LOVE TOXICAL : WONSAM&DUPNON CHAPTER 8
09:34
ดวงตะวันคล้อยต่ำลงใกล้แตะเส้นขอบฟ้า
เส้นแสงส้มอมทองอร่ามตาตัดด้วยเส้นสีม่วงครามเป็นเวลายาม
อาทิตย์อัสดงที่สวยงาม
เด็กหนุ่มร่างผอมบางสวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงขาสั้นกระโดดลอยตัวสูงจากพื้นสนามผลักลูกบาสสีดำพ้นจากมือด้วยแรงที่คำนวณไว้เป็นอย่างดีส่งผลให้มันลอยละลิ่วลงไปในตาข่ายแป้นบาสพอดิบพอดี
“เยส”
เสียงร้องอย่างยินดีของเจ้าตัวดังขึ้นก่อนจะหันหน้าไปหาเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่หยุดยืนเท้าสะเอวมองแบบเซ็งๆ
แล้วบ่นออกมาทั้งที่ยังยิ้ม
“เก่งเกินไปแล้ว”
“ทำแต้มชนะพวกเราทุกวัน จนไม่มีเงินซื้อขนมเลี้ยงแล้วนะ”
“ก็บอกแล้วว่าเล่นเอาสนุก จะซื้อมาทำไม” เด็กหนุ่มลูกครึ่งผิวสีน้ำผึ้งบอกกับเพื่อนด้วยเหงื่อที่เกาะพราวไปทั้งหน้าและแผ่นหลัง
“พรุ่งนี้ชั่วโมงพละนายอยู่ทีมเรานะแซม”
“ได้ไงเล่า...อยู่ทีมเราเหอะ”
“คราวก่อนแซมก็อยู่ทีมนายแล้วไง...ได้คะแนนเต็มตอนแข่งไปแล้ว ให้ทีมเราได้บ้างดิ”
กลุ่มเพื่อนเริ่มเถียงกันแต่เป็นการเถียงที่ไม่จริงจังเพราะมีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มอยู่ตลอด
ซามูเอลมองเพื่อนกลุ่มใหญ่ของตัวเองที่ทุกวันหลังเลิกเรียนต้องมารวมตัวกันเล่นบาสด้วยรอยยิ้มพลางคิดถึงใครอีกคนที่หลังจากคืนวันเสาร์ที่ลงไปซื้อของข้างล่างจนถึงวันจันทร์ก็ไม่ได้เจอกันอีก
ไลฟ์สไตล์ระหว่างคนที่ใช้ชีวิตภายใต้แสงตะวันเป็นอาจิณกับคนที่ใช้ชีวิตใต้แสงจันทร์แตกต่างกันเกินไป
เช้ามาหลังทำอาหารทิ้งไว้เขาก็หอบการ์บ้านและมาช่วยงานที่ร้านของอาหารของพี่กวังซุก
เริ่มเย็นก็ออกมาเล่นบาสเหมือนปกติ
มีบ้างที่ส่งข้อความไปถามว่าอาการดีขึ้นหรือยังแต่ฝ่ายนั้นตอบมาด้วยการส่งสติ๊กเกอร์ตัวการ์ตูนเบ่งกล้ามและถามกลับมาว่าอยู่ไหนทุกวันแต่เขาไม่ได้เปิดอ่าน
...แบบนี้ก็ดี...
...คนที่อยู่คนละโลก คนละวงโคจรกันอยู่ด้วยกันมันยาก...
...โลกคนเหงาของเขาคนนั้นต้องให้คนที่อุ่นและพร้อมดูแลรับหน้าที่ไป...
“แซมมี่”
เสียงตะโกนดังออกมาจากข้างสนามทำให้เจ้าของชื่อหันไปหาก็เห็นเด็กหนุ่มลูกครึ่งสวมชุดนักเรียนมัธยมปลายกระโดดโบกไม้โบกมือเรียกทำให้เท้าขยับก้าวไปหา
“พี่มาทำอะไรที่นี่”
“มาหาไง” ฮันซลบอกพลางถลกแขนเสื้อไว้ตรงศอก
“ไม่ไปติวเหรอ”
“วันนี้พี่ยองแจไม่สอน บอกให้พี่ทำแบบฝึกหัดให้หมดก่อน”
“แล้วไม่ไปทำล่ะครับ”
ทำนะ พี่เอาหนังสือมาด้วยกะว่าจะทำแบบฝึกหัดที่นี่รอนายเล่นบาสเสร็จจะได้ไปกินข้าวเย็นที่ร้านพี่ยองจุนพร้อมกัน”
“ที่นี่ก็เสียงดังนะ มีสมาธิเหรอ”
“ก็ดีกว่ากลับไปทำในห้องที่มีเสียงเหมือนผนังจะถล่มล่ะกัน”
“โอเค...ถ้าหิวเมื่อไหร่บอกผมนะจะได้ขอเพื่อนเลิกเล่นก่อน”
“หิวแล้วจะตะโกนเรียกนะ”
คนเป็นพี่บอกสอดเท้าเข้าไปนั่งบนโต๊ะไม้ที่อยู่ข้างสนามหยิบหนังสือจากในกระเป๋าสะพายหลังมาเปิดอ่านอย่างขะมักเขม้น
คนเป็นน้องมองพี่ชายคนละสายเลือดด้วยรอยยิ้มอ่อนแล้วกลับมาเล่นบาสกับเพื่อนต่อ
อีกฟากหนึ่งของสนามที่เป็นพื้นที่สำหรับผู้ใหญ่ที่นิยมมาออกกำลังกายด้วยการเล่นบาสซึ่งมีเนื้อที่กว้างและแป้นบาสสูงกว่า
ชายกลุ่มหนึ่งสวมเสื้อยืดบ้างเสื้อกล้ามบ้างทยอยเดินเข้ามาในสนามแล้วแบ่งทีมแข่งกันอย่างรีบร้อน
“แข่งกันครึ่งชั่วโมง...ทีมไหนแพ้เลี้ยงเบียร์นะว้อย”
ชายร่างยักษ์คนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างชายร่างสูงใหญ่สวมเสื้อมีฮู้ดสีดำสกรีนลายสี่เหลี่ยมพื้นผ้าสีขาวมีข้อความกับกางเกงยีนส์ขาดเข่าตะโกนบอก
