BITTER SWEET : CHAPTER TWO
06:31
แอนดัพกำสายสร้อยที่คล้องอยู่บนคอเดินขึ้นบันไดไปยืนบนอัฒจันทร์เพื่อสมทบกับฮยอนแทที่นั่งรออยู่ก่อนหน้าโดยมีสายสร้อยแบบเดียวกันคล้องอยู่
“ไอ้เหี้ยมิแม่ง
มั่วแต่ไปแจกลายเซ็น ไงล่ะไอ้ห่า ออดิชั่นรอบสุดท้ายเลย” ฮยอนแทบ่นออกอย่างไม่จริงจัง “กว่าจะเสร็จสงสัยตีสอง”
“อืม” อีกฝ่ายตอบขณะเท้าแขนไปบนราวเหล็กกั้น
มองออกไปยังเบื้องล่างที่ผู้คนในรอบออดิชั่นต่อไปกำลังทยอยเดินเข้ามายืนเรียงแถวเตรียมตัวพบกับกรรมการ
ในรอบของซานอีฮยองนั้นมีคนที่เขาหมายหัวไว้ตั้งแต่ข้างนอกรวมอยู่ด้วย
ในรอบนี้มีไอดอลและนักแสดงเข้าร่วมออดิชั่นเยอะกว่ารอบอื่น ทว่าในความหล่อเหลาและสวยของบรรดาคนมีชื่อเสียงเหล่านั้น
เด็กนั่นกลับดูเหมือนจะโดดเด่นออกมาอย่างเห็นได้ชัด
รอยยิ้มที่ระบายหน้าแทบตลอดเวลาทำให้บรรยากาศตึงเครียดคล้ายจะหายไป ณ
จุดที่เด็กคนนั้นยืนอยู่
“มองอะไรอยู่วะ” ฮยอนแทลุกจากเก้าอี้มายืนอยู่ข้างๆพลางถาม “อย่าบอกนะว่ามองเด็กฝรั่งนั้นอยู่”
“เออ”
“จะรอดไหมวะ”
“ห่วยก็ไม่รอด”
“แต่รอบต่อไปพี่ซานอีมาวะ”
“หึ...” เขาคำรามในคออีกหน
...ถ้าผ่านเพราะมีคนหนุนก็ถือว่าดูถูกถูกคนแล้วกัน...
...ถ้าผ่านเพราะมีคนหนุนก็ถือว่าดูถูกถูกคนแล้วกัน...
เสียงประกาศเตือนให้เตรียมตัวออดิชั่นทำให้ฮันโซลเก็บไอแพดวางไว้บนพื้นข้างตัว
สายตากวาดมองไปโดยรอบอย่างไม่ตั้งใจแต่ไปสะดุดเข้ากับผู้ชายคนเดิมที่ยืนข้างเพื่อนอยู่บนอัฒจันทร์
ด้วยระยะที่ห่างกันมากทำให้ไม่อยากคิดไปเองว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายจับตาอยู่
เด็กหนุ่มดึงตัวเองกลับมาตั้งสมาธิกับการแข่งขัน
เริ่มต้นทวนเนื้อแรปที่เตรียมมาโดยไม่ใส่ใจสายตาหรือแม้แต่เนื้อแรปของคู่แข่งขันที่เอาแต่เสียดสีไอดอลแบบครึ่งต่อครึ่ง
มีหลายครั้งที่เขาเผลอเหลือบขึ้นไปบนอัฒจันทร์และทุกครั้งก็จะเห็นผู้ชายคนนั้นเกาะราวเหล็กมองมา
พอหันไปมองรอบข้างก็ไม่เห็นจะมีเพื่อนของอีกฝ่ายอยู่เลยสักคน
...เขาไม่ได้คิดไปเองนะ
แต่พี่ชายคนนั้นเหมือนจะคอยมองเขาอยู่ตลอดเลยอ่ะ...
