LOVE TOXICAL : WONSAM CHAPTER 9

09:41



ร้านกาแฟสองชั้นให้บริการยี่สิบสี่ชั่วโมงตรงชั้นล่างในเวลาใกล้สี่ทุ่มยังคลาคล่ำด้วยผู้คน ณ โต๊ะไม้ใหญ่ด้านในสุดของร้านมีชายหนุ่มสามคนสุมหัวกัน โดยมีหนังสือ เอกสารต่างๆ รวมทั้งไอแพดและแมคบุ๊กเปิดทำงานอยู่เกลื่อนโต๊ะ


แจวอนเงยหน้ามองนาฬิกาดิจิตอลที่ประดับตรงผนังร้านอยู่หลายนาทีพร้อมกับคำพูดของเด็กคนหนึ่งที่ลอยเข้ามาในความคิด


วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเล่นเกมที่เด็กคนนั้นสร้างแล้ว แต่เขายังไม่มีโอกาสกระทั่งเจอหน้าเพราะอาการป่วยและรายงานที่ถูกอาจารย์เลื่อนกำหนดส่งทำให้ไม่มีเวลา มีส่งข้อความสั้นไปถามว่าอยู่ไหนทุกวันแต่เด็กคนนั้นดูเหมือนยุ่งจนไม่ได้เปิดอ่าน


...อาจจะไม่ได้ยุ่งแต่อาจเลี่ยงที่จะคุยด้วย..


“แจวอน กูลงรูปไปในรายงานหน้า 43-47 เพิ่มดีไหมวะ” กวังมิน หนึ่งในคู่แฝดตระกูลจองที่ตัดกระดาษตามรอยบอกแต่คนข้างๆที่อยู่หน้าจอแมคบุ๊กยังมองนาฬิกานิ่งงันเหมือนไม่ได้ยินเลยยื่นหน้าเข้าไปพ่นลมใส่หูจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหย่งหันมามอง


“มีไร”


“มึงเป็นไรเนี่ย ถามตั้งนานไม่ตอบเอาแต่มองนาฬิกาอยู่ได้ มีนัดหรือไง ถ้ามีมึงแคนเซิลไปเลย เอารายงานให้รอดก่อน กูไม่อยากสอบวิชาอาจารย์โฮซอกเพียวๆแบบไม่มีคะแนนเก็บนะว้อย”


“ไม่มี”


“แล้วเหม่อเหี้ยอะไร”


“แค่คิดว่าเมื่อไหร่ไอ้กวังมิน มินซิกกับฮยอนกึนแม่งจะมาสักที เห็นขอไปดื่มเหล้าคลายเศร้าแก้วสองแก้ว นี่ล่อไปเป็นชั่วโมงแล้วนะมึง”


“เออวะ...หายไปโครตนาน ไปเมาตกท่อตายที่ไหนแล้วปะวะ ซองมิน มึงโทรหาพวกแม่งหน่อยสิ” คนเป็นแฝดหันไปบอกแฝดอีกคนที่ง่วนอยู่กับการพิมพ์ข้อความในหนังสือลงรายงานเพราะอาจารย์สั่งการบ้านที่ต้องเข้าห้องสมุดหาเท่านั้นมาให้


“ก็เห็นอยู่ว่าพิมพ์งาน...มือว่างก็โทรเองดิ”


“มือว่างอะไร นี่ก็ตรวจคำผิดในรายงานอยู่เหมือนกันปะ”


“ก็หยุดตรวจแล้วโทรไปสิ”


“แล้วทำไมไม่หยุดพิมพ์งานแล้วโทรให้หน่อยวะ”


“มันติดพันอยู่”


“นี่ก็ติดพันเหมือนกัน”


การเถียงกันระหว่างฝาแฝดเริ่มต้นขึ้นโดยที่ต่างฝ่ายต่างยังจ้องหน้าจอไม่แม้แต่ชายตามองกัน...เวลาปกติสองคนนี้เป็นแฝดที่รักกันดีแต่ถึงคราวต้องทำงานร่วมกันมีอันต้องเถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องทุกที


