Thorn Flower : CHAPTER NINE
06:02สัมผัสเย็นชื้นจากบางสิ่งที่มาพร้อมกับกลิ่นหอมละม้ายกลิ่นดอกไม้ที่เคยคุ้นปลุกคนที่หลับสนิทบนเตียงให้รู้สึกตัวตื่น แพขนตาหนาบนเปลือกตาเริ่มขยับลืมขึ้นช้าๆ แสงแดดอ่อนยามเช้าจากนอกหน้าต่างลอดผ่านม่านทำให้ใบหน้าของคนที่อยู่ตรงหน้าพราวพร่า หากในนาทีนั้นเหมือนกับเขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่จากกันไปไกลแสนไกลกลับมาอยู่ตรงหน้า
แบมแบมกระพริบตาขึ้นลงเฉื่อยชา ผู้หญิงที่คิดถึงหายไปเหลือเพียงผู้ชายตัวใหญ่สวมเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนถึงศอกสอดอยู่ใต้กางเกงสแล็คสีดำคาดเข็มขัดหนังสีน้ำตาลกำลังบิดน้ำออกจากผ้าลงในอ่างเล็กที่ตั้งบนโต๊ะข้างเตียง
การตื่นขึ้นมาด้วยอาการเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แม้แต่ตอนที่แจบอมอยู่บ้านด้วยกันเขาก็ทรมานกับมัน เพียงแต่เขาไม่เคยบอกใครและคนที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดก็ยังไม่รู้
ถ้าไม่จำเป็นแจบอมจะไม่เข้ามายุ่มย่ามในห้องนอน แม้แต่ตอนเช้าที่มาปลุกก็เพียงเคาะประตูและตะโกนเรียก เขาได้สิทธิ์ในการอยู่ในห้องนอนของตัวเองเพียงลำพัง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทรมานกับอาการเช่นนี้ หากทุกครั้งที่เริ่มมีอาการเขามักจะนอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มรอจนมันดีขึ้นและซ่อนมันไว้ในความเรียบเฉย
...เขาปกปิดอาการป่วยจากผู้ชายที่แบกเขาเป็นภาระทั้งชีวิตเพื่อมาให้คนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้อะไรเลยนอกจากชื่อเห็นความน่าสมเพชนี้...
“ดีขึ้นไหม” ” เสียงแหบต่ำถามขณะที่มือใหญ่ยังคงใช้ผ้าหมาดน้ำเช็ดไปตามดวงหน้าให้อย่างอ่อนโยน
อีกฝ่ายยินทุกคำชัดแต่ไม่ตอบ มือผอมพยายามดึงผ้าเพื่อซ่อนตัวเองให้พ้นแต่เปล่าประโยชน์เมื่ออาการปวดหัวแล่นแปลบเข้ามาพร้อมกับอาการปวดท้องกระแทกจนทรมานจึงได้แต่นอนหลับตานิ่ง
“ผมเห็นยาของคุณ...คุณควรไปหาหมอมากกว่าซื้อยากินเอง สภาพอย่างคุณมันไม่ใช่แค่โรคกระเพาะกับโลหิตจางหรอก” คนตัวใหญ่พูดขณะบิดผ้าชุ่มน้ำอุ่นจนหมาดแล้วนำมาเช็ดหน้าคนบนเตียงอีก “คุณดูแย่กว่าเมื่อคืนอีก เดี๋ยวผมจะโทรตามหมอมาดูอาการคุณที่นี่แล้วกัน”
คำว่า หมอ นั้นทำให้คนผอมเปิดตาขึ้นปรายมอง ริมฝีปากอิ่มพยายามขยับเปล่งเสียงระโหยอ่อนออกมาทีละคำ
“ไม่...”