ฮันเฮกอดอกมองเพื่อนฝูงทั้งอายุมากกว่าและน้อยกว่าที่กระจายอยู่เต็มสนามไปจนถึงกรรมการชั่วคราวที่อยู่ข้างๆ
ในฐานะเคยเป็นนักกีฬาบาสประจำโรงเรียนและชอบเล่นอยู่จนทุกวันนี้ทำให้อยากลงไปเล่นใจจะขาดแต่เกรงว่าการที่หนีออกมาพักสมองด้วยการตามคนในค่ายมาที่สนามแล้วกลับไปด้วยตัวเปียกเหงื่อบอสมาเห็นรู้เข้าจะโดนด่า
...โจทย์เพลงรักที่ได้รับมาแต่งเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้วแต่มันเหมือนยังขาดอะไรไปสักอย่าง
...ในการทำงานเขาชอบความสมบูรณ์แบบ ต้องรู้สึกว่าใส่มันไปเต็มที่แล้วถึงยอมส่ง
...ทั้งที่กำหนดส่งใกล้เข้ามาแล้วแต่ยังหาสิ่งที่ขาดนั้นไม่ได้
จริงๆมันก็เหมือนกับชีวิตเขาที่แม้จะมีอาชีพเป็นนักแต่งเพลงให้ค่ายที่ตัวเองสังกัด
แต่ยังได้ทำสิ่งที่ชอบร้องเพลงและเป็นแรปเปอร์...มีคนเคยบอกว่าโฟลวในการแรปของเขาประหลาด
มันเหมือนจะคร่อมไปสักจังหวะแต่ไม่ได้คร่อมซึ่งหาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
ขณะที่การร้องเพลงก็ทำได้ค่อนข้างดี แถมยังมีงานถ่ายแบบเข้ามาเรื่อยๆ
...มีบางอย่างที่ขาดหายแต่ไม่รู้ว่าไอ้ที่ไขว่คว้ามาเติมเต็มมันใช่สิ่งที่หาอยู่แน่หรือเปล่า...
“10-6”
เขาป้องปากตะโกนบอกคะแนนมองเพื่อนรุ่นน้องส่งต่อลูกบาสกันไปมาจนมาถึงหน้าแป้นแต่จังหวะที่ชู้ตไปนั้นลูกบาสลอยข้ามรั้วตาข่ายไปยังสนามอีกฟากที่มีพื้นที่เล็กกว่า
ลูกบาสกลิ้งไปหยุดตรงหน้ารองเท้าบาสไนกี้สีดำสลับแดงก่อนจะถูกหยิบขึ้นมา
คนตัวใหญ่ก้าวไปถึงพอดีเงยหน้ามองฝ่ายที่ยื่นลูกบาสให้
ใบหน้านั้นคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมาต้องใช้เวลาคิดสักพักก็อ้าปากเบิ่นๆกว้างพลางชี้นิ้วมาหา
“เอ้า...หนู”
“ครับ”
“หนูใช่คนที่เก็บกระเป๋าตังค์มาคืนพี่ปะ”
คนเด็กกว่ามากแหงนหน้ากระพริบตาแลอีกฝ่ายอย่างพิจารณาครู่หนึ่งจึงเอ่ย
“อ้อ คุณน้านั่นเอง”
“เอ๊ย
น้าอะไร เรียกซะแก่เลย” คนอายุมากกว่าบอกมองเสื้อยืดสีดำที่ชุ่มด้วยเหงื่อ
“วันก่อนขอบใจมากนะที่เอากระเป๋าตังค์มาคืน แล้วนี่มาเล่นบาสเหรอ”
“ครับ”
“มาเล่นที่นี่บ่อยไหม”
“ครับ มาทุกวัน”
“นานยัง”
“ตั้งแต่ย้ายมาอยู่แถวนี้ก็เป็นปีได้แล้วมั่ง”
“เอ เมื่อก่อนพี่ก็มาเล่นบาสที่นี่บ่อยนะ ทำไมไม่เคยเห็นเลยหว่า”
“คงไม่ได้มองมั่งครับ...สนามเด็กกับผู้ใหญ่มันแยกกันด้วย”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับให้คำตอบของเด็กที่ตัวสูงกว่าเอวแต่ยังไมถึงอกของเขาดีก่อนที่เสียงตะโกนเรียกจากสนามบาสฝั่งผู้ใหญ่จะดังขึ้น
“เออ จะไปแล้ว” เขาตะโกนกลับไปแล้วหันมามองอีกคนใหม่ “หนูชื่ออะไรอ่ะ”
“ผมเหรอ...ซามูเอลครับ” ตอบพร้อมยื่นลูกบาสไปให้อีกคนรับไว้เตรียมจะเดินกลับแต่ถูกเรียกเอาไว้
เดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งไป” คนตัวใหญ่สอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้านหน้าหยิบเอาอมยิ้มส่งให้ “อ๊ะ พี่ให้”
ซามูเอลมองอมยิ้มที่อยู่ตรงหน้าแล้วปรายมองไปยังลูกอมที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อที่อยู่ตรงหน้าท้องครู่หนึ่งก็รับอมยิ้มมาถือไว้
“ชีวิตเครียดเหรอครับ” คำถามที่เด็กไม่น่าถามหลุดจากปากทำให้อีกคนคิ้วขมวด
“ทำไมอ่ะ”
“ปกติผู้ใหญ่โดยเฉพาะผู้ชายไม่พกของหวาน...นอกจากเครียด”
“555 ไม่เครียดหรอก”
“แน่ใจเหรอครับ”
“ไม่เครียด แค่คิดงานไม่ออกเลยพกไว้อมเผื่อได้ไอเดีย”
“คิดงานไม่ออกไม่เครียดเหรอครับ”
“มันก็...เอ๊ะ ใจคอให้บอกว่าเครียดเหรอ แต่คิดอีกทีมันก็เครียดนั้นแหละ” คนอายุมากกว่าชะงักงันในคำพูดสุดท้ายก็ยอมรับ
...ก็ถูกของเด็กมันนะ คิดงานไม่ออก งานไม่เสร็จก็ต้องเครียดถูกแล้ว...
