Thorn Flower : CHAPTER THREE
05:16
ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในรถยนต์กลางเก่ากลางใหม่สีดำจอดติดเครื่องใกล้กับคลับเฮ้าส์หรูชานกรุงโซลปะทะเข้ากับกายใหญ่ของชายหนุ่มในชุดสูทที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถ
เขาทอดลมหายใจยาวอย่างอ่อนล้าก่อนเหลียวไปยังเบาะหลังรถนิ่งนานด้วยรู้ว่าช่องลับใต้เบาะนั้นมีปืนสไนเปอร์ไรเฟิลกระบอกหนึ่งซ่อนอยู่
ครั้งหนึ่งปืนกระบอกนี้เคยเป็นของผู้มีพระคุณที่ช่วยเขาให้พ้นจากสภาพชีวิตเด็กอันธพาล ทำชั่วทุกอย่างตั้งแต่รีดไถไปจนถึงเดินยาให้กับพวกแก๊งค์ข้างถนน เกือบติดคุกติดตารางกระทั่งตายก็หลายหนให้กลับมาเป็นผู้เป็นคนในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
...ปืนที่ไม่ผ่านการใช้งานมานานห้าปีถูกนำมาเช็ดทำความสะอาดอย่างดี แต่กลับมีคราบเขม่าเล็กๆ แทบมองไม่เห็นเกาะอยู่ด้านในปากกระบอกปืน...
แจบอมถอนหายใจหนักเป็นคำรบสองด้วยความรู้สึกคล้ายมีหินก้อนใหญ่ทับอยู่บนบ่า...เขาภาวนาว่ามันจะไม่ใช่ร่องรอยที่เหลือจากเหตุการณ์ ภาวนาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นฝีมือของคนที่เขาสาบานกับตัวเองตลอดเวลาว่าจะไม่ยอมให้มีความชั่วร้ายใดมาทำให้มัวหม่น
มือหนาเสยผมไปมาพลางเอนหลังพิงศีรษะบนพนักเบาะหนังก่อนที่มือจะล้วงเข้าไปในช่องลับใต้เบาะฝั่งคนขับหยิบเอาสมาร์ทโฟนที่กำลังสั่นออกมาดูหน้าจอและกดรับสาย
“เรื่องยิงกันที่โกดังร้างเมื่อวานเป็นยังไงบ้าง” เขาเอ่ยถามปลายสายทันที
“กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบวิถีกระสุนกับหลักฐานจากที่เกิดเหตุรวมทั้งศพทั้งหมดแล้ว เห็นว่าเป็นการยิงที่มาจากในระนาบใกล้เคียงกัน และกระสุนที่ทำให้เสียชีวิตก็เป็นกระสุนจากปืนในที่เกิดเหตุ รูปการณ์แบบนี้คงตั้งใจเอาการเจรจาเรื่องซื้อกิจการบังหน้าเพื่อลวงคู่แข่งมาฆ่า”
“ไม่จางจงอุคกำลังจะล้มละลาย จางจงอุคไม่มีความหมายกับลีโกสในฐานะคู่แข่ง แต่เขาอาจมีบางอย่างที่สำคัญกว่านั้น ว่าแต่ลูกชายเขาละว่ายังไง”
“เราตามหาจางจงอ๊กตั้งแต่เมื่อวานแต่ยังไม่มีความคืบหน้า อาจจะถูกคนจับตัวไปแล้ว นี่นายได้เบาะแสเกี่ยวกับคนถูกส่งไปเจรจากับจางจงอุคบ้างหรือยัง”
“ยัง...แต่ถ้าได้เบาะแสอะไรจะแจ้งกลับไป พวกนั้นมาแล้ว เท่านี้ก่อน” เขาตัดบทกดวางสายแล้วยัดสมาร์ทโฟนกลับเข้าที่เก่าทันทีที่เห็นชายวัยกลางคนสวมสูทชุดดำคนหนึ่งเดินตรงมาหาก่อนใช้นิ้วเคาะกระจกส่งสัญญาณให้ลงจากรถ
“สวัสดีครับ” แจบอมโค้งคำนับให้กับชายผู้เป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดของลีโกส คอร์เปเรชั่นทันทีที่ลงจากรถ
เขาแฝงตัวเข้ามาที่นี่ในฐานะบอดี้การ์ดเมื่อสามปีก่อน เริ่มไต่เต้าจากการเป็นหนึ่งในหน่วยรักษาความปลอดภัยให้คาสิโนของลีโกส ทุกครั้งที่มีโอกาสเขาจะแสดงฝีมือด้านการต่อสู้เสมอจนขยับขึ้นมากลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบอดี้การ์ดมีฝีมือที่จะถูกส่งตัวไปคุ้มกันคนระดับหัวหน้าในลีโกสตามที่ได้รับมอบหมาย
...แต่ไม่เคยได้เข้าถึงตัวผู้บริหารสำคัญจริงๆเสียที...
