
“ลงมาเป็นเพื่อนพี่เหรอ” เสียงกระซิบมีแววหยอกดังข้างหูทำให้คนอ่อนกว่าปรายตาไปมอง
“เปล่า ผมก็แค่ลงมาซื้อของที่ลืมซื้อ”
“ซื้ออะไรอ่ะ”
“พวกยาใส่แผล...เผื่อมีคนโมโหไปต่อยใครเขาแล้วโดนกระทืบมาจะได้ไม่ต้องวิ่งหา”
“555”
“ขำอะไรครับ”
“เปล่านิ” ปฏิเสธทั้งที่ยิ้มระรื่น
คนเป็นน้องถอนหายใจเหลือบตาไปในตะกร้าเห็นเบียร์กระป๋องเลยเอ่ยปาก
“นี่พี่ซื้อเบียร์ไปด้วยเหรอ...เดี๋ยวก็ปวดท้องอีกหรอก...แล้วนั่นขนมน่ะถ้าไม่ได้คิดจะกินจริงๆ
ก็อย่าซื้อ พวกคิบับก็ด้วยเหมาไปขนาดนั้นจะกินหมดเหรอ”
“มันก็”
“เอาไปเก็บไหม”
“ง่า...เข้าใจแล้ว จะเอาไปเก็บล่ะกัน”
คนตัวใหญ่กว่าวิ่งพรวดคืนทุกอย่างเก็บเข้าที่ตามคำสั่งแล้ววิ่งกลับมาหาคนที่
คล้องตะกร้ามีสำลี ยาใส่แผลกับปลาสเตอร์อยู่ข้างใน
มือเรียวเลยคว้าตะกร้าออกจากแขนเล็กเทลงตะกร้า ตัวเองแทน
“พี่ทำอะไร”
“อุตส่าห์ลงมาเป็นเพื่อน...อันนี้พี่จ่ายเองแล้วกัน”
“ก็บอกแล้วว่าไม่ได้ลงมาเป็นเพื่อน”
“อาๆ...ไม่เถียงล่ะ ลงมาซื้อของก็ได้” อีกคนยกธงขาวยอมตามใจหิ้วตะกร้าเดินไปจ่ายเงินที่แคชเชียร์ทั้งที่ข้างในไม่คล้อยตามเลยสักนิด
“เอาไอศกรีมสักถ้วยมะ” เขาถามระหว่างเดินผ่านตู้แช่ไอศกรีม
“ไม่เอาครับ”
“พี่เลี้ยง”
“จริงเหรอครับ...แน่ใจนะ”
“อืม”
“งั้นก็เอานี่ นี่ นี่ นั้น นู้น นี่ นี่ นี่” คนเป็นเด็กชี้นิ้วจะเอาทุกอย่างในตู้
“เฮ้ย จะเหมาหมดตู้เลยเหรอ
ไหนบอกถ้ากินไม่หมดอย่าซื้อมันเปลืองไง”
“พี่เป็นคนบอกเองว่าจะเลี้ยง”
“จ้าๆ จะเหมาหมดทั้งตู้ก็เอา”
คนพี่ถอนหายใจเสยผมหน้าไปมาแต่คนเป็นน้องกลับเอื้อมไปหยิบไอศครีมช็อกโกแลตชิปแบบถ้วยแค่ถ้วยเดียวใส่ลงตะกร้าทำเอาคนพี่พูดอึกอัก
“ไหนว่า...”
