LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 7

12:30



บานประตูห้องชุดหมายเลข 2824 เปิดออกพร้อมกับร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มสวมหมวกสแนปแบคกับเสื้อยืดทับด้วยแจ็กแก็ตหนังและกางเกงยีนส์คลุมโทนดำทั้งตัว คงมีเพียงกระเป๋าใส่เสื้อผ้าสะพายข้างพาดไหล่เท่านั้นที่เป็นสีเทาจะเดินเข้ามาข้างในก่อนที่รองเท้าผ้าใบจะถูกถอดเก็บเข้าตู้รองเท้า


ความหงุดหงิดที่ซ่อนไว้ใต้รอยยิ้มกว้างตลอดการทำงานสามวันที่ผ่านมาปะทุขึ้นทันทีที่กลับสู่บ้าน...หน้าหล่อระคนน่ารักของผู้มาใหม่ขมวดยุ่งแทบไม่เหลือเค้าความขี้เล่นใดอยู่เลย


อารมณ์ร้อนลนไม่ยอมหายไปสักทีทั้งที่ตั้งแต่ออกมาใช้ชีวิตเพียงลำพัง นอกจากเรื่องที่เผลอคิดถึงเรื่องราวในอดีตของตนเองแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นเลยที่ทำเขาหัวเสียได้นาน หากครั้งนี้เขากลับติดค้างในความหงุดหงิดจนไม่เป็นอันคิดอะไรอื่น


...มีบางอย่างกวนใจเขา...


บางอย่างที่ว่านั้นไม่เกี่ยวกับการได้นอนเต็มอิ่มจากฤทธิ์แอลกอฮอล์เพียงวันเดียว แต่เป็นคำพูดของรุ่นพี่ร่วมงานคนสนิทที่เอาแต่ถามถึงหรือไม่ก็ชื่นชมเพื่อนร่วมบ้านของเขาให้ฟังตลอดเวลา ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยเปรยเลยด้วยซ้ำว่า ชอบการร้องของรุ่นน้องเจ้าเนื้อในคณะ


...ตอนนี้จะมาสนใจอะไร...


ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากมองแสงไฟสว่างในโถงกลางขณะยินเสียงปืนดังในห้องนั่งเล่นจึงเดินไปตามเสียงก่อนจะเห็นเจ้าของบ้านนอนตะแคงคุดคู้อยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ที่มีภาพของนักแสดงต่างชาติสวมบทบาทนายแพทย์ประจำห้องนิติเวชอธิบายสาเหตุการตายของศพบนเตียงผ่าตัด


แทนที่จะปลุกผู้ร่วมบ้านกลับเอื้อมหยิบผ้าห่มที่หล่นกองบนพื้นมาสะบัดแล้วห่มลงบนร่างผอมบางแล้วย่อตัวลงนั่งยองๆ ทอดมององค์ประกอบบนหน้านวลตรงหน้าตั้งแต่แพขนตาหนาจรดริมฝีปากอิ่มสวย ยิ่งได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะที่บอกเป็นนัยว่าหลับสนิททำให้คนหัวร้อนกลับมีรอยยิ้มได้อีกครั้ง


เขาไม่เคยเห็นยองแจหลับหน้าโทรทัศน์มาก่อนเพราะปกติเวลาแกล้งเมากลับมาอีกฝ่ายจะตื่นรออยู่ตลอด ส่วนการที่เขาคอยส่งข้อความเตือนเรื่องนี้ได้ก็อาศัยจากที่พี่ฮิมชานเคยฝากฝังไว้ก่อนมาอยู่ด้วยกัน


...ไม่ว่าเรื่องไหนที่เกี่ยวกับยองแจ เขาจำขึ้นใจเสมอ...


แววตาของคนมีสติดียามมองฝ่ายที่ยังหลับในระยะประชิดอ่อนโยนราวกับเป็นสิ่งที่เขาต้องทะนุถนอม นิ้วเรียวเกลี่ยเส้นผมที่ปรกลงมาออกให้อย่างเบามือ ความน่ารักนั้นมีพลังมากพอให้ลืมตัววางริมฝีปากของตนแนบลงบนหน้าผากนวล กว่าจะรู้ตัวถึงสิ่งที่ทำลงไปก็เมื่อคนบนโซฟาเริ่มขยับตัวส่งเสียงบางอย่างในลำคอ


ขายาวเผ่นพรวดไปหน้าประตูรีบหยิบรองเท้าในตู้โยนลงไปบนพื้นเสียงดังแล้วเก็บมันกลับไปดังเก่าพลางชำเลืองมองไปในบ้านเป็นระยะกระทั่งเห็นหลังของอีกคนไวๆจึงเดินกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่นใหม่ แสร้งบีบไหล่เหมือนเหนื่อยจากการเดินทางจนเห็นเจ้าของบ้านพยายามลูบผมยุ่งๆจากการนอนไถไปมาบนโซฟาอยู่ตรงหน้าก็ยิ้มให้


กลับมาแล้วเหรอ ไปทำงานเป็นไงบ้างคำทักทายนั้นดังขึ้น


ก็ดี ว่าแต่ทำไมนายยังไม่นอนอีกคนเพิ่งกลับถึงบ้านตอบรับในคอพลางจ้องไปยังกองผ้าห่มบนโซฟาสลับกับโทรทัศน์จึงเอ่ยถามเสียงดุ นี่คงไม่ได้ดูซีรี่ย์จนหลับหน้าทีวีหรอกใช่มะ


ดูอะไร ไม่ได้ดูสักหน่อย...ที่เห็นทีวีเปิดอยู่เพราะฉันไปนอนแล้วลืมปิดต่างหากคนถูกจับได้ทำตาโตปฏิเสธพัลวันคว้ารีโมทมากดเพื่อจะปิดโทรทัศน์แต่กลายเป็นปิดเสียงไปเสียอย่างนั้น


แล้วทำไมผมยุ่งจัง


ก็ไปยืนตากลมตรงระเบียงมาลมก็เลยยุ่ง


ไปยืนตากลมตอนจะห้าทุ่มเนี่ยนะ...ปกตินายต้องนอนก่อนสี่ทุ่มไม่ใช่ไง


ก็มันนอนไม่หลับเลยออกมารับลม


มารับลมนี่ต้องเอาผ้าห่มจากในห้องมาไว้ที่โซฟาด้วยเหรอ


ประโยคคำถามอย่างรู้ทันนั้นทำให้เจ้าของบ้านปรายมองผ้าห่มลายลูกไก่สีเหลืองตรงโซฟาที่ตนเอาออกมาคลุมเผื่ออากาศในห้องเย็นเกินไปจะได้ไม่ต้องเดินไปปรับความแรงของเครื่องปรับอากาศแต่ยังไม่ยอมจนมุม


นี่นายดุฉันเหรอ กะอีแค่ลืมผ้าห่มไว้ก็เหมาเอาเองว่าฉันนอนดูซีรี่ย์ดึกจนหลับเลยว่างั้น...คิดเองเออเองแล้วมาดุคนอื่นเขาเนี่ย คิดว่าตัวเองเป็นใคร จะมาเป็นพ่อคนที่สี่ของฉันหรือไงคนตัวผอมเถียงตาขวาง ปากอิ่มเม้มแน่นแล้วเชิดขึ้นเหมือนเอาแต่ใจหากฝ่ายตรงข้ามกลับยืนมองนิ่งพักหนึ่งจึงส่ายหัวไปมา


ฉันดุเพราะเป็นห่วง ไม่ได้อยากเป็นพ่อคนที่สี่อะไรของนายสักหน่อย” 


ไอ้ที่วางท่าดุใส่ฉันนี่ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นพ่อ แล้วคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าดุฉันอ่ะ


แล้วนายอยากให้ฉันดุนายในฐานะอะไรล่ะ” 


เมื่อถูกสวนกลับด้วยคำถามจริงจังจากเพื่อนร่วมบ้านที่กอดอกมองนิ่งไม่มีแววล้อเล่นเช่นทุกครั้ง ทำให้คนพร้อมอาละวาดรู้สึกหน้าร้อนแปลกๆ สุดท้ายก็เลิกต่อปากต่อคำเปลี่ยนเป็นหันหลังตั้งท่าจะหนีเข้าห้องตัวเองเสียดื้อๆ 