“ยังมาเช้าเหมือนเดิมนะ” คำทักทานเรียบเย็นนั้นดังขึ้นเมื่อผู้มากวัยเห็นผู้อ่อนวัยกว่าลงจากรถมาโค้งคำนับให้
“คุณเรียกผมมาเพราะฝ่ายบริหารกาสิโนไม่พอใจผมหรือครับ” เขาถามกลับอย่างนอบน้อม หากอีกฝ่ายเพียงหยิบบุหรี่ออกจากกระเป๋าคีบไว้ระหว่างนิ้วทำให้อีกคนต้องหยิบไฟแช็กมาจุดให้
“ได้ยินว่า นายเพิ่งหย่ากับเมียเมื่อปีก่อน” คำถามนั้นมาพร้อมกับควันบุหรี่สีเทาอบอวล “แต่มีน้องชายที่กำลังป่วยอยู่คนหนึ่งใช่ไหม”
“ครับ”
ผู้เป็นหัวหน้าพยักหน้าขึ้นลงเบาๆ ขณะเดินผ่านซุ้มประตูหินผ่านสวนหินแบบญี่ปุ่นตรงไปยังทางที่ทอดสู่หน้าคลับเฮ้าส์ที่ล้อมด้วยกระจกใสแต่กันกระสุนทั้งหลัง
“รู้ไหมว่า ฉันชอบอะไรในตัวนาย”
“ไม่ครับ”
“นายเป็นคนเก่งที่ทำมากกว่าพูด เชื่อถือได้มากกว่าทุกคนที่ฉันเคยร่วมงานด้วย” อีกฝ่ายว่าพลางอัดบุหรี่เข้าปอดอีกครา “ที่ฉันเรียกนายมาวันนี้ เพราะมีงานสำคัญมากงานหนึ่งอยากให้นายทำ เป็นงานที่อันตรายแต่ได้รับผลตอบแทนคุ้มค่า”
“งานอะไรครับ”
“บอดี้การ์ดส่วนตัวของรองประธานลีโกส คอร์เปเรชั่น” ถ้อยคำเรียบเรื่อยเหมือนไร้ความสำคัญหากเพียงพอทำให้คนฟังหันไปสบตากับอีกฝ่ายด้วยแววตาคาดไม่ถึง
“รองประธานหรือครับ” ประโยคนั้นหลุดจากปาก
“งานนี้อันตรายเพราะนายต้องเป็นโล่รับความตายที่เข้ามาทุกทิศทางแต่ผลตอบแทนสูง ถ้าเกิดการตายขึ้นทางลีโกสจะจัดเงินก้อนใหญ่ส่งไปให้น้องชายนายมีกินมีใช้และมีสิทธิ์รักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของลีโกสได้ตลอดชีวิต นายคิดว่าข้อเสนอมันคุ้มพอจะเสี่ยงรับงานนี้ไหม”
แจบอมเม้มริมฝีปากให้กับข้อเสนอ...สิ่งที่เขาเฝ้ารอมานานกำลังเข้ามาใกล้ โอกาสในการได้เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกเพื่อหาหลักฐานเพื่อถอดรากถอดโคนลีโกสที่เฝ้ารอมานานสามปีเต็มกำลังมาถึง
“ขอแค่น้องผมสบาย เรื่องกลัวตายไม่เคยอยู่ในความคิดผม”
ฝ่ายตรงข้ามเหลือบมองหน้าของผู้เป็นลูกน้อง...คำพูดที่ได้ยินเป็นการตกลงรับข้อเสนอโดยปริยาย
“นี่เป็นคำตอบของนายใช่ไหม...จะรับงานนี้ใช่ไหม”
“ครับ”
“แต่ก่อนที่ฉันจะมอบหมายงานนี้ให้ ฉันมีแบบทดสอบหนึ่งให้กับนายทำก่อน”
“แบบทดสอ...”
