LOVE TOXICAL : CHULJAE CHAPTER 21

08:03



หัวใจนั้นแตกสลายได้
บางครั้งเราคิดว่ามันคงดีเสียกว่า
ถ้าเราจะตายในตอนที่หัวใจแตกสลาย
ทว่าเราก็ไม่ตาย
Stephen King, Hearts in Atlantis


เพดานสีขาวอันคุ้นเคยสะท้อนบนดวงตาสีน้ำตาลอมโศกร่างโปร่งบางจะผุดลุกจากเตียงลงมาเหยียบพื้นเต็มเท้า มือเรียวขาวดึงผ้าห่มหนามาพับแล้วจัดเก็บที่นอนจนเป็นระเบียบก่อนจะหยิบเสื้อผ้าหายเข้าไปในห้องน้ำและกลับออกมายืนหน้ากระจกตรงตู้เสื้อผ้าเพื่อหวีผมให้เข้าที่เช่นทุกวัน


ยองแจมองภาพสะท้อนของชายหนุ่มสวมเสื้อคอปกสีขาวทับด้วยเสื้อแขนยาวสีดำกับกางเกงผ้าสีเดียวกันยืนอยู่ด้วยดวงหน้าซีดแทบไร้สีเลือด  มีเพียงรอบวงตาเท่านั้นที่บวมช้ำเป็นรอยแดงหนักจนไม่อาจใช้ครีมหรือแป้งใดปกปิด หากแววตาของผู้เป็นเจ้าของเงาในกระจกกลับราบเรียบ ทั้งที่ในอกเจ็บรวดร้าวราวกับถูกมีดกรีดหัวใจเป็นแผลเหวอะหวะเกินรักษา


ริมฝีปากอิ่มเซียวแย้มกว้างให้กับคนในกระจกคล้ายสวมหน้ากากระบายยิ้มล่องหนลงบนหน้าเพื่อซ่อนเร้นความทุกข์สาหัญไม่ให้ใครเห็นและได้แต่พร่ำบอกหัวใจที่แหลกสลายของตัวเองว่า อดทนไว้


“ตื่นแล้วเหรอ” เสียงนุ่มของใครคนหนึ่งบอกอย่างห่วงใยเรียกให้อีกคนละสายตาจากกระจกหันไปมองตรงประตูก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาน่ารักซ่อนร่างสูงไว้ใต้เสื้อแขนยาวมีฮู้ดสีขาวสกรีนตัวอักษรสีดำด้านหน้ากับกางเกงยีนส์ถือถุงกระดาษกับกุหลาบสีชมพูดอกหนึ่งเดินเข้ามาหา


“คุณอาเอากุหลาบมาให้แล้วเหรอ” คนตัวเล็กกว่าเอ่ยถามทอดสายตายังกุหลาบดอกสวยที่เพื่อนจะได้รับในตอนเช้าของทุกวันตามสัญญาที่ผู้เป็นอาของเพื่อนเคยให้


“อืม” เจ้าตัวตอบรับในลำคอก่อนจะยื่นถุงกระดาษมาตรงหน้า “นี่ คุณอาซื้อยากับโจ๊กมาให้ด้วย พอนายกินเสร็จก็กินยา นอนพักซะนะ เดี๋ยวบ่ายเราเรียนเสร็จจะกลับมาหา”


“อ้อ...ขอบใจนะ” อีกฝ่ายว่ารับถุงกระดาษนั้นมาเปิดดูทั้งโจ๊กรวมทั้งเจลเย็นลดอาการปวดบวมและยาอีกหลายแผงบอกถึงความใส่ใจของผู้ซื้อก็หลุดยิ้มออกมา


คุณอายงกุกน่ะไม่ใช่ใจดีกับคนรอบข้างของจุนฮงอย่างผิวเผินแต่จดจำใส่ใจในรายละเอียดของคนเหล่านั้นด้วย


“แล้วนี่จะออกไปไหนอ่ะ”


“เรา...จะออกไปเรียน”


เมื่อได้คำตอบ คนเป็นเพื่อนที่ง่วนอยู่กับการเสียบกุหลาบของผู้ปกครองลงในช่องด้านหน้าของกระเป๋าสะพายหลังก็เงยหน้ามองไปยังดวงตาก่ำช้ำบนดวงหน้าซีดเหมือนกระดาษขาวพร้อมกับคิ้วที่ขมวดยุ่ง


“จะออกไปเรียนทั้งแบบนี้อะนะ”


“ก็...เรา...หยุดมาหลายวันแล้ว”


“หยุดหลายวันบ้าอะไร แค่สองวันเท่านั้นแหละ...ป่วยขนาดนี้ยังจะไปเรียนอีก เอาตัวเองให้หายดีก่อนเหอะ หรือถ้ากลัวว่าจะเรียนไม่ทันล่ะก็  ยูคยอมมันโทรมาบอกฉันแล้วว่าจดเล็คเชอร์กับอัดเสียงอาจารย์ให้นายแล้ว พวกรายงานกลุ่มก็ลงชื่อให้หมด ส่วนเรื่องสอนพิเศษ เดี๋ยวฉันโทรไปบอกน้องของนายให้ว่านายยังไม่หาย” คำบ่นจากความกังวลนั้นยาวเหยียด


“เราไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ทำไมจะออกไปเรียนไม่ได้” ฝ่ายเพื่อนเดินไปหยิบแว่นสายตาทรงกลมบนโต๊ะข้างเตียงมาสวมและเหยียดยิ้มกว้างเหมือนทุกคราที่ต้องซ่อนความเจ็บปวดจากสายตาคนอื่น


“ย้วย....การใส่แว่นหรือแกล้งยิ้มอย่างนั้นมันไม่ช่วยซ่อนอะไรได้หรอกนะ” คนที่อยู่ด้วยกันมานานจนรู้ลึกกระทั่งแยกรอยยิ้มอีกคนได้ว่า แบบไหนคือยิ้มจากใจและแบบไหนเพื่อยิ้มเก็บความรู้สึกสวนออกมาแทบจะทันที


“เราไม่อยากนอน...คือเราไม่อยากอยู่นี่ อา หมายถึง ถ้าเราออกไปข้างนอก ออกไปเรียน เรายังมีอะไรให้ทำ ยังมีอะไรให้คิด อะไรที่...จะพูดยังไงดีนะ มัน...เราไม่ได้อยากให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อน...เราแค่ไม่อยากหายไปไหนนานๆ ในฐานะนักศึกษาทุนอันดับหนึ่งอย่างเรา มันมีคนที่ไม่ชอบเราอยู่และไหนจะอาจารย์อีก ถ้าเราหายไปนานถึงจะบอกว่า ป่วยเขาก็จะถามซักอยู่อย่างนั้น ลำพังแค่ต้องฝืนยิ้มก็แย่แล้ว ถ้าต้องคอยโกหกอีก...เราไม่ไหว” คนอาการยังไม่ดีนักสะดุดใจต่อคำของเพื่อนเริ่มเอ่ยตะกุกตะกักและลงท้ายเสียงทั้งหมดกลืนหายไปในลำคอ


ความรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วขอบตากระทั่งใบหน้าทำให้ต้องก้มหน้ามองพื้น...มือที่วางข้างลำตัวยกขึ้นจับแขนอีกข้างของตนเองไว้สั่นระริกจนสังเกตได้ชัด


จุนฮงเม้มริมฝีปากให้กับท่าทางของเพื่อนก่อนจะเดินเข้าไปกอดปลอบร่างผอมไว้ในอ้อมแขนเช่นเวลาที่ผู้ปกครองของตนเองเคยทำเสมอยามเขาเจ็บเศร้า


“โอเค...ถ้านายอยากไปเรียน ฉันจะให้ไป แต่ต้องสัญญาก่อนนะว่า ถ้ารู้สึกไม่ไหวต้องบอกยูคยอมหรือใครก็ได้ให้พาไปห้องพยาบาลเลยนะ ห้ามฝืนตัวเองเด็ดขาด เข้าใจเปล่า”


“อืม” คนตัวเล็กที่ถูกกอดจนจมหายอยู่หลายนาทีรับปาก...พอถูกปล่อยตัวเป็นอิสระจากแขนอุ่นของเพื่อนก็หยิบโจ๊กออกมากินได้ไม่ถึงครึ่งก็นำเก็บใส่ตู้เย็น เมื่อกินยาเรียบร้อยก็หยิบหนังสือกับอุปกรณ์การเรียนและไอแพดใส่กระเป๋าสะพายข้างจึงออกจากหอมาโดยมีเพื่อนตัวใหญ่เดินมาส่งถึงห้องบรรยาย


ยองแจเลื่อนประตูเดินเข้าไปในห้องบรรยายขนาดใหญ่กวาดสายตามองไปยังกลุ่มคนที่นั่งจับกลุ่มกระจายไปทั่ว กระทั่งเห็นชายหนุ่มตัวใหญ่หน้าตาหล่อเหลาราวกับมีเชื้อสายต่างชาติทั้งที่เป็นคนเกาหลีโดยแท้นั่งอยู่กลางห้องกวักมือเรียกอยู่จึงเดินเข้าไปหา


“ยูคยอม...หวัดดี” เจ้าตัวทักทายเพื่อนสนิทที่สุดในคณะด้วยรอยยิ้มบางพลางขยับแว่นไปมาด้วยไม่กล้าสบตาเพราะกลัวการตั้งคำถามอีกฝ่ายไม่ว่าอะไรสักคำเพียงยื่นมือไปตีหัวทุยของเพื่อนเบาๆแล้วดึงให้ลงมานั่ง


“มาเรียนไหวแล้วเหรอ”


“อืม”


