Thorn Flower : CHAPTER TEN
06:11
เสียงส้นเท้าจากรองเท้าหนังราคาแพงกระทบพื้นสะท้อนก้องไปทั่วทั้งตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ที่ถูกดัดแปลงเป็นพื้นที่จัดเก็บสินค้าแทนการสร้างโกดักเก็บสินค้าเพื่อทุนระยะเวลาในการก่อสร้าง
ชายหนุ่มสวมชุดสูทสีดำอ่านรายงานที่ผู้ดูแลโกดักสินค้ามอบให้ครู่หนึ่งก็ส่งรายงานกลับคืนเดินไปตรวจเฟอร์นิเจอร์งานไม้แกะสลักอย่างประณีต
โซฟาหนังและโต๊ะหินอ่อนทั้งสไตล์คลาสสิคและลักซ์ซูรี่ราคาแพงระยับ
มือใหญ่มองหน้าจอปล่อยให้เครื่องเอ็กซ์เรย์ตรวจเครื่องเรือนที่ซุกซ่อนยาเสพติดและอาวุธที่ถูกแยกชิ้นส่วนเพื่อดูความแนบเนียน
จากนั้นจึงลงไปตรวจสินค้าทั้งหมดเพื่อหาจุดบกพร่องอีกครั้งพร้อมฟังผู้ดูแลเล่าถึงเหตุการณ์สุ่มตรวจจับสินค้าหนีภาษีและสิ่งผิดกฏหมายที่ท่าเรือ
แต่เส้นสายตำรวจที่มีและความประณีตในการซุกซ่อนของช่างที่ทำได้อย่างแนบเนียนแทบไม่ถูกตรวจสอบ
“ที่โซฟาหนังตรงตะเข็บข้างซ้ายใต้ที่เท้าแขนมีรอยปริสองเซนติเมตร...ให้ช่างมาจัดการซ่อมแซมซะและอย่าให้ฉันเห็นว่าทำงานไม่ละเอียดอีกเข้าใจไหม”
ผู้เป็นนายเอ่ยเสียงเย็นเยือกโดยไม่แม้แต่จะปรายมองผู้ดูแลโกดังที่โค้งศีรษะรับคำสั่ง
ในตอนนั้นเองผู้ติดตามก็ก้าวเข้ามากระซิบบางอย่างที่ข้างหู
แจ็คสันก้าวเท้าออกจากโกดังผ่านในส่วนโรงงานการผลิตเข้าไปในส่วนของสำนักงานเล็กที่อยู่ชั้นบนสุดของโรงงานปล่อยลูกน้องที่มีบุคลิกลักษณะกระทั่งการแต่งกายเดินไปยังลานจอดรถที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง
กอดอกมองรถสปอร์ตของตนเองเคลื่อนออกไปด้านนอกผ่านกระจกกันกระสุน
สักพักจึงเห็นรถยนต์อีกคันหนึ่งที่จอดซุ่มอยู่ขับตามออกไป
...เขารู้ตัวมานานแล้วว่าถูกติดตาม
และรู้กระทั่งว่าเป็นฝีมือของใคร...
...ฝ่ายนั้นก็คงระแคะระคายอยู่บ้างว่าตัวเองก็ถูกติดตาม
แต่การติดตามของเขาไม่ใช่การใช้คนแต่เป็นการใช้เทคโนโลยี...
...ความไว้วางใจระหว่างเขากับฝ่ายนั้นเหมือนจะหมดสิ้นลงตั้งแต่วันที่ประธานใหญ่แห่งลีโกสประกาศให้มาร์คขึ้นดำรงตำแหน่งรองประธานโดยมีผู้ตรวจสอบการทำงานคือเขา...
ชายหนุ่มทอดสายตาไกลออกไปยังยอดตึกสูงที่ห่างออกไปไกล...ยังจดจำได้ถึงช่วงเวลาที่ได้พบกันครั้งแรก
การใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกระทั่งวันหนึ่งที่เอ่ยปากถามถึงสิ่งที่รู้ว่าไม่มีวันเป็นไปได้
เพียงแต่เขาก็ยังหวัง หวังว่าฝ่ายนั้นจะยอมหลุดพ้น
...หยุดไหม
หนีไปด้วยกัน แค่เราสองคน...
...ถ้าหนีก็ต้องหนีไปตลอดชีวิต...
...ไปหาตำรวจสากลให้เขาช่วยคุ้มครอง...
...คิดหรือว่าในนั้นไม่มีสาย
ไม่มีอะไรหรอกที่โลกนี้ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน...
...แม้แต่ความรัก...
...ใช่...
...หัวใจผมด้วยสิ...
...ใช่...
