LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 6

12:48


แพขนตาหนาตรงเปลือกตาที่ปิดสนิทเผยออย่างเชื่องช้าและกระพริบขึ้นลงอีกหลายครั้งเพื่อปรับสายตาที่พร่างพร่าจากการหลับสนิทให้กลับคืนความชัดเพื่อตื่นขึ้นมาเริ่มชีวิตในวันใหม่ 
 

ยองแจแนบหน้าอยู่บนอกแข็งรับรู้ถึงการกระเพื่อมไหวจากการหายใจและสองแขนที่กอดกระชับร่างผอมบางของตนเองไว้แน่นหนาทว่าทะนุถนอมราวกับกลัวบุบสลายของเพื่อนร่วมห้องอยู่ชั่วนาทีก็ค่อยๆดึงแขนแข็งแรงให้พ้นจากตัวก็ไถลลงมานั่งอยู่ข้างเตียง


ตากลมทอดไปยังเรือนผมยุ่งเหยิงที่รกปรกหน้าไล่เรื่อยมายังไฝเม็ดเล็กใต้ตาที่เขาเคยได้ยินอีกฝ่ายคุยเล่นกับคนอื่นเมื่อครั้งยังเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันว่าเป็นไฝเสน่ห์ พอรวมกับจมูกโด่งงุ้มทรงหยดน้ำกับริมฝีปากหนาบวมกับฟ้าที่เริ่มสว่างแม้จะยังเช้าอยู่มากก็ทำให้หัวใจของคนถูกกอดทั้งคืนกลับเต้นแรงมากซะจนต้องวิ่งกลับไปตั้งหลักที่ห้องตัวเองเหมือนทุกเช้า


...ทั้งที่นั่นก็เป็นคนเดียวกัน ทำไมตอนกลางวันใจถึงสั่นไม่เหมือนตอนถูกกอดทั้งคืนนะ...


ชายหนุ่มถามตัวเองขณะไสทั้งร่างลงไปนอนกลิ้งไปมาบนผ้าคลุมเตียงก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือที่โยนทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืนขึ้นมาดูหน้าจอแสดงเวลาตีห้าสามสิบหกนาทีก็ปิดตาหมายจะหลับด้วยเหลือเวลาอีกสามชั่วโมงถึงจะได้ฤกษ์ที่พี่ชายผู้ได้รับศักดินาเป็นพ่อคนที่สามอย่างฮิมชานจะมารับไปหาหมอตามนัดแต่ทำอย่างไรก็ไม่หลับเพราะหัวใจยังคงเต้นแรงและสมองก็เอาแต่คิดถึงบทสนทนาระหว่างกัน


...นางฟ้าของนายอะไรกัน
...คงจะเรียกคนอื่นว่านางฟ้าอย่างนี้อีกเป็นร้อยแหละ
...กับคำพูดของคนดีไปทั่วแถมขี้เมาที่เช้ามาก็ลืมแล้วแบบนั้น
...ห้ามคิดไปเองเด็ดขาดเลยนะ
...แต่ถึงอย่างนั้นมันก็อดดีใจไม่ได้นี่


เสียงถอนหายใจดังคับห้องพร้อมกับตาที่ลืมขึ้นมองเพดาน...ยามคิดถึงเพื่อนร่วมบ้านทีไรความคิดกับความรู้สึกของเขามันสวนทางกันทุกครั้ง มันก็คงคล้ายกับคุณยายของเขาที่ชอบกินของหวานทั้งที่เป็นเบาหวาน ถึงจะรู้ว่าไม่ดีที่จะกินแต่ก็อดไม่ได้ที่กินอยู่ดีนั่นแหละ 


เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ดึงความสนใจทั้งมวลให้กลับมามองหน้าจอ...นิ้วเรียวกดแถบเตือนเข้าไปยังหน้าแอพลิเคชั่นแชทที่ใช้อยู่ประจำเพื่อตอบข้อความของครอบครัวรวมทั้งเพื่อนอีกซีกโลกแล้วมองข้อความคงค้างจากเพื่อนร่วมบ้านซึ่งส่งมาตอนที่เขาน่าจะหลับหน้าโทรทัศน์จึงกดดู


...อย่าลืมกินอาหารในตู้ที่ฉันซื้อไว้นะ...
...ไอศกรีมในตู้กินได้เลย...
...อย่ามั่วแต่ดูซีรี่ย์จนหลับหน้าทีวีนะ...
...ก่อนนอนห่มผ้าหนาๆด้วย เดี๋ยวไม่สบาย
...ราตรีสวัสดิ์ เด็กอนามัยของฉัน...


“เด็กอนามัยอะไรของนาย เมื่อคืนก็มาเรียกนางฟ้า ตอนนี้มาเรียกเด็กอนามัย...ฉันไม่ใช่นางฟ้าหรือเด็กของนายสักหน่อย” เสียงนุ่มบ่นคล้ายไม่สบอารมณ์แต่ริมฝีปากกลับเหยียดกว้างอย่างยินดีและแก้มขาวนั้นกลับแดงระเรื่อ


...หมอนั่นเรียกเขาว่านางฟ้าครั้งแรกเมื่อหลายเดือนก่อนตอนที่เมาไม่ได้สติแต่เรียกว่า เด็กอนามัยในตอนที่สติยังครบถ้วน


ความขวยเขินเกินขึ้นเพียงไม่กี่นาทีกระทั่งแถบแจ้งเตือนการอัพรูปของพี่ชายในอินสาแกรมเด้งขึ้นเลยกดเข้าไปก็เห็นรูปพี่ชายกับพี่สะใภ้อุ้มหลานชายและหลานสาวของเขายืนอยู่หน้าภูเขาหินแกรนิตริมทะเลก็หลุดยิ้มออกมาแล้วกดไลค์ก่อนจะเปลี่ยนไปเสิรช์หาชื่ออินสตาแกรมของรูมเมทที่จำได้ขึ้นใจแม้จะไม่กดติดตาม


รูปตุ๊กตาแมวนั่งอยู่ข้างหูฟังเป็นรูปล่าสุดที่ถูกอัพโหลดขึ้นเมื่ออาทิตย์ก่อนคล้ายกับว่า เจ้าตัวเอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลาออกไปไหนแต่เมื่อกดเข้าไปดูส่วนถูกแท็กกลับมีรูปถ่ายคู่กับใครต่อใครใหม่ๆอีกเป็นสิบและรูปที่ทำให้ถึงขั้นหัวร้อนขึ้นมาทันทีก็หนีไม่พ้นรูปคู่ของเพื่อนร่วมบ้านกับหญิงสาวสวยคนหนึ่งพร้อมข้อความ


...พี่น่ารักที่สุดเลย ขอบคุณนะคะที่เลี้ยงข้าว คิคิ ไว้เจอกันอีกนะคะ...


“เหอะ” คนบนเตียงพ่นเสียงผ่านลำคอคว้าเอาตุ๊กตาแมวที่ได้เป็นของขวัญวันแรกที่อีกฝ่ายเข้าบ้านมาเขย่าแรงๆ รอยยิ้มเหลือบนใบหน้าแม้แต่แววตายังแข็งกร้าว


...ช่วงปีใหม่ก็เป็นอย่างนี้...


ตอนนั้นเขากลับไปหาครอบครัวที่สวีเดนประมาณอาทิตย์หนึ่งก็ทำเป็นส่งข้อความมาหาว่า คิดถึงแถมไม่ยอมอัพรูปในอินสตาแกรมก็นึกว่าไม่ได้ไปไหน พอกดรูปที่ถูกแท็กเท่านั้นแหละมีรูปสังสรรค์กับคนนั้นคนนี้ขึ้นมาเป็นพรืด


...ไอ้โง่เอ๊ย เขาดีกับตัวเองคนเดียวซะที่ไหน เขาก็ดีกับคนอื่นเหมือนกัน... 


ความร้อนสุมเข้ามาจนอดรนทนไม่ไหวต้องลุกจากเตียงหยิบเสื้อผ้าออกไปอาบน้ำและกลับเข้ามาเก็บข้าวของรวมทั้งใบนัดใส่กระเป๋าหนังสีน้ำตาลเรียบร้อยพร้อมกับจิตใจที่สงบลงจึงเปิดประตูออกมาใหม่เพื่อเข้าครัวไปบดคั่วเมล็ดกาแฟดื่มแต่เพื่อนร่วมห้องกลับเปิดประตูห้องน้ำออกมาในสภาพสะอาดสะอ้านและหอมฟุ้ง


“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ...ฉันนึกว่าเช้าขนาดนี้นายจะยังไม่ตื่นซะอีก” ฝ่ายตรงข้ามเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มกว้างเช่นทุกเช้าราวกับเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ฉันก็ตื่นเวลานี้ทุกวันอ่ะ”


“ตื่นหกโมงทุกวันเลยเหรอ...ฉันเห็นนายในครัวตอนแปดโมงนึกว่านายตื่นราวๆนั้นซะอีก”


“ฉันนอนไวก็ต้องตื่นเช้าเป็นธรรมดา ว่าแต่นายเหอะ ทำไมถึงตื่นเช้าขนาดนี้”


“วันนี้มีงานไปร้องเพลงแถวแทกูน่ะก็เลยตื่นเช้ากว่าปกติ” 


“อ้อ” คนฟังพยักหน้ารับรู้แล้วเดินตรงไปในครัวเพื่อชงกาแฟที่คั่วบดไว้เมื่อวานโดยมีเพื่อนร่วมห้องเดินตามเข้ามาเปิดตู้เย็นกระดกน้ำเย็นในขวดพลาสติกดื่มก่อนจะหยิบกล่องอาหารชุดสองชั้นจากในตู้เย็นมาวางบนโต๊ะแล้วถามอีก


“เมื่อวานฉันส่งข้อความบอกให้นายกินข้าวกล่องนี้ด้วย ทำไมนายไม่กินล่ะ”


“ก็หลับอยู่ จะไปเห็นข้อความนายได้ไง”


“งั้นวันนี้ก็กินซะนะ...ข้าวหมูผัดเปรี้ยวหวานกับแกงกิมจิเนื้อจากร้านรุ่นพี่ฉันมันจะอร่อยสุด ถ้าอุ่นกินในวันสองวันนี้”


เจ้าของบ้านมองคนตรงข้ามที่สวมกางเกงผ้าสีดำกับเสื้อเชิ้ตสีเดียวกับกางเกงทับด้วยเสื้อคลุมทอมือสีดำสลับเทาเป็นการเป็นงานถือกล่องข้าวเดินเข้ามาตรงเคาน์เตอร์ครัวเพื่อเปลี่ยนอาหารกล่องใส่ลงในจาน เมื่อจัดการอุ่นอาหารเรียบร้อยก็นำไปเสิร์ฟบนโต๊ะเสร็จสรรพ


ระยะหลังมานี้แดฮยอนมักจะหิ้วเนื้อเกรดพรีเมี่ยมกับอาหารกล่องหน้าตาน่ากินและขนมหวานทั้งไอศกรีมกับช็อกโกแลตจากต่างประเทศไว้ในตู้เย็นให้ช่วยกันกิน โดยเจ้าตัวบอกว่ามันเป็นของจากรุ่นพี่ที่เป็นเชฟอยากเปิดร้านอาหารฝากมาให้ช่วยชิมหรือกินก่อนจะหมดอายุ


“รุ่นพี่นายเขาจะเปิดร้านหรือยังอ่ะ”


“ยังเลย”


“แล้วเขาอยากให้นายช่วยชิมอาหารเขาถึงเมื่อไหร่เหรอ...ทำแต่ของดีๆแพงๆแบบนี้ให้ทุกวันก็ควรจะจ่ายเงินให้เขาบ้างนะ”


“ก็อยากจะจ่ายอยู่หรอกแต่พี่เขาไม่ให้จ่าย เขาบอกว่าจนๆอย่างฉันเก็บเงินไว้จ่ายค่าเช่าบ้านนายให้ตรงเวลาดีกว่า...ยิ่งช่วงนี้ฉันมีงานเหมาต่างจังหวัดเยอะแต่เพื่อนฉันที่ไปทำงานพร้อมกันรถมันเสียเลยต้องจ่ายค่าเดินทางกันเอง ค่าแท็กซี่ก็อย่างที่รู้แพงจะตาย ดีนะหักไปหักมายังมีเงินเหลืออยู่บ้าง” คำตอบแสนรันทดนั้นทำให้คนฟังนึกบางสิ่งขึ้นมาได้


“นายขับรถเป็นหรือเปล่าล่ะ ถ้าขับเป็น นายจะยืมรถฉันไปขับก่อนก็ได้นะ”