“แต่ดูสภาพแล้วไม่ค่อยไหวเลยอ่ะ...น่าจะหยุดเรียนยาวแล้วค่อยมาเรียนใหม่วันจันทร์ทีเดียวนะ หรือนายกลัวฉันแย่งตำแหน่งลูกศิษย์สุดที่รักของอาจารย์จินยองถึงต้องรีบมาขนาดนี้” เสียงนุ่มแหย่ถามด้วยรอยยิ้มกว้างราวไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ หากมือใหญ่ที่ยังไม่หยุดลูบหัวนั้นเป็นสัญญาณว่า รู้ถึงความไม่ปกติเพียงแค่เลือกจะไม่พูดออกมา


แม้จะตัวใหญ่รวมทั้งการวางเฉยของเจ้าตัวจะทำให้ดูน่ากลัวแต่คิม ยูคยอมสำหรับยองแจแล้ว...ผู้ชายคนนี้เป็นเพื่อนสนิทที่ไม่เคยทำให้รู้สึกกระทบกระเทือนทางความรู้สึกและคอยปกป้องเขาจากใครหรืออะไรก็ตามที่อาจทำร้ายเขาโดยไม่ต้องเอ่ยปากเสมอ


“บ้าล่ะ ใครเขาอยากได้ตำแหน่งนั้นกัน...ที่เรามาเพราะกลัวเรียนไม่ทันต่างหาก”


“กลัวทำไมเล่า เก่งขนาดนี้ไม่มาเรียนสักเดือนยังตามเพื่อนคนอื่นเขาทันเลย”


“นั่นก็เกินไป ถ้าเราไม่มาเรียนเป็นเดือนคงโดนไล่ออกไปแล้ว”


“ไม่โดนไล่ออกหรอก...อย่าลืมนะว่านายเป็นลูกศิษย์คนโปรดของอาจารย์จินยอง ลูกชายอธิบดีมหาวิทยาลัยนี้ ใครมันจะกล้าไล่ออก” ยูคยอมเท้าคางวางศอกบนโต๊ะหันมาหา “รู้เปล่า ตอนนายไม่มาเรียนเขาวิ่งวุ่นถามถึงนายกับเพื่อนในคลาสไปทั่ว เมื่อวานก็มาซักฉันเรื่องอาจารย์คนที่เอาใบรับรองแพทย์มาลาป่วยให้นาย พอบอกไม่รู้เขาก็พยักหน้านะแต่ตานี่รู้เลยว่าไม่เชื่อ”


“อา...เหรอ” เมื่อได้ยินชื่อของอาจารย์ที่ปรึกษาหลุดจากปากเพื่อนความคิดก็ลอยไปถึงสีหน้าอ่อนโยนของผู้เป็นอาจารย์ก่อนที่หน้าของคนที่หัวใจเกลียดแสนเกลียดจะเข้ามาแทนที่พร้อมกับถ้อยคำมากมายจากชายผู้นั้นก็เริ่มกลับเวียนขึ้นมาคล้ายเครื่องอัดเสียงถูกกรอและเปิดใหม่ให้ได้ยินซ้ำๆ


“เออ...นายเคยเรียนเปียโนด้วยเหรอ เห็นจุนฮงบอกว่าอาจารย์คนที่เอาใบลามาให้อาจารย์จินยองเขาเคยสอนเปียโนให้นาย แต่ฉันไม่เคยเห็นนายฟังเพลงเลย นึกว่าจะไม่ชอบดนตรีแต่ดันเรียนเปียโนซะงั้น”ประโยคคล้ายจะถามนั้นขัดจังหวะความคิดให้กลับสู่ความจริง


คนถูกถามกระพริบตามองเพื่อนเพียรคิดคำตอบเฉพาะหน้าให้คล้องกับคำโกหกเพราะต้องการช่วยของเพื่อนรักอีกคนก่อนจะทำทีเป็นหยิบปากกากับไอแพดและหนังสือเล่มหนาออกจากกระเป๋าวางลงบนโต๊ะ


“โดนพ่อแม่บังคับเรียนน่ะ...พอเข้ามหาลัยก็ไม่ได้เรียนแล้ว”


“เหรอ” ยูคยอมลากเสียงยาวเหลือบมองเพื่อนที่ทำเป็นเปิดหนังสือไปมาก็รู้ได้ในทันทีว่ามีความจริงอีกเรื่องซ่อนอยู่ หากความสงสารก็ทำให้ไม่เอ่ยปากเพียงสะกิดชี้ให้เห็นอาจารย์ที่เดินเข้ามาในห้องบรรยายและเริ่มเรียนอย่างจริงจังเช่นที่เคยเป็น


การตั้งสมาธิจดจ่อกับการเรียนช่วยให้ใจไม่ฟุ้งซ่านและเมื่อถึงคราวต้องย้ายอาคารเพื่อไปเรียนวิชาเลือกต่อโดยมีคนคอยช่วยคุยเรื่องไร้สาระก็พอจะเรียกเสียงหัวเราะให้ลืมความเศร้าไปได้ชั่วขณะ


“ตอนบ่ายนายไม่มีเรียนใช่ไหม...จะหาอะไรกินก่อนหรือจะซื้อข้าวแล้วกลับไปกินที่หอดี”


“เรายังไม่ค่อยหิวอ่ะ”


“ไม่หิวก็ต้องกินนะ...เดี๋ยวกินยาแล้วแสบท้องนอนไม่ได้หรอก”  


“เราไม่ได้เป็นอะไรแล้วไม่ต้องกินยาหรอก”


“ไม่เป็นไรได้ไง หน้ายังซีดอยู่เลย”


“แค่ไม่โดนแดดก็เลยซีดน่ะ”


“ยองแจ...เรื่องสุขภาพน่ะมันสำคัญมาก จะฝืนตัวเองบอกว่าไม่เป็นไรทั้งที่ยังไม่หายดีไม่ได้นะ”


“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ทำไมไม่เชื่อกันเลยล่ะ”คนตัวเล็กกว่ายิ้มอ้อนช้อนตามองอย่างต้องการให้เชื่อแต่คนตัวใหญ่เพียงยื่นมือมาลูบผมนุ่มๆนั้นไปมา


“ไม่เป็นอะไรก็ไม่เป็น...ถ้าไม่อยากกลับไปนอนพักที่หอก็ไปนอนห้องพยาบาลของมหาลัยเอาล่ะกัน เดี๋ยวเรียนเสร็จฉันไปหาแล้วค่อยหาไรกินกัน”


“ฉันว่าฉันจะไปห้องสมุดเตรียมบทเรียนไว้สอนพิเศษน้องตอนเย็นน่ะ” 


“ฮะ...ข้าวก็ไม่กิน ยาก็ไม่กิน นอนก็ไม่นอน ยังจะไปสอนพิเศษอีกเหรอ”


“มันเหลืออีกไม่กี่เดือนน้องเราก็จะสอบแล้ว...ขืนเราหายไปนานๆ น้องเราสอบไม่ได้จะทำยังไงล่ะ เขายิ่งอ่อนเลขมากอยู่ด้วย”


“จะห่วงน้องก็ไม่ว่าหรอก แต่เอาตัวเองให้มันดีๆก่อนเถอะ หรือถ้าห่วงมากนักให้เราไปสอนแทนก็ได้ เราเคยสอนเด็กเตรียมสอบมาเหมือนกัน”


“ไม่ได้หรอก...เดี๋ยวน้องเรากลัว”


“โหย ฉันออกจะหล่อขนาดนี้ จะมากงมากลัวอะไรกัน”คนตัวสูงว่าพลางยกมือลูบหน้าลูบคางโชว์สันกรามคล้ายคนต่างชาติของตนเองให้ดูเรียกรอยยิ้มจากคนฟังได้เพียงครู่ความสั่นสะเทือนของมือถือในกระเป๋ากางเกงจากการโทรเข้าก็ทำให้ตกใจจนสะดุ้งและเมื่อกลั้นใจหยิบออกมาดูจึงเห็นชื่อของอาจารย์จินยองปรากฏบนหน้าจอ


ยูคยอมเหลือบมองเพื่อนที่มือถือโทรศัพท์แต่ยังไม่ยอมรับสายคล้ายว่าจะเห็นความผิดหวังแล่นมาบนหน้าที่เพียงกระพริบตาหน้านวลก็กลับมานิ่งสงบ


“ใครโทรมาอ่ะ”


“อาจารย์จินยองน่ะ” ฝ่ายถูกถามบอกขณะเงยหน้ามาหาคู่สนทนาด้วยรอยยิ้มบางแต่มือกลับกำโทรศัพท์ไว้แน่น


คำเตือนของผู้ชายคนนั้นก้องอยู่ในหู ย้อนให้เขาได้คิดถึงการกระทำที่ผ่านมาของอาจารย์แต่การที่ยังยืนยันจะทำหน้าที่นักศึกษาผู้ช่วยหลังเลิกเรียนตามคำขอของอาจารย์อยู่นั้นเพราะมันเป็นหนึ่งหนทางที่จะทำให้ตนเองยุ่งจนหยุดคิดฟุ้งซ่าน แต่เมื่อถึงคราวอยากจะเลิกไปใช้เวลาว่างระหว่างนั้นทำอย่างอื่นก็ไม่กล้า เพราะเมื่อต้องเผชิญหน้าเขามักจะรู้สึกลำคอตีบตันจนพูดไม่ออก


“โหย...ทำไมสาวกให้ข่าวไวเบอร์นี้วะ” คนตัวสูงว่าแล้วเดาะลิ้นอย่างรำคาญกับการตามตื้อไม่เลิกของอาจารย์ที่ทั้งมหาวิทยาลัยเรียกขานเป็นเทพบุตรผู้เพียบพร้อมไปทุกอย่างทั้งที่เนื้อแท้กลับซ่อนความร้ายกาจไว้ครบถ้วน


...ไม่มีใครรู้ว่าผู้ชายคนนี้น่ากลัวและโหดร้ายเพราะเขาสมบูรณ์แบบกลบเลือนมันไว้จนหมดสิ้น...