ชายหนุ่มพูดไม่ทันจบคำเพราะบางสิ่งที่เคลื่อนไหวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วทำให้เขาหันไปหาตามสัญชาตญาณเพื่อตั้งรับ ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเงื้อไม้กระหนำฟาดลงมากระทบเข้ากับท่อนแขนที่เจ้าตัวยกขึ้นกันตัวเอง ทันใดนั้นไม้อีกท่อนกลับฟาดแรงเข้าตรงท้ายทอยจนกายใหญ่ทรุดฮวบลงกับนอนกองกับพื้นพร้อมกับความสว่างไสวที่ดับมืดลง
“พาเขาไป” เสียงกำชับสั้นเรียบ ชายฉกรรจ์สองคนช่วยกันลากร่างไร้สติยัดใส่ท้ายรถยนต์อีกคันที่ติดเครื่องรออยู่ก่อนมันจะแล่นทะยานไปบนถนน ทิ้งไว้เพียงฝุ่นควันจากท่อไอเสียที่คละคลุ้งอยู่เท่านั้น
--------------------------------------------------
สายลมหอบกลิ่นชื้นผ่านบานหน้าต่างเข้ามาตรงโถงทางเดินผ่านในอาคารเรียนรวม
ชายหนุ่มเรือนผมสีแดงใบหน้าหล่อเหลาสวมเสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมบนเผยให้เห็นแผงอกแกร่งวับแวมเดินออกจากห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์ศิลป์ไปตามทาง
กางเกงขาวยาวสีดำทรงให้เขายิ่งดูสูงสง่า
สร้อยคอทองคำขาวห้อยจี้รูปไม้กางเกงยามสะท้อนแสงเป็นประกายระยับกับนาฬิกาข้อมือ Patek
Philippe Sky Moon Tourbillon
อีกทั้งกลิ่นกายหอมยวนใจจากน้ำหอมชั้นดีทำให้ชายหนุ่มและหญิงสาวตรงทางเดินคล้ายถูกสะกดให้หยุดทุกการกระทำเพื่อหันมามองแทบเป็นตาเดียว
“ยูคยอม” เสียงเรียกจากกลุ่มชายหนุ่มด้านหลังดังขึ้นแต่เจ้าของชื่อไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง ปล่อยให้คนเรียกต้องเป็นฝ่ายวิ่งตามมาพาดบ่าเกาะไหล่
“มีอะไร” คนถูกเกาะถามอย่างรำคาญใจ
“นายเพิ่งกลับจากอเมริกามาไม่ใช่เหรอ พวกเราก็เลยอยากจะพานายไปฉลองต้อนรับกลับบ้านสักหน่อย” คนหนึ่งเริ่มพูด
“ไม่จำเป็น” เขาตอบอย่างไร้เยื่อใย
“ไม่เอาน่า ฉันรู้ว่าตอนอยู่นิวยอร์กนายคงไปเที่ยวผับเจ๋งๆเยอะใช่ไหม แต่ว่านะช่วงที่นายไม่อยู่แถวฮงแดมีผับเปิดใหม่นะ ฉันไปมาแล้ว สาวๆที่นี่เอ็กซ์ๆ เด็ดๆ ทุกคน นายน่าจะไปลองสักหน่อยนะ” อีกคนเสริม
“ไปด้วยกันเถอะ...ถ้านายไปด้วย สาวๆ คงเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังแค่นายนั่งเฉยๆ” คนสุดท้ายสำทับ
“แล้วฉันต้องเป็นคนจ่ายด้วยสินะ” ชายหนุ่มปรายตามองเพื่อนร่วมคณะที่เกาะบ่าตัวเองอย่างสนิทสนมด้วยแววตาเย็นชาพลางเหยียดเยาะตรงมุมปาก...คนพวกนี้เข้ามาก็เพื่อหาประโยชน์จากเขากันทั้งนั้น
“ถ้านายไป พวกเราเลี้ยงนายเองก็ได้”
“พวกกระจอกอย่างนาย แค่เลี้ยงเหล้าฉันครึ่งแก้วยังไม่ไหวเลย” น้ำเสียงที่เลือกใช้จงใจกดให้คนฟังรู้สึกถึงชนชั้นที่แตกต่าง แต่อีกฝ่ายยังคงสวมหน้ากากยิ้มรื่นทั้งที่ภายในกำลังเดือด
...ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อมึงใหญ่ มึงหล่อ มึงรวย มีสาววิ่งเข้าหาละก็กูไม่ยุ่งด้วยหรอก...
ชายหนุ่มแลใบหน้าที่อาบรอยยิ้มตรงหน้าด้วยแววตาเย้ยหยาม ริมฝีปากยังคงเหยียดตรึงตรงมุมปากอย่างสมเพชด้วยล่วงถึงความคิดของชายร่วมคณะสามคนตรงหน้าเพียงแต่ไม่พูดออกมา
...ไม่ว่าใครก็สันดานเหมือนกันหมด...
“ฉันจะไปก็ได้” เขาลากเสียงยาว “แต่พวกนายต้องทำรายงานทั้งหมดที่อาจารย์สั่งวันนี้ให้ฉันก่อน”
...เมื่อมาด้วยผลประโยชน์ก็พร้อมจะใช้ประโยชน์ด้วยเช่นกัน...