“รถนาย...นายมีรถกับเขาด้วยเหรอ ไม่เห็นจะรู้มาก่อนเลย” อีกฝ่ายถามตาโตเพราะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนทั้งที่อยู่ด้วยกันมาร่วมปีกว่าแล้ว


“จริงๆ มันเป็นรถของคุณลุงฉันเอง พอท่านเสียรถก็เลยตกเป็นของฉัน”


“นายขับรถเป็นเหรอ”


“เป็นดิ...ตอนอยู่สวีเดนเคยขับรถของพ่อกับพี่ยองวอนไปตระเวนถ่ายรูปอยู่ ตอนฉันย้ายมาอยู่นี่ก็มีขับอยู่บ้างแต่เลิกขับไปตั้งแต่ที่ขับออกไปต่างจังหวัดแล้วอยู่ๆกล้ามเนื้อเกิดอ่อนแรงขึ้นมา บังคับรถไม่ได้มันเลยพุ่งตกไปในคันนาของชาวบ้าน ตั้งแต่นั้นฉันก็ไม่กล้าขับรถอีก ดีที่พี่ฮิมชานคอยเอารถไปตรวจสภาพกับต่อทะเบียนนู้นนี่ให้ก็เลยยังใช้ขับได้ปกติ” เจ้าของบ้านเล่ายาวจนเผลอเอ่ยเรื่องที่ไม่ตั้งใจจะพูดออกไป


“กล้ามเนื้ออ่อนแรงมันเป็นยังไง ร้ายแรงเท่าไทรอยด์หรือเปล่า”


“หื้อ” เพราะถูกย้อนถามทำให้เจ้าตัวกระพริบตาปริบแล้วเบิกตากว้างในนาทีที่รู้ตัวว่าหลุดปากอะไรออกไป


“ก็ไม่มีอะไรหรอก...ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมาก”


“จริงเหรอ”


“จริงสิ” คำนั้นย้ำหนักแน่นพร้อมกับบทสนทนาที่เปลี่ยนไปในทันที “แล้วนี่ไหนบอกต้องไปทำงานแต่เช้าไง ทำไมยังไม่ไปทำงานอีก เดี๋ยวก็สายขึ้นมาหรอก”


“ฉันรอพี่โทรมาก่อนค่อยลงไปน่ะ”


“เหรอ”

 
“ว่าแต่วันนี้นายจะไปไหนอ่ะเห็นว่าสะพายกระเป๋าเข้ามาในครัวด้วย”


“วันนี้ฉันต้องไปหาหมอตามนัดนะ”


“นายมีนัดกับหมอวันนี้เหรอ...ไม่เห็นจะรู้เลย ทำไมไม่บอกฉันล่ะว่าจะไปหาหมอ ฉันจะได้เคลียร์ตารางงานแล้วพานายไป แล้วนี่นายไปหาหมอกับใคร อย่าบอกนะว่าไปคนเดียว” ฝ่ายตรงข้ามถามเสียงแข็งด้วยสีหน้าท่าทางกังวลใจ


“เปล่า...พี่ฮิมชานเขามารับ”


“ปกตินายไปหาหมอพี่ฮิมชานพาไปตลอดเลยหรือเปล่า”


“ก็พาไปทุกครั้งแหละ...พ่อคนที่สามของฉันเขาไม่ยอมให้ฉันไปหาหมอคนเดียวหรอก เขากลัวฉันเบี้ยวนัดหมอจะตาย”


“ที่จริงถ้านายมีรถ ครั้งต่อไปที่นายไปหาหมอ ไม่ต้องรบกวนพี่ฮิมชานเขาไปส่งนายหรอก เดี๋ยวฉันเป็นคนขับรถพานายไปหาหมอเอง ฉันน่ะขับรถเก่งนะ ฉันสอบใบขับขี่ที่กังนัมครั้งเดียวก็ผ่านเลยด้วย”


“นายไม่มีเวลาพาฉันไปหาหมอหรอกน่า”


“มีสิ...สำหรับนายฉันมีเวลาให้เสมอแหละ”


ยองแจหยุดยกแก้วกาแฟจรดริมฝีปากทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น...ตากลมปรายไปยังชายหนุ่มที่ยืนยิ้มตรงโต๊ะกินข้าวที่มีเคาน์เตอร์เตรียมอาหารกั้นอยู่พร้อมกับหัวใจกระตุกแรง


“โกหก” เขาบ่นพึมพำในคอเบาๆแต่ฝ่ายนั้นกลับได้ยิน


“ไม่ได้โกหกนะ...ถ้านายบอกฉันล่วงหน้าว่าต้องไปไหนล่ะก็ ถึงวันนั้นฉันจะมีนัดหรือติดงาน ฉันก็ลางานให้นายได้ ถึงฉันจะดูไม่เอาไหนแต่เรื่องงานฉันจริงจัง เวลาฉันจะลางานหรือทำอะไรบอสฉันไม่เคยว่าเพราะเขารู้ว่าฉันไม่เคยเหลวไหลเรื่องงาน” เพื่อนร่วมบ้านตอบกลับ...แววตากลมแต่คมคู่นั้นจ้องกลับมาอย่างจริงจังเสียจนคนถูกมองรู้สึกได้ถึงความร้อนบนใบหน้าก่อนจะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงโทรศัพท์


“พี่เขาโทรมาตามฉันแล้วล่ะ...ฉันไปก่อนนะแล้วอย่าลืมกินข้าวที่ฉันอุ่นไว้ด้วย เออ รอบนี้ฉันต้องไปค้างอยู่นู้นสองคืนนะ ฉันไม่อยู่ดูแลตัวเองดีๆนะ ถ้าฉันทำงานเสร็จจะส่งข้อความหา ยังไงก็ช่วยตอบข้อความฉันเร็วๆบ้างนะ ฉันบอกให้นายอย่าดองข้อความของฉันตั้งหลายครั้งแต่นายก็ดองทุกทีเลย ฉันเสียใจนะรู้ปะ” 


คนตัวสูงกว่าก้าวอ้อมมาตรงเคาน์เตอร์ลูบหัวอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยรอยยิ้มเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กครู่หนึ่งก็ผละไปหน้าประตูอย่างไวด้วยกลัวอีกฝ่ายจะโมโหใส่ ช่วงจังหวะที่เปิดประตูออกไปข้างนอกก็พอดีกับที่มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผิวขาวจัดสวมเสื้อเชิ้ตเทากับกางเกงขายาวสีดำหอบข้าวของพะรุงพะรังเต็มสองมือยืนอยู่


“มึงจะรีบไปไหนเนี่ย” คำทักทายจากรุ่นพี่หลังเห็นคนเป็นน้องโค้งให้ดังขึ้น


“ผมมีงานที่ต่างจังหวัดอ่ะพี่ นี่พี่ซองวอนขับรถมารอแล้ว ขืนช้าพี่เขาด่าหูชาพอดี”


“ไอ้ซองวอนมันมารับมึงเหรอ ทำไมกูไม่เห็นรถมันวะ” อีกฝ่ายถามพลางคิดถึงเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยมัธยมที่แม้จะแยกย้ายไปทำงานทำการของตัวเองก็ยังคบหากันถึงทุกวันนี้


“รถพี่เขาเสียเลยยืมไอ้ชอลมันมาก่อนอ่ะ แล้วนี่พี่มารับยองแจไปหาหมอใช่ไหม ยังไงหาหมอเสร็จแล้วบอกผลตรวจอะไรให้ผมรู้บ้างนะ...ผมไปล่ะ”


“เออ ไว้เจอกัน”


ฮิมชานพยักหน้ามองรุ่นน้องที่วิ่งพรวดไปยังลิฟต์เพื่อลงไปชั้นล่างก่อนจะใช้เท้าที่กันประตูไม่ให้ปิดไว้ผลักประตูให้เปิดกว้างกว่าเดิมแล้วพาตัวเองเข้าไปข้างใน หลังจากหอบข้าวของไปกองตรงโถงของห้องได้ก็กวาดตาสำรวจไปทั่วบ้านที่ดูสะอาดผิดหูผิดตา เมื่อปาดนิ้วลงไปบนชั้นวางของแทบไม่มีฝุ่นติดนิ้วทั้งที่เมื่อก่อนฝุ่นจับหนาก็แปลกใจ ทว่าสิ่งที่ทำให้คิ้วถึงกับขมวดคงเป็นการได้เห็นเปียโนไม้ของเล่นวางอยู่


ชายหนุ่มหยิบมันออกมาดูใกล้ๆพลางลูบมือไปตามเนื้อไม้และการแกะสลักอย่างประณีตในแต่ละจุดและด้วยความเคยทำงานดูแลและซ่อมแซมชิ้นงานศิลปะประจำอยู่พิพิธภัณฑ์ในยุโรปมาหลายแห่งก็รู้ได้เลยว่า ถึงจะมีตำหนิก็ยังมีราคาสูงเกินกว่าที่คนธรรมดาจะซื้อมาสะสม


ครั้งหลังที่มารับน้องไปหาหมอไม่เคยได้ขึ้นมาหา เพียงแต่รอรับอยู่ข้างล่างแต่ก็จำได้แม่นว่าไม่เคยเห็นเปียโดนของเล่นหลังนี้มาก่อน


“เอ้า พี่มาตอนไหนเนี่ย” เจ้าของบ้านโผล่หน้าออกมาจากครัวด้วยนึกว่าเพื่อนร่วมบ้านลืมของเลยกลับมาเอาแต่พอเห็นพี่ต่างสายเลือดที่นับถือเหมือนพี่ชายแท้ๆอยู่ในบ้านถามขึ้น


“มาตอนไอ้แดฮยอนมันออกไปข้างนอกพอดี”คนเป็นพี่ตอบและหิ้วถุงของกินตามน้องที่กลับเข้าครัวไปนั่งกินข้าวต่อจึงถูกถามอีก


“พี่หอบอะไรมาเยอะแยะอ่ะ”


“นี่แกไม่รู้เหรอว่าพี่ไปสวีเดนเลยแวะไปบ้านเรามา”


“รู้...แม่บอกแล้ว”


“แล้วคุณป้าไม่ได้บอกหรือไงว่าฝากของกินมาให้เนี่ย”


“ไม่เห็นบอกเลยว่าจะฝากมาให้...ของกินที่แม่ให้หอบกลับมาตอนปีใหม่จนป่านนี้ยังกินไม่หมดเลยเนี่ย”


“เอาใส่ตู้เย็นไว้ดิ”


“ในตู้เย็นไม่มีที่แล้ว” 


“ไม่มีได้ไง...พี่มาทีไรตู้เย็นแกก็ว่างตลอด ไม่เคยคิดจะซื้อของกินตุนไว้เล้ย”


“แต่ตอนนี้มีของกินเต็มตู้เลยไม่เชื่อก็ดูดิ” คนเป็นน้องเถียงทั้งที่ถือช้อนข้าวจะเอาเข้าปาก


คนเป็นพี่ถอนหายใจเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อจะจัดของสดกับขนมที่ครอบครัวของน้องชายต่างสายเลือดหัวรั้นฝากมาให้ซึ่งปกติแทบจะไม่มีอะไรอยู่ในตู้นอกจากผลไม้เหี่ยวๆกับน้ำเปล่าแต่มาตอนนี้กลับมีทั้งของสดของแห้งและน้ำดื่มจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบจนแน่นตู้ เมื่อหยิบออกมาดูวันผลิตกับวันหมดอายุจึงรู้ว่าเป็นของเพิ่งซื้อมา


ก่อนหน้านี้เขาเคยถามถึงความเป็นอยู่ของน้องเมื่อมีแดฮยอนเป็นเพื่อนร่วมห้องแต่น้องไม่ตอบอะไรไปมากกว่าก็ดี ผิดกับตอนเขาแวะไปหาคุณลุงคุณป้ากับยองวอนที่สวีเดน ทางนั้นกลับบอกว่ายองแจพูดชมเพื่อนร่วมบ้านให้ฟังอยู่บ่อยๆ


...แต่กับเขาทำไมถึงไม่เคยเล่าอะไรเลย... 