“พอๆ ไม่ต้องเถียง เดี๋ยวโทรเอง” แจวอนตัดบทคว้าโทรศัพท์ตัวเองกดโทรหาเพื่อนอีกคนที่ชื่อเหมือนหนึ่งในแฝดต่างกันแค่นามสกุล แต่ไม่รับสายพอเปลี่ยนโทรหาคนอื่นก็ไม่รับเหมือนกัน 


“ว่าไง”  


“ไม่มีคนรับวะ”


“ไอ้พวกนี้นี่แม่ง” ซองมินเริ่มบ่น หลังจากกดแป้นคียบอร์ดพิมพ์ตัวอักษรสุดท้ายในหน้ารายงานส่วนสุดท้ายที่ถูกแบ่งมาให้ทำจบและส่งต่อให้คนตรวจคำผิดเรียบร้อย “ทำรายงานทีไรหายตลอด...ต้องทำเสร็จก่อนถึงโผล่หัว”


“งวดนี้เก็บค่ารายงานแม่งแค่สามคนพอ แล้วงวดหน้ามันอ้างอะไรไม่ต้องให้ไป พวกมันต้องช่วยทำ” กวังมินประกาศก้องทั้งที่ตายังกวาดหาคำผิดในเนื้อรายงานที่ได้เมล์ส่งมาล่าสุด


“อย่าไปว่าพวกมันเลย...มินซิกมันกำลังเฮิรต์ ป่านนี้คงเมารอให้ฮยอนกึนกับกวังมินมันหิ้วปีกกลับ นั่น ตายยากฉิบหาย พูดถึงปุบแม่งมาปับจริงๆ” นิ้วเรียวชี้ไปยังหน้าประตูที่เพื่อนตัวเองสามคนกลับเข้ามาในร้านด้วยสภาพเหนื่อยหอบเหงื่อท่วมตัวเหมือนวิ่งกันมา


อี กวังมินที่ปากแตกกอดคอมินซิกที่หน้าเยิ้มแดงจากความเมาแต่ยังแสดงออกชัดว่าอารมณ์ไม่ดีแถมมีรอยทั้งช้ำและมีเลือดแห้งกรังตรงมุมปากเดินเข้ามาโดยมีฮยอนกึนที่แก้มช้ำเหมือนกันหิ้วรองเท้าใครสักคนเดินตามหลัง


“พวกมึงไปทำเหี้ยไรมาวะเนี่ย” ซองมินถามหยุดดูดกาแฟในแก้วตัวเองทันทีที่เห็นสภาพ


“ร้านเหล้า”


“ร้านเหล้าที่ไหนถึงเหงื่อท่วมกลับมาขนาดนี้”


“ก็ไปร้านเหล้า แต่โดนไล่กระทืบมาเลยวิ่งหนีตายเหงื่อท่วมแบบที่มึงเห็นเนี่ย”


“เอ้า ไปทำอีท่าไหนถึงโดนกระทืบวะ”


“มินซิกแม่งอะดิ เมาแล้วไปนัวสาวของนักเลงในร้านตรงห้องน้ำ เชี้ยนั้นก็เสือกเห็นพอดีเอาพวกมารุม กวังมินแม่งถีบลูกน้องมันไปสองคนก็เผ่นออกมาเนี่ย”


“ไอ้ห่า แล้วแม่งไม่ตามมาเหรอวะ”


“ตามดิ เลยแยกกันหนี วิ่งป่าราบจนพื้นรองเท้ากูขาดเลยเนี่ย” ฮยอนกึนชูรองเท้าข้างที่ขาดให้ดู


“พวกมึงช่วยกูทำไม ปล่อยแม่งกระทืบกูก็ได้ ถึงกูโดนกระทืบจนนอนโรงพยาบาลเขาก็ไม่สนใจกูหรอก” มินซิกว่า สะบัดไหล่ออกจากแขนของกวังมินที่พาดอยู่ด้วยอาการกระฟัดกระเฟียด


“มินซิก มึงใจเย็นๆก่อนได้ปะ” แจวอนพยายามให้อีกคนสงบเลยถูกใส่ชุดใหญ่


“เออ คนอย่างกูมันอารมณ์ร้อน กูมันเด็ก ไม่เข้าใจอะไรเลย”


“เอิ่ม กูยังไม่ได้...”