“ไอ้ห่าจะคุยอีกนานไหม เอาลูกบาสมาสิวะ” เสียงตะโกนเรียกอีกรอบทำให้คนโตกว่าโบกมือลา
“ไปนะ”
บอกพลางสาวเท้าเตรียมวิ่งกลับไปแต่มีบางสิ่งดึงชายเสื้อรั้งเอาไว้ให้เอี้ยวตัวมามองก่อนจะเห็นหมากฝรั่งแผงหนึ่งห่อหนึ่งยื่นมาหา
“หมากฝรั่งนี้มีสารไซลิทอลกับซอลบิทอล
หลังอมลูกอม น้าก็เคี้ยวไว้นะครับ ฟันจะได้ไม่ผุ”
มือเล็กหยิบหมากสอดใส่ในกระเป๋าหน้าเสื้อได้ก็หันหลังเดินจากไป
ฮันเฮมองร่างเล็กที่กลับไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่สูงไล่เลี่ยกันจึงหมุนตัวก้าวเท้ามาหากลุ่มเพื่อนตัวเอง
มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋าหยิบหมากฝรั่งซองสีเขียวที่ได้รับมาแบบงงๆ
แล้วหลุดยิ้มขำ
...เป็นเด็กที่แปลกจัง...
--------------------------------------------------------
ฮันซลถอดหลอดไฟอ่านหนังสือที่ต้องใช้สายยูเอสบีเชื่อมกับโทรศัพท์มือถือออก
เก็บกองหนังสือที่เอาออกมาอ่านทั้งหมดใส่กระเป๋า
ยื่นมือมาให้น้องชายจับไว้แล้วเดินออกจากสนามบาสตรงไปยังร้านอาหาร
เพียงเลื่อนประตูเข้าไปก็เห็นลูกค้านั่งกันแน่นขนัด
เช่นเดียวกับที่พี่ชายทั้งห้าคนอยู่กันพร้อมหน้า
“ที่เต็ม” ผู้ชายหน้ายาวผมสีทองสวมเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มทับด้วยผ้ากันเปื้อนถือถาดอาหารบุ้ยใบ้ทั้งสองไปข้างหลัง
“ทำไมวันนี้คนเยอะจังอ่ะ พี่ซองฮัก”
“ไม่รู้เหมือนกัน...จะกินข้าวไปรอหลังร้านก่อนไป”
ซามูเอลมองความวุ่นวายในร้านเลยบอกฮันซลให้ไปรอก่อนส่วนตัวเองก็เดินเข้าไปช่วยงานในครัว
เพียงคนในครัวหันมาเห็นก็ยิ้มอย่างดีใจ
ส่งทั้งเนื้อทั้งผักมาให้หั่นกว่าลูกค้าจะซาก็เกือบชั่วโมง
จนคนอ่านหนังสือรออยู่หลังร้านชะโงกมองพลางตะกายขอบประตู
“หิวไส้จะขาดแล้ว หิวมากๆ หิวๆ” คนหิวโอดครวญ
“โว้ย รู้แล้วว่าหิวจะโวยวายทำไม แซมก็ยังไม่ได้กินแถมช่วยทำงานอีกยังไม่โวยวายเหมือนแกเลยนะ” เสียงยองจุนตะโกนลอดมา
“โห พูดงี้ได้ไงอ่ะเวลาผมจะไปช่วยในครัว พวกพี่เคยให้ช่วยที่ไหนล่ะ”
“ทำอะไรไม่เป็นมาช่วยมันเกะกะ เคยให้ไปเสิร์ฟดันทำน้ำหกใส่ลูกค้า จะให้ล้างจานก็ทำจานแตก นั่งเฉยๆนั้นแหละพอแล้ว”
“ฮือ ก็มือผมมันลื่นไม่ได้มือหยาบจับทุกอย่างอยู่แบบพวกพี่นี่”
“โอโห
ไอ้เด็กฝรั่ง นั่นปากเหรอ...ปากแบบนี้เดี๋ยวไม่มีเก็บไว้กินข้าวหรอก เอ๊ย
ถอยสิวะ หนัก”
ซองฮักว่ายกถาดอาหารเย็นที่มีสำรับสามชุดเข้าไปในห้องเก็บของหลังร้านที่มีโต๊ะกลมเตี้ยพอให้นั่งกินข้าวได้
“หิวก็กินซะ จะได้หุบปาก” พี่ชายผมทองบอกพลางจิ้มช้อนลงในชามข้าว
“ทำไมพี่มากินกับพวกเราอ่ะ”
“พี่คนอื่นเขากินหมดแล้ว แต่พี่ยังไม่ได้กิน”
“ทำไมไม่ได้กินพร้อมชาวบ้านเขาอ่ะ”
“ไปดูร้านรองเท้าที่หุ้นกับเพื่อนมาเลยกลับมาช้า”
“อ้อ ช่วงนี้ไปดูกิจการตัวเองมาเหรอ มิน่าทำไมไม่ค่อยได้เห็น”
“แล้วเอ็งล่ะ ได้ยินว่า คนข้างบนห้องส่งเสียงดังจนอ่านหนังสือไม่ได้ ไปคงไปเคลียร์มายัง”
“เคลียร์อะไรล่ะ วันก่อนบอกลุงคนดูแลหอไปอีกรอบ แกก็บอก ไปเตือนแล้วแต่ไม่มีคนอยู่ในห้อง”
“อ้าว...ไม่มีคนอยู่แล้วเสียงดังได้ไงวะ หรือว่าจะเป็น...”