บทสนทนาที่เกิดขึ้นบนดาดฟ้าตึกร้างก่อนวันประกาศการดำรงตำแหน่งรองประธานและผู้ตรวจสอบทำให้มิตรภาพระหว่างกันจบลงเหลือเพียงเพื่อนร่วมงานและพัฒนาไปในจุดที่เริ่มไม่ไว้วางใจกัน
...ประธานใหญ่เริ่มไม่เชื่อในตัวของคนที่อุ้มชูมา...
...คนคุ้นกับอำนาจพอถึงคราวต้องสละเริ่มหวั่นไหว...
...ผู้ชายคนนั้นไม่เคยรู้...
...ในบรรดาทุกสิ่งที่ว่าซื้อได้ด้วยเงิน
ความภักดีที่มาร์คมีต่อประธานใหญ่ลีโกสคือสิ่งที่ใช้ใจไม่ใช่เงิน...
นัยน์ตาคมสีนิลมีแววกร้าวขึ้นก่อนจะหยิบโทรศัพท์ในมือขึ้นมามองข้อความแจ้งเตือนบนหน้าจอให้รู้ว่า
มีบางคนกำลังทำบางอย่างนอกเหนือคำสั่ง
ไม่ถึงนาทีเขาก้าวออกจากสำนักงานขึ้นไปรถยนต์สีดำที่พบเจอได้ทั่วเกาหลีขับออกจากลานจอดไป
-----------------------------------------
เสียงเคาะนามบัตรแข็งกับเคาน์เตอร์ไม้ในร้านกาแฟดังเป็นจังหวะบอกถึงความกังวลของคนตัวใหญ่ที่เท้าแขนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
แม้จะสอบถามเอาความเรื่องผู้ชายแปลกหน้าที่น้องไปอยู่ด้วยหลายหนแล้วก็ยังไม่พอใจ
ตะกอนในใจที่ตกค้างทำให้นัยน์ตาคมแข็งจ้องหญิงสาวที่เดินกลับจากเก็บถ้วยกาแฟของลูกค้ามาไว้ในอ่าง
...มันก็นานแล้วที่เขาตัดสินใจหย่าร้างกับคนตรงหน้า...
...ช่วงเวลาหลายปีของการใช้ชีวิตคู่
ฮโยซองเป็นผู้หญิงที่ดีมาโดยตลอด...แน่นอนว่าความรู้สึกผิดที่หลอกมีผลต่อการตัดสินใจหย่า
แต่เหตุผลหลักที่แท้จริงนั้นทั้งคู่ต่างรู้ดีว่าคืออะไร...
“คุณทำได้ยังไง”
เสียงเข้มดุเอ่ยถามทำให้คนที่ก้มหน้าง่วนกับการล้างจานชะงัก
“คุณหมายความว่ายังไงคะ”
ฮยองโซถามยังคงไม่หันกลับไปมองคู่สนทนาของตัวเอง
“ผู้ชายคนนั้น...คุณปล่อยน้องผมไปอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นได้ยังไง”
“ฉันไม่ได้ปล่อยนะคะ
แต่แบมยืนยันว่าเป็นรุ่นพี่ แค่ไปช่วยงาน ตอนแรกฉันก็ไม่ได้จะปล่อยไปแต่แบมเขายืนยันและฉันก็ติดต่อคุณไม่ได้ก็เลย
ต้องยอมให้แบมทำแบบนั้น”
“ถึงจะอย่างนั้นคุณก็ควรหนักแน่นกว่านี้...คุณมั่นใจได้ยังไงว่าแบมบอกไม่เป็นไรแล้วจะไม่เป็นอะไรจริงๆ”
“ฉันส่งข้อความเช็กกับแบมแล้ว
เขาว่าไม่เป็นไรก็เลย...” เจ้าหล่อนสะดุ้งหยุดพูดทันทีที่ได้ยินเสียงฝ่ามือของอีกฝ่ายทุบลงบนโต๊ะอย่างแรงด้วยความร้อนใจ
“ก็เลยปล่อยเขาไป...ปล่อยเขาไปเหมือนตอนที่คุณพูดกับผมว่า
ผมรักแต่น้องไม่เคยมองเห็นคุณ แล้วก็ปล่อยให้คำพูดนั้นมันกัดกร่อนเขา
ผลักไสความผิดไปให้เขาทั้งที่มันเป็นความผิดของผม”
“ฉันไม่ได้...”
“คุณจำไว้นะฮโยซอง...ผมไม่ใช่คนใจดีหรือพ่อพระ
ทุกวันนี้ที่ผมยอมให้คุณดูแลเขาเพราะเขาบอกว่าคุณคือพี่สาว
คือคนเดียวที่เขายอมให้ดูแลนอกจากผม ถ้าคุณคิดจะใช้ความใจดีของเขา
ผลักเขาไปหาคนอื่นเพื่อให้ผมกลับมามองคุณบ้าง ขอบอกเลยว่าไร้ประโยชน์”
ฮโยซองรับฟังถ้อยคำที่ทิ่มแทงลึกถึงหัวใจจนมือที่ถือชามทั้งสองข้างสั่น
...คุณมีเขาอยู่เต็มหัวใจ
คุณให้เขาไปทั้งชีวิตของคุณ แล้วฉันล่ะคะ ฉันในฐานะภรรยาของคุณ
ฉันไม่มีสิทธิ์สักนิดเลยเหรอคะ สักนิดที่คุณจะมองฉัน รักฉันเหมือนที่ฉันรักคุณ
ทำไมถึงมีแต่เขาที่ได้ไป...