“ทำไม”
“ผม...แค่...ต้อง...นอน”
“คุณก็นอนพักแล้ว ไม่เห็นจะดีขึ้นเลย”
“แค่...นอน...หาย” คนป่วยหลุดครางออกมาทีคำอย่างยากลำบากพยายามขยับจะค้านสำทับแต่มือไม่ยอมทำตามคำสั่ง
แจ็คสันจ้องคนตัวผอมที่นอนตะแคงใต้ผ้าห่มแทบไม่ไหวติง หากไร้เสียงลมหายใจเข้าออกเบาแผ่วนั้นก็ไม่ต่างกับตุ๊กตา ดวงหน้าด้านข้างนั้นขาวเซียวไร้สีเลือดขณะที่ดวงตาอ่อนล้าเกินกว่าจะลืมขึ้นมองสิ่งใดมีเพียงหน้าผากที่ยับย่นเตือนให้รู้ถึงความเจ็บที่เล่นงานอยู่ภายใน
นาทีนั้นเขาหยุดถามแล้วเดินออกไปข้างนอก คนป่วยนอนฟังเสียงอยู่บนเตียงลำพังไม่ถึงห้านาที เจ้าของเพนท์เฮ้าส์ก็กลับมาพร้อมถุงร้อนกับน้ำเกลือแร่สีส้มขวดใหญ่ ก่อนที่มือใหญ่จะหยิบถุงร้อนสอดเข้าไปใต้ผ้าห่มวางบนหน้าท้องผอมที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อยืดตัวโคร่งพลางกดไว้
“ปวดมากไหม” เขาถามอีกครา...คนเจ็บยังคงนอนแต่รับรู้ได้ถึงความอุ่นที่แทรกเข้ามาบนความเย็นของถุงร้อนบนหน้าท้อง เหลือบมองใบหน้าหล่อคมคายที่มีร่องริ้วจากการขมวดคิ้ว ความห่วงใยเผยออกมาให้เห็นเด่นชัด
“กดถุงร้อนไว้ที่ท้องเองไหวไหม”
“อืม” คนตัวผอมลากเสียงในคอ ค่อยๆขยับมือไต่ไปแต่ถูกมือของอีกคนคว้ามาวางบนท้องให้จากนั้นก็สอดมือไปใต้ลำคอเพื่อยกร่างนั้นให้สูงจากเตียงเล็กน้อยแล้วรองไว้ด้วยหมอน
“ดื่มนี้ได้ไหม สักจิบก็ยังดี” น้ำเกลือแร่ขวดใหญ่มีหลอดยาวเสียบไว้ถูกยื่นมาใกล้ริมฝีปาก เด็กหนุ่มเผยอปากยอมดูดน้ำจากหลอดแต่ก็จิบได้ไม่กี่คำก็นิ่วหน้าจนคนป้อนน้ำจับหลอดถอยออกมาปล่อยให้คนไร้แรงนอนซบกับหมอนพักเช่นเดิม
ชายหนุ่มไล้มองสภาพคนผอมบางเตียงอีกคราพลางถอนใจ...ปกติก็ดูบอบบางเหมือนตุ๊กตากระเบื้องอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้ดูเหมือนจะมีรอยตำหนิร้าวลึกซ่อนอยู่
“หายใจลึกๆ” เสียงแหบต่ำมีแววนุ่มกว่าทุกครา มือใหญ่เอื้อมไปลูบเบาบนเส้นเลือดที่ปูดโปนตรงขมับ
...เมื่อวานเขากลับมาเห็นเด็กคนนี้สลบกลางเพนท์เฮ้าส์ สภาพนั้นแย่ไม่ต่างกับคนป่วยหนัก มีหลายครั้งระหว่างที่เฝ้าดูเขาได้ยินเสียงละเมอเรียกหาใครหลายคนในภาษาที่เขาเคยได้ยินแต่ไม่เข้าใจความหมาย
แบมแบมรับรู้ถึงปลายนิ้วที่สัมผัสขมับและเกลี่ยปอยผมนุ่มที่ตกลงมาระหน้าแผ่วเบา เปลือกตาขยับลืมทีละน้อยยังใบหน้าหล่อคม ยามนั้นเขาได้เห็นนัยน์ตาคมกริบดุจเหยี่ยวอันเรียบเย็นเป็นอาจิณกลับอ่อนโยนจนหัวใจด้านชาสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนที่แผ่ซ่าน กลิ่นน้ำหอมที่โชยจากข้อมือมาแตะจมูกนั้นละม้ายคล้ายกลิ่นกายของผู้หญิงคนหนึ่งที่ตรึงแนบในความทรงจำ
ร่างผอมบนเตียงนอนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจอาการปวดก็ทุเลา ทันทีที่เรี่ยวแรงคืนกลับศีรษะก็เบี่ยงหลบการสัมผัส เจ้าของมือจึงชักมือกลับพลางหัวเราะเบาในลำคอ...มีแรงก็ออกฤทธิ์ออกเดชเลย..
