Thorn Flower : CHAPTER SIX
05:41
ตึงตึง...
เสียงลงฝ่าเท้าหนักก้องอยู่ในโสตประสาท ร่างผอมบางสวมฮู้ดสีดำกับกางเกงยีนส์วิ่งลงส้นเท้าเปล่าไปบนทางเท้าที่เย็นเยียบท่ามกลางความมืดอย่างไม่คิดชีวิตโดยมีชายฉกรรจ์ผิวดำตัวสูงใหญ่วิ่งกวดมาในระยะกระชั้นชิด
เด็กหนุ่มไม่เสียเวลาที่จะมองกลับไปด้านหลัง ไม่แม้แต่จะหยุดพักทั้งที่ฝ่าเท้าเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล หากในท้ายที่สุดเขากลับสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างจนหล่นคะมำเซเข้าไปในตรอกแคบๆระหว่างช่วงตึก
"ไม่...ได้โปรด อย่า อย่าทำผมเลย" เขาละล่ำละลักร้องเป็นภาษาอังกฤษสุดเสียง
ทว่าชายผู้นั้นกลับถลกเสื้อและกระชากกางเกงยีนส์ของเขาออก มือใหญ่ตะปบลงบนผิวอ่อนบาง กลิ่นสาปสางอวลติดจมูก...เขาดิ้นรนทั้งน้ำตา ความกลัวแล่นขึ้นจับขั้วหัวใจ ทว่าในเสี้ยววินาทีที่คิดจะกัดลิ้นให้ตายก่อนต้องอยู่ในสภาพอดสู เสียงปืนกลับดังขึ้นพร้อมกับร่างใหญ่ตรงหน้าที่กระตุกไหวก่อนทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงมาบนตัวจากนั้นของเหลวคาวคลุ้งรินรดลงมาบนเสื้อของเขา ทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามา...ใครคนนั้นเตะร่างที่ทับบนตัวเขาให้พ้นทางพลางยื่นมือมาหา
"ไม่ต้องกลัว...ลุงอยู่นี้"
มาร์คสะดุ้งสุดตัวแล้วลืมตาตื่นพร้อมกับอาการหอบหายใจและเหงื่อที่ไหลโทรมกาย ภาพพร่าเลือนแต่คลับคล้ายใบหน้าของใครคนหนึ่งปรากฏแก่สายตา เมื่อกระพริบตาถี่อีกคราก็เห็นหน้าของบอดี้การ์ดของตนเองอยู่ใกล้ๆ
“ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” คำถามดังขึ้นพร้อมกับแววตาที่ทอดมาหา แต่คนเจ็บไม่ตอบเพียงเบือนหน้าไปอีกทางและนอนนิ่งอยู่บนเตียงครู่หนึ่งจึงพยายามยันกายจะลุกนั่ง ทว่ามือใหญ่ของอีกคนกลับคว้าแขนช่วยพยุงขึ้นมานั่งเสียก่อน
“ท่านจะดื่มน้ำไหมครับ” น้ำแก้วหนึ่งถูกยื่นมา คนถูกถามเพียงรับมาจิบเล็กน้อยก็ส่งคืน
“ท่านจะรับอาหารว่างไหมครับ” ประโยคคำถามยังคงตามมา แต่มาร์คเพียงยกมือส่งสัญญาณว่า ไม่ แล้วเบนสายตาไปทางหน้าต่างที่มีแสงอ่อนลอดผ่านมู่ลี่เข้ามาในห้อง
...เป็นอีกครั้งที่เขาฝัน การอยู่ในโรงพยาบาลด้วยสภาพนี้ทำให้เขาฝันแทบทุกวัน สิ่งที่อยู่ในความฝันวนเวียนอยู่ระหว่างแววตาของเด็กคนนั้นกับครั้งแรกที่เขาได้พบกับผู้เป็นลุงที่กลายมาเป็นพ่อบุญธรรมของเขาในปัจจุบัน
...บุญคุณ คำเดียวที่ค้ำอยู่ในจิตใต้สำนึกไม่ว่าหลับหรือตื่นและเป็นพันธนาการเดียวที่เกี่ยวรัดให้ต้องอยู่ในเส้นทางที่คล้ายเดินบนนรก
ชายหนุ่มหลุดหัวเราะเบาอย่างอดสูก่อนปรายตาไปยังอีกคนที่ยืนข้างๆ...ช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่จำเป็นต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับบอดี้การ์ดที่มือขวาของพ่อบุญธรรมส่งมาให้ทำให้เขาเลิกอาละวาด ที่เขาเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพียงเพราะตระหนักได้ถึงความสำคัญที่ต้องเร่งให้ตัวเองหายแต่ผู้ชายคนนี้มีคุณสมบัติแบบที่นายอย่างเขาต้องการ ทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่หาเรื่องถามหรือชวนคุยจุกจิกน่ารำคาญ ถ้าไม่เรียกใช้ก็นั่งอ่านหนังสือเงียบๆอยู่ตรงเก้าอี้
“ทำไมยังไม่ออกไปอีก” คนเป็นนายถามขณะมองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนัง...เวลานี้เขาต้องถูกทิ้งให้อยู่กับความมืดเพียงลำพัง
“ผมรอท่าน” คนตัวใหญ่กว่าบอก “ตอนที่ท่านหลับ คุณหมอบอกว่าจะให้ท่านย้ายกลับไปอยู่ห้องปกติ ถ้าผมลงความเห็นว่าท่านไม่เป็นอันตรายกับคนอื่นแล้ว”
“อ๋อ...” คนฟังลากเสียงคล้ายจะหยัน “ดีนะ เดี๋ยวนี้แม้แต่หมอแม่งยังให้ความสำคัญบอดี้การ์ดมากกว่าคนเป็นนายอย่างฉันอีก” มาร์คกระแทกหลังกับหมอนเหม่อมองไปยังดอกกุหลาบสีแดงที่แห้งโรยในแจกัน
“พรุ่งนี้เช้า ท่านจะได้ย้ายไปนอนห้องธรรมดา” เสียงอุ่นทุ้มเอ่ยอย่างเนิบช้า คนป่วยละสายตาจากดอกไม้กลับมายังดวงตาคมของคนที่ยืนห่างออกไปอย่างเย็นชาแม้ภายในจะประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
“อย่างนั้นเหรอ” เสียงนั้นเค้นจากลำคอ “ฉันไม่ต้องการความสงสารหรือเห็นใจจากใคร ถ้าแกคิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะขอบคุณแกล่ะก็ แกคิดผิดแล้ว”