“อยู่กับแดฮยอนมันตั้งนานมีปัญหาอะไรกันบ้างหรือเปล่า” เขาแกล้งถามพลางหยิบขวดน้ำเปล่าจากในตู้มาเทใส่แก้วแล้วลากเก้าอี้ที่สอดใต้โต๊ะกินข้าวฝั่งตรงข้ามกับน้องออกมานั่ง


“พี่ก็ถามมาได้เนาะ...ถ้ามีปัญหาจะอยู่กันได้นานขนาดนี้เหรอ”


“ก็ไม่รู้นี่หว่า แกไม่เห็นเคยเล่าอะไรให้พี่ฟังเอาแต่บอกดีเฉยๆ เลยไม่รู้ว่าไอ้ก็ดีของแกคือดียังไง”


“แบบว่าเขาดูแลผมไง อย่างพวกงานบ้านผมมีกฎให้ช่วยกันทำความสะอาดแต่เขาเห็นผมไม่ค่อยสบายก็เลยเหมาทำให้หมด...ทั้งที่งานยุ่งแต่เขาคอยส่งข้อความมาถามตลอดเลย ตอนแรกเขาใช้คาทกส่งข้อความมาผมเลยไม่เห็น ตอนนี้เขาเลยโหลดว้อทแอพไว้คุยกับผมคนเดียวด้วย เวลาเขาไปทำงานไกลเขาจะซื้อตุ๊กตาหรือของที่ระลึกมาฝากอยู่เรื่อย โดยเฉพาะตุ๊กตาลูกเจี๊ยบเนี่ยผมมีเต็มห้องเลย ส่วนพวกของกินในตู้นั่นนอกจากของที่แม่ให้เอากลับมาตอนปีใหม่ก็เป็นของที่เขาแบ่งมาให้ผมกิน ข้าวที่กินอยู่ตอนนี้ก็ของเขา ก่อนออกไปเขาอุ่นให้ผมกินด้วย” คนเป็นน้องเล่าถึงความเอาใจใส่ของเพื่อนร่วมห้องพลางทอดตามองลายแมวในอิริยาบนต่างๆรอบขอบจานเซรามิกส์ที่เพื่อนร่วมบ้านซื้อให้ด้วยรอยยิ้มกว้าง


ฮิมชานเท้าคางมองสีหน้ามีความสุขมากผิดปกติของคนเป็นน้องประกอบกับคำบอกเล่าถึงพฤติกรรมเอาใจใส่ของรุ่นน้องที่รู้จักกันมาหลายปีจนรู้ดีถึงสถานะการเงินถึงกับขมวดคิ้ว


แดฮยอนคนที่เขารู้จักตั้งแต่สมัยมันยังเป็นเด็กมัธยมปลายสอนเปียโนให้เด็กอนุบาลกับประถมในโรงเรียนสอนพิเศษดนตรีเดียวกันนอกจากจะไม่ค่อยจะมีกินแล้วก็ดื่มเหล้าต่างน้ำแทบทุกคืน...เรื่องจะเลี้ยงข้าวหรือหาซื้ออะไรให้ใครก็เฉพาะวันพิเศษหรือถูกหวยเท่านั้นแหละ แต่นี่มันล่อซื้อของกินดีๆกับตุ๊กตามาให้น้องทุกวันออกจะเป็นอะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้น


...หรือมันทำงานประจำเลยมีเงินเยอะ
...แต่ที่โดนเฉดหัวจากหอเก่าเพราะจ่ายค่าเช่าช้าไม่ใช่ไง
...แล้วมันเอาเงินที่ไหนมาซื้อให้ทุกวี่ทุกวัน


“แกนี่ดูจะชอบแดฮยอนมันมากเลยนะ”


หลังนั่งเงียบอยู่นานคนเป็นพี่จึงเปิดปากถามแต่ประโยคที่โพล่งออกมาโดยไม่คิดอะไรกลับทำให้คนจ้องแมวบนขอบจานชะงักรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน


“ชอบบ้าชอบบออะไรเล่า ใครจะไปชอบคนอย่างนั้นกัน เขาน่ะทั้งขี้เมา ทั้งขี้หลี มีสาวให้ควงไม่ซ้ำหน้า ค่าเช่าบ้านบางทีก็ต้องทวงถึงจะจ่าย แล้วผมก็เป็นผู้ชายด้วยจะไปชอบหมอนั่นได้ยังไงกัน”


“นี่ตีความไปไหนวะนั่น พี่ไม่ได้บอกว่าแกชอบไอ้แดฮยอนมันแบบแฟนซะหน่อย” คำตอบนั้นมาพร้อมกับคิ้วที่เลิกสูงคล้ายสงสัยอะไรบางอย่างนั้นทำให้คนเป็นน้องกลอกตาไปมาพาลนึกด่าตัวเองในใจที่กลัวเรื่องแอบชอบเพื่อนร่วมห้องตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยจะความแตกเลยพูดอะไรออกไปโดยไม่คิด


“โอ๊ย ใครจะไปรู้ล่ะว่าพี่หมายถึงชอบแบบเพื่อน ก็ดูพูดดิมาบอกชอบลอยๆใครจะไปรู้ว่าพี่หมายความว่ายังไง เนี่ย เพราะพี่ชอบพูดอะไรไม่กำกวมอยู่เรื่อย ผมถึงไม่อยากคุยกับพี่มากไง คุยมากแล้วอารมณ์เสีย”


“เอ้า ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดเองจะมาโทษคนอื่นเขาได้ไง”


“อะไรนะ เดียดๆอะไรของพี่นะ”


“ก็ฟังไม่เข้าใจแล้วตีความเอาเองไง” 


“ฮู้ย พี่ใช้คำโบราณใครจะไปเข้าใจเล่า ยังไงก็เถอะของที่แม่ฝากมามันไม่มีที่จะเก็บแล้ว พี่แบ่งเอาไปกินเองหรือให้พี่ยงกุกเขาก็ได้ ถ้ายังเหลือก็แจกให้พนักงานในออฟฟิศพี่ก็แล้วกัน แต่อย่าลืมบอกนะว่า คุณยู ยองแจเป็นคนฝากมาให้ ห้ามเคลมว่าตัวเองให้เองล่ะ”


“โฮะ ทำมาพูด จะให้เขารู้จักแกไปทำไมในเมื่อรู้จักไปก็ไม่เอาหน้ามาให้เห็น”


“แล้วทำไมต้องเอาหน้าไปให้ดูด้วยล่ะ ให้รู้จักแค่ชื่อ ให้เขาชมว่าคุณยองแจใจดีก็พอแล้วมะ”


“ว้อย ทำไมชอบเถียงคำไม่ตกฟากอย่างนี้วะ” คนอายุมากกว่าพ่นลมร้อนอย่างรำคาญในความเอะอะเถียงไว้ก่อนของคนเป็นน้องก่อนจะวกกลับมาเอ่ยถึงประเด็นของรุ่นน้องตนเอง “เออ เมื่อกี้เราบอกว่าแดฮยอนมันซื้อนู้นซื้อนี่ให้เราใช่มะ ตลกวะ ยาจนอย่างมันซื้อของกินดีๆให้เราได้ยังไงทุกวัน ไอ้เนื้อวากิวแพ็คในตู้นั้นโครตแพงเลยรู้ปะ ทั้งที่ซื้อของแพงขนาดนี้ให้ได้แต่เสือกจ่ายค่าเช้าบ้านช้า” 


“ไอ้ของกินแพงๆนั้นเขาไม่ได้ซื้อ...รุ่นพี่ที่เป็นเชฟของเขาให้มา”


“ไม่เห็นเคยได้ยินว่ามันมีคนรู้จักเป็นเชฟเลย”


“ไม่รู้งะแต่เขาบอกว่ารุ่นพี่เขาเพิ่งกลับจากเมืองนอก อยากเปิดร้านแต่ต้องฝึกฝีมืออีกหน่อยเลยซื้อของมาทำเมนูที่จะใช้ขายเยอะแยะไปหมด พอทำเสร็จก็เอามาให้ช่วยวิจารณ์อ่ะ บางครั้งเขาก็เอาของสดที่มาให้เพราะกลัวใช้ไม่ทันมันจะเสียก่อน”


“เอามาให้นี่ทำกันเป็นเหรอ”


“ส่วนใหญ่เขาทำสำเร็จมาให้อ่ะ แต่พวกเนื้อเขามีเครื่องหมักแยกมาให้ ผมก็โยนๆใส่ชามทิ้งไว้สักชั่วโมงค่อยเอามาทอดในกระทะไม่เห็นจะยากอะไรเลย”


“โอโห แค่กลัวของเสียจะใช้ไม่ทันแต่ทำเครื่องหมักอะไรให้เสร็จสรรพ ดูเขาจะอำนวยความสะดวกชีวิตให้แกเหลือเกินเนาะ”


“เขาไม่ได้เจาะจงให้ผมนะแต่ให้หมอนั่นต่างหาก...คนอย่างหมอนั่นมีแต่คนชอบ รุ่นพี่เขาจะเอ็นดูทำนั่นนี่เพิ่มให้ก็ไม่แปลกหรอก”


“แล้วเปียโนของเล่นในห้องนั่งเล่นนั้นของใคร”


“หมอนั่นให้เป็นของขวัญตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่ที่นี่อ่ะ”


“มันซื้อใช่มั้ย” คนเป็นพี่เลิกคิ้วถามอย่างสงสัย


“อืม”


“มันบอกปะว่าซื้อมาเท่าไหร่”


“ไม่ได้บอกหรอก...เขาบอกแต่ว่าเขาจำเรื่องที่ทำเปียโนของเล่นผมพังได้ก็เลยซื้อมาคืนให้”


ฮิมชานเม้มริมฝีปากพลางหรี่ตามองเลยจากหน้าของคนตรงข้ามไปยังตุ๊กตาแมวเซรามิกส์ที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์เตรียมอาหารติดกับโต๊ะกินข้าวอย่างครุ่นคิด


เปียโนของเล่นหลังนั้นไม่ใช่ของเล่นธรรมดาที่หาซื้อได้ทั่วไป แค่มองจากภายนอกก็รู้แล้ว ยิ่งได้สัมผัสไปบนเนื้อไม้ สังเกตการลงสีกระทั่งการเก็บรายละเอียดในจุดเล็กจุดน้อยทำได้อย่างละเอียดอ่อนถึงจะมีตำหนินิดหน่อยแต่ยังไงราคาก็สูง พวกนักสะสมมีเงินถุงเงินถังเท่านั้นถึงจะยอมจ่ายซื้อ


“พี่ขอยืมเปียโนเราไปดูสักวันสองวันได้ปะ” การถามที่มีความหมายแฝงแต่แสดงสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรกลับทำให้อีกฝ่ายขึ้นเสียงดังลั่นห้อง


“ไม่ได้” หลังประโยคนั้นชายหนุ่มมากวัยกว่าถึงกลับชะงักขมวดคิ้วจ้องหน้าคนตรงข้ามที่แสดงอาการสลดลงในทันทีที่รู้ตัวว่าตะคอกใส่


“แกจะเสียงดังใส่พี่ทำไม” เสียงทุ้มถามอย่างกระด้างดุเช่นทุกครั้งที่เอาจริงทำให้คนอ่อนกว่าหน้าเสียเข้าไปอีก


“ก็เขาซื้อให้ผมนิ...ที่วันนั้นเขามาช้าก็เพราะมัวแต่ไปหาซื้อเปียโนตัวนี้มาให้ ถ้าพี่ยืมไปแล้วเขากลับมาไม่เห็นแล้วถามขึ้นมา ผมจะตอบยังไงเล่า”


“บอกไปว่าพี่ขอยืม”


“งั้นพี่ก็ไปขอเขาเองดิ”


“แต่มันซื้อให้เราไม่ใช่ไง...ขอเราก็ถูกแล้ว”


“มันเป็นของขวัญชิ้นแรกที่เขาให้มา...คือแบบ เขาอุตส่าห์ไปตระเวนหาซื้อเพื่อเอามาให้ผมโดยเฉพาะนะ ถ้าพี่เอาไปแล้วมันเกิดหายหรือพังขึ้นมาเขารู้เข้าเขาอาจจะเสียความรู้สึกก็ได้ แล้วผมก็ไม่รู้จักที่ซ่อมของพวกนี้ด้วย”


“คิดว่าพี่จะทำพังเหรอ...นี่แกลืมไปหรือเปล่าว่าพี่ทำงานอยู่พิพิธภัณฑ์มาตั้งกี่ที่”


“จะทำพังไม่พังก็ไม่รู้แหละ แต่ทำไมพี่ต้องสนใจกะอีแค่เปียโนของเล่นด้วยอ่ะหรือว่ามันเป็นของขโมยมา”


“เออ ถ้าหวงนักก็ไม่เอา” คนเป็นพี่เสียงแข็งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยสีหน้าและแววตาเรียบเฉยโดยไม่พูดอะไรต่ออันเป็นวิสัยที่คนรอบตัวรู้ดีว่า นี่คือฮิมชานในโหมดจริงจังที่ใครจะมาพูดหยอกเอาแต่ใจเหมือนเวลาอื่นไม่ได้


...เวลาที่พี่ชายคนนี้วางท่าเฉยชาไร้ความรู้สึกเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็เกรง
...แววตาที่ไร้ความรู้สึกและน้ำเสียงดุกร้าวทำให้เขารู้สึกว่ากำลังสูญเสียพี่ชายสุดที่รักไป
...และเขากลัวการที่คนสนิทกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขาเอามากๆ


ยองแจรวบช้อนส้อมแล้วกระดกน้ำเปล่าในแก้วตามด้วยกาแฟอีกนิดหน่อยก็ยกทั้งหมดไปวางในอ่างล้างจานและเดินกลับไปวางมือบนไหล่กว้างของคนเป็นพี่ก่อนจะเริ่มนวด


“พี่ฮิมชาน” ฝ่ายอ่อนกว่าเรียกเสียงยาวขณะก้มลงไปชะโงกมองหน้าหล่อสะอาดของพี่ชายด้วยรอยยิ้มหวานโดยที่มือยังคงนวดไหล่แข็งนั้นให้ “ตะกี้ขอโทษนะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเสียงดังใส่นะแล้วก็ไม่ได้จะหวงของกับพี่ด้วยแต่หมอนั่นติดสัญญาว่าจะเล่นเปียโนหลังนั้นให้ผมฟังอยู่ ตอนนี้เขาก็ยังไม่เคยเล่นให้ฟังเลย เอาไว้เขาอยู่บ้านพี่ค่อยมายืมไปน้า”


“หึ” 


“โหย อย่าทำเสียงงั้นดิ อย่าโกรธผมเลยน้า...ดีกันเหอะ ดีกัน นะนะ” เมื่อเห็นพี่ชายยังนิ่งคนตัวเล็กเลยละมือจากไหล่ยื่นนิ้วชี้กระดิกไปตรงหน้าพลางยู่ปากตาละห้อยเหมือนเด็ก “พี่ฮิมชานคนใจดี ไม่โกรธกันนะ”


“เฮ้อ แกนี่มันจริงๆเลย” สุดท้ายคนเป็นพี่ก็ถอนหายใจเฮือกยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวด้วยอย่างอ่อนใจ


“เย้...เราดีกันแล้วเนาะ งั้นเรารีบไปหาหมอกันดีกว่า เดี๋ยวลุงหมอรอนาน”


“ไม่ล้างจานก่อนล่ะ”


“ไว้ค่อยมาล้างทีหลัง”


“เอา จะเอายังไงก็เอา” ฮิมชานบอกลุกจากเก้าอี้โดยมีเจ้าของบ้านสอดแขนมาเกาะตัวเองเอาไว้แน่นเดินออกมาจากครัวมาด้วยกันทำให้หน้าที่นิ่งอยู่หลุดยิ้มออกมา


“ไอ้เด็กบ้า” เขาพึมพำกับตัวเองปล่อยน้องให้เกาะแขนตัวเองต่อไป ทว่าตอนที่เดินผ่านเปียโนของเล่นหลังนั้นใจกลับก็วนกลับมาคิดจดจ่อถึงรุ่นน้องตนเองอีกครั้ง


...ถ้าเขาไม่เลอะเลือนขนาดลืมวิธีตรวจสอบของเก่าล่ะก็...
...แดฮยอนคนที่เขาคิดว่ารู้จักอาจเป็นคนที่เขาไม่รู้จักเลยก็ได้...
----------------------------------------------------------
ประตูทางออกในอาคารผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลเลื่อนเปิดอัตโนมัติทันทีที่คนตัวผอมก้าวเข้ามาในเขตเซ็นเซอร์ผ่านออกไปด้านนอก มือขาวยัดถุงยาทั้งหมดและผลตรวจเลือดใส่ลงกระเป๋าสะพายก่อนที่โทรศัพท์จะสั่นจนต้องรีบหยิบจากกระเป๋ากางเกงออกมารับซึ่งปลายสายก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นพี่ชายคนละสายเลือดที่จำเป็นต้องกลับไปประชุมธุรกิจของที่บ้านเลยอยู่รอรับกลับจากมาหาแพทย์ตามนัดถึงเย็นไม่ได้


“พี่ประชุมเสร็จแล้วเหรอ”


“แค่แว่บมาเข้าห้องน้ำเลยโทรมาถามว่าเป็นยังไง”


“ฮู้ย ลุงหมอบอกว่า หนนี้ผลเลือดผมดีมากเลยแหละ อยากจะถ่ายรูปอวดผลเลือดให้พี่ดูจัง”


“นี่ก็หกโมงสี่สิบล่ะ แกไม่ต้องไปไอ้ร้านอะไรของแกนั่นแล้วนะ จากซงพาไปคังซอมันไกลเกิน กว่าแกจะกลับถึงบ้านดึกกันพอดี ไว้พรุ่งนี้พี่ขับรถพาแกไปเอง” ปลายสายเอ่ยถึงมินิมาร์ทที่น้องบอกให้พาไปซื้อของก่อนที่เขาจะรู้ว่าติดงาน


“โหย รอถึงพรุ่งนี้ไม่ไหวหรอก”


“แค่ไปซื้อของช้านิดช้าหน่อยจะเป็นไร”


“ก็เมล็ดกาแฟที่ผมชอบดื่มทุกวันมันหมดแล้วอ่ะ”


“ดื่มยี่ห้ออื่นไปก่อนสิ ที่บ้านก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ”


“มันไม่เหมือนกัน พี่ก็ดื่มกาแฟพี่ต้องเข้าใจดิว่า รสชาติมันไม่เหมือนกัน”


“งั้นไปซื้อที่ร้านอื่นไป”


“เมล็ดกาแฟยี่ห้อที่ผมดื่ม มันมีขายแค่ร้านนั้นร้านเดียว”


“สั่งออนไลน์มาแทนแล้วกัน”


“โห สั่งออนไลน์...เจ้าของมินิมาร์ทนี้เขาหยิ่งจะตาย ถ้าไม่ใช่ลูกค้าประจำขนซื้อเยอะๆนี้แทบไม่เคยพูดด้วยเลย อีกอย่างร้านเขาไม่ใช่แฟรนไชส์ด้วยเป็นร้านเปิดของเขาเอง ไอ้จะมาสั่งออนไลน์ให้คนมาส่งนี่ฝันไปเหอะ”


“ทำธุรกิจในยุคนี้ไม่มีร้านออนไลน์แม่งอยู่ยังไงได้วะ”


“เจ้าของร้านเขาเคยบอกว่า เขาขายของที่เขากิน อะไรไม่กินเขาไม่ขายอ่ะ”


“เงินเหลือมากเลยมาเปิดเล่นหรือไงวะ”


“พี่ไม่ต้องห่วงหรอก...ผมนั่งรถไปซื้อกาแฟร้านนั้นคนเดียวบ่อยจะตาย ไม่หลงหรอก หรือถ้าห่วงผมจะเป็นลมเป็นแล้งล่ะก็ไม่ต้องเลย รอบนี้สุขภาพผมดีเว่อ ไม่เชื่อถามลุงหมอได้” 


“ถึงงั้นก็เถอะ ยังไงพี่ก็ห่วงแกอยู่ดี เอางี้ นั่งแท็กซี่ไปกลับแล้วเอาค่าแท็กซี่มาเก็บกับพี่”


“งุ้ย ทำไมพี่ป๋ายังงี้เนี่ย”


“เพราะพี่สัญญาว่าจะไปรับไปส่งแก แต่ไปไม่ได้ เพื่อความสบายใจของตัวพี่เอง แกขึ้นแท็กซี่ไปเลย”


“ก็ได้...ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องควักเงินตัวเอง พี่กลับไปประชุมได้ล่ะ เดี๋ยวผมจะรีบไปจะได้กลับถึงบ้านไม่มืด”


“เออ กลับถึงบ้านโทรบอกพี่ด้วยนะ”


“รู้แล้วจ้า คุณพ่อคนที่สาม” คนตัวผอมวางสายเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายแล้วกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกไปโบกแท็กซี่ หลังบอกจุดหมายปลายทางเรียบร้อยก็นั่งเอนหลังมองผู้คนมากมายที่สัญจรไปมาราวกับเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งกระทั่งแท็กซี่เลี้ยวเข้ามาจอดหน้ามินิมาร์ทที่มีขนาดใหญ่กว่ามินิมาร์ททั่วไปติดป้ายชื่อร้านไว้ว่า 1004


ท้องฟ้าที่เคยมีสีครามสดใสบัดนี้กลับอึมครึมด้วยสีม่วงเข้ม ชายหนุ่มแหงนมองฟ้าที่ไม่มีหมู่ดาวเหลือเพียงพระจันทร์เสี้ยวส่องแสงจางๆอย่างโดดเดี่ยวพาลให้รู้สึกเหงาในใจอย่างประหลาด หากเจ้าตัวก็สะบัดหน้าไม่พยายามคิดถึงชีวิตที่แม้จะมีคนที่แอบชอบอยู่ด้วยแต่ท้ายที่สุดก็ต้องอยู่คนเดียวเหมือนเคย


เสียงกริ่งตรงบานประตูเลื่อนเตือนให้รู้ถึงการมาของลูกค้าแต่คนที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ยังคงนั่งกางหนังสือพิมพ์อ่านเหมือนไม่รับรู้ใดๆทั้งสิ้น คนตัวผอมหยิบตะกร้าที่ซ้อนอยู่ตรงไปยังช่องวางสินค้าประเภทชาและกาแฟแต่กลายเป็นว่ามันถูกย้ายออกไปจากชั้นวางเดิม


“อะไร...ใจคอจะย้ายที่วางของทุกครั้งที่มาเลยหรือไง” เจ้าตัวบ่นอุบแล้วเดินอ้อมหาไปยังล็อกวางสินค้าอื่นอีกหลายล็อกกว่าจะเจอห่อเมล็ดกาแฟที่ตามหาวางเหลืออยู่บนชั้นกล่องเดียวก็คว้าแบบไม่คิดแต่กลายเป็นว่ามีมือของใครอีกคนคว้ามันเอาไว้ก่อนที่ตัวเองจะคว้ามันได้ตามหลัง


ยองแจหันควับมองตามมือและแขนที่มีเส้นเลือดปูดชัดเลยไปถึงใบหน้าเรียวยาวของคนแปลกหน้าที่มีผมตกลงมาปรกตาจนเห็นเพียงจมูกโด่งรั้นกับริมฝีปากบางที่มีไฝเม็ดเล็กเม็ดหนึ่งขึ้นเหนือขอบปาก


“อันนี้ของผมนะ” คนเอาแต่ใจตาขวางเริ่มแสดงความเป็นเจ้าของ


“อะไรของคุณเนี่ย...จะเป็นของคุณได้ไง ในเมื่อผมหยิบได้ก่อน” 


“คุณหยิบก่อนแต่ผมเห็นก่อนนี่”


“เห็นก่อนเนี่ยนะ...มั่วแล้วคุณ เมื่อกี้ตอนผมเดินมายังไม่เห็นคุณเลยนะ”


“คนทั้งคนจะมาบอกไม่เห็นเนี่ยนะ ตาถั่วหรือไง ก็เห็นว่าผมมองอยู่แค่หยิบของช้ากว่าคุณไม่ได้แปลว่าคุณมาก่อนนะ”


“มั่วละคุณ มั่วแล้ว ผมต่างหากเห็นก่อน ไม่งั้นจะหยิบก่อนคุณได้ไง”


“นี่พูดไม่รู้เรื่องเหรอก็บอกอยู่เมื่อกี้นี้เองนะว่า ผมเห็นก่อน”


“ผมต่างหากที่เห็นก่อน เพราะงั้นช่วยปล่อยมือออกจากกาแฟผมเลยนะ” ฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมลดละดึงห่อเมล็ดกาแฟมาหาตัวจนคนผอมกว้างเซถลาแต่ไม่ยอมปล่อยมือออกจากเมล็ดกาแฟที่ตัวเองถ่อมาซื้อเช่นกัน


“นี่คุณ...บ้านคุณน่ะอยู่แถวนี้หรือเปล่า” อยู่ๆคนตัวเล็กกว่าที่เพิ่งตั้งหลักได้ก็เปลี่ยนคำถาม “ผมน่ะอยู่ตั้งเขตซงพานู้นกว่าจะมาถึงคังซอได้มันไกลมากเลยนะ ถ้าคุณอยู่แถวนี่ล่ะก็ วันหลังค่อยมาซื้อก็ได้”


“ไกลมันก็เรื่องของคุณปะ...ถึงผมจะอยู่แถวนี้แต่กว่าของมันจะเข้าร้านมาอีกก็เป็นเดือน”


“ยี่ห้ออื่นก็มีเยอะแยะ ซื้อยี่ห้ออื่นไม่ได้หรือไงเล่า”


“แล้วทำไมคุณไม่ซื้อยี่ห้ออื่นล่ะ”


“ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่ได้ดื่มกาแฟยี่ห้อนี่”