“อา...เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง เราทำให้ได้อยู่แล้ว” หนึ่งในสามคนนั้นว่าดวงตาเป็นประกาย
“ได้เรื่องเมื่อไหร่ไลน์มาแล้วกัน” ชายหนุ่มบอกแล้วออกเดินต่อโดยไม่สนเพื่อนร่วมคณะทั้งสามคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง ดวงตามองตรงไปข้างหน้าก่อนที่หญิงสาวสวยอีกสามสี่คนจะเข้ามารุมล้อมพะเน้าพะนอ
“คิดถึงคุณจัง วันนี้ว่างไหมคะ ให้เราไปหาได้ไหม”
“ได้สิ คืนนี้เจอกันที่ห้องฉันแล้วกัน” เขาบอกไปส่งๆ ดึงมือนุ่มที่กอดแขนออกแล้วเดินต่อไปเพียงลำพัง ก่อนมาสะดุดเข้ากับดวงตาพราวระยับทรงเสน่ห์ของหญิงสาวสวยสวมเดรสสั้นสีดำทับด้วยเสื้อคลุมหนังที่ยืนโดดเด่นในกลุ่มเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน
ยูคยอมยิ้มบางตรงมุมปากพลางขยิบตาให้เจ้าหล่อนเพียงเสี้ยววินาทีจากนั้นจึงเลี้ยวหายไปตรงมุมตึกปล่อยให้ฝ่ายที่ถูกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั้นหว่านเสน่ห์มองไล่หลังก่อนเดินตามออกไป
ชายหนุ่มยังคงล้วงกระเป๋าเดินไปตามทางออกนอกอาคารมุ่งไปยังอาคารเรียนหลังเก่าที่ถูกเปลี่ยนเป็นห้องชมรมต่างๆ หญิงสาวตามไปกระทั่งเดินมาถึงหน้าอาคารกลับว่างเปล่า หล่อนหันมองไปรอบตัวก่อนกายหนาจะโผล่มายืนอยู่ข้างหลัง
“คุณตามผมมาทำไม” เสียงทุ้มกระซิบเบาข้างหู
“เพราะดวงตาคุณบอกว่าถ้ามาคุณมีสิ่งที่ฉันจะสนใจ” เสียงหวานกระเส่าตอบ
“แล้วดวงตาผมมันบอกไหมว่า เรื่องที่คุณสนใจไม่ได้ทำบนเตียงแต่ทำนอกสถานที่”
“เรื่องนั้นไม่ต้องให้ดวงตาคุณบอก ฉันก็พอรู้” เจ้าหล่อนว่าหันกลับมาเผชิญหน้าด้วยรอยยิ้มหวานหยด สองมือจับใบหน้าหล่อของอีกฝ่ายตรึงไว้ ก่อนเขย่งปลายเท้าบดริมฝีปากเคลือบสีแดงอมส้มลงบนเรียวปากบางของอีกคนหนักหน่วง ต่างฝ่ายต่างใช้เรียวลิ้นกระหวัดดุนดันอย่างร้อนแรง ฝ่ามือร้อนเลื่อนจากขาอ่อนสอดเข้าไปใต้ชายเดรสสั้นพร้อมออกแรงดันร่างแบบบางถอยหลัง ศอกมนอีกข้างที่ว่างเลื่อนบานประตูให้เปิดออกพร้อมกับร่างของทั้งสองที่หายเข้าไปภายในห้อง
เมื่อมือใหญ่เลื่อนบานประตูปิดลงได้ ฝ่ายหญิงกระโดดขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์ไม้ยาวพลางสะบัดเสื้อคลุมเผยให้เห็นลำคอ เนินไหล่กระทั่งเนินอกขาวเนียนจากนั้นจึงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายให้หลุดไปกองกับพื้น มือเรียวเย็นลูบไล้กล้ามเนื้ออกลงมาวนอยู่ตรงลานหน้าท้องด้วยแววตาเปล่งประกายซุกซน
ชายหนุ่มหลุดยิ้มร้ายใช้ปลายนิ้วเรียวลากรั้งสายเดี่ยวของเดรสสั้นลงมากองอยู่ตรงหน้าท้องแบบราบ ชุดชั้นในตัวสวยถูกปลดออกอย่างง่ายดายจากประสบการณ์บนเตียงที่ผ่านมา เขาฝังจมูกโด่งดมกลิ่นหวานทั่วร่าง ไล้เลียในเม็ดทับทิมฉ่ำหวานอย่างหิวกระหาย มือป่ายสูงพยายามขจัดปราการด่านสุดท้ายของคนใต้ร่าง แรงดิ้นจากความกระสันทำให้ข้าวของบนโต๊ะหล่นกระจัดกระจายกระทั่งของเหลวในขวดแก้วก็กลิ้งตกลงมาแตกเป็นเสี่ยง
กลิ่นหอมแรงจากน้ำมันในขวดแก้วลอยมาแตะจมูกกระตุ้นความรู้สึกรัญจวนใจให้คุกกรุ่นอยู่ภายใน
...ครืน...