“ผมไม่เคยสงสารท่าน...คนอย่างท่านไม่มีอะไรน่าสงสาร” เสียงนั้นมีแววกระด้างก่อนจะอ่อนลงเช่นเก่า “แต่ผมเชื่อในตัวท่าน...เชื่อว่าท่านเข้าใจสถานะของตัวเองในตอนนี้ และจะไม่ทำอะไรให้ตัวเองหายช้าไปกว่านี้”
“แล้วถ้าฉันยอมทำตามที่แกบอก แต่สุดท้ายก็หักหลังหนีออกไป แกจะทำยังไง”
“ถ้าท่านหนีออกไปได้ เชื่อเถอะ ผมจะพาท่านกลับมาจนได้...แต่ผมไม่คิดว่าท่านจะหนี คนฉลาดต้องรู้ว่าควรทำอะไรให้เหมาะสมกับสถานการณ์และอย่างที่ผมเคยบอก ท่านเป็นคนฉลาด ผมเชื่อว่าท่านรู้ว่าควรทำอะไร”
มาร์คแลแววตาที่จ้องลึกมาอย่างมั่นคงราวกับมีความเชื่อมั่นอย่างเปี่ยมล้นในตัวเขา...แววตานั้นละม้ายใครหลายคนที่เขารักยิ่งแต่จากกันไปเนิ่นนานอย่างไม่มีวันกลับ...ครอบครัวที่เขาเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวอย่างแท้จริงไม่ใช่อย่างที่มีอยู่ในตอนนี้
“เชื่องั้นเหรอ” คำนั้นหลุดจากคอก่อนที่เสียงหัวเราะจะตามมา “แกทำงานกับลีโกสมานานเท่าไหร่แล้ว”
“สามปีครับ”
“สามปี แม่งคงไม่พอทำให้แกรู้ว่า ที่นี่เชื่อใจใครไม่ได้ ก็เหมือนกับคำสัญญา แม่งไม่มีความหมายอะไรกับคนในลีโกสหรอก”
“ผมไม่สนว่าคนอื่นจะทำยังไง แต่เมื่อผมเชื่อใครแล้วความเชื่อนั้นผิด ผมก็พร้อมจะแก้ปัญหา ผมไม่เคยแก้ปัญหาในสิ่งที่ตัวเองก่อไม่ได้ เช่นเดียวกับที่ผมจะสัญญาในสิ่งที่ผมทำไม่ได้เช่นกัน”
“แล้วทำไมฉันต้องเชื่อแกล่ะ”
สายตาคมสีเปลือกไม้นั้นสบประสานกับคนตรงหน้านิ่งนานก่อนที่จะเป็น่ฝ่ายเบือนหน้ามองบานมู่ลี่ตรงหน้าต่าง...เขาจะเชื่อใจใครได้
“ผมไม่รู้ว่าท่านคิดเห็นยังไง แต่คืนนี้ผมจะอยู่กับท่านในห้องนี้ เมื่อถึงตอนเช้าผมจะเป็นคนดูแลท่านตอนที่บุรุษพยาบาลย้ายท่านกลับไปห้องเก่า” อีกฝ่ายยังคงพูดต่อจนจบแม้จะไม่ได้รับความสนใจจากนั้นจึงเดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้ตรงที่ประจำของตนเองพร้อมส่งสัญญาณบอกกล้องให้ดับไฟ
ในความมืดต่างฝ่ายต่างได้ยินเสียงลมหายใจ มาร์คยังคงนั่งอยู่เช่นเก่าเงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าเสียงเสียดสีของเก้าอี้เหล็กที่เกิดจากการขยับเปลี่ยนท่า
“แกมีครอบครัวหรือเปล่า” เสียงต่ำลึกของคนบนเตียงเริ่มเป็นฝ่ายถามบ้าง
“ครับ...ผมมีน้องชายคนหนึ่ง”อีกเสียงตอบกลับ
“มาทำงานเสี่ยงตายอย่างนี้...คงห่วงเงินมากกว่าน้องสินะ”
“ไม่ทุกครั้งหรอกครับที่คนเราจะทำเพื่อเงิน บางครั้งคนเราก็ทำบางสิ่งเพื่อคนที่เรารัก”
"น้องแกขอให้มาทำหรือไง"
"ไม่หรอกครับ แต่ผมคิดว่าการทำหน้าที่ของผมตรงนี้คือสิ่งที่เขาต้องการ"
มาร์คฟังคำตอบแล้วนิ่งเงียบ ริมฝีปากนั้นเม้มแน่นก่อนที่เขาจะค่อยๆขยับล้มตัวลงนอนลืมตาท่ามกลางความมืด บางคำในประโยคนั้นทำให้หัวใจเจ็บลึก
แจบอมนั่งนิ่งได้แต่เงี่ยหูฟัง กระทั่งมั่นใจว่าทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน ความคิดของเขาก็ลอยไปถึงใครคนหนึ่งที่อยู่บ้านเพียงลำพัง มือของเขาที่วางอยู่บนตักยกขึ้นลูบบนกระเป๋าเสื้อที่มีดอกไม้แห้งดอกหนึ่งที่ได้รับมาเมื่อหลายวันก่อนซ่อนอยู่
...ราตรีสวัสดิ์ สุดที่รักของพี่...
------------------------------------------------------
จอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าห้องเรียนปรากฏภาพวาดของหญิงสาวชาวเกาะตาฮิติสองคนกำลังกลับมาจากการเก็บดอกไม้ป่าโดยมีอาจารย์ผู้สอนเริ่มอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์
โดยยกตัวอย่างผลงานของโกแกงมาใช้ในการวิพากย์โดยมีนักศึกษานั่งเรียนอยู่เกือบเต็มห้องสี่เหลี่ยมใหญ่
ยองแจมองอาจารย์ก่อนทอดสายตาออกไปยังบานหน้าต่างที่อยู่ใกล้ที่นั่งของตัวเอง ขณะที่ดินสอในมือยังคงขยับขีดไปมาบนหน้ากระดาษสมุดพร้อมกับความคิดที่ลอยไกลไปถึงใครอีกคน
หนึ่งอาทิตย์แล้วที่เขาไม่ได้เห็นหน้าน้องชายเจ้าของร้านกาแฟที่เขาไปทำงานพิเศษอีก ทั้งที่เขาหวังว่าอาจจะได้เจอกันตอนที่เขาเริ่มทำงานที่ร้านแต่ก็ไม่พบ พอสอบถามถึงคณะที่เด็กคนนั้นเรียนกับเจ้าของร้านแม้จะรู้ว่าเรียนคณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาเคมี แต่ไม่ว่าจะไปดักรอเท่าไหร่ก็ไม่เจอตัวเลยสักที จะขอเบอร์โทรศัพท์ก็ไม่มี จะขอที่อยู่บ้านมาก็เกินไป สุดท้ายเลยจนปัญญาที่จะตามตัว
...ความรู้สึกอ้างว้างจับใจที่ได้จากภาพความทรงจำสุดท้ายในการพบกันทำให้ความคิดเขาวนเวียนอยู่ที่เด็กคนนั้น...
