LOVE TOXICAL : BANGLO CHAPTER 6
09:19
ดอกกุหลาบสีหวานยามต้องแสงรองเรืองของดวงตะวันแรกอรุณและความฉ่ำชื่นจากสายน้ำพร่างพรมค่อยแย้มคลายอวดความงามทั่ว
กลิ่นหอมยวนกรุ่นอวลตามกระแสลมเอื่อยฉิวคลอเคล้าผิวอ่อนสะอ้านของคนที่ซ่อนร่างเพรียวระหงใต้เสื้อตัวโคร่งสีขาวยาวเพียงเข่านั่งอยู่บนม้านั่งไม้กลางสวน
พื้นดินลานด้วยกลีบใบของกุหลาบโรยร่วง
หากนัยน์ตากลมทอดมองด้วยแววตาสดใสเฉกเดียวกับรอยยิ้มของริมฝีปากที่ขยับเคลื่อนเอื้อนเอ่ยถ้อยคำยาว...หลังสิ้นงานรดน้ำต้นไม้
จุนฮงจะนั่งลงบนม้านั่งที่ผู้ปกครองหนุ่มต่อด้วยมือเพื่อเล่าขานเรื่องของตนเองในวันวานกับผู้ล่วงลับอันเป็นที่รักเป็นกิจวัตร
นับแต่ชีวิตสูญเสียถูกเติมเต็มด้วยรักจากชายที่บิดาฝากฝัง
ทุกสิ่งในโลกกระทั่งความรู้สึกกลับพลิกเปลี่ยน...เด็กหนุ่มมักถูกพาออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกด้วยบิ๊กไบค์คันใหญ่
ได้กินอาหารอร่อยและซื้อของจากร้านรวงต่างๆ
ทั้งที่เคยผ่านมาเห็นกับพ่อหรือไม่เคยเห็นมาก่อน
แม้แต่การพูดคุยกับคนแปลกหน้าก็ราบรื่น
...เพียงมีคุณอา ความกลัวในใจก็บางเบาแทบเลือนหาย...
“พ่อจำร้านอาหารที่มีรูปปั้นหมีเทดดี้ที่ผมเคยนั่งรถผ่านกับพ่อได้หรือเปล่าครับ...เมื่อวานนี้คุณอาพาผมไปร้านนั้นมาแหละ
ที่นั่นมีตุ๊กตาหมีเต็มไปหมดเลย แล้วคุณอาก็เอาตุ๊กตาหมีจากโต๊ะอื่นมาวางบนเก้าอี้แทนพ่อ
แม่กับยายให้ด้วย คุณอาสั่งอาหารที่ผมอยากกินโดยไม่ต้องบอกอีกแล้วล่ะ”
เสียงใสเอ่ยอย่างเป็นสุข
แม้การเล่าสิ่งที่ตนเองทำในวันวานตรงแปลงดินที่โรยเถ้าของผู้เป็นบิดา
มารดาและอนุมานเอาว่าหยดน้ำเกาะพราวบนกลีบดอกคือตัวแทนของแม่นมตนเองนั้นจะทำอยู่ทุกวัน
ทว่าการได้ย้อนคิดถึงยามได้รับความสุขจากชายคนรักนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจอุ่น
“...ขอบคุณนะครับที่ส่งคุณอามาให้ผม แต่ตอนนี้คุณอาใกล้จะตื่นแล้ว ผมต้องไปเก็บผ้าแล้วล่ะ
ไว้จะมาคุยด้วยใหม่นะครับ” เด็กหนุ่มอำลาพลางโบกมือก่อนจะย่ำเท้าเปล่าไปยังสนามที่ตัดหญ้าจนโล่งเตียนใช้ตั้งเสาขึงลวดสำหรับตากผ้า
กวาดเอาเสื้อผ้าแห้งบนนั้นใส่ลงตะกร้าหวายและเดินมาหยุดตรงอ่างน้ำสะอาดหน้าบ้าน
ค่อยๆกวักน้ำล้างขาเปื้อนดินจึงกลับเข้าข้างใน
เมื่อจัดการรีดผ้าพับเป็นระเบียบลงตะกร้าใบเดิมได้
เจ้าตัวก็ง่วนกับการทำความสะอาดทั่วบ้าน
จากนั้นจึงกลับเข้าครัวล้างชามคอนเฟลใส่นมผสมผลไม้ที่กินเป็นอาหารเช้าแล้วปิดไฟที่เคี่ยวแกงกะหรี่หมูบนเตาไว้เรียบร้อยก็ดึงกระดาษโน้ตเขียนด้วยลายมือหวัดสวยเป็นภาษาอังกฤษว่า
Good Morning มีภาพพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งวาดติดอยู่ข้างๆ
ผ้า เก็บใส่กระเป๋าเสื้อและเดินออกมาหยิบตะกร้าหวายใบเดิมตรงไปยังห้องนอนโดยพยายามเข้าไปข้างในอย่างเงียบกริบ
กระทั่งเก็บเรียงเสื้อผ้าในตะกร้าทั้งหมดเข้าตู้เรียบร้อยจึงปีนขึ้นไปคุกเข่าบนเตียงข้างกายชายหนุ่มที่หลับสนิท
หน้านวลชะโงกมองแนวขนตาหนาเรื่อยลงมายังไรหนวดเหนือริมฝีปากบางขณะวาดนิ้วในอากาศตามเส้นองค์ประกอบบนใบหน้าห่างจากผู้เป็นต้นแบบเพียงคืบ
กลิ่นแป้งละม้ายเด็กอ่อนระคนกลิ่นกุหลาบในสวนจากกายบางลอยติดจมูกหอมจรุงเสียจนคนหลับรู้สึกตัวตื่น
“มีนิทานปรัมปราเล่าว่า จะปลุกปีศาจให้ตื่นจากนิทรา
ต้องใช้จุมพิตจากเด็กที่งามเหมือนกุหลาบ” เสียงแหบต่ำกระซิบคำ
เปลือกตานั้นปิดสนิทแนบ
จุนฮงกระพริบตาปริบแลหน้าคมสีน้ำผึ้งตรงหน้าพลางหัวเราะเสียงใสให้กับคำเชิญให้ปลุกด้วยจูบเช่นทุกสายราวนาทีก็โน้มลงไปใกล้วางริมฝีปากอิ่มสวยทาบลงบนเรียวปากบางเคลือบกลิ่นมิ้นต์จางๆ
จากหมากฝรั่งที่ผู้ปกครองหนุ่มเคี้ยวเพื่อคลายง่วงช่วงจบงานเขียนบทเมื่อเช้ามืด
“คุณอาไม่ใช่ปีศาจสักหน่อย” เจ้าตัวว่าขณะขยับถอยออกทีละน้อยเพื่อให้เห็นทั้งวงหน้าของคู่สนทนา
“ใช่สิ อาเป็นปีศาจร้ายเลยล่ะ
ร้ายขนาดที่ต้องอยู่คนเดียวตั้งนมตั้งนาน