“ท่าทางจะดีขึ้นแล้ว ก็ดี จะได้พาไปโรงพยาบาลง่ายขึ้น”
“ผมไม่ไป”
“คราวก่อนก็พูดอย่างนี้ ทำไม คุณกลัวอะไร หมอ หรือ คำวินิจฉัยของหมอ”
“คุณสิ กลัวผมตายหรือไงถึงเอาแต่ถาม ไม่ต้องห่วง ผมไม่ยอมตายตอนนี้หรอก โดยเฉพาะมาตายในบ้านคุณ ผมไม่ยอมแน่ๆ”
“แต่อย่าลืมนะ เมื่อวานคุณเป็นลมกลางบ้านผม”
“ถ้ากินยาทันก็ไม่เป็น”
“ทำไมไม่พกยาติดตัว หรือมัวแต่ฉีดยาพิษใส่ขวดน้ำในตู้เย็นผมอยู่เลยไม่ทันได้กิน” สิ้นคำคนฟังถึงกับตากระตุกแทบจะกดตัวเองลงกับเตียงทันทีที่อีกฝ่ายชะโงกหน้าลงมาใกล้ “บ้านผมมีกล้องวงจรปิดซ่อนอยู่นะคุณ ที่ซ่อนกล้องน่ะก็มีแต่ผมคนเดียวที่รู้ว่ามันติดอยู่ตรงไหนบ้าง วันหลังจะวางยากันก็ดูให้ดีซะก่อน จะมาฉีดยาใส่ขวดน้ำกันโต้งๆ แบบนั้น ผมไม่โง่กินเข้าไปให้ตายสมใจคุณหรอก”
...เด็กหนุ่มลอบกลืนน้ำลายแสร้งทำไม่รู้สึกรู้สาทั้งที่ชาไปทั้งหน้า...ผู้ชายคนนี้รอบจัดเป็นบ้า...
“แล้วเมื่อวานนี้ผมบอกให้คุณกินโจ๊กเป๋าฮื้อ คุณก็ไม่กิน ถ้าไม่อยากมาตายในบ้านผมจริงๆ ทำไมไม่ทำอะไรให้ตัวเองแข็งแรงขึ้น” คนตัวใหญ่ว่าผละห่างออกไปยืนกอดอก “รู้ไหมโจ๊กเป๋าฮื้อมันดีกับสุขภาพแถมแพงด้วยนะคุณ ของดีขนาดนี้ยังดื้อไม่กินอีก”
“ผมไม่ได้ขอให้คุณซื้อมา”
“ถ้าไม่อยากกินของที่ผมสั่ง ก็คิดรายการอาหารที่อยากกินมาสิ”
“ผมไม่ใช่ขอทาน ถ้าอยากกินอะไรผมจะซื้อเอง”
“ซื้อเองก็ไม่กิน...พี่สาวคุณบอกผม ที่คุณผอมเพราะคุณไม่ชอบอาหารเกาหลีเลยไม่ค่อยกินข้าว แต่ผมดูแล้ว ไม่ใช่หรอก คุณน่าจะเป็นโรคเบื่ออาหาร”
“ถ้าไม่อยากตาย อย่ายุ่งกับเธอ” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแข็งดันตัวเองจากที่นอนขึ้นมานั่งพิงหมอน แววตาที่มองเย็นเยียบราวกับจะเอาให้ถึงตาย แต่ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะออกมาอีก
“จะฆ่ากันมันไม่ง่ายนะคุณ ผมตายยาก โดนทั้งยิงทั้งแทงยังไม่ตายเลย”
“เป็นผู้ร้ายหรือไงถึงโดนทั้งยิงทั้งแทง”
“ก็ไม่เชิง...แล้วคุณล่ะเป็นคนร้ายหรือคนดี”
“มันเรื่องของผม...ทำไมคุณไม่ยุ่งแต่เรื่องของตัวเอง”
“จะไปยุ่งเรื่องตัวเองอยู่เหมือนกัน” เขายักไหล่พลางเดินไปหยิบถุงกระดาษบนโต๊ะเขียนหนังสือวางลงบนเตียง “ผมมีงานต้องทำ ถ้าดีขึ้นแล้วผมไม่เฝ้าไข้นะ อ้อ แล้วผมซื้อขนมปังกับอุ่นโจ๊กเมื่อวานไว้ให้ หิวก็กินแล้วกินยาตามด้วย แต่ถ้ารู้สึกปวดท้องขึ้นมา บนโต๊ะมีกระติกเก็บความร้อน แก้วกับชาคาโมมายล์อยู่บนโต๊ะ ชงชาร้อนๆดื่มซำแต่ถ้าไม่ไหวตรงพื้นข้างเตียงมีน้ำเกลือแร่กับน้ำเปล่าจิบได้” เขาบอกพลางหยิบขวดน้ำเปล่าแกะพลาสติกและเปิดฝาแล้ววางกลับดังเก่า คนบนเตียงได้ยินแต่เลือกจะเงียบ