“ยองแจว้อยเลิกเรียนแล้ว ลุกเร็ว หิวจะรีบไปกินข้าว” แรงกระแทกจากฝ่ามือและเสียงของเพื่อนที่เรียกทำให้ชายหนุ่มหลุดจากโลกส่วนตัว ยองแจกระพริบตาเตรียมจะรวบสมุดกับเครื่องเขียนและไอแพดที่วางอยู่ใส่กระเป๋าแต่ถูกเพื่อนดึงสมุดไปได้ก่อน
“เฮ้ย พวกแกมาดูนี่ ยองแจแม่งวาดรูปใครไม่รู้เต็มสมุดเลยวะ” เสียงนั้นคล้ายประกาศให้เพื่อนร่วมคณะที่ลงเรียนวิชาเดียวกันกรูกันมาดูภาพวาดของเด็กหน้าหวานในอิริยาบถต่างๆ ซึ่งสเก็ตซ์ไว้ด้วยดินสอเกือบเต็มเล่ม “ร้ายวะ มีแฟนแล้วไม่บอกเพื่อน”
เจ้าของสมุดเม้มริมฝีปากเก็บของทั้งหมดใส่กระเป๋าจากนั้นจึงลุกจากเก้าอี้ฉวยสมุดออกจากมือเพื่อนแล้วตอบสั้น
“ไม่ใช่แฟน”
“ไม่ใช่แฟน แต่วาดรูปเขาเต็มไปหมดเนี่ยนะ”
“รูปนี้ใช่น้องคนนั้นที่นายกางร่มให้เมื่ออาทิตย์ก่อน ที่พอฉันแซวว่า แฟนเหรอก็เดินไปเฉยๆนั้นปะ” คราวนี้เพื่อนผู้หญิงที่เคยเจอคนในภาพวาดเอ่ยปาก
“โห แม่ง ร้ายจริงๆ ด้วยว้อย มีแฟนแล้วทำไมไม่พามาแนะนำให้รู้จักบ้าง”
“ผู้หญิงคนนี้อยู่คณะไหนวะ ไปเจอได้ยังไง เล่าให้ฟังหน่อย”
ปัง!!!
จู่ๆเสียงมือกระแทกกับโต๊ะไม้อย่างแรงนั้นก็ดังขึ้นทำให้ทุกคนที่พูดแซวเล่นสนุกปากเงียบกริบ...
“เขาเป็นน้องชายเจ้าของร้านที่ฉันทำงาน” อยู่ๆเสียงนุ่มกังวานเหมือนทุกครานั้นกลับกระด้างแข็ง มือเรียวหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นบ่ามองตรงไปข้างหน้าแทนที่จะหันไปหาเพื่อนและเริ่มพูด
“เฮ้ย ก็แค่แซวเล่น ทำไมต้องโกรธขนาดนี้ด้วยเล่า” เพื่อนสองสามคนวิ่งตามมากอดคอ...แต่คนฟังยังรู้สึกกรุ่นในใจพร้อมกับใบหน้าเรียบเย็นไร้ความรู้สึกแต่แสนเศร้านั้นก็ผุดขึ้นมาในความคิด
“ยองแจ” เสียงหวานของหญิงสาวคนหนึ่งดังมาจากด้านหลัง ชายหนุ่มเจ้าของชื่อหันไปหาก็เห็นเพื่อนผู้หญิงในคณะแต่อยู่กันคนละกลุ่มกวักมือเรียก “มีคนมาหาแน่ะ”
“ใครเหรอ”
“ไม่รู้เหมือนกัน เขาบอกแค่ว่ามาหาคนที่ชื่อชเว ยองแจ” คำตอบนั้นทำให้เขาคิดถึงน้องเจ้าของร้านกาแฟทันที
“เขาบอกชื่อหรือเปล่า”
“เปล่า เขาบอกแค่ว่ามีของต้องให้นายแน่ะ”
“แล้วเขาแต่งตัวยังไง ผมสีอะไรเหรอ”
“ก็ใส่เสื้อกาวน์สั้น ผมสีดำอะ เขารออยู่หน้าตึกพักนึงแล้ว ท่าทางเหมือนคนไม่ค่อยสบายเลย นายรีบไปหาเถอะไป”
“โอเค ขอบใจนะ” เขาตอบกลับแล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปหน้าตึกคณะศิลปะศาสตร์ หันซ้ายหันขวามองหาคนสวมเสื้อกาวน์ก่อนจะเห็นร่างผอมบางของใครคนหนึ่งสวมเสื้อกราวน์สั้นสีน้ำตาลกับกางเกงพอดีตัวสีดำยืนหลบแดดตรงเสา แม้เรือนผมจะเป็นสีดำและถูกตัดสั้นกว่าเดิมแต่เสี้ยวหน้านวลหวานนั้นเขาจำได้ดีว่าคือคนที่เขาเฝ้าคิดถึง
“แบม”
ยองแจวิ่งไปหาพลางโบกมือเรียกด้วยรอยยิ้ม เจ้าของชื่อที่ถูกเรียกหันไปตามต้นเสียงอย่างไร้อารมณ์ ดวงตากลมโตทั้งคู่มองฝ่ายตรงข้ามสงบนิ่งราวรูปปั้นหิน
“อา ดีใจจังที่ได้เจอคุณอีก ผมนึกว่าเราจะไม่ได้เจอกันซะแล้ว” คนตัวใหญ่กว่าเริ่มเปิดประเด็นสนทนาแต่คนตรงหน้ายังเงียบ “คุณย้อมผมเป็นสีดำมาเหรอครับ ถึงว่า ทำไมผมถึงหาคุณไม่เจอ”
แม้ว่าจะพยายามชวนคุยแต่คนตัวผอมกว่ายังคงไม่ปริปากเพียงแต่มองเฉยๆ อยู่อย่างนั้นสองสามนาทีก่อนจะล้วงมือไปในกระเป๋าเสื้อกราวน์หยิบเอาพวงกุญแจโทโทโร่นั่งอยู่ในเรือชามถือไม้ตกปลาห้อยขนมปลาไทยากิยื่นมาตรงหน้า
“ให้ผมเหรอ” ชายหนุ่มถามพลางรับพวงกุญแจที่อีกฝ่ายปล่อยลงมาบนฝ่ามือของเขา “ให้ผมทำไมครับ”
“วันนั้นที่กางร่มให้” เสียงหวานติดแหบนั้นเอ่ยอย่างเนิบช้า “จะได้ไม่ติดค้างกัน”
“ติดค้าง” คิ้วของยองแจเลิกคิ้วสูงขณะทวนคำที่ได้ยินเมื่อครู่ ริมฝีปากอ้าค้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเม้มเข้าหากันพร้อมกับมือที่กำแน่น “ที่ผมกางร่มให้คุณวันนั้น ไม่ใช่เพราะผมหวังผลให้คุณมาตอบแทนผมนะ...ถ้าจะให้ของผมด้วยเหตุผลนี้ ผมจะไม่มันรับไว้”
ชายหนุ่มสบสายตากับคนตัวเล็กตรงหน้าที่จ้องมาหาอย่างเย็นชา ดวงหน้ายามต้องแดดที่ส่องพาดมาขาวซีดแทบไร้สีเลือดจนอีกคนอดไม่ได้ที่จะยกสมุดในมือตนเองขึ้นบังให้แต่มือเรียวผอมกลับดันมันออก
“ผมติดค้างคนมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีใครให้ติดค้างเพิ่มหรอก ถ้าคุณไม่อยากได้มัน...ก็แค่ทิ้ง” คำพูดยังคงกระด้างเช่นน้ำเสียง หากแววตาในวินาทีนั้นมีความอ่อนล้าฉายชัดก่อนจะลับหาย คำว่า ติดค้าง ในคราวนี้ฟังแล้วเศร้าจับใจราวกับคนพูดตระหนักว่าตนไม่มีค่าควรต่อการได้รับความหวังดีจากใคร
แบมแบมกล่าวคำสุดท้ายแล้วหันหลังก้าวเท้าออกไปจากหลังเสา เรือนผมสีดำนุ่มสลวยต้องสายลมอ่อนเบาพัดกลิ่นกายที่หอมราวดอกไม้มายังคนที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหลัง
“ถ้าเราเป็นเพื่อนกัน ก็ไม่มีคำว่าติดค้าง ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณนะ คุณจะเป็นเพื่อนกับผมได้หรือเปล่า” คนตัวใหญ่กว่าบอกออกไปและเฝ้ามองคนตัวเล็กที่ขยับศีรษะคล้ายจะหันกลับมาแต่ก็ขยับกลับไปดังเก่าพร้อมกับเท้าที่ก้าวเท้าห่างออกไปทีละน้อย
ยองแจมองร่างนั้นจนหายลับจากสายตาก่อนแบมือดูพวงกุญแจโทโทโร่ยิ้มแฉ่งบนฝ่ามือกลับทำให้ดวงตาเขาสั่นระริก
...การที่ใครคนหนึ่งจะเหมือนกระเบื้องร้าวทั้งใบต้องผ่านชีวิตมาแบบไหนกัน...
