Thorn Flower : CHAPTER FIVE
05:29
เดอะ ลีโกส โฮเต็ล
เป็นโรงแรมชั้นสูงระดับห้าดาวตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาโรกงดงามและวิจิตรตั้งตระหง่านอยู่ในย่านคังนัม
ด้วยความหรูหราครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยมระดับรางวัลนั้นทำให้บรรดานักการเมือง
นักธุรกิจ นักแสดงกระทั่งคนสำคัญต่างเลือกใช้บริการ
หากมองสูงขึ้นไปจากสวนสวยเบื้องล่างยังชั้นยี่สิบสามจะเป็นส่วนของอาคารสำนักงาน
ในห้องประชุมกว้างโอ่โถงมีภาพวาดของศิลปินชื่อดังแขวนประดับ
หากไม่มีภาพวาดใดใหญ่เท่าภาพวาดเหมือนสีน้ำมันของชายวัยกลางคนผมสีดอกเลาในกรอบทองที่แขวนอยู่ด้านหลังเก้าอี้คนละฟากกับกับเก้าอี้ประธานกรรมการบริหารที่ตั้งอยู่หัวโต๊ะ
“เรื่องระบบบำบัดน้ำและระบบระบายน้ำที่ผมสั่งให้คุณไปจัดการต่อรองราคากับบริษัทผู้ติดตั้งมาเป็นยังไงบ้าง
คุณลี” เสียงทรงอำนาจที่เอ่ยถามกับผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมและอาคารดังจากลำโพงที่อยู่รายล้อมเพดานห้อง
โดยมีภาพของชายสูงวัยหน้าตาขึงขังที่ยังมีเค้าความคมคาย ผมสีดอกเลานั้นเรียบตึงสวมสูทน้ำตาลฉายอยู่บนจอโปรเจคเตอร์
“ผมต่อรองราคาและเสนอแผนที่จะทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งลงมาแล้ว
เราจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการซื้อวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์เองโดยตรงและผมได้ทำรายงานเสนอราคาให้ฝ่ายการเงินพิจารณาแล้ว
คาดว่าถ้าทางฝ่ายการเงินส่งรายงานให้ท่านอนุมัติการสั่งซื้อ จะสามารถดำเนินเรื่องได้ภายในไม่เกินสามวันครับท่าน”
“คุณอ๊กส่งรายงานให้ผมแล้ว
แต่มีวัสดุบางชิ้นที่ผมพบว่าราคาสูงกว่าท้องตลาด
ผมอยากให้คุณลีกลับไปสำรวจราคาของวัสดุบางชิ้นที่ผมคอมเพลนไป
แล้วส่งรายงานกลับมาให้ผมพิจารณาอีกครั้ง”
“ได้ครับ ท่าน”
ผู้อำนวยการฝ่ายว่าพลางก้มศีรษะก่อนที่ฝ่ายประธานจะกล่าวสอบถามถึงวาระการประชุมเพิ่มเติม
เมื่อไม่มีใครเสนอจึงสรุปผลการประชุมและปิดการประชุมไปพร้อมกับจอโปรเจคเตอร์ที่กลับมาเป็นจอขาวอีกครั้ง
กรรมการบริหารและผู้อำนวยการแต่ละฝ่ายค่อยทยอยกันออกจากห้องประชุมเป็นภาพที่ปรากฏบนหน้าจอแล็บท็อปที่ตั้งอยู่ในห้องสูทหรูของโรงแรม
เจ้าของห้องละสายตาจากกลุ่มคนบนจอหันไปยังจอแล็บท็อปอีกเครื่องที่ปรากฏเป็นภาพของประธานและรองประธานบริหารของลีโกสโฮเต็ลอยู่ในกรอบภาพด้านหนึ่ง
ขณะที่ด้านล่างของจอมีการป้อนข้อความเป็นประโยคที่ทั้งสองเพิ่งเอ่ยไปในที่ประชุม
โปรแกรมสร้างและพัฒนาขึ้นมานี้เป็นเทคโนโลยีเฉพาะที่ใช้ในการสร้างตัวตนของใครคนหนึ่งขึ้นมาเป็นประหนึ่งภาพเสมือนจริงและสามารถปรับแต่งให้ริมฝีปากขยับสนทนาและมีเสียงตามผู้เป็นต้นแบบเพียงพิมพ์ข้อความลงไป
...มันเป็นเครื่องมือราคามหาศาลที่มีเพียงเขากับประธานเท่านั้นที่รับทราบและมันมักจะถูกเรียกใช้มาในกรณีที่ประธานเกิดประสบปัญหาเรื่องสุขภาพ...เขามีหน้าที่ทำทุกอย่างตั้งแต่เป็นที่ปรึกษากระทั่งเก็บกวาดเรื่องสกปรกให้กับลีโกส
คอร์เปเรชั่น
แจ็คสันกดนิ้วเรียวแข็งลงบนแป้นพิมพ์เพื่อยุติการทำงานของโปรแกรมและการภาพจากกล้องวงจรปิด
นัยน์ตาคมเหลือบไปยังสมุดบันทึกเล่มหนาที่วางใกล้กับรายงานบัญชีและการเงินของสถานบริการยามค่ำคืนทั้งหมดที่ลีโกสเป็นเจ้าของในทางลับ
ชายหนุ่มเอื้อมหยิบสมุดเล่มนั้นมาพลิกไปยังช่วงกลางสุดของเล่ม
นัยน์ตาคมจ้องยังดอกไม้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสีขาวสะอาดแต่ถูกทับไว้จนแห้งแข็ง
...ดอก Tuberose ดอกนี้ไม่ได้มาจากช่อดอกที่มือปืนทิ้งไว้บนร่างของมาร์คให้ดูต่างหน้า
หากมันหล่นจากกระเป๋าเป้ของคนที่เขาช่วยไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน
เด็กผอมบางอาการไม่ดีที่ดูเฉยชาแต่ลึกลงไปในแววตามีความเจ็บร้าวลึกเหมือนแก้วที่แตกแล้วเป็นเสี่ยง
..วัยรุ่นน้อยคนที่จะเก็บดอกไม้ไว้ในกระเป๋า
โดยเฉพาะดอกไม้ที่แทบไม่เคยเห็นใครปลูกในเขตเมืองของเกาหลี...