“แล้วก็วันนี้คุณมีเรียนตอนบ่ายใช่ไหม ไม่ต้องไปแล้วนะ ผมโทรไปบอกอาจารย์เคมีของคุณให้แล้วว่า คุณไม่สบาย”
“นี่คุณ” คนผอมหลุดปากพลางเขม่นมองทันทีที่รู้ว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายตรวจสอบตารางเรียน
“ผมไม่ได้อยากจะสืบหรอก
แต่บางอย่างก็ควรรู้ไว้ เดี๋ยวกะเวลาไปรับไปส่งไม่ถูก”
“ยุ่ง...คนอย่างคุณ ไม่ได้ตายดีหรอก”
“อยากแช่งผมก็เอาเถอะคุณ ได้ยินเสียงคุณแช่งยังดีกว่าเห็นคุณทำหน้าง้ำเป็นปากแร้งเยอะเลย โอ๊ะ สายล่ะ ผมไปนะ ถ้ามีอะไรโทรหาผมได้ ผมเมมเบอร์ไว้ในเครื่องคุณให้แล้ว”
เด็กหนุ่มขบกรามแน่นจ้องผ้าห่มที่คลุมอยู่ครึ่งตัวไว้เขม็ง...เลวจริง ถือวิสาสะอะไรมายุ่ง
“จะไปตายที่ไหนก็รีบไปเลย” เด็กหนุ่มเอ่ยลอดไรฟันจ้องผ้าห่มที่คลุมอยู่ครึ่งตัวไว้เขม็ง
“ครับ...ผมไปล่ะ” เสียงลากยาวตอบรับ แผ่นหลังกว้างขยับกรายใกล้บานประตู หากสักพักก็เหลียวมาหาคนบนเตียงอีกครั้ง “วันนี้คุณพูดเยอะดีนะ ถึงจะด่าจะแช่งกันไปเกินครึ่งแต่ก็ดีกว่าเห็นคุณปิดปากหน้าง้ำเป็นนกเงือกล่ะนะ”
ประโยคนั้นทำให้คนผอมสะดุดหันไปมองจึงได้เห็นริมฝีปากของคนตอบเหยียดกว้างเป็นรอยยิ้มจริงมิใช่รอยหยันเหมือนครั้งก่อน ดวงตาคมพราวระยับคล้ายสนุกที่ได้ต่อคำ เท่านั้นแหละคนได้ยินถึงกับเม้มปากเบือนหน้าไปอีกทางโดยพลันพร้อมกับเสียงประตูที่ปิดลง
...นอกจากความโกรธแค้นในใจต่อคนเลวพวกนั้น เขาก็จำไม่ได้แล้วว่าอาการหงุดหงิดใจเกิดขึ้นกับเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่ผู้ชายคนนี้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด...
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกข่มความรู้สึกไว้ใต้ความเรียบเย็น ดวงหน้านวลเซียวหันไปมองโต๊ะข้างเตียง ท่ามกลางของกินที่วางเรียงกันมีดอกซ่อนกลิ่นตัดใหม่ช่อหนึ่งแช่อยู่ในแก้วน้ำ มือผอมยื่นออกไปสัมผัสกลีบดอกไม้สีขาวนุ่มแผ่วเบาก่อนหยิบเอากระดาษโน้ตที่มีลายมือหวัดๆเขียนด้วยปากกาสีดำ
ผมไม่ใช่หน่วยกู้ชีพจะให้มาดูแลตลอดไม่ได้ ถ้าคุณไม่ยอมกินข้าวแล้วเป็นลมอีก ผมจะจับคุณไปโรงพยาบาล
“ประสาท” คำนั้นหลุดจากปากพร้อมกับกระดาษที่ถูกมือผอมขยำปาไปบนพื้นก่อนจะหันกลับไปที่ชามโจ๊กเป๋าฮื้อที่ยังกรุ่นร้อนหลายนาที สุดท้ายร่างผอมก็ปัดผ้าที่คลุมตัวไปอีกทาง หันตัวและขามาตรงหน้าโต๊ะข้างเตียงและตักโจ๊กเข้าปากอย่างเลี่ยงไม่ได้
...จะทนอยู่กับผู้ชายคนนี้ไปได้สักกี่วันกัน...