“ผมก็อยู่ไม่ได้ถ้าไม่ได้ดื่มกาแฟยี่ห้อนี่เหมือนกัน”


“อยู่ไม่ได้นี่ถึงขั้นตัวสั่นแบบนี้หรือเปล่า” คนตัวผอมกว่าไม่โพล่งเสียงดังทำตัวสั่นเหมือนคนเป็นไข้ ฝ่ายตรงข้ามมองอาการสั่นนั้นนิ่งจนไม่ทันตั้งตัวสบโอกาสให้อีกคนดึงห่อกาแฟนั้นมาอยู่ในมือตัวเองเพียงผู้เดียว


“อ้าว เฮ้ย” อีกฝ่ายร้องทันทีที่เห็นกาแฟซึ่งหยิบได้ก่อนตกไปอยู่ในมือคู่กรณี


“เสียใจด้วยนะ แต่กาแฟห่อนี้เป็นของผม ไว้เดือนหน้าคุณค่อยมาซื้อใหม่ล่ะกันนะ” พูดจบผู้ชนะในศึกครั้งนี้ก็เดินลิ่วหายไปอีกล็อกทิ้งให้ฝ่ายที่เดินเข้ามาซื้อกาแฟดีๆงงเป็นไก่ตาแตกเดินกลับไปหน้าเคาน์เตอร์แคชเชียร์เพื่อถามถึงเมล็ดกาแฟที่ตนเองต้องการ หากเจ้าของร้านเพียงลดหนังสือพิมพ์เรียกชื่อชายหนุ่มผู้นั้นว่า จงฮวานและบอกต่อว่า ถ้ามีอารมณ์จะไปหาในสต็อกให้แต่ตอนนี้ไม่มี


ยองแจที่โกยเยลลี่ของโปรดหลังได้เมล็ดกาแฟสมใจมองคนที่ล้วงกระเป๋าเดินออกไปยืนอยู่ข้างนอกมินิมาร์ทและยืนโทรศัพท์อยู่ตรงนั้นพักหนึ่งก็ตัดสินใจเดินไปซื้อขวดโหลกับกรรไกรเพิ่มจึงไปจ่ายเงิน


ผู้แพ้จากศึกชิงเมล็ดกาแฟนั่งอยู่ตรงขอบพื้นเพื่อยกระดับตัวร้านให้สูงจากถนนพลางพ่นควันสีเทาจากบุหรี่ที่อัดเข้าปอดออกก่อนจะหันไปตามเสียงเรียกชื่อที่ดังขึ้นจากด้านข้าง


“ชื่อจงฮวานใช่ปะ” คนตัวผอมกว่าถามก่อนจะยื่นโหลแก้วที่มีเมล็ดกาแฟในนั้นส่งให้ “เมื่อกี้คุณบอกว่า อยู่ไม่ได้ถ้าไม่ได้ดื่มกาแฟยี่ห้อนี่ใช่มะ งั้นผมแบ่งให้ล่ะกันแต่ไม่ได้แบ่งให้ฟรีนะ จ่ายเงินด้วย”


“ฮะ...ยังไงนะ”


“ก็แบ่งให้ไง นี่ ผมอุตส่าห์รีบตัดแบ่งให้นะกลัวกลิ่นกับรสมันเพี้ยน”


“แบ่ง...แบ่งให้ผมเหรอ”


“โอ๊ย ทำไมเข้าใจยากจัง ก็บอกอยู่เมื่อกี้ว่าแบ่งให้ จะเอาหรือเปล่า ถ้าไม่เอาก็ไม่เป็นไรผมเก็บไว้ดื่มเองได้”


จงฮวานกระพริบตาแหงนมองหน้านวลที่ถูกแสงไฟหน้าร้านสาดกระทบจนเห็นสีแดงจางๆบนแก้มเหมือนคนรีบร้อนทำอะไรบางอย่างจนเหนื่อยสลับกับขวดโหลกาแฟที่ยื่นมาตรงหน้าเพียงครู่ก็ดีดบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าขยี้จนไฟมอด


“เท่าไหร่”


“จะคิดแค่ค่าเมล็ดกาแฟกับขวดโหลแล้วกัน เพราะกรรไกรที่ซื้อมาผมเก็บไปใช้ที่บ้านได้”ฝ่ายที่ยืนค้ำหัวตอบพลางล้วงหยิบใบเสร็จออกมาคำนวณจึงบอกจำนวนเงินออกไปพร้อมกับธนบัตรห้าหมื่นวอนจะถูกยื่นกลับไป


“ต้องทอนปะ ไม่มีเศษนะ ต้องเก็บเศษไว้จ่ายค่าแท็กซี่”


“พูดขนาดนั้น ไม่ต้องทอนก็ได้”


“โอเค งั้นไม่ทอนนะ ไปล่ะ” เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจที่ตั้งใจคนตัวผอมกว่าก็หิ้วถุงพลาสติกเดินไปแต่ไปได้ไม่ไกลก็ถูกเรียกไว้


“นี่...ผมขอแอดคาทกคุณหน่อยได้มั้ย”


“เอาไปทำไมอ่ะ” เจ้าตัวหันกลับมาถามพลางยู่ปากอย่างไม่เข้าใจ


“ผมเปิดร้านกาแฟน่ะ เผื่อว่าครั้งหน้าคุณมาซื้อเมล็ดกาแฟที่นี่ผมจะเลี้ยงกาแฟ”


“เลี้ยงเนื่องในโอกาสอะไร”


“ก็ที่คุณแบ่งกาแฟให้ผม”


“พอดีผมไม่เล่นคาทกอ่ะ”


“ไม่เล่นจริงดิ คนเขาเล่นกันทั้งประเทศเลยนะคุณ”


“ไม่เล่นแล้วมันผิดหรือไง”


“โอเคๆ ไม่เล่นก็ไม่เล่น แล้วครั้งหน้าคุณจะมาซื้อเมล็ดกาแฟอีกเมื่อไหร่”


“ถ้าครึ่งถุงนี้ก็คงอีกสามอาทิตย์ล่ะมั่ง”


“งั้นอีกสามอาทิตย์ผมจะมารอที่นี่ เผื่อคุณมาผมจะได้เลี้ยงกาแฟ”


“ฟรีเปล่า”


“เลี้ยงมันก็แปลว่าฟรีมะ”


“ไว้จะกลับไปคิดดู ถ้าอีกสามอาทิตย์เห็นหน้าจะไปดื่มกาแฟฟรีที่ร้านคุณแล้วกันนะ บาย” ครั้งนี้คนเอาแต่ใจยกมือโบกเสริมเป็นเชิงลาแล้วเดินออกไปขึ้นแท็กซี่คันที่ผ่านมาพอดีจึงไม่ทันเห็นคนแปลกหน้าที่รู้เพียงชื่อยืนยิ้มโบกมือตามหลังพลางเอ่ยลา


“ไว้เจอกันนะ คนแปลกหน้า”
-----------------------
บรรยากาศภายในลานของอาคารจอดรถของอาคารชุดที่มีราคาแพงที่สุดในกังนัมยามค่ำคืนที่ร้างผู้คนมีเพียงรถหรูจอดเรียงกันนั้นเงียบสงัด ทันทีที่ลิฟต์เคลื่อนมาบรรจบยังกรอบประตูและเลื่อนเปิดก่อให้เกิดเสียงก้องสะท้อนไปทั้งลานจอดพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งสวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยแจ็กแก็ตหนังสีดำกับกางเกงยีนส์สีเดียวกันจะก้าวออกมา


แสงไฟสีขาวจากหลอดไฟที่ฝังอยู่บนเพดานส่องสว่างนำทางไปสู่รถซุปเปอร์ไบค์สีดำคันใหญ่หน้าตาแปลกประหลาดจอดรออยู่ ชายผู้นั้นวางมือบนหมวกกันน็อคแบบปิดทั้งหน้าซึ่งวางอยู่บนเบาะขับ นัยน์ตากลมเรียวแลอ่อนโยนจับนิ่งอยู่บนเงาสะท้อนใบหน้าขาวสะอาดไร้หนวดเคราหล่อเหลาและอ่อนเยาว์เกินจะเดาอายุจริงได้ ร่างสูงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ก็ถอนหายใจเหลียวไปทางมุมมืดของเสาที่มีรถหรูอีกคันจอดซ้อนอยู่


“จะอยู่ตรงนั้นอีกนานมั้ย” เสียงทุ้มอุ่น หากกร้าวกระด้างผิดกับรูปลักษณ์ภายนอกเอ่ยถามและในนาทีต่อมาร่างสูงโปร่งของอีกคนก็ก้าวพ้นเงานั้นย่างเท้ามาข้างหน้าอย่างช้าๆ จึงได้เห็นดวงหน้าหล่อระคนน่ารักพราวยิ้มเหมือนแมวตรงมาใกล้


“รู้ด้วยว่าผมอยู่นี่” 


“คนอย่างมึง ต้องอยากให้รู้เท่านั้นแหละ ถึงจะมีคนรู้ว่ามึงซ่อนอยู่ตรงไหน” อีกคนว่ากวาดตาไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าของฝ่ายตรงข้ามที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าปอนๆแต่ยังดูดีครู่หนึ่งจึงเอ่ยต่อ “ไม่กลับบ้านเลยตั้งหลายปีแต่ทักษะนักฆ่าของมึงนี่ยังใช้การได้ดีอยู่เลยเนาะ”


“พี่ก็พูดเกินไป...ทักษะนักฆ่าอะไร ยังไม่มีใครตายเพราะผมเลยนะ”


“ไม่ตายหรอกก็แค่พิการ”


“โห ดูพี่พูดดิ จะทักทายด้วยวิธีแบบเป็นมิตรหน่อยก็ไม่ได้ ไอ้พวกหมอรักษาคนชั่วแม่งปากเป็นงี้กันหมดเลยหรือไง”


“มึงไม่ใช่คนไข้ที่กูต้องพูดดีๆด้วยนิ”


“คุณหมอคิม ซอกจินที่ผมรู้จักยังคงหยิ่งเหมือนเคย...ถามจริง ตั้งแต่ผมไม่อยู่บ้านนี่พี่มีทำใครตายคามือบ้างยัง” ผู้เป็นฝ่ายมาหามองนายแพทย์หนุ่มที่มีชีวิตกลางวันเป็นศัลยแพทย์อันดับต้นๆของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในกรุงโซล ทว่าชีวิตกลางคืนกลับจับมีดช่วยชีวิตคนแลกกับเงินมหาศาลโดยไม่สนใจว่า ฝ่ายนั้นจะดีชั่วมาจากไหน ขอเพียงมีเงินให้ตามจำนวนที่ต้องการก็พอ


...ภาพลักษณ์อ่อนโยนสะอาดหมดจดกลบเร้นความดำมืดของจิตใจไว้มิดเม้น...


แดฮยอนรู้จักกับนายแพทย์ซอกจินครั้งแรกตอนอายุห้าขวบ...ฝ่ายนั้นเป็นทายาทของตระกูลนายแพทย์และเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนยักษ์ใหญ่ในเกาหลีที่มางานเลี้ยงของทางบ้านเขาแต่พี่ชายอายุห่างกันห้าปีท่าทางใจดีคนนี้ทำให้การเจอกันครั้งนั้นเป็นความทรงจำที่ไม่รู้ลืม


พี่ชายคนนี้ผลักพี่เลี้ยงที่ว่ายน้ำไม่เป็นของตัวเองลงสระน้ำลึกในบ้านเขาและเฝ้ามองการตะเกียกตะกายขึ้นหายใจด้วยแววตาเลือดเย็น รอกระทั่งมีคนมาช่วยเหลือจึงตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องที่เคยถูกพี่เลี้ยงคนนี้ทำร้ายล่าสุดก็ถูกลวงมาฆ่าต่อหน้าต่อตาเขาที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด


...เขาไม่รู้ว่าชะตากรรมของพี่เลี้ยงคนนั้นเป็นยังไง แต่คาดว่าคงจบไม่สวยนักหรอก...