“ใช่สิ...ใช่ กูมันก็แค่คนเอาแต่ใจ ทำอะไรตามอารมณ์ กูมันเด็ก”


“มึงแม่งอย่าประชดได้ปะ” แฝดกวังมินว่า “มึงจะโกรธจะงอนป๋าเดย์ก็ได้แหละ แต่มึงต้องเข้าใจด้วยนะว่าแฟนมึงเขาเป็นนางแบบ ไม่ได้มีเวลาว่างมาอยู่กับมึงตลอด”


“ถ้าเขารำคาญก็บอกกูมาสิ บอกมาเลย”


“เนี่ย เพราะมึงชอบประชดประชันแบบนี้ไง เขาไม่อยากทะเลาะเลยไม่คุยด้วย”


“พวกมึงก็แบบนี้ เข้าข้างเขาตลอด กูแม่งเลวอยู่คนเดียว ไม่มีใครรักกูเลย” บอกเสร็จก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะพร้อมหลังที่ไหวสั่นและเสียงสะอื้นที่ตามมา


“เฮ้ย มึงนี่เมาแล้วคร่ำครวญอีกล่ะ” ซองมินบอกแล้วพิงหลังกับพนักเก้าอี้


“มินซิก โตแล้วน่า อย่าทำแบบนี้” อี กวังมินสะกิดเรียกพอเห็นอีกคนเหลือบตาโผล่จากแขนมีน้ำตาซึมอยู่ก็ถอนหายใจดึงให้ลุกมานั่งตักตัวเองแล้วกอดเอวไว้ “ไม่ร้องน่า มานี่มา”


“เขาไม่รักกูเลย” คนตัวโตที่เหมือนเด็กน้อยกอดคอแล้วซบกับไหล่พลางสะอื้นจนตัวโยนปล่อยให้คนเป็นเพื่อนกอดเอวและลูบหลังลูบผมไปมาอย่างที่เคยทำมาตลอด ทว่าเมื่อสังเกตแววตาของคนปลอบยามทอดยังคนที่ร้องไห้ดีจะสัมผัสได้ถึงความละมุนราวกับปลอบคนรัก


“ไม่รักมึง...เขาจะให้กุญแจห้องเขากับมึงไหม”


“กูเซ้าซี้ไงเขาถึงให้มา”


“เขาไว้ใจมึงหรอกถึงให้เข้าออกห้องเขาตามใจชอบน่ะ”


“หึ แค่ตัดรำคาญล่ะไม่ว่า”


“ไม่มีใครรำคาญแล้วให้กุญแจห้องเขากับมึงหรอก”


“ตอนมึงให้กุญแจห้องกับกู มึงยังบอกให้เพราะรำคาญเลย”


 “นั่น กูล้อเล่น” หลุดหัวเราะออกมาทั้งที่มือยังลูบผมเพื่อนที่เอาแต่ตัดพ้อคนรักอายุมากกว่า


“มินซิก กูว่ามึงไม่ไหววะ ไม่ต้องทำล่ะรายงงรายงาน มึงกลับบ้านไปก่อนเลยไป” แฝดซองมินตัดสินใจไล่คนที่ยังซบกับกวังมินบนเก้าอี้


“ฮือ เขาทิ้งกูไม่พอ พวกมึงจะทิ้งกูอีก”


“เฮ้อ กูปวดหัวว่ะ กวังมิน มึงเอาแม่งไปส่งบ้านเหอะ ส่งเสร็จแล้วกลับมาช่วยพวกกูทำรายงานด้วย”


“เออ เอางั้นก็ได้” คนถูกสั่งพยักหน้ารับอุ้มเพื่อนที่นั่งบนตักให้ลุกขึ้นยืนแต่ความที่อีกคนทิ้งน้ำหนักมาทั้งตัวทำให้ฝ่ายที่ไม่ทันตั้งรับเซจนแจวอนต้องลุกไปช่วยจับแล้วช่วยกันหิ้วปีกพาออกไปนอกร้าน


“พวกมึงอย่าทิ้งกูนะ” มินซิกร้องหัวเอนอยู่กับไหล่ของคนตัวเตี้ยกว่า


“เออ ไม่ทิ้งหรอก...มึงจอดมอไซด์ไว้ไหน”