“ถ้าไม่อยากรับสายก็ไม่ต้องรับนะ”


“อาจารย์เขาโทรมาจะไม่ให้รับได้ไงเล่า”


“ไว้เจอเขาในคลาสค่อยอ้างไปว่าลืมเอามือถือมาก็ได้”


“เราไม่ได้ตอบข้อความที่อาจารย์เขาส่งมาเลย เขาอาจจะเป็นห่วงเราเลยโทรมาก็ได้”


“นี่ไม่ได้ตอบข้อความเขาเลยเหรอ”


“อืม” คนป่วยส่งเสียงในคอพร้อมกับโทรศัพท์ในมือที่หยุดสั่น “อ้าว อาจารย์เขาวางสายไปแล้วอ่ะ”


“จะไม่วางได้ไงเล่า...ก็เขาเดินมานู้นแล้ว”  เสียงทุ้มว่าพยักพเยิดให้มองไปด้านหลังก็พบเข้ากับชายหนุ่มหน้าตาหล่อละมุนผิวขาวละเอียดสวมเชิ้ตสีขาวผูกไทด์สีดำสวมทับด้วยสูทสีน้ำตาลสีเดียวกับกางเกงสแล็คเดินตรงเข้ามาหาแล้วหยุดยืนตรงหน้าของคนป่วย...นัยน์ตาสีน้ำตาลทอดยังลูกศิษย์ที่หน้าซีดขาวราวกระดาษอย่างห่วงใยโดยไม่แม้แต่จะชายตายังลูกศิษย์ตัวสูงอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ


“สวัสดีครับอาจารย์” คนป่วยทักทายพลางโค้งให้ช้าๆ


“ผมได้ยินว่าคุณมาเรียน เห็นเพื่อนในชั้นคุณบอกหน้าคุณซีดมากเหมือนยังไม่หายดี...ทำไมคุณยังฝืนมาเรียนอีก แล้วนี่ทำไมไม่รับโทรศัพท์หรือตอบข้อความผมล่ะ รู้ไหมว่าผมเป็นห่วงคุณมาก ยิ่งติดต่อไม่ได้แบบนี้ ผมยิ่งกังวล” ถ้อยความยาวกล่าวอย่างวิตก หน้าผากย่นแทบจะพับเข้าหากัน


“พอดีแบตโทรศัพท์หมดครับ...พอเช้ามาก็มีเรียนเลยไม่ได้ตอบข้อความ เมื่อกี้กำลังจะรับสายอาจารย์ก็วางพอดี”


“หน้าคุณมันไม่มีเลือดเลย ยังไงผมว่าคุณกลับไปให้หมอที่โรงพยาบาลตรวจอีกรอบจะดีกว่า...ผมมีเวลาก่อนไปสอนช่วงบ่ายอยู่ เดี๋ยวผมพาคุณไปหาหมอเอง” เสียงอ่อนโยนบอก มือเรียวเอื้อมไปเกือบสัมผัสถูกแก้มเย็นแต่อีกฝ่ายก้มลงแกล้งทำเป็นเช็ดจมูกเพื่อจะหลบ มือนั้นจึงชักกลับมาประสานไว้ด้านหลัง


“ผมว่าอาจารย์ไม่ต้องลำบากไปส่งหรอกครับ...ผมก็อยู่นี่ทั้งคน ผมพาเพื่อนซี้ผมไปโรงพยาบาลเองได้ครับ” ประโยคนั้นแทรกกลางวงทำให้อาจารย์หนุ่มปรายตาไปยังลูกศิษย์อีกคนก่อนจะแย้มริมฝีปากเช่นที่มีให้ทุกคนแม้ในใจจะชังความช่างสอดไม่เข้าเรื่องของเด็กคนนี้เหลือแสน และเหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ความในใจริมฝีปากบางจึงเหยียดตอบ หากแววตาไม่มีความเป็นมิตรอยู่เลยสักนิด


“คุณมีเรียนต่อไม่ใช่หรือครับ”


“อาจารย์รู้ได้ยังไงครับว่าผมมีเรียนต่อ...มีญาณทิพย์เหรอครับ” คนอ่อนกว่าตีรวนทั้งที่ยิ้มแป้น


“ผมเคยเห็นคุณเข้าเรียนวิชาของอาจารย์ยองฮุนเลยคิดว่าน่าจะมีเรียนต่อ”


“อ้อ อันนี้ผมไปเรียนเอาสนุกเฉยๆครับ ไม่ได้ซีเรียสอะไร โดดพาเพื่อนไปหาหมอสักคาบคงไม่เป็นไรหรอกครับแต่อาจารย์มีสอนตอนบ่ายโมง นี่ก็เที่ยงครึ่งแล้ว ถ้าพายองแจไปโรงพยาบาลจะไปสอนทันได้ไงล่ะครับ”


“ผมให้ผู้ช่วยแจกเอกสารให้นักศึกษาอ่านรอได้ครับ”


“อ้าว...อาจารย์มีนักศึกษาผู้ช่วยอีกคนแล้วเหรอครับ โหย แบบนี้คงไม่ต้องวานให้ยองแจไปช่วยงานอาจารย์แล้วสินะครับ ดีครับ ดี ยองแจเขาจะได้มีเวลาพัก ไม่ต้องเหนื่อยจนเป็นลมไปอีก”


“คุณอยากเลิกเป็นผู้ช่วยผมแล้วเหรอครับ” แทนที่จะเผชิญหน้ากับคนตัวสูงผู้เป็นอาจารย์กลับเลือกจะถามเอากับคนป่วยที่ไม่เคยปฏิเสธคำขอซึ่งหน้าของเขามาก่อนเล่นเอาคนที่เพิ่งพูดจบไปถึงกับเดาะลิ้น


ยองแจเหลือบตามองอาจารย์หนุ่มที่เลิกคิ้วถาม แม้สีหน้าจะอ่อนละมุนเช่นทุกคราที่เห็น ทว่าดวงตากลับฉายแววคาดคั้นชวนให้รู้สึกอึดอัดแต่เมื่อมีโอกาสและเพื่อนยังอยู่ใกล้จึงกัดฟันบอกไปอย่างที่คิดไว้มานาน


“ผมมีงานสอนพิเศษน่ะครับเลยต้องเตรียมสอน ผมคิดว่าผมคงจะช่วยงานอาจารย์ได้ไม่เต็มที่เหมือนก่อนก็เลยอยากจะขออนุญาตหยุดทำหน้าที่ผู้ช่วยของอาจารย์น่ะครับ”


“ที่คุณเป็นลมไปเพราะคุณสอนพิเศษเพิ่มขึ้นมาด้วยเลยไม่มีเวลาพักผ่อนอย่างนั้นเหรอ”


“คือ ที่ที่ผมต้องไปสอนพิเศษมันไกลจากมหาวิทยาลัยมากครับ พอเตรียมสอนเสร็จแล้วต้องใช้เวลาเดินทางอีก กว่าจะกลับมาอ่านหนังสือที่หอได้มันค่อนข้างเหนื่อยน่ะครับ”


“คุณสอนพิเศษตอนกี่โมงครับ”


“เพราะผมลงทะเบียนเรียนวิชาที่เลิกก่อนหกโมงเย็นเลยเริ่มสอนช่วงหกโมงหรือทุ่มหนึ่งเป็นต้นไปครับ”


“ถ้าคุณต้องไปสอนไกลมาก ทำไมถึงไม่บอกผมล่ะ ผมจะได้ขับรถไปส่งให้”


“ผมไม่อยากรบกวนอาจารย์ครับ”


“อย่าคิดว่ารบกวนสิ...ถ้าคุณบอกผมว่าต้องไปสอนพิเศษ ผมสามารถขับรถไปรับไปส่งคุณได้”


“ผมคิดว่าอาจารย์คงไม่เข้าใจที่เพื่อนผมพูด...ยองแจเขาอยากเลิกเป็นผู้ช่วยอาจารย์ ไม่เกี่ยวกับเรื่องขับรถไปส่งหรอกครับ” เป็นอีกครั้งที่คนตัวสูงผ่ากลางการสนทนาขึ้นมาเพราะทนกับความไม่เลิกราของอาจารย์หนุ่มไม่ได้


“นักศึกษา ผมไม่ได้ถามคุณ หัดมีมารยาทซะบ้างนะ...อย่าให้ผมถึงขั้นต้องหักคะแนนความประพฤติคุณในวิชาที่ผมสอนเลย” คำนั้นสวนแทบจะทันที


“ผมทราบครับว่าอาจารย์ไม่ได้ถามและผมยอมให้อาจารย์ตัดคะแนนความประพฤติของผมได้ ถ้าอาจารย์ยอมให้ยองแจเขาหยุดทำหน้าที่ผู้ช่วยอย่างที่เขาต้องการ”


“คุณ...เหอะ...ทำไมถึงชอบท้าทายผมนัก” ผู้เป็นอาจารย์พ่นลมร้อนผ่านริมฝีปากจ้องตากับฝ่ายที่อ่อนกว่าตนเองเป็นสิบปีด้วยสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่ข้างในร้อนเป็นไฟ


“อาจารย์ก็เข้าใจอะไรง่ายๆบ้างสิครับ” คำตอบเน้นเสียงหนักแน่นไร้ความกลัว...ในฐานะที่เป็นลูกชายนักธุรกิจใหญ่ก็มั่นใจได้ว่า ถ้าต้องสู้กับลูกอธิการบดีมหาวิทยาลัยก็สู้ได้พอฟัดพอเหวี่ยง หากบรรยากาศคุกรุ่นนั้นสร้างความไม่สบายใจให้แก่คนกลางจนต้องเป็นฝ่ายตัดบทจับแขนเพื่อนให้หยุดพูดแล้วโค้งให้อาจารย์ที่ปรึกษาตนเองไป