โอ๊ย ไม่อยากคุยกับคนอย่างนายแล้ว อารมณ์เสีย ไปนอนดีกว่า” 


ก่อนไปนอนก็เอาของฝากไปด้วยนะ


ของฝากอะไรเมื่อถูกรั้งเจ้าตัวก็เหลียวกลับมาทางเก่าจึงเห็นคนตรงข้ามกางเสื้อยืดสีขาวสกรีนด้านหน้าเป็นชื่องานคอนเสิร์ตโดยมีลายเส้นปากขยุกขยิกกระจายอยู่เต็มเสื้อและเมื่อเขม่นมองลายเส้นปากกาหนึ่งอย่างตั้งใจถึงรู้ว่าเป็นลายเซ็นของศิลปินคนโปรดของตนเองก็ถึงกับยกมือปิดปากแล้วถามอย่างตื่นเต้น นั่นลายเซ็นไซออน.ทีเหรอ


ใช่...พอดีฉันไปคุมเครื่องเสียงหลังเวทีเลยขอลายเซ็นมาให้ นอกจากไซออน.ทีก็มีครัช ดีนแล้วก็กิริบอยด้วย


นายขอมาให้ฉันเหรอ


ก็ฉันไม่มีเวลาไปแวะซื้อของฝากให้ก็เลยเอาลายเซ็นมาฝากแทน...นายชอบหรือเปล่า


ชอบสิ ชอบมากเลย...ขอบคุณนะจากอารมณ์เสียพอได้ของถูกใจคนตัวผอมก็เดินตื๋อกลับมาหาดึงเสื้อยืดไปกอดแนบอกด้วยรอยยิ้มกว้างจนฝ่ายหามาให้เลือดตาแทบกระเด็นหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง


การเป็นทีมงานเบื้องหลังใช่ว่าจะขอลายเซ็นศิลปินที่ขึ้นแสดงง่าย ถึงแม้ตัวศิลปินเองจะไม่ถือตัวแต่การหาเวลาว่างวิ่งรอกไปดักรอเพื่อขอลายเซ็นคนที่ต้องการสลับไปมาสองสามเวทีเป็นเรื่องที่ลำบากมากแต่เขาก็พยายามไหว้วานมาจนครบ พอเห็นว่าคนได้รับพอใจมากก็ลืมสิ่งเหล่านั้นไปหมด


อ้อ ฉันลืมบอก มีบานอฟฟี่อยู่ในตู้แน่ะ ถ้าอยากกินก็ไปเอามากินได้นะ” 


มันใกล้หมดอายุเลยเอามาให้ฉันกินสินะ


บ้าเหรอ เห็นฉันเป็นคนงกขนาดจะเอาของหมดอายุมาให้กินตลอดเลยไง


เอ้า ก็ฉันไม่รู้นิ เห็นนายชอบเอาเค้กใกล้หมดอายุให้คนนั่นคนนี่อยู่เรื่อยเลยไม่ใช่เหรอ


อันนี้คุณป้าเขาเพิ่งมาส่งให้เมื่อเช้า ฉันเห็นนายบ่นวันก่อนว่าอยากกินเลยเก็บไว้ให้ตั้งหากคนที่กอดเสื้อไว้แน่นหน้าบูดบอกมองฝ่ายตรงข้ามเอ่ยขอบคุณตัวเองก็เปลี่ยนเรื่อง แล้วนี่นายจะออกไปไหนอีกหรือเปล่า


ไม่ล่ะ ฉันอยากอยู่บ้านมากกว่าคนตัวสูงตอบพลางปลดกระเป๋าสะพายวางบนพื้นโดยมีอีกคนมองนิ่ง...ช่วงเวลาแห่งความเงียบระหว่างทั้งคู่กรายเข้ามาอยู่ราวห้านาทีก็เป็นเจ้าของบ้านที่เอ่ยปาก


ความจริงฉันดูซีรี่ย์อยู่แหละสุดท้ายเจ้าของบ้านก็สารภาพความจริงพลางเหลือบตาไปหาเพื่อนร่วมบ้านอย่างหวาดๆ แต่แทนที่จะได้เห็นอาการส่ายหัวเอือมระอาเช่นที่พี่ชายคนสนิททำประจำดันได้รับยิ้มอุ่นจากอีกฝ่ายกลับมา


ฉันรู้...แค่เห็นทีวีเปิดอยู่ก็รู้แล้ว


ถ้านายยังไม่ง่วงจะนั่งดูด้วยกันก็ได้นะ แต่นายอาจไม่ชอบเรื่องที่ฉันดูอยู่เพราะฉันดูแต่ซีรี่ย์พวกสืบสวนการฆาตกรรม หรือไม่งั้นนายก็เอาหนังหรืออะไรที่นายอยากดูมาดูก็ได้


ไม่เป็นไร ฉันดูได้...ถ้าดูกับนายจะดูอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ


เดี๋ยวดูไปไม่ชอบก็มาบ่น


ฉันเคยบ่นนายที่ไหน


แต่เมื่อกี้นายดุฉันนี่ ดุมันก็เหมือนบ่นนั้นแหละ...ฉันน่ะไม่ชอบให้ใครมาดุหรือบ่นฉันนะ แค่โดนพ่อ พี่ยองวอนกับพี่ฮิมชานสามคนทั้งดุทั้งบ่นไม่เคยเงียบก็เบื่อจะแย่อยู่แล้วฝ่ายตัวเล็กกว่าว่าปากเชิดขึ้นเหมือนเด็กโดนขัดใจ


ที่เขาดุเพราะเขาเป็นห่วงทั้งนั้นแหละ ฉันเองที่ดุนายเพราะเป็นห่วงต่างหาก ก็นายน่ะชอบดื้ออยู่เรื่อย ร่างกายนายไม่ค่อยแข็งแรงเกิดป่วยขึ้นมาจะทำยังไง ฉันไม่อยากให้นายป่วย


นายเนี่ยเป็นห่วงทุกคนในโลกเลยเนาะประโยคนั้นลากยาวราวประชดประชัน


แดฮยอนจ้องหน้านวลของเพื่อนร่วมบ้านที่ยังคงกอดเสื้อของฝากไว้แนบตัวอย่างหวงแหน...ปากอิ่มสวยคว่ำเป็นสระอิอย่างไม่สบอารมณ์นั้นทำให้ผู้มองเอ็นดูจนอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้ผมยุ่งของคนตัวเล็กกว่าตรงหน้าไว้


...เมื่อก่อนเขาอาจไม่ค่อยได้สนใจยองแจเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ยองแจกลายเป็นทุกข้อยกเว้นที่เขาจะยอมแพ้ให้เสมอ...


ก็คงห่วงทุกคนในโลกแหละ ถ้าโลกที่ว่านั่นมีแค่นายคนเดียว


ถ้อยความผ่านริมฝีปากฝากเสียงนุ่มทุ้มนั้นเรียบง่ายหากมีความหวานระคนอุ่นซึมแทรก...ฝ่ามือใหญ่เปลี่ยนจากขยี้ผมนุ่มเป็นลูบเบาให้เข้าทรงอย่างทะนุถนอม เมื่อตากลมเหลือบเห็นแววอ่อนโยนฉานชัดบนดวงตาที่มีเงาสะท้อนของตัวเองปรากฏอยู่ในนั้นทำให้ใจของยองแจที่สั่นจากรอยยิ้มพิฆาตเมื่อครู่กลับรัวแรงจนเจ้าตัวรู้สึกเหมือนหัวใจแทบหลุดออกจากอก


โกหกอีกล่ะคนพูดกลั้นลมหายใจซ่อนอาการใจสั่นไว้ไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็น


โกหกอะไรกัน...ฉันไม่ได้ใจดีขนาดจะห่วงทุกคนได้ทุกวันสักหน่อย นอกจากนายแล้วก็ไม่มีใครที่ฉันเป็นห่วงทุกวันหรอกคำตอบที่ไม่ผ่านกระบวนคิดแต่เป็นสิ่งที่อยู่ในใจเปล่งออกมาเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด หากมีผลให้ผู้ฟังถึงกับกำหมัดสะกดความรู้สึกยินดีที่พรั่งพรูออกมา