“จอดไว้หน้าร้านเหล้าที่โดนไล่กระทืบมาเนี่ย”


“เอ้า ไปจอดห่าอะไรตรงนั้นวะ”


“ขี้เกียจเดินไง เลยซ้อนสามไป ใครจะไปรู้ว่าจะโดนไล่กระทืบจนขับมอไซด์กลับไม่ได้”


“เออ เจริญ” คนตัวเล็กสุดในวงตอนนี้ว่า “เอางี้ ร้านแม่งอยู่ไหน เดี๋ยวกูไปเอาให้เอง”


“มึงเดินตรงไปนะเลี้ยวผ่านร้านแมคโดนัลด์ตรงมุมถนนไปหน่อย มันจะมีร้านชื่อ Feel You อ่ะ มอไซด์กูจอดอยู่หน้าร้านแม่งเลย” พูดพลางยื่นกุญแจรถให้


“รออยู่นี้ก่อนแล้วกัน กูไปเอาให้” ชายหนุ่มเอาแขนของเพื่อนออกจากตัวเองแล้ววิ่งตรงไปหามอเตอร์ไซด์ที่จอดอยู่ตรงร้านเหล้า ซอกแซกผ่านผู้คนที่เดินสวนไปมาจนมาถึงหัวมุมถนนตรงร้านแมคโดนัลด์ก็หยุดหายใจ


ดวงตาทอดผ่านกระจกใสเข้าไปภายในร้านอย่างไม่ตั้งใจ ก็เห็นใครบางคนที่คุ้นเคยนั่งอยู่ในนั้น เมื่อเขม่นมองให้ดีก็เห็นรุ่นพี่เจ้าของร้านเหล้าที่ตนเองทำงานพิเศษนั่งกินเฟรนซ์ฟรายมองหน้าหนังสือที่เด็กหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาน่าเอ็นดูยื่นให้อยู่ตรงข้าม


...พี่บยอลกับใครวะ...


แม้จะสงสัยแต่ความที่ไม่ชอบยุ่งเรื่องของใครนักและยังต้องไปเอารถให้เพื่อนเลยเลือกจะไม่สนใจเดินต่อไปยังหน้าร้านเหล้าตามที่กวังมินบอก มองมอเตอร์ไซด์ของเพื่อนที่จอดอยู่หน้าร้านพลางหันรีหันขวางมองหาคนที่ดูท่าทางนักเลงครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าปลอดภัยก็ขึ้นคร่อม


วินาทีนั้นมีบางสิ่งกระแทกเข้าด้านข้างอย่างจังจนร่างโปร่งถลาร่วงลงมานั่งบนถนน ก่อนที่จะถูกมือกระชากเสื้อให้ลุกขึ้นแล้วต่อยซ้ำเข้าที่หน้า


แจวอนสะบัดหน้ากลับมามองชายหนุ่มหน้าตาดีที่อายุไล่เลี่ยกัน ยกเท้าถีบเข้ากลางท้องอีกคนเต็มแรงเพื่อตอบโต้ สวนหมัดซัดกลับเข้าที่หน้าจนมือที่กระชากคอเสื้อตนหลุดออก


ร่างคนเริ่มวิวาทซวนเซเกือบล้มแต่ยังจับราวเหล็กตรงทางเท้าได้ เสียงของคนบริเวณนั้นที่ร้องขึ้นด้วยความตกใจเรียกให้คนที่อยู่ในร้านออกมา พอเห็นว่าพวกตัวเองโดนทำร้ายก็กวักเรียกพวกที่เหลือกรูตามออกมา เป็นสัญญาณให้คนตัวผอมใส่เกียร์วิ่งหนีสุดชีวิต


กวังมินที่ยืนรออยู่หน้าร้านเห็นเพื่อนวิ่งกลับมาอยู่ลิบๆพร้อมอริที่ตามกระทืบตัวเองเมื่อครู่ไม่พูดพร่ำทำเพลงแบกมินซิกที่คอเริ่มอ่อนออกวิ่งโดยไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงมหาศาลนี้มาจากไหน