-------------------------------------------
ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งในฮงแดช่วงสายของวันเงียบเหงามีลูกค้าบางตา ภายในห้องที่จัดเป็นส่วนตัวสำหรับลูกค้าวีไอพีและลูกค้าที่ไม่ต้องการความวุ่นวายมีชายหนุ่มสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน โดยสำรับอาหารบนโต๊ะนั้นพร่องไปจนเกือบหมดแล้ว
“เมื่อวานทางเราบุกจับสถานบันเทิงที่นายส่งเรื่องมาว่าเป็นแหล่งฟอกเงินลับๆ ของลีโกส”
“ได้เรื่องไหมครับ”
“เจอแค่ว่าเจ้าของร้านมันค้ายา มันบอกว่ากู้เงินนอกระบบมาใช้หมุนในร้านกับซื้อยามาขายแต่ไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าลีโกสเป็นคนปล่อยกู้เลย น่าเสียดายทั้งที่นายส่งรูปตอนพวกนั้นตามเก็บดอกเบี้ยได้แล้วแท้ๆ แต่กลับไม่เจออะไรเลย” ชายผู้นั้นหยุดสูดหายใจแล้วจึงต่อ “แล้วเรื่องคิม ยูจองเป็นอัมพาต นี่ยังไง”
“ก็อย่างที่รายงานกับหัวหน้า...รู้สึกตัว ลืมตาได้ แต่ขยับตัวไม่ได้ พูดไม่ได้”
“อาการหนักขนาดนั้นเลย มิน่า ช่วงนี้สายของเรารายงานมาว่า พวกมือปืนรับจ้างนอกสังกัดลีโกสถูกล่าตัวหนักกวาดไปได้ก็หลายคน เห็นว่าพวกอริถูกถล่มไปก็เยอะ คนในบางคนที่เหมือนจะมีส่วนให้เกิดเรื่องก็ถูกลากไปเหมือนกัน ส่วนลูกชายของตาเฒ่าจงอุคที่ม่องไปนั้นก็หายสาบสูญ”
“ฉันไม่เห็นได้ยินเรื่องนี้”
“ก็นายถูกตัดขาดจากโลกภายนอกเพราะไปเป็นบอดี้การให้ลูกบุญธรรมของคิม ยูจองอยู่ไม่ใช่หรือไง...รู้ไหม ดูเหมือนวันที่เกิดเรื่อง พวกมันเก็บปลอกกระสุนในที่เกิดเหตุไป คงไปวิเคราะห์หาจนรู้ว่าเป็นมืออาชีพเลยออกล่าหนักขนาดนี้ พวกมันคงกะเจอตัวแล้วทรมานจนตายแล้วทำลายศพเหมือนเคย”
แจบอมฟังคำของเพื่อนรวมปฏิบัติการเดียวกันพลางสูดลมหายใจ คิ้วแทบขมวดเข้าหากันในวินาทีที่คิดถึงปืนสไนเปอร์ไรเฟิลที่ซ่อนอยู่ในรถ...เขายังไม่มีเวลาตรวจเขม่ารอบปากกระบอกปืนเลยได้แต่ภาวนาแทบทุกวันหวังว่ามันจะไม่ใช่กระบอกเดียวกับที่ลอบยิงนายใหญ่แห่งลีโกส
“แต่มันแปลกนะ”
“แปลกยังไง”
“ในความรู้สึกมันไม่เหมือนการล่าหาตัวมือสังหาร ไอ้เรื่องเอาผิดกับคนในมันก็ไม่แปลกอะไรหรอก แต่ไม่รู้สิ ฉันว่ามันเหมือนกำลังหาเรื่องล้างบางคนที่ขัดผลประโยชน์ตัวเอง”
“ถ้าแค่จะล้างบาง คงไม่จำเป็นต้องให้นายใหญ่ของตัวเองพิการหรอก”