--------------------------------------
เสียงเชียร์จากหญิงสาวและชายหนุ่มจำนวนมากที่รายล้อมรอบเวทีมวยทำให้โรงยิมเสียงดังอื้ออึงอึกทึก
ชายหนุ่มกายสูงใหญ่เจ้าของเรือนผมสีแดงที่เปียกชุ่มด้วยเหงื่อสวมเพียงกางเกงมวยสีดำอัพเปอร์คัทเข้าใต้คางของคู่ต่อสู้จนร่วงลงไปนอนกองกับพื้น
เขามองคนที่นอนบนพื้นเวทีอย่างเย็นชาก่อนถอดเครื่องป้องกันโยนไว้ข้างเวที
“เหนื่อยไหมคะ” เสียงหวานของหญิงสาวสวมเดรสสั้นสีดำทับด้วยแจ็กเก็ตหนังถามทันทีที่เห็นผู้ชนะพันผ้าเช็ดตัวปิดเบื้องล่างเดินออกจากห้องน้ำพลางวางผ้าเช็ดตัวไว้บนบ่าแล้วเช็ดน้ำเย็นที่เกาะพราวกับช่วงตัวแข็งแรงที่มีมัดกล้ามขึ้นเป็นลอนอ่อนสวย
“ไม่หรอก...มีอะไรทำให้เหนื่อยกว่านี้เยอะ” คนพูดหันไปส่งสายตากรุ้มกริ่มก่อนจะหันไปมองกลุ่มผู้ชายสองสามคนที่เดินเข้ามาหา
“โผล่หัวมานี้ รู้หรือยังว่ามันเป็นใคร” เขาถามกับรุ่นน้องที่คอยประจบอยู่ใกล้ซึ่งเขาใช้ให้ไปสืบข้อมูลมาให้
“คือชมรมที่ใช้ห้องนั่นมีเยอะนะครับ พวกผมไปสลับกันดักรอที่ห้องนั้นแล้วก็ไม่เห็นใคร แล้วข้อมูลที่รุ่นพี่ให้มามีแค่ผมสีทองตัวเล็ก มันหายาก พวกผมก็เลย...” หนึ่งในนั้นพูดไม่ทันจบ เท้าของคนที่กำลังติดกระดุมเสื้อเชิ้ตอยู่ก็ถีบอัดประตูอย่างแรงเล่นเอาทุกคนที่อยู่ตรงนั้นหน้าถอดสี
“มึงนี่มันพวกไร้ประโยชน์จริงๆ ไสหัวไปหามาให้เจอ ถ้ายังหาไม่เจอ นอกจากเงินจะไม่ได้กูจะกระทืบพวกมึงด้วย” ยูคยอมตวาดใส่ รุ่นน้องทั้งสามคนลนลานรีบออกไปด้วยกลัว
“วันนี้จะให้ไปหาที่ห้องไหมคะ” หญิงสาวที่ยังรออยู่ถามออดอ้อน มองดูอีกคนสวมกางเกงขายาวและจัดระเบียบเสื้อผ้าตัวเองอยู่หน้ากระจกของประตูด้านในล็อกเกอร์โดยปล่อยให้ผมที่เช็ดหมาดไว้
“ไม่”
“คุณอารมณ์ไม่ดีแบบนี้ ให้ฉันช่วยเถอะ โอ๊ย...” เจ้าหล่อนว่าขณะจับแขนของคนตัวใหญ่ก่อนจะร้องด้วยความเจ็บเมื่อถูกอีกฝ่ายคว้ามาบีบไว้อย่างแรง
“บอกว่า ไม่ก็ไม่” เขาย้ำคำด้วยน้ำเสียงและแววตาดุดัน ปล่อยข้อมือเล็กที่เกาะกุมอยู่ออกแล้วเดินออกจากห้องน้ำผ่านโรงยิมไปด้านนอก มือทั้งสองข้างกำแน่นด้วยความโกรธ หลายวันมานี้เขาเอาแต่คิดถึงไอ้เด็กบ้าที่ทำมือเขาเป็นแผลและเกือบปาดคอเขาในห้องชมรมนั่น มันน่าหงุดหงิดตรงที่คนที่ใช้การได้อย่างบอดี้การ์ดของพ่อไม่ร่วมมือช่วยหา ที่เสนอตัวแลกเงินมาช่วยก็ไร้ประโยชน์ สรุปแล้วเขาก็ยังหามันไม่เจอ
ชายหนุ่มเดินไปอย่างไม่มีจุดหมาย พอเลิกเรียนและออกกำลังกายการพุ่งตรงกลับบ้านไม่ใช่วิสัยของเขากว่าจะรู้ตัวอีกทีเท้าก็มาพามาหยุดอยู่หน้าห้องชมรมที่เขามีเรื่องกับเด็กที่เขาเกลียดนั้นแล้ว
ยูคยอมเปิดประตูก้าวเข้าไปภายในห้องที่เงียบและมืดสนิทแต่มีกลิ่นหอมแรงบางสิ่งลอยมาแตะจมูก เขาอาศัยแสงจากด้านนอกกว่าจะคลำหาสวิทช์ไฟเจอ เมื่อทั้งห้องสว่างเขามองเห็นเพียงโต๊ะเก้าอี้ที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบ หน้าต่างทุกบานในห้องปิดสนิทเกือบจะคิดว่าไม่มีคนใช้ห้องเลยถ้าไม่เหลือบเห็นกระถางดอกไม้สีขาวที่กลีบดอกชุ่มด้วยน้ำตั้งข้างขวดน้ำมันหอมระเหยขวดเล็กจำนวนหนึ่งอยู่ในถาดพลาสติกและมีเอกสารหนาเป็นปึกวางอยู่ใกล้ๆ
เขาหยิบเอกสารที่วางอยู่มาอ่านดูคร่าวๆ การใช้ชีวิตอยู่อเมริกาทำให้การอ่านเอกสารภาษาอังกฤษยาวเป็นพรืดไม่ใช่เรื่องยาก แม้มีศัพท์ทางการแพทย์บางตัวที่แปลไม่ได้แต่ก็เข้าใจโดยรวมว่า มันเป็นเอกสารเกี่ยวกับการค้นคว้าถึงกลิ่นของดอกTuberose ที่มีผลต่อการนอนหลับ