“อย่าทำผมกลัวซะให้ยาก
ลุงเขาบอกว่าห้องนี้อยู่มานานแล้ว
แต่ลุงแกก็จำไม่ได้ว่าหน้าตาเป็นยังไงเพราะที่นี่บางคนเขาเลือกจ่ายค่าเช่าแบบโอนเข้าบัญชีอ่ะ
จะว่าไปแล้วลุงเอาดูเอ๋อๆงะ อย่างวันก่อนนู้นผมทำเชือกรองเท้าลุ่ย
มีพี่คนหนึ่งเขาให้ไฟแช็กมาลนปลายเชือกแล้วเขาก็ลืมไฟแช็กไว้กับผม
พอจะเอาไปฝากลุงคืนแกก็บอกว่า ต้องบอกเลขห้อง
ถ้าบรรยายรูปร่างหน้าตามาแกคืนให้ไม่ถูก ผมเลยต้องเก็บไว้เอง
เนี่ยก็ยังไม่รู้เลยว่าจะคืนเขายังไง”
“ถ้าเป็นไฟแช็กแบบซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ เอ็งไม่คืนเขาคงไม่ว่าอะไรมั่ง”
“แต่ไฟแช็กมันหน้าตาเหมือนจะแพงนะพี่” ว่าแล้วมือขวาก็คุ้ยช่องหน้าของกระเป๋าเป้หยิบไฟแช็กที่คนหน้าดุลืมไว้วางบนโต๊ะ
“ดูแพงจริงๆด้วยวะ”
“รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นครับ...ผลิตมาไม่กี่อัน” คนเด็กสุดในโต๊ะที่นั่งกินข้าวเงียบๆฟังการสนทนาของพี่ชายทั้งสองอยู่เอ่ยขึ้นในที่สุด
“จริงดิ ทำไมเรารู้ล่ะ” ซองฮักหันไปถาม
“พ่อผมสะสมไฟแช็กน่ะครับ...ผมก็เลยชอบไปยืนดู อันนี้น่าจะรุ่นที่ผลิตปี 60 มั่งครับ ราคาก็ราวๆ สี่พันเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ”
“สี่พันเหรียญ นี่มันกี่วอนเหรอแซม”
“ประมาณห้าล้านวอนน่าจะได้ครับ”
“ห้าล้านวอน...บ้าแล้ว ฮันซล คนที่ช่วยเอ็ง แม่งคนประเภทไหนวะ ถึงเอาไฟแช็กราคาเท่านี้มาลนเชือกรองเท้าให้เอ็งเนี่ย”
“คนประเภทไหนผมจะไปรู้เหรอ”
“หน้าโหดไหมวะ ถ้าโหดนี่เป็นมาเฟียแหง่ถึงพกไฟแช็กแพงขนาดนี้”
“ก็ดุอยู่นะ”
“งั้นเอ็ง รีบเลย รีบเอาไปคืนเลย”
“จะคืนยังไงเล่า ผมยังไม่รู้เลยเขาอยู่ห้องไหน ฮือ จะโดนฆ่าไหมเนี่ย”
“พี่ซองฮักอย่าไปขู่พี่ฮันซลเขาสิครับ”
“ไม่ได้ขู่นะแซม แต่เกิดทางนั้นแม่งจะเอาเรื่องทำไงอ่ะ”
“จริงๆถ้าจะคืนแบบไม่เป็นภาระตัวเองก็ไม่ยากนะครับ
แค่เอาไปฝากลุงเจ้าของหอไว้ก็ได้ครับ
แต่แปะรูปกับป้ายติดไว้ตรงส่วนงานที่ใช้จ่ายค่าหอว่า เก็บไฟแช็กแบบนี้ได้
ใครเป็นเจ้าของมารับคืนที่คุณลุง”
“แต่ลุงเขาป้ำๆเป๋อๆ กลัวแกทำไฟแช็กหาย...ถ้าหายแล้วพี่คนนั้นแกคิดขึ้นได้ว่าลืมไว้กับพี่แล้วตามตัวเจอ พี่ไม่โดนกระทืบเหรอ”
“งั้นก็ไม่รู้แล้วว่าจะทำยังไง”
“ก็ถ้าลุงแกรู้ว่าอยู่ห้องไหนก็ไปเคาะคืนได้ แต่อย่างที่บอกแกมีระบบจ่ายค่าเช่าแบบโอนผ่านบัญชี เลยจำพวกหน้าเก่าๆไม่ได้”
“ไปนั่งอ่านหนังสือดักหน้าหอเลย เห็นใครใช่เจ้าของก็คืนไป”
“อันนั้นก็ไม่ไหวไหมพี่”
“โวะ งั้นก็ไม่รู้จะช่วยยังไงแล้ว กินข้าวก่อนแล้วกันไว้ค่อยคิดใหม่”
คนโตสุดในวงตัดบทเพราะไม่รู้เหมือนกันว่าจะหาทางช่วยน้องคืนไฟแช็กราคาแพงหูฉี่ถึงมือเจ้าของอย่างไร
ต่างฝ่ายเลยเปลี่ยนมาคุยเล่นสัพเพเหระระหว่างกินข้าวแทน
เมื่อเวลาล่วงเลยจนเกือบสามทุ่มก็ได้ฤกษ์ที่สองนักเรียนต้องกลับบ้านแล้ว
ซองฮักเป็นฝ่ายพาเด็กทั้งสองคนไปส่งโดยไปยังอพาร์ทเม้นต์ที่ซามูเอลพักอยู่
จากนั้นจึงข้ามถนนพาฮันซลไปส่งยังหอกลางเก่ากลางใหม่ที่ราคาค่าเช่าก็ไม่ใช่ว่าจะถูกแต่ก็ถือว่าถูกสุดในละแวกนี้