นี่ก็ว่าจะหาเจ้าสาวปีศาจให้ตัวเองสักคนก่อนจะแก่ไปกว่านี้”
“เจ้าสาวของคุณอาก็อยู่นี่แล้วไง คุณอาจะหาอีกทำไมงะ” เสียงหวานประท้วงอย่างร้อนรน
ตากลมใสฉายแววสงสัยก่อนทั้งร่างจะถูกดึงลงไปนอนแนบแทบอกในวงแขนอุ่นของผู้เป็นอาต่างสายเลือด
“ปีศาจน่ากลัวนะ กุหลาบสวยๆอย่างเราจะอยู่กับปีศาจได้ยังไง”
“แต่ผมเป็นกุหลาบที่โตด้วยความรักของปีศาจ
ถ้าไม่มีปีศาจตนนี้ผมก็อยู่ไม่ได้
เพราะอย่างนั้นถึงมีแต่กุหลาบของคุณอาอย่างผมเท่านั้นที่เป็นเจ้าสาวของคุณอาได้”
“แน่เหรอ...อากลัวแต่นานไปกุหลาบแสนสวยของอาจะทิ้งอาไปหานางฟ้านางสวรรค์”
“นางฟ้าอะไรนั่นไม่มีความหมายกับผมหรอก...ชีวิตนี้ของผมมีไว้เพื่ออยู่กับคุณอาและรักคุณอาเท่านั้นแหละ”
เด็กหนุ่มว่าแหงนหาผู้มากวัยกว่าด้วยสีหน้าแน่วแน่
หากความขมวดยุ่งนั้นกลับดูแสนงอนเลยถูกริมฝีปากสีคล้ำจางจรดแนบระหว่างคิ้วที่ยับย่นนั้นเต็มรัก
“เราปากหวานจัง...ไปหัดพูดจาเอาใจคนแก่แบบนี้มาจากไหน” ประโยคคำถามปนเสียงหัวเราะเบาอย่างชอบใจดังขึ้นพร้อมกับมือเรียวที่ไล้เบาบนพวงแก้มนุ่มฝาดเลือด
“ผมไม่ได้พูดเอาใจนะ แล้วก็คุณอาไม่ได้แก่ด้วย”
“แก่สิ...อาอายุมากกว่าเราเป็นสิบๆปีเชียวนะ”
“ผมว่าไม่แก่ก็ไม่แก่สิ ถ้าใครบอกคุณอาแก่นะ ผมจะตีให้” เด็กหนุ่มเงื้อแขนผอมทำท่าคล้ายตีบางสิ่งในอากาศพลางอมลมจนแก้มพองอย่างเอาแต่ใจนั้นน่าเอ็นดูเสียจนเจ้าของอ้อมแขนที่ตระกองกอดร่างบางอดไม่ได้ที่จะฝากรอยจูบบนหน้าผากนวลไว้
“เรานี่...ทำไมถึงน่ารักนักนะ”
“น่ารักสิ ก็ผมเป็นเบบี้โรสของคุณอานี่”
ถ้อยความตามด้วยการป่ายขึ้นมาเท้าแขนบนอกเพื่อจะได้มองเห็นกันและกันชัดเจน...ใบหน้าน่ารักขาวเนียนของคนเป็นเด็กเหยียดยิ้มกว้างจนตาโตเล็กหยีอย่างมีความสุขเลยถูกผู้ใหญ่กอดตะแคงและหอมแก้มนวลด้วยรักใคร่อยู่เป็นนานจนอีกฝ่ายหัวเราะคิกไม่หยุด
“เราอาบน้ำแล้วเหรอ” กลิ่นแป้งเด็กผสมกุหลาบยวนใจจากแก้มนุ่มที่ฟอดฟัดก่อคำถาม
“ยาง...” เด็กหนุ่มลากเสียงยาวแล้วขยับขึ้นมาเท้าแขนบนอกของผู้ปกครองพร้อมชายตาอ้อนหา
“ผมรอจะอาบกับคุณอา”
“อาบอกเราแล้วนี่ว่า ตอนเช้าให้เราอาบน้ำเอง”
“แต่วันนี้เราไม่ได้ออกไปข้างนอกนี่นา” เสียงใสนั้นเว้าวอนด้วยหลงรสสัมผัสของผู้เป็นอาในนาม
สำหรับจุนฮงแล้วคุณอาของตนเองเป็นเช่นผู้วิเศษ
นอกจากจะอ่านความรู้สึกนึกคิดและความต้องการของเขาได้โดยไม่จำเป็นต้องปริปากถามแล้ว ความรู้สึกคราอยู่เคียงกันในแต่ละช่วงวันยังแตกต่าง
ยามกลางวันคุณอาอบอุ่นเหมือนแสงแรกอรุณ
หากเมื่อความมืดโรยตัวลงมาคุณอากลับร้อนเร่าราวพระเพลิง
นัยน์ตาคมกริบท้นด้วยแรงมาดปรารถนา
ฝ่ามือร้อนสากกร้านลากเลื้อยไปทั่วสรรพางค์กายและจุมพิตลึกล้ำรุนแรงทว่าแฝงด้วยความรักใคร่อย่างยิ่งฉุดราตรีกาลของเขาให้ทะมึนมิด
หากเขากลับยินดีที่ถูกโอบล้อมด้วยรักอันดำมืดนั้น
ยงกุกกวาดตาคมทั่วดวงหน้าอ่อนขาวละเอียดรวยกลิ่นหวาน
ริมฝีปากเต็มอิ่มเย้ายวนสีอ่อนชวนให้นึกถึงกลีบกุหลาบแรกแย้ม ตาโตคู่นั้นสวยมาก
ใสจนสะท้อนเหมือนแก้วจีระไนก่อนปลายนิ้วจะเคลียเบาบนพวงแก้มพลางหวนคิดถึงคืนค่ำที่ผิวเนื้อละมุนนุ่มเฉกกลีบกุหลาบอิงแนบชิดกายคร้ามแดดใต้ผิวน้ำเย็นชื่นกรุ่นกลิ่นพฤกษา
ยามมือกร้านลูบประโลมครีมอาบน้ำชำระคราบไคลถ้วนทั่วแม้นในซอกเร้นอันอ่อนไหวยังผลให้เรือนกายอรชรสั่นเทาบิดเร่าเบียดเสียดจนแกนกลางสำคัญแกร่งแข็ง ยิ่งเสียงหวานครางเบาระคนเสียงลมหายใจหอบกระเส่าพร่ำเพรียกเรียกร้อง
แม้นพยายามสะกดกลั้นอำนาจฝ่ายมืดลึกล้ำมิให้ล่วงเกินกว่าภายนอกทว่าความชำนาญการผสานแรงกระสันรัญจวนทำให้สุดท้ายกุหลาบน้อยก็หลั่งหยาดน้ำหวานเปื้อนเปรอะเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้จะหลงใหลในกายงามเพียงใดแต่ความห่วงกังวลถึงสุขภาพของกุหลาบน้อยเมื่อต้องแช่น้ำในเวลานานอาจทำให้ป่วยได้ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น
...เหนือกว่าความปรารถนาทางกาย
หัวใจรักจริงนั้นยังมีอำนาจควบคุมสติ...