ข้อความที่หลุดจากปากในวันนั้นยังสะท้อนก้องอยู่ในหู
ความอิจฉา อึดอัด
หึงหวงและทุกอย่างที่ประดังประเดในวันนั้นทำให้เธอพูดสิ่งที่ร้ายกาจที่สุดออกไปซึ่งแม้จะผ่านมาเป็นปีก็ยังรู้สึกผิดและเจ็บปวด
น้ำตาอุ่นรื้นขังขอบตาและรินออกมาอาบแก้ม...เธอพยายามที่สุดในการดูแลเพื่อชดเชยกับสิ่งที่ได้รับแต่เมื่อถูกคนที่ยังรักย้ำคำที่เป็นตราบาปยิ่งกว่าที่เคยถูกคนโฉดจับไปขายราวกับเหมือนใจถูกกรีด
“เรื่องนี้ผมตัดสินใจเอง...ถ้าจะด่าเธอ
ก็มาด่าผมนี้”
เสียงแหบแห้งของอีกคนที่ดังขึ้นเบื้องหลังทำให้ชายหนุ่มหันมามองพร้อมผละจากเคาน์เตอร์ตรงเข้ามาหา
กันต์พิมุกต์ปรายตาไปยังหญิงสาวที่เช็ดน้ำตาปรอยๆ
ด้วยแววตาเรียบเฉยแล้วตวัดกลับมายังคนตัวใหญ่จึงเอ่ยปาก
“ไปคุยกันข้างหลัง”
คนเป็นพี่ถอนหายใจให้ความเย็นของดวงตาก่อนเดินตามหลังร่างผอมบางที่เดินนำไปยังด้านหลังร้าน
เมื่ออยู่กันตามลำพังเขาก็เริ่มร่ายยาวถามไถ่ถึงผู้ชายแปลกหน้าที่น้องไปอาศัยอยู่ด้วย
“พี่ไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่แบมต้องไปอยู่กับเขา...แค่ช่วยวิเคราะห์งานวิจัย
รับมาทำที่บ้านก็ได้”
“ผมบอกแล้ว
ไม่เป็นไร...ก็คือไม่เป็นไร” น้ำเสียงคนตอบยังเฉยชา
“ไม่เป็นไรได้ยังไง
เขาเป็นใครพี่ก็ไม่รู้ ถึงจะทิ้งนามบัตรไว้ให้ก็เถอะแต่พี่โทรไปก็ติดต่อเขาไม่ได้
ตกลงแล้วเขาใช่รุ่นพี่ที่เคยเรียนอยู่ด้วยกันจริงๆใช่ไหม”
“อืม”
“แล้วรู้จักกันได้ยังไง” คนเป็นพี่ยังคงถามเพราะรู้นิสัยดีอยู่ว่า
นอกจากอาจารย์ที่คณะน้องก็ไม่สุงสิงกับใครอื่นอีก
“บังเอิญ”
“แบม
พี่ขอร้อง...มีอะไรก็พูดกับพี่ อย่าทำอะไรลับหลังพี่”
“ผมไม่เคยทำอะไรลับหลังคุณ
แต่คุณจะไม่เชื่อใจผมมันก็ไม่แปลก
เพราะคุณยังสงสัยว่าผมเป็นคนร้ายที่เอาปืนพ่อไปไล่ยิงไอ้สารเลวนั้นได้เลยนิ” ประโยคนั้นราบเรียบเหมือนไม่มีความรู้สึกเช่นเดียวกับแววตา
หากคนเคยคุ้นรับรู้ถึงเศษเสี้ยวความทุกข์ที่ปลิดปลิวมา
“พี่ขอโทษ” เสียงเข้มนั้นเอ่ยผะแผ่ว
คนตัวผอมมองชายหนุ่มตัวใหญ่ที่มีรอยแห่งความเครียดและความกังวลฉายชัดบนใบหน้าที่คล้ายจะซูบตอบลงกว่าครั้งสุดท้ายที่พบกันทำให้มือเย็นยื่นออกไปแตะเบาบนแขนแข็งแรงนั้น
“คุณผอมลง”
“อยู่กับพวกนั้นพี่กินอะไรไม่ค่อยลง”
“แล้วทำไมวันนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“ทางนั้นบอกให้พี่พักแล้วถึงเวลาจะเรียกตัวไป”
“กลับมาที่เดิมอีกแล้วสิ”
ถ้อยคำมีแววอ่อนลงนั้นทำให้แจบอมที่เม้มริมฝีปากทอดสายตามายังอีกคนที่ดูบอบบางและซีดเซียวอย่างยิ่งตรงหน้า...ความเครียดจากงานที่คล้ายจะไม่คืบหน้าและความเป็นห่วงที่ต้องปล่อยน้องไว้กับคนแปลกหน้าโดยทำไม่ได้กระทั่งทัดทานทับถมลงบนตัว หากไม่ทันได้เอ่ยปากพูดก็คล้ายมีเสียงสั่นสะเทือนของบางสิ่งในกระเป๋าของคนตัวผอมแต่เจ้าตัวกลับเลือกไม่สนใจ
แม้ว่ามันจะสั่นอย่างไม่มีทีท่าจะหยุดก็ตาม
พลันประตูด้านหลังของร้านก็เปิดออกก่อนที่ชายหนุ่มหน้าตาดุดันสวมสูทสีดำสั่งตัดราคาแพงจะก้าวเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าคนทั้งคู่โดยมีฮโยซองที่วิ่งตามมารั้งแต่รั้งไม่อยู่ที่ด้านหลัง ก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะขยับขานเรียกอีกคนด้วยแววน้ำเสียงเย็นยะเยือกจับจิต