“ผมล้อเล่น”
“นายนี่นะ...จริงๆเลย” เขาบ่นพลางใจอีกรอบแล้วเดินไปจ่ายเงินก่อนหิ้วถุงเดินออกจากร้าน
แจวอนเหลือบมองเด็กผู้ชายที่เปิดไอศกรีมออกมาเลียฝาที่มีไอศกรีมเปื้อนอยู่ข้างๆ
ทั้งที่อากาศรอบข้างค่อนข้างเย็นแต่หัวใจกลับอุ่น
“ทำไมต้องเลียฝาด้วย กินในถ้วยไปเลยไม่ได้เหรอ”
“เสียดายน่ะครับ”
“อา...เป็นเด็กงกสินะ” เขาว่าแล้วพยักหน้าขึ้นลง
“นี่ ขอกินคำหนึ่งสิ”
พอร้องขอ มือเล็กก็ยื่นไอศกรีมทั้งถ้วยมาหา
“นายไม่เห็นเหรอ...พี่ถือของอยู่จะกินเองได้ไงเล่า”
“พี่นี่ นอกจากจะขี้เหงายังขี้บ่นขี้โวยวายด้วยเนาะ”
“อะไรนะ”
“เปล่า”
“เอาอีกล่ะ...มีอะไรก็พูดมาสิ”
“ถ้าพูดคงโกรธ”
“ไม่โกรธหรอก สัญญา”
“ทีพี่ยังไม่พูดเลย”
“ไม่พูดอะไร”
“จะให้คนอื่นพูดทุกสิ่งที่คิดทั้งที่ตัวเองก็ไม่พูด
มันไม่แฟร์หรอก”
“ฮา...จริงๆเลย ชอบพูดเหมือนอ่านใจคนได้ตลอด”
“ผมอ่านได้นะ”
“จริงดิ” อีกคนทำตาโต “งั้นบอกหน่อยสิว่าตอนนี้พี่คิดอะไร”
“ไอศกรีมสักคำล่ะมั่ง” เด็กชายตอบแล้วกวาดไอศกรีมที่เหลือก้นถ้วยทั้งหมดยื่นมาข้างหน้า
“มั่วแล้ว” ตอบแล้วก็อ้าปากงับไอศกรีมทั้งคำเข้าปาก
“เย็นจัง”
“ไอศกรีมไม่ใช่กาแฟร้อน ก็ต้องเย็นเป็นธรรมดา”
“อากาศก็เย็นนะ”
“ไม่เห็นจะเย็นตรงไหน” คนตัวเล็กว่าโยนถ้วยไอศกรีมลงถังแล้วซุกมือไว้กระเป๋าเสื้อ
“ก็นายมีเสื้อกันหนาวนี่”
“ช่วยไม่ได้ พี่ลงมาแล้วไม่เอาเสื้อติดมาเอง”
“อืม...ช่วยไม่ได้จริงๆ
เพราะงั้นขอยืมกระเป๋าเสื้อหน่อยนะ”
บอกจบก็สอดมือข้างที่เหลือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมสีเทาแล้วจับมือคนตัวเล็กที่ซุกอยู่ในนั้นไว้
“อา อุ่นจังเลย ขอบคุณน้า”
ซามูเอลหรี่ตาเงยหน้ามองคนอายุมากกว่าที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แต่ดูผ่อนคลายกว่าที่พบกันแรกๆและดูดีกว่าตอนล้มฟาดกับพื้นมากเลยปล่อยให้กุมมือไว้โดยไม่พูดอะไร
ทั้งคู่กลับเข้าห้องมาในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีโดยซามูเอลเป็นฝ่ายจะแยกตัวออกไปแต่ติดที่มือของอีกคนยังอยู่ในกระเป๋าและจับมือเขาไม่ยอมปล่อย
“กินคิบับด้วยกันดิ”
“ไม่ครับ”
“จะปล่อยพี่กินคนเดียวจริงๆเหรอ”
“ผมง่วงแล้วจะไปนอน”
“อา ง่วงแล้วเหรอ โอเค งั้นก็ไปนอนเถอะไป ฝันดีนะ เอ้า
ทำไมยังไม่ไปอ่ะ”
“จะให้ไปนอนก็ปล่อยมือผมสิ”
“เออ...ลืม โทษทีนะ” เขาว่าชักมือที่สอดในกระเป๋าเสื้ออีกคนออกทำท่าเหมือนจะปล่อยมือเล็กนั้นไปแต่ก็เปลี่ยนใจจับเอาไว้ก่อน
“อะไรอีกครับ”
“ที่นายบอกว่าไม่อยากสนิทกับพี่...ตอนนี้เราสนิทกันแล้วนะ”
“สำหรับพี่แบบนี้เรียกสนิทเหรอ”
“อืม”
“คนที่สนิทกันเขาต้องคุยกันได้ทุกเรื่อง...เรายังไม่ถึงขนาดนั้น”
“วันนี้ก็คุยกันเยอะออก
ทะเลาะกันด้วย...ปกติพี่ไม่ทะเลาะกับใครหรอกนะรู้ไว้เลย”