ไม่ไหวล่ะ ฉันง่วงล่ะไปนอนก่อนนะ ฝันดี ราตรีสวัสดิ์เจ้าของบ้านยกมือป้องปากแกล้งทำเป็นหาวเสร็จก็หันหลังเดินไปหยิบผ้าห่มบนโซฟาได้ก็ชิ่งหนีไปเสียเฉยๆ


อ้าว...อะไรเล่า ไหนว่าจะดูที...เสียงกระแทกประตูปิดขัดจังหวะให้การถามหยุดลงกลางคัน


แดฮยอนย่นหน้าผากมองไปยังทางที่เจ้าของบ้านเพิ่งหายหลังกลับเข้าห้องไปอย่างไม่มีเหตุผลเช่นทุกครั้งที่ทั้งคู่คุยกันในเวลาปกติ ซึ่งอันที่จริงอีกฝ่ายยังมีพฤติกรรมเข้าใจยากอีกหลายอย่างที่เป็นเรื่องเข้าใจยากและอาจน่ารำคาญสำหรับคนอื่นแต่กับเขามันกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้


ราตรีสวัสดิ์คนถูกทิ้งไว้กลางห้องนั่งเล่นฝากคำลอยไปกับลมด้วยริมฝีปากที่ยังคงเหยียดกว้าง แม้คืนนี้จะไม่ได้กอดนอนเช่นทุกครั้งที่แกล้งเมากลับมาแต่เขาคิดว่าอย่างน้อยรอยยิ้มพอใจในของฝากที่หามาอย่างลำบากจากคนตัวเล็กคงพอให้วันนี้เขาหลับได้สักตื่น


...และบางทีคืนนี้เขาอาจจะฝันดีด้วยก็ได้...
-----------------------------------------------------------------
ผ้าขนหนูสีน้ำเงินแห้งหมาดพาดลงบนราวแขวนข้างอ่างล้างหน้าพร้อมกับไดร์เป่าผมเริ่มส่งความร้อนและเสียงก้องไปตามแผ่นกระเบื้องที่ปูทั่วห้อง เมื่อเสียงของไดร์เป่าผมสงบลงมือใหญ่ก็หยิบเอาเครื่องประทินผิวสำหรับผู้ชายมาทาบำรุงหน้าและปิดท้ายด้วยการพรมน้ำหอมตามจุดที่กลิ่นจะติดทนทั้งวัน


แดฮยอนเปิดประตูออกจากห้องน้ำแต่ไม่ยอมขยับพ้นจากพรมเช็ดเท้าหน้าห้อง...ตากลมแต่คมหรี่ลงขณะมองไปยังบานประตูห้องนอนของเพื่อนร่วมบ้านที่มีตุ๊กตาลูกไก่โผล่หัวจากเปลือกไข่แขวนอยู่ตรงลูกบิด


เมื่อวานหลังจากหลับไปได้สามสี่ชั่วโมงก็ถูกฝันร้ายเรื่องเดิมๆหลอกหลอนจนสะดุ้งตื่น ตอนที่หยิบโทรศัพท์มือถือมาดูเวลาก็เห็นแจ้งเตือนข้อความขึ้นเต็มไปหมดจึงกดอ่านก็เห็นรุ่นพี่ส่งข้อความจิกให้อย่าลืมชวนเพื่อนร่วมบ้านไปงานเลี้ยงรุ่นย่อมๆ วันนี้ด้วยกัน


...มันจะอะไรนักหนา...
...ทำไมต้องอยากรู้จักมากขนาดนั้น...


คำถามนั้นกวนใจเขาจนไม่เป็นอันทำอะไรนอกจากนอนมองเพดานอย่างหัวเสียจนถึงเจ็ดโมงเช้าถึงได้ลุกออกมาอาบน้ำโดยหวังว่าน้ำเย็นอาจจะช่วยอะไรได้บ้างแต่ก็เปล่าประโยชน์



ไม่ใช่เขาไม่อยากให้ยองแจมีเพื่อนเพิ่มขึ้นแต่การพบเพื่อนใหม่ที่เป็นคนประเภทใช้ชีวิตกลางคืนเป็นหลัก ขลุกอยู่กับอบายมุขและสถานที่อโคจรเป็นประจำ ถึงแม้พวกนั้นจะไม่ใช่คนเลวร้ายแต่ก็กร้านหยาบไม่อ่อนโยนจนเขาไม่คิดว่าคนบอบบางอย่างยองแจควรไปข้องแวะด้วย แต่การจะปฏิเสธคำชวนของพี่ซองวอนไปเลยก็คงโดนประณามรวมทั้งถามซักไซ้ทั้งปีทั้งชาติลามไกลไปถึงทั้งรุ่นว่าเขาใจแคบเลยก็ได้



มายืนอะไรตรงนี้แต่เช้าเนี่ย...โห ฉีดน้ำหอมซะฟุ้งเลย มีนัดกับสาวที่ไหนหรือไงเสียงคุ้นเคยเอ่ยถามเรียกคนที่หลงไปในทุ่งความคิดของตนเองให้คืนสติ เมื่อหันมองตามต้นเสียงก็เห็นเพื่อนร่วมบ้านที่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยยืนอยู่ตรงหน้าก็เกิดอาการพูดตะกุกตะกักทันที


อ้าว...นาย...คือ...ตื่นแล้วเหรอ...ตื่นเช้าจัง


ฉันก็ตื่นเช้าแบบนี้ทุกวัน...นายก็รู้นิ


อ้อ ลืมไป...แล้วนี่วันนี้นายหยุดใช่ไหม มีโปรแกรมจะไปถ่ายรูปตามตึกร้างอะไรอีกหรือเปล่า


วันนี้เหรอ ยังไม่รู้ว่าจะไปไหนเหมือนกัน ไม่ค่อยอยากอยู่บ้านแต่ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน บางทีฉันอาจจะออกไปหาพี่ฮิมชาน เออ ไปหาไม่ได้นี่หว่า พี่เขาไปดูงานที่ปูซาน สงสัยคงต้องอยู่บ้าน  เจ้าของบ้านตอบ...ตากลมสวยเหลือบมองอย่างสงสัยนั้นดูน่ารักมากจนอีกฝ่ายมองเพลินจนไม่ได้ยินคำถามกลับ


แดฮยอนเสียงแหลมเรียกขึ้นดึงให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกตัว


อา...มีอะไร


โอ๊ย ไม่ได้ฟังฉันเลยหรือไง


โทษที พอดีฉันนอนไม่ค่อยหลับก็เลยเบลอๆน่ะ เมื่อกี้นายว่ายังไงนะ


ฉันถามว่านายตื่นเช้าขนาดนี้จะไปไหน ไปทำงานหรือเปล่า


อ้อ เปล่า...วันนี้ฉันหยุดน่ะ


ไม่ไปทำงาน ก็คงไปเที่ยวกับเพื่อนสินะ” 


อืม...เสียงในคอดังขึ้นแทนคำตอบพร้อมกับการชั่งใจว่าควรจะถามสิ่งที่ถูกบังคับมาหรือไม่แต่เมื่อได้ยินการอวยพรให้เที่ยวอย่างสนุกก็เกิดรู้สึกผิดขึ้นมาเลยเรียกเจ้าตัวเอาไว้ 


ยองแจ


หื้อ” 


ที่จริงวันนี้ฉันจะไปงานเลี้ยงรุ่นกับศิษย์เก่าที่เรียนเอกเดียวกัน...มันไม่ใช่งานเลี้ยงรุ่นแบบเป็นทางการอะไรหรอกแค่นัดไปกินข้าวกับคุยอัพเดตชีวิตกันอะไรแบบนั้น  ถ้านายว่างล่ะก็ จะไปด้วยกันก็ได้นะเขาเอ่ยประโยคสุดท้ายผ่านปากอย่างยากลำบาก


งานเลี้ยงรุ่นเหรอ


ใช่ นายอยากไปหรือเปล่า


เออ...เจ้าของบ้านลากเสียงพลางครุ่นคิดด้วยสีหน้ายุ่งยากใจทำให้คนชวนเม้มริมฝีปากลุ้นคำตอบโดยในใจลึกๆหวังว่า จะได้รับการปฏิเสธ ก็เอาสิ...ยังไงก็ไม่ได้ไปไหนอยู่แล้ว ไปงานเลี้ยงรุ่นดูก็ได้