“คุณกันต์พิมุกต์...คุณไม่เคยเชื่อฟังผมเลย”
------------------------------------------------------------------------
แจบอมนั่งอยู่บนเก้าอี้ใหม่มองชายหนุ่มแปลกหน้าที่นั่งไขว่ห้างทอดนัยน์ตาคมกริบสีนิลจ้องลึกเข้ามายังดวงตาของเขาดูราวกับกำลังอ่านความคิดกันและกันอยู่
ท่วงท่าอันสงบนิ่งนั้นกลับมีรัศมีบางอย่างให้สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจแฝงอยู่ในตัวชวนให้รู้สึกว่า
คนตรงหน้าไม่ใช่ที่ปรึกษาระดับสูงธรรมดา
กันต์พิมุกต์กอดอกพิงเคาน์เตอร์อยู่ข้างฮโยซองนิ่งงัน...ความจริงที่นั่งข้างใครสักคนตรงนั้นควรเป็นของเขาแต่ทั้งคู่พร้อมใจกันขอคุยเป็นการส่วนตัวอย่างแข็งขันจึงคร้านจะยุ่ง
“ผมเข้าใจครับว่างานวิจัยชิ้นนี้ของคุณสำคัญกับวงการการแพทย์
แต่ผมไม่เห็นความจำเป็นที่แบมต้องไปอยู่กับคุณ
ถ้ายังไงให้เขาไปช่วยงานคุณแล้วกลับมานอนที่บ้านน่าจะดีกว่า”
คนแปลกหน้าในชุดดำยังคงนิ่งเพียงยกถ้วยอเมริกาโน่ขึ้นสูดกลิ่นหอมแล้วเหยียดริมฝีปากหากมิใช่รอยยิ้ม
“กลับไปหาความว่างเปล่าน่ะเหรอ” ถ้อยประโยคจากเสียงทุ้มติดแหบนั้นกล่าวขึ้นอย่างเรียบเย็นแต่มีนัยยะแฝง “คุณรู้หรือเปล่าว่า น้องชายคุณเกือบตายเพราะเป็นลมกลางถนน”
“อะ...อะไรนะครับ”
“และคุณคงไม่ทราบด้วยว่า
เมื่อวานนี้เขาเป็นลมกลางบ้านผม...ผมถือวิสาสะดูยาในกระเป๋าเขาแล้ว
เหมือนว่าเขาจะเป็นโรคกระเพาะ พอไม่กินยาตรงเวลาก็เลยปวดหนัก”
แจบอมกระพริบตาหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนกอดอกมองผ่านกระจกใสของร้านออกไปด้านนอก...เรื่องป่วยที่เขารับรู้ว่าน้องทำการรักษามีเพียงอาการทางจิตแต่โรคกระเพาะนั้นเหมือนจะเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
“อาการเขาไม่หนักหนาอะไรหรอก” คนตรงข้ามพูดปด “ผมทราบมาว่า คุณทำงานไม่เป็นที่เลยค่อยได้อยู่บ้าน
และตัวแบมเองเขาก็เป็นประเภทไม่ชอบพูด ไม่ชอบให้ใครเป็นห่วง
พอเขาป่วยอะไรเพิ่มขึ้นมาคุณก็คงไม่ทราบ
ซึ่งการที่คุณไม่ค่อยอยู่บ้านถ้าเขาเกิดเป็นลมอีก
ส่งเขากลับไปมิเท่ากับผมทำร้ายเขาทางอ้อมเหรอ”
“แต่นับจากนี้ผมคิดว่า
ผมพอจะมีเวลาดูแลเขามากกว่าเก่า คงไม่จำเป็นต้องให้คุณมาร่วมรับผิดชอบ
เพราะเขาเป็นน้องชายผม”
“มันก็ไม่แน่หรอกครับ...คนเคยทำงานไม่เป็นเวลา
นายจะเรียกใช้ตอนไหนก็ได้อย่างคุณ
ใครจะรู้อีกสิบยี่สิบนาทีนี้อาจมีคำสั่งตามตัวไปทำงานด่วนก็ได้”
“บางครั้งงานผมก็มีระยะเวลาในการรองานนานเหมือนกันนะครับ”
“แหม
ผมนี่อยากรู้จริงๆว่าคุณทำงานอะไร
ถึงต้องมีเวลารองาน...คงไม่ได้เป็นตำรวจหรอกใช่ไหม”
คำถามเจือรอยยิ้มจางคล้ายจะหยอกและคล้ายจะจริงจังนั้นทำให้คนฟังเหมือนถูกใครเอามีดมาสะกิดใจพร้อมกับการจ้องตาก็ดำเนินขึ้นมาอีก
...สัญชาตญาณเตือนเขาตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นหน้าผู้ชายคนนี้แล้วว่า
ไม่ธรรมดา และเหมือนจะไม่ธรรมดาจริงๆ...