“ขอโทษจริงๆนะครับที่ผมไม่สามารถทำหน้าที่ผู้ช่วยต่อไปได้...ถ้าอาจารย์คิดว่าผมไม่มีความรับผิดชอบจะตัดคะแนนในวิชาที่ผมเรียนกับอาจารย์ก็ได้นะครับ”


“คุณอยากเลิกเป็นผู้ช่วยผมเพราะต้องสอนพิเศษอย่างเดียวแน่ใช่ไหม”


“ครับ”


“ไม่ได้มีเหตุผลอื่น”


“ครับ”


“โอเค ถ้าคุณยืนยันว่าเป็นผู้ช่วยผมไม่ได้เพราะต้องสอนพิเศษอย่างเดียว ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร” สุดท้ายผู้เป็นอาจารย์ก็ยอมจำนน ทว่าถ้อยคำที่เอ่ยมาทำให้ลูกศิษย์ที่ได้ยินเข้ารู้สึกแปร่งหูแต่ทั้งคู่ก็เลือกจะเงียบแทนการถามต่อความ อีกทั้งเห็นอาจารย์ยกโทรศัพท์เพื่อรับสายคล้ายจะถูกใครโทรตามจึงนิ่งรอ


“พอดีผมมีธุระ...เอาเป็นว่าวันจันทร์ หลังเลิกคลาสที่ผมสอน เราค่อยคุยกัน”


“ครับ...สวัสดีครับ” ยองแจพยักหน้ารับและโค้งทำความเคารพแล้วปล่อยให้ผู้มากวัยกว่าเดินจากไป


“เป็นคนฉลาดแต่เข้าใจยากอะไรขนาดนี้เนี่ย” ยูคยอมว่าพลางส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอาขณะเดินไปทางโรงอาหารของมหาวิทยาลัย “วันจันทร์ถ้าโดนอาจารย์เขาลากไปห้องพักครูก็แกล้งเป็นลมให้ดูเลยนะ”


“จะบ้าเหรอ...ขืนทำอย่างนั้น อาจารย์เขาจะยิ่งห่วงเรามากกว่าเดิมน่ะสิ”


“ไม่งั้นก็ให้อาจารย์ฮอนชอลเข้ามาคุยดูดิ...เห็นวันนั้นซอกมินมันเข้าไปส่งงาน เจออาจารย์เขาเอาใบรับรองแพทย์มาลาป่วยให้นายอ่ะ มันบอกว่า อาจารย์ฮอนชอลเนี่ยน่ากลัวมาก ขนาดอาจารย์จินยองยังดูเกร็งๆเลย”


“จริงเหรอ”


“ไม่ใช่แค่ซอกมินนะ แต่พวกสาวกอาจารย์ก็ลือกันอยู่ว่า อาจารย์พิเศษคนนั้นน่ากลัว...ถ้านายไม่อยากให้อาจารย์จินยองเขามายุ่งก็เรียกอาจารย์ฮอนชอลมาคุยแทน ยังไงนายก็เคยเรียนกับอาจารย์เขามาคงขอให้ช่วยไม่ยากหรอก”


“เราไม่จำเป็นต้องให้เขาช่วย” เพียงคิดถึงหน้าของชายที่ทำให้ใจแตกสลายมาสองปีเต็ม น้ำเสียงที่อุ่นอ่อนก็แข็งกร้าวขึ้นอย่างไม่รู้ตัว


...ทำไมเขาต้องขอความช่วยเหลือจากคนไร้หัวใจอย่างนั้นกัน...


ยูคยอมกระพริบตาหันมองเสี้ยวหน้าด้านของของเพื่อนที่ดูมึนตึงไม่เหมือนที่เคยเป็นมาก่อนก็เหมือนเป็นการตอกย้ำให้ทราบว่า อาจารย์พิเศษคนนั้นคงมีความหลังอะไรบางอย่างที่ไม่อยากพูดถึง


“ขอโทษที”


“ขอโทษเรื่องอะไร”


“ฉันไม่รู้ว่านายไม่ชอบให้พูดถึงอาจารย์ฮอนชอล”


“อา...”


“แต่อย่าหงุดหงิดไปเลยนะ ฉันจะไม่พูดถึงเขาแล้วล่ะ เอาเป็นว่าเรารีบไปกินข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวฉันจะไปส่งนายกลับหอเอง” คนตัวสูงอาสาก่อนจะล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมากดดูข้อความก่อนจะหลุดสบถออกมา


“ฉิบหาย”


“หื้อ...มีอะไรเหรอ”


“เวรเอ๊ย...ฉันลืมเลยว่า อาจารย์ยองฮุนเขามีทดสอบก่อนเข้าเรียน”


“อ้าว...แล้วนี่อ่านหนังสืออะไรหรือยัง ตอนนี้ก็จะบ่ายอยู่แล้วนะ ถ้าไปกินข้าว ไม่น่าจะไปสอบทัน”


“มันเป็นพรีเทสต์อ่ะแล้วสอบอีกทีหลังคาบ แต่ถ้าไปไม่ทันพรีเทสต์ก็โดนตัดคะแนนไง โว้ย นี่ถ้าไม่มั่วแต่อยู่กับคนพูดไม่รู้เรื่อง ป่านนี้ก็กินข้าวพร้อมสอบไปนานแล้ว”


“ขอโทษนะที่ทำให้นายเสียเวลา”


“ขอโทษทำไม...คนที่ต้องขอโทษควรเป็นอาจารย์เขาต่างหาก”


“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ”


“อย่าคิดว่าเป็นความผิดตัวเองดิ”


“ถ้ามีสอบก็ไปสอบเถอะ ไม่ต้องห่วงเราหรอก เราไม่ได้เป็นอะไรแล้ว”


“แน่ใจเหรอ”


“แน่สิ”


“งั้นเอางี้ เดี๋ยวฉันไปเข้าเรียนก่อน ส่วนนายก็รีบไปกินข้าว กินยา แล้วโทรหาจุนฮงมันให้มันพากลับไปส่งที่หอ แต่ถ้าระหว่างนี้รู้สึกไม่ไหวยังไงไปนอนห้องพยาบาลเลยนะ เข้าใจไหม”


“อืม...รีบไปเถอะ”


ยูคยอมเม้มริมฝีปากด้วยไม่อยากปล่อยเพื่อนไว้ หากสุดท้ายก็ยกมือลูบผมนุ่มของเพื่อนอย่างเป็นห่วงก็กระโจนวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตกลับไปทางอาคารคณะมนุษยศาสตร์อย่างไม่คิดชีวิต ยองแจยืนมองเพื่อนได้เพียงครู่ก็ตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางจากโรงอาหารไปห้องสมุดแทน


ช่วงเวลาที่เดินหลบแดดผ่านทางเดินใต้อาคารคณะนิติศาสตร์ข้ามไปยังทางเดินไปสู่ประตูของหอสมุด ลมเย็นจากนอกอาคารโชยพาดหอบเอาใบไม้และฝุ่นผงมากระทบทำให้ตาปิดลงโดยอัตโนมัติ กระทั่งลมสงบลงเปลือกตาแดงช้ำจึงได้ฤกษ์ลืมขึ้นอีกครา หากครั้งนี้สิ่งที่ปรากฏตรงหน้ากลับเป็นภาพโครงร่างลางๆของใครคนหนึ่งยืนห่างออกไป และเมื่อสายตาปรับความคมชัดจึงได้เห็นชายหนุ่มหน้าตาดุดันสวมเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงสแล็คสีเดียวกันทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำตาลเข้มตัวยาวอยู่ตรงนั้น


การสบตาเกิดขึ้นในชั่วนาทีก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะยิ้มกว้าง  แม้จะอยู่ห่างกันหลายเมตรแต่ความอุ่นออกจากรอยยิ้มอันคุ้นเคยไม่ต่างจากวันวานกลับส่งผ่านมาถึงหัวใจพาลให้นึกถึงรอยยิ้มเดียวกันนี้ที่ประทับอยู่ในความทรงจำในฤดูหนาวเมื่อสามปีก่อน


ช่วงนั้นอากาศหนาวจัดตลอดทั้งเดือนและการเรียนพิเศษในแต่ละวันนั้นยาวนาน แต่ผู้ชายที่เลิกงานดึกคนนี้กลับมานั่งรอเขาหน้าโรงเรียนสอนพิเศษต่ออีกหลายชั่วโมง และแม้จะต้องนั่งรอจนตัวเย็นแทบเป็นน้ำแข็งหรือต้องกรอกท้องด้วยบะหมี่สำเร็จรูปทุกวันเพื่อซื้อถุงร้อนกับแกงกิมจิให้เขาได้กิน หากผู้ชายคนนี้กลับยิ้มกว้างโดยไม่เคยปริปากบ่น


รอยยิ้มนั้น...รอยยิ้มจริงใจอย่างไม่มีพิษภัยนั้นเป็นรอยยิ้มเดียวกลับที่เห็นในตอนนี้


มันเป็นความทรงจำที่สวยงามและมีความหมายกับเขามากเหลือเกิน กระนั้นความขมขื่นในวันที่ถูกทอดทิ้งยังคงจารลึกในใจ ยิ่งเห็นคนตรงหน้ายังคงยิ้มเช่นวันเก่าก็พาให้ความเจ็บปวดหลั่งไหลท่วมท้น ตาบวมจากการร้องไห้หนักหนายามทอดไปยังหน้าเรียวที่เคยเคลียใกล้ร้อนผ่าวจนต้องกระพริบถี่สะกดน้ำตาไม่ให้รินออกมา


...มันเหมือนหัวใจแตกสลายถูกบดขยี้เป็นฝุ่นผง...