เสียงเคาะประตูที่ดังก้องหน้าห้องทำให้คนที่ตกในห้วงคำนึงหลุดมาสู่โลกความเป็นจริง
เจ้าของห้องมองจอภาพเล็กที่ติดอยู่ตรงโต๊ะทำงาน เมื่อเห็นใบหน้าของหัวหน้าบอดี้การ์ดที่ทำงานรับใช้ลีโกสมานานก็กดปุ่มเปิดประตู
“ผมเอารายงานการทำงานและประวัติส่วนตัวของบอดี้การ์ดทั้งหมดของลีโกสและรายงานปลอกกระสุนที่ผ่าได้จากตัวท่านประธานมาให้ท่านครับ” หัวหน้าบอดี้การ์ดกล่าวทันทีที่เงยหน้าจากการโค้งคำนับ
“ท่านประธานกับท่านรองเป็นยังไงบ้าง” เสียงแหบต่ำนั้นถามขณะไล้สายตาอ่านเอกสารในรายงานเกี่ยวกับบอดี้การ์ดที่ได้รับมา
“ท่านประธานยังอยู่ในห้องไอซียู อาการยังทรงตัวอยู่
ส่วนท่านรองอาการดีขึ้นมาก เห็นคุณหมอประจำตัวท่านบอกว่า ฟื้นตัวเร็วกว่าปกติ
แต่ท่านค่อนข้างหงุดหงิด คุมอารมณ์ไม่ค่อยได้
พวกบอดี้การ์ดกับบุรุษพยาบาลเริ่มเอาไม่อยู่ ผมไม่เคยเห็นท่านเป็นอย่างนี้มาก่อน
ทางคุณหมอท่านฝากให้ผมมาถามท่านว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร”
“อาละวาดสินะ” เขาว่าโดยไม่แม้แต่จะชายหางตาไปยังชายอีกคนที่ยืนประสานมืออย่างสงบนิ่งเบื้องหน้า
“ครับ บุรุษพยาบาลซี่โครงหักไปสามรายแล้วครับ”
คำรายงานนั้นไม่อาจทำให้อีกฝ่ายไหวติง
เขายังคงนั่งนิ่งกวาดตามองผลการวิเคราะห์ปลอกกระสุนบนหน้ากระดาษรายงานอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเงยหน้าสบสายตากับคนที่ยืนรออย่างเงียบเชียบ
“เรียกคนของคุณมา ได้เวลาทำงานแล้ว”
-------------------------------------
สายลมหอบเอาไอร้อนแล่นมาปะทะพุ่มดอกไม้ขาวที่ปลูกเป็นแนวภายในรั้วบ้านสีฟ้า
แจบอมหยิบแจ็กเก็ตสีดำสวมทับเสื้อยืดสีขาวพอดีตัวออกมาหยุดยืนหน้าประตูรั้วไม้เตี้ย
ดวงตาคมเรียวทอดยังร่างผอมที่ซ่อนอยู่ใต้กางเกงยีนส์ขายาวสีเข้มพอดีตัวกับเสื้อยืดมีฮู้ดแขนยาวสีฟ้าอมเทาสะพายเป้ไว้ด้านหลังซึ่งก้มลงกอบดอกซ่อนกลิ่นที่ร่วงเกลื่อนพื้นพร้อมกับภาพของหญิงที่มีใบหน้าอ่อนกว่าวัยผมยาวสลวยกลับซ้อนขึ้นมา
...ดอกซ่อนกลิ่นเป็นดอกไม้ที่คุณลุงเคยบอกว่าแม่ผู้ให้กำเนิดแบมชอบและเป็นดอกไม้เดียวกับคุณน้าผู้เป็นเพื่อนของคุณลุงที่รักและเมตตาทั้งแบมและเขามาตั้งแต่พบจนวันสุดท้ายที่หายใจชอบเช่นกัน
ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่สิ่งที่แบมทำแทบจะตลอดเวลานอกจากเรียนคือการลงมือปลูกและดูแลดอกซ่อนกลิ่นเป็นอย่างดีราวกับมันเป็นสิ่งที่แทนความคิดถึงอย่างลึกซึ้งต่อผู้ล่วงลับ
ชายหนุ่มละสายตาจากคนตรงหน้ากลับมาคล้องโซ่ตรงประตูรั้วพลางคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนตัวเล็ก
แม้ฝันร้ายนั้นจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว
แต่เขายังคงกังวลถึงมันเช่นเดียวกับที่กังวลถึงภาระหน้าที่เกี่ยวพันกับคดีที่ตนเองต้องสืบ
...ช่วงเวลาเดียวที่เขามีความสุขคือการใช้ชีวิตอยู่กับแบม
การเดินไปส่งและรับเขากลับจากมหาวิทยาลัย ได้กินข้าวด้วยกัน
ซักรีดเสื้อผ้าให้เขาได้สวม และบอกราตรีสวัสดิ์เป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจเขาเต็มตื้น
การปล่อยแบมให้อยู่ลำพังทำให้ใจเขาไม่สงบ แต่เขาก็ปล่อยเรื่องคดีไม่ได้
ซึ่งการที่ทางลีโกสไม่ติดต่อมาก็ทำให้เขาวิตกว่าทางนั้นจะสงสัยในตัวเขาจึงเงียบหายไปเช่นนี้หรือเปล่า...
คนตัวใหญ่ถอนหายใจพลางเดินไปหาคนที่ค่อยๆหยัดกายจากพื้นขึ้นมาและเมื่อเขาก้าวถึงตัวอีกฝ่ายก็ยื่นดอกซ่อนกลิ่นที่ช้ำน้อยที่สุดดอกหนึ่งส่งให้
แววตาแม้นไร้ความรู้สึกแต่กลิ่นหอมรวยรินนั้นทำให้ริมฝีปากหยักบางเหยียดกว้าง
สูดกลิ่นมันไว้เต็มปอดแล้วเก็บลงกระเป๋าเสื้ออย่างเบามือ
“จะไม่เอารถไปแน่นะ” คนเป็นพี่เอ่ยถามขณะดันคนตัวเล็กให้เข้าไปเดินด้านในเพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายเดินริมถนนแทน
“ไม่...อยากเดิน” เสียงหวานปนแหบตอบเบาพลางก้าวเท้าไปข้างหน้าโดยไม่แม้แต่จะปรายมองคนคอยเดินอยู่เคียงข้าง
“อืม” คนตอบส่งเสียงในลำคอหันมองคนตัวเล็กครู่หนึ่งก็หันกลับไปมองภาพเบื้องหน้าแล้วถามอีก
“แบมยังไม่ได้บอกพี่เลยว่าแบมไปร้านฮโยซองทำไม”
“เขาจะรับคนมาช่วย...เขาอยากให้ไปดู” คำพูดยังคงเรียบเย็น
“ลูกค้าคงจะเพิ่มขึ้นเยอะสินะ”
“ถ้าคุณอยากรู้ ไปถึงร้านก็ลองถามดูสิ” คนตัวเล็กว่าพลางเหลือบตายังคนตัวใหญ่
แววตาที่จ้องลึกมาหาราวกับจะบอกว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายควรทำ
แจบอมถอนหายใจ...ไม่ใช่ไม่รู้ว่า
การที่แบมห่วงใยฮโยซองและพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือหรือแม้แต่พยายามให้เขาเอาใจใส่หญิงสาวบ้างเป็นเพราะเหตุใด
ถ้าในตอนนั้นเขาไม่ต้องเตรียมตัวแฝงเข้าในลีโกสเพื่อสืบคดีของคุณลุง
ส่วนแบมเองเพิ่งออกจากโรงพยาบาลได้ไม่นานประจวบกับที่เขากันตัวฮโยซองเป็นพยานจากคดีทลายแหล่งค้าประเวณีและเขาใช้ความรู้สึกของหญิงสาวเป็นเครื่องมือเพื่อดูแลแบมในเวลาที่เขาไม่อาจดูแลได้
...หากจะมีใครผิดในเรื่องนี้ ก็มีเพียงเขาคนเดียว แต่ไม่ว่าบอกอย่างไร
ในใจลึกๆ แบมก็ยังคงรู้สึกว่ามีส่วนต้องรับผิดชอบ..