เอาจริงดิ


อื้อ


แต่ที่นั่นมีแต่คนแปลกหน้านะ นายไม่ค่อยชอบอยู่กับคนแปลกหน้าไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวไปก็อึดอัดหรอก


นานๆทีก็ไม่เป็นไรหรอก


แน่ใจเหรอ


แน่สิ...ที่จริงฉันไม่ได้ไปงานเลี้ยงรุ่นมานานแล้ว ถ้าจะลองไปดูสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง


การตอบรับคำชวนด้วยท่าทางสบายๆเหมือนไม่รู้สึกอันใดต่อการพบปะคนแปลกหน้าไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในการคาดคะเนของเขาเลยแม้แต่น้อย หากเมื่อผลออกมาเช่นนั้นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากบอกเวลาและสถานที่จัดงานย่านชานเมืองที่ใช้เวลาเดินทางราวชั่วโมงไปแกนๆ พอใกล้ถึงเวลาก็เดินไปสถานีรถไฟฟ้าด้วยกันเท่านั้น


หลังแดฮยอนหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ว่างได้ก็เอนหลังพิงศีรษะกับบานกระจกของรถไฟฟ้าแล้วหลับตาลงเพื่อซ่อนความร้อนใจของตนเองไว้หลายนาทีจนคนตัวผอมที่นั่งข้างกันหันมามองอาการที่แสดงออกตรงหน้า ไหนจะคำถามก่อนหน้าที่ว่าเปลี่ยนใจไหมอยู่หลายครั้งตั้งแต่ขึ้นรถไฟมาด้วยกันรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายอึดอัดใจ


...หรือจะอายที่เขาไปด้วย...


นายอายเหรอประโยคนั้นเรียกให้คนที่หลับอยู่ลืมตาพลางหันหัวกลับมามองหน้าคู่สนทนาของตนเอง


อาย...อายอะไร


ที่ฉันไปด้วยน่ะ ถ้านายอายเพราะมากับไอ้อ้วนที่ไม่มีอะไรดีเลยสมัยเรียนอย่างฉันล่ะก็...เจ้าตัวพูดไม่ทันจบฝ่ายที่ได้ยินกลับขมวดคิ้วรีบปฏิเสธ


เฮ้ย ฉันไม่เคยอายที่ไปไหนมาไหนกับนาย แต่ฉันแค่กังวลว่าพวกนั้นอาจจะทำให้นายไม่สบายเพราะพวกเขาชอบสูบบุหรี่ ประมาณสิงห์อมควันเลยแหละถึงจะไม่ได้สูบทุกคนก็เถอะ แล้วก็ขี้เมากันด้วยดื่มเหล้าอย่างกับดื่มน้ำ


เขาคงไม่สูบบุหรี่ในร้านหรอก แล้วนี่ก็เช้าอยู่คงไม่ครึ้มใจดื่มอะไรกันแต่เช้ามั่ง


มันก็ไม่แน่หรอก


ถ้าฉันไปแล้วรู้สึกไม่โอเค เดี๋ยวฉันขอตัวกลับเองก็ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก


ถ้านายกลับ ฉันจะกลับด้วย แล้วเราไปหาอะไรกินกับเดินเล่นด้วยกันนะอีกคนยื่นข้อเสนอ


จะไปที่ไหนล่ะ


ที่ไหนก็ได้ที่นายอยากไป


แล้วนายล่ะ...อยากไปไหน


ที่ที่นายไปคือที่ที่ฉันอยากไป


ถ้อยคำนุ่มแต่อุ่นยิ่งของแดฮยอนที่ยังคงแนบข้างศีรษะกับกระจกใสของหน้าต่างรถไฟหันมาสบตาด้วยรอยแย้มกว้าง แสงอ่อนจากดวงตะวันยามเช้าด้านนอกสาดเป็นลำส่องกระทบใบหน้าหล่อระคนน่ารักจนเห็นตากลมสุกใสราวแก้วสีชาและในความแวววาวมีเงาสะท้อนของเพื่อนร่วมบ้านเปล่งประกายอยู่ในนั้น


ยองแจแลดวงตาและสัมผัสของฝ่ามือใหญ่ของคนตัวสูงกว่าที่เอื้อมมาลูบผมเขาไว้อย่างอ่อนโยนก็รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงและหน้าตัวเองกำลังร้อนผ่าวเลยต้องเบือนหน้าหนีไปจ้องภาพทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างรถไฟฝั่งตรงข้ามนิ่ง


...เป็นบ้าหรือไง ทำไมชอบทำให้ใจสั่นอยู่เรื่อย...


คิดไว้แล้วกันว่าอยากไปไหน...เพราะยังไงดูท่าก็น่าจะได้กลับก่อนแน่ๆ


ถ้าต้องกลับก่อนจริงๆ...เราไปพิพิธภัณฑ์ดาราศาสตร์ด้วยกันได้หรือเปล่าเสียงอ่อนถามไม่เต็มเสียงเหมือนไม่แน่ใจว่ามีสิทธิ์พอจะชวนไปเที่ยวด้วยกันได้


ไปสิ


จริงนะ


ให้สัญญามั้ย...เกี่ยวก้อยสัญญาเลยก็ได้นิ้วก้อยจากคนตัวสูงถูกยื่นมาหาแต่อีกคนเพียงปรายมองก็ส่ายหน้า


เกี่ยวก้อยอะไรเล่า ทำตัวอย่างกะเด็กบ่นเสร็จก็ถอนหายใจพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้รับรู้ถึงสายตาที่ยังคงจ้องมาหาแต่เจ้าตัวก็แกล้งทำไม่สนใจมองออกไปนอกข้างนอกเหมือนเก่าทั้งที่ในใจเต็มตื้นด้วยความสุข


...วันนี้ก้อนกรวดในซอกกำแพงเหมือนได้รับแสงอุ่นจากดวงตะวัน...
------------------------------------------------------
อาคารสไตล์โคโรเนียลหน้าตาละม้ายคล้ายโรงนาอิฐในยุโรปห้อมล้อมด้วยสวนสวยร่มรื่นตั้งอยู่ในย่านคังซอนั้นเป็นร้านกาแฟและร้านอาหารที่ติดอันดับร้านกาแฟที่ผู้หญิงชื่นชอบจากหลายสำนักข่าว แดฮยอนที่เดินนำหน้าพาเพื่อนร่วมบ้านกวาดตามองทั่วที่นั่งด้านนอกมองหาคนรู้จักแต่ไม่พบใครจึงเดินต่อเข้าไปภายในที่นั่งห้องแอร์


ยองแจหันรีหันขวางไปรอบตัวสังเกตการตกแต่งของร้านกาแฟสวยแห่งนี้อย่างสนใจก่อนจะหันมาหากลุ่มคนที่นั่งรวมกันอยู่สามสี่โต๊ะกวักมือเรียกคนตัวสูงที่อยู่ข้างหน้าให้มาร่วมวงและเมื่อเดินเข้าไปใกล้ไล่มองคนแปลกหน้าทั้งกลุ่มที่มองเขาตอบเหมือนตาแข็งในใจก็เริ่มกลัวแต่จะหนีกลับตอนนี้ยังไม่ได้เลยโค้งพร้อมแนะนำตัวไปก่อน


ยู ยองแจ คนนั้นน่ะเหรอเสียงหนึ่งถามขึ้นตามมาด้วยเสียงอีกหลายคนที่ทั้งเรียกทั้งถามเซ็งแซ่จนงงไปหมด...มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โดนลากมานั่งกลางวงของคนตัวใหญ่ท่าทางน่ากลัวทั้งเจาะทั้งสักพร้อยไปทั้งตัว ก่อนที่ผู้ชายตัวสูงโย่งสวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์ทับด้วยแจ็กแก็ตยีนส์สีซีดสวมต่างหูไม้กางแขนเจาะคิ้วจะยื่นหน้ามาใกล้จนคนตัวเล็กต้องเอนตัวถอยแต่ก็ไปไม่พ้นชนเข้ากับไหล่ของผู้ชายอีกคนที่สวมหมวกสแนปแบ็คปักลายเท็ดดี้แบร์จนต้องรีบขอโทษ