หนีกันได้ถึงจุดหนึ่งทั้งสามคนก็ไล่มาอยู่ในระนาบเดียวกัน กวังมินเห็นแท็กซี่แล่นมาเลยหันไปสบตากับแจวอนที่ยังขยับเท้าไม่มีหยุดขยิบตาส่งสัญญาณ แจวอนกระโจนออกไปยืนขวางแท็กซี่เปิดประตูได้ทั้งหมดก็กระโจนเข้าไปเร่งคนขับให้ออกรถ


สองคนที่สติยังอยู่ดีนั่งพิงเบาะรถแผ่หลาหอบเหมือนคนใกล้ขาดอากาศหายใจ ส่วนคนที่เมาก็หลับไม่ได้สติไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย


“จะไปไหนกันไอ้หนุ่ม” คนขับสูงวัยเอ่ยถามพลางปรายตามองยังคนที่นั่งอยู่ข้างๆ


“ไป...ไหน...ดี” คำถามปนมากับอาการหอบ


“ที่...ไหน...ก็ได้...แค่ให้กู...พักเท้าก่อน”


“ไป...บ้าน...มินซิกเลยไหม”


“ไม่...ไหว...กู เท้า...เจ็บ...แผล...เลือด” กวังมินบอกพอขึ้นมาบนรถได้ก็เพิ่งเห็นว่าเท้าตัวเองมีเลือดซึม
แจวอนหอบเอาอากาศเข้าไปในปอด ที่พักของเขาใกล้ที่นี่มากที่สุดและมีพื้นที่พอให้อาศัยแต่ด้วยความที่ไม่ชอบให้ใครรุกล้ำพื้นที่ตัวเองแม้แต่เพื่อนก็ยังไม่เคยเข้ามาก่อน แต่เพราะเพื่อนเท้าเจ็บถึงยอมบอกที่หมายให้คนขับแท็กซี่ไปส่ง


ทั้งสามคนขึ้นมาถึงห้องพักอย่างทุลักทุเล เจ้าของบ้านแตะคีย์การ์ดเปิดประตูเข้าไปในห้องที่เปิดไฟสว่าง ลากกันมาจนถึงแถวหน้าโถงทางเดินได้ก็นอนแผ่หมดแรงไปตามๆกัน


เพราะเสียงตึงตังและหอบหายใจเหมือนใกล้ตายที่อยู่ในบ้านทำให้คนร่วมบ้านที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จต้องเปลี่ยนทิศจากเข้าห้องตัวเองเดินมาด้านนอก ก้าวไปใกล้กระทั่งมองเห็นชายหนุ่มสามคนนอนกองด้วยสภาพไม่ค่อยจะดีนัก


กลิ่นหอมอ่อนจากแชมพูและสบู่ที่โชยมาแตะจมูกทำให้เจ้าบ้านขยับเปลือกตาลืมขึ้นข้างหนึ่งก็เห็นคนเด็กกว่ายืนค้ำหัวกระพริบตามองเขากับเพื่อนอยู่


“ไง” เขาทักออกมาไปคำหนึ่งพลางยิ้ม...เป็นครั้งแรกที่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้สวมฮู้ดคลุมหน้าแต่อีกคนกลับหมุนตัวเดินหนีไปต่อหน้าต่อตา



...อะไรวะ...
...ไม่เจอกันตั้งเกือบสามวัน จะไม่ทักไม่ทายกันเลยหรือไง...


ขณะที่คิดต่อว่าอยู่ในใจพักหนึ่งก็เห็นอีกคนหนึ่งหิ้วกล่องปฐมพยาบาลที่ไม่รู้ว่าไปซื้อมาไว้เมื่อไหร่ อีกมือถืออ่างพลาสติกวางบนพื้นหน้าโซฟาแล้วเดินกลับมาหาใหม่


“จะนอนกันตรงนี้เหรอครับ” คนเด็กกว่าเอ่ยถาม เสียงที่แปลกหูทำให้กวังมินที่หลับตาพักอยู่ลืมตาขึ้นก่อนจะเห็นเด็กผู้ชายลูกครึ่งผิวสีน้ำผึ้งสวมเสื้อยืดสีน้ำตาลกับกางเกงขาสั้นสีเดียวกันมีผ้าพาดบนคอยืนอยู่ “ถ้าไม่ถึงขนาดช้ำในจนลุกไม่ไหว ช่วยเดินไปแถวโซฟาได้ไหม มันเกะกะ”