“ก็นั่นน่ะสิ แต่เรื่องนี้มันติดในใจฉันน่ะ แล้วนี่นายถูกปลดจากการเป็นบอดี้การ์ดของมาร์ค ต้วนแล้วเหรอ”
“ใช่” เขาตอบแล้วคิดถึงใบหน้าเหี้ยมเย็นของรองประธานลีโกสหลังกลับเข้ามาในห้องพักฟื้น
‘หมอนั่นให้ฉันตัดสินใจว่าจะเอายังไงกับนาย ฉันยอมรับว่านายเป็นคนดูแลที่พอใช้ได้แต่คงไม่ใช่การเป็นบอดี้การ์ดของฉัน และนายก็เป็นคนของหมอนั่น ฉันไม่ไว้ใจนาย เมื่อหมดเวลานายไสหัวกลับไปหานายคนเก่าได้แล้ว’
“เพราะอะไร”
“เขาไม่ไว้ใจฉัน” เขาหยุดเพื่อดื่มชาจึงต่อ “ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกนั้นกำลังมีปัญหาภายใน ฉันเพิ่งรู้ว่าคนที่ส่งฉันไปเป็นบอดี้การ์ดให้รองประธานลีโกสเป็นคนอื่นที่ดูเหมือนจะมีอำนาจพอๆ หรือบางทีก็มากกว่ารองประธานเสียด้วยซ้ำ”
“ใคร”
“ไม่เห็นหน้า ไม่รู้ชื่อ รู้แค่พวกบอดี้การ์ดเรียกว่าที่ปรึกษา แต่ไม่น่าใช่ที่ปรึกษาธรรมดา ต้องเป็นคนใกล้ชิดกับคิม ยูจองขนาดที่เชื่อใจได้มากกว่าลูกบุญธรรม ไม่อย่างนั้นคงจับมาร์ค ต้วนเข้าโรงพยาบาลทั้งที่ไม่เต็มใจนานขนาดนี้ไม่ได้แน่”
“ที่ปรึกษางั้นเหรอ อยู่กับคดีนี้มาตั้งนมตั้งนานเพิ่งเคยได้ยินว่า คิม ยูจองมีที่ปรึกษา เพราะมีคนคอยเก็บกวาดแบบนี้หรือเปล่า เราถึงหาหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้สักที แล้วนี่รายงานกับหัวหน้าหรือยัง”
“ฉันส่งรายงานกับสถานบันเทิงทั้งหมดที่คาดว่าจะเป็นของลีโกสไปให้เฝ้า เผื่อจะเจอใครที่เข้าข่ายเป็นที่ปรึกษาของลีโกสไปให้หัวหน้าแล้ว”
เพื่อนตำรวจที่ร่วมงานด้วยพยักหน้าก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือที่สั่นในกระเป๋าขึ้นมารับสาย จากนั้นจึงหยิบเงินวางบนโต๊ะแล้วขอตัวไปเพราะมีงานด่วนเข้ามา
แจบอมพยักหน้ารับมองเพื่อนเลื่อนบานประตูเปิดและปิดหายออกไปจากห้อง มือใหญ่รวบเงินสดกับบิลบนโต๊ะแล้วออกจากห้องเพื่อมาจ่ายเงิน ระหว่างทางนั้นเขาเดินสวนกับชายคนหนึ่งเข้า ในตอนแรกเขาไม่ได้สนใจกระทั่งได้ยินเสียงหยันเอ่ยเรียก
“ไม่คิดจะทักทายกันหน่อยเหรอ” ชายสูงวัยผู้ใบหน้าขึงขังกับเรือนผมสีน้ำตาลเข้มแซมขาว ชุดลำลองและนาฬิการวมทั้งแหวนและสร้อยที่ประดับกายนั้นมีราคาแพงระยับระดับที่คนสามัญไม่มีปัญญาซื้อ
...ของที่ได้จากสินบนทั้งนั้น...