ผู้มากวัยกว่ายังคงยิ้มกว้างเช่นนั้น แม้จะสัมผัสได้ถึงความทุกข์ทนของผู้เป็นทุกอย่างในชีวิต ก่อนจะก้าวไปหาเจ้าของร่างบางที่ยืนตัวสั่นทีละก้าวอย่างช้าๆ


“เรากินข้าวหรือยัง ไปกินข้าวด้วยกันนะ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม สาวเท้ามาหยุดยืนห่างออกไปเพียงสุดปลายแขนเฝ้ามองหน้าเซียวที่แดงขึ้นจากความพยายามไม่เผยความอ่อนแอออกมาของคนที่เป็นทุกอย่างในชีวิตด้วยความเศร้า


ตาดุทอดมาหาอย่างห่วงกังวลมีแววรวดร้าวแฝงลึกนั้นตีรวนกระบวนความคิดของฝ่ายที่ทำได้เพียงมองให้ปวดตุบไปทั้งหัวถึงขนาดต้องเม้มริมฝีปากที่สั่นระริกไว้ไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็น


“พี่ซื้อช็อกโกแลตของโปรดเราไว้ด้วย ตอนเรากินยาจะได้ไม่ขมปาก” คนพูดแกว่งห่อช็อกโกแลตผสมอัลมอนด์ไปมา


ฝ่ายตรงข้ามยังคงทำได้เพียงเม้มริมฝีปากมองช็อกโกแลตที่ตนเองเคยชอบมากแต่หาไม่ได้อีกแล้วตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป ต้องเจาะจงหาเท่านั้นถึงจะซื้อได้ตรงหน้าอย่างเงียบงัน คงมีเพียงน้ำอุ่นใสที่ค่อยๆเอ่อขังขอบตาอย่างไม่รู้ตัว


“เฮ้...อย่าร้องไห้สิ ห้ามร้องนะ เพราะถ้าเราร้องพี่จะกอดเราไว้ ถ้ามีคนมองหรือถามพี่จะบอกว่า เราเป็นคนรักของพี่ อยากให้เขารู้กันทั้งมหาวิทยาลัยเหรอว่าเรารักกัน” เสียงดุนั้นอ่อนโยนเกินกว่าจะเป็นการข่มขู่กระทบใจให้สั่นไหว ยิ่งมือใหญ่เอื้อมมาลูบหัวมองมาหาอย่างเอ็นดูเช่นวันเก่า ทำนบในใจที่ก่อสูงขึ้นเพื่อสกัดกั้นความรู้สึกโหยหาที่ฝังลึกอยู่ข้างในพังครืน


ความอ่อนแอคล้ายหนามพันกระหวัดรอบกายยากจะดิ้นรนหนีพ้น น้ำอุ่นใสคลอหน่วยค่อยรินอาบแก้มก่อนที่ทั้งร่างถูกโอบกอดไว้ด้วยวงแขนแข็งแรงของคนตรงหน้าที่ห่อคลุมเขาไว้ด้วยเสื้อคลุมสีน้ำตาลเพื่อไม่ให้ใครได้เห็นรอยน้ำตา...คำว่าที่ว่า ไม่ร้องนะคนเก่งทำให้ร่างผอมหมดแรงซบลงบนอกกว้างทิ้งน้ำตานับร้อยนับพันหยดลงบนผ้าสีดำจนชุ่มโชก ไหล่บางสะท้อนขึ้นลงรุนแรงจากการสะอื้นฮักแทบขาดใจนั้นดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด


ไม่ว่าผู้ชายคนนี้จะทำชีวิตเขาพังพินาศหรือสมองจะหาเหตุผลนับพันมาหักล้างต่อทุกสิ่งมากเพียงไหน แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาสามารถเขาชนะเสียงของหัวใจที่เรียกหาผู้ชายคนนี้อยู่ร่ำไป


...สุดท้ายก็มีแค่เขาที่เป็นฝ่ายแพ้ยับเยิน...


ฮอนชอลวางคางคลึงเบากลางหม่อมที่โผล่พ้นจากเสื้อคลุมของคนที่ซุกตัวร้องไห้จนตัวโยนพลางลูบหลังผอมนั้นไปมา นัยน์ตาคมที่กระพริบช้าแลไปข้างหน้าฉายแววทุกข์สาหัญ...รอยแผลลึกในใจ ยามถูกรดด้วยน้ำตาแห่งความเศร้าของผู้เป็นที่รักกลับเปรียบได้เช่นทิงเจอร์ขวดใหญ่ราดลงบนแผลสดให้แสบร้อนเจียนบ้าแต่คนเจ็บก็น้อมรับมันไว้ด้วยความเต็มใจ


“ชู่ว์” เสียงลมผ่านริมฝีปากดังขึ้น เสื้อที่ถูกดึงคลุมปิดคนป่วยไว้ไม่ให้ใครเห็นน้ำตากองตกไปอยู่บนตัวเช่นเก่า มือกร้านใหญ่ทั้งสองแนบลงบนคอเย็นแล้วไต่ระดับมาประคองข้างแก้มที่ก้มซุกอยู่ให้เงยมาหา ก่อนที่ริมฝีปากจะทาบเบาบนดวงตาพราวน้ำทั้งสองข้าง


“ไม่ร้องแล้วนะคนเก่ง”


คำปลอบโยนพร่ำกระซิบข้างหู อ้อมแขนแข็งแรงกอดกระชับร่างบางที่สะอื้นหนักซบอยู่บนอกหมดแรงจะร้องไห้ไว้แน่นนาน อ้อมกอดที่อุ่นอย่างยิ่งทำให้หยาดน้ำตาแห่งความเศร้าจางลง


ทั้งที่ใจไม่อยากรับว่าโหยหาสัมผัสจากผู้ชายคนนี้  หากยองแจกลับปล่อยตัวเองให้ถูกกอดไว้เช่นนั้น กระทั่งได้ยินเสียงสนทนาของผู้คนลอยเข้าหูก็เริ่มรู้สึกตัวว่าควรจะโกรธจึงดิ้นรน


“ปล่อย” เสียงขึ้นจมูกนั้นสั่งแต่ทำให้คนกอดหลุดหัวเราะเบาออกมา


“อะไรนะ เราว่ายังไงนะ”


“ผมบอกให้คุณปล่อยผม”


“ปล่อย...จะให้พี่ปล่อยเราไปไหนเล่า ไม่เอาหรอก กอดไว้แบบนี้แหละดีแล้ว”


“ปล่อยผม...คุณไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้” คนอ่อนกว่าประท้วงเสียงอู้อี้ด้วยยังจมอยู่ในอ้อมแขน


“พี่ไม่ใช่นักกฎหมาย เรื่องสงเรื่องสิทธิ์อะไรนี้ไม่เข้าใจหรอก...เหตุผง เหตุผลอะไรก็ไม่มี พี่รู้แค่ว่าพี่อยากกอด พี่ก็กอด เราห้ามพี่ไม่ได้หรอกนะ”


“ถ้าคุณไม่ปล่อย ผมจะร้องให้คนช่วย”


“ร้องสิ...พี่จะได้บอกเขาว่า พี่กำลังง้อแฟนพี่อยู่”


“ใครเป็นแฟนคุณ”


“เราไงแฟนพี่”


“ผมไม่ใช่”


“ไม่ใช่แฟนแต่เป็นคนรักก็ได้”


“นี่ พูดไม่...” ฝ่ายเด็กกว่าร้องออกมาได้เท่านั้นก็สะดุ้งด้วยรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกอุ้มลอยจากพื้น


“พี่หิวแล้วล่ะ ไปกินข้าวกัน”


“ผมไม่ไป”


“พี่เจอร้านข้าวร้านหนึ่งอยู่หลังมหาลัย...แกงกิมจิเขาอร่อยมาก ถ้าเราได้กินเราน่าจะชอบ” อีกคนลอยหน้าลอยตาบอกแล้วออกเดินไปข้างหน้าเหมือนไม่ได้ยินเสียงทัดทานหรือรู้สึกถึงการเตะเท้าไปมาเพื่อจะไปให้พ้นการถูกอุ้มของคนตัวบางเลยแม้แต่น้อย


“ปล่อยผมลงนะ”


ยองแจร้องมือทั้งสองข้างเกาะอยู่บนไหล่หันรีหันขวางมองไปรอบตัว แม้ทั่วทางเดินนั้นจะร้างผู้คนด้วยส่วนใหญ่ใช้บริการอยู่ภายใน อีกทั้งยังเป็นเวลาเริ่มเรียนของภาคบ่ายก็ยังกลัวว่าจะมีใครเห็น


...จากความเจ็บปวดเหลือแสนเริ่มแปรเป็นหงุดหงิดเหลือทน...


“ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้เลยนะ”


“ปล่อยเราก็ไม่ยอมกินข้าว”


“รู้ได้ไงว่าผมไม่กิน”


“มีคนบอก”


“ใครบอกคุณ”


“เรื่องนั้นน่ะบอกไม่ได้หรอก...มันเป็นความลับ”


ฮอนชอลเย้าอย่างอารมณ์ดีขณะเงยหน้าไปหาร่างบางที่ถูกอุ้มลอยตรงหน้าด้วยรอยแย้มกว้างจนตาดุนั้นเล็กหยีเป็นเส้นขีดนั้นเป็นรอยแห่งความสุขจากใจเช่นอดีตที่มีให้ผู้เป็นที่รักเพียงหนึ่งเดียว


นั่นคือความรักของเขา...มันไม่หวือหวา ยากลำบากและอาจสร้างบาดแผลในใจไว้มากมายแต่ความรักที่เขามีต่อเด็กน้อยของเขาไม่เคยหายไปไหน มันสลักอยู่กลางหัวใจของเขาเสมอ


“ผมเกลียดคุณ” ผู้อ่อนวัยขึ้นเสียงต่อการยิ้มนั้น


โดยปกติเขาไม่ใช่คนประเภทโมโหร้ายหรือแสดงออกความไม่พอใจอย่างโจ่งแจ้ง กระนั้นความอุ่นที่ซึมลึกคล้ายซากหัวใจถูกมือของอีกฝ่ายกอบขึ้นมาประกอบใหม่แต่เจ้าตัวเลือกไม่ยอมรับ...ความรู้สึกนั้นจึงกลายเป็นความตะขิดตะขวงใจที่ทำให้โพล่งทุกสิ่งที่อยากพูดออกไปโดยไม่ผ่านการคิด


“เรื่องนั่นพี่รู้แล้ว”


“ถ้ารู้ก็เลิกยุ่งกับผมได้แล้ว”


“เราเกลียดพี่แต่พี่ไม่ได้เกลียดเราด้วยนี่”


“คุณนี่มันเลวจริงๆ” คำด่าผ่านไรฟันอย่างหงุดหงิดเข้าหูเต็มๆแต่ฝ่ายถูกด่ายังคงยิ้มหน้าตาอยู่เช่นเดิมทำให้ยิ่งเพิ่มความโมโหมากขึ้นไปอีก


“หยุดยิ้มได้แล้ว”


“หื้อ”


“เลิกยิ้มซะที...น่ารำคาญ”


“โอ้...ตวาดเป็นด้วย”


“ทำไมจะไม่เป็น ถ้าคุณไม่อยากโดนตวาดอีกก็หยุดยิ้มและปล่อยผมลงได้แล้ว”


“พี่ห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มไม่ได้...ถ้าเราไม่อยากให้พี่ยิ้มก็ทำให้พี่หยุดยิ้มสิ” ฝ่ายอายุมากกว่าว่าพลางยิ้ม แกล้งกระพริบตาปริบเหมือนเด็กไม่รู้เดียงสา ทำให้คนเด็กกว่ายิ่งหน้างอพร้อมยกมือทั้งสองข้างที่เกาะไหล่แข็งแรงนั่นขึ้นมาทาบข้างแก้มสากแล้วดันริมฝีปากเหยียดกว้างนั้นให้หุบลงไปเท่าเดิม


นาทีที่มือเย็นเฉียบวางลงบนหน้าดุดันทำให้มันอุ่นขึ้นแทบจะในทันที ดวงตากลมใสเหมือนลูกกวางจ้องเข้าไปในตาคมกริบที่สะท้อนภาพหน้าของตัวเขาเอาไว้ในนั้นเต็มไปด้วยความรักความหวงแหน และริมฝีปากบางยังคงยิ้มเอ็นดูแม้จะถูกมือบีบเอาไว้


ความอ่อนโยนอย่างมากนั้นมีผลให้หัวใจที่คิดว่าแตกสลายไปกลับเต้นแรงขึ้นเป็นลำดับ...เลือดสูบฉีดส่งให้แก้มเซียวขาวกลับแดงระเรื่อ ตากลมเริ่มหลุบมองต่ำแทนการสบตาขณะที่มือลดลงมากอดหลวมๆอยู่ตรงอก...ความร้อนแทบไหม้บนหน้าเป็นอาการเขินแต่เจ้าตัวเชื่อว่าไม่ใช่จึงรู้สึกฮึดฮัดแต่อีกคนกลับหน้าบานกว่าเดิม


“พี่จะปล่อยเราลง ถ้าเรายอมให้พี่จับมือ”


“ทำไมต้อง...”


“แปลกแฮะ ตอนนี้ทำไมถึงมีนักศึกษาเยอะจัง” เพียงพูดแล้วตีหน้าขรึมเหมือนกำลังคิดทำให้คนอ่อนวัยกว่าตาโตหันมองรอบข้างก็เห็นนักศึกษาหญิงกลุ่มหนึ่งกำลังเดินใกล้เข้ามา


“ปล่อยผมลงนะ”


“ให้จับมือก่อนแล้วพี่จะปล่อย”


“จิ๊...จะจับก็จับไปสิ” เจ้าตัวแว้ดใส่อีกรอบก่อนที่ฝ่ายอายุมากกว่าจะปล่อยเอวบางวางลงบนพื้นพร้อมกับสอดนิ้วแข็งประสานมือนุ่มเอาไว้แน่น แม้อีกคนจะพยายามออกแรงสะบัดหรือหมุนหนีไปตลอดทางแต่ก็สู้แรงไม่ไหว สุดท้ายก็จำใจต้องปล่อยเลยตามเลยทั้งที่ไม่พอใจเลยสักนิด


ประตูด้านหลังรั้วมหาวิทยาลัยมีร้านค้าและร้านอาหารเรียงรายให้เลือกมากมาย ทว่าผู้เป็นอาจารย์พิเศษกลับพาไปยังร้านอาหารเล็กที่ซ่อนอยู่ในซอยเล็กๆ เมื่อเลื่อนประตูเข้าไปภายในร้านที่ตกแต่งอย่างง่ายๆ ซึ่งมีทั้งโต๊ะแยกแบบนั่งพื้นและโต๊ะยาวที่สามารถนั่งเรียงกันได้และด้วยความที่ไม่ใช่เวลาเร่งด่วนจึงแทบไม่มีลูกค้า


“เชิญค่ะ” เสียงจากหญิงชราที่กำลังเสิร์ฟอาหารให้กับลูกค้าที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะยาวเอ่ยต้อนรับ ทำให้ผู้มาใหม่ยิ้มพลางก้มหัวแล้วกวาดตาเลือกหามุมสำหรับกินข้าว จังหวะนั้นเองที่สายตาของอาจารย์หนุ่มกลับไปปะทะเข้ากับสายตาของชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวไม่ผูกไทด์ที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะยาวข้างชายหนุ่มอีกคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาซดน้ำแกงอย่างหิวโหย


ฝ่ายตรงข้ามเหลือบมองหน้าดุอยู่พักนึงก็ไล้ตายังมือของคนทั้งคู่ที่จับกันแนบแน่นก็หลุดยิ้มบางออกมา ขณะที่คนข้างๆพอเงยหน้าจากชามแกงหันไปเห็นภาพเดียวกันถึงกับชะงักนิ่งได้แต่กลอกตาไปมา


“สวัสดีครับอาจารย์ฮอนชอล” คนตัวสูงบอกแล้วหันไปมองเพื่อนตัวเองที่ถูกจับมือยืนอยู่เคียงกันด้วยความรู้สึกประดักประเดิด “หวัดดี ยองแจ”


“อา” อีกฝ่ายหน้าเสียหลุดพูดออกมาได้เพียงคำก็เงียบและกลายเป็นอาจารย์พิเศษเองที่ช่วยไม่ให้เก้อ


“บังเอิญจังนะครับ ไม่คิดเลยว่าจะเจออาจารย์โฮซอกที่นี่”


“ครับ แล้วอาจารย์ฮอนชอลล่ะครับ ทำไมถึงมากินข้าวร้านนี้ได้ล่ะครับ”


“ช่วงอาทิตย์ก่อนมีเพื่อนลิสต์ร้านอาหารอร่อยแถวมหาวิทยาลัยให้น่ะครับก็เลยมาตามรอย แล้วร้านนี้เขาทำโจ๊กอร่อยก็เลยมากิน”


“ดูเหมือนเพื่อนอาจารย์คนนี้นอกจากจะใจดียังหน้าตาดีด้วยใช่ไหมครับ”


“สำหรับผมมันก็ไม่เท่าไร...แต่มันเคยเป็นออลจังดังมากสมัยเรียนมัธยมด้วยกัน”


“พูดอย่างนี้ไม่คิดว่าเพื่อนคุณจะอยากหักคอคุณบ้างหรือครับ”


“ถึงเป็นออลจังมันก็หาเงินส่งตัวเองเรียนจนจบได้...ก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่น่าภูมิใจคนหนึ่ง”


อาจารย์โฮซอกจ้องหน้าอาจารย์ต่างคณะครู่หนึ่งก็หัวเราะเบาออกมาก่อนจะหันกลับไปสนใจชุดอาหารตรงหน้าตนเอง ส่วนลูกศิษย์ที่ถูกลากมายกมือเกาหัวอย่างไม่รู้จะทำตัวยังไงพักเดียวก็กลับไปหยิบข้อนกินข้าวตามคติจะยังไงไม่รู้ท้องต้องอิ่มไว้ก่อน


ยองแจถอนหายใจออกมาในตอนที่นั่งขัดสมาธิตรงมุมหนึ่งของร้านตรงข้ามกับคนเป็นผู้ใหญ่พลางจ้องรายการอาหารบนเมนูแผ่นยาวอย่างหงุดหงิดและเลือกจิ้มภาพบนนั้นมั่วๆอันหนึ่งให้กับเจ้าของร้านที่รอจดรายการ


“จะกินนี่จริงๆเหรอ”


“ผมจะกินอะไรมันก็เรื่องของผม”


“เราจะกินซุปแตงกวาเย็นเนี่ยนะ...เราแพ้แตงกวาจะกินได้ไง” คำเตือนอ่อนโยนนั้นเรียกให้อีกฝ่ายเหลือบตายังนิ้วที่จิ้มบนเมนูก็เห็นเป็นจริงดังว่า


“เอาซุปซี่โครงวัวกับแกงกิมจิ แล้วก็เกี๊ยวนึ่งชุดรวมกับข้าวสองที่ น้ำขอเป็นชาร้อนกับน้ำเปล่านะครับ เอาเท่านี้ครับ”