ความจริงซอกจินไม่ใช่คนชั่วช้าสามานย์แค่ถูกหล่อหลอมมาในครอบครัวที่กดดันจนกลายเป็นคนไม่มีความรู้สึก ถึงกระนั้นเจ้าตัวก็มีน้ำใจจะช่วยเหลือคนอื่น เพียงแค่อย่าทำให้รู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาก็พอ


“ถ้ากูจะทำใครตาย มึงนี่แหละที่จะตายคนแรก” ฝ่ายนั้นยังคงเย็นชา “แล้วนี่รู้ได้ไงว่ากูอยู่ไหน”


“ไม่เห็นยาก แค่รู้ว่าพี่ลงจากวอร์ดที่โรงพยาบาลกี่โมงก็ตามรอยได้แล้ว”


“ทักษะนักฆ่าเหี้ยๆนี่ฝังหัวจริงๆสินะ แต่มึงมาหากูนี่ไม่คิดว่า คนที่บ้านมึงเขาจะส่งคนมาตามดูกูเผื่อมึงมาหาบ้างไง”


“ผมรู้ว่าคนขี้รำคาญอย่างพี่ไม่ปล่อยให้ใครมาสะกดรอยตามหรอก...ขืนตามมากๆมีดผ่าตัดได้เฉือนคอหอยขาดพอดี”


“ตกลงมาหากูนี่มีอะไร อย่าบอกนะว่ามาถามอาการไทรอยด์ห่าอะไรนั้นอีก”


“เปล่า ผมไม่ได้มาถามเรื่องไทรอยด์ แต่จะมาถามเรื่องอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงต่างหาก”


ประโยคที่ฟังไร้สาระนั้นทำให้ซอกจินขมวดคิ้วจ้องผู้เป็นน้องอยู่นานด้วยแววตาไร้ความรู้สึกก่อนจะสบถใส่ด้วยสีหน้าที่ยังสงบนิ่ง


“มึงถ่อมาหากูถึงนี่แค่จะมาถามเรื่องอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงเนี่ยนะ...อินเตอร์เน็ตบ้านมึงไม่มีหรือไง ทำไมไม่ค้นเอาเองล่ะวะ ไอ้โง่เอ๊ย” 


“หาในอินเตอร์เน็ตมันไม่เหมือนมาถามหมอหรอก”


“หมอคนอื่นไม่มีให้ถามหรือไง”


“ไม่มีหรอก...หมอที่ผมรู้จักมีพี่แค่คนเดียวนี่แหละ”


“เงินมึงก็มี จ้างหมอมาคุยส่วนตัวเลยไป”


“จะใช้เงินจากบัญชีผมบ่อยๆได้ไงเล่า เดี๋ยวพ่อก็รู้พอดีว่า ผมยังอยู่ในโซล อีกอย่าง ทำงานอย่างผม มันไม่มีเวลาไปนั่งรอหาหมอในโรงพยาบาลหรอก พรุ่งนี้ผมยังมีงานที่แทกูต่ออีกนะแต่แว่บมาถามพี่ก่อน”


“คุณลุงเขาไม่ใช่คนโง่ เขารู้อยู่แล้วว่ามึงอยู่ในโซลแต่ไม่ลากมึงกลับเพราะตอนนี้มึงยังไม่สำคัญกับธุรกิจเขาต่างหาก”


“ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อยากใช้เงินเกินจำเป็น สถานะผมตอนนี้เป็นแค่ไอ้เด็กกำพร้ายาจก ไม่ใช่ลูกเศรษฐี ขืนใช้เงินเยอะมากคนอื่นแม่งสงสัยกันพอดี”


“คงสงสัยตั้งแต่เมื่อซื้อเปียโนอะไรของมึงนั้นแล้ว คนเหี้ยอะไรซื้อเปียโนราคาเป็นล้านวอนไปให้เพื่อน”


“พี่รู้ได้ไง” 


“ซังฮยอนมันบอก”


“พี่น่ะเหรอ” คนถามเหลือบตามองเพดานขณะคิดถึงพี่ชายแท้ๆที่ไม่ได้พบกันนานมากแล้ว แม้แต่ข้อความก็แทบไม่ได้ส่งหากันเพราะพี่ชายเขาไม่อยากให้มีเบาะแสตามตัวเขากลับบ้าน


...พี่ชายที่เสียสละทุกอย่างเพื่อเขา...


“แล้วที่มาถามเรื่องกล้ามเนื้ออ่อนแรงนี่คงไม่ใช่ว่า เพื่อนคนสำคัญที่เป็นไทรอยด์ของมึงเขาเกิดเป็นโรคนี้ขึ้นมาด้วยหรอกนะ”


“โอ๊ะ พี่รู้ได้ไง ฉลาดจัง”


“ให้ตาย...ลำบากมาถามอาการของโรคที่คนไม่ใช่เมียมึงเป็นเนี่ยนะ ไอ้เหี้ยเอ๊ย ไม่รู้จะด่ายังไงเลย”


“เขาสำคัญกับผม...ผมจะห่วงเขาก็ไม่ผิดนิ”


“สำคัญยังไง”


“เขาดีกับผมมากจนพี่จินตนาการไม่ออกอ่ะ”


“ถุย...ดีกับมึงมากจนจินตนาการไม่ออก คิดคำเลี่ยนๆแบบนี้ออกมาได้ไงวะ”


“ไม่รู้สิ พอคิดถึงเขาแล้วก็พูดออกมาเอง”


“ถึงขนาดไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกมานี่คงสำคัญกับมึงมาก เอาเหอะ อุตส่าห์มาหาถึงนี่กูสงเคราะห์มึงหน่อยก็ได้ ตามมาดิ” นายแพทย์ซอกจินบอกหน้านิ่งก่อนดึงแขนเสื้อน้องให้ตามตนเองมาดาดฟ้า หยิบบุหรี่จากในกระเป๋ากางเกงออกมาสูบและเริ่มกล่าวยาวถึงอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงให้ฟัง
---------------------------------------------------
เสียงประตูปิดลงเรียกความสนใจจากชายหนุ่มตัวสูงที่สวมเพียงกางเกงขาสั้นอวดรอยสักบนผิวเนื้อขาวที่นั่งสูบบุหรี่ทอดสายตาออกไปในแสงไฟริบหรี่ยามตีสามด้านนอกหน้าต่างห้องพักของโรงแรมให้หันมามองก็เห็นชายหนุ่มสวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์ขายาวถอดรองเท้าแล้วเดินเข้ามาในห้องทั้งที่ในมือยังเอาแต่ไถหน้าจอคล้ายหาอะไรบางอย่าง


“มึงหายไปไหนมา รู้ใช่มั้ยว่าพรุ่งนี้มีงานเช้า”


“ผมไปหาพี่ที่เป็นหมอมา” รุ่นน้องหนุ่มตอบกลับพลางมองหน้าจอโทรศัพท์ที่มีข้อความตอบกลับจากเพื่อนร่วมบ้านบอกฝันดีด้วยรอยยิ้มกว้าง


“มึงมีพี่ที่เป็นหมอกับเขาด้วย” 


“มีอยู่คนหนึ่ง นี่ผมก็ไปถามพี่หมอเขามา เพิ่งรู้ว่าไอ้กล้ามเนื้ออ่อนแรงเนี่ยมันอันตรายเหมือนกันนะพี่”


“อะไร นี่มึงยังไม่จบกับเรื่องกล้ามเนื้ออ่อนแรงอีกเหรอ ไอ้ห่า เมื่อวานก็เห็นนั่งหาข้อมูลเรื่องนี้ วันนี้มึงล่อถ่อไปหาหมอเพื่อถามเรื่องนี้อะนะ มึงป่วยเป็นโรคห่านี้หรือไง” อีกฝ่ายเลิกคิ้วถามด้วยเมื่อวานระหว่างขับรถมาทำงานก็เห็นรุ่นน้องคนสนิทเอาแต่หาข้อมูลอาการของโรคนี้ พอว่างจากงานมันก็หาใหม่ทำเหมือนตอนหาข้อมูลเรื่องไทรอยด์ไม่มีผิด


“เปล่า แต่เขาเคยเป็น”


“เขาของมึงนี่ใครวะ”


“ก็เพื่อนสนิทผมไง” 


“คนไหน เพื่อนสนิทมึงมีตั้งหลายคน”


“คนที่ผมสนิทที่สุดไง”


“ซูอุงมันอ่ะนะ” คนเป็นพี่เอ่ยชื่อของรุ่นน้องอีกคนที่ทำงานในบริษัทเดียวกันซึ่งเห็นไปไหนมาไหนกับอีกฝ่ายเป็นประจำ


“ไม่ใช่ดิ ผมมีเพื่อนที่สนิทกว่าซูอุงมันอีก”


“อย่าบอกนะว่ารูมเมทมึง”


“ปิ๊งป่อง” เจ้าตัวยิ้มหักนิ้วทำเหมือนเป็นปืนยิงใส่


“เพื่อนสนิท...แน่ใจ เขาบอกมึงหรือไงว่าเขาสนิทกับมึง อยู่ๆบอกสนิทเขาไม่สนิทด้วยนี่หน้าแหกเลยนะ”


“สนิทสิพี่...เขาดีกับผมตั้งแต่สมัยเรายังเรียนคณะเดียวกัน จนตอนนี้เขาก็ยังดีกับผมไม่เปลี่ยน แบบนี้ต้องบอกสนิทได้ดิ”


“เดี๋ยวนะ...เมื่อกี้มึงบอกว่ารูมเมทมึงเขาเรียนคณะเดียวกับมึงเหรอ”


“ครับ”


“เรียนคณะเดียวกับมึง งั้นเขาก็เป็นรุ่นน้องกูด้วยสิ” พอถูกถาม ฝ่ายรุ่นน้องก็เม้มปากทำหน้าเหมือนกำลังใช้ความคิดก่อนจะพยักหน้าตอบกลับ


“อา...จริงๆมันก็...ใช่”


“โอโห เป็นรุ่นน้องกูเหมือนกันแล้วมึงไม่คิดจะบอกกูบ้างเลยไง” คนที่สูงกว่าทั้งขนาดตัวและอายุยกมือทำท่าจะตบหัวทำให้อีกคนเบี่ยงหลบ


“โหยพี่ ใจเย็นดิ”


“ไอ้ห่า กูก็ว่าทำไมมึงดูเอาใจใส่รูมเมทมึงจังที่แท้ก็เรียนมาด้วยกัน...ว่าแต่รูมเมทมึงนี่คนไหนในรุ่น”


“ตอนนั้นเขาชอบเก็บตัว ไม่คุยหรือสุงสิงกับใคร ตอนนั้นพี่เรียนจบแล้วไม่น่าจะรู้จักเขาหรอกมั่ง”


ซองวอนย่นหน้าผากวางมือที่คีบบุหรี่พาดบนขอบหน้าต่าง ค่อยๆทบทวนชื่อรูทเมทของรุ่นน้องที่เคยได้ยินเมื่อนานมากแล้วแต่ไม่เคยสนใจจะถามไถ่จริงจังเพราะตอนนั้นไม่รู้ว่าเรียนมหาวิทยาลัยและคณะเดียวกัน


“เขาชื่อยองแจใช่ปะ”


“ครับ...คนที่ตัวอ้วนที่สุดในรุ่นผมน่ะ”


“เออ...” คนเป็นพี่ส่งเสียงในลำคอขณะกลอกตาไปมาอยู่พักใหญ่ก็อ้าปากร้องออกมา “อ้อ กูรู้แล้ว ยองแจ...ยู ยองแจคนที่ร้องเพลงเพราะฉิบหายแต่อ้วนๆ ไม่ค่อยชอบคุยกับใครใช่หรือเปล่า”


“เอ้า พี่รู้จักด้วยเหรอ”


“รู้ดิทำไมจะไม่รู้...กูเคยไปฟังเขาร้องเพลงงานครบรอบก่อตั้งมหาวิทยาลัยตั้งหลายรอบ ตอนนั้นกูเห็นก็คิดเลยว่า ถ้าผอมกว่านี้สาวติดเกรียวแน่ อ้อ อีกอย่าง ยองแจเป็นหลานสายรหัสไอ้ฮันเฮมันด้วย” รุ่นพี่ไพล่เอ่ยไปถึงเพื่อนสนิทร่วมรุ่นสมัยเรียนและยังเป็นเพื่อนร่วมงานต่อในบริษัทเดียวกัน


“จริงเหรอพี่”


“เออ สิ กูอยากรู้จักน้องมันจะตาย แต่น้องมันร้องเพลงเสร็จก็ชิ่งหนีเหมือนไม่อยากยุ่งกับใคร กูเลยไม่เคยดักเจอทันสักที”


“โห นี่ถึงขนาดต้องไปดักกันเลยเหรอ”


“ทำไมอ่ะ...กูว่าน้องมันน่ารักนะ ถึงจะอ้วนไปหน่อยก็น่ารักดี ร้องเพลงเพราะด้วย รุ่นกูเขามาดูแล้วอยากรู้จักมันทั้งนั้นอ่ะ”


แดฮยอนเหลือบตามองสีหน้าตอนฝ่ายตรงข้ามเล่าถึงเพื่อนร่วมบ้านของตัวเองด้วยท่าทางเอ็นดูแทนที่จะดีใจไปด้วยกลับเม้มริมฝีปากแน่นด้วยรู้สึกร้อนในใจอย่างบอกไม่ถูก