ชายหนุ่มเหลือบมองซานอีฮยองที่ขยับไปฟังผู้ร่วมออดิชั่นแล้วกลับมาจดจ่อกับเด็กลูกครึ่งที่ยังคงยิ้มกว้าง
แม้แต่ตอนถึงคราวต้องออดิชั่นรอยยิ้มนั้นก็ยังประทับบนหน้าไม่ห่างหาย
“มึงว่าพี่ซานอีจะให้ผ่านไหม” ฮยอนแทว่าเอนตัวไปข้างหน้าอย่างสนใจ
แต่แอนดัพไม่ตอบแต่ตั้งใจฟังสิ่งที่เด็กคนนั้นเรียงร้อยออกมาจากปาก
...เขียนฮิปฮอบแล้วอ่านออกเสียงอย่างภูมิใจ
ความยุติธรรมผมมีไว้แค่สั่งสอนตัวเอง
พวกที่เอาแต่ด่า เกินไปไหม มากไปวะ
ใครแม่งเห่าว่านี่คือการทำลายวงการ
ความภูมิใจในฮิปฮอบคืออะไรลองให้คำจำกัดความ
อาจจะเหมือนกระต่ายที่วิ่งตามต็อกโปกิ
แต่ผมก็อยู่ด้วยความกระหายอยู่ดี
ถึงเป็นแค่ไอดอลจาก Seventeen
แต่ทั้งหมดคืออนาคตที่ผมมี...
ฮันโซลลอบกลืนน้ำลายลงคอขณะมองตากับกรรมการผู้ตัดสิน
วินาทีนั้นไม่มีคำว่า
สายสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์นิวกับบริษัทอะไรทั้งนั้นเลยทำให้เขาลุ้นเหลือเกินว่าความพยายามและมั่นใจของเขาจะพาตัวเองรอดไปได้ไหม
“ไม่อยากให้นายเลยจริงๆ
นายทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีเลยอ่ะ แต่นายเก่งมาก ยินดีด้วยนะ” ซานอีบอกพลางหยิบสร้อยคอคล้องให้
“ก็ไม่เลวร้ายนะ” เพื่อนรักออกความเห็นแต่คนที่สายตาจับนิ่งอยู่ที่เด็กหนุ่มลูกครึ่งนั้นมานานแทบไม่กระพริบกลับพ่นก้อนลมหายใจคล้ายจะหยันให้กับเด็กน้อยที่ผ่านเข้ารอบไปเมื่อครู่
...แค่รอบแรกจะไปวัดอะไรได้...
ฮันโซลยกมือจับหัวใจที่เต้นรัว
คิดว่าตัวเองจะผ่านเข้ารอบอยู่หรอกแต่พออยู่ในสถานการณ์จริงก็อดตื่นเต้นไม่ได้
รีบก้มหยิบไอแพดมาแล้วถ่ายรูปสร้อยบนคอส่งคาทกไปในห้องรวม
อ่านข้อความชมที่เพื่อนร่วมวงส่งมาด้วยเสียงหัวเราะและไม่ลืมที่จะลอบมองคนบนอัฒจันทร์
...ตลกจัง
ยังมองอยู่เลย...
นั้นล่ะที่ทำให้ความรู้สึกอยากกวนประสาทมันผุดเข้ามา
...ไม่ชอบเขาให้ตลอดล่ะกัน...
แอนดัพมองคนข้างล่างที่เหมือนจะเงยหน้ามาหาแต่ด้วยระยะที่ไกลเขามั่นใจว่า
อีกฝ่ายคงไม่รู้ว่าเขามองอยู่
...ไม่ชอบขี้หน้ามันเลยนะ
ไม่ชอบรอยยิ้มสวยๆของมันด้วย
พยายามหันไปทางอื่นแต่พอรู้สึกตัวอีกทีสายตาก็จับไปที่เด็กคนนั้นตลอดเวลา...