“อาบน้ำกับอากว่าจะสะอาดมันนาน...เราอยู่ในอ่างอย่างนั้นนานๆ
พาลจะไม่สบายเอา อาไม่อยากให้เราป่วย”
ชายหนุ่มสลัดความคิดทั้งมวลกลับมาจดจ่อกับกิริยาท่าทางน่ารักของเด็กในปกครอง
“แต่ผมชอบเวลาที่เราอยู่ในอ่างด้วยกัน”
“ชอบทั้งที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่อาทำกับเราคืออะไรน่ะเหรอ”
“ผมรู้ว่ามันคืออะไร”
“แน่ใจ”
เจ้าของนิ้วแข็งที่บีบปลายจมูกเด็กในอ้อมอกว่าพลางเลิกคิ้วทั้งที่ปากยังแย้มพราย
“ผมไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้นนะ เรื่องเพศน่ะที่โรงเรียนเขาก็สอน”
“งั้นบอกอามาสิว่าที่โรงเรียนเขาสอนเรามาว่ายังไง”
“มันก็...” ปากอิ่มเอ่ยเท่านั้นก็อ้าค้างก่อนตัดบทด้วยหน้าแดงซ่าน
“ผมไม่อยากพูดนิ”
“โอเค...เราไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร” ฝ่ายผู้ใหญ่บอกพลางหัวเราะขันเรียกให้อีกคนเชิดปากอย่างขัดใจ
“ที่ไม่พูดไม่ใช่ว่าผมไม่รู้นะ”
“ถ้าเรารู้แค่ว่าต้องใส่ถุงยางนี้อาไม่นับว่ารู้หรอกนะ”
“ผมไม่ได้รู้แค่นั้นสักหน่อย”
“เอางี้...เอาเรื่องตอนที่เราร้องให้อาสัมผัสเราในน้ำ หรือบนเตียง
แม้แต่ตอนที่เราลูบรอยสักบนอกอาทุกคืนแล้วเราก็เปื้อนไปหมดอย่างนั้นรู้มั้ยว่าเขาเรียกอะไร”
“ก็...” พอถูกต้อนคนเป็นเด็กก็กัดฟันทำหน้ายุ่ง
“เขาเรียกว่า ยั่ว”
“นั่นแหละ ผมจะพูดคำนั้นพอดีเลย”
“เรานี่นะจริงๆเลย” เจ้าของมือเรียวหัวเราะขณะขยี้ผมนุ่มอีกคนที่จีบปากจีบคอตอบจนยุ่งเหยิง
“ผมชอบสัมผัสของคุณอาจริงๆนะ แต่มันจะมีมากกว่านี้มั้ยครับ”
“มากกว่านี้ของเราหมายถึงอะไร”
“คุณอาจะทำมากกว่านี้ก็ได้นะ”
“หื้อ” แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายต้องการสื่อสารอะไรแต่ก็ทำเป็นเลิกคิ้วไม่เข้าใจท่าเดียว
“ผมไม่ว่าหรอกนะ เพราะผมเป็นเบบี้โรสของคุณอานี่”
“เราอยากให้อาทำอะไรว่ามาสิ”
“ก็เรื่องที่คนรักกันเขาทำกันไง”
“อะไรล่ะ”
“ไม่ต้องการผมมากกว่าแค่สัมผัสหรือจูบเหรอครับ”
“หืม...เราต้องการอะไร พูดให้ชัดๆสิ”
“คุณอาไม่อยากเป็นหนึ่งเดียวกับผมทั้งร่างกายและหัวใจเหรอ”
“เซ็กส์น่ะเหรอ”
“อืม” สิ้นเสียงในคอตอบกลับ
ผู้ปกครองหนุ่มกลับหัวเราะร่วนเสียงดังคับห้องจนเจ้ากุหลาบน้อยหน้างอ
“คุณอาขำอะไรอ่ะ...ใจร้าย”
“ขำตัวอาเองน่ะสิ...อาทำให้เบบี้โรสคนสวยของอากลายเป็นเด็กแก่แดดไปแล้ว
แย่ แย่ ต่อไปอาไม่เอาล่ะจะเก็บมือเก็บไม้ไว้ห่างๆเรา”
“ไม่เอานะ ไม่เอา...ผมไม่เอาแบบนั้น”
คนตัวบางประท้วงแล้วซุกหน้ากับอกแข็งที่ซ่อนใต้เสื้อยืดสีควันบุหรี่เรียกรอยยิ้มที่เหยียดอยู่แล้วให้กว้างขึ้นไปอีก
“ความจริงแล้ว
อาอยากรักเราทั้งตัวทั้งใจเลยนะแต่ต้องไม่ใช่ตอนนี้...อาจะรอให้เราอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ก่อน”
“ทำไมงะ”
“เพราะตอนนั้นเราจะเป็นผู้ใหญ่พอจะคิดไตร่ตรองอะไรได้มากกว่านี้
ถึงอาจะไม่ใช่คนดีแต่อาจะไม่ทำลายอนาคตของเราในเวลาที่เรายังไม่พร้อมหรอกนะ”
“คุณอานับอายุผมแบบสากลหรือแบบเกาหลีครับ”
“สากลสิ ถ้านับตามเกาหลีตอนนี้เราก็สิบหกแล้ว”
“กว่าผมจะอายุยี่สิบมันน้านนาน...ผมไม่อยากรอแล้วนี่นา”
“รอเถอะ แล้วเราจะรู้ว่ามันคุ้มค่า”
“คุณอาทนได้เหรอ”
“ได้สิ ถ้ารักแล้วต้องทนได้”
...ระหว่างรอเขามีความประสงค์แรงกล้าที่จะให้กุหลาบน้อยคุ้นเคยกับรสสัมผัสของเขาจนไม่อาจหนีหายไปได้...
...มันเรียกว่ายังไงดีล่ะ วิถีรักแบบคนเลวก็ได้กระมั่ง...
ถ้อยคำยืนยันหนักแน่นเช่นสีหน้าและแววตาทำให้เด็กหนุ่มที่อู้อี้พูดอยู่ตรงอกเงยหน้ามาเห็นหลุดยิ้มหวานออกมาอัตโนมัติ...ความรู้สึกเป็นที่รักและถูกรักมันอบอุ่นเหลือเกิน
“ยิ้มอะไรน่ะเรา”
“ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่รักล่ะ”
“แน่สิ...ก็เราเป็นเจ้าชีวิตอานี่
ไม่ว่ายังไงอาก็เป็นของเราและรักเราเสมอ”
“จริงนะ อิอิ ผมรักคุณอาจัง รัก รัก รัก”
เด็กหนุ่มว่าพลิกตัวจากอกแข็งลงมานอนหนุนแขนของคนรักแล้วกอดแขนที่โอบกระชับตัวเองไว้แนบแก้มราวกับกลัวความอุ่นนี้จะจางหาย
“ขี้อ้อนเหลือเกินนะเรา...อ้อนอาอย่างนี้ แถมตัวหอมแบบนี้
อาจะไปไหนรอดกัน” ผู้ปกครองหนุ่มบอกพลางหัวเราะแล้วอุ้มรั้งร่างบางให้ขึ้นมานอนในระดับหน้าเสมอกันและฝังจมูกโด่งดอมกลิ่นแก้มหอมเนียนอย่างนั้น
ห้องนอนใหญ่อบอุ่นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะกังวานใสอยู่หลายสิบนาทีกว่าจะเงียบลงในทันทีที่ผู้ปกครองหนุ่มร้องขอการนอนต่ออีกพักโดยครั้งนี้มีคนตัวเล็กให้กอดแทนหมอนข้าง
หากก็พักสายตาได้ไม่นานเสียงเตือนจากนาฬิกามือถือกลับแผดลั่น
“อามีประชุมตอนบ่ายโมง...ถ้าเราง่วงก็นอนต่อนะ”
“ผมไม่ได้ง่วงหรอกแต่นอนเพราะคุณอากอดก็เลยนอน ถ้าคุณอาจะประชุม ผมไปชงกาแฟให้คุณอาดีกว่า”
“แล้ววันนี้เราทำอะไรให้อากิน”
“แกงกะหรี่หมูครับ... ผมหัดทำตามสูตรในหนังสือที่ยืมจากห้องสมุดมา
เขาบอกว่าเป็นสูตรญี่ปุ่นดั้งเดิมด้วย”
“โอเค งั้นอาไปอาบน้ำก่อน ส่วนเราไปชงกาแฟเนาะ”
คนแก่กว่าว่าพลางจูบหน้าผากนวลอ่อนโยน ค่อยๆ ปล่อยแขนที่กอดรัดเด็กในปกครอง