ช่วงเวลานั้นอยู่ๆโทรศัพท์ของเขาก็เกิดดังขึ้น
มือใหญ่หยิบมันออกมาดูก่อนจะเห็นข้อความจากหัวหน้าบอดี้การ์ดส่งมาหาเพื่อตามตัวให้กลับไปคุยเรื่องงานใหม่ที่จะมอบหมายใหม่
ชายหนุ่มเก็บโทรศัพท์เงยหน้าไปยังคนตรงข้ามที่จิบกาแฟทีละน้อยอย่างไม่เร่งร้อน
“เหมือนว่าจะได้รับงานใหม่ใช่ไหมครับ”
“ถึงผมจะได้รับงานใหม่
แต่ยังไงก็ตามผมก็ไม่อนุญาตให้น้องผมไปอยู่กับคุณ
ถ้าผมไม่มีเวลาที่จะดูแลเขาแต่มีคนอื่นที่ผมไว้ใจและสามารถดูแลเขาได้อยู่
คงไม่ต้องรบกวนที่พักของคุณ”
“ผมไม่คิดว่าอดีตภรรยาของคุณจะมีเวลาขนาดนั้นหรอก
ร้านกาแฟเป็นธุรกิจที่วุ่นวายพอสมควรนะครับ มันไม่ใช่แค่ชงกาแฟแล้วจบ”
คนพูดเงียบเสียงลงเมื่อเห็นอีกคนหันไปทางหญิงสาวที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์จึงเอ่ยต่อ “เธอไม่ได้เล่าหรอกครับ
ผมแค่สังเกตเอาจากการที่เธอพูดถึงคุณ...มันไม่ใช่แบบพี่น้องหรือมีความสัมพันธ์แบบที่ดีสักเท่าไหร่”
“คุณเป็นคนที่อ่านคนเก่งนะครับ
แต่แบมน่ะไม่ใช่เด็กแบบที่คุณคิดหรอก เขาซับซ้อนกว่าที่คุณเห็น”
“ผมรู้...แต่ถ้าเขาอยู่กับผม
เขาจะปลอดภัย”
คำตอบนั้นลงน้ำเสียงหนักแน่นเหมือนเอ่ยถึงคนที่มีความหมายสำคัญอย่างยิ่งในตอนท้ายทำให้คนได้ยินขมวดคิ้วเริ่มระแวดระวัง
“ดูเหมือนกับน้องผมไปทำอะไรไม่ดีเอาไว้”
“ไม่หรอกครับ”
“ความหมายว่าปลอดภัยกว่าของคุณคืออะไร”
“ปลอดภัยจากอะไรก็ตามที่ทำร้ายเขาอยู่”
แจบอมหัวเราะในลำคอแทบจะทันทีที่ได้ยินพร้อมปรายตามายังคนที่อยู่ตรงข้ามแล้วยกยิ้มหยัน
“คุณพูดเหมือนรู้จักแบมดีทั้งที่คุณก็เป็นแค่รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย”
“การพบมานานกว่า
อยู่ด้วยกันมานานกว่า ไม่ได้บ่งบอกว่าเราจะรู้จักใครสักคนดีหรอกนะครับ” เป็นอีกครั้งที่ถ้อยคำของคนแปลกหน้ากระทบเข้าที่ใจราวกับเป็นคนฟังเสียเอง
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ...แค่ช่วงนี้เท่านั้น แค่สามเดือนนี้
หลังเสร็จงานวิจัยชิ้นนี้เมื่อไหร่ ผมจะคืนเขาให้ ผมไม่ชอบแย่งของใครถ้าไม่จำเป็น”
คราวนี้ดวงตาสีนิลเริ่มมีประกายหยอกล้อ
ทว่าคนที่นั่งฟังอยู่ทุกประโยคเริ่มรู้สึกได้ถึงความคุกรุ่นที่อยู่ภายในแต่จำต้องซ่อนเหมือนไม่รู้สา
ก่อนที่เสียงโทรศัพท์จะสั่นอีกหนแต่คราวนี้แจบอมแค่พลิกดูแต่ไม่สนใจแม้จะมีเสียงเรียกเข้าโทรเข้ามาก็ยังนิ่งจนคนตัวผอมที่ยืนกอดอกห่างออกไปไม่ไกลเดินเข้ามาดึงแขนเสื้อเชิ้ตเลยเงยหน้ามอง
“โทรศัพท์”
“พี่รู้”
“ถ้ามีงานก็ไปทำ...บอกแล้วว่าไม่เป็นไร”
แบมมองดวงตาห่วงใยอย่างยิ่งของอีกคนพร้อมกับมืออุ่นที่ยื่นมาจับมือที่ซ่อนอยู่ใต้ชายเสื้อแขนยาว
รับรู้ถึงคำขอโทษ ความรู้สึกผิดเลยบีบมือเบาๆ
...ภาษากายบางคราสำคัญกว่าภาษาพูด...