ถ้อยคำเรียบนิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับการปรากฏตัวของคนแปลกหน้าทำให้คนที่นอนอยู่ลุกพร้อมประคองเพื่อนที่เมาหลับขึ้นมาโยนลงไปนอนตรงโซฟาส่วนตัวเองก็นั่งพื้นกันอย่างงงๆ


“ทำแผลกันเองได้ไหมครับ” คำถามถูกโยนมาแต่อีกสองคนหันไปมองหน้ากันแทน


“อืม ไม่ต้องตอบแล้วครับ ดูหน้าก็รู้แล้วล่ะ ว่าทำอะไรกันไม่เป็น”


“อ้าว” คราวนี้คนโตกว่าหลุดประสานเสียงออกมา แต่คนได้ยินไม่สนใจแค่กอดอกประเมินคนตรงหน้าด้วยสายตาว่าใครท่าจะอาการหนักกว่ากันแต่พอเหลือบเห็นเลือดที่ซึมจากแผลถลอกของคนแปลกหน้าเลยเลือกคนนั้นก่อน


“ผมจะทำแผลให้พี่ก่อนแล้วกัน” บอกเท่านั้นก็ทรุดลงมานั่งขัดสมาธิใช้มือข้างหนึ่งดึงเท้าที่เปรอะคราบเลือดวางไว้บนอ่างพลาสติกแล้วราดแอลกอฮอล์ลงไปทันที


“เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยย” กวังมินตะโกนออกมาสุดเสียง


“จะร้องเสียงดังทำไม ชาวบ้านตกใจตายเลย” คนทำแผลให้ดุ 


“มันแสบนี่ว้อย โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยย เบาๆหน่อยดิ นี่มือหรือตีนวะ โอ๊ยยยยยยยย”


คนตัวโตกว่ายังคงร้อง แม้คนเด็กกว่าจะค่อยๆใช้สำลีซับหนังที่ลอกจนเห็นเนื้อแดงชุ่มด้วยแอลกอฮอล์จนสะอาดและแห้งดีก็เริ่มใส่ยาไปตามขั้นตอนปิดทับแผลด้วยผ้าก็อตสีขาวทับด้วยสก็อตเทปสำหรับทำแผล


“เลิกร้องได้แล้ว ที่เท้าอ่ะทำเสร็จแล้ว...ทีนี้จะทำแผลที่หน้าแล้วนะ ถ้าพี่ร้องเหมือนถูกเชือดอีกผมเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์อุดปากจริงๆด้วย”


เมื่อถูกขู่คนที่ร้องแทบเป็นแทบตายจนเจ้าของห้องที่นั่งมองอยู่ขยับไปจิกเล็บกับพนักโซฟากว้างอีกฟาก


...เรื่องวิวาทจนเจ็บตัวก็มีมาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ไม่เคยทำแผลเพียงแต่ปล่อยให้มันจางไปเอง พอเห็นการทำแผลแบบฮาร์ดคอชนิดไม่มีปลอบกันเลยก็ชักจะเสียวเหมือนกัน...


“โอย...โอย...เบา...” กวังมินร้องออกมาแต่เบากว่าตอนแรกมากเพราะกลัวโดนสำลีอุดปาก ดวงตาเรียวบนหน้ากวนประสาทไม่สนโลกไล้มองใบหน้านวลที่จดจ่ออยู่กับรอยแผลของเขา มือที่จับสำลีแตะอยู่ใกล้จมูกมีทั้งกลิ่นสบู่ แชมพูกับกลิ่นน้ำยาล้างแผลเจือมา


...ผมยาวแฮะ โรงเรียนให้ไว้ได้เหรอ...