เสียงเลื่อนเปิดประตูที่ดังขึ้นพร้อมกับร่างผอมสวมเสื้อคลุมสีดำปิดบังใบหน้าที่ยืนบังแสงจากด้านนอกทำให้หญิงสาวที่ถูกกดให้นอนราบลงกับเคาน์เตอร์ใม้ผงกศีรษะขึ้นมาร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ หากยูคยอมเพียงเหลือบมองผู้มาใหม่ด้วยหางตาแต่ริมฝีปากยังไม่หยุดขบเม้มผิวขาว
“อย่า...” เสียงหวานสั่นเครือละล่ำละลักห้าม
“ทำไมล่ะ มีผู้ชมแบบนี้เร่าใจดีออก” เขากระซิบแล้วขบเบาบนใบหูเรียกเสียงครางฮือหลุดจากลำคอแต่ดวงตายังจับจ้องยังคนที่เดินเข้ามาในห้องด้วยความรู้สึกสนุก
...ทุกคนรู้ดีว่ามหาวิทยาลัยนี้พ่อเขาเป็นคนสนับสนุนเรื่องเงินมาตลอด ไม่มีใครกล้าทำอะไรเขาอยู่แล้ว...
ผู้มาใหม่ก้าวเท้าตรงมายังร่างชายหญิงที่โรมรันกันอยู่บนเคาน์เตอร์ไม้ ทอดมองข้าวของที่กระจัดกระจายบนพื้นโดยไม่พูดอะไรสักคำนอกจากเก็บถุงกระดาษที่เปียกเป็นวงจากอาหารข้างในถุงที่หกออกนอกภาชนะก่อนเดินผ่านคนทั้งคู่ตรงไปหยิบถังน้ำใบหนึ่งจากชั้นวางใต้อ่างซักล้างใกล้หน้าต่างออกมาเปิดน้ำรองใส่ถังโดยมีสายตาของอีกคนมองอยู่ตลอด
ความสนใจเขาไม่ได้อยู่ที่หญิงสาวที่บิดกายเร่าครวญครางอยู่ต่อหน้าแต่กลับไปอยู่ที่คนตัวเล็กสวมเสื้อคลุมตัวเองที่มือยังขยับสัมผัสส่วนอ่อนไหวของอีกฝ่ายนั้นเป็นไปตามความเคยชิน
...สำหรับเขาเซ็กส์ก็เหมือนการกินข้าว ต้องกินแม้จะเบื่อหน่ายแต่ก็ดีกว่าหิว...
คนตัวผอมบีบขอบอ่างน้ำไว้แน่นขณะที่อีกมือหมุนปิดก๊อกน้ำ เขามองเงาสะท้อนของตัวเองบนผิวน้ำในถังปล่อยให้ความเกลียดชังท้นท่วมอยู่ภายใต้ความเย็นชา มือเรียวยื่นไปหยิบขวดพลาสติกใสที่มีน้ำสีเขียวขุ่นบรรจุอยู่จนเต็มเทมันใส่ลงไปตามด้วยเทน้ำสีขาวข้นในขวดพลาสติกทึบ จากนั้นจึงก้มลงหยิบไม้พายใต้อ่างออกมากวนสิ่งที่ผสมลงในน้ำให้เป็นเนื้อเดียวกันแล้วถือมันเดินไปยังช่องทางเดินหลังเคาน์เตอร์ไม้ที่สองหนุ่มสาวยังยุ่งกับกิจกรรมส่วนตัว แกล้งทำเป็นจะสาดน้ำใส่แต่รั้งถังน้ำไว้ไม่ได้สาดไปจริงด้วยรู้ว่าฝ่ายที่ลอบมองเขาอยู่ตลอดต้องหาทางหลบเพื่อไม่ให้ตัวเองเปียก
ทันทีที่เห็นกายใหญ่กระโจนพรวดลงจากเคาน์เตอร์ห่างจากร่างบางที่ขึ้นคร่อมเมื่อครู่ คราวนี้คนที่รออยู่จึงยกน้ำทั้งถังสาดใส่หน้าอย่างไม่ปราณีปราศรัย
ของเหลวสีเขียวขุ่นปนขาวชุ่มโชกทั้งตัวและพื้นห้องทำให้ฝ่ายถูกกระทำกำหมัดแน่น ขณะที่หญิงสาวสภาพกึ่งเปลือยยกมือทั้งสองข้างปิดปากด้วยความตกใจ
“มึงทำอะไรของมึงวะ” ชายหนุ่มกระชากเสียงถามกับคนที่ถือถังน้ำเปล่าอยู่ในมือ
“น้ำยางผสมน้ำยากำจัดวัชพืช เอาไว้กำจัดสวะที่ไม่มียางอาย” อีกฝ่ายตอบอย่างเนิบช้าด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นพลางเหลือบมองหญิงสาวที่มองมาหาพร้อมดึงเสื้อผ้าปกปิดร่างกายให้เหมือนตอนแรกด้วยมือที่สั่นเทา ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดอะไรเพียงเจ้าหล่อนเห็นอีกคนหันมาก็คว้าเสื้อคลุมกระโดดลงจากเคาน์เตอร์วิ่งหายไปจากห้องไปอย่างลนลานปล่อยให้คู่กรณีอยู่เพียงลำพังภายในห้อง