มือเรียวใหญ่เอื้อมไปหยิบขวดน้ำมันหอมระเหยขึ้นมาพินิจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เสียงเปิดประตูจะทำให้เขาสะดุ้งหันไปมองพร้อมกับมือที่ดันขวดน้ำมันเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
ดวงตาเรียวตวัดมาประสานเข้ากับนัยน์ตากลมโตแต่เฉยเมยต่อทุกสิ่งของผู้มาใหม่ตรงประตู ใบหน้าขาวเผือดคล้ายคนป่วยแต่มีความหวานละมุนสวมเสื้อกราวน์สีน้ำตาลจากคณะวิทยาศาสตร์นั้นเป็นคนเดียวกันกับที่ทำให้เขาโมโหมาตลอดทั้งอาทิตย์
“ถ้าแตะมัน นายตาย” ประโยคนั้นหลุดออกจากริมฝีปากอิ่ม
“ทำไม ถ้าแตะแล้วจะทำไม่” เพียงสิ้นคำอยู่ๆไม้บรรทัดก็ถูกขว้างเข้าใส่แต่ยังดีที่มือใหญ่คว้าเอาไว้ทัน
“มึงนี่ อยากตายจริงๆใช่ไหม” คนตัวใหญ่คำรามแทบกระโจนเข้าไปหาแต่คัตเตอร์อันใหญ่ที่คนตัวเล็กถือไว้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ยากจะเดาว่าเมื่อไหร่จะใช้เป็นอาวุธทำให้ต้องตั้งหลักอยู่ที่เก่า
“อุตส่าห์ถ่อมานี่ แล้วไหนพรรคพวกล่ะ” ร่างผอมบางขยับจากประตูเดินเข้ามามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะที่มีผลงานของตัวเองวางอยู่แล้วปรายมองยังคนตัวสูงที่อยู่ตรงข้ามกับตนพลางถาม
“ทำไมกูต้องเอามาด้วย คนอย่างมึงไม่สำคัญขนาดต้องพาใครมาเล่นงานหรอก”
“ไม่สำคัญหรือแค่ไม่มีปัญญาพามากันแน่”
“มึงอย่ามาปากดีกับกูนะ”
“งั้นก็ไปเอามาสิ แสดงให้เห็นหน่อยว่าลูกชายแท้ๆของท่านประธานลีโกสมีอำนาจทำอะไรได้บ้าง”
ยูคยอมย่นหน้าผากจ้องหน้าคนที่กำลังพูดถึงพื้นเพชีวิตเขาที่ใช้ปลายมีดคัตเตอร์แกะสลากบนขวดมันหอมระเหยออก...นอกจากพี่ชายบุญธรรมกับมือขวาของพ่อก็ไม่เคยมีสักคนที่รู้ว่าเขาเป็นลูกใครแล้วจะกล้ามีเรื่องกับเขาแต่กับหมอนี่ทั้งที่รู้แก่ใจดีว่าเขาคือใครก็ยังปฏิบัติตัวเหมือนไม่กลัวตัวเองจะเดือดร้อน
“ถ้าอยากให้มาถล่มนักก็บอกชื่อ ที่อยู่มาเลยสิ กูจะไปถล่มมึงให้สมใจเลย”
“ให้เห็นหน้าขนาดนี้ยังหาไม่เจอก็รู้แล้วว่าทำอะไรใครไม่ได้หรอก” ถ้อยคำหยันแม้ในน้ำเสียงเรียบเย็นยังรู้ว่าจงใจทำให้คนอารมณ์ร้อนเอื้อมไปหมายจะคว้าข้อมือแต่อีกคนไวกว่าตวัดปลายมีดเกือบจะเฉือนเอาคนประสงค์ร้ายเข้า
ชายหนุ่มสบตากับคนตัวเล็กกว่าที่เงยหน้าจากงานตรงหน้าจ้องมาหา...ต่างฝ่ายต่างอยู่เช่นนั้นโดยไม่ปริปากพูดเลยสักคำก่อนที่คนตัวใหญ่จะเป็นฝ่ายล่าถอย...ถ้าประเมินกันด้วยกำลังจริงๆ เขาอาจมีสิทธิ์ชนะแต่ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะงัดอะไรมาสู้อีกทั้งบางอย่างในความรู้สึกบอกว่าไม่อยากทำ
“ตัวผอมยังกะไม้เสียบผี วัดกับมึงนี้มีแต่จะโดนหาว่ารังแก กูไม่ยุ่งกับมึงแล้ว น่ารำคาญ” ยูคยอมว่าพลางสบถแล้วหุนหันเดินออกจากห้องไปในทันทีทิ้งอีกคนในอยู่ในห้องเพียงลำพัง
แบมแบมปรายตามองบานประตูที่ปิดสนิทลงดังเก่าแล้วก้มยังถาดพลาสติกที่มีน้ำมันหอมระเหยหายไปขวดหนึ่งก่อนที่รอยยิ้มมุมปากจะผุดขึ้น ด้วยรู้ว่าสิ่งที่บรรจุในขวดนั้นไม่ใช่น้ำมันหอมระเหย แต่เป็นสารพิษที่ผ่านกระบวนการคิดค้นมาอย่างดี กลิ่นหอมของดอกไม้ผสานกับกลิ่นของสารพิษที่ซึมเข้าร่างกายผ่านการสูดดม ผลลัพธ์ของมันส่งผลให้หลับสบายแต่การได้รับติดต่อกันเป็นเวลาหนึ่งมีโทษถึงตาย
...เขาหวังว่ามันจะใช้...
...ถ้าพวกมันจะต้องตาย ขอให้มันตายชนิดที่ทรมานทุรนทุรายที่สุด...
---------------------------------------------------------------
ปัง ปัง ปัง!!!