“เฮ้ย เอ็งจะให้พี่ขึ้นไปจัดการห้องที่เสียงดังให้ไหม” พอคนพี่ปูทางช่วยเหลือคนน้องก็พยักหน้าหงึกแรงๆ
“เออ เอาๆ ไปบอกให้ผมเลย”
“นำทางไปสิวะ เดี๋ยวพี่พูดกับเขาให้ เอ็งจะได้อ่านหนังสือได้แฮปปี้เอ็นดิ้งสักที”
“แล้วถ้าเขาเป็นฆาตกรกำลังเชือดเหยื่ออ่ะ” ทั้งที่เดินขึ้นบันไดนำทางแต่ยังหันกลับมามองคนโตกว่าเป็นระยะ
“โอ๊ย ไอ้บ้า แยกแยะเรื่องที่พวกพี่แกล้ง กับเรื่องจริงออกบ้าง ฆาตกรห่าอะไรจะมาอยู่ในหอที่คนเข้าออกเยอะฉิบหายวายป่วงแบบนี้”
เมื่อถูกดุอีกคนก็ทำหน้างอเลยถูกมือใหญ่ยกฟาดเบาๆที่หัวพร้อมไล่ให้นำทางต่อจะได้จัดการห้องต้นเหตุที่ส่งเสียงดังจนอ่านหนังสือไม่ได้
ทั้งคู่เดินมาถึงชั้นสี่
ยังห้องที่มีหมายสองตัวท้ายเหมือนกับห้องที่เด็กหนุ่มลูกครึ่งอาศัยเพียงแต่อยู่คนละชั้น
นิ้วเรียวกดกริ่งหน้าห้องก่อนเป็นอันดับแรก
มองบานประตูอย่างลุ้นระทึกอยู่พักหนึ่งแต่ทุกอย่างยังนิ่งสงบ
เลยกดกริ่งเป็นหนที่สอง สาม และสี่ หากทุกอย่างยังคงเดิม
“เอาแล้วไง”
“เอาแล้วไงอะไรของเอ็ง”
ซองฮักหันไปถามน้องที่เริ่มหน้าเสีย “ไอ้บ้า อย่าเพิ่งคิดไปเอง
เขาอาจจะแค่ไม่อยู่เวลานี้ ปกติเอ็งกลับห้องมาก็เสียงดังเลยปะ”
“ก็กลับจากติวถึงห้อง อาบน้ำทำอะไรเสร็จก็ยังไม่ดัง มาดังตอนประมาณห้าทุ่มเที่ยงคืนงะ”
“แต่นี่เพิ่งสามทุ่มเองวะ”
“งั้นไปรอห้องผม”
“ให้รอถึงห้าทุ่มเที่ยงคืนช่วยเอ็งพี่ไม่ไหววะ...พรุ่งนี้พี่ต้องไปจ่ายตลาดแต่เช้า
เสร็จแล้วต้องไปคุยกับเพื่อนเรื่องร้านต่ออีก อดนอนกลัวคุยไม่รู้เรื่อง”
“อ้าว ไหงงั้นอ่ะ”
“ก็เขาไม่อยู่จะให้ตรูทำยังไง เอาไว้พรุ่งนี้ว่างมาจัดการให้”
“โอ้ไม่ พี่อุตส่าห์ขึ้นมาถึงนี้ อย่าได้ทิ้งน้องไป”
“ไม่ได้วะ”
“พี่ก็เห็นแก่เด็กตาดำๆเตรียมสอบหน่อยเหอะ ให้กราบก็ได้นะ แต่ช่วยน้องด้วย”
“เฮ้ย ขอโทษวะ...แต่จำเป็นจริงๆ แกทนๆไปก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มารอจัดการให้”
เด็กหนุ่มกอดอกทำหน้างอมองด้วยสายตาไม่ชอบใจแม้คนเป็นพี่ลูบหัวพลางเอ่ยขอโทษก็ยังไม่หาย
จนต้องติดสินบนด้วยการบอกจะซื้อปลาแซลมอนสดจากตลาดมาทำปลาดิบให้กินพรุ่งนี้ปากที่คว่ำอยู่เลยกลับมาเรียบสนิทแทน
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นในกระเป๋าทำให้คนเป็นพี่ต้องรับสาย
สนทนากันสักครู่ก็บอกน้องต้องรีบไปก่อนเพราะยองจุนโทรมาตามจากนั้นก็วิ่งพรวดลงบันไดหายไปต่อหน้าต่อตา
ปล่อยน้องให้ยืนอยู่หน้าห้องคนแปลกที่ส่งเสียงดังอยู่ทุกคืนเพียงลำพัง
ดวงตาสีอ่อนมองบานประตูสีเลือดหมูที่มีเลข 408 ติดอยู่ครู่หนึ่ง...ในใจอยากจะจบปัญหาเรื่องนี้ด้วยตัวเองให้สิ้นเรื่องสิ้นราว
หลังจากนั่งขัดสมาธิคิดทบทวนหาหนทางสุดท้ายก็เปิดกระเป๋าหยิบกระดาษกับปากกามาเขียนข้อความด้วยตัวบรรจงเพื่อขอให้ช่วยลดเสียงหน่อยเนื่องจากต้องอ่านหนังสือสอบ
“ติดไว้แบบนี้ล่ะกันนะ
ยังไงกลับมาก็คงเห็น”
เขาพูดกับตัวเองพลางคุ้ยกระเป๋าใส่ดินสอของตัวเองหาปลาสเตอร์ที่พกไว้เป็นแผงเพื่อใช้แปะแผลจากความซุ่มซ่ามเพราะไม่มีสก็อตเทป