“พี่ไปเถอะ งานสำคัญกว่า” คนตัวใหญ่กว่าเม้มริมฝีปากมีความเจ็บปวดหลั่งไหลมาแต่ต้องฝืนไม่รู้สึก
อีกครั้งที่โทรศัพท์ดังขึ้นและครั้งนี้เขากำโทรศัพท์ไว้แน่นแล้วลุกจากเก้าอี้
“ตกลง...ผมยอมให้น้องอยู่กับคุณ
แต่ผมจะโทรไปหาคุณเพื่อเช็กความเป็นอยู่ของแบม คุณต้องให้ผมได้ยินเสียงหรือให้เขารับสายผม”
“ได้ครับ
ผมจะไม่ทำให้คุณกังวลจนงานเสียแน่นอน แล้วผมจะให้เขาโทรหาคุณฮโยซองทุกวันด้วย”
“ครับ ขอบคุณ” แจบอมบอกพลางพยักหน้าเหลียวมองหน้าของคนสำคัญครู่หนึ่งพลางยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้ายก็รับสายแล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปจากร้าน
กันต์พิมุกต์ยืนมองบานประตูไม้ที่ปิดสนิทกับกรอบเงียบงันในดวงตามีความเห็นใจแทรกซ้อนอยู่ในความกระด้างแข็ง
ทำให้คนตัวใหญ่ที่มองอยู่เหยียดริมฝีปาก หยิบธนบัตรวางลงบนโต๊ะเป็นค่ากาแฟ
“แบมแบม...กลับได้แล้ว” เสียงเย็นที่ดังจากเบื้องหลังเรียกอีกคนให้หยุดมองตามหันไปก้มศีรษะให้ฮโยซองและปล่อยให้อีกคนเดินนำหน้าผ่านไปก่อน
หากในจังหวะที่เฉียดผ่านกันริมฝีปากของอีกคนกลับขยับ
“ถ้าไม่อยากใช้ชีวิตเหมือนโดนคุมขัง...คุณต้องฟังผม”
แบมแบมตาแข็งไปในวินาทีที่ได้ยินผู้ชายที่เขาไม่เต็มใจอาศัยอยู่ด้วยเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงลึกต่ำราวกับจะกดอีกคนลงให้จมดินและไร้แววปราณี
แล้วมองตามแผ่นหลังกว้างที่ขยับเคลื่อนห่างออกไปทีละน้อยนั้นเขม็ง
...ต้องระวังตัวมากกว่านี้...