การออดิชั่นในรอบของซานอีดำเนินต่อไปหลายชั่วโมงกว่าจะจบ
พอกรรมการบอกลาและเดินออกจากสเตเดี้ยม ความรู้สึกของผู้คนที่มาออดิชั่นระหว่างคนผ่านเข้ารอบกับไม่ผ่านต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่สุดท้ายทั้งหมดก็ต้องเดินออกจากสนามเพื่อให้ผู้ออดิชั่นรอบสุดท้ายสลับเข้ามาแทนที่
ฮันโซลเก็บขวดน้ำและข้าวของตัวเองบนพื้นแล้วตามหลังคนที่ทยอยออกไปด้านนอก
อีกไม่ไกลจะถึงประตูทางออกแต่เหมือนเขาเพิ่งนึกอะไรออกจึงหยุดเดินก่อนหันไปมองบนอัฒจันทร์ที่มีผู้ชายสวมหมวกแดงคนนั้นยืนอยู่
ดวงตาเย็นชาประสานเข้ากับดวงตาอ่อนใสอย่างจัง
คนอายุมากกว่าแก้สถานการณ์แกล้งทำเป็นมองผ่านไปทางอื่น
หากคนที่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลากลับตะโกนขึ้นไปบนอัฒจันทร์เรียกความสนใจจากทุกคนให้หันไปหา
“คุณ...คุณคนที่ใส่สแนปแบคสีแดงตรงนั้นอ่ะครับ”
แอนดัพชะโงกหน้าหันไปหาต้นเสียงแทบจะทันที
พอคนข้างล่างเห็นอีกฝ่ายปรายมาอย่างเย็นชาก็ยิ้มกว้างพลางยกมือทั้งสองข้างโบกไปมา
“ขอบคุณนะครับที่คอยมองอยู่ตลอด ดีใจใช่ไหมครับที่ไอดอลแรปเปอร์อย่างผมไม่ตกรอบ ผมก็ดีใจเหมือนกันที่คนไม่ชอบไอดอลแรปเปอร์อย่างคุณไม่ตกรอบ...แล้วอีกสองอาทิตย์เจอกันนะครับ” น้ำเสียงอันสดใสจากริมฝีปากอิ่มแดงที่คลี่กว้าง
เรือนผมยักศกปรกลงมาล้อมกรอบดวงหน้าทำให้เห็นเลือดฝาดบนพวงแก้ม
นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนที่มองตรงมาหามีแววหยอกล้อ
...คุณสมบัติประหลาดประการที่สองของเขาก็คือการยั่วให้คนไม่ชอบตัวเองสับสน บางคราก็กวนประสาท บางคราก็แกล้งทำใจดีให้อีกฝ่ายติดอยู่ในบ่วงแห่งความสงสัยที่ต้องถามตัวเองว่าเกลียดคนอย่างเขาลงจริงๆหรือ...
...คุณสมบัติประหลาดประการที่สองของเขาก็คือการยั่วให้คนไม่ชอบตัวเองสับสน บางคราก็กวนประสาท บางคราก็แกล้งทำใจดีให้อีกฝ่ายติดอยู่ในบ่วงแห่งความสงสัยที่ต้องถามตัวเองว่าเกลียดคนอย่างเขาลงจริงๆหรือ...
เสี้ยววินาที ณ
ตรงนั้นหัวใจของคนมองเหมือนถูกบางสิ่งกระตุกเข้าอย่างแรง...มันไม่ได้เจ็บแต่รู้สึกวูบไหวแบบประหลาด
มีพลังงานมากพอดึงให้ความไม่พอใจหายไปได้ชั่วขณะ ตอบยากว่า
รอยยิ้มนั้นทำให้หมั่นไส้กว่าเดิมหรือทำให้รู้สึกว่าน่ารัก
ช่วงเวลาแห่งความสับสนคงมีแต่ฮยอนแทที่ยืนอยู่ข้างๆ
กระพริบตาปริบมองไปยังเด็กคนนั้นอย่างไม่เข้าใจก่อนจะหลุดหัวเราะเสียงดังออกมา
“เฮ้ย
นั่นน้องเขากวนตีนมึงใช่ป่ะวะ”
“ไอ้เด็กนี่” แอนดัพสบถเพิ่งรู้สึกตัวว่าถูกกวนประสาท
เขาผละจากราวเหล็กกั้นแทบกระโจนจากอัฒจันทร์ตามหลังคนกวนประสาทที่เดินหายไปจากสายตา
ฮยอนแทสะดุ้งลุกพรวดตามเพื่อนออกไปด้วยกลัวจะไปปะทะกับเด็ก
...นั่นเด็ก 17 เองนะ
ถึงจะกวนตีนแต่ไปต่อยเขานี้เรื่องใหญ่แน่...