“ไว้พี่จะถามเขา”
เขาบอกยังคงยิ้มอ่อนแม้อีกฝ่ายจะหันกลับไปมองทางข้างหน้าดังเก่า “วันนี้แบมเรียนบ่ายใช่ไหม ถ้าเสร็จจากคุยธุระแล้ว พี่จะไปส่งแบมที่มหาวิทยาลัยนะ”
เด็กหนุ่มไม่ตอบรับเพียงเดินไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งร้อน
ใช้เวลานานเกือบสิบนาทีกว่าที่ริมฝีปากอิ่มจะขยับถามคำถามอย่างไร้อารมณ์
“พวกนั้นยังไม่เรียกคุณไปอีกเหรอ”
“ยังเลย”
“หัวหน้าคุณกับคนที่กรมเขาว่ายังไงล่ะ”
“บอกแค่ให้รอ”
“คุณไม่คิดว่าพวกนั้นจะจับคุณได้บ้างเหรอ
สายของคุณอาจจะไม่ซื่อแล้วก็ได้”
“ตอนแรกพี่ก็คิดอย่างนั้น
แต่ถ้าพวกนั้นจับได้ว่าพี่เป็นตำรวจ มันคงไม่ปล่อยพี่มีความสุขอยู่ตรงนี้”
ถ้อยคำว่าความสุขในตอนท้ายนั้นทำให้ดวงตาคมที่ทอดมายังคงตัวเล็กอย่างอบอุ่นยิ่งอ่อนละมุน...ชีวิตเขาจะสุขหรือทุกข์ขึ้นอยู่กับคนตรงหน้า
“หรือไม่ลูกเลี้ยงมันก็ม่องไปแล้ว”
“ไม่หรอก...ถ้าเขาตายพี่ต้องรู้”
“ทำไม สายของคุณเป็นหมอเหรอ” คำถามเรียบเรื่อยนั้นเหมือนไม่มีอะไรแต่สะกิดใจคนฟังจนเท้าแทบชะงัก
“แล้วถ้าสายพี่เป็นหมอ แบมไม่ชอบเหรอ”
“ยังไงก็ได้ ขอแค่มีประโยชน์ก็พอ”
ครั้งนี้เด็กหนุ่มหันมาสบสายตากับคนที่เดินข้างกันมาตลอด
นัยน์ตาคู่สวยเย็นเฉียบจ้องลึกเข้ามายังนัยน์ตาคมราวกับรับรู้ได้ว่าสายของเขาเป็นใครเพียงแต่ไม่พูดออกมา
...มีไม่กี่คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแล้วทั้งเขาและคนตรงหน้าเลือกจะไม่เอ่ยถึง...
แจบอมสูดลมหายใจลึกและผ่อนมันออกทีละน้อยขณะก้มมองไปยังพื้นทางเดินเลียบถนนที่อีกไม่กี่ช่วงตึกจะถึงร้านกาแฟที่อดีตภรรยาเป็นเจ้าของจึงเห็นเชือกผูกรองเท้าของอีกคนที่หลุดอยู่
เขาขยับจากยืนริมถนนมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนตัวเล็ก
ยิ้มให้กับการเลิกคิ้วเป็นเชิงถามของอีกฝ่ายก่อนจะก้มลงไปผูกเชือกรองเท้าให้
แบมแบมมองคนที่ง่วนอยู่กับการผูกเชือกรองเท้า
พลันภาพของเด็กหนุ่มผมทอง รอบหูทั้งสองข้างเต็มไปด้วยจิวและต่างหูจนแน่น
รอยสักตรงหลังคอที่โผล่เล็กน้อยจากคอเสื้อยืดดูเหมือนนักเลงกลับปรากฏขึ้นมาแทนคนตรงหน้าพร้อมกับเสียงจากความทรงจำในอดีตกลับลอยเข้าหู
...พี่บอกแล้วให้ผูกเชือกรองเท้าดีๆ เห็นไหม หกล้มจนได้...
...ก็แบมผูกแล้วมันไม่แน่นเหมือนพี่ผูกนี้...
...ไม่เห็นยากเลย ผูกแบบนี้ ทับกันสักสองรอบก็แน่นแล้ว...
...โหยก็ทำแบบนี้มันก็หลุดอ่ะ...
...ฝึกผูกบ่อยๆสิ ถ้าพี่ไม่อยู่ผูกให้จะทำยังไง...
...ก็ใส่รองเท้าไม่มีเชือกผูกสิ พอพี่มาก็ใส่รองเท้าที่มีเชือกผูกได้
ไม่เห็นยากเลย...
...โอโห ใจคอจะให้พี่ผูกไปตลอดชาติเลยเหรอ...
...ใช่ จะให้ผูกตลอดไปเลย ได้เปล่าอ่ะ...
...ถ้าแบมไม่ทิ้งพี่ไปไหน
พี่จะไม่แค่ผูกเชือกรองเท้านะแต่จะอยู่กับแบมตลอดไปเลย...