“เสร็จแล้ว” คนตัวเล็กกว่าว่าแล้วลากข้าวของทำแผลขยับไปหาคนที่นั่งเอนหลังกับเท้าแขนของโซฟายื่นหน้าเข้าไปมองอย่างพินิจพิเคราะห์ก็ลุกขึ้นจากพื้นเดินเข้าครัวไปเอาผ้าสะอาดห่อน้ำแข็งส่งให้และเริ่มจัดการกับคนที่เมาหลับอยู่


“ช้ำแค่นี้ประคบน้ำแข็งเอาล่ะกัน” 


แจวอนหยิบผ้าห่อน้ำแข็งมาประคบแก้มข้างที่ช้ำเพราะถูกต่อยขยับตัวเข้าไปนั่งข้างกวังมินที่เอนหลังพิงโซฟาอยู่ตรงแขนของมินซิก ทั้งคู่หันไปมองเด็กคนเดียวในห้องที่เดินไปเดินมาทั้งเช็ดหน้าเช็ดตาและทำแผลให้คนเมาที่ออกฤทธิ์ปัดไม้ปัดมือออกเป็นบางที


“กินอะไรกันมาหรือยังครับ”


“แล้ว” เป็นอีกครั้งที่เสียงประสาน


“กินแล้วก็ดี...มียาแก้ปวดอยู่ที่ตู้ยาในครัว มากินด้วยนะครับ” เอ่ยอย่างเฉยชาไม่แม้แต่จะถามสักคำว่าทั้งหมดไปทำอะไรกันมาถึงได้มีสภาพแบบนี้ เพียงแค่ทำแผลตามหน้าที่เก็บทุกอย่างเรียบร้อยก็เดินกลับห้องตัวเองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ใครวะ” อยู่ๆคนเป็นเพื่อนก็เปิดปากถามขณะมองยังแผ่นหลังผอมที่เปิดประตูเข้าไปในห้อง


“น้อง”


“น้องมึงเหรอ...ทำไมหน้าไม่เหมือนกันเลย”


“ก็ไม่ใช่น้องแท้ๆ”


“แม่มึงแต่งงานใหม่กับต่างชาติเหรอ”


“พ่องมึงสิ...” เจ้าของห้องหันไปสบถ “เขาเป็นลูกชายของเจ้านายแม่กูที่ต่างประเทศ พอดีพ่อแม่เขาต้องดูแลลูกสาวที่ไม่ค่อยสบายเลยกลับมายังไม่ได้ แล้วเด็กคนนี้ดันเรียนหนังสืออยู่นี้แต่บ้านที่เขาอยู่ในเกาหลีกำลังต่อเติม แม่กูเลยให้เขามาอยู่ด้วยไปก่อน”


กวังมินนั่งฟังคำอธิบายของเพื่อนขณะมองเพดานที่สว่างด้วยแสงไฟจนตาพร่าก็หลับตาแล้วเอ่ยปากถาม


“มาอยู่นานยัง”


“หลายอาทิตย์อยู่”


“ทำไมมึงไม่เห็นเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง”


“กูไม่เห็นว่ามันไม่สำคัญขนาดต้องเล่า”


“ไม่วะ หลายเรื่องเลยแหละที่มึงไม่เล่าให้ฟัง เอาง่ายๆ อย่างบ้านมึงอยู่แถวนี้กูก็เพิ่งรู้ เรื่องมีคนมาอยู่บ้านด้วยก็เพิ่งรู้เหมือนกัน” 


“รู้ไปก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรนี่หว่า”


“ก็จริงแหละ” ตอบไปอย่างนั้นแม้จะมีบางอย่างติดในใจแต่ก็เลือกจะปล่อยมันไปตามประสาคนที่คบเพื่อนแบบเพื่อนพร้อมบอกก็ค่อยอยากรู้ “โอย...มือถือแม่งก็สั่นจัง ใครโทรมาวะ อ้อ ฮยอนกึนเหรอ ยัง ยังไม่ตาย หนีทันตอนนี้เหรอ อยู่บ้านแจวอนมัน ห๊ะ จะมาหาที่บ้านมันเหรอ จะเอาไอ้แฝดมาด้วย แป้บนึง”


“พวกแม่งจะมาเหรอ”


“เออ...ให้มาไหม”