เฮ้ย อย่าทำท่ากลัวงั้นสิ...เอางี้ เดี๋ยวพวกพี่แนะนำตัวก่อนแล้วกัน พี่ชื่อซองวอนนะ ส่วนสามคนตรงข้ามเรานั่นชางอุคกับอินกุกแล้วก็ฮีกอน ส่วนสองคนนี้พี่ซึงวอนกับแจอุค แล้วก็ไอ้ที่นั่งข้างเรานั่น ฮันเฮ มันเป็นพี่สายรหัสเราด้วย เราอาจจะไม่เคยเห็นหน้าเพราะพวกพี่จบมาก่อนเราห้าหกปีได้แล้วซองวอนเริ่มทราบความคุ้นเคยให้ผู้มาใหม่โดยไม่ทันสังเกตสายตาของรุ่นน้องอีกคนที่เท้าคางจ้องตาเพื่อนร่วมบ้านที่มีท่าทางหวาดๆมองไปทางคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยความเป็นห่วงได้แต่ยังพยักหน้าทำเหมือนฟังเรื่องเล่าของเพื่อนร่วมโต๊ะ




เราผอมลงเยอะมากเลยนะไปทำอะไรมาใครคนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะถามขึ้น เมื่อฝ่ายถูกถามเงยหน้าก็เห็นรอยยิ้มอุ่นจากรุ่นพี่หน้าหล่อที่คุ้นหน้าคุ้นตาเหมือนเคยเห็นในรายการโทรทัศน์


พี่รู้จักผมด้วยเหรอครับ ถึงรู้ว่าเมื่อก่อนผมอ้วน


รู้สิ...พวกพี่เคยไปดูนายร้องเพลงเวลามีงานที่มหาลัยบ่อยๆ พี่ประทับใจตอนเราร้องเพลง Love ของ Keyshia Cole กับ Lost Without U ของ Robin Thicke ที่งานมหาวิทยาลัยครบรอบสี่สิบปีมากนะทันทีที่คนหนึ่งเอ่ยถึงการร้องเพลงอย่างชื่นชมก็มีอีกเสียงจากคนอื่นตามมาเป็นระลอก


เออ ตอนงานแสดงผลงานนักศึกษา ตอนที่เราเรียนอยู่ปีสองล่ะมั่ง พี่จำได้ว่าวันนั้นเราถูกเลือกให้มาร้องกับพวกปีสี่นิ น่าจะเพลง Vision Of Love กับ Because Of You ล่ะมั่ง


“Officially Missing You ที่เราร้องในงานประกวดร้องเพลงของปีสามนั่นก็เพราะนะ เพลง Kiss me กับ Lets Stay Together พี่ก็ชอบนะเสียดายดันตกรอบสาม จำไม่ได้ว่าแพ้ใคร...มึงจำได้ปะผู้ถูกแนะนำว่าเป็นรุ่นพี่สายรหัสว่าแล้วหันไปถามเอากับผู้ชายไว้หนวดที่นั่งอยู่ตรงข้าม


กูจำไม่ได้หรอก...วันนั้นกูไปซะที่ไหน เคยฟังน้องมันร้องเพลงที่งานตลาดนัดมหาวิทยาลัยอย่างเดียว ไอ้เพลงประกอบละครเก่าเรื่องอะไรสักเรื่องเนี่ยแหละ


คนตัวเล็กอายุน้อยสุดในโต๊ะกลอกตาไปมาให้กับการทวนความทรงจำถึงชื่อเพลงกระทั่งงานที่เขาเคยขึ้นแสดงจากกลุ่มคนตรงหน้าด้วยความชื่นชม ทั้งที่เขาคิดมาตลอดว่า ความสามารถของเขาไม่เป็นที่สนใจของใคร


เมื่อก่อนเวลาว่าง ถ้าที่คณะมีงานพี่จะไปเที่ยวเล่นน่ะ ตอนได้ยินเราร้องเพลงพี่นี่อยากรู้จักเรามากเลยนะ แต่พอรอจะคุยกับเรา เราก็หนีไปไหนไม่รู้ทุกทีเลย


เออ แล้วตอนนี้เราร้องเพลงหรือทำงานด้านดนตรีอยู่หรือเปล่าสุดท้ายซองวอนก็ถามถึงเรื่องงานการที่ทำอยู่


ไม่ครับ ผมไม่ได้ทำงานด้านดนตรีเลย...ผมเปิดร้านกาแฟอยู่


ไม่มีรับงานเสริมร้องเพลงบ้างเลยไง


ไม่มีหรอกครับ พอดีผมไปผ่าตัดแถวๆคอมาแล้วเวลาร้องเพลงผมรู้สึกไม่ค่อยดีก็เลยไม่ได้ร้องเพลงมานานแล้ว” 


เฮ้ย จริงเหรอ...ขอโทษนะพี่ไม่รู้ว่าเราผ่าตัดคนเป็นพี่เอื้อมแขนมาโอบไหล่คนตัวเล็กเข้าหาตัวเป็นเชิงสำนึกผิดแต่พอจะถามต่อก็ถูกชายหนุ่มตัวสูงหน้าตาดีเหมือนนายแบบเดินจากอีกโต๊ะมาหาแทรกถาม


ยองแจ นายจำฉันได้เปล่า ฉันอินซอง...จอง อินซองไง ฉันเคยเรียนรุ่นเดียวกับนายแต่นั่งอยู่หลังห้องบรรยาย  จำได้ไหมฝ่ายถูกถามส่ายหน้า จากนั้นก็ถูกเรียกให้ตอบคำถามจากใครต่อใครที่ยิงใส่ไม่หยุดเหมือนถูกนักข่าวรุมสัมภาษณ์จนตัดสินใจไม่ถูกว่าจะตอบคำถามจากใครก่อน สุดท้ายความขี้รำคาญตามประสาก็ทำให้เอ่ยความรู้สึกออกไป


ถามอะไรกันเยอะจัง ถามแล้วก็ไม่ให้ตอบ ช่วยฟังผมพูดก่อนได้มะเสียงนุ่มวีนใส่พร้อมกับหน้าผากที่ย่นเป็นรอยจากการขมวดคิ้ว ตากลมสวยเขม่นมองหน้าฝ่ายตรงข้ามทีละคนพลางพ่นลมหายใจก่อนริมฝีปากจะเชิดขึ้นแล้วยู่ห่อเหมือนเด็กถูกขัดใจนั้นทำให้ทั้งวงเงียบกริบ


ความเงียบครอบคลุมแทนความคึกคักเฮฮา ทำเอาคนตามใจตัวเองเป็นหลักกระพริบตาปากเม้มแน่นด้วยคิดว่า ต้องถูกตำหนิจากใครสักคนแน่ ฝ่ายเพื่อนร่วมบ้านที่นั่งสังเกตการณ์อยู่เห็นเข้าก็ขยับเกือบลุกไปหาหมายจะช่วยแก้สถานการณ์แต่เสียงหัวเราะและมือที่ยื่นไปขยี้หัวทุยอย่างเอ็นดูของรุ่นพี่ที่โต๊ะทำให้ต้องหักใจนั่งกลับไปตามเดิม


เรานี่น่ารักวะชายหนุ่มสวมหมวกเท็ดดี้แบร์ว่าพลางหัวเราะทั้งที่ยังขยี้หัวน้องไม่หยุดแล้วหันไปบอกคนอื่นที่อยู่รอบๆ พวกมึงก็รุมน้องซะตอบไม่ทันเลย เอางี้ กูจัดลำดับให้ใครมาก่อนถามก่อน น้องตอบคนไหนเสร็จ กูชี้ใครคนนั้นถาม โอเค้


ผู้เป็นพี่สายรหัสออกโรงจัดการปัญหาพร้อมเหยียดปากหนาห้อยกว้างจนตาเล็กหยีที่ดูตลกแต่อบอุ่นมาหา จากนั้นก็ทำหน้าที่ไล่ชี้เพื่อให้พี่ เพื่อนและน้องร่วมเอกเดียวกันได้ถามไถ่ผู้มาใหม่ได้ทั่วถึงเพื่อไม่ให้กินแหนงแคลงใจต่อกัน ทำให้ฝ่ายถูกถามผ่อนคลายเริ่มตอบกลับการถามอย่างเป็นมิตร