เด็กหนุ่มกระพริบตาถี่มองรอยยิ้มเหยียดกว้างอาบใบหน้าที่เงยมาหา...หัวใจภายในกระตุกแรงจากความอุ่นแต่ไม่อาจจะยิ้มตอบทั้งที่เวลานั้นเขาจำได้ดีว่าเขายิ้ม
แต่มาถึงตอนนี้การจะแย้มริมฝีปากเหมือนถูกเลือนไปจากสมอง
จำไม่ได้กระทั่งว่าการแย้มริมฝีปากเพื่อยิ้มด้วยความสุขนั้นเป็นอย่างไร
“ผูกเชือกรองเท้าแน่นๆหน่อยสิ เดี๋ยวก็ล้มหรอก” น้ำเสียงทุ้มอุ่นเอ่ยอ่อนโยน
คนตัวเล็กเพียงนิ่งมองก่อนที่เสียงจากสมาร์ทโฟนจะทำให้คนที่คุกเข่าข้างหนึ่งบนพื้นลุกขึ้นยืน
ชื่อและหมายเลขผู้ติดต่อบนหน้าจอสมาร์ทโฟนทำให้สีหน้าเจ้าของเครื่องเคร่งขรึม
นิ้วเรียวกดรับสายบนจออย่างรวดเร็วเพื่อรับฟังความต้องการของปลายสายและตอบรับสั้นๆ
อย่างสุภาพแล้ววางสายไป
ดวงตาที่มองมายังคนตัวเล็กที่ยืนรออยู่มีแววกังวลระคนหนักใจคล้ายว่าไม่อยากไปจากตรงนี้ทำให้คนที่มองดูอยู่เข้าใจเรื่องราวได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบาย
“พวกมันเรียกแล้วสินะ”
“ใช่”
“ก็ไปสิ”
“แต่พี่ยังไม่อยากไปเลย”
“ก็ถ้าไม่ไป แล้วเรื่องของพ่อล่ะ”
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากขณะมองความเย็นชาบนใบหน้านวลละมุนที่ซ่อนอยู่ใต้เงาของฮู้ดคลุมศีรษะ
ลำบากใจที่จะจากไปเพราะไม่อยากไปไหนไกลจากคนตรงหน้าแต่เพราะภาระหน้าที่ยังค้ำคอจึงจำต้องกลั้นเก็บเอาไว้
“อืม พี่รู้” เขาว่าพลางสาวเท้าเข้าไปใกล้
“พี่รู้ว่าหน้าที่ตัวเองคืออะไร แต่พี่อยากให้แบมรู้ด้วยว่า
พี่อยากอยู่กับแบมให้นานกว่านี้ อยากดูแลแบมมากกว่านี้ พี่ไม่อยู่ต้องดูแลตัวเองให้ดี
ต้องไปหาหมอและอย่าทำอะไรที่ทำให้ตัวเองเป็นอันตราย
ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นต้องส่งข้อความหาพี่ อย่าทำอะไรโดยพละการ เข้าใจใช่ไหมครับ”
เขาฝากคำด้วยห่วงใย มองเด็กหนุ่มพยักหน้ารับก็ตัดใจ
ส่งยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วขยับเดินกลับไป แต่เพราะแจ็กเก็ตถูกบางสิ่งรั้งเอาไว้จึงจำต้องหยุดหันไปหา
“อย่าทำให้ตัวเองมีแผลอีก อย่าเจ็บอีกนะ” เสียงเย็นแผ่วเบาฝากความห่วงใย
มือเล็กที่ขยุ้มบนชายเสื้อนั้นแทนทุกความรู้สึกที่ซ่อนไว้มิดเม้น
“พี่จะพยายาม” แจบอมตอบรับหนักแน่น
มือใหญ่ยกขึ้นลูบเบาบนศีรษะที่มีฮู้ดกั้น “พี่ไปนะ
ดูแลตัวเองด้วย”
คนตัวใหญ่กล่าวคำลาก้าวถอยหลังพลางโบกมือพร้อมรอยยิ้มให้อย่างเชื่องช้า
จากนั้นจึงเบือนหน้าหันหลังเดินกลับไปยังทางเก่าแล้วหยิบเอาดอกซ่อนกลิ่นในกระเป๋ามาสูดกลิ่นหอม
ไม่กล้าหันกลับไปหาคนที่ยังยืนอยู่ที่เก่าด้วยกลัวหัวใจจะไม่ยอมให้เขาทำสิ่งที่ควรทำเช่นสมองสั่ง
...ความรู้สึกของเขาไม่เคยสำคัญเท่าความรู้สึกของคนที่เขารัก
...ไม่ว่าแบมต้องการอะไร เขาจะให้ทั้งหมดที่ให้ได้
-------------------------------------------------------------
เสียงกระดิ่งหน้าประตูที่ดังขึ้นเรียกให้หญิงสาวที่ง่วงอยู่กับการตกแต่งกระดานดำที่เขียนเมนูอาหารเพื่อไปตั้งหน้าร้านเงยหน้ามาหาและเมื่อเห็นเด็กหนุ่มตัวผอมสวมฮู้ดคลุมศีรษะสะพายกระเป๋าหลังผลักประตูเข้ามา
หล่อนก็แทบถลาลุกจากเก้าอี้เดินไปหาปล่อยชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตรงข้ามกับหล่อนมาก่อนให้ชะเง้อมองตาม
“แบมมาแล้วเหรอ ทำไมมาคนเดียวล่ะ แล้วพี่ชายแบมไปไหน”
เจ้าของร้านถามไถ่ขณะสอดสายตามองหาคนที่ระยะหลังมักตามติดมาด้วยเสมอ
...ในความรู้สึกมันเหมือนมีสายใยบางอย่างที่ผูกโยงให้หล่อนยังคิดถึง
ห่วงใยอดีตสามีอยู่เสมอ...
“ไปทำงาน” คำตอบนั้นเรียบสั้น
“อ้าวเหรอ พี่นึกว่าจะอยู่นานกว่านี้ซะอีก
งั้นช่วงนี้แบมเก็บของย้ายมาอยู่กับพี่ก่อนไหม”
“ไม่เป็นไร...อยู่ได้”
“อยู่ได้ก็จริง แต่ใครจะทำกับข้าวให้กิน
แล้วถ้าป่วยขึ้นมาใครจะคอยดูแล มาอยู่กับพี่นี้แหละ พี่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงด้วย” ฮโยซองว่าพลางคล้องแขนผอมให้เดินเข้ามายังโต๊ะที่ตนเองนั่งอยู่
เมื่อเห็นสายตาของน้องที่จ้องคนที่นั่งอยู่ก่อนจึงเริ่มแนะนำ “อ้อ นี่ คนนี้ไงพนักงานที่พี่รับเข้ามาทำงาน ชื่อ ชเว ยองแจ
เขาจะมาช่วยเสิร์ฟแล้วก็ส่งอาหารให้ลูกค้าวันเสาร์อาทิตย์”
ชายหนุ่มเจ้าของผมสีเทาเข้มสวมเสื้อเชิ้ตดำทับด้วยแจ็กแก็ตยีนส์
รีบลุกจากเก้าอี้โค้งให้กับคนที่มาใหม่อย่างนอบน้อม
“ผม ชเว ยองแจ จะมาเป็นพนักงานใหม่ที่นี่
ขอฝากตัวด้วยนะครับ” เสียงนุ่มกังวานน่าฟังแนะนำตัวอย่างแข็งขัน
แม้ผู้ว่าจ้างจะบอกให้ทำตัวตามสบายแต่พอเห็นน้องชายเจ้าของร้านเข้ามาแม้จะเห็นหน้าไม่ชัดเพราะเงาของฮู้ดที่บังไว้แต่ก็อดไม่ได้ที่จะจริงจัง