---------------------------------
การประชุมกับฝ่ายการตลาดถึงแคมเปญใหม่ในการโปรโมทโรงแรมที่ไปร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวจบลงตรงที่ให้จัดหาบริษัทเสนอชื่อเพื่อร่วมประมูลโครงการ
มาร์คยืนสนทนากับผู้บริหารบ้างคนที่เดินเข้ามาถามไถ่ถึงอุบัติเหตุที่เขาได้ชี้แจ้งไปก่อนการเริ่มประชุมรวมถึงโรงพยาบาลที่ประธานใหญ่ของลีโกสรักษาตัว
ชายหนุ่มตอบคำถามด้วยรอยยิ้มบางและสุภาพ...ภาพลักษณ์เทพบุตรที่เขาสร้างขึ้นถูกนำมาใช้ในเวลาที่พบปะผู้คนในโลกธุรกิจสีขาว
หลังจากชี้แจ้งเรียบร้อยก็ก้าวเท้ากลับเข้ามาในห้องสูทของโรงแรมที่จัดไว้เป็นห้องพักส่วนตัวพลางเปิดแท็ปเล็ตดูรายงานความคืบหน้าจากสัญญาณรถยนต์ที่แอบติดตั้งไว้บนรถของคนที่เขาไม่ไว้ใจ
ไฟบนจอกะพริบบอกที่อยู่ตรงเกสต์เฮ้าส์กลางฮงแดจึงพับหน้าต่างและเปิดภาพถ่ายและข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับเหตุการณ์ถูกลอบยิงที่ลูกน้องของมือขวาคนสำคัญของพ่อเลี้ยงตนเองลอบส่งมาให้
รองประธานบริหารลีโกสเอนหลังกับพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลงอย่างอ่อนล้า
ความเจ็บปวดจากกระสุนนั้นไม่เหลือคงมีเพียงรอยแผลที่เตือนให้ระลึกถึงภาพของมือปืนที่ปราดเข้ามาอย่างรวดเร็วในวันนั้น
ในเวลานั้นอยู่ๆด้านนอกสายฝนก็เริ่มเทกระหนำลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
กลิ่นชื้นของอากาศด้านนอกลอยลอดเข้ามาในห้องที่อวลด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้หลากพันธุ์
พลันภาพของเด็กที่เปื้อนเปรอะด้วยเลือดออกมาด้วยความตกใจอย่างขีดสุดและภาพใบหน้าที่คล้ายว่าจะเป็นเด็กคนนั้นซึ่งเขาเห็นระหว่างนั่งรถจะลอยเข้ามาในความคิดจนร่างโปร่งสะดุ้งลุกจากพนักมานั่งหอบหายใจ
ดวงตาสีเปลือกไม้กระพริบถี่พร้อมกับเส้นเลือดที่ปูดโปนตรงขมับ...การฆ่าเด็กคนนั้นจึงติดตรึงอยู่ราวกับเป็นตราบาปเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองยังมีเลือดเนื้อ
ความเจ็บปวดจากการมีอยู่ทำให้รู้ว่ายังมีชีวิตมิใช่แค่ซากชีวิตที่อยู่เพื่อความกตัญญู
...ถ้าไม่ได้ตาฝาดและเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่
มันจะเป็นยังไงกัน...
เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำให้นิ้วเรียวกดแป้นพิมพ์เรียกภาพวงจรปิดจากกล้องที่ติดหน้าห้องขึ้นดู
เห็นเลขานุการของตนเองเลยกดอินเตอร์คอมถามไถ่เมื่อได้รับรายงานว่ามีใครมารอพบอยู่ก็ถอนหายใจลุกออกจากห้องไป
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมชุดสีดำทับด้วยแจ็กเก็ตหนังทั้งตัวสวมแว่นตาสีชานั่งอยู่บนโซฟาราคาแพงตรงล็อบบี้ของโรงแรมโดยมีพนักงานต้อนรับให้บริการเสิร์ฟเครื่องดื่มและอาหารให้เป็นอย่างดีด้วยรู้ฐานะของอีกฝ่ายว่าเป็นทายาทใคร
ความจริงพนักงานแถมทุกธุรกิจที่พ่อเป็นเจ้าของรับรู้ว่าเขาเป็นลูกชาย
แต่ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงอะไรในการบริหาร
และโรงแรมนี้เขาเคยถูกคนเป็นพี่ต่างสายเลือดห้ามไม่ให้มาและการมาพบหน้ากับคนที่ชังน้ำหน้าเขาอย่างที่สุดแน่นอนว่าต้องสร้างบาดแผลที่ลึกอยู่แล้วให้ลึกกว่าเดิม
ทว่าเพราะอุบัติเหตุของพ่อทำให้เขาต้องมา
ถึงจะไม่เคยได้รับความไยดีแต่ลึกๆแล้วความเป็นลูกทำให้ยังมีสายใยแห่งความห่วงใยที่ตัดขาดไม่อยู่
“นายไม่ควรมาที่นี่” เสียงเย็นเอ่ยจากด้านหลังนั้นเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยดีในระยะหลังแต่ไม่ว่าจะได้ยินสักกี่ครั้งก็ยังทำให้รู้สึกปวดแปลบในใจได้เสมอ
คนเป็นน้องนั่งนิ่งเหมือนเตรียมใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะหันไปยิ้มเหยียดพลางพาดขาเหยียดไปยังเก้าอี้อีกตัววางท่ากวนประสาทเหมือนไม่รู้สาอะไรทั้งที่ข้างในใจนั้นทั้งสั่นทั้งเจ็บ
ดวงตาคมทอดไปยังร่างโปร่งบางในชุดสูทที่ยืนเฉยห่างออกไปไม่กี่เมตรซึ่งมีสีหน้าและแววตาราบเรียบราวกับไม่ว่าเขาจะทำตัวยังไงก็ไม่มีผลกระทบอะไรด้วยแม้แต่น้อย
“โห
มาถึงก็ไล่กันเลยนะครับ”
“กลับไปซะ” ประโยคนั้นดังขึ้นมาอีก
“ผมก็ไม่ได้อยากมาที่นี่นักหรอก
แต่ผมได้ยินเรื่องอุบัติเหตุของพ่อ ก็เลยอยากมาถาม”
“มันไม่ใช่เรื่องที่เด็กต้องรู้”
“แต่เขาเป็นพ่อผมนะ”
ถ้อยคำจากริมฝีปากของคนอ่อนกว่าทำให้คราวนี้คนหน้านิ่งมีรอยยิ้มผุดตรงมุมปาก
เป็นรอยแย้มที่คนนอกยากจะตีความหากอีกคนรับรู้ว่ามันคือการหยามหยัน
...มาร์ค ต้วน
รู้ดีว่าจะทำยังไงให้เขาเจ็บ...