แดฮยอนเคาะนิ้วรัวบนโต๊ะไม้ขณะจ้องไปยังโต๊ะที่เพื่อนร่วมบ้านนั่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มชายหญิงรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมเอกที่ดูจะสนใจใคร่รู้ชีวิตความเป็นมาของคนที่เมื่อก่อนแทบไม่เคยมีใครพูดถึงด้วยซ้ำ ยิ่งได้เห็นตากลมสวยสบตากับคนนั้นทีคนนี้กับรอยยิ้มน่ารักที่ดันให้แก้มนวลขึ้นเป็นลูกชวนให้อยากหยิกแก้มนั้นแลคล้ายดอกไม้สวยสะพรั่งเบ่งบานกลางฝูงภมรก็ยิ่งกระวนกระวายจนไม่มีสมาธิสนใจในสิ่งอื่น


...รอยยิ้มแบบนั้น
...รอยยิ้มแบบที่คอยยิ้มให้ในตอนที่คิดว่าเขาจมดิ่งในความมืดกำลังยิ้มให้คนอื่นอยู่
...ไม่ชอบเลย
...รอยยิ้มน่ารักคอยสร้างโลกของเขาให้อบอุ่นนั้น ควรมีเขาคนเดียวที่ได้เห็น 


ความรู้สึกหวงแหนฉุดให้สตินึกคิดขาดผึง ร่างสูงลุกพรวดจากเก้าอี้จากอีกโต๊ะเดินแหวกแทรกเข้าไปจนถึงคนตัวเล็กที่นั่งอยู่กลางวงเสียงหัวเราะ


กลับกันเสียงทุ้มแทรกถามก้มมองฝ่ายที่เงยหน้ามาหาพลางกระพริบตาปริบอย่างไม่เข้าใจ


ฮะ” 


นายรู้จักสายรหัสตัวเองหมดแล้วนี่ คุยแค่นี้ก็พอแล้ว ออกไปหาอะไรกินกันดีกว่า


แต่ที่นี่ก็ขายอาหารนะ ถ้านายหิวก็สั่งมากินสิคำตอบฟังไร้เหตุผลทำให้นึกสงสัยจนต้องถามกลับ


ฉันไม่อยากกินข้าวร้านนี้” 


อะไรของนายเนี่ย เป็นคนชวนฉันมาเองแท้ๆ...


ก็ใช่ ฉันเป็นคนชวนนายมาแต่ตอนนี้ฉันอยากกินหมูสามชั้นย่าง นายเองก็รู้จักพวกพี่เขากันหมดแล้วจะกลับก็ไม่เป็นไรหรอก


ไปตอนนี้น่าเกลียดตาย เราอยู่กันยังไม่ถึงสิบนาทีดีเลย


เออน่า ไปเหอะน่าอีกคนรบเร้าราวกับลืมไปแล้วว่ารอบตัวมีแต่รุ่นพี่รุ่นน้องและเพื่อนร่วมเอกเดียวกัน


อะไรของมึงเนี่ย...มึงอยากแดกหมูย่างก็ไปแดกแต่เอายองแจไว้นี่ซองวอนว่าหันไปมองผู้เปิดประเด็นรุ่นที่แม้จะมียิ้มเปื้อนหน้าแต่ท่าทางกลับร้อนลน


ได้ไงล่ะ...ผมมาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกัน” 


เอาล่ะไง หวงรูมเมทอย่างที่ดงอุคมันว่าจริงๆด้วยฮันเฮเสริมมองหน้ารุ่นน้องที่มีสถานะเพื่อนร่วมงานครู่หนึ่งก็คว้าแก้วอเมริกาโน่ของตนเตรียมจะดูดแต่ก็ชะงักเพราะเสียงแข็งดุของรุ่นน้องคนเดิม


เออ ผมหวงเขา มีไรมั้ยล่ะ” 


ประโยคที่โพล่งออกไปโดยไม่ผ่านการคิดตริตรองส่งผลให้บรรดากลุ่มคนที่ยืนล้อมอยู่กระทั่งกลุ่มที่นั่งยังโต๊ะกลับไปหยุดการสนทนาระหว่างกันหันมามองคนพูดแทบจะเป็นตาเดียว แต่เจ้าตัวก็ไม่สนใจยังคงถูกความหวงขับเคลื่อนให้พูดต่อไปตามใจคิด 


ยองแจเขาเป็นเพื่อนสนิทผมนิ ผมต้องหวงเขาเป็นธรรมดาอยู่แล้ว...พวกพี่น่ะทั้งดื่มเหล้า ทั้งสูบบุหรี่ คุยกันก็ทะลึ่งตึงตัง มีชีวิตอยู่กับกลางคืนแต่ยองแจเขาเป็นเด็กอนามัยจะมาสุงสิงอยู่กับพวกพี่มากๆมีหวังได้ป่วยไปกว่าเดิมคนอารมณ์เสียอธิบายเหตุผลกับรุ่นพี่แล้วหันไปทางรุ่นเดียวกัน พวกมึงเองเมื่อก่อนไม่เห็นจะสนใจอะไร ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนด้วยซ้ำ...พอตอนนี้เขาดูดีขึ้นหน่อยทำเป็นสนอกสนใจ ไม่คิดว่าน่าเกลียดไปหน่อยเหรอวะ


เฮ้ย มึงพูดอย่างนี้มันเกินไปหน่อยมั้งอินซองที่ส่วนตัวไม่ค่อยชอบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนร่วมรุ่นเดียวกันเป็นทุนอยู่แล้วโต้กลับพลางขยับไปยืนประจันหน้า


เกินไปยังไง


เมื่อก่อนมึงเองก็ใช่ว่าจะสนใจเขาซะทีไหน ปากบอกเขาเป็นเพื่อนมึงแต่จริงๆแล้วที่มึงดีกับเขาก็เพราะต้องยืมแล็คเชอร์เขามาอ่านสอบ ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเขาช่วยยาจกอย่างมึงให้มีที่ซุกหัวนอน มึงก็คงไม่เห็นหัวเขาหรอก”


อ้าว ไอ้เหี้ย พูดอย่างนี้อยากตายใช่มั้ยชายหนุ่มผู้เคยน่ารักในสายตาคนทั่วไปตวัดมือคว้าคอเสื้อของฝ่ายตรงข้ามกระชากลากออกจากโต๊ะโดยที่อีกฝ่ายต้านแรงนั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เพียงร่างสูงราวนายแบบพ้นจากกลุ่มคนมาสู่พื้นที่ว่างหมัดลุ่นๆก็ซัดเข้าข้างแก้มหล่อเต็มแรงจนรู้สึกเหมือนกรามเจ็บร้าวจนหัวหมุนถลาร่วงลงไปกองบนพื้นไม้ ท่ามกลางเสียงร้องด้วยความตกใจและคาดไม่ถึงของผู้เห็นเหตุการณ์


ฝ่ายได้ฉายาแมวน่ารักจากเพื่อนฝูงยื่นหน้าเข้าไปใกล้แทบประชิดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ทว่าตากลมกลับคมแข็งเย็นเยือกดุจน้ำแข็งไร้แววความรู้สึกจ้องลึกเหมือนหยั่งลงให้ถึงก้นบึ้งความหวาดหวั่นที่แอบเร้นในหัวใจ...นัยน์ตาที่หมดสิ้นความเมตตาปราณีหรือรอยมิตรเช่นเคยมีราวกับเสือร้ายนั้นทำให้อินซองตัวสั่นน้ำตาเล็ดด้วยความกลัว


 กูอาจเคยดีกับเขาเพื่อผลประโยชน์แต่กูไม่เคยคิดว่าเขาไม่ใช่เพื่อน...จำใส่กะลาหัวมึงไว้เลยนะอินซอง สำหรับกู ไม่ว่าเมื่อไหร่หรือตอนไหนยองแจก็เป็นเพื่อนสนิทของกูและเขาจะเป็นเพื่อนกูอย่างนี้ไม่มีเปลี่ยน