“ผมไม่ยักรู้ว่าเขาจะป็อบในหมู่คนอื่นเหมือนกัน”


“เออ พอดีเลย วันอาทิตย์นี้พวกเรามีเลี้ยงรุ่นกัน มึงพาเขามาด้วยดิจะได้สนิทกันไว้”


“จะดีเหรอพี่ ยองแจน่ะเขาไม่ค่อยชอบอยู่กับคนแปลกหน้า ยิ่งคนแปลกหน้าทั้งฝูงเขาไม่อึดอัดตายเลยเหรอ” จากที่บ่นงึมงำอยู่คนเดียวกลายเป็นโวยเสียดื้อๆ 


“พวกกูก็รุ่นพี่รุ่นน้องรุ่นเพื่อนเขาทั้งนั้น มาก็สนิทกันไปเองแหละ”


“พวกพี่แม่งสูบบุหรี่...เขาร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง แพ้กลิ่นบุหรี่ด้วย เกิดพี่สูบต่อหน้าเขา เขาไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไง”


“โว้ย พูดเหมือนมึงไม่สูบเลยเนาะ ถึงจะสูบเฉพาะเวลาเครียดแต่มึงก็สูบปะ”


“ผมไม่เคยสูบต่อหน้าเขา”


“เออ พวกกูไม่สูบกันก็ได้” 


“เขาเป็นเด็กอนามัยด้วย ต้องนอนก่อนสี่ทุ่มไม่งั้นร่างกายจะแย่ พี่มานัดออกไปกลางค่ำกลางคืนดึกดื่นนี่ไม่ได้เลยนะ” ฝ่ายอายุมากกว่าเดาะลิ้นในปากแล้วคิดถึงพฤติกรรมระยะหลังของรุ่นน้องที่ถ้าไม่ใช่ติดงานแล้วมันไม่เคยอยู่ดื่มจนดึกเกินสามทุ่มครึ่งเลยสักทีขึ้นมา


“นี่มึงไม่ได้ฟังที่กูพูดเลยไง เมื่อวานกูก็บอกอยู่ว่านัดตอนสิบโมง”


“อา...ก็ได้ ก็ได้ ถ้าพี่อยากให้เขาไปนัก ผมจะไปถามให้แต่ถ้าเขาบอกมาว่า ไม่ไป พี่จะมาด่าผมหรือว่าเขาไม่ได้นะ” คนอ่อนกว่าว่าพยายามซ่อนสีหน้าไม่พอใจด้วยการแสร้งยิ้มทั้งที่มือกำแน่นจนเล็บจิกแรงเข้าเนื้อมือด้านใน


“มึงนี่อะไรนักหนาวะ เอางี้ เอาเบอร์ยองแจมา เดี๋ยวกูโทรชวนเอง”


“อย่าเลยพี่ เขาบอกผมว่าไม่ค่อยชอบโทรศัพท์แล้วเขาก็ไม่รับสายเบอร์แปลกด้วย” คำโกหกถูกหยิบขึ้นมาอ้างถึง


“งั้นมึงโทร กูคุย”


“ตอนนี้มันตั้งกี่โมงกี่ยามแล้วจะให้โทรไปปลุกเขาตื่นขึ้นมาเพราะเรื่องนี้เนี่ยนะ”


“กูไม่ได้บอกให้มึงโทรตอนนี้ว้อย”


“โทรตอนเช้าก็ไม่ได้นะพี่ กว่าเขาจะเปิดร้านเสร็จ ไหนจะรับออเดอร์ลูกค้าไม่มีเวลารับสายหรอก” 


“โทรยากนักก็ส่งข้อความหาแล้วกัน เอาคาทกเขามาก็พอ” อีกฝ่ายยังไม่ลดละความพยายามจะติดต่อด้วยตัวเอง


“เขาไม่เล่นคาทก” 


“กูส่งข้อความโทรศัพท์ธรรมดาก็ได้”


“เขาไม่ค่อยอ่านหรอกพี่ ขนาดของผมส่งไปยังไม่ค่อยตอบเลย”


“โว้ย อะไรของมึงเนี่ย ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ ทำไม กับยองแจนี่จะหวงอะไรนักหนา หวงเกินเบอร์ไปแล้วนะมึง ทำอย่างกับไม่อยากให้พวกกูรู้จักเขา” ซองวอนขึ้นเสียงด้วยรู้สึกหงุดหงิดกับการหาข้ออ้างที่คล้ายจะขวางไม่ให้รู้จักกัน


“เปล่านะ พี่อะคิดมาก ผมก็แค่อยากให้พี่รู้ว่ายองแจเขาไม่เหมือนคนอื่น ไลฟ์สไตล์เขาไม่เหมือนพวกเราๆ”


“มึงลองไปชวนเขามาก่อน ถ้าเขาไม่อยากมาก็ไม่เป็นไรแต่อย่าไม่ชวนแล้วมาบอกพวกกูว่าเขาไม่อยากมาล่ะกัน ยิ่งไม่ยอมให้เบอร์ติดต่อเขาแบบนี้ด้วย มึงมาลักไก่ไม่ถาม ถ้าพวกกูมารู้ทีหลังนี่หัวมึงแตกจริงๆ”


“คร้าบ ผมรู้แล้ว จะพยายามชวนและโน้มน้าวให้มาแต่ถ้าไม่มาอย่าด่าผมเยอะก็แล้วกัน” 


“เออ”


“พี่มีอะไรจะอีกปะ มีอะไรต้องบรีฟนอกเหนือจากที่บรีฟมาแล้วไหม ถ้าไม่ผมขอตัวไปนอนก่อนนะ”


“ไม่มี มึงรีบไปนอนเลยไป”


“แล้วพี่ไม่นอนเหรอ”


“ดูดม้วนนี้เสร็จแล้วกูค่อยนอน”


“โอเค ฝันดีนะพี่” ฝ่ายรุ่นน้องบอกเดินโซเซตรงมายังห้องนอนที่มีเตียงเดี่ยวแยกกันสองเตียงก่อนจะทิ้งตัวลงไปบนเตียงที่มีพับผ้าห่มไว้เรียบร้อยผิดกับอีกเตียงที่ผ้าห่มขมวดกองไม่เป็นระเบียบ


แดฮยอนนอนมองเพดานสีขาวภายในห้องพักของตนเองอย่างอ่อนล้า...ดวงตากระพริบขึ้นลงอย่างช้าๆคล้ายบริหารดวงตาและถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างหงุดหงิดอยู่อย่างนั้นหลายครั้งจึงขยับเปลี่ยนท่านอนตะแคงมองออกไปนอกหน้าต่างยังพระจันทร์เสี้ยวอ่อนแสงที่ลอยอยู่ในความมืดของท้องฟ้าอย่างเดี่ยวดาย


...ลำพังแค่นอนไม่หลับเพราะไม่มีนางฟ้าเพื่อนร่วมบ้านให้กอดแล้วยังอารมณ์เสียกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับ
...ทั้งที่ตอนเรียนไม่เห็นมีใครพูดถึงยองแจให้ฟังเลยสักคน แต่กลายเป็นว่า ยองแจเป็นที่นิยมในหมู่รุ่นพี่ซะอย่างนั้น
...แล้วนี่ยังต้องชวนไปงานเลี้ยงรุ่นที่มีแต่รุ่นพี่พวกนั้นอยู่เต็มไปหมดเนี่ยนะ


“แม่งเอ๊ย” เขาสบถผุดลุกจากนอนขึ้นมานั่งบนเตียงพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่ขยุ้มผมตัวเองจนยุ่งเหยิง


ความจริงเขาไม่ควรหัวเสียกับเรื่องพวกนี้ เพราะการที่รูมเมทของเขาได้ออกไปพบปะผู้คนเพิ่มพูนเพื่อนฝูงให้ชีวิตที่เงียบเหงามีสีสันมากขึ้นควรเป็นเรื่องน่ายินดีใจแต่ไม่รู้ทำไมเขากลับรู้สึกไม่สบอารมณ์กับเรื่องนี้เลยสักนิด


ชายหนุ่มกัดริมฝีปากอย่างแรงให้กับความร้อนรนอย่างไม่มีเหตุผล แม้พยายามหยุดคิดไปให้ความสนใจกับเรื่องงาน หากใจก็ยังพะวงวกกลับมาคิดถึงเรื่องเดิมจนไม่เป็นอันนอน แม้แต่ตอนที่รุ่นพี่ของตนเองกลับเข้าห้องมานอนห่างจากเตียงตนเองไปเพียงหนึ่งช่วงแขนก็ยังไม่หายหัวร้อนเสียที


...ถึงจะหาเหตุผลที่ทำให้ตนเองเป็นเช่นนี้ไม่ได้แต่สิ่งที่แดฮยอนรู้ดีที่สุดในตอนนี้คืออาการหงุดหงิดแบบไม่มีสาเหตุนี้จะคงอยู่ด้วยกันกับเขาไปจนเช้านั้นล่ะ...


-------------------แวะคุยกันหน่อย-----------------
ขอตัดตอนออกมาก่อนเพราะมันจะยาวเกินไป ตอนนี้เราจะได้เห็นคนพาโบที่ทำอะไรให้เขาเยอะแยะแต่ก็บอกว่าเขาเป็นเพื่อนสนิท คนที่ยอมเสี่ยงเพื่อไปถามอาการของคนที่บ้านทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้นเลย หงุดหงิดแบบไม่มีสาเหตุกะอีแค่รุ่นพี่อยากเจอคนที่บ้าน หาสารพัดวิธีขวางแต่เอาไม่อยู่ แต่บอกว่าเพื่อนสนิทอ่ะ เราเรียกคนแบบนี้ว่าอะไรคะ...เออ ไอ้โง่นั้นเอง แล้วดูความคุณยูสิ น่ารักเบอร์นั้น ถึงจะเอาแต่ใจยังไงก็ใจดีแหละ ใครเห็นใครก็รัก ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะ ฝากเม้นกับ #ficlovetoxical ด้วยเด้อ


You Might Also Like

10 Comments

  1. ยองแจน่ารักขนาดนี้ไม่รุ้ว่าแดฮยอนมองข้ามความน่ารักสมัยตอนเรียนมาได้ยังไง ทีมาตอนนี้หวงทุกอย่างคาทกไม่ได้ขอเบอร์ไม่ให้ แถมยังไปสืบหาเรื่องอาการโรคที่เค้าเป็นอีกนี่ขนาดยังไม่รุ้ตัวเองนะว่าหลงรักยองแจเข้าแล้วถ้ารู้ตัวละจะขนาดไหนคงเอายองแจไว้ใกล้ๆตัวไม่ห่างสายตาแน่ๆเลยรายนั้นก็ยิ่งน่ารักกับคนอื่นไปทั่ว ขนาดแย่งกาแฟกับจงฮวานตัวเองได้ไปแล้วยังเอามาแบ่งให้เค้าอีกน่ารักเกินไปแบบนี้ใครจะไม่หลงกันนะสมควรแล้วที่เสี่ยชานประคบประหงม แต่ความลับของแดฮยอนจะมีผลอะไรกับยองแจ เป็นถึงนักฆ่าแถมยังต้องหลบๆซ่อนๆจากคนเป็นพ่อ แบบนี้ถ้าวันนึงตัวตนจริงๆถูกเปิดเผยขึ้นมาจะเป็นยังไงอ่ะโอ๊ยยยยแอบหวงยองแจนะแต่ก็เชื่อว่าถ้าถึงเวลานั้นจริงๆทั้งแดฮยอนและคนรอบตัวยองแจต้องปกป้องยองแจได้แน่ๆใช่มะ แต่กลัวเสี่ยชานจะตัดไฟแต่ต้นลมซะก่อนนี่สิ ยิ่งทั้งหวงทั้งห่วงอยู่อะไรก็แล้วแต่ห้ามจบแบบดราม่านะขอได้มั้ย555
    รอตอนต่อไปค่ะ#รักไรท์ที่สุดเลย

    ตอบลบ
  2. โหหหหหหหหห แดฮยอนนนนนนน หัวร้อนเบอร์นี้ยังไม่รู้อีกหรอว่าเป็นอะไร ผีมาก ผีมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นี่มันไม่ใช่วิถีที่เพื่อนสนิทเขาทำกันนะเว้ย 5555555555555
    งื้ออออ ละนางมีความพยายามมากอ่ะ แบบหาข้อมูล หลอกเนียนจะดูแลเขาทุกอย่าง ซุกเขายิ่งกว่าซ่อนเมียอีกอีบ้า นี่รีบรู้ใจตัวเองสักทีเถอะนะแดฮยอน อย่ามัวแต่คิดว่าเป็นเพื่อนสนิท เพราะถ้าไม่พูดยองแจคงไม่กล้าเข้าข้างตัวเองมาก งื้อ อยากเอายัยน้องมากอดๆ สองที