ฮันโซลเดินตามแสงไฟที่ส่องสว่างกลางความมืดมิดของยามค่ำคืนตรงไปยังรถของผู้จัดการที่จอดอยู่แต่ดูเหมือนผู้จัดการจะหายไป
เขาส่งข้อความผ่านคาทกหาผู้จัดการก่อนที่เสียงย่ำบนพื้นกรวดจะดังขึ้นใกล้ๆ
จะทำให้ต้องเหลียวไปมองและผู้ชายหน้าโหดคนนั้นก็ยืนอยู่ตรงหน้าพอดี
“อา...มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“มึงนี่
กวนตีนนะ”
“ห๊ะ
ผมอะเหรอ...ผมว่าผมยังไม่ทันได้กวนตีนอะไรเลยนะ” คนอ่อนกว่าถามตีหน้าซื่อเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ที่บ้านไม่เคยสอนเหรอวะ
ว่าอย่ากวนตีนผู้ใหญ่”
“อ้าว
แล้วที่บ้าคุณไม่สอนเหรอครับว่าอย่าพูดหยาบคายกับเด็ก”
“กูไม่ตลกนะ”
“แล้วเห็นผมขำไหมล่ะ”
“กูไม่ใช่เพื่อนเล่นมึงนะ”
“แล้วยังไงอ่ะ
จะต่อยผมเหรอไง”
“ต่อยมึงไปทำไม
ไม่ใช่พวกชอบรังแกเด็ก”
“แล้วที่ตามมานี้ไม่ได้ตั้งใจจะมาหาเรื่องผมเหรอครับ
ไม่มีการลดละใดๆจากคนอ่อนกว่า
นัยน์ตาคู่สวยที่จ้องเขม็งมาไม่มีความกลัวแต่อย่างใด
ฝ่ายที่พยายามข่มอารมณ์โกรธอยู่รู้สึกเหมือนถูกท้าทาย
เท้าสาวเข้าไปพร้อมกับมือที่เอื้อมไปกระชากเสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีแดงของอีกคนดึงให้เข้ามาหาตัว
“อย่าปากดี...ไอ้ปากแบบนี้นี่
เดี๋ยวจะได้อยู่ไม่ทันแก่”
“ผมว่าคนที่อารมณ์เสียตลอดเวลา
แม่งก็เส้นเลือดในสมองแตกตายก่อนแก่เหมือนกันแหละ”
“เฮ้ย บยอล
มึงใจเย็น” ฮยอนแทเข้าไปดึงเพื่อนให้ถอยห่างออกมาจากคนที่เด็กกว่ามองซ้ายมองขวาเหลือบเห็นทีมงานเหมือนจะวอผ่านเครื่องมือสื่อสาร
ถ้าตามตากล้องให้ออกมาถ่ายล่ะฉิบหายแน่
“มีเรื่องอะไรกัน” ผู้จัดการประจำวงเอ่ยถามกับเด็กหนุ่มที่กำลังขยับเสื้อตัวเองที่ถูกขย้ำจนยับให้กลับมาเรียบ
“อา...”ฮยอนแทขยับปากจะพูดแต่คนถูกหาเรื่องกลับแทรกขึ้นมา
“อ้อ
ไม่มีอะไรหรอกครับ พวกฮยองเขาเห็นทางมันมืดก็เลยเดินมาส่ง...ฮยองไปสตาร์ทรถเถอะครับตอนนี้ผม
ผมคิดถึงเตียงที่หอแล้วงะ” รอยยิ้มสดใสกับน้ำเสียงอ้อนทำให้แอนดัพถึงกับกรอกตา...
แม่งยังกะคนละคน
“เออ
พี่ขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะ มันเป็นคนใจร้อนไปหน่อย” คนตัวใหญ่ที่สุดพยายามไกล่เกลี่ย
“ไม่หน่อยมั่งครับ”
“ถ้ายังไงต่างคนต่างอยู่ก็แล้วกันนะ
คราวหน้าพี่จะดูไม่ให้เพื่อนพี่มายุ่งด้วยนะ”
“ไอ้ห่า
ไม่ต้องไปพูดดีกับแม่งหรอก เล่นละครเก่งฉิบหาย”
“ถ้าไม่เล่นละคร
คุณคงไปนอนห้องกรงไม่ได้มาลงแข่งมันแล้วล่ะครับ”
“โห
มึงดูปากมันดิ”
“ชู่ว์” อยู่ๆ คนที่กำลังปีนเกลียวกลับส่งเสียงให้เงียบพร้อมกับกระจกรถตู้ที่ลดระดับลงมาโดยมีเสียงผู้จัดการเรียกให้ขึ้นรถก่อนที่กระจกจะปิดกลับไปเหมือนเก่า
ให้ผู้จัดการรู้เรื่อง...เดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่ อดสนุกกันพอดี
“ผมต้องไปแล้วล่ะ
คงไม่ว่างมาต่อปากต่อคำกับฮยองแล้วนะ” เด็กหนุ่มบอกขณะเอื้อมมือไปจับที่เปิดประตูรถแต่แล้วก็หยุดหันไปหาผู้ชายที่ยืนตาขวาง