ถ้อยคำประกาศย้ำสถานะหนักแน่นมาพร้อมกับการเดินเข้าไปของบรรดารุ่นพี่เพื่อจับคู่วิวาทแยกจากกัน ก่อนที่พนักงานในร้านจะวิ่งมาดูเหตุการณ์เผื่อบานปลายจะโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ช่วงเวลาแห่งความชุลมุนนั้นแทบไม่มีใครสนใจตัวตนเหตุที่กำลังลุกจากเก้าอี้เดินตรงมาหาคนที่ยังหัวฟัดหัวเหวี่ยงไม่เลิก


“นายไม่ใช่เพื่อนสนิทฉัน” เสียงแข็งเกริ่นขึ้นมีแววสั่น ทำให้คนได้ยินชะงักนิ่งก่อนจะหันไปหาเพื่อนร่วมบ้านที่ยืนเม้มริมฝีปากพลางเหลือบตาแดงก่ำมองสูงขึ้นไปบนเพดานแล้วกระพริบถี่อยู่เป็นนาทีจึงหลุบตาจ้องหน้าใหม่ “ฉันไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมนายถึงอยู่กับใครนานๆไม่ได้ ถึงฉันจะไม่สำคัญอะไรกับนายเลย แต่อย่างน้อยก็อย่างเอาไอ้นิสัยเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของนายมาใช้กับฉัน ไอ้นิสัยแบบนั้นของนายนี่ฉันเกลียดที่สุดเลย นายกับฉันไม่มีวันเป็นเพื่อนสนิทกันได้หรอก จำไว้”


ชั่วนาทีที่คนตัวเล็กตวาดใส่เพื่อนร่วมบ้านสุดเสียงจบสิ้นเป็นเวลาเดียวกับที่น้ำใสรื้นขึ้นขังขอบตา...แดฮยอนหยุดหายใจในทันทีที่เห็นความเจ็บปวดของผู้ที่ตนเองเรียกว่านางฟ้าของตนปรากฏขึ้นตรงหน้าและกว่าจะหลุดจากอาการสมองโล่งและสะบัดตัวพ้นจากการเกาะรั้งของบรรดารุ่นพี่ก็พอดีกับที่อีกคนวิ่งหนีออกจากร้านไปเสียแล้ว


“ยองแจ” ชายหนุ่มตะโกนออกไปสุดเสียง ขณะวิ่งตามหลังผอมที่เคลื่อนห่างออกไปในทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเรียกชื่อ หากเขายังไม่ลดละยังคงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อจะคว้าอีกคนไว้ให้ทัน จังหวะที่กำลังวิ่งจะผ่านทางม้าลายข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งนั้นกลับมีรถยนต์แล่นตัดหน้าจนเจ้าตัวต้องกระโดดถอยเพื่อไม่ให้ถูกชนและเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็ไม่เห็นกระทั่งเงาของคนที่ตนวิ่งตามมา แม้จะพยายามวิ่งวนไปทั่วเพื่อตามหา มือหยิบโทรศัพท์ออกมากดหมายเลขที่จำขึ้นใจหรือใช้แอพลิเคชั่นโทรหาก็ไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด


“เหี้ยเอ๊ย”


แดฮยอนสบถออกมาเต็มเสียงเตะอัดถังเหล็กตรงส่วนทิ้งขยะข้างทางจนบุบ...นิ้วเรียวสางผมจนยุ่งเหยิงแล้วกำแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อเป็นรอยลึกขณะที่ฟันกรามบดกันอย่างแรง เท้ายังคงก้าวไปตามทางเดินพร้อมกับตากลมที่เคยอ่อนโยนมาบัดนี้กลับดุกร้าวกวาดมองไปรอบตัวอย่างกระวนกระวายและรู้สึกผิดได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจสารพันเป็นร้อยๆคำ


ขณะที่อีกคนโทษความดึงดันของตัวเองทำให้ทุกอย่างพังเละไม่เป็นท่า ฝ่ายที่วิ่งหนีออกจากร้านกาแฟหอบความเจ็บปวดจากการคาดหวังทั้งที่ตนเองก็รู้แต่ต้นว่า ตนเป็นเพียงก้อนกรวดที่แม้ดวงตะวันจะส่องถึงก็ใช่ว่าจะมีความหมายลึกซึ้ง...ทุกการกระทำ ทุกน้ำเสียงหรือคำพูดล้วนเป็นการตีความเข้าข้างตัวเองไปคนเดียว


...เพื่อนอย่างนี้ไม่มีเปลี่ยน...


เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่ผู้ชายคนนั้นทำให้หลงดีใจไปว่าตัวเองสำคัญทั้งที่ไม่ได้มีความหมายอะไร...มันเหมือนกับถูกตบหัวและลูบหลังซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น แม้จะรู้อยู่แล้วว่าฝ่ายนั้นไม่ได้ชอบเหมือนเช่นตนเองที่แอบชอบเขามาตลอดแต่อยากน้อยก็ควรจะคิดถึงใจกันบ้าง 


...จะชอบกันสักนิดไม่ได้เลยเหรอ...

...ทำไมถึงมีแต่ฉันที่แคร์นายมากขนาดนี้...

...ทำไมถึงมีแต่ฉันที่กลัวนายจะเจ็บปวด ทั้งที่จริงๆมันมีแต่ฉันที่เจ็บปวดอยู่คนเดียว

...อย่างน้อยก็อย่าพูดจาทำร้ายจิตใจกันได้ไหม 

...มันมากไปเหรอกับการที่นายจะคิดถึงใจฉันที่ได้แต่แอบรักนายอยู่ตรงนี้ 

...แค่ก้อนกรวดที่อยากให้ดวงตะวันเห็นความหมายแค่สักครั้งยังไม่ได้เลย...


ยองแจหายเข้าไปในซอกกำแพงระหว่างร้านเสื้อผ้าพยายามเงยหน้าและกระพริบตาเพื่อกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา หากน้ำตากลับรินผ่านหางตาไหลลงมาจนต้องเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้ใครได้ยินเสียงสะอื้นพร้อมกับการยกหลังมือเช็ดน้ำอุ่นที่เช็ดยังไงก็ไม่ยอมหยุดไหลเสียที


...เกลียดตัวเองเป็นบ้า...

...เกลียดที่ไม่ว่ายังไงก็หยุดชอบเขาไม่ได้...

...เกลียดที่สุดท้ายก็มีตัวเองที่ร้องไห้

...และเมื่อหมอนั่นเมากลับมาก็เป็นเขาเองที่ต้องกอบเศษใจแตกๆไปดูแลเพราะทนเห็นความทุกข์ของเขาไม่ได้


คนตัวเล็กมีน้ำตาคลอหน่วย ทว่าความต้องการกลับไปพักใจที่บ้านทำให้ไม่สนใจผู้คนรอบข้างเพียงเดินพ้นจากซอกกำแพงได้ก็โบกเรียกแท็กซี่เพื่อให้ไปส่ง เพราะความสนใจอยู่ที่การเรียกรถจึงไม่ทันสังเกตว่าอีกฟากหนึ่งของถนนมีเจ้าหน้านอกเครื่องแบบนายหนึ่งลากผู้ต้องหาที่วิ่งไล่ล่ามาหลายกิโลเมตรใส่กุญแจมือยัดเข้ารถตำรวจก่อนจะเดินไปสมทบกับเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบที่ยืนอยู่บริเวณนั้น


“ยู ยองแจ”


ใครคนหนึ่งตะโกนเรียกชื่อนามสกุลเต็มยศทำให้เจ้าของชื่อหันไปหาก็เห็นชายกายใหญ่หนาจากการออกกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อแม้สวมเพียงเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ทับด้วยแจ็กแก็ตหนังสีดำกลับดูสง่าและผึ่งพาย...ป้ายห้อยคอตราประจำตัวเจ้าหน้าที่กระทบแผงอกใต้เสื้อขึ้นลงไปจังหวะ ในตอนแรกเขาไม่แน่ใจว่ารู้จักกับชายผู้นั้นกระทั่งได้เห็นเรียวหน้าเห็นสันกรามชัดแลสงบนิ่งแฝงความอบอุ่นเต็มตามือไม้ก็สั่นเช่นเดียวกับริมฝีปาก