“บอกแม่งกลับบ้านตัวเองไปก่อนได้ไหม ตอนนี้ยังไม่สะดวก เดี๋ยวเสียงดังมากๆ น้องกูด่า”


“อาๆ แจวอนมันไม่สะดวกวะ เออๆ พวกมึงแยกย้ายก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้คุยกันที่มหาลัย เฮ้ย ฮยอนกึน มึงอย่างอแงดิ กลับบ้านนอนไปก่อน จะไปนอนห้องกูก็ได้ กุญแจสำรองอยู่ที่เดิม เออๆ บาย” คนรับหน้าแทนกดวางสายแล้วหันมามองหน้าเจ้าของบ้านที่เป็นเพื่อนตัวเอง “นี่มึงเจ้าของบ้านหรือน้องมึงวะถึงต้องกลัวโดนด่า”


“ไม่ได้กลัวแต่น้องมันเป็นเด็กแปลกๆ เดาไม่ค่อยถูกว่าคิดอะไร แต่รู้ว่าเขาไม่อยากยุ่งกับกู”


555 ไม่อยากยุ่งกับมึง...ทำไมอ่ะ”


“เขาเหมือนโตกว่าอายุน่ะ บางทีก็เหมือนอ่านใจได้ ชอบพูดเรื่องโรคคนเหงาอะไรสักอย่าง เขาว่ากูเป็นแบบนั้น นี่กูอยากสนิทกับเขา แต่เขาไม่ยอม อย่างวันก่อนเขาให้กูเล่นเกมทำให้เขายิ้ม ถ้าทำได้จะทำตามคำขอ แต่จนจะครบกำหนดกูยังทำไม่ได้เลยเนี่ย”


“อะไร...ล้อเล่นปะ คนอย่างมึงแค่ยิ้มชาวบ้านเขาก็ยิ้มตามแล้ว ทำไมน้องมึงถึงไม่ยิ้มให้มึงวะ”


“ก็ถึงบอกไงว่าแปลก”


555 เออ แปลกจริงๆ น้องมึงนี่เหมือนพวกเฉยชาไม่มีความรู้สึกเลย”


“แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ทำข้าวเช้าทิ้งไว้ให้กูทุกวัน ตอนไม่สบายเขาก็หายาหาข้าวให้กิน เห็นเจ็บก็ทำแผลให้...จะบอกว่ามีน้ำใจก็ใช่แต่หน้าไม่มีอารมณ์ร่วมเลยวะ เอาดีๆนะกูก็เห็นหน้าเขาไม่บ่อยหรอก เวลาของเรามันต่างกัน เพราะงั้นพอเจอกัน กูเลยเดาเขาไม่...” เจ้าของห้องเงียบเสียงลุกไปหาร่างเล็กที่หอบหมอนกับผ้าห่มมาให้ทันที


“คืนนี้พวกพี่คงนอนนี้ใช่ไหม อย่าไปนอนในห้องเลย นอกจากห้องผม ห้องอื่นเหมือนจะฝุ่นเยอะ นอนในห้องนั่งเล่นไปแล้วกัน...ผมเอาหมอนกับผ้าห่มมาให้แล้ว ห่มผ้ากันดีๆด้วยล่ะ เดี๋ยวไม่สบายลำบากผมอีก”


“อ้อ”


“แล้วก็ผมจะนอนแล้วนะ มีอะไรเกิดขึ้นก็ดูแลตัวเองนะครับ ราตรีสวัสดิ์” เอาของมาให้เสร็จก็ตัดบทหนีกลับเข้าห้องนอนไปอีกหน


แจวอนทอดสายตาตามไปยังร่างเล็กที่หายลับไปครู่หนึ่งด้วยแววตาผิดหวัง ก่อนหันกลับมาสะบัดผ้าห่มห่มให้คนเมาหลับบนโซฟาและยื่นหมอนกับผ้าห่มให้เพื่อนที่นั่งเจ็บเท้าใช้นอน


ริมฝีปากบางเหยียดกว้างประดับหน้าเป็นรอยยิ้มให้แก่เพื่อนเหมือนไม่คิดครวญถือสา...ทว่าภายในอกกลับรู้สึกโหวงว่างยิ่งกว่าเก่าเสียอีก



You Might Also Like

0 Comments