แม้ในใจยังอาวรณ์ความนวลเนียนยวนเย้าแต่ก็หักใจผุดลุกจากเตียงไปจัดการกับร่างกายตนเองจนสะอาดและเปลี่ยนจากเสื้อยืดเป็นเชิ้ตขาวกับกางเกงขายาวได้ก็เดินไปยังห้องทำงานเก่าของผู้เป็นลุงตามความนับถือ
ยงกุกเปิดแมคบุ๊กโปรของตนเองก่อนจะหยิบเอกสารจากปริ้นเตอร์ที่พิมพ์ทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนมาพลิกอ่านคร่าวๆอีกครั้งเพื่อทบทวนหัวข้อที่ต้องเจรจา
แม้การประชุมครั้งนี้จะเป็นการประชุมภายในที่มีเพียงตนเองกับเพื่อนรักเพื่อนตายอย่างฮิมชานเข้าร่วมแต่ความจริงจังกับงานเสมอของทุกคู่จึงไม่มีครั้งไหนเลยที่เรื่องงานจะเป็นเรื่องเล่นๆ
เสียงเคาะประตูพร้อมกับการเยี่ยมหน้าเข้ามาของเด็กในปกครองที่ยกกาแฟดำเข้ามาเสิร์ฟบนโต๊ะแล้วถือหนังสือเล่มใหญ่ไปนั่งตรงโซฟาแล้วเหลียวมาหาผู้ใหญ่ที่กอดอกยืนยิ้มมองอยู่
“ผมทำงานบ้านเสร็จหมดแล้วน้า ผมขออ่านหนังสือรอคุณอาในนี่ได้มั้ยครับ”
“ได้สิ”
“สัญญาว่าผมจะอยู่เงียบๆ ไม่ให้คุณอาได้ยินเสียงเลยแหละ”
นิ้วป้อมทั้งสามนิ้วชูขึ้นปฏิญาณตนยังผลให้อีกคนหัวเราะขันก่อนจะปรับเข้าสู่โหมดการทำงาน
จุนฮงพลิกหนังสือประวัติศาสตร์ตะวันออกเล่มใหญ่ที่มีภาพประกอบสวยงามสมจริงพร้อมลูกเล่นให้คนอ่านเพลิดเพลินที่คุณอาพาเขาไปซื้อด้วยกันเมื่ออาทิตย์ก่อน
ก่อนหน้านี้การอ่านหนังสือเคยเป็นเรื่องยากสำหรับเขา แม้แต่ตอนสอบเขาก็ไม่เคยหยิบจับหนังสืออย่างจริงจังแต่อาศัยความจำและความหัวไว้ทำให้สอบได้คะแนนดีและเหตุที่เขาไม่ใคร่จะชอบอ่านหนังสือก็ด้วยเคยคุ้นกับตำราวิชาการของบิดาที่มีแต่ตัวหนังสืออัดแน่นจนลายตา
หนังสือสำหรับเด็กที่มารดาเคยซื้อให้อ่านนั้นเมื่อครั้งยังมีชีวิตก็สภาพยับเยินเกินกว่าจะใช้การได้
เวลาแวะไปห้องสมุดเจอหนังสือเยอะแยะบนชั้นก็เลือกอ่านไม่ถูก
อีกทั้งไม่เคยออกไปซื้อของที่ไหนไกลกว่าตลาดชุมชน
พอมีคุณอาอยู่ด้วย ทุกวันศุกร์คุณอาจะพาเขาไปร้านหนังสือหรือหอสมุดและขลุกอยู่ในนั่นทั้งวัน...หนังสือทุกเล่มที่หยิบจากชั้นมาสู่โต๊ะของทั้งคู่ในช่วงแรกเป็นหนังสือภาพก่อนพัฒนาเป็นหนังสือที่มีตัวหนังสือเพิ่มขึ้น
โดยคุณอาจะนั่งอ่านชี้ชวนดูรายละเอียดในแต่ละหน้าแล้วต่อท้ายด้วยการถามตอบแลกเปลี่ยนความคิดกันหลังอ่านจบโดยไม่มีใครผิดหรือถูก
หนังสือทุกเล่มที่เขาได้รับผ่านการอ่านจากคุณอามาก่อน...การได้รับหนังสือสักเล่มจึงเป็นเหมือนการแบ่งปันความคิดไม่ใช่การออกคำสั่ง
...ตอนนี้เขาตั้งตารอให้ถึงวันศุกร์เพื่อจะได้ไปหอสมุดด้วยกัน...
หนังสือถูกพลิกเปลี่ยนทีละหน้าอย่างเชื่องช้าด้วยคนอ่านจดจ่อกับเนื้อหาและรายละเอียดในภาพจนจบบทดินแดนอาคเนย์จึงเงยหน้าไปหาผู้เป็นอาที่สวมแว่นตาสนทนากับใครอีกคนเกี่ยวกับเรื่องการผลิตด้วยศัพท์เฉพาะที่เขาเด็กเกินจะเข้าใจ
เขาชอบสีหน้าเรียบสงบแต่จริงจังของคุณอามีสมาธิจดจ่อกับอะไรสักอย่าง
ความมุ่งมั่นและท่วงท่ายามขมวดคิ้ว เสยผมระหว่างนั้นมีเสน่ห์ชวนมองและเขาสามารถมองคุณอาอยู่อย่างนั้นได้ทั้งวันทั้งคืน
“มึงนอนน้อยทำไมหน้าดูสดใสฉิบหายเลยวะ” หลังการประชุมอันยาวนานและเคร่งเครียดผ่านพ้นไป
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผิวขาวสะอาดตัดกับสีผมดำสนิทสวมเชิ้ตลายทางสีน้ำตาลอิฐถามขึ้น
หลายเดือนแล้วที่ยงกุกประจำอยู่ที่อังกฤษและทำงานผ่านระบบออนไลน์รวมทั้งประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
เมื่อต้องทำงานในทวีปยุโรปเรื่องเวลาไม่ใช่ปัญหา
แต่ถ้าต้องทำงานอ้างอิงเวลาของเกาหลีกับญี่ปุ่นอีกฝ่ายต้องสลับเวลาใช้ชีวิตจนแทบไม่ได้นอนแต่ทุกครั้งที่เห็นหน้ากลับดูมีความสุขมากเหมือนเวลามันอยู่กับย่าหรือคนในครอบครัว
“มียาดี” คนเป็นเพื่อนว่าพลางยิ้ม “เออ
เรื่องโรงเรียนที่กูให้มึงช่วยหานี่ว่ายังไง”
“กูดูแล้วแต่ยังไม่ได้ติดต่อยื่นเอกสาร ต้องรอมึงบอกวันแน่นอนกูถึงจะดำเนินการจริงจังได้
แต่จริงๆถ้ามึงเลือกโรงเรียนนานาชาติ ถ้าจะย้ายมามันไม่ค่อยมีปัญหาหรอก
แต่โจทย์มึงเสือกเป็นโรงเรียนรัฐบาลจะย้ายมาต้องสอบวัดระดับภาษาเกาหลี
ถ้าหลานสอบไม่ได้ บอกไว้ก่อนนะว่า กูไม่ใช้เส้นช่วยนะ”
ฮิมชานอธิบายถึงสถานการณ์ที่เพื่อนไหว้วานมาเมื่อปลายเดือนก่อน
“เบบี้โรสพื้นภาษาเกาหลีดี ถ้ากูสอนเพิ่มอีกหน่อยยังไงก็สอบผ่าน”
“แล้วนี่บอกหลานหรือยังว่ามึงจะให้เขากลับมาอยู่นี่น่ะ”
“ยัง...กูตั้งใจว่าไว้ไปเที่ยวยุโรปด้วยกันอาทิตย์หน้าก่อนจะบอก”
“ต้องบังคับมามั้ยนั่น
กูเห็นตอนอยู่โรงพยาบาลเขาผูกพันกับคุณลุงกับบ้านและแปลงกุหลาบที่นี่มากนิ”
“เบบี้โรสเป็นเด็กดี...ถ้าอธิบายเหตุผลให้ฟัง
เขาจะเข้าใจและไปกับกูเอง”
คนบนจอเลิกคิ้วให้กับความมั่นใจบนใบหน้าของเพื่อนรักด้วยความรู้สึกตงิดในใจ...หลายครั้งที่ยงกุกเอ่ยถึงหลานในปกครองตามกฎหมายด้วยแววตาและยิ้มอ่อนโยน
อีกทั้งสรรพนามที่เรียกขานก็ไม่เคยมีคำว่าหลานเลยสักครั้งนั้นมันไม่ใช่ความสัมพันธ์ในเชิงอาหลาน
...แต่เขาไม่เคยเห็นหน้าจุนฮงเลยนับตั้งแต่วันที่เจ้าตัวน้อยนอนป่วยในโรงพยาบาล...