มือขาววางกระเป๋าใส่ดินสอลงบนพื้นหนีบกระดาษที่เขียนไว้ใต้แขนขณะลอกแผ่นปลาสเตอร์ลายการ์ตูนน่ารักที่ฝากเพื่อนผู้หญิงซื้อมาแต่เจ้าหล่อนดันไม่ซื้อลายเรียบๆมาให้ออก
จังหวะนั้นเองที่มีเสียงกุกกักดังขึ้นก่อนที่ประตูห้องข้างจะเปิดพรวดออกมา
เด็กหนุ่มสะดุ้งโหย่งกระโจนถอยหลัง
ปลาสเตอร์ร่วงจากมือพร้อมกับกระดาษที่หลุดจากแขนต้องกับลมที่พัดมาทำให้มันลอยไปอีกทางเลยต้องรีบตะครุบด้วยการนั่งทับไว้
บยอลละสายตาจากหน้าจอมือถือที่แสดงเบอร์ของพี่ชายร่วมห้องและร่วมงานซึ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่อยรอยไม่ยอมรับสาย
ไม่ตอบคาทกไม่มีกระทั่งโน้ตบอกว่าไปไหน
ปรายมองไปยังคนที่ยืนลูบหลังตัวเองปรอยๆ ด้วยความเจ็บ
เด็กลูกครึ่งผิวขาวจัดสวมชุดนักเรียนมัธยมปลายที่นั่งตรงพื้นดูคุ้นตา
เมื่อพินิจอย่างตั้งใจอีกครั้งก็เบิกตากว้างด้วยจำได้ว่าเป็นเด็กคนเดียวกันกับที่เขาใช้ไฟแช็กลนเชือกรองเท้าและน่าจะเป็นคนเดียวกันกับที่อยู่ในความฝันซึ่งหลังจากได้พบกันเขาก็หยุดฝันถึงไปเสียเฉยๆ
“ทำอะไร” เสียงเข้มเอ่ยถาม คิ้วหนาขมวดเข้าหากัน
ฮัลซลเงยหน้าจากพื้นยังคนที่ยืนพิงประตู
ชั่ววินาทีที่ได้สบตาก็จำได้ว่า
เป็นผู้ชายคนเดียวกันกับที่ช่วยเขาจัดการเชือกผูกรองเท้าตรงบันได
“ผะผะผม ถามผมเหรอครับ”
“มันมีคนอื่นหรือไง”
“อา...จริงด้วย”
“แล้วไปนั่งทำอะไรตรงนั้น”
“คือกระดาษมันจะปลิวน่ะครับก็เลยทับมันไว้” ตอบพลางขยับตัวหยิบกระดาษที่เขียนไว้แล้วลุกจากพื้น
“เป็นเด็กแจกใบปลิวหรือไง”
“คะครับ อะไรนะครับ”
“เห็นพูดถึงกระดาษ”
“อ้อ ไม่ใช่ใบปลิวครับ แค่กระดาษที่ผมเขียน”
“เขียนทำไม”
“พอดีผมเพิ่งย้ายมาอยู่ห้องข้างล่างนี้
แล้วตอนกลางคืนต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบซูนึงแต่ห้องนี้เขาส่งเสียงดังจนอ่านหนังสือไม่ได้เลย
คุณลุงเจ้าของหอเขาขึ้นมาเตือนแล้วแต่เสียงก็ยังดังเหมือนเดิม
เมื่อกี้พี่ชายผมเขาขึ้นมาบอกเจ้าของห้องแต่กดกริ่งหลายทีไม่เห็นใครออกมาก็เลยว่าจะเขียนกระดาษแปะบอกเขา”
คนหน้าดุที่สวมเสื้อยืดสีขาวไว้ข้างในทับด้วยเสื้อยีนส์พับแขนไว้ตรงศอกและกางเกงยีนส์ฟอกสีดูเซอร์ๆแต่รองเท้าใส่ในบ้านที่สวมอยู่กับเป็นรูปหัวมิกกี้เมาส์กดนิ้วลงบนหน้าจอโทรศัพท์เก็บมันใส่กระเป๋ากางเกงแล้วผละจากประตูห้องตัวเองไปยังประตูห้องข้างๆ
...ท่าทางของเขาดูน่ากลัวน้อยกว่า ครั้งแรกที่เจอกันมาก...
“ห้องนี้ใช่ไหม”
“ครับ”
“คนห้องนี้นี่กดกริ่งไปก็ไม่ได้ยินหรอก”
“แล้วต้องทำยั...”
ถามออกไปไม่ทันจบประโยคคนหน้าดุก็ใช้เท้าถีบประตูนั้นอย่างแรงราวกับจะพังมันเสียให้ได้
เด็กหนุ่มสะดุ้งโหย่งอีกรอบกระพริบตามองแผ่นหลังของคนที่ใช้กำลังไม่ถึงนาทีก็ถอยกลับมาตั้งหลักยืนกอดอกห่างจากประตูไปเล็กน้อย
ทันใดนั้นเรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นเมื่อบานประตูสีเลือดหมูจากห้องที่คิดว่าไม่มีคนอยู่กลับค่อยๆแง้มเปิดออกมาทีละน้อยพร้อมกับใบหน้าเนียนละเอียดของชายหนุ่มที่มีดวงตากลมใสซ่อนอยู่หลังแว่นสายตากับริมฝีปากทรงกระจับน้อยๆนั้นจะโผล่ออกมา
...มีคนอยู่แฮะ...