“ยองแจจ๊ะ ไม่ต้องโค้งก็ได้ แบมน่ะเขาอายุน้อยกว่านะ”
หญิงสาวร้องบอกด้วยรอยยิ้มสดใส
ยองแจเหยียดหลังกลับมาตั้งตรงดังเก่าพลางมองคนตัวเล็กกว่าที่ยืนนิ่งไม่ยินดียินร้ายหรือเอ่ยคำทักทายกลับทำให้เขายกมือลูบแขนรู้สึกเหมือนคนตรงข้ามไม่ชอบหน้าตัวเองขึ้นมาเสียเฉยๆ
“นี่ แบมแบม น้องชายของพี่เอง”
ถึงไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแต่ความอาทรของอีกคนทำให้หญิงสาวเต็มใจจะแนะนำเช่นนั้นกับทุกคนที่เอ่ยถาม
“แล้วนี่แบมกินอะไรมาหรือยัง”
“กินแล้ว”
“วันนี้จะกลับดึกหรือเปล่า”
“ไม่”
“ถ้างั้นแวะมาหาพี่นะ พี่จะทำมื้อเย็นไว้รอ” คนพูดยังคงยิ้ม
“อาจจะมา”
คนตัวผอมตอบเท่านั้นก็เดินผ่านคนทั้งคู่เปิดประตูหายเข้าไปด้านหลังร้าน
ยองแจหันตามร่างที่หายลับสายตาไปแล้วหันกลับมายิ้มเจื่อนให้เจ้าของร้านที่แย้มยิ้มสดใส
“เรื่องเริ่มงาน วันเสาร์นี้มาได้เลยใช่ไหมจ๊ะ อ้าว
เป็นอะไรไป ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”
“ดูเหมือนคุณแบมแบมเขาจะไม่ค่อยชอบผมนะครับ”
“ไม่ใช่หรอกจ๊ะ แบมเขาเป็นอย่างนี้แหละ
เขาเป็นพวกเข้าสังคมไม่เก่ง โลกส่วนตัวสูงก็เลยไม่ชอบพูดจาอะไรกับใครหรือแสดงสีหน้าว่ารู้สึกยังไงเท่าไหร่
อีกอย่างเขาก็สอบผลัดชั้นจบมัธยมเร็วกว่าคนอื่นพอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ก็มีแต่คนที่โตกว่า
ก็เลยยิ่งเงียบเข้าไปใหญ่ แต่จริงๆ เขาใจดีมากนะ”
“เหรอครับ” คนฟังเอ่ยอย่างเกร็งๆ
ก่อนจะปิดปากเงียบแทบจะทันทีที่เห็นน้องชายเจ้าของร้านเดินกลับออกมา
“มีเรียนบ่าย ไปก่อนนะ” เด็กหนุ่มบอกลาโดยไม่แม้แต่จะโบกมือส่งสัญญาณ
เท้าเกือบจะก้าวออกไปแล้วถ้าไม่ถูกมือนุ่มคว้าแขนเอาไว้
“เดี๋ยวสิ...เอานี้ไปด้วย” ฮโยซองว่ารีบวิ่งกลับไปหลังเคาน์เตอร์หยิบถุงกระดาษมาส่งให้
“พี่อบเดนิสเพสตรี้เบคอนไว้ เอาไปกินรองท้องเวลาหิวนะ”
“อืม” คนอ่อนกว่าส่งเสียงในลำคอ
ยื่นมือเรียวผอมไปรับถุงกระดาษนั้นไว้
“เออ พี่ยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่า
ยองแจเขาเรียนมหาวิทยาลัยเคเหมือนแบม รู้สึกว่าจะเรียน เรียนอะไรนะยองแจ” หล่อนหันไปหาคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“อยู่ปีสาม นิเทศครับ”
“อ้อ นิเทศเหรอ นี่ แบม
ยองแจเขาก็มีเรียนบ่ายเหมือนกัน ทำไมไม่ไปมหาวิทยาลัยพร้อมกันเลยล่ะ”
“โอย จะดีเหรอครับ ผมว่าอย่าดีกว่า”
ชายหนุ่มยกมือทั้งสองโบกเป็นเชิงปฏิเสธไปมาเป็นพัลวันเพราะดูท่ารุ่นน้องร่วมมหาวิทยาลัยที่นิ่งงันคงไม่อยากไปพร้อมกัน
“ทำไมล่ะ ดีออกนะ ไปมหาวิทยาลัยคนเดียวมันเหงาออก
ไปด้วยกันจะได้เป็นเพื่อนกันไว้ไง แบมว่าโอเคไหม”
“ยังไงก็ได้”
ประโยคนั้นหลุดจากปากคนพูดน้อยพร้อมกับการสาวเท้าเดินออกจากร้านไปโดยมีคนตัวใหญ่กว่าหยิบกระเป๋าสะพายหลังเดินตามออกไปโดยไม่ลืมที่จะโค้งคำนับให้กับเจ้าของร้าน
เมื่อพ้นจากเขตร้าน
ความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจทำให้ยองแจหยุดยืนมองแผ่นหลังผอมบางที่สะพายกระเป๋าหนังใบใหญ่ที่ค่อยๆ
เดินห่างออกไปเรื่อยๆ
...ความที่เป็นคนสบายๆ และคนรอบข้างก็เป็นประเภทเฮฮา
พอต้องมาเจอกับคนเงียบที่เหมือนจะไม่ชอบหน้า เขาเลยรู้สึกลำบากหากต้องไปพร้อมกัน
“จะไม่ไปเหรอ” อยู่ๆ
คนตัวผอมก็เหลียวกลับมาถาม
ในระยะห่างกันสิบก้าวนั้นอีกฝ่ายเห็นฮู้ดที่คลุมนั้นเลื่อนจากศีรษะไปเล็กน้อยเป็นจังหวะเดียวกับที่แสงสาดลงมาเผยให้เห็นใบหน้านวลหวานทว่าอมโศกเศร้า
นัยน์ตากลมสวยที่มองมาไร้แววอารมณ์ราวกับตุ๊กตาพอร์ซเลนชั้นดีที่ง่ายต่อการแตกหัก
ยามได้เห็นหัวใจของเขากลับเปลี่ยวเหงาอย่างบอกไม่ถูก
“อ้อ ขอโทษที พอดีผมทำของตกนะ” ชายหนุ่มว่าแล้วรีบวิ่งตามไปยืนอยู่ข้างๆ
คนที่กำลังดึงฮู้ดลงมาปิดหน้ากันแสงอีกครั้ง โดยเลือกจะเป็นคนเดินอยู่ริมถนน
ระหว่างทางที่เดินไปด้วยกันไม่มีเสียงใดเกิดขึ้นระหว่างกันเลยจนกระทั่งตอนหยุดรอสัญญาณไฟข้ามถนน
“คุณแพ้แสงแดดเหรอครับ”
คำถามอย่างสุภาพดังขึ้นท่ามกลางผู้คนที่ทยอยมายืนรอข้ามถนน
พอเห็นอีกคนหันมาหาเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรจึงเอ่ยไปเก้อๆ ต่อ “ผมเห็นอากาศมันร้อนแต่คุณใส่เสื้อผ้าแขนยาวขายาวคลุมหน้าไปหมด
ก็เลยคิดว่าคุณแพ้แสง ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีนะครับ”
“แสง” คำสั้นนั้นหลุดจากปาก
“คือ ผมเคยมีญาติเป็นโรคผื่นแพ้แสง
เวลาเจอแดดตัวจะเป็นผื่นไปหมดเลย จะไปไหนมาไหนทั้งที่ร้อนก็ต้องทนใส่เสื้อกันแดด
จะไปทะเลก็ไม่ได้ ไอแดดกับไอทะเลยิ่งทำให้แสบ ก็...”