เสียงดังคล้ายกระสุนที่แผดลั่นอย่างต่อเนื่องดังมาจากสนามเพนท์บอลและบีบีกันกลางแจ้งที่อยู่ห่างจากส่วนสำนักงานประชาสัมพันธ์ เมื่อฟ้าเริ่มเปลี่ยนจากสีสดมืดครึ้มเสียงปืนที่เคยดังสนั่นก็เปลี่ยนเป็นดังเป็นระยะ ณ ห้องรับรองแขกชายวัยกลางคนสวมสูทสีน้ำตาลยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะตัวยาวที่มีเอกสารทางบัญชีวางอยู่ โดยมีชายหนุ่มสวมสูทสีดำยืนพลิกแฟ้มเอกสารสรุปรายงานการตรวจสอบบัญชีพักหนึ่งจึงวางมันเลื่อนไปหาผู้จัดการสนามที่ยืนหน้าซีดเผือด
“ตรงยอดรายจ่ายในการซื้อกระสุนและบำรุงสถานที่ดูเหมือนจะสูงเกินจริงไป ยอดคนเข้าใช้บริการก็มีเพิ่มขึ้นแต่รายรับไม่สมดุลกับรายจ่าย ถึงตัวเลขจะตรงกันแต่ในรายละเอียดปลีกย่อย เหมือนมีบางคนพยายามจะโกงกันหน้าด้านๆนะ” เสียงจากชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเย็น
“ฉันให้เวลาแกไปหาเงินมาเติมในส่วนที่หายไปหนึ่งอาทิตย์ ถ้าแกยังหามาใช้คืนไม่ได้ แกคงรู้ใช่ไหมว่าทั้งแกและครอบครัวจะเป็นยังไง” คำเตือนยังคงดังมาชายวัยกลางคนผู้นั้นอย่างต่อเนื่องจากนั้นจึงหันไปมองชายหนุ่มที่ยืนคุมเชิงราวกับเป็นบอดี้การ์ด “กลับ”
สิ้นคำผู้จัดการสนามก้มศีรษะทำความเคารพเนื้อตัวสั่นเทาปล่อยให้ผู้มีอำนาจเหนือกว่าตนเดินออกไป เมื่อพ้นจากห้องนั้นมาถึงลานจอดรถได้ท่าทีของชายวัยกลางคนที่ขึงขังก็เปลี่ยนเป็นนอบน้อมกับชายที่อ่อนวัยกว่าตนทันที
แจ็คสันแลลูกน้องของตนเองเงียบงัน การทำงานในลีโกสของเขาคือสร้างสถานะเหมือนเป็นแค่ตัวแทนที่มือขวาของท่านประธานส่งมาอีกต่อและคอยเชิดคนอื่นให้เป็นหุ่นทำหน้าที่แทนตน จึงแทบไม่มีใครรู้ว่าระดับความสำคัญของเขาแท้จริงเป็นเช่นไร
...แทบทุกคนรู้เพียงว่าแจ็คสัน หวัง คือ ที่ปรึกษาที่กรรมการบริหารแต่งตั้งมา มิใช่ในฐานะมือขวาของประธานบริหารลีโกส...
“ท่านจะรายงานเบื้องบนให้ส่งคนไปสะกดรอยคนในครอบครัวมันเลยไหมครับ”
“ไม่จำเป็น”
“ตอนนี้มันรู้ตัวแล้วว่า พวกเรารู้เรื่องที่มันยักยอกเงินไป ถ้าไม่ส่งคนไปสะกดรอยตามมันอาจจะหนีไปได้นะครับ”
“เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว” เสียงแหบต่ำนั้นลากยาว นัยน์ตาคมกริบตวัดมองใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้นั้นนิ่งทำให้คนถูกมองกระพริบตารู้สึกร้อนๆหนาวๆ ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าจะดังขึ้นขัดจังหวะ
“รับสิ” คำสั่งนั้นมาพร้อมกับรอยเหยียดตรงมุมปาก คนถูกสั่งรีบกุลีกุจอรับแต่ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอนั้นทำให้มือถึงกับสั่นเพราะภรรยาของเขานั้นกำลังยิ้มกอดคอลูกสาววัยรุ่นหน้าตาน่ารักยื่นหน้าเข้ามาโดยมีฉากหลังเป็นห้องชุดหรูที่เขารู้แก่ใจดีว่าเป็นห้องนี้เคยใช้ในการกักตัวคนและครอบครัวของศัตรูหรือคนที่ขัดผลประโยชน์
“คุณพ่อคะ...ห้องชุดนี้สวยมากเลย อยู่ใกล้กับโรงเรียนมากกว่าที่บ้านเยอะเลย ขอบคุณนะคะที่ทำงานหนักและซื้อห้องนี้ให้หนู”
“ฉันไม่รู้เลยว่าคุณซื้อห้องนี้ นายหน้าคุณบอกว่าคุณซื้อเป็นของขวัญให้ฉัน ขอบคุณนะคะ คุณรีบกลับมานะ ฉันจะทำอาหารรอที่นี่ แล้วพรุ่งนี้เราค่อยกลับบ้านไปเก็บของกัน ไม่รบกวนแล้วนะคะ ตั้งใจทำงานนะคะ”
ชายผู้นั้นริมฝีปากสั่นระริกหันมองใบหน้าหล่อเหลาแต่เยือกเย็นไร้ความรู้สึกราวมัจจุราชอย่างหวาดกลัว พร้อมกันนั้นรถยนต์สีดำคันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดก่อนที่ชายฉกรรจ์สามคนจะลงจากรถเดินมาประกบข้างๆ
“ทะทะท่านครับ นี่มันเรื่องอะไรกันครับ”
“คิดว่าหลอกคนอื่นมาเป็นแพะแล้วฉันจะไม่รู้เหรอว่าแกทำอะไร” แจ็คสันย่างเท้าเข้าไปใกล้ทีละน้อยแล้วยื่นหน้าเข้าไปหา “ฉันกักเมียกับลูกแกไว้ นับจากนี้ไปสามคนนี้จะติดตามแกทุกฝีก้าว ถ้าแกยังหาเงินมาคืนภายในสามวันไม่ได้คงรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“ทะท่านครับ มันไม่...”
“เอาตัวมันไป” ถ้อยคำกระชับสั้นไร้แววอารมณ์ ผู้ตรวจสอบบัญชีถูกลากไปขึ้นรถจากนั้นรถคนนั้นก็เคลื่อนหายออกไปจากลานจอดทิ้งไว้เพียงควันจางจากท่อไอเสีย
ชายหนุ่มมองบานประตูรั้วที่เปิดกว้างอยู่นานจึงแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เป็นสีม่วงอมแดง เสียงฟ้าเริ่มคำรามก้องและสายลมกรรโชกแรงทำให้รู้ว่าอีกไม่นานฝนจะตก เขาละสายตาจากภาพเบื้องบนเดินตรงไปยังรถสปอร์ตคันงามที่จอดอยู่ ชั่วขณะที่ปลดล็อกกำลังจะเปิดประตูรถตาก็เหลือบเห็นใครคนหนึ่งเดินผ่านประตูรั้วที่เปิดกว้างเข้ามา
ร่างผอมบางซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมมีฮู้ดคลุมหัวสีดำสะพายกระเป๋าเป้ไว้บนหลังเดินไปตามทางซีเมนต์อย่างไม่เร่งร้อน ลักษณะภายนอกนั้นทำให้คนที่จับสังเกตลักษณะบุคลิกของคนเป็นอาชีพจำได้ทันทีว่าเป็นใคร
...เด็กคนนั้น...