ฮอนชอลสั่งอาหารเรียบร้อยโดยไม่ถามความเห็นก็สั่งเมนูคืนให้หญิงชราแล้วเท้าคางมองเด็กตรงข้ามที่ทำหน้างอไม่ยอมพูดยอมจาเอาแต่เขี่ยตะเกียบในซองพลาสติกกลิ้งไปมาอย่างเดียวนั้นไม่ใช่ภาพที่เขาเคยเห็นมาก่อน


...เด็กน้อยของเขาไม่เคยโกรธมีแต่ยิ้มกว้างให้เสมอ พอได้เห็นว่าโกรธเป็นอยู่บ้างก็เอ็นดูมากกว่าจะรู้สึกขุ่นเคือง


“วันนี้เราเรียนเรื่องภาษีอากรเป็นยังไงบ้าง เรียนหนักมากไหม ปวดหัวระหว่างเรียนหรือเปล่า”


“คุณรู้ได้ยังไงว่าผมเรียนภาษีอากร” เพราะคำถามที่รู้กระทั่งชื่อวิชาทำให้คนก้มหน้างุดเงยมองตาเขียว “คุณดูตารางเรียนผมใช่มั้ย... คุณไม่มีสิทธิ์ใช้ความเป็นอาจารย์มาดูตารางเรียนของผมนะ”


“อ้อ...เหรอ”


“ผมจะเรียนคณบดีคณะคุณ”


“เรียนว่า”


“คุณใช้อำนาจในทางมิชอบ”


“แค่ดูตารางสอนนักศึกษาเนี่ยเหรอ...จะเรียนท่านก็ได้นะ ลองดู”


“ไม่กลัวเหรอ”


“ถ้าเราคิดว่าคณบดีคณะพี่ท่านว่างขนาดสละเวลาอันมีค่ามาสนใจกะอีแค่อาจารย์พิเศษคนหนึ่งที่เพิ่งมาสอนใส่รหัสล็อกอินเข้าระบบของอาจารย์เพื่อไปดูชื่อเด็กในรายวิชาที่ตัวเองสอนแต่ดันหลงไปดูตารางเรียนนักศึกษาผิดคณะเพราะกดผิดก็ลองดูได้นะ พี่ไม่ว่าอะไรหรอก”


“คุณ...คุณนี่...”


“อาจารย์มือใหม่ก็อย่างนี้แหละกดผิดกดถูก คณบดีเขาไม่ถือสาหรอก”


“กดผิดที่ไหน ตั้งใจชัดๆ”


“พี่ไม่ค่อยเก่งเรื่องเทคโนโลยี...มือมันเลยเผลอกดผิดกดถูก นี่ก็มือลั่นไปเห็นถึงเกรด 4.00 ของเราแล้ว”


“ผมจะบอกอาจารย์จินยอง”


“ก็เอาสิ บอกเขาเลย พี่เองก็อยากบอกเขาเรื่องของเราอยู่เหมือนกัน”


“บอกเรื่องอะไร”  


“ก็บอกเรื่องของเราไง บอกเขาว่าเราสองคนรักกันมากแค่ไหน...ตอนเขารู้จะทำหน้าตลกแค่ไหนกันนะ ท่าทางคุณชายแบบนั้นจะซ่อนอารมณ์ยังไงไม่ให้คนอื่นเห็นว่าโกรธ ขนาดวันก่อนยังโกรธจับมือสั่นเลย” คำตอบกลับนั้นมาพร้อมรอยยิ้มเหยียดตรงมุมปากราวกับจะเยาะผู้ที่กำลังเอ่ยถึง


“เลวที่สุด”


“อันนั้นพี่ยอมรับแต่พี่ไม่เลวกับเราหรอกนะ” คนหน้าดุเปลี่ยนยิ้มเยาะเป็นยิ้มกว่าทันทีที่หันกลับมาจดจ้องอยู่กับหน้านวลที่รักยิ่งนั้น


“ไม่ว่ากับผมหรือกับใครคุณเลวได้ทั้งนั้นแหละ” เสียงนุ่มตวาดแล้วเงียบลงในนาทีที่อาหารถูกนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ เมื่อเจ้าของร้านเดินไปฝ่ายที่ถูกด่าเต็มหูก็เปิดปาก


“ก็มีครั้งหนึ่งที่พี่คิดผิดทำร้ายเราแต่มันก็ทำร้ายพี่สาหัญขนาดที่เราจินตนาการไม่ออกเลยล่ะ แต่เอาเถอะ อย่าพูดถึงมันเลย ยังไงพี่จะไม่ปฏิเสธในสิ่งที่ทำลงไปแค่พยายามทำให้เรามีความสุขนับจากนี้แทน เพราะงั้นเราก็เกลียดพี่ให้สมใจเลยนะ เกลียดเยอะๆ โมโหเข้าจะได้มีแรงกินข้าว...ไม่กินข้าวเยอะๆเดี๋ยวไม่มีแรงด่าพี่นะ”


ยองแจพ่นลมร้อนผ่านปากอย่างหงุดหงิดพลางหยิบช้อนบนโต๊ะถือไว้มั่น ความโมโหทำให้ตักข้าวกับซุปกินเอาจนเกลี้ยงชามก็นั่งนิ่งมองอีกฝ่ายที่ละเลียดกินข้าวอย่างรื่นรมย์ไม่สนเวลาเลยตั้งใจว่าจะลุกหนีไปตอนนี้ แต่ได้แค่ขยับขาก็มีคำเตือนลอยมา


“ถ้าเราลุกหนีพี่จะตะโกนเรียกเราว่าที่รักนะ”


อาจารย์หนุ่มบอกหน้าตายทั้งที่ในมือยังถือตะเกียบคีบเนื้อหมูอยู่ก่อนจะเหลียวไปทางสองชายหนุ่มต่างวัยต่างสถานะที่ยังนั่งกินข้าวโดยคนตัวสูงยังคงสั่งอาหารต่อเนื่อง “อาจารย์โฮซอกกับฮยองวอนเพื่อนเราเขายังกินข้าวไม่เสร็จเลย แต่ท่าทางเขาดูสงสัยความสัมพันธ์ของเราอยู่นะ ถ้าพี่เรียกเราว่า ที่รัก เพื่อนเราเขาคงมีอะไรอยากถามเราหลายคำถามแน่เลย”


“คุณ...” คำนั้นเค้นผ่านไรฟันที่กัดแน่น หากเพราะว่าขืนไม่ทำตาม คนหน้าด้านก็พร้อมจะพูดหรือทำอะไรตามใจคิด


...ผู้ชายคนนี้เป็นพวกไม่แคร์โลกมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว...


“แค่นั่งรอพี่กินข้าวเอง...แป้บเดียว ไม่นานหรอก”


“เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจแรงลอดมาแต่อีกฝ่ายก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ค่อยๆตักข้าวกับแกงกินไปอย่างไม่รีบร้อนพลางปรายตายังเด็กน้อยของตนที่หยิบปากกากับหนังสือโจทย์คณิตศาสตร์เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาจดโน้ตวิธีลัดเพื่อใช้สอนน้องในเย็นนี้


มันดูคล้ายกับเป็นกิจวัตรในวันเก่า...เมื่อคนหนึ่งขะมักเขม้นกับการอ่านหนังสือเตรียมสอบ อีกคนจะนั่งมองเงียบๆ เว้นเสียแต่ถูกถามขึ้นมาจึงจะเปิดปากพูด


ชายหนุ่มเคยนั่งมองเด็กน้อยของเขาหลายชั่วโมงโดยไม่พูดอะไรกันเลยเพราะไม่อยากกวนสมาธิ อีกทั้งการได้อยู่ในห้องเดียวกัน ได้เห็นแววตามุ่งมั่นเปี่ยมความหวังก็เป็นการใช้เวลาด้วยกันที่คุ้มค่าแล้ว


...ในความรักไม่มีอะไรมากไปกว่ารัก...


เข็มยาวของนาฬิกาบนผนังหมุนผ่านตัวเลขไปอย่างเชื่องช้ากระทั่งกินเวลาไปสามสิบนาที อาจารย์หนุ่มจึงได้ฤกษ์วางช้อนกับตะเกียบในมือลงบนโต๊ะและกวักมือเรียกเจ้าของให้มาเก็บเงิน ระหว่างที่รอเงินทอนก็ตั้งคำถามกับคนที่จดจ่ออยู่กับหนังสือ


“เราเอายามาหรือเปล่า”


ประโยคนั้นเรียกอีกคนให้ละสายตาจากหนังสือเงยหน้าไปหาฝ่ายตรงข้ามที่วางแขนทั้งสองข้างบนโต๊ะด้วยรอยแย้มบางตรงริมฝีปาก


“ผมหายแล้ว ไม่จำเป็นต้องกินยา”


“อืม” อาจารย์หนุ่มทำเสียงในคอขณะควักกล่องพลาสติกใส่ยาใบเล็กเท่าอุ้งมือออกจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้ “ก็คิดแล้วว่าต้องดื้อไม่เอายาติดตัวมา แต่ไม่เป็นไรพี่ดอยยาเราเก็บไว้แล้ว กินซะสิ”


“ทำไมผมต้องกิน”


“กินยาจะได้หายไวๆไง”


“ผมไม่กิน”


“จะกินดีๆหรือต้องให้พี่ป้อน...รับรองว่าจะป้อนแบบที่เรากับเจ้าของร้านลืมไม่ลงเลย” คำขู่ไร้อารมณ์ของชายที่ยกมือเสยผมที่ตกลงมาระหน้าทำให้รู้ว่าไม่ควรขัดคำสั่ง