ริมฝีปากหนานั้นปิดสนิทแทบทันทีที่รู้สึกได้ว่าตนเองพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดและยิ่งเห็นคนตัวเล็กกว่าหันกลับไปมองถนนก็ลอบถอนหายใจ
“อืม...แพ้แสง”
ถ้อยคำสั้นนั้นทำให้คนที่ยืนข้างๆ
เบิกตาก่อนจะปลดสายกระเป๋าสะพายหลังข้างหนึ่งลงมาคุ้ยหาบางสิ่งในนั้นอยู่พักหนึ่งมือใหญ่หนาก็หยิบร่มพับออกมาปลดสายรัดแล้วกางมันยื่นออกไปหา
“ถ้าแพ้แสง ก็ควรกางร่มนะ
แดดตอนบ่ายมันอันตรายกว่าตอนเช้าอีก”
เงาของร่มที่พาดมาหาทำให้คนที่ซ่อนหน้าใต้ฮู้ดขยับศีรษะเหลือบยังใต้ร่มที่เป็นลายการ์ตูนก่อนปรายมองใบหน้ากลมมีเส้นคิ้วโค้งหนา
ใต้ดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนด้านขวามีไฝเม็ดเล็กเม็ดหนึ่งประดับอยู่
จมูกโด่งแต่งุ้มปลายกับริมฝีปากอิ่มหนาของคนอายุมากกว่าที่หากมองผ่านๆ
ดูธรรมดาแต่เมื่อยิ้มกว้างกลับมีเสน่ห์
สัญญาณไฟข้ามถนนจากสีแดงเปลี่ยนเป็นเขียว
คนข้างหน้าดันให้ทั้งสองรีบเดิน
เท้าของแบมแบมก้าวออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับที่ยองแจสาวเท้าคอยตามถือร่มให้
“ร่มโทโทโร่”
“อา...คุณรู้จักด้วยเหรอ ผมชอบเรื่องนี้มากเลยนะ
ชอบโทโทโร่ด้วย ตอนพี่ชายผมไปญี่ปุ่นก็เลยซื้อมาฝาก อ้อ คุณเคยดูหรือยัง
ถ้ายังไม่เคยดูผมมีแผ่นดีวีดีนะ ยืมผมไปดูได้นะ”
“ไม่ว่างดู”
“แต่มันสนุกจริงๆนะครับ ให้ผมเล่าเรื่องย่อให้ฟังไหม”
“อืม” คำตอบยังคงสั้น
แปลกที่ความรู้สึกอึดอัดในใจของคนฟังกลับคลายลงและริมฝีปากหนาก็ขยับเล่าเรื่องย่อของอนิเมชั่นที่ตนเองชอบให้ฟังไปพร้อมกับการกางร่มตลอดทาง
โดยไม่ทันรู้ตัวเขาก็พบว่าตัวเองเดินผ่านประตูมหาวิทยาลัยเข้ามาแล้ว
“ชเว ยองแจ เมื่อวานกล้าตัดสายฉันทิ้งเหรอ”เสียงแว้ดเรียกพร้อมกับลำแขนขาวที่พาดมาบนคอของหญิงสาวผมยาวสั้นแต่คนถูกกอดคอไม่ทันได้ตอบก็ถูกถามขึ้นมาอีก
“โอ๊ะ แล้วนี่ใครอ่ะ แฟนเหรอ ว้าย ยองแจ นายซุ่มนี่
แอบไปมีแฟนตอนไหนอ่ะ โอ๊ย เรื่องนี้ต้องถึงหูเพื่อนทั้งภาค”
ชายหนุ่มหันควับไปหาคนข้างๆ ไม่สบายใจกับคำพูดของเพื่อน
จึงได้เห็นว่าร่างบางยังคงย่างเท้าเดินต่อไปเรื่อยๆ จนพ้นเงาร่มไป
บางสิ่งผลักดันให้เลือกจะเดินตามแล้วคว้าเอาแขนผอมแนบกระดูกใต้เสื้อแขนยาวนั้นไว้
แบมแบมหยุดเท้าหันมาเหลือบมองมือที่จับบนแขนของตัวเองนิ่งงัน
ไม่มีกระทั่งเสียงหรือคำพูดใดจากริมฝีปากและเป็นคนจับเองที่รีบปล่อยมือ
“ผมแค่จะบอกคุณว่า ร่มคันนี้กันแสงยูวีนะ
ถ้าคุณได้พกร่มมา ยืมผมไปใช้ก่อน แล้วเสาร์อาทิตย์ค่อยเอามาคืนผม” เขาว่าพลางหุบร่มที่กางอยู่ยื่นมาให้
“ไม่ต้อง”
เสียงแหบหวานไร้ความรู้สึกเช่นทุกครั้งปฏิเสธ
แผ่นหลังบางเคลื่อนห่างจากสายตาไปทีละน้อย ชั่ววินาทีนั้นสายลมร้อนกลับพาดพัดกลีบดอกไม้สีขาวปลิดปลิวมาติดบนหลังมือ
กลิ่นหอมจางที่ลอยมาพร้อมกันนั้นคล้ายว่าจะมาจากกายของร่างบางที่กำลังจากไป
ยองแจหยิบกลีบดอกไม้นุ่มด้วยปลายนิ้วอย่างเบามือ
นัยน์ตาสีน้ำตาลทอดกลับไปหาเด็กหนุ่มอีกครา
ฝ่ามือยังมีรอยอุ่นของแขนผอมที่แทบไม่มีเนื้อหนัง
...เด็กคนนั้นดูเปราะบาง เช่นกระเบื้องแก้ว เฉกเดียวกับดอกไม้
และไม่รู้ทำไมในใจเขาจึงมีความรู้สึกอยากถนอมเอาไว้...
...เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอยากปกป้องใครสักคนเช่นนี้...
---------------------------------------------
รถยนต์สีดำคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดภายในชั้นบนสุดของอาคารจอดรถโรงพยาบาล
ประตูฝั่งคนขับเปิดออกมาพร้อมกับผู้ทำหน้าที่ขับรถก็รีบวิ่งลงมาเปิดประตูหลังให้ชายวัยกลางคนสวมสูทสีดำเรียบผู้เป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดของลีโกสก้าวลงมาจากรถโดยมีชายหนุ่มสวมสูทแบบเดียวกันตามหลัง
แจบอมกวาดตามองรอบอาคารจอดรถจนมาหยุดอยู่หน้าลิฟต์ตัวหนึ่งก็ถูกสั่งให้ปิดตาพร้อมกับผ้าผืนหนึ่งก็ถูกนำมาผูกปิดทับอย่างแน่นหนาเพื่อไม่ให้เขาจดจำเส้นทางไปสู่วอร์ดพิเศษ
ชายหนุ่มเดินตามคำสั่งและการดึงของหัวหน้าตนเอง
การฟังทำให้เขารู้ว่าตนเองถูกย้ายลิฟต์ถึงสามครั้ง
ผ่านเส้นทางที่ทอดยาวและเต็มไปด้วยทางเลี้ยวมากมายก่อนที่เสียงของชายราวสามหรือสี่คนจะโค้งและเอ่ยทักทายผู้ที่นำทางเขามาอย่างแข็งขัน
“ลืมตาได้”
คำสั่งนั้นเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มได้เห็นใบหน้าของขึงขังน่ากลัวของผู้นำทางและสำรวจวอร์ดคนไข้พิเศษภายในโรงพยาบาลที่คนภายนอกไม่รู้จักและน้อยคนนักที่จะได้เข้ามาถึงที่นี่
ก่อนหน้านี้เขาได้รับแจ้งจากสายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าแล้ว
เมื่อผู้นำทางแจ้งว่า รองประธานบริษัทของลีโกสถูกลอบทำร้ายและพักฟื้นอยู่ที่นี่
แม้จะรู้ว่าไม่จริงแต่ก็แสร้งทำไม่รู้