“คุณไม่ได้เป็นอะไรกระทั่งคนรู้จัก ทำไมผมต้องทักคุณ” คำตอบกลับนั้นเย็นชาอย่างยิ่ง หากทำให้คนฟังยกยิ้มมุมปากราวจะเหยียดในที
“สายเลือดมันเปลี่ยนไม่ได้หรอก ต่อให้แกไม่อยากก็เอาเลือดฉันออกจากตัวแกไม่ได้ และที่แกมาถึงตรงนี้ได้ ไม่ใช่เพราะความสามารถหรือพ่อทูนหัวคนไทยกระจอกๆของแกหรอก”
คราวนี้คนที่ยืนนิ่งตาลุกเป็นไฟ มือใหญ่กำหมัดก่อนกระชากคอเสื้อของชายสูงวัยผู้นั้นดันติดผนัง ขณะที่มืออีกข้างเงื้อสูงพร้อมจะชกอีกฝ่ายทุกเมื่อ
“คุณมันก็แค่อดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่รับสินบนเป็นว่าเล่น สร้างภาพมือสะอาดแต่ลับหลังทำแต่เรื่องชั่วๆ โยนความผิดให้ลูกน้อง ทิ้งลูกกับเมียเหมือนหมาข้างถนน คุณไม่มีสิทธิ์พูดกับคนดีๆ อย่างเขาแบบนั้น”
“แล้วยังไง แกจะชกฉันหรือไง” คนถามยังคงยิ้มหยันราวกับจะเย้าให้คนหนุ่มกว่าลงมือ
“ผมไม่เอามือไปแตะขยะให้เสียมือหรอก” ชายหนุ่มว่าอย่างเรียบเย็นแล้วปล่อยมือจากคอเสื้อและถอยหลังเดินห่างออกไปโดยไม่แม้แต่จะมองกลับไปข้างหลังอีกเลย
--------------------------
หลังกินข้าวและกินยาตามคำสั่ง คนตัวผอมที่ไม่รู้ตัวว่าผล็อยหลับไปเมื่อไหร่ก็ลืมตาตื่น มือดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งก่อนป่ายไปข้างเตียงคว้าน้ำเปล่ามากระดกดื่มอย่างกระหายจากนั้นจึงลุกจากเตียงหยิบเสื้อผ้าใหม่แล้วเดินออกจากห้องไปแปรงฟันและล้างหน้า เมื่อกลับเข้าห้องก็เห็นไฟของมือถือกระพริบถี่เพียงกดดูก็เห็นมิสคอลนับไม่ถ้วนจากฮโยซองและข้อความจากแจบอมเด้งขึ้นมา
...ตอนนี้พี่อยู่ร้านกาแฟ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
แบมแบมอ่านข้อความพลางสูดลมหายใจแล้วมองออกไปตรงหน้าต่างบานใหญ่ในห้อง ได้ยินคล้ายเสียงของเจ้าของเพนท์เฮ้าส์ลอยมาแต่เขาเลือกไม่ใส่ใจ เพียงคว้ามือถือและหยิบแบงค์จากกระเป๋าตังค์ยัดใส่กางเกงขายาวของตัวเองลวกๆ พร้อมคียการ์ดออกไปทันที
ลิฟต์จากชั้นเพนท์เฮ้าส์นำเขาลงจากสู่ชั้นล่าง เท้าก้าวพ้นประตูลิฟต์ผ่านโถงของอพาร์ทเม้นต์ที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามราวกับล็อบบี้โรงแรมชั้นนำไปยังบานประตูที่เลื่อนเปิดให้อัตโนมัติ เด็กหนุ่มเดินออกไปท่ามกลางแสงแดดร้อนจัดมาหยุดรอสัญญาณไฟตรงทางข้าม
รถลีมูซีนสีดำงามสง่าแล่นไปบนท้องถนนอย่างไม่เร่งร้อน ชายหนุ่มรูปงามปานเทพสลักสวมเชิ้ตและสูทสั่งตัดอย่างประณีตจากห้องเสื้อแบรนด์ดังในอิตาลีทอดสายตายังหน้ารายงานการประชุมในไอแพดของตนเอง ก่อนที่เสียงเรียกเข้าจากสมาร์ทโฟนจะดังขึ้นจึงกดปลายนิ้วบนปุ่มบลูทูธที่เสียบหูรับสาย
“ว่ามา”
“เขาออกจากเพนท์เฮ้าส์ตอนแปดโมงครึ่ง ขับรถไปคนเดียวครับ เก้าโมงครึ่งเขาไปที่ภัตตาคารแถวกังนัม สิบโมงสิบห้าจนถึงตอนนี้อยู่ที่โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์”
“มีอะไรน่าสงสัยไหม”
“ไม่ครับ...ทุกอย่างปกติดี”
“ตามต่อไป ถ้ามีอะไรรายงานมา” นิ้วเรียวกดปุ่มวางสาย นัยน์ตาสีเปลือกไม้สวยทั้งคู่จับนิ่งอยู่บนหน้าจอไอแพดที่บัดนี้มีภาพถ่ายของชายหนุ่มคนหนึ่งในสถานที่ต่างๆ ที่มีรายละเอียดสถานที่และเวลาระบุไว้เสร็จสรรพ