ยูคยอมกัดริมฝีปากแววตาที่จ้องมองคนตัวผอมที่ซ่อนหน้าอยู่ใต้ฮู้ดสีดำวาวโรจน์โกรธแค้น ความรู้สึกแสบคันบนผิวหนังนั้นเทียบไม่ได้กับแรงอารมณ์ที่พุ่งพล่าน เขาปีนข้ามเคาน์เตอร์ไม้ยาวตรงไปหาคนที่ยืนถือถังน้ำ
“มึง มึงกล้ามากนะ มึงรู้ไหมว่าพ่อกูเป็นใคร” เขาเค้นเขี้ยวถาม
“ถ้าขนาดตัวเองยังไม่รู้ว่าพ่อเป็นใครแล้วใครมันจะไปรู้ด้วย”อีกคนสวนกลับก่อนที่มือใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามจะเอื้อมมากระชากคอเสื้อลากร่างผอมให้เข้ามาหาตัว
“ปากดีนี่ กล้าทำกับกูแบบนี้นี่รนหาที่ตายชัดๆ” หมัดขวาเงื้อขึ้นหมายจะตะบั้นหน้าแต่กลายเป็นต้องชะงักเมื่อเศษแก้วชิ้นใหญ่ที่มาจากขวดแก้วแตกบนพื้นจ่ออยู่ห่างจากเส้นเลือดใหญ่ตรงลำคอเพียงไม่กี่เซนติเมตร ขณะที่ด้านล่างปลายส้อมสแตนเลสหนาจ่ออยู่ตรงท้อง
“ปล่อย” เสียงหวานปนแหบเตือน “ถ้าไม่ปล่อย...ไม่เส้นเลือดใหญ่ขาด ตับไตต้องมีทะลุกันบ้างล่ะ”
“หึ ตัวก็เล็กเท่าลูกหมา คิดหรือว่ากูจะกลัวคำขู่ของมึง...เฮ้ย” เสียงอุทานหลุดออกมาพร้อมกับมือใหญ่ที่ปล่อยจากคอเสื้อคนตรงข้ามทันทีที่ปลายส้อมแทงเข้าอย่างแรงตรงหลังมือ
เลือดสีแดงไหลจากปากแผลยามถูกของน้ำที่อาบทั่วตัวผสมโรงเข้าไปยิ่งทำให้ทั้งเจ็บทั้งแสบร้อนอีกทั้งอาการคันที่กัดผิวขาวละเอียดจนแดงเถือกทำให้ต้องหยุดเกาและได้แต่มองคนที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงตรงหน้าอย่างเดือดดาล
“สารในน้ำนั้นเป็นสารธรรมชาติแต่ถ้าไม่ล้างออก ผิวสวยๆนั้นจะเสียนะ ส่วนส้อมที่แทงมือนั้นถ้าไม่ทำแผล ฉีดยาระวังเป็นบาดทะยักตายล่ะ” คำเตือนไร้อารมณ์หากคนฟังรู้สึกเหมือนถูกเย้ยหยัน
...คนที่เคยได้อะไรอย่างใจมาตลอด น้อยครั้งที่จะมีใครกล้าต่อกรไม่ยอมก้มหัวให้กัดฟันกรอด
“มึง...มึงเล่นกับคนผิดแล้ว ทำกับกูแบบนี้อย่าหวังเลยว่าจะมีชีวิตสงบได้อีก” เขาคำรามพลางดึงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงที่ไม่เปียกแค่ชื้นพันหลังมือตัวเองเพื่อห้ามเลือด
“ก็เอาสิ จะทำอะไรก็ทำ ชีวิตช่วงนี้ว่างอยู่พอดี”
“กูทำแน่ไม่ต้องท้า”
“ท้าเหรอ ไม่หรอก ฉันไม่เคยท้าใคร เออแต่ลืมไป โง่ๆอย่างนี้กว่าจะพาพวกมาเล่นงานฉันได้คงอีกนาน เพื่อความง่ายในการสืบหา ฉันจะให้ตัวช่วยแล้วกัน” คนตัวเล็กย่างสามขุมมาใกล้พลางดึงฮู้ดที่คลุมศีรษะและใบหน้าลงเผยให้เรือนผมสีทองสลวยที่ปัดเป๋จนยุ่งเหยิง ดวงหน้านวลหวานนั้นเซียวซีดขณะที่ดวงตากลมโตที่จ้องตรงมาข้างหน้าแลว่างเปล่าราวกับมองอากาศธาตุทำให้หัวใจคนมองกระตุกแรงเสียดแทงให้เจ็บยิ่งกว่าบนหลังมือ
...แววตาเช่นนั้นเหมือนกันไม่มีผิด แววตาไร้ความรู้สึกเช่นนั้นชวนให้คิดถึงคนที่ใจโหยหา...คนที่รู้แก่ใจดีว่าไม่มีทางได้ครอบครอง...