“ม...มีอะไร” ท่าทางงกๆเงิ่นที่เงยหน้ามองกับอาการนิ่งคิดอยู่พักใหญ่ก่อนจะค่อยๆพูดชวนให้อึดอัดและลุ้นอยู่ในทีนั้นเอ่ยถาม
“พี่ทำอะไรอยู่” คนถีบประตูเอ่ยเหมือนรู้จักกัน
“ตะตอน ตอนนี้เหรอ ก็ เล่นเกมอยู่”
“เล่นเกม...เล่นอีท่าไหนของพี่ถึงเสียงดังได้”
“สะเสียง
เสียงดัง พี่เสียงดังทะลุไปห้องนายเหรอ
แต่ห้องนี้พี่ให้ช่าง...มาทำให้มันเก็บเสียงได้นะ...ทำไมยังดังไปหาอีก”
คำถามมาพร้อมกับดวงตากลมที่กระพริบปริบหลังแว่น
“เก็บเสียงรอบห้องแต่ลืมตรงพื้นล่ะมั่ง ไม่งั้นเด็กที่อยู่ห้องข้างล่างมันคงไม่บอกว่าพี่เสียงดังจนมันอ่านหนังสือสอบซูนึงไม่ได้”
“อา” ตาหลังแว่นใสกรอกไปมาและมาหยุดอยู่ตรงใบหน้าลูกครึ่งของเด็กมัธยมปลายที่ยืนห่างออกไป “ผม...ผมเสียงดังเหรอ”
“ครับ”
“มะ...แม...แม้แต่...ตอนนี้ก็ยังดังเหรอ”
“ไม่ครับ...ตอนนี้ยังไม่ดังแต่มันเริ่มช่วงห้าทุ่มเที่ยงคืน
จากนั้นก็ดังยาวจนอ่านหนังสือหรือนอนไม่ค่อยได้เลย
ถ้ายังไงรบกวนช่วยเบาเสียงลงหน่อยได้ไหมครับ”
“ห้าทุ่ม...ตอนห้าทุ่ม
เสียงดัง อา...”
พอได้ฟังคำตอบเจ้าของห้องกรอกตาเอ่ยออกมาไม่เป็นภาษาเหมือนกำลังประมวลผลความคิดของตัวเองเป็นคำพูด
“พี่ดงริม...พูดดีๆ พูดเร็วๆเหมือนตอนแรปหน่อยสิ”
“ก็...กำ...กำลังคิด”
“คิดอะไร...ไอ้ตอนห้าทุ่มมันมีอะไร”
“เด็ก เด็กคนนั้นกลับมา”
“พี่หมายถึงจูยองใช่ไหม”
“อืม”
“กลับมาแล้วทำไมต้องเสียงดังล่ะ”
“ก็...เขา...เขาบอกว่า พักนี้พี่อ้วน ก็เลย...ต้องออกกำลังกาย”
ถ้อยคำที่หลุดจากปากทำให้เด็กหนุ่มสำลักน้ำลายในปากจนหลุดไอแค่กขึ้นมาเสียเฉยๆ
...ออกกำลังกายอะไรถึงเสียงดังเหมือนพื้นถล่มขนาดนั้นกันนะ...
“ไม่...ไม่รู้ว่าจะเสียงดังจนถึงข้างล่าง
ขอ...ขอโทษด้วยนะ จะพยายาม ไม่ ไม่เสียงดังอีก แต่ถ้ายังดังอยู่
ก็ขึ้นมาบอก...ได้นะ”
เจ้าของห้องพยายามเรียบเรียงคำแล้วก้มศีรษะให้หลายครั้ง
“ครับ ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ” คนที่อยู่ข้างล่างก้มศีรษะกล่าวขอบคุณกลับ
“ไป...ได้...แล้ว...ใช่ไหม”
“จะกลับไปเล่นเกมแล้วสิ”
“ใช่...แล้วก็ให้อาหารหมา”
“นี่พี่เลี้ยงหมาด้วยเหรอ เจ้าของหอเขาให้เลี้ยงเหรอวะ”
“ไม่...ให้เลี้ยง
แต่อยากเลี้ยง ก็เลย...แอบเลี้ยง นายก็ควรหา...หมามาเลี้ยงนะ บยอล
เอาให้ไอ้...ไอ้ผีดิบฮอนชอลมันเลี้ยงก็ได้ จะได้มาเป็นเพื่อนกับหมาของพี่”
“ลำพังแค่ตัวเองยังไม่มีเวลา จะให้ดูแลหมาเนี่ยนะ ไม่เอาหรอก”
“ก็...แล้วแต่ พี่...ไปนะ”
“งืม แล้วอย่าเสียงดังอีกล่ะ”
บยอลเอ่ยทิ้งท้ายให้กับเพื่อนบ้านที่รู้จักกันผ่านพี่ชายร่วมห้องของตัวเอง...เห็นท่าทางเด็กเนิร์ดติดเกม
ติดบ้าน ไม่ชอบเที่ยวกลางคืน เวลาพูดทีต้องประมวลผลที
ทว่าคนหน้าเด็กกว่าอายุอย่าง โจ ดงริม
คนนี้เป็นทั้งโปรดิวเซอร์และแรปเปอร์คนดังที่มีชื่อในวงการว่า แมดคลาวน์
...ตอนแรปอยู่บนเวทีขยับปากพ่นเนื้อเพลงไฟแล่บ มือไม้ไปหมดแต่ตอนอยู่บ้านนี้เหมือนคนละคน...