...อาจเพราะจุนฮงบอบบางเลยทำให้เพื่อนเขาเป็นห่วงหลานมากเป็นพิเศษก็ได้...
“เออ หลานตื่นหรือยัง ให้เขามาหาได้ไหม กูอยากหน้าหลานหน่อย”
“หื้อ...มึงอยากเห็นเหรอ”
“ก็ไม่ได้เห็นหน้าเลยตั้งแต่วันนั้นที่โรงพยาบาล นี่ก็หลายเดือนแล้ว
กูก็อยากเห็นว่าหลานเป็นยังไงบ้าง”
“เขาสบายดี ตอนนี้ก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ๆเนี่ย
ถ้ามึงอยากเห็นเดี๋ยวกูบอกให้”
ยงกุกว่าละสายจากหน้าจอไปยังเด็กหนุ่มที่นอนคว่ำบนโซฟามีหนังสือเปิดหราอยู่ข้างใต้แต่เจ้าตัวกลับเท้าคางกระพริบตาปริบเหมือนจ้องอยู่อย่างนั้นมานานแล้ว
“เบบี้โรส” เสียงต่ำลึกขานพลางกวักมือเรียก “มาสวัสดีอาชาร์ลเขาหน่อย”
“อาชาร์ลคือใครครับ”
“อาชาร์ลเป็นเพื่อนรักของอาแล้วก็นับถือพ่อเราเป็นลุงด้วย...ตอนเราไม่สบายอาเขาก็คอยดูแลเราด้วยนะ”
“จริงเหรอ...ผมจำไม่เห็นได้”
“จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก...เรามาสวัสดีอาเขาก่อนก็ได้”
คนเป็นเด็กเม้มริมฝีปากพลางกลอกตาไปมาเหมือนใช้ความคิดอยู่พักหนึ่งก็ย่นจมูกมองผู้เป็นอาแล้วส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ
“ทำไมล่ะ”
“ผมตั้งใจว่าพอกินข้าวกับคุณอาเสร็จค่อยไปอาบน้ำ
ถ้าให้อาชาร์ลเห็นผมก็ต้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่ผมไม่อยากไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำงะ”
“มาเถอะ...เราเดินมาให้อาเขาเห็นแค่ครึ่งตัวก็พอ” คำขออ่อนโยนดึงให้อีกฝ่ายลุกจากโซฟาขึ้นมายืนเต็มตัว
ชายเสื้อตัวโคร่งยับย่นจากการนอนทับทิ้งชายลงมาปิดต้นขา
หากนาทีที่ขาเพรียวขยับก้าวชายนั้นกลับร่นขึ้นจนเห็นส่วนอ่อนไหวของร่างกายที่ยังอ่อนนุ่มวับแวม
อีกทั้งความบางของเนื้อผ้ายามแสงสว่างจากหน้าต่างส่องผ่านเผยให้เห็นสรีระเว้าโค้งคล้ายสตรีเพศ
ความงามของกุหลาบน้อยไร้เดียงสาปลุกเร้าให้ความแข็งแกร่งของผู้จ้องมองดุนดันผ้ายีนส์จนนูนขึ้นอย่างเด่นชัดแต่เขาเพียงยิ้มกว้างซ่อนความมุ่งมาดปรารถนาต่อเรือนร่างตรงหน้าในจิตสำนึกมิดเม้นและปล่อยให้คนรักชะโงกหน้าลงมาหาชายหนุ่มอีกคนบนหน้าจอโดยกดไหล่ให้โผล่ออกมาให้เห็นถึงลำคอระหงเท่านั้น
...เขาไม่ต้องการให้ใครแม้แต่เพื่อนรักได้เห็นความสวยงามนี่...
“สวัสดีครับ” คนตัวเล็กทักทายแล้วโค้งให้
“สวัสดีนะ อาชื่อฮิมชาน
จะเรียกอาชาร์ลก็ได้...อาเป็นเพื่อนกับอาของเรามากนานแล้วล่ะ อารู้จักกับพ่อของเราด้วย”
อีกฝ่ายลดกาแฟร้อนในมือลงจากริมฝีปาก ทอดสายตายังหน้านวลน่ารักเพื่อแนะนำตัว
...ถ้าไม่รู้มาก่อน เขาคงเข้าใจว่าเป็นเด็กผู้หญิงจริงๆ...
“ครับ” เด็กหนุ่มตอบรับสั้น พยักหน้ารับในตอนที่เพื่อนของผู้ปกครองขอตัวไปหยิบอะไรบางอย่างก่อนชายตาไปหาผู้เป็นอาที่นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ล้อเลื่อน
ดวงตากลมสวยเหมือนกระต่ายทอดลึกยังนัยน์ตาคมกริบเช่นพญาเหยี่ยวที่อุ่นอ่อน
ทว่ามีประกายวาววับราวนักล่าหมายกลืนกินเหยื่อเคลือบแฝง ความแรงร้อนนั้นพาให้อีกฝ่ายน้อมรับความอันตรายอย่างขาดสติด้วยการพาตัวเองนั่งลงบนตักบดเบียดสิ่งเนินเนื้อใต้ผ้าหนา
พาดแขนขาวทั้งสองข้างบนไหล่ผอมแต่แข็งแกร่งด้วยยิ้มใสซื่อก่อนโน้มริมฝีปากอิ่มสวยแนบสนิทกับริมฝีปากบาง
รอยจูบผิวเผินบนเนื้อปากจากความเดียงสาไม่เพียงพอจะเติมเต็มความต้องการ...ผู้ปกครองหนุ่มสอดนิ้วเรียวคลึงเบาในเรือนผมนุ่มผละริมฝีปากของตนถอยมาเพื่อขยับงับเอาปลายจมูกอ่อนจึงเลื่อนกลับมาไล้เลียกลีบปากอิ่มแล้วแทรกผ่านรอยเผยออย่างนุ่มนวล
เรียวลิ้นร้อนสัมผัสตวัดพันความอุ่นชื้นจากลิ้นของคนรักที่ยังเดียงสา
ดุนดันโลมเล่ากวาดเอาความหวานทุกหยาดหยด ฉกฉวยลมหายใจกระทั่งจิตวิญญาณเยาว์วัยให้ตกเป็นทาสใต้อาณัติของผู้เปรียบได้ดั่งเจ้าชีวิต
ฝ่ามือหยาบร้อนละจากเรือนผมลูบบนต้นขาขาวอ่อนเบาและไขว้แขนกอดเอวคอดกิ่ว
ขณะที่มือเปลี่ยนเป้าหมายจากต้นขามาบีบเคล้นสะโพกหนั่นนุ่มเป็นจังหวะ โลกทั้งใบหมุนเรื่อยช้าเช่นเดียวกับการจูบที่ดำเนินไปคล้ายไม่รู้สิ้นสุดก่อนจะหยุดลงในทันทีที่ผู้ฉกฉวยความหอมหวานจากกุหลาบน้อยรับรู้ถึงลมหายใจที่ขาดห้วง
“เราเป็นยังไงบ้าง
สบายดีใช่...ไอ้เหี้ย” ฮิมชานสบถค้างในนาทีที่เดินกลับมานั่งตรงหน้าจอ...ภาพตรงหน้าทำเอาสติหลุดขนาดกาแฟในมือหกรดตัวแทบหมดถ้วยก็ยังไม่รู้สึกตัว
ยงกุกตวัดรับความหวานสุดท้ายจึงถอยห่างอย่างเสียดายรั้งเอวบางเข้าหาตัว
ลูบผมชื้นแล้วกดจมูกหอมขมับผุดพรายด้วยเม็ดเหงื่อของคนที่ไร้เรี่ยวแรงซบหน้าหอบหายใจอยู่บนไหล่
สักครู่เด็กในปกครองก็ขยับตะแคงหน้าหันไปหาหน้าจอแมคบุ๊กที่มีชายมากวัยกว่าตนเองนั่งนิ่งด้วยตาฉ่ำปรือ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ...อาชาร์ล”