“จำหน้านี้ไว้นะ จำไว้ว่าใครมันหยามแบบนี้ แล้วรีบไปซะ ไปหาวิธีทำลายฉัน ไม่ต้องห่วงฉันไม่ไปไหน รออยู่ที่นี่แหละ รอให้นายพาพวกมา จะรอดูว่าน้ำหน้าอย่างนายจะมีปัญญาให้พ่อที่ไม่เคยสนใจอะไรนอกจากทำเรื่องชั่วสร้างความยิ่งใหญ่หันมาสนใจเรื่องไร้สาระของนายได้หรือเปล่า” ใบหน้าที่ชะโงกมาใกล้พร้อมกับคำพูดเชือดเฉือนใจทำให้ตาแทบลุกเป็นไฟ
...มันรู้ว่าพ่อเขาเป็นใคร รู้กระทั่งว่าพ่อเป็นพ่อยังไง...
“มึง”คำหยาบลอดผ่านไรฟันที่ขบแน่น มืออีกยื่นไปจะคว้าตัวคนท้ากลับถูกเขวี้ยงส้อมแฉลบถูกข้างแก้มของอีกคนจนเกิดเป็นแผลถลอกที่มีเลือดซึมตามปากแผล เท้าใหญ่หยุดนิ่งก้าวไม่ออกเหมือนขาตายไปชั่วขณะทำได้เพียงมองร่างผอมที่เดินลับหายไปหลังประตูบานเลื่อนอย่างเงียบเชียบ
ยูคยอมกระพริบตากำหมัดข้างที่ถูกส้อมแทงแน่นจนตัวสั่น ฟันกัดแรงบนปากจนแตกเลือดซึมทั่วแต่เจ้าตัวไม่มีความรู้สึกใดมากไปกว่าความคับแค้น
...มึงเป็นใครกันแน่...
--------------------------------------------------------------
เสียงหวีดแหลมสะท้อนก้องอยู่ในหูปลุกให้แจบอมที่หมดสติไปให้รู้สึกตัวตื่น
พยายามข่มอาการปวดหนึบในศีรษะและท้ายทอยแล้วเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมาพบกับความเงียบและมืดมิด
เขารู้สึกได้โดยไม่ต้องเห็นว่าตอนนี้ตนเองนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยที่มือทั้งสองข้างถูกใส่กุญแจมือไพล่อยู่ข้างหลัง
...สิ่งสุดท้ายที่ตกค้างในความคิดไม่ใช่การถูกฟาดด้วยไม้แต่เป็นข้อเสนอที่หัวหน้ามอบให้...
...นี่คือบททดสอบเพื่อก้าวไปถึงงานที่มอบหมายหรือเพราะรู้ฐานะที่แท้จริงของเขากันแน่...
ในห้วงความคิดเต็มไปด้วยความลังเลสงสัยก่อนทุกอย่างจะสลายไปพร้อมกับแสงไฟบนเพดานที่สว่างวับแวมพอให้เขาเห็นภาพสะท้อนของตนเองที่ถูกใส่กุญแจมือตรึงกับเก้าอี้บนกระจกเงาขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ในห้อง ทันใดนั้นประตูเหล็กที่ปิดสนิทกลับเปิดออกพร้อมกับชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ท่าทางเอาเรื่องเกือบสิบคนจะกรูเข้ามา
พลันเสียงของชายที่เขาจำได้ดีว่าเป็นใครดังขึ้นจากลำโพงที่ติดตั้งอยู่มุมสูงด้านซ้ายของห้องติดกับกล้องวงจรปิด
“นี่คือบททดสอบของคุณ...ล้มคนพวกให้ได้” คำสั่งสั้นถ่ายทอดสู่คนที่ถูกพันธนาการ วินาทีนั้นทั้งหมดดาหน้าเข้ามาหา ชายคนหนึ่งเหวี่ยงหมัดเข้าใส่แต่เขาหลบแล้วลุกขึ้นยืนโดยมีเก้าอี้เป็นภาระห้อยติดกับตัวพร้อมใช้ศีรษะกระแทกเข้าใต้คางอย่างแรง จากนั้นจึงถอยเก้าอี้ดันชายที่อยู่ด้านหลังอัดกระแทกอัดติดกำแพงหลายต่อหลายครั้ง เมื่อเจอหมัดของอีกคนหวดมาจึงหันเอาเก้าอี้ไม้รับแรงมหาศาลนั้นทำให้ส่วนที่นั่งของเก้าอี้ไม้แหลกแตกเป็นเสี่ยงเหลือเพียงพนักพิงที่ยังติดอยู่