อ่านป้ายชื่อที่อยู่บนหน้าอกก็หลุดหัวเราะ
พอรู้ว่า
คนตรงหน้าเป็นแรปเปอร์ดาวรุ่งอายุน้อยขวัญใจสาวจาก Buckwilds ที่เคยลงสัมภาษณ์และออกอัลบั้มมาไม่น้อยทำให้เขายิ่งรู้สึกเหมือนเดจาวู
แอนดัพ เป็นคนที่เขาเคยเห็นผ่านคลิปวิดีโอและฟังเพลงมาก่อนและเขาตีความผู้ชายคนนี้ว่าเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ไม่รู้ว่าขี้โมโห แถมยั่วขึ้นอีกต่างหาก
แอนดัพ เป็นคนที่เขาเคยเห็นผ่านคลิปวิดีโอและฟังเพลงมาก่อนและเขาตีความผู้ชายคนนี้ว่าเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ไม่รู้ว่าขี้โมโห แถมยั่วขึ้นอีกต่างหาก
เอาจริงๆนะ
เขาไม่ได้โกรธหรอกที่เห็นฮยองคนนี้ตามออกมา
ตอนที่ทำตาขวางและตอบโต้แรงๆก็ไม่ได้มาจากอารมณ์โมโห
แต่มีความรู้สึกอยากจะเห็นความก้าวร้าวของคนตรงหน้าอีกสักนิด
แม้จะเสี่ยงต่อการถูกต่อยก็เถอะ
...ถ้าแกล้งจะถึงตายไหมนะ...
“มีคนเคยบอกผมว่า
เวลาที่ไม่ชอบใครสักคนมากๆ คนๆนั้นจะเข้าไปฝังอยู่ในความคิด
ถ้าแอนดัพฮยองไม่อยากเก็บเอาผมไปฝันตลอดอาทิตย์
ก็ลดอาการไม่ชอบหน้าผมลงวันละนิดล่ะกันเนาะ เออ ผมมีบางอย่างจะให้ด้วย
ถือว่านี่เป็นสัญญาสงบศึกระหว่างเราก็แล้วกัน”
ฮันโซลล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบเอาบางอย่างออกมา
อาศัยความเร็วยัดใส่กระเป๋าเสื้อยีนส์ของคนที่ถูกแขนของเพื่อนพันธนาการส่งยิ้มที่คิดว่ากว้างและหวานที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปให้ มือขาวโบกไปเบาๆเป็นเชิงอำลาแล้วเปิดประตูหายเข้ารถไปทิ้งให้สองหนุ่มยืนอึ้งเหมือนถูกตึงอยู่ตรงนั้น
“นี่มึงจะปล่อยแขนกูได้ยัง” คนที่ถูกจับแขนไว้นานร้องถาม
“เออ กูลืม” ในที่สุดฮยอนแทก็รู้สึกตัวปล่อยมือออกจากแขนเพื่อนก่อนวกกลับไปคุยถึงเรื่องคนที่เพิ่งจากไป “เด็กนั่นประหลาดฉิบหายเลยวะ กูว่ามึงอยู่ห่างๆ น้องมันไว้เถอะ”
แอนดัพฟังคำเพื่อนโดยไม่พูดอะไรสักคำ
พอถูกชวนให้กลับเข้าไปรอมินโฮก็เดินตามไปทั้งอย่างนั้น หากมีนาทีหนึ่งที่เขาเหลียวไปมองยังความว่างเปล่าตรงท้องถนน
ไม่เหลือฝุ่นควันใดเป็นร่องรอยถึงการมีอยู่ของรถและเด็กกวนประสาทแต่เขากลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างยังคงอยู่และเมื่อล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของตัวเองดูก็พบกับลูกอมรสมะนาวอยู่ในห่อกระดาษลายจุดสีเหลือง
...เด็กฉิบหาย ให้ลูกกวาดนึกว่ากูเป็นเด็กอนุบาลหรือไง...
แอนดัพส่ายหัวก่อนที่คิ้วหนาของเขาจะขมวดเข้าหากัน
มีบางเรื่องที่เขาเพิ่งคิดขึ้นได้ว่าสำคัญ
...เด็กฉิบหาย ให้ลูกกวาดนึกว่ากูเป็นเด็กอนุบาลหรือไง...
แอนดัพส่ายหัวก่อนที่คิ้วหนาของเขาจะขมวดเข้าหากัน
มีบางเรื่องที่เขาเพิ่งคิดขึ้นได้ว่าสำคัญ
...เด็กห่านั่นมันชื่ออะไรวะ...
To be continued
0 Comments