สิ้นประโยคนั้นถ้วยกาแฟกระเบื้องหลุดจากมืออีกฝ่ายร่วงกระแทกพื้นแตกจนได้ยินเสียงลอดเข้ามา
และเมื่อตั้งสติได้เจ้าตัวก็ส่งเสียงลอดไรฟัน
“ยงกุก...มึงต้องคุยส่วนตัวกับกูหน่อยแล้ว”
“เบบี้โรส...” ผู้เป็นอาเรียกประคองหน้านวลให้ขึ้นมาหาตนเอง
“อามีเรื่องต้องคุยกับอาชาร์ลเขาต่อนิดหน่อย
เราไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยกินข้าวพร้อมอานะ”
จุนฮงพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายขยับลุกจากตักของผู้ปกครองรอรับไออุ่นจากฝ่ามือเรียวที่เอื้อมมาลูบผมแล้วเดินออกจากห้องทำงานไปอาบน้ำตามคำสั่ง
ฮิมชานยกมือขอเวลาเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มด้วยกาแฟเม้มริมฝีปาก อีกสิบห้านาทีต่อมาก็กลับมานั่งที่เก่า ยกแขนขึ้นกอดอกมองเพื่อนรักเพื่อนตายของตนที่นั่งเฉยเหมือนไม่สำนึกในสิ่งที่กระทำลงไปแม้แต่น้อยก็ถอนหายใจร่ายยาวออกมาชุดใหญ่
“แม่งเอ๊ย กูก็สงสัยอยู่แล้วว่ามึงไม่ได้เลี้ยงจุนฮงแบบหลาน
แต่กูไม่คิดเลยว่ามึงจะทำเกินเลยขนาดนี้ มึงก็รู้ว่าเด็กคนนั้นเพิ่งอายุสิบห้า เขายังไม่ประสีประสาอะไรเลย ถึงเขาจะดูยินยอมพร้อมใจและรักมึงมากก็เถอะแต่ยังไงเขาก็เป็นแค่เด็ก
พ่อแม่เขาก็มีพระคุณกับมึงมาก มึงก็รู้ดี ทำไมมึงยังกล้าทำแบบนี้อีกวะ
ไม่คิดบ้างเหรอว่าคุณลุงคุณป้าบนสวรรค์เขาจะรู้สึกยังไงที่ไว้ใจให้มึงเป็นผู้ปกครองแต่มึงดันเป็นสมภารกินไก่วัดซะเอง”
“แล้ว”
“ไอ้เหี้ย มึงอย่าทำเป็นไม่แยแสอะไรแบบนั้นสิวะ
ไม่ใช่ว่ากูไม่รู้ว่ามึงเป็นพวกดันทุรังแต่มึงเป็นคนดันทุรังอย่างมีเหตุผลมาตลอดไม่ใช่เหรอ
ทำไมครั้งนี้ถึงคิดอะไรไม่รอบด้านเลยวะ คิดถึงที่บ้านมึงด้วย
พวกเขาจะยอมรับเรื่องที่ลูกชายรักกับเด็กในปกครองที่เป็นผู้ชายได้เหรอ”
“ทำไม กูรักผู้ชายแล้วมันเป็นยังไง ใช่
กูรักผู้ชายแต่ไม่ใช่ว่าจะรักผู้ชายคนไหนก็ได้
กูรักแค่เบบี้โรส ถ้ามึงจะรับไม่ได้ก็เรื่องของมึง”
อีกฝ่ายว่าใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก
แต่คนเป็นเพื่อนรู้ดีว่านั่นคือการยืนยันหนักแน่นถึงสิ่งที่พูดออกไป
ยงกุกเป็นคนฉลาดและดื้อด้านในสิ่งที่ตนเองต้องการเสมอ
กระนั้นเจ้าตัวก็ใช่จะผลีผลามแต่วางแผนหาทางหนีทีไล่อยู่ตลอดเวลาแต่กลับครั้งนี้เขาไม่คิดว่า
เรื่องที่เกิดขึ้นจะผ่านกระบวนคิด
...ความรักทำให้คนเราขาดสติ...
...ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าความรักที่ขาดสติไร้ความเหมาะสมทำให้เจ็บปวดได้ขนาดไหน...
“ประเด็นมันไม่ใช่ว่ากูรับได้หรือไม่ได้
แต่กูอยากให้มึงคิดถึงคนที่บ้านและคิดถึงความถูกต้องด้วย”
“อย่าเอาความรักของกูไปวัดกับความรักของมึงนะ...มันไม่เหมือนกัน”
“ไอ้ความรักที่ไม่มองความเหมาะสมน่ะมันไปกันไม่รอดหรอก”
“ความเหมาะสมอะไรนั่นของมึงคืออะไร...ตอนนี้กูมีเกือบทุกอย่างที่คนเราต้องการในชีวิตแล้ว
เหลือแค่เขาเท่านั้นที่เป็นสิ่งสุดท้ายที่กูต้องการในชีวิต
มึงอาจจะคิดว่ากูขาดสติหรืออาจนึกสมเพชกูก็ได้แต่รู้ไว้เถอะว่า
กูมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนในการรักเขา”
“แต่เขาเป็นลูกชายของคุณลุงนะ”
“หมายความว่ากูจะรักเขาไม่ได้อย่างนั้นสิ เหอะ กูไม่แคร์หรอกต่อให้ทั้งโลกจะคัดค้าน
ถ้าใครขวางกูจะชน ให้มันรู้กันไปสิว่าความรักของคนๆหนึ่งมันทำอะไรได้บ้าง”
ชายหนุ่มประกาศกร้าวเช่นเดียวกับแววตา
แม้นใบหน้าดุจะไร้ความรู้สึกแต่คนเป็นเพื่อนรู้อีกเช่นเคยว่า
มันเอาจริงจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ที่พูดเนี่ย ไม่ใช่เพราะกูรังเกียจที่มึงจะชอบผู้ชายหรอกแต่กูเป็นห่วงมึง” ท้ายที่สุดฝ่ายเพื่อนซี้ก็เอ่ยออกมาอย่างหนักใจ
“ไม่ต้องห่วงกูหรอก...กูไม่โง่ขนาดรักเขาแล้วไม่หาหนทางให้อยู่ด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่งหรอก
เขาเป็นเด็กน่ารัก เขารู้ว่าจะทำยังไงให้คนอื่นหรือคนรอบตัวกูรักเขา
ส่วนเรื่องคุณลุงคุณป้ากับยายวิเวียนน่ะ กูไม่รู้หรอกว่าชาติภพ นรก
สวรรค์มันมีจริงมั้ย แต่กูสาบานกับพวกท่านไว้ว่า จะรักเขาจนกว่าชีวิตนี่จะหาไม่
อ้อ เรื่องเงินของเขาก็ด้วย กูจะเลี้ยงเขาด้วยเงินของกูเอง
ส่วนมรดกก็ให้ซูโฮมันมาช่วยจัดการ
ยังไงเรื่องหย่าของมึงคงไม่กินเวลามันมากหรอกมั่ง”
“เอ้า ไอ้ห่า กูซีเรียสเรื่องมึงอยู่นะ เสือกมาแขวะกูอีก”
“มึงเอาตัวมึงให้รอดก่อนเถอะ...ฮโยลินไม่ใช่ผู้หญิงใจอ่อนที่มึงยื้อไม่ยอมหย่าแล้วเขาจะคิดใหม่หรอกนะ”
“แหมะ มึงนี่รู้จักเพื่อนผู้หญิงของมึงดีนะ
รู้จักดีแล้วทำไมตอนกูคบกับเขา แต่งงานกับเขาแล้วไม่พูดวะ”