“วันหลังถ้าห้องนี้เสียงดัง อย่ากดกริ่ง ถีบประตูไปเลย”
“ครับ” ฮันซลตอบเหลือบตามองหน้าคนที่ยืนมองเขาอยู่หน้าประตู 408 ต่างฝ่ายต่างมองกันเงียบๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่กลิ่นไหม้จะลอยออกมาจากห้องที่ประตูเปิดข้างอยู่
“ทำอะไรไว้เหรอครับ”
“ห๊ะ”
“คือ ผมได้กลิ่นไหม้”
“ฉิบหายแล้ว”
คนหน้าดุสบถวิ่งพรวดเข้าไปในห้องทำเสียงดังโครมครามอยู่ข้างในนั้น
ปล่อยให้คนอายุน้อยกว่าชะโงกหน้าไปดูด้วยความสงสัย
แต่พอคิดได้ว่ากำลังสาระแนห้องคนอื่นเลยเดินกลับมาเก็บข้าวของตัวเองใส่กระเป๋าสะพาย
“หิวจะตายห่า
ทำรามยอนไหม้อีกกู โอ๊ย พี่ฮอนชอลแม่งก็หายไปไหนอีกวะ
โทรศัพท์รับหน่อยแม่งจะตายหรือไง”
ชายหนุ่มสบถเท้าแขนบนราวเหล็กตรงระเบียงพลางควักบุหรี่ออกมาจุดสูบอย่างหัวเสีย
อัดนิโคตินเต็มปอดก็พ่นควันออกมา
พลันหางตาเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวเลยเหลียวไปก็เห็นเด็กลูกครึ่งคนนั้นไอโขลก
มือข้างหนึ่งปัดควันบุหรี่ อีกข้างปิดจมูกไว้
“แพ้บุหรี่หรือไง”
“ครับ”
เสียงที่เอ่ยได้ยินไม่ถนัดเพราะถูกมือกั้นไว้
ฝ่ายคนสูบมองเด็กที่ไอไม่หยุดด้วยสายตาเรียบเฉยเหมือนไม่แยแสต่ออาการของคนแพ้ควันบุหรี่แต่อยู่ๆก็ขยี้บุหรี่ที่เพิ่งจุดสูบไม่ถึงห้านาทีลงกับราวเหล็ก
“อา ขอบคุณครับ” อีกคนโค้งขอบคุณ
ชายหนุ่มเหลือบยังก้นบุหรี่ที่ไฟมอดแล้วร่วงห่างจากเท้าตนเองไปเล็กน้อยแล้วมองมายังเด็กมัธยมที่สะพายกระเป๋าหลัง
สบเข้ากับดวงตาอ่อนเดียงสาดูไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรนักที่สะท้อนกับแสงไฟเป็นประกายระยับ
“หิวไหม” ปากหลุดถามออกไปแบบไม่ผ่านกระบวนการคิด
“ไม่ครับ
ผมกินมาแล้ว” คนซื่อตอบแล้วก็เงียบ
ต่างฝ่ายต่างมองกันไปมาเหมือนไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
บรรยากาศของความเงียบที่มีเสียงแมลงกรีดปีกกับใบไม้แกว่งไกวควรจะอึดอัดแต่แปลกที่ทั้งคู่กลับรู้สึกประหม่าแทน
“แล้วคุณ กินหรือยังครับ”
“ยัง”
“อา เหรอครับ”
คนโตกว่าเงยหน้ามองหลอดไฟบนเพดานตรงระเบียงทางเดินกำลังคิดถึงรุ่นพี่ที่หายหัว
ร้านของตัวเองที่วันธรรมดามีลูกค้าบางตาพร้อมกับความหิวที่ยังวนเวียนอยู่สักพักก็ก้มกลับมามองเด็กตรงหน้าที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะไปไหน
“ไม่ไปอ่านหนังสือหรือไง”
“ครับ...กำลังจะไป”
พอถูกถามคนอ่อนกว่าสะดุ้งรับคำรีบเดินไปทันที
แต่จำต้องหยุดเพราะกระเป๋าสะพายหลังถูกบางสิ่งดึงเอาไว้จึงเหลียวไปหา
“ไปอ่านหนังสือที่แมคเป็นเพื่อนสักครึ่งชั่วโมงได้ไหม” เสียงเข้มดุพูดขึ้น
“ฮะ...อะไรนะครับ”
“ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
คนชวนบอกออกไปเท่านั้น...ความจริงไม่ได้รู้สึกอะไรหรอกถ้าจะต้องไปไหนมาไหนคนเดียว
เรื่องกินข้าวคนเดียวนะปกติ
แต่ไม่รู้ทำไมเห็นหน้าเด็กนี้แล้วมันไม่อยากไปคนเดียว
...ถ้ายอมไปก็คงดี...
...ดี...ทำไมถึงดี...ดีอะไรวะ
เขาเริ่มถามตัวเองอย่างสับสน
“แมคตรงไหนครับ”
“ตรงหัวมุมถนนฝั่งนู้นไง”
“เก่งวิชาประวัติศาสตร์ไหมครับ”
“พอได้”
“แล้วเลขล่ะครับ”
“ก็คิดเลขไวอยู่”
เด็กหนุ่มกระพริบตามองความเรียบเฉยของผู้ชายที่ดูเหมือนจะโตกว่าพอสมควรก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือดูเวลาสามทุ่มยี่สิบนาทีบนหน้าปัดอย่างชั่งใจพักหนึ่งก็เงยหน้า
“งั้นก็ได้ครับ...ผมไปด้วย”
0 Comments