“ก็แค่นาฬิกาชีวิตพี่มันรวนเราก็เลยได้คุยกัน
พอพรุ่งนี้พี่หายดีเราก็อยู่คนละโลกแล้ว”
“มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า...ถ้ากลับมาบ้านเจอกันก็คุยเล่นกันสิ”
“ไม่เจอกันหรอก”
“นายนี่ประหลาด...ใครๆเขาก็อยากสนิทกับพี่ทั้งนั้นแต่นายกลับไม่อยาก”
“ไอ้ใครๆนี่มันคนอื่นไม่ใช่ผมไง
แล้วพี่จะปล่อยผมไปนอนได้หรือยัง”
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากให้กับคำถามขณะที่มือยังยื้ออีกคนเอาไว้ไม่ให้เป็นอิสระ
“เอางี้มะ...มาเล่นเกมกัน”
“เกม”
“ผมจะให้เวลาพี่สามวัน
ถ้าพี่ทำให้ผมหัวเราะได้ผมจะทำตามที่พี่ขอหนึ่งข้อ
แต่ถ้าทำไม่ได้พี่ต้องทำตามที่ผมขอหนึ่งข้อ”
ดวงตากลมโตอ่อนเดียงสาจ้องตรงมายังดวงตาคมสีเข้มนิ่งงันพร้อมกับนิ้วชี้ที่ยกขึ้นมาแทนความหมายของคำขอหนึ่งข้อที่กล่าวไปเมื่อครู่
“ขออะไรก็ได้เหรอ” ชายหนุ่มเอียงคอถาม
“อะไรก็ได้ ยกเว้นเรื่องแปลกๆ”
“เรื่องแปลกๆที่ว่าเช่นอะไร”
“ถ้าพี่ขออะไรมาแล้วมันแปลก ผมจะบอกเอง”
“แบบนี้พี่ก็เสียเปรียบดิ”
“พี่จะเล่นหรือไม่เล่นก็ได้ ไม่ได้บังคับ
แต่ถ้าไม่เล่นแล้วยังไม่ยอมปล่อยมือ...ผมจะหักข้อมือพี่”
“ห๊ะ”
“ไม่ได้ขู่นะ ผมเรียนมวยไทยกับยูโดจนได้สายดำแล้ว
ไม่เชื่อถามคุณป้าได้”
“อา โหดอ่ะ”
“ตกลงว่ายังไงครับ”
“จะเล่นก็ได้...แต่นายให้เวลาพี่แค่สามวัน
แล้วเกิดสามวันนี้พี่ไม่เจอนายเลยพี่ก็แพ้ตั้งแต่ยังไม่ทำอะไรเลยดิ
ถ้าไงเอาเบอร์โทรศัพท์หรือไอดีคาทกนายมาหน่อยสิพี่จะได้ถามได้รู้ว่าอยู่ไหนทำอะไร”
“ไม่ต้องหรอกครับ...แค่กลับบ้านให้เร็วหน่อยก็เจอผมแล้ว
อา ไม่ไหวแล้ว ผมง่วง ไปนอนก่อนนะครับ”
คนอ่อนกว่าเอ่ยแล้วพลิกข้อมือแล้วกระตุกอย่างแรงจนหลุดจากการเกาะกุมแต่ทำให้มืออีกคนสะบัดกระแทกท้องตัวเอง
“โอ๊ย...เจ็บนะ นายนี่มัน เอ้า ยังไม่ทันจะรู้เรื่องเลย
หนีไปอีกแล้ว บ้าจัง”
แจวอนกลอกตาบนอมลมแล้วพ่นมันออกจากปากมือข้างที่หิ้วถุงพลาสติกเท้าเอวพร้อมกับมืออีกข้างที่เกาหัวไปมา
ก่อนจะเดินไปโต๊ะข้าวก็พอดีกับที่โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงเกิดสั่นและมีเสียงแจ้งเตือนเลยหยิบออกมาดูพอเห็นกล่องข้อความจาคาทกที่เด้งขึ้นมาริมฝีปากก็เหยียดกว้าง
Sameul_punch
>กินคิบับก็กินยาแล้วไปนอน
เดี๋ยวปวดท้องเดือดร้อนคนอื่นอีก
“555 เด็กประหลาด” เขาพึมพำทั้งที่ยิ้มแล้วกดข้อความส่งกลับไป
ซามูเอลดึงผ้าห่มหนาขึ้นมาคลุมตัวเตรียมจะนอนเห็นแสงจากหน้าจอบนโต๊ะข้างเตียงสว่างเลยหยิบมาดูก็เห็นข้อความที่อีกคนส่งมา
One
>รู้แล้ว...ฝันดีนะ เจอกันพรุ่งนี้
มือเล็กกดปิดหน้าจอโทรทัศน์วางมันกลับไปบนโต๊ะ
ดวงตากลมของอีกคนกลอกไปมาพักหนึ่งก็ล้มตัวลงนอนมองเพดานห้องพลางถอนหายใจ
...เกมที่คิดขึ้นเพราะคิดว่าอีกคนคงทำไม่ได้
อาจไม่ใช่ความคิดที่ดีแล้วสิ...
0 Comments