เจ้าของร่างผอมบางเดินตรงไปยังอาคารที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเพื่อเช่าตู้ล็อกเกอร์ไว้เก็บของและลงทะเบียนเช่าปืนบีบีกันสั้นรวมทั้งกระสุนพร้อมชำระเงินกับเจ้าหน้าที่ก่อนจะตามเจ้าหน้าที่ประจำสนามที่เชี่ยวชาญด้านการยิงปืนไปยังสนามซ้อมยิงปืนบีบีกันที่กั้นไว้เป็นช่องโดยด้านหลังเป็นทางเดินที่มีกระจกใสกั้นไว้ให้มองเห็นคนยิงได้
มือผอมบรรจุกระสุนหยิบครอบหูลดเสียงยิงปืนมาสวม ปลดเซฟตี้และเล็งไปที่เป้ายางที่อยู่ห่างออกไปพร้อมเหนี่ยวไก...ลูกกระสุนแต่ละนัดพุ่งทะลุตรงกลางซ้ำๆจนเป็นรูปขนาดใหญ่ โดยไม่สนใจว่ามีใครบางคนเดินเข้ามากอดอกหยุดยืนมองด้านหลังของเขาผ่านกระจกใส
“ท่านยังไม่กลับหรือครับ” เจ้าหน้าที่ประจำสนามเอ่ยถาม พอจะจำได้ว่าเป็นผู้ช่วยของผู้ตรวจสอบบัญชีที่เพิ่งออกไป
“เด็กคนนี้เป็นลูกค้าประจำหรือเปล่า” แทนที่จะตอบเขากลับถามถึงคนที่กำลังจ้องมองอยู่ตรงหน้าแทน
“ครับ...เขาจะมาทุกวันศุกร์”
“ยิงปืนแม่นนะ”
“อ้อ ครับ...เขายิงปืนแม่น จะเป็นปืนบีบีกันสั้นหรือบีบีกันสไนเปอร์ก็ยิงเข้าเป้าตลอด บางทีเขาก็ขอเปลี่ยนเป้ากลมเป็นเป้ารูปร่างคน แล้วก็เลือกยิงในแต่ละจุด ถ้าส่งเสริมดีๆ คงได้เป็นนักยิงปืนทีมชาติแน่”
แจ็คสันรับฟังเจ้าหน้าที่สนามอยู่เงียบๆขณะจ้องมองยังแผ่นหลังบางที่ยังง่วนอยู่กับเกมกีฬายิงปืนอยู่ครู่หนึ่งจึงเปิดปาก
“ถ้าจะลองยิงบ้างต้องทำยังไง”
------------------------------------------------------------------
แบมแบมลดปืนที่ถือมาตลอดชั่วโมงวางลงบนโต๊ะข้างลูกบีบีกันที่หมดเกลี้ยงทั้งกล่อง
ดวงตากลมโตคู่สวยมองเป้าที่พรุนเพียงกลางเป้าก่อนหลับตาลงพลางทอดหายใจยาวอย่างเหนื่อยล้า
การมายิงปืนที่สนามเป็นสิ่งที่ทำให้เขาระลึกถึงพ่อและย้ำเตือนให้จำถึงการกระทำของพวกสารเลวที่พรากคนที่เขารักไปถึงสองชีวิต
พ่อเป็นตำรวจปราบปรามยาเสพติดและเป็นนักยิงปืนทีมชาติที่มีฝีมือหาตัวจับยาก...การยิงปืนจึงเป็นสิ่งที่เขาเต็มใจจะหัดมากกว่าการเข้าเรียนศิลปะการต่อสู้ เขาเคยนึกขี้เกียจเวลาต้องไปเรียนการต่อสู้แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันสำคัญกับเขาเพียงไหร่
‘คนตัวเล็กถ้าสู้ไม่เป็นก็มีแต่เสียเปรียบ เมื่อเรารู้วิธีสู้ที่ถูกต้องเราจะปกป้องตัวเองได้ แต่ต้องจำไว้ว่าสู้เพื่อปกป้องตัวเองและปกป้องคนที่เรารักไม่ใช่รังแกคนอื่น’
พ่อเอื้อเฟื้อต่อคนอื่นเสมอ แม้เขาจะเสียแม่ไปตั้งแต่ตอนคลอดแต่ไม่มีสักครั้งที่เขารู้สึกว่าขาด เงินทุกบาททุกสตางค์ที่แม่ได้มาจากมรดกของย่ามากมายขนาดที่กินใช้ไม่หมดแต่พ่อไม่เคยนำมันออกมาใช้โดยเลือกจะเก็บไว้ให้เขาใช้ในอนาคต พ่อเลี้ยงเขาด้วยเงินที่หามาจากน้ำพักน้ำแรงตัวเองและยังอุปการะผู้ชายอีกสองคน แม้คนหนึ่งจะทิ้งเขาไปหลังจากเกิดเรื่องไม่นานก็ตาม
...คนดีที่ถูกตอบแทนความดีอย่างสาหัญที่สุด...
เด็กหนุ่มเปิดตาขึ้นอีกครั้งเตรียมจะเอาที่ครอบหูออกแต่สายตาไปปะทะเข้ากับเป้าปืนที่อยู่ถัดจากตนเองซึ่งถูกยิงกลางเป้าจนทะลุขาดเป็นรูกว้าง พลันกระสุนลูกหนึ่งก็พุ่งมาทะลุผ่านกลางเป้าของเขาพอดี ในตอนแรกเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรกระทั่งหันไปเห็นชายหนุ่มสวมเพียงเสื้อเชิ้ตขาวยาวพับแขนกองไว้ตรงศอกสวมกางเกงสแล็คสีดำยืนกอดอกพิงแขนอยู่กับฉากกั้นคือคนเดียวกันกับที่เคยช่วยเขาและไม่อยากพบกันอีก...