...พี่ชายคนดีไม่มีอีกแล้ว...
“ไม่เคยแยแสหรือสนใจอะไรอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
แล้วจะแคร์ไปทำไม”
“ถึงผมจะเลว
ผมก็ไม่เลวขนาดเห็นพ่อเข้าโรงพยาบาลแล้วจะไม่ถามหรอกนะ”
“ถามไปก็เท่านั้น
นายทำอะไรไม่ได้หรอก กลับไปซะ กลับไปใช้ชีวิตที่นายอยากใช้ ไม่ต้องสนใจอะไรหรอก”
“ทำไมพี่ถึงเอาแต่ไล่ผมแบบนี้วะ...โรงแรมนี่มันไม่ใช่ของพี่คนเดียว
มันก็ของผมเหมือนกัน ผมเป็นลูกของเขาถึงจะไม่ใช่คนโปรดอะไรก็เป็นลูกทางสายเลือด
ทำไมผมจะไม่มีสิทธิ์มาเหยียบที่นี่”
ยูคยอมลุกจากเก้าอี้เริ่มขึ้นเสียงด้วยสีหน้าแววตาแข็งกระด้างและหอบหายใจ
มือทั้งสองข้ามกำหมัดแรงจนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อมือ ฝ่ายตรงข้ามกอดอกไม่สะทกสะท้านต่อคำถามเพียงแต่พ่นลมอุ่นและเสียงในลำคอออกมาสั้นๆ
“เพราะนายเป็นลูกแท้ๆของเขาไง
ถึงมาที่นี่ไม่ได้...ฉันจะนับหนึ่งถึงสาม ถ้านายไม่ออกไป พี่จะให้คนเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยมาลากออกไป
นายคงไม่อยากถูกทำลายศักดิ์ศรีขนาดนั้นหรอกมั้ง”
คนตัวใหญ่กว่าแลใบหน้านวลขาวที่ไม่มีรอยละมุนใดแม้แต่น้อยแสร้งปั้นหน้าจากโกรธเป็นยิ้มแต่ดวงตาทั้งคู่อาบด้วยความเจ็บสาหัญ
ถ้อยความที่มีนัยยะนั้นไม่สะกิดหัวใจของคนกระด้างที่ด้านชาเกินกว่าจะรับรู้แม้แต่น้อย
“ได้
ผมจะไปและจะจำเอาไว้ว่า ตัวเองก็แค่มีเลือดเขาในตัวแต่คงไม่เคยถูกมองเป็นลูก” เขาเอ่ยทีละคำพลางเลียริมฝีปากแล้วหุนหันเดินออกจากล็อบบี้ไปทันที
มาร์คทอดสายตามองแผ่นหลังกว้างที่เดินออกจากล็อบบี้โรงแรมหายออกไปด้านนอก
ชั่ววินาทีหนึ่งนัยน์ตาแข็งกระด้างมีแววอ่อนล้าระคนเห็นใจและทุกข์ทรมาน
...เขายังจำได้ถึงบทสนทนา แววตา
น้ำเสียงและไออุ่นที่คนเป็นน้องมอบให้ ความทรงจำอันสวยงามราวภาพฝันระหว่างทั้งคู่ถูกฉีกกระชากจากคำสั่งของคนที่เขาไม่อาจแม้แต่จะปฏิเสธ...
...เพราะเป็นลูกแท้ๆ
ผู้ชายคนนั้นถึงไม่อยากให้ลูกรับรู้ว่า คนเป็นพ่อทำอะไรเลวทรามเอาไว้...
...ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าอาจเป็นเครื่องมือที่ผู้มีพระคุณชุบเลี้ยงไว้เพื่อเป็นบันไดให้ลูกแท้ก้าวขึ้นมา...
...แต่เขาก็ทำได้แค่ก้มหน้ารับชะตาด้วยชีวิตนี้มิได้เป็นของเขาอีกต่อไปแล้ว
0 Comments