“เอ้า กูเตือนมึงแล้วมึงไม่ฟังเอง ถึงกูจะเป็นคนรั้นกูก็คิดตลอดว่ากูจะไปต่อยังไง
แต่มึงน่ะเก่งแต่เรื่องงาน พอเป็นชีวิตคู่เสือกไม่เอาตอนทำงานมาใช้”
“โว้ย มึงนี่แม่งเปลี่ยนดราม่าของมึงเป็นของกูหน้าตาเฉย”
“กูไม่เครียด มึงก็อย่ามาเครียดแทนกูเลย”
“ยังไงก็เถอะ อาทิตย์หน้ากูจะไปเที่ยวเยอรมัน เดี๋ยวกูแวะไปหา”
“มึงจะไปทำเหี้ยอะไรที่เยอรมัน”
“พักร้อน”
“พักร้อนห่าอะไรไปถึงเยอรมัน หรือมึงรู้ว่ากูจะพาเบบี้โรสไปเที่ยว มันผ่านเยอรมันพอดีเลยจะไปดัก”
“อะไร มึงจะไปเยอรมันด้วย" อีกฝ่ายถามหน้าเหลอหลา
"อ้าว มึงไม่รู้หรอกเหรอ"
"ไม่แต่ดีล่ะ มึงบอกจะมาเยอรมันก็รบกวนพาหลานแวะมาหากูที่บ้านไอ้คังด้วย"
"ไปบ้านไอ้คัง บ้านที่มันไม่เคยกลับ เพราะเมียมันอยู่นั่นน่ะนะ”
อีกฝ่ายเอ่ยถึงรุ่นน้องหนุ่มคนสนิทที่เคยถือกระเช้ามาเยี่ยมหลานเขาที่โรงพยาบาลซึ่งแต่งงานไปหมาดๆแต่เขาไม่สะดวกไปร่วมงานด้วย หากพอรู้ข่าวสารมาบ้างว่าไม่กลับบ้านเลยตั้งแต่แต่งงาน
“ใครจะไปบ้านเมียทางธุรกิจของมัน กูจะไปเยี่ยมมันเท่านั้นแหละ เห็นตอนนี้มันทำงานอยู่ฮัมบูรก์ เช่าบ้านที่วิวดีที่สุดในฮัมบูรก์ไว้ด้วยเลยอยากไปเห็นกับตา”
“เออ เอาที่มึงสบายตัวสบายใจเถอะ แล้วไงไว้ค่อยคุยกัน”ยงกุกตัดบทปิดโปรแกรมสนทนาและแมคบุ๊กที่ใช้งานพักใหญ่
จากนั้นจึงผุดลุกจากเก้าอี้ทำงานเดินไปยังห้องครัว
เด็กหนุ่มสวมเสื้อยืดคอวีสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีน้ำตาลทับด้วยผ้ากันเปื้อนพื้นเหลืองลายจุดขาวง่วนอยู่กับการอุ่นแกงกะหรี่หมูบนเตาให้ร้อนนั้นทำให้หน้านิ่งของผู้มองกลับมีรอยยิ้มอีกครา
ความรักของเขาคือการให้ทั้งหมดและได้กลับมาทั้งหมด
กระทั่งรักกลายเป็นส่วนหนึ่งในจิตวิญญาณที่ไม่มีวันหลุดพ้นและเขาคงจะไม่รักกุหลาบน้อยมากขนาดนี้
ถ้าเจ้าตัวน้อยคอยแต่เป็นฝ่ายรับเพียงอย่างเดียว หากนี่คนเป็นเด็กกลับพยายามอย่างหนักในการตอบแทนความรักของเขาด้วยหัวใจและดูแลเขาเท่าที่เด็กในวัยสิบห้าคนหนึ่งจะทำให้ได้
...ความรักที่ตอบแทนด้วยรัก คอยประคับประคองกันและกันให้เป็นสุขนั้นมีค่าควรให้เขาดึงดันต่อสู้เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตร่วมกัน...
“หอมจัง”
“ต้องหอมอยู่แล้ว เพราะผมใส่เครื่องเทศแล้วก็เคี่ยวไว้ตั้งนานแน่ะ ไม่ใช่แค่หอมอย่างเดียวนะ
อร่อยด้วย”
“อาไม่ได้หมายถึงแกงกะหรี่” ผู้ปกครองหนุ่มว่า
ผละจากขอบประตูที่ยืนพิงเดินไปหยุดเท้าแขนบนเคาน์เตอร์ครัวข้างเตาพร้อมส่งยิ้มละมุนให้ทันทีที่คนหน้านวลละสายตาจากหน้าหม้อแกงหันมาหา
ตากลมที่คนมากวัยกว่าเฝ้ามองกระทั่งเห็นความแตกต่างของเฉดสีน้ำตาลในนั้นเมียงมองเพียงครู่ก็เหลียวกลับเหมือนไม่เข้าใจในความหมายแฝง
ทว่าพวงแก้มขาวกลับแดงระเรื่อ
“ทำไมเราถึงตัวหอมนักนะ...ไม่อาบน้ำก็หอม แต่พออาบแล้วยิ่งหอม” คำนั้นเอ่ยข้างหูพร้อมกับแขนแข็งที่โอบรอบเอวจากด้านหลังดึงให้คนตัวเล็กเข้ามาสู้อ้อมอก
“คุณอาชอบใช่มั้ยครับที่ผมตัวหอม”
“ชอบสิ”
“งั้นผมจะทำให้ตัวเองหอมกว่านี้ คุณอาจะได้ไม่ทิ้งผมไปไหน”
“ถ้าเราไม่ทิ้งอาไปก่อน...อาก็ไม่มีวันไปไหนไกลจากเราหรอก จำไว้นะ
ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน อาจะตามเราไป แม้ว่าที่แห่งนั่นจะเป็นนรก
ถ้าร่างกายนี่ไปด้วยไม่ได้ โปรดรู้ไว้ว่า หัวใจของอาไปกับเราเสมอ”
เสียงแหบลึกเอ่ยความอ่อนโยน ตาคมเปี่ยมรักลึกซึ้งหวานปานน้ำผึ้งทอดยังหน้านวลน่ารักที่แหงนคอขึ้นมามีรอยแย้มกว้างพร่างพรายละม้ายกุหลาบบานยามต้องแสงตะวัน
“จริงนะ ห้ามหลอกผมนะ”
“จ๊ะ”
คำตอบนั้นเรียกยิ้มให้เหยียดขยายมากกว่าเก่าก่อนเปลือกตาจะปิดลงพร้อมกับการพรมจูบเบาบนหน้าผากจากฝ่ายที่ตนเองอิงแอบแล้วพูดต่อ “อาทิตย์หน้าเราไปเที่ยวกันนะ”
“ไปไหนครับ”
“ครั้งนี้อาจะพาเราไปไกลหน่อย...อาอยากพาเรานั่งรถไฟจากลอนดอนข้ามไปฝรั่งเศสต่อด้วยเยอรมัน ปิดท้ายที่อิตาลี เราเคยไปเที่ยวที่พวกนี่หรือยัง ถ้าพ่อเราเคยพาไปแล้ว อาจะเปลี่ยนสถานที่ให้”
“ผมไม่เคยไปที่พวกนั้นหรอก พ่อเขางานยุ่งตลอดเลย
พอพ่อว่างพ่อก็ป่วย...ผมได้ไปเที่ยวก็แค่ตอนทัศนศึกษาในอังกฤษนี่แต่ผมไม่ชอบหรอก
ผมอยากไปกับพ่อ”
“ตอนนี้มีอาอยู่ด้วย อาจะพาเราไปทุกที่ที่เราอยากไป”
“แต่ถ้าไปตั้งหลายที่ขนาดนั้นมันต้องค้างที่อื่นหลายวัน
ใครจะคอยรดน้ำกุหลาบล่ะ แล้วถ้าผมไม่ได้ไปคุยกับพ่อ แม่และก็ยายวิเวียน
พวกท่านจะไม่เหงาเหรอ”
“อาบอกเราแล้วไม่ใช่เหรอว่า ถึงแม้เถ้าของพวกท่านจะอยู่ที่นี่แต่ดวงวิญญาณนะลอยไปอยู่สวรรค์และคอยมองเราอยู่บนฟ้า
ขอแค่เรามีพวกท่านเก็บไว้ในใจ เราสามารถคุยกับพวกท่านได้ทุกที่ ยิ่งเรามีความสุขท่านก็จะมีความสุข
หรือเราไม่อยากไปเที่ยวกับอา”
“ผมอยากไปแต่...”