แจ็คสันถอดที่ครอบหูไว้บนคอเอียงศีรษะมองดวงหน้าซีดขาวกับนัยน์ตากลมที่มองตอบเขามาอย่างเฉยชาจึงเหยียดมุมปากให้หากนั้นไม่ใช่รอยยิ้มเป็นเพียงการแย้มมันออกเท่านั้น
“บังเอิญจังนะ ไม่ยักรู้ว่าจะเจอกันอีกที่นี่” คนตัวใหญ่กว่าเริ่มบทสนทนาด้วยเสียงแหบต่ำที่ฟังแล้วเย็นถึงขั้วใจ แต่อีกฝ่ายเลือกไม่ตอบเพียงเก็บปืนและเป้าที่เลื่อนมาใกล้มือ
“จะไม่ทักทายกันหน่อยเหรอ” คำถามยังคงมาเป็นระลอก “จะรีบไปไหนล่ะ กลัวฉันแล้วเหรอ”
“คนอย่างคุณมีอะไรให้กลัว” คนตัวผอมวางที่ครอบหูก้มหยิบตะกร้ากวาดของบนโต๊ะใส่ลงมาแล้วกลับตัวเดินออกไปอีกทางเพื่อเข้าไปในห้องที่มีตู้ล็อกเกอร์ตั้งเรียงราย
“หน้าซีดขนาดนี้ น่าจะไปหาหมอนะ” เสียงแหบต่ำนั้นยังตามมาหลอกหลอนแต่เด็กหนุ่มเพียงเหลือบด้วยหางตาขณะคว้ากระเป๋าในล็อกเกอร์มาสะพายหลังปล่อยกุญแจให้เสียบคาอยู่เช่นนั้น
“ที่ไม่สอนเหรอว่าผู้ใหญ่พูดด้วย คุณเป็นเด็กก็ควรตอบ”
“คุณไม่ใช่ญาติผม” เสียงหวานติดแหบตอบกลับหยิบตะกร้าที่มีปืนบีบีกันสั้นวางอยู่แล้วเดินหนีไปอีกครั้งโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าสบตา หากเท้ากลับชะงักเพราะมือใหญ่ดึงกระเป๋ารั้งทั้งร่างให้เคลื่อนถอยกลับ
แบมแบมพยายามสะบัดยกศอกกระแทกไปข้างหลังพร้อมตอกส้นเท้าลงไปบนรองเท้าของคนข้างหลัง ทว่าอีกฝ่ายหลบพ้นจึงใช้แขนอีกข้างศอกกลับไปข้างหลังเลยถูกมือใหญ่คว้าและกระชากให้หันกลับมาเผชิญหน้า พลันปลายกระบอกปืนบีบีกันก็จรดบนหน้าผากของอีกคนเข้าพอดี
“ในนี้เหลือลูกบีบีกันอยู่ลูกหนึ่ง คุณเลือกเอา...จะปล่อยมือหรือให้กะโหลกร้าว” คนถือปืนในมือเตือนด้วยท่าทางสงบเหมือนการยิงปืนเข้าใส่ใครสักคนเป็นเรื่องปกติธรรมดาในชีวิต แปลกที่คนถูกจ่อปืนเองกลับไม่มีความกลัวใดอยู่ในดวงตาดังกับว่าการตายนั้นเป็นเรื่องที่คุ้นชินแทบทุกวัน
“ยิงสิ” ฝ่ายตรงข้ามบอกพลางเหลือบมองข้อมือผอมแทบหุ้มกระดูกมีรอยแผลเป็นน่ากลัวคล้ายถูกไฟไหม้ข้างที่ถือปืนซึ่งโผล่ออกมาจากชายแขนเสื้อที่ร่นลงไปกองครึ่งแขน ชั่วนาทีที่คนผอมเห็นสายตาของอีกคนจดจ่ออยู่กับแผลตรงข้อมือก็ชะงักเปิดโอกาสให้อีกคนยกสันมือกระแทกมือที่ถือปืนจ่ออยู่อย่างเร็วจนปืนหลุดไปบนพื้น
แบมแบมปรายมองปืนแล้วกลับมาจ้องใบหน้าหล่อคมคายของคนตรงหน้า แขนข้างหนึ่งยังถูกจับไว้แน่นราวกับคนจับไม่มีวันจะปล่อยให้หลุดไป ไม่ใช่เรื่องยากหากเขาจะสลัดให้หลุดเพราะการเรียนศิลปะป้องกันตัวทำให้รู้วิธีสู้ระยะประชิดแต่น้ำขมจากในท้องที่อยู่ๆแล่นมาจุกตรงคอทำให้สมาธิไปอยู่กับการกลืนมันกลับลงไป
“เด็กอายุเท่านี้น้อยคนนะที่จะยิงปืนและป้องกันตัวในระยะประชิดที่ไม่ใช่แบบต่อยตีของนักเลงข้างถนน” แจ็คสันกล่าวชมทอดมองคิ้วที่ขมวดแทบเป็นปมและคลายลงก็รู้ได้ในทันทีว่าคนตรงหน้ากำลังกักกลั้นบางสิ่งที่ปะทุอยู่ในร่างกายจึงปล่อยแขนผอมนั้นลง
“ยาไหม” เขาถาม คนตัวผอมไม่มองและไม่ตอบฉวยโอกาสนั้นวิ่งพรวดเดียวก็ไปยืนอยู่หน้าประตูห้อง ทว่ายังไม่ทันจะเดินพ้นก็ได้ยินเสียงไล่หลังมา
“ตัวคุณหอมนะ หอมเหมือนเด็กผู้หญิง...คงเป็นกลิ่นของดอกTuberoseที่คุณเก็บไว้ในกระเป๋าสินะ แปลกดีนะ ในยุคนี้ไม่น่ามีเด็กผู้ชายที่ไหนเก็บดอกไม้ที่ไม่ค่อยมีคนปลูกในเมืองไว้ในกระเป๋า”
เด็กหนุ่มหยุดเหมือนเท้าตายตรงประตูอยู่ไม่กี่วินาที ภายในรู้สึกเหมือนตนเองถูกอีกฝ่ายสำรวจลึกถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ก่อนจะเลือกเดินหนีไปทิ้งอีกคนไว้ในมองตามอย่างครุ่นคิด
...ในตอนแรกเขาไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อได้พินิจใจระยะใกล้คลับคล้ายคลับคาว่าเขาจะเคยพบกับเด็กคนนี้มาก่อน
ชายหนุ่มสูดลมหายใจ ปกติเขาจดจำคนได้ง่ายแม้พบกันเพียงครั้งเดียวแต่นี่กลับจำไม่ได้ว่าเคยพบที่ไหน เขาผ่อนลมหายใจออกพลางก้มมองพื้นที่มีกระบอกปืนบีบีกันตกอยู่ ไม่ไกลกันนั้นมีซองหนังใส่นามบัตรตกอยู่ เมื่อเอื้อมไปหยิบมาพลิกดูก็เห็นบัตรนักศึกษาที่มีภาพใบหน้าตรงของเด็กคนเมื่อครู่ติดอยู่
...อิม แบมุน...คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเค
มือใหญ่รื้อเอาบัตรนักศึกษาออกจากซองมาพลิกดูที่อยู่ตามด้วยบัตรโดยสารรถสาธารณะจึงได้เห็นรูปถ่ายกลางเก่ากลางใหม่ที่ซ่อนอยู่...รูปแรกเป็นภาพถ่ายเก่าของสตรีสวมเสื้อเชิ้ตสีชมพูคอบัวยิ้มให้อย่างอ่อนโยนอุ้มเด็กทารกคนหนึ่งในอ้อมแขน หากรูปที่ทำให้เขาต้องเพ่งมองอย่างตั้งใจคือรูปถ่ายของชายวัยกลางคนวางคางลงบนศีรษะของเด็กชายหน้าหวานโดยมีสตรีอีกนางชะโงกหน้าเข้ามา ทั้งหมดต่างยิ้มแย้มสดใสดูคล้ายกับเป็นภาพถ่ายครอบครัว
แจ็คสันเบิกตากว้างแทบทันทีที่เห็น นิ้วเรียวใหญ่ลูบเบาบนสตรีในภาพนั้นขณะเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะเงยมองไปยังประตูราวกับจะมองหาเงาของร่างที่เพิ่งจากไปด้วยแววตาขึ้งเครียด
...เด็กคนนั้นยังไม่ตาย...
0 Comments