มาร์คปิดตาลงครู่หนึ่งเพื่อให้เวลากับตัวเองอยู่กับความสงบ...ก่อนเกิดเรื่องเขาให้คนที่ไว้ใจได้สะกดรอยตามแจ็คสัน ถึงแม้อดีตหนหลังระหว่างกันยังอยู่ในใจ หากภาระหน้าที่และความภักดีทำให้จำต้องตัดความรู้สึกทิ้งไปทั้งหมด
เขายังจำครั้งแรกที่พบกับแจ็คสันเมื่อสิบปีก่อนได้เป็นอย่างดี ผู้ชายฮ่องกงที่พูดได้หลายภาษาถูกพ่อบุญธรรมของเขาแนะนำว่าเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยให้รอดพ้นจากความตายที่คู่อริหยิบยื่นและพาเข้ามาในฐานะผู้ช่วยดูแลงานสกปรกและเก็บกวาดสิ่งมิชอบต่อกฎหมายที่ลีโกสทำทั้งหมด
แจ็คสันเป็นผู้ชายมีเสน่ห์ มีอำนาจ ความฉลาดและน่าเกรงขาม ขณะเดียวกันก็มีความอ่อนโยน อารมณ์ขันอยู่ในตัว...ก่อนจะขึ้นรับตำแหน่งรองประธานบริหารลีโกสที่มีภาพลักษณ์ขาวสะอาด เขาเคยร่วมอยู่ร่วมตายด้วยกันมา ความผูกพันก่อนความรู้สึกอันลึกซึ้งจนถึงขั้นที่ครั้งหนึ่งแจ็คสันถามเขาว่าจะหนีไปจากสิ่งที่เป็นอยู่นี้ไหมแต่เขาเลือกปฏิเสธมัน
นับจากวันนั้นภายนอกทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่ในความรู้สึกเขารู้ว่ามีช่องว่างเกิดขึ้นระหว่างกัน แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่ากับความรู้สึกที่ว่า แจ็คสันกำลังทำบางอย่างลับหลังเขา แม้ไม่มีหลักฐานแต่การที่พ่อบุญธรรมเป็นอัมพาต และตัวเขาถูกกักกันในโรงพยาบาลมันยิ่งเพิ่มความสงสัยจนปล่อยไปไม่ได้
...ตั้งแต่ก้าวเข้ามาเป็นลูกบุญธรรม ชีวิตเป็นของลีโกสไม่ใช่ของเขา ความรักเทียบไม่ได้กับความภักดี...
มาร์คทอดลมหายใจยาวพลางเบือนหน้าจากจอไอแพดไปยังกระจกกันกระสุนที่เคลือบฟิล์มกันแดดไว้ ช่วงจังหวะที่รถชะลอตัวตามรถคันหน้าผ่านสี่แยก ท่ามกลางผู้คนมากมายที่รอข้ามถนน เขากลับสะดุดเข้ากับเด็กหนุ่มเรือนผมสีดำสลวยถูกสายลมพัดจนปลิดปลิวไม่เป็นทรง ร่างผอมบางซ่อนอยู่ใต้เสื้อแขนยาวสีฟ้าน้ำทะเลตัวโคร่งกับกางเกงยีนส์พอดีตัว
เสี้ยวหน้าด้านข้างนั้นคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยพบ กระทั่งเห็นใบหน้านั้นเต็มชัด ลมหายใจของเขาหยุดไปชั่วขณะพร้อมกับหัวใจที่แทบจะหยุดเต้น ดวงตาเบิกกว้างมองคนตัวผอมที่เคลื่อนผ่านหน้ารถไปช้าๆ หัวสมองขาวโพลนผิดกับภายในใจที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายก่อนที่ริมฝีปากจะขยับสั่งคนขับรถให้หยุด
มือเรียวใหญ่กระชากประตูลงจากรถวิ่งกลับไปยังทางข้ามที่ผ่านมา ชายหนุ่มหมุนมองแทบจะโดยรอบกระทั่งเห็นคนที่คาดว่าจะใช่ปะปนกันไปในฝูงชนก็วิ่งตาม หากในท้ายที่สุดเด็กคนนั้นก็คล้ายจะหายไปเสียแล้ว
มาร์คเม้มริมฝีปากสูดลมหายใจพร้อมยกมือเสยผมอย่างสับสนพลางคิดถึงใบหน้าอาบเลือดและแววตาตื่นตระหนกขวัญเสียที่มองมายังเขาซึ่งสวมหมวกกันน็อกปิดบังใบหน้าก่อนที่เขาจะลั่นไกยิงเข้าใส่
...เด็กคนนั้นคือภาพความทรงจำอันฝาดเฝื่อนของดวงตาหรือเป็นเลือดเนื้อที่มีชีวิตจริง...
0 Comments