“เป็นห่วงกุหลาบเหรอ”
“อืม ถ้าผมไม่อยู่ใครจะรดน้ำกุหลาบล่ะ”
“เดี๋ยวอาหาคนมาดูแลให้เอามั้ย”
“ไม่เอา” หัวทุยส่ายไปมา “ผมไม่อยากให้ใครมายุ่งกับบ้านของเรา”
“งั้นเอาอย่างนี้...อาจะติดตัวตั้งเวลาไว้ที่สปริงเกอร์ในสวน
พอถึงเวลาต้องรดน้ำมันจะทำงานโดยอัตโนมัติ”
“คุณอาทำเป็นเหรอครับ”
“เป็นสิ...เมื่อก่อนอาเคยทำงานเป็นช่างต่อท่อประปา เดินสายระบบน้ำด้วยนะ”
“เมื่อก่อนคุณอาทำงานเยอะจัง ตอนนี้ก็ต้องทำงาน ไหนจะดูแลผมอีก
เหนื่อยแย่เลยเนอะ แต่ว่าผมจะเป็นเด็กดีให้ คุณอาจะได้ไม่เหนื่อยมากกว่านี้”
คนเป็นเด็กจีบปากจีบคอบอกพลางขยี้หัวของตัวเองที่เอนบนไหล่ของผู้เป็นอาพร้อมยิ้มหวานด้วยจะอ้อน
“ผมรักคุณอานะ รักที่สุดในโลกเลย”
ข้อความเดียงสาไร้มารยาส่งผ่านมาจากใจเรียกเสียงหัวเราะจากยงกุกให้หลุดออกมา
ตาคมสะท้อนเงาของเด็กในปกครองพราวระยับฉายแววรักอย่างยิ่งไม่คลาย ริมฝีปากบางประทับแนบบนแก้มเนียนก่อนเอ่ยคำที่ทำให้หัวใจคนฟังพองโต
"อาก็รักเรานะ...อารักเรามาก เท่ากับทั้งชีวิตนี้ของอาเลย"
Previous Chapter
------------ แวะคุยกันหน่อยนะ ----------
ฮือ กว่าจะลงบทนี้ได้เหนื่อยยากมาก
ขอตัดตอนมาก่อนนะคะเพราะยี่สิบกว่าหน้าก็ว่ายาวล่ะ
ขอตัดตอนมาก่อนนะคะเพราะยี่สิบกว่าหน้าก็ว่ายาวล่ะ
คุณอาน่ะเหมาะสมกับตำแหน่งหลัวในดวงใจมากเลยนะ
ขอบคุณที่เขามาอ่านนะคะ
ที่คอมเม้นในบล็อกรวมทั้งที่ #ficlovetoxical ในทวิตด้วย รักคนอ่าน
5 Comments
คุณอานี่โคตรลูกเขยในฝันเลยค่ะ คือแบบขยัน ทำงานเก่ง เป็นหลายอย่าง ที่สำคัญรักลูกเราที่สุด พ่อกับแม่ต้องดีใจที่มีคนดีๆ แบบคุณอามาดูแลยัย แล้วยัยก็รัก และดูโคตรรักคุณอาเลย ฮือออออ เจ้าสาวของปีศาจ พี่ไม่ได้ไปดูก็อปลินมาใช่มั้ยคะ เห็นละนึกถึงเลย หนูพึ่งดูก็อปลินจบไป 55555555
ตอบลบช่วงนี้คืออาชาร์ลยังอยู่ในช่วงหย่าสินะคะ กับเมียคนที่เท่าไรนะ อาชาร์ลมีเมียกี่คนหนูลืม งั้นช่วงที่เจอหนูออบเนี้ยก็ช่วงกลับมาอยู่เกาหลีสิเนอะ ความจำเริ่มตีกันสงสัยต้องอ่านใหม่ คึคึคึ
ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกกลัวจริงๆนะไม่รู้ทำไม
ตอบลบกลัวว่าจะมีอะไรพรากอาหลานคู่นี้
ชอบถ้อยคำของคนแต่งมาก
ละมุนละไมทั้งเรื่อง ใช้คำสวยมากจริงๆ
เป็นกำลังให้แต่งต่อไปเรื่อยๆน้าา
🌹
“มีนิทานปรัมปราเล่าว่า จะปลุกปีศาจให้ตื่นจากนิทรา ต้องใช้จุมพิตจากเด็กที่งามเหมือนกุหลาบ” แค่เจอประโยคนี้ก็กรีดร้องแทบสิ้นสติแล้วค่ะ ภาษายังสวยสดงดงามเช่นเคย ยอดเยี่ยมจริงๆค่ะ ฉากที่เบบี้โรสกับคุณอาดีปคิสโชว์พี่ชาร์ลนี่มันช่างอบอวนด้วยความรักและความฮา ชอบมากค่ะ อ่านแล้วมีความสุขเหลือเกิน
ตอบลบขำอาชาร์ล แก้วกาแฟหลุดมือเลย 555 นี่จินตนาการถึงตัวเองไปนั่งดูอยู่แทนที่อาชาร์ลแล้วเห็นภาพนั้นนะคงกรี๊ดลั่นเหมือนกัน เบบี้โรสน่ารักขี้อ้อนมาก อยากรู้จังว่าจะทะเลาะกับอาชาร์ลได้ไง
ตอบลบมีพูดถึงพี่คังด้วยอ่ะ ฮือ อยากอ่านคังเปญเร็วๆ จัง
เป็นความรักที่ดีมากกกก จะมีใครคนสองคนที่รักกันได้แบบนี้อีกมั้ย แต่วิธีที่บอกว่าทำให้เบบี้โรสคุ้นเคยกับรสสัมผัสจนหนีไปไหนไม่ได้นี่คือยกนิ้วให้คุณอาเลยค่ะ เรียกง่ายๆว่าค่อยๆตะล่อมเด็กได้มั้ย 555555 อาชาร์ลก็บ่นด้วยความเป็นห่วงแหละเนอะ เราเองยังกลัวเลยว่าจะมีวันไหนสักวันที่คุณอาหายไปไหนมั้ย แล้วตอนนั้นเบบี้โรสจะเป็นยังไง เพราะย้ำกันอยู่นั่นว่าจะไม่หายไปจากกัน จนเราเริ่มระแวงไปเองแล้วเนี่ย ชอบภาษาเหมือนเดิมเลยฮื่ออออ เราเริ่มอ่านเพราะชิปบังโล่ก็จริง แต่ที่ตามอ่านคู่อื่นด้วยเพราะชอบการใช้ภาษาของไรท์ คือบรรยายก็สวย บทพูดก็ดีงาม อย่างตอนด่ากันในพาร์ทอื่นๆนี่อ่านละรู้สึกเจ็บจี๊ดเหมือนโดนด่าเอง พอหวานก็หยดย้อยเลย ใช้เวลาอ่านตอนนึงนานมาก ไม่ได้อ่านนานแล้วด้วย ไปตามอ่านตอนอื่นละ อิ___อิ
ตอบลบ