“ที่นี่คือวอร์ดพิเศษสำหรับรักษาคนสำคัญของลีโกส
ต่อจากนี้ไปอีกสามอาทิตย์คุณต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ในห้องที่ทางเราจัดหาไว้ให้
คุณจะออกไปข้างนอกไม่ได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ส่วนหน้าที่ของคุณที่นี่
คือการดูแลท่านรองประธานจนกว่าท่านจะหายเป็นปกติ และขอให้คุณจำไว้ว่า
คุณไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของท่านรอง แต่อยู่ใต้อำนาจของตัวแทนท่านประธาน
เพราะฉะนั้น ไม่มีใครจะไล่คุณออกนอกจากตัวแทนของท่านประธานจะออกคำสั่ง”
“ครับ”
“ผมให้คนนำกระเป๋าของคุณไปไว้ที่ห้องพักแล้ว
แต่อาวุธของคุณจะถูกเก็บเอาไว้จนกว่าท่านรองจะออกจากโรงพยาบาล
ส่วนเครื่องมือสื่อสารทั้งหมด หากจะใช้งานต้องผ่านความเห็นชอบจากผมก่อน
แล้วเดี๋ยวผมจะให้คนพาคุณไปห้องพักแล้วจะให้คุณไปพบกับท่านรอง”
ชายผู้นั้นเรียกพยาบาลให้เข้ามาพาเขาไปส่งยังห้องพักที่เป็นห้องสี่เหลี่ยมสีขาวไม่มีหน้าต่างแต่มีห้องน้ำในตัว
เตียงสีขาวขึงผ้าจนตึงตั้งอยู่กลางห้องปลายเตียงมีโต๊ะวางโทรทัศน์พลาสม่าเครื่องใหญ่
มุมหนึ่งของห้องจัดไว้สำหรับนั่งทำงานหรือกินข้าวดูราวกับห้องพักผู้ป่วย
สิ่งเดียวที่พอจะมีสีสันประดับห้องคือดอกกุหลาบสีแดงที่ปักในแจกันแก้วบนโต๊ะทำงาน
“ดิฉันวางกระเป๋าของท่านไว้ในตู้เสื้อผ้า
หากท่านตรวจสอบของเรียบร้อยแล้ว รบกวนตามดิฉันมาด้วยค่ะ”
พยาบาลวัยกลางคนบอก
เจ้าของห้องไม่มีเวลาสำรวจที่พักก็ต้องผละตามไปและหยุดยืนอยู่หน้าประตูเหล็กที่มีช่องเล็กๆ
อยู่ตรงกลางประตูซึ่งติดตั้งระบบการรักษาความปลอดภัยไว้แน่นหนา ต้องใช้คีย์การ์ด
ใส่รหัสและสแกนลายนิ้วมือจึงจะเปิดเข้าไปได้
“ทันทีที่ประตูบานนี้ปิดลง คุณจะเปิดประตูออกมาจากภายในไม่ได้
เมื่อคุณเข้าไปแล้วจะออกจากห้องไม่ได้จนกว่าพยาบาลจะให้วัดความดันและเช็กสภาพร่างกายของท่านรองครั้งสุดท้ายของวัน
ถ้าเมื่อไหร่ที่แพทย์หรือพยาบาลต้องเข้าไปในห้อง
คุณจะเห็นสัญญาไฟสีเขียวกระพริบอยู่ข้างกล้องวงจรปิด จะมีการปล่อยสารเพื่อให้ท่านรองหลับ
เราจะส่งหน้ากากให้คุณสวมผ่านช่องตรงประตู”
นางพยาบาลผู้นั้นแนะนำพร้อมผายมือเชิญเขาให้ดึงประตูเข้าไปข้างในห้อง
ชายหนุ่มเดินไปตามทางผ่านห้องน้ำ
ตู้เก็บเสื้อผ้าที่ทำเป็นช่องซ่อนตรงผนังและเคาน์เตอร์อ่างล้างจานจนมาหยุดยืนอยู่ภายในส่วนพักฟื้นที่มีขนาดกว้างขวาง
หากเครื่องเรือนในนั้นมีเพียงเตียงนอนขนาดใหญ่กับกองหนังสือหล่นเกลื่อนอยู่บนพื้นข้างเตียงบนขอบหน้าต่างบานใหญ่กั้นแสงผ่านนอกด้วยมู่ลี่มีพื้นที่พอให้นั่งได้มีร่างโปร่งสวมชุดผู้ป่วย
แขนข้างหนึ่งใส่เฝือกอ่อนนั่งอยู่ตรงนั้น
แม้จะยืนห่างกันระยะหลายเมตรและได้เห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้าง
หากไม่อาจปิดบังรูปโฉมปานรูปสลักนั้นได้
ผู้ต้องรับหน้าที่บอดี้การ์ดสูดลมหายใจเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับรองประธานบริษัท
ลีโกส คอร์เปเรชั่น ตัวจริงในระยะใกล้ขนาดนี้
“สวัสดีครับท่าน ผมชื่อ อิม แจบอม...ผมจะมาเป็นบอดี้การ์ดของท่านนับตั้งแต่วันนี้ไป
ฝากตัวด้วยนะครับ”
ประโยคแนะนำตัวพลางโค้งคำนับเก้าสิบองศาทำให้คนที่นั่งชันเข่าข้างหนึ่งหันมาหา
นัยน์ตาสีเปลือกไม้คมดุจเหยี่ยวไล่มองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของคนตรงหน้าเงียบเชียบ
“ถ้าไม่อยากถูกป่นกระดูก ไสหัวออกไป”เสียงต่ำลึกเอ่ยอย่างเย็นชา
“ผมถูกสั่งมาให้ดูแลท่าน เรื่องจะให้ผมออกไป
คงจะเป็นไปไม่ได้” คนตัวใหญ่กว่าตอบพลางขยับเดินเข้าไปใกล้
“ก็ได้” อีกคนว่า “กูไล่มึงออก”
“ท่านไล่ผมออกไม่ได้ครับ...เพราะนายจ้างผมไม่ใช่ท่าน”
“อ๋อ...มึงนี้เองขี้ข้าที่หมอนั่นส่งมาจับผิดกู
แต่กูบอกไว้ก่อนเลยนะว่า กูไม่ต้องการบอดี้การ์ดหรือห่าเหวอะไรทั้งนั้น
และถ้ายังรักชีวิตอยู่ มึงควรไสหัวออกไปได้”
“ผมขอเรียนท่านอีกครั้งว่า ผมมีหน้าที่ดูแลท่าน
ถ้าท่านต้องการอะไรผมจะทำให้ แต่เรื่องไล่ออกหรือให้ผมออกไปนั้น
ผมคงจะทำให้ท่านไม่ได้” สิ้นคำบางสิ่งถูกปาเข้าใส่
หากอีกฝ่ายที่เดินเข้ามาใกล้เบี่ยงศีรษะหลบทัน
ส้อมคันนั้นจึงแล่นไปปักบนผนังด้านหลัง
“อย่ายุ่งกับกู” ริมฝีปากรูปกระจับเน้นหนักทีละคำ
ต่างฝ่ายต่างมองหน้าดูเชิงกันอยู่ในที
และเป็นคนเจ็บเองที่ฉวยโอกาสยกขาสะบัดเข้าใส่เล็งเป้าหมายที่ก้านคอ
แต่คนตั้งรับอยู่ก็ไวพอจะโน้มตัวหลบทำให้ศอกของคนตัวบางยกกระแทกเข้าใต้คางอย่างแรงพร้อมกับเคลื่อนมือข้างหนึ่งตามไปขย้ำบนลำคอใหญ่
เล็บที่เริ่มยาวจิกลงบนเส้นเลือด
ดวงตาคมวาวจ้องเขม็งไร้ความปราณีดุจนักฆ่าที่สังหารคนมาแล้วโชกโชน
...คงเป็นแววตาเดียวกับที่ใช้ตอนเหนี่ยวไกใส่คุณลุง...