ชายหนุ่มอาศัยความแหลมของตะปูที่ตอกตรึงส่วนพนักกับเก้าอี้นั่งที่โผล่ออกมาจากท่อนไม้และความเร็วกระโดดลอยตัวจากพื้นหันหลังทับร่างใหญ่เสียบตะปูเข้าใส่ตรงช่องท้องจนทะลุ ใครอีกคนโถมเข้ามายกเท้าหมายจะกระทืบแต่เขากลิ้งหลบเป็นผลให้เท้าอัดไปบนหน้าของพวกเดียวกัน เขากลิ้งหลบการตามเหยียบไปจนพบผนังใช้เท้าพยายามลุกขึ้นยืนก่อนถูกฝ่ายตามเหยียบใช้ศีรษะโถมกระแทกอัดช่วงท้องอัดเขาติดกับกำแพงเลยถูกเข่ากระแทกเข้าหน้าตามด้วยเท้าที่เข้าที่ความเป็นชายของอีกฝ่ายเต็มแรงจนกระเด็นไปนอนจุก ชายอีกคนสองคนปราดเข้ามารุมสลับกันรัวหมัดชุดทำให้เขาต้องเบี่ยงหลบไปมาโดนชกบ้างไม่โดนบ้างเพื่อรอจังหวะสวนกลับ พอสบโอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามก้มต่ำเท้าก็ถีบแรงเข้าลูกกระเดือกและลำคอ แล้วตวัดสูงเตะก้านคอของอีกคนสลบเหมือด ตามมาด้วยชายอีกคนที่ปรี่เข้ามาจึงหมุนตัวใช้สันเท้ากระแทกกลางศีรษะและกระโดดหมุนตัวเกร็งส้นเท้ากระแทกเข้าท้ายทอยของคนที่ลุกจากพื้นเดินเข้าหา
การต่อสู้ภายในห้องยังดำเนินต่อไปอย่างไม่ลดละ แม้มีเพียงเท้าที่ใช้การได้แต่แจบอมอาศัยศิลปะการป้องกันตัวที่ร่ำเรียนมาจากในกรมผสมเข้ากับแม่ไม้มวยไทยที่ได้รับถ่ายทอดจากชายที่อุปการะเขามาเข้าสู้หลังชนฝากระทั่งล้มทั้งหมดลงไปนอนแน่นิ่งกับพื้น
ทุกการกระทำของเขาอยู่ในสายตาของชายสองคนที่ยืนนิ่งอยู่หลังกระจกใสซึ่งภายในห้องจะเห็นเป็นกระจกเงา
“ท่านคิดว่าเขาเหมาะสมกับงานหรือไม่ครับ” ชายวัยกลางคนผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าบอดี้การ์ดของลีโกสเอ่ยถาม
“ให้เขาพักสักสองวัน แล้วรอคำสั่งฉัน” เสียงแหบต่ำสั่งแทนคำตอบ “ออกไปได้”
“ครับท่าน” ผู้เป็นลูกน้องก้มศีรษะรับคำขึงขังก่อนหันหลังเปิดประตูออกจากห้องตรงเข้าไปในอีกห้องเพื่อสนทนาและแจ้งความประสงค์ที่ได้รับมอบหมาย
ผู้เป็นนายมองชายต่างวัยทั้งสองคนผ่านบานกระจกใสครู่หนึ่งจึงเดินกลับมาทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่มุมห้อง กายใหญ่เอนพิงพนักยกเท้าขึ้นไขว่ห้าง ดวงตาคมทอดยังร่างสะบักสะบอมอาบด้วยเลือดโชกด้วยน้ำเกลือของชายหนุ่มอีกคนที่ถูกจับมัดห้อยอยู่กลางห้องก่อนที่เสียงหวดแส้ไปมาในอากาศจะดังขึ้นจากคนในชุดดำ
“จำชื่อตัวเองได้ไหม พูดสิ” เสียงจากชายชุดดำว่า
“จา จา จาง...จง จง อ๊ก”
“มีอะไรจะพูดอีกไหม”
“หมด...หมดแล้ว ผมไม่ ไม่ได้โกหก ผมรู้ รู้แค่นี้ ปล่อยผมไป ไปเถอะ อย่าฆ่า ผมเลย” เสียงแหบพร่าร้องขอชีวิตครางแผ่วแล้วหมดสติ
“ท่านจะให้ผมทำยังไงต่อครับ” ชายชุดดำหันกลับมาถามคนเป็นนายที่ซ่อนร่างกลืนหายในความมืดตรงมุมห้องที่แสงส่องไม่ถึง
“เหมือนเดิม” สิ้นคำสั่งเสียงปืนกลับดังสนั่นหวั่นไหว
เสียงนั้นสะท้อนก้องออกมาถึงด้านนอกจนแจบอมที่ถูกปลดกุญแจมือพาสังขารบอบช้ำเดินตามหลังหัวหน้าตนเองชะงักงันไปเสี้ยววินาทีแล้วก้าวเดินต่อเหมือนไม่รู้สึกรู้สา ทั้งที่ภายในใจรู้ดีว่า เสียงที่ดังเบื้องหลังตนเองนั้นเป็นเสียงของการสังหารใครก็ตามที่หมดประโยชน์ต่อลีโกสแล้ว
0 Comments