“ทำไมถึง...เอาแต่บังคับอยู่ได้”


“ก็เราดื้อนี่”


“ผมไม่ได้ดื้อนะ”


“ถ้าเรากินยาก็ไม่ดื้อหรอก...อ่ะ...กินยาก่อน กินยาเสร็จแล้วพี่สัญญาว่าจะไปส่ง เราจะได้นอนพัก”


คิ้วของนักศึกษาหนุ่มผู้มีอดีตฝังใจกันมาขมวดยุ่งอย่างชั่งใจต่อข้อเสนอที่ชายตรงหน้าหยิบยื่นมาด้วยใจจริงเขาไม่ต้องการกลับไปพักที่หอแต่ถ้าการกินยาแล้วหลับสนิทสักสองสามชั่วโมงจะทำให้เป็นอิสระได้ก็น่าจะลองดูจึงตัดสินใจรับยามากิน


“นี่ช็อกโกแลตนม กินตามไปจะได้ไม่ขมปากนะ” เพราะรู้ว่าการกินยาเป็นสิ่งที่เกลียด มือใหญ่จึงแกะห่อช็อกโกแลตบิเป็นชิ้นเล็กยื่นมาให้ฝ่ายที่วางแก้วน้ำลงด้วยสีหน้าตาแหยเกรับไปกิน


“พอใจหรือยัง” คนป่วยถามแทบกระแทกแก้วลงกับโต๊ะ


“เด็กดี” เขาชมยื่นมือไปข้างหน้าหมายจะลูบหัวแต่ถูกเบี่ยงหลบ ถึงอย่างนั้นอีกคนก็ยังขยับตัวเอื้อมไปจนได้ลูบอยู่ดี


“กลับกัน เดี๋ยวพี่ไปส่ง”


หลังจากรับเงินทอนเรียบร้อยก็ได้เวลาที่ฝ่ายเด็กกว่ารอคอย ถึงจะไม่ชอบใจกับการถูกจับจูงจากร้านอาหารที่ไม่มีเพื่อนสนิทกับอาจารย์ต่างคณะนั่งอยู่ไปและจำใจต้องขึ้นไปนั่งบนรถยนต์คันงามที่จอดอยู่ตรงลานติดแนวรั้วกั้นเขตหลังมหาวิทยาลัยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้


ชายหนุ่มเอนหลังกับเบาะข้างคนขับหันมองไปทางประตูข้างพร้อมกับฤทธิ์ของยาที่ซึมเข้าในร่างกายทำให้รู้สึกง่วงจนเผลอหลับไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าถูกอุ้มออกจากรถเข้าไปในอพาร์ทเม้นต์ห่างจากมหาวิทยาลัยเพียงไม่กี่ร้อยเมตรและขึ้นลิฟต์มายังห้องชุดกว้างขวางชั้นบนสุดซึ่งตกแต่งไว้อย่างเรียบหรู


ร่างบางถูกวางลงบนเตียงนุ่มมีหมอนขนเป็ดหนุนหัวตามด้วยผ้าที่ห่มคลุมไว้ไม่ให้หนาว จากนั้นผู้เป็นเจ้าของห้องก็ปีนขึ้นมานอนตะแคงเท้าแขนมองหน้านวลที่พริ้มตาหลับพลางลูบหน้าผากและเรือนผมนุ่มนั้นไว้อย่างทะนุถนอม...ช่วงเวลาที่สะลืมสะลือกึ่งหลับกึ่งตื่นกลิ่นหอมเย็นจากเรือนกายอันคุ้นเคยพาให้ร่างนั้นขยับเข้าไปหากลิ่นกระทั่งซุกหน้าซบนิ่งอยู่ในอ้อมแขนแกร่งที่อุ่นอวลอย่างยิ่ง


ฮอนชอลกอดกระชับร่างผอมที่ห่อตัวไว้ใต้ผ้าห่มฟังเสียงลมหายใจทอดเป็นจังหวะเช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นอย่างสงบและฝังจมูกลงบนกระหม่อมสูดกลิ่นยาสระผมอ่อนๆไว้อย่างรักใคร่ก่อนที่เสียงทุ้มแหบจะขับกล่อมผู้เป็นเจ้าของตนด้วยบทเพลงแผ่วเบาข้างหู

Every time I wish
I wish I had you
Every time I dream
The dream is for two
You're the part within my heart
That beats all day
Seems to say, "I love you


...ในทุกครั้งที่พี่ขอพร...

...พี่ขอเพียงให้มีเราอยู่ในชีวิต...


-------------------แวะคุยกันหน่อย-----------------------
สิ่งที่เราจะบอกคือมันจะไม่เศร้าแล้ว และพี่ฮอนชอลก็หน้าด้านแบบระดับล้านได้
เรื่องหลายๆอย่างกำลังจะมาด้วยแต่แค่สองคนนี้มีกันจะไม่เป็นไร
ขอบคุณที่เขามาอ่านนะคะ ที่คอมเม้นด้วย ที่ #ficlovetoxical ในทวิตด้วย รักคนอ่าน

อ่านตอนเก่าได้ที่ LOVE TOXICAL ชอลแจนพาร์ท


You Might Also Like

5 Comments

  1. หนูยูคลูกกก เด็กดี กันไปค่ะ กันอาจารย์จินยองวนไปค่ะ อย่าให้เข้าใกล้เพื่อนเราเยอะ พี่หวงไว้ให้พี่ฮอนชอล
    อาจารย์จินยองก็แหมม รุกจริง รุกจัง ไปรุกคนอื่นเซ่ คนนี้เค้ามีคนหวงอยู่นะ อย่าใกล้นักเลยสงสารน้อง จะปฎิเสธก็เกรงใจตำแหน่งอาจารย์ของอาจารย์จินยอง ดียังปฎิเสธได้
    ในส่วนของพี่ฮอนชอลคนด้านน้านนน เขินชิบหายตอนบรรยายว่าพี่ยืนยิ้มให้ เขินเหมือนเป็นน้องแทนเลยคร้าาา ยิ่งตอนกอดปลอบน้องนี่แบบบ ฮือออออ หนูเขิลลล ที่จะน้องจะลุกหนีในร้านข้าวอีก ตัวไม่มีสิทธิเรียกน้องว่าที่รักนะเฮ้ย ถ้าน้องแล้วระเบิดกลางร้านทำไง พี่ฮอนชอลคลบร้า คลพี่ทัลเล ไหนจะนอนกอดน้องตอนหลับอีก แต่คนน้องก็เนอะติดสัมผัสจากพี่เค้่พอตัวเลย ความคุ้นเคยระหว่างกันเนี้ย สุโค่ยยย
    โอ๊ะ ส่วนเพื่อนแสนดีที่ลิตส์รายชื่อร้านข้าวมาให้เนี้ย ก็พาเด็กมาเลี้ยงข้าวเหมือนกันเลยเนอะ เด็กก็นะ ห่วงกินชะมัด มึนเอ้ยยย กัดกันน่าสนุกดีจังคุณเพื่อนแสนดี 555555 ภูมิใจในเพื่อนคนนี้เนอะ กินเด็กเหมือนกันเบยยย
    ปล.หนูยังรอ #ดัพนอน #ซิคยอน #ฮิมออบ #ดีนส์เตนล์ หรือแม้แต่ #ฮงมาร์ค ที่เหมือนหนูจะเห็นแวบๆ ในโพสพี่อยู่นะคะ
    ปล.แล้วก็พี่ยงนัมคนแมนแฟนจุนซอด้วย แต่หนูไม่แน่ใจว่าพี่มีแท็กคู่นี้รึป่าว
    แต่ก็นั้นแหละ รออยู่นะคะ ช้าได้ พักบ้าง ตั้งใจทำงาน แล้วมาเรื่อยๆ นะคะพี่

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ23/2/60 02:11

    จินยองรุกหนักรุกดีจริง ๆ ค่ะ แต่อาจารย์ฮอนชอลนี่ทำกับน้องแจนอย่างนี้เขินแทนเลยค่ะ งุ้ย ๆ ละลุนละไมจริง ๆ คนเค้ารักของเค้านี่เนอะ

    ตอบลบ
  3. ขำอาจารย์โฮซอกออลจัง 5555 อยู่ๆ ก็ชอบความต่อล้อต่อเถียงของคู่นี้ ขอให้ยองแจเปิดใจให้อาจารย์ไวๆ นะคะ อยากเห็นมุมน่ารักๆ อีกเยอะๆ เลย อาจารย์ฮอนชอลอบอุ่นแบบนี้ใจเต้นแรงแทนยัยแจนเลยอ่ะ 5555

    ตอบลบ
  4. avinnhed4/4/60 02:25

    ปรบมือให้กับความดื้อด้านดันทุรังของอาจารย์ฮอนชอลค่ะ ถ้ามาแนวนี้แต่แรกก็สบายไปแล้ว ไม่ต้องให้ยองแจร้องไห้ตาบวมหรอก แล้วทำตัวเหมือนสตอคเกอร์ด้วยนะ เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับยองแจคือรู้หมด ว่าแต่สืบเองหรือมีคนช่วยบอกน้าาาา 55555 ชอบเวลาเถียงกันอ่ะ แล้วคนพี่เถียงชนะตลอด คนน้องก็ฮึดฮัดแต่ต้องยอมไง เพิ่งสังเกตว่ากินเด็กกันหลายคู่ เป็นอมตะกันถ้วนหน้าแน่นอน พาร์ทนี้เขินมาก ไม่ต้องเสียน้ำตาแล้วนะ เยียวยาสมานแผลใจให้หายไวๆหน่าาา

    ตอบลบ
  5. เข้ามาอ่านแล้วชอบมากเลยค่ะ อยากอ่านต่อจัง😂

    ตอบลบ