เจ้าหน้าที่ตำรวจร่างยักษ์หยุดยืนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มจางตรงริมฝีปากแล้วถอดแจ็กแก็ตที่สวมติดตัวออกคลุมลงไปบนศีรษะของคนตัวเล็กแล้วดึงลงเพื่อไม่ให้ใครได้เห็นความเศร้าโศกคล้ายว่าเคยทำมานานจนเป็นเรื่องคุ้นชินก่อนที่ปลายนิ้วโป้งจะเลื่อนมาเช็ดน้ำตาที่เอ่อท่วมออกให้อย่างแผ่วเบาพร้อมเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ใจชื้น


“รอพี่ตรงนี้ห้านาที...เดี๋ยวเราไปกินข้าวกัน”



------ แวะคุยกันก่อน -----
ผลจากการไม่กล้าพูดกับอีกคนไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำมันไม่ใช่สถานะนั่น อะไรที่เคยดีมันเลยพัง 
บทนี้ไม่พูดเยอะนะอนุญาตให้ด่าไอ้ง่าวได้ตามอัธยาศัย ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ 
อ่านแล้วรบกวนคอมเม้นนิดนึงเนาะ หรือไปติด #Ficlovetoxical ในทวิตเตอร์เนาะจะได้รู้ว่าอ่านกัน








You Might Also Like

8 Comments

  1. ไม่เอาแบบนี้อ่ะแงงงงงงสงสารทั้งคู่คนนึงก็ไม่พูดตรงๆคนนึงก็ไม่เข้าใจความหมายโกรธอีกคนใหญ่โตมากมายยยยยยย แต่แอบสงสารยองแจมากกว่าแดฮยอนหยอดหวานแต่แล้วก็มาทำให้ใจหน่วงกับคำพูดอีกยุดีโอ๊ยยยยยเป็นใครก็เสียใจอ่ะ นึกว่าจะดีๆกันซะอีกแบบนี้ความสัมพันธ์ดิ่งลงเหวอีกแน่ๆเลย บรรยากาศอึมครึมมาอีกแล้ว ตอนจบคงไม่น้ำตาท่วมใช่มะ กลัวววววว

    ตอบลบ
  2. เกลียดเมิง อีแด้ โว้ยยยยย แกทำนางฟ้าของแกร้องไห้ได้ยังไง ยกยองแจให้คุงตำรวจเลยยยย หมั่นไส้

    ตอบลบ
  3. แงงง นี่คิดว่าการที่แด้พูดแบบนั้นมันเป็นเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันเลยความเป็นเพื่นไปแล้ว + แจก็ไม่เคยบอกชอบแด้ด้วยง่ะ (༎ຶ⌑༎ຶ)

    ตอบลบ
  4. สงสารยองแจ อ่านไปร้องไห้ไป แด้ทำไมแกทำแบบนั้น 😭😭😭😭😭

    ตอบลบ
  5. ตอนแรกก็ยังตลกในความง่าว แต่ตอนนี้มันไม่ตลกแล้วอ่ะ ไม่รู้ว่าทำไมแดฮยอนถึงไม่รู้ใจตัวเอง หรืออาจจะกำลังปฏิเสธใจตัวเองอยู่ ถึงยังไงก็ควรรู้สึกตัวบ้างได้แล้วว่าการที่ตัวเองดูแลคุณยูแบบนี้ พูดหยอดคุณยูแบบนี้ มันมีความหมายว่ายังไงอ่ะ อยู่บ้านเดียวกันมาตั้งนาน เอาเวลาวงเหล้ามานึกถึงสถานการณ์ตอนนี้หน่อย เห็นไหมว่ามันเป็นเรื่องใหญ่แล้ว ฮื่ออออ จะอินอะไรขนาดนี้ ;_______ ; เข้าใจคุณยูนะ อยู่ทีมคุณยู แต่ก็โกรธแดฮยอนไม่ลง เหมือนความคิดเรื่องคุณยูไม่ได้อยู่ในหัวเลย แต่ละอย่างคือทำแบบไม่คิด ใจสั่งมางี้ อาจจะยังไม่รู้ตัวหรือนึกไม่ถึงอ่ะ แต่ตอนนี้คุณยูวิ่งหนีไปแล้ว เพราะงั้นทบทวนตัวเองซะนะ คนนี้เสี่ยฮิมหวงมักมัก ถ้ารู้เรื่องคงต่อสายตรงจากปูซาน ดีไม่ดีโดนไล่ออกจากบ้าน คือถ้าคุณยูเป็นขนาดนี้แล้วแดฮยอนยังไม่ทำอะไรอีก ถ้ายังง่าวอยู่อีก นี่จะโกรธจริงจัง ให้เสี่ยจัดการเลยดีมั้ย สงสารคุณยู ฮืออออออออออออ

    ไรท์สู้ๆน้าาาาาาา เลาปูเสื่อรออยู่ เป็นกำลังใจให้นะคะ ^+++^

    ตอบลบ
  6. โอยยตอนนี้หน่วงมาก เข้าใจแจนะเจอหยอดทุกวัน แต่เราก็ไม่โทศแด้มากหรอกค่ะ แด้แบบอาจจะไม่รู้ตัวจริงๆ
    อารมณ์แบบสนิทกันเป็นเพื่อน เห็นอีกคนอ่อนโยนก็เลยเอ็นดู แต่ไม่คิดว่ารักเขาเข้าฮือๆ ยังไงก็เชียร์ให้รู้ใจเร็วๆนะ อยากเห็นคู่นี้มีความสุขเร็วๆ

    ตอบลบ
  7. เนี่ยหวงจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่ทำให้อะไรดูแย่ไปหม๊ดดดดดพิแด้โว้ย แล้วเก็บอารมณ์ไม่อยู่แบบนั้นพี่ในแก๊งจะเหม็นเอาไหมอ่ะแอบสงสาร สถานะไม่ชัดเจนไม่รู้ใจตัวเองแต่สู้ๆนะ ตอนนี้หน่วงเลยอ่ะ น้องแจของพี่ร้องให้อยากปลอบน้องแงงงงงงงง
    ขอบคุณฟิคค่าไรท์💛

    ตอบลบ
  8. ต้องขอโทษด้วยนะคะที่เข้ามาอ่านแล้วไม่ได้เม้นท์กลับ วันนี้จะกลับมาเม้นท์ให้ครบทุกตอนเลย
    เป็นตอนที่อ่านแล้วอะไรๆก็ขัดใจเราไปทุกอย่างเลย ฮือออออ สงสารทั้งแดฮยอนกับยองแจเลยค่ะ อึดอัดมากๆ อ่านแล้วแบบ ฮึยยยยยยยยทำไมเป็นแบบนี้ แงงงงงงง
    สิ่งที่อยากทำคือตบหน้าเรียกสติแดฮยอน แบบ แมวเอ๊ยยยยยยเมื่อไหร่เอ็งจะรู้ตัว ไอบ้าเอ๊ยยยย อยากบิดหูแรงๆ ที่ทำทุกวันนี้มันเกินกว่าเพื่อนแล้ว อ่านไปแล้วได้แต่ขยุ้มผมระบายความหงุดหงิด
    แต่ว่าก็สงสารดอนนิดนึงตรงที่ยองแจบอกว่าไม่ใช่เพื่อน ถ้าตัดความรู้สึกมากกว่าเพื่อนของดอนออกแล้วนึกภาพว่าถ้าเราบอกคนอื่นๆว่าคนนี้เป็นเพื่อนเราแต่คนๆนั้นกลับบอกว่าเราไม่ใช่เพื่อน ก็คงจะรู้สึกเจ็บปวดมากๆอะค่ะ
    มันจะดีมากเลยถ้ายองแจกล้าเปิดใจมากกว่านี้แล้วดอนก็เลิกปิดกั้นและยอมรับความรู้สึกตัวเองสักที
    อยากบอกยองแจว่าลุยเลยลูก แค่หนูยิ้มนิดเดียวก็จะมีแมวตัวนึงโดนแอทแทค น็อกเอาท์คาที่แล้ว อย่าไปกลัวแมวมันแพ้ทางหนู สั่งให้ไปทำอะไรก็ยอม

    ตอบลบ