    สู้ๆ นะคะ เป็นกลจ.ให้

    ตอบลบ
  3. เเดฮยอนขนาดนี้เเล้วยอมรับซะว่าคิดกับคุณยูไม่ใช่เเค่เพื่อนสนิท เอาใจใส่เค้าขนาดนี้ เเล้วยังเสี่ยงไปถามเรื่องกล้ามเนื้ออ่อนเเรงนั้นอีกโอ้ยทำไมน่ารักขนาดนี้ เเล้วคุณยูก็น่ารัก มีความหวงเปียโน จะมีตอนเล่นเปียโนมั้ยนะ ตลกที่เเดฮยอนหวงคุณยูไม่อยากให้รุ่นพี่รู้จัก มีความเเถ5555 ก็คนมันหวง ฮือ อยากอ่านต่อเเล้วววว มาต่อนะคะ ไรต์สู้สู้

    ตอบลบ
  4. ฮือออ อัพแล้ว ดีใจ
    แดฮยอนเนียนไปอีกโกหกเนียนไป จะเกินไปแล้วจะเกินไปแล้ว เพื่อนกันเค้าทำแบบนี้กันที่ไหนฮะ ยอมใจ ยิ้มรับอรุณเชียวนะแมว แหมๆๆ จิตใจจะเบิกบานเกินไปแล้ว นอนหลับสนิทเลยละสิ ฮึฮึเพลิดเพลิน อิจฉา

    ยองแจนะยองแจ ตอนที่แดฮยอนโกหกกลับไม่รู้ว่าเค้าโกหก พอเค้าจะให้สัญญาก็บอกว่าเค้าจะโกหก
    จริงๆในเรื่องนี้แดฮยอนเป็นคนจริงจังกับคำสัญญามากในระดับนึงเลย ถึงจะดูไม่จริงจังสักเท่าไหร่ก็เถอะ
    แต่เราก็เข้าใจยองแจ ยองแจก็ไม่ผิดหรอกที่ตั้งสร้างกำแพงขึ้นมาป้องกันตัวเองไว้ด้วย ก็ดยอนเล่นเป็นคนดีกับคนอื่นไปทั่วซะขนาดนั้นอะ ความคิดเราเริ่มตบตีกันเองอีกละ ไรท์เขียนไปมาเราก็คล้อยตามไปหมด

    ชอบตอนคุณยูคุยกับพี่ฮิมชานอีกละ เล่าเรื่องแดฮยอนยาวเหยียดเลย สาบานว่านี่พูดถึงเพื่อน 555 เราไม่เคยบรรยายเรื่องเพื่อนแบบยาวเหยียดแบบนี้ให้ที่บ้านเราฟังสักที แต่คุณยูดูมีความสุขกับการเล่ามากๆ ยิ้มให้กับลายจานคืออะไรกัน โงยยยยย เราเริ่มจะบ้าแล้วค่ะเพราะกำลังอิจฉาจาน แงงง
    คุณยูโหมดง้อพี่ฮิมชานนี่น่ารักมากๆ มีเกี่ยวก้อยด้วยฮืออ เป็นเราเราก็ยอมอยากได้อะไรเอาไปให้หมด
    ขนาดกับคนแปลกหน้าคุณยูเรายังโปรยเสน่ห์ได้โดยที่ไม่รู้ตัว ถ้าแดฮยอนรู้จะเป็นยังไงกันนะ

    ตอนนี้แดฮยอนอย่างกั๊กอะค่ะ กับพี่กับน้องก็ไม่เว้นจะหวงไปไหนดอนเอ๊ย เค้าแค่ชวนไปเลี้ยงรุ่น นี่ก็จะฟูมฟักเค้าอย่างกับไข่ในหินอย่างเดียวเลย นางฟ้าของเค้า เค้าก็รักอะเนาะ โว๊ะ อ่านแล้วก็เขิน ยิ้มเป็นบ้าเป็นหลังสลับกับบ่นคนกากไปเรื่อยๆ เปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน
    จริงๆอยากอ่านต่ออีกแล้วละ จะรอค่ะจะรอ เป็นเรื่องที่อ่านสปอยไปแล้วแต่ก็อ่านเนื้อเรื่องได้อีกแบบไม่เบื่อเลย จริงอยากอ่านซ้ำๆไปจนกว่าจะมาต่อตอนใหม่เลย ขอบคุณมากนะคะ ส่งกำลังใจไปให้ ^^

    ตอบลบ
  5. อันนี้เราขอนอกเรื่อง ลืมพิมพ์ในคอมเม้นท์ตั้งแต่แรกต้องขอโทษด้วยค่ะ คือจะบอกว่าเพลงประกอบแต่ละตอนน่ารักมากๆ ชอบมากเลยค่ะ
    ตอนนี้เราไปโฆษณาเรื่องนี้ให้หลายคนแล้ว เดี๋ยวต้องมีคนมาอ่านเพิ่มขึ้นแน่นอนค่ะ ยังไงก็สู้ๆนะคะ เราเป็นกำลังใจให้

    ตอบลบ
  6. ความคุณยูน่ารักมากเลยงืออออออออ
    แบบเอ็นดูสุดๆเติบโตมาได้น่ารักมากๆเลยไม่แปลกใจที่พี่ฮิมหงิดๆแล้วหายเร็ว น้องรักด้วยนิเนอะ
    แถมใครๆก็อยากดูแล อยากเอาใจใส่ แม้แต่ดยอน
    แต่ความดยอนนี่แบบนี้ดูแลเกินเพื่อนแล้ววววว
    เกินเพื่อนสนิทด้วยเหอะ ทำมาบอกเพื่อนสนิทๆ
    รุ่นพี่ถามก็กันที่ ปฎิเสธแทนคุณยูอ้างนู้นนี้ซะ
    หวงเค้าก็บอกกกก ไม่อยากให้เจอกะบอกกกก
    ทำมาอมพระหาข้ออ้าง แหมะ *มองบน*
    ไหนจะลงทุนไปหาหมอเพื่อนถามเรื่องอาการ
    ใช้เงินทางบ้านที่ไม่อยากใช้เพื่อซื้อเปียโนราคาล้านวอนให้ ทำทุกอย่างเพื่อให้เค้าสบายใจ ดูแลเค้า
    พาโบจริงๆ ดยอนคนพาโบ!! โง่มาก!
    รักก็คือรักสิวะ!! มาเพื่อนสนงเพื่อนสนิทอะไรยะ
    เดี๋ยวก็โดนคาบไปกินหรอก มีคนรักเอ็นดูเจี๊ยบตั้งหลายคน เหอะ แล้วจะรู้สึกกกก

    ตอนนี้อ่านแล้วหมั่นไส้แมวมากค่ะ 😂 โอยยยยยงึดๆ
    ไม่รู้ใจตัวเองซักที ทั้งๆที่มันชัดเจนขนาดนี้มองลงมาจากดาวศุกร์ยังรู้เลย

    เป็นกำลังใจให้นะคะ จะตามอ่านต่อไปค่าาา~~

    ตอบลบ
  7. คุณแจนางฟ้าเด็กอนามัยน่ารักจางเลยนร้าาา ถึงเวลาแดรู้ว่ารักขึ้นมาคงเป็นบ้าถ้าโดนคุณอ้อน คุณน่ารักใส่ มันต้องคลั่งตายลงไปดิ้นเลย 5555555
    พี่ฮิมเริ่มสงกะสัยแล้ววว หวงน้องเยอะๆ เลยนะ อย่าให้แดเข้าใกล้น้อง นี่มันตัวอันตราย 55555 คุณพี่ๆ ทั้งหลายของคุณแจรีบมาเลยนะคะ อยากเห็นคนคลั่งตาย 55555
    พี่หมอหน้าใสใจโหด พี่ที่รู้จักของแดมีปกติสักกี่คนกันคะ ที่มาทางสายเดียวกัน รู้จักอีกด้านของแดเนี้ย
    หวงเกิ๊นนน หวงเพื่อนสนิท(ที่คิดไปเองคนเดียวว่าสนิท)ก็ไม่ควรเกรี้ยวกร้าดเบอร์แรง พอพี่ซองวอนบอกหวงไปก็ พี่อ่ะคิดมาก ตัวก็น่าจะคิดบ้างจะหวงอะไร ตัวเป็นใคร หมั้นไส้อิผี หึ้ยยยย
    งุ้ยนิสนุง เห็นสปอยล์อิพี่ฮันกะน้องฮวี น่ารักจังเลยค่ะ อิพี่ฮันก็เป็นหนึ่งในคนผีนี่พอเข้าใจ พอพี่บอกบยอลก็ผี นี่ก็บับ... อ้าวบยอลพี่ไปผีตอนไหน 555555

    ตอบลบ
  8. จะมีสักตอนมั้ยที่พี่น้องต่างสายเลือดสองคนนี้ไม่เถียงกัน แล้วตอนนี้เถียงกันจนคนพี่งอน แต่งอนได้ไม่เท่าไหร่ก็โดนคนน้องง้อ คือด้วยความใจดีอ่ะ เป็นพวกปากร้ายใจดีกันทั้งคู่ถึงอยู่ด้วยกันมาได้ 55555 คุณยูพออยู่ต่อหน้าแดฮยอนก็ปากเสียใส่ บ่นตลอด พอลับหลังเขาดันบอกว่าดีอย่างงั้นอย่างงี้ เป็นคนซึนที่แท้ทรู ความซึนเข้มข้นมักมัก เลาว่าเดี๋ยวเสี่ยฮิมต้องไปสืบเรื่องแดฮยอนอ่ะ ด้วยความที่เป็นห่วงคุณยูมาก บวกกับแดฮยอนทำตัวน่าสงสัยมากมาก เจ้าเปียโนนี่ตัวดีเลย ถ้าเสี่ยลงมือสืบแป๊ปเดียวก็คงได้เรื่อง ถึงตอนนี้จะแง้มเบื้องลึกเบื้องหลังมานิดหน่อย แต่เอากงๆ ถ้าตัดความลึกลับในอดีตของแดฮยอนออกไปเนี่ย การที่ถ่อมาหาพี่หมอซอกจินเพื่อถามเรื่องไทรอยด์กับกล้ามเนื้ออ่อนแรงเพราะรู้ว่า "เพื่อนสนิท" เป็นสองโรคนี้ จะลึกลับมาจากไหนไม่รู้ แต่แค่นั้นพี่หมอก็ยังบอกเลยนะว่าลำบากมาถามอาการที่คนเป็นไม่ใช่เมีย ยังนะ ยังไม่รู้ตัวอีก แค่พี่ซองวอนจะนั่นนี่กับคุณยูเพราะเห็นเป็นรุ่นน้องคณะเดียวกัน ยังฟึดฟัดเบอร์นั้นอ่ะ หนูต้องยอมรับได้แล้วนะลูก 5555555555 ระวังความใจดีของคุณยูจะพาเอาแมลงตัวอื่นมาตอมหน่าาา ถึงตอนนั้นจะมาฟึดฟัดบอกหวงเพื่อนสนิท หวงรูมเมทไม่ได้หน่าาา เป็นใครเก่งมาจากไหนไม่รู้ ถ้าเรื่องหัวใจเป็นแบบนี้จะแพ้ใจตัวเองเอานะ อิ___อิ

    ตอบลบ
  9. ฮืออตอนนี้จุใจมากเลยค่ะ ได้รู้อดีตของแดฮยอนเพิ่มมากขึ่นด้วย ชอบที่คนแต่งเขียนตัวละครได้มีมิติรวมทั้งบทสนทนาบ่งบอกคาร์แร็กเตอร์ดีมากเลยค่ะ ชอบมาก
    แดฮยอนอะแอบทำอะไรให้ยองแจตั้งเยอะ ดีใจแทนแจ
    ยิ่งตอนนี้มารู้ว่าแจป็อปอีก55555555555 สงสาร เพราะฉะนั้นรีบๆรู้ใจตัวเองนะคะ ก่อนจะโดนแย่ง
    เป็นกำลังใจให้คนแต่งค่ะ

    ตอบลบ
  10. เนี่ยว่าแล้วชีวิตพี่แด้ต้องมีปม นางต้องรวยอ่ะจากตอนที่เห็นล้วงเครดิทดำเสี่ยขาฮ่าาาาาามีแอบซื้อวากงวากิวแหมมมมล่ะหัวร้อนเว่อร์หวงน้องไปอิ๊กกกก แล้วคนที่แย่งน้องแจซื้อกาแฟคือใค?โดนน้องแจซื้อไปแล้ว ชอบบบบปมเยอะดี ขอบคุณฟิคหนุกค่าาาาาาาา😍

    ตอบลบ