ผู้เป็นเหยื่อกระพริบตาแล้วยกแขนขึ้นสูงรวดเร็วบังคอ
ฝ่ามือเรียวใหญ่ตะปบบนศีรษะของอีกฝ่ายแล้วเลื่อนลงมาจับที่ท้ายทอย
มืออีกข้างจับคอทั้งดึงทั้งดันผลักให้คนเจ็บล้มลงกับพื้น
แขนข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกถูกล็อกไว้ระหว่างช่องว่างของแขนและขาที่ตั้งฉากของคนตัวใหญ่ที่เบี่ยงตัวไปอยู่ด้านข้างกันไม่ให้ท้องของตัวเองตกเป็นเป้าโจมตี
“ผมไม่อยากทำร้ายท่าน” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างสุภาพ
“ถ้าคนที่ส่งมึงมาคิดว่ากูเป็นคนจัดฉากเรื่องนี้
ทำไมไม่ยิงกบาลกูไปเลย จะเอามึงจับผิดกูทำไม ทุกวันนี้กูก็เหมือนติดคุกอยู่ในโรงพยาบาลห่านี้อยู่แล้ว” มาร์คขบกรามแทบคำรามออกมาจากคอทำให้คนมองเลิกคิ้ว
...เขาเคยได้ยินกิตติศัพท์ความเลือดเย็นไร้อารมณ์ความรู้สึกของคนตรงหน้ามามาก
แปลกที่การได้พบตัวจริงดูเหมือน รองประธานมาร์ค ต้วนจะเลือดร้อน ฟิวส์ขาดง่ายกว่าที่คิด
“ผมจะไม่อ้อมค้อมนะ”
บอดี้การ์ดหนุ่มพูดแล้วเงียบไปครู่จึงต่อ “ผมได้ยินมาท่านเป็นหนึ่งเรื่องการต่อสู้มือเปล่า
แต่ท่านกลับถูกผมแก้เกมเอาง่ายๆ
อย่างนี้ท่านยังสังวรไม่ได้อีกเหรอว่าสภาพตัวเองตอนนี้มันใช้การไม่ได้ และการที่ท่านอาละวาดตีโพยตีพายว่าถูกปรักปรำในเรื่องอะไรก็ตามที่ผมเองก็ไม่ทราบจากตัวแทนท่านประธาน
ผมคิดว่าท่านควรเอาเวลาทำตัวเป็นคนไข้ที่ดี รีบๆหาย
จะได้ออกจากโรงพยาบาลไปหาหลักฐานแก้ต่างให้ตัวเอง”
ถ้อยความยาวแทบไม่หายใจนั้นทำให้ร่างที่นอนแผ่อยู่บนพื้นและหอบหายใจด้วยแรงอารมณ์เริ่มนิ่งคล้ายฉุกคิด
แจบอมค่อยปล่อยแขนของรองประธานวางบนพื้นและลุกขึ้นยืนแต่ยังคงก้มมองร่างบนพื้นแทบไม่กะพริบด้วยกลัวจะเจอลูกเล่น...คนเลวที่เขาเคยจับสารพิษผิด
เผลอเพียงนิดก็อาจตายได้
“ผมไม่ทราบว่าทำไมท่านเกลียดที่นี่นัก แต่ท่านเป็นคนฉลาด
ท่านต้องรู้ว่าการใช้อารมณ์ไม่มีผลดีอะไร ยิ่งท่านออกแรงมากเท่าไหร่
ร่างกายท่านยิ่งแย่ ท่านจะพ่ายแพ้ไปโดยไม่ทันได้ทำอะไรเลย”
มาร์คเหลือบมองใบหน้าคมคายของฝ่ายตรงข้าม...ไม่ใช่เรื่องปกติที่คนอย่างเขาจะคุมตัวเองไม่ได้
แต่ความแค้นที่ผู้มีพระคุณอาการยังเป็นตายเท่ากัน ตัวเองก็เสียท่าถูกยิงเอาง่ายๆ
แล้วยังต้องระแวงว่าชายที่เป็นตัวแทนของพ่อเลี้ยงอาจยัดเยียดข้อหาให้อย่างไม่เป็นธรรมทำให้เขาเกิดคลั่งขึ้นมา
ชายหนุ่มกัดฟันใช้ศอกข้างที่ไม่บาดเจ็บยันกายลุกขึ้นนั่งและพยายามลุกจากพื้นด้วยตนเองแต่ขาอีกข้างยังไม่มีเรี่ยวแรงมาก
เมื่อมือของอีกคนยื่นมาหมายจะจับพอสลัดออกก็ร่วงลงไปกองกับพื้นพร้อมกับสบถเสียงดัง
...ในชีวิตไม่เคยสมเพชตัวเองเท่านี้...
“ขออนุญาตนะครับ” อยู่ๆ
เสียงจากเจ้าของร่างสูงใหญ่ก็ดังข้างหู
ทันใดนั้นแขนแข็งแกร่งก็สอดมาใต้ร่างอุ้มคนเจ็บลอยสูงจากพื้นอย่างง่ายดายราวกับคนตัวบางเป็นปุยนุ่น
แม้จะรู้สึกหงุดหงิดแต่คำที่ถูกพ่นใส่มาก่อนหน้าทำให้คนถูกอุ้มข่มใจปล่อยให้คนตัวใหญ่พามาส่งถึงเตียง
“ท่านควรพักผ่อน...พักฟื้นร่างกายให้หายดี
ถ้าท่านต้องการอะไร ผมจะอยู่ตรงนี้ ท่านเรียกใช้ได้ทุกเมื่อ”
สิ้นคำบอดี้การ์ดหนุ่มก็หันหลังเดินไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะเหล็กตัวยาวพลางเอื้อมมือไปบีบพนักเก้าอี้เก้าที่วางอยู่ใกล้ๆ
เต็มแรงจนเหล็กนั้นจมลงเป็นรูปทรงของนิ้ว หากนี่เป็นเก้าอี้ไม้คงจะแหลกคามือ
ความเกลียดชังต่อฆาตกรที่พรากผลาญชีวิตของคนที่รักแล่นมาจุกคอ
ทว่าแจบอมก็ทำได้เพียงกัดฟันแน่นและใช้เก้าอี้เป็นเครื่องมือในการระบายอารมณ์
...ถ้าไม่ใช่เพราะต้องสืบคดีสาวไปถึงตัวการใหญ่และถ้าเขาไม่จำเป็นต้องสนใจสถานะตำรวจ
เมื่อกี้มันต้องจบที่เลือดในสมองของสารเลวนี้อาบรดพื้น...
0 Comments