LOVE TOXICAL : DAEJAE CHAPTER 8

10:56


ครัวซองในจานกระเบื้องสวยถูกวางทิ้งข้างกาแฟร้อนบนโต๊ะตรงหน้าคนผอมที่มีเสื้อคลุมหนังตัวใหญ่กองบนตักนั่งเอนหัวพิงพนักโซฟาหนังในร้านเอาแต่มองออกไปด้านนอกร้านพลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า กระทั่งได้ยินเสียงเรียกจึงหันกลับมายังคนตัวใหญ่ที่กำลังลากเก้าอี้ออกมานั่งฝั่งตรงข้าม


“มันไม่อร่อยเหรอ ถ้าไม่อร่อยก็ไปสั่งอย่างอื่นมากินได้ ยังไงพี่ก็เลี้ยง” เสียงเข้มอุ่นถามขึ้นทำให้ฝ่ายที่ไม่กล้าสบตาโดยตรงด้วยยังกังวลถึงร่องรอยน้ำตาที่ยังคงอยู่จะเผยออกไปอีก


“ไม่ต้องครับ...ผมแค่ไม่หิวเฉยๆ”


“กินข้าวเช้ามาแล้วเหรอ ท่าทางเราดูไม่เหมือนคนกินอะไรมาเลย...พี่เคยบอกเราแล้วไม่ใช่เหรอว่ามื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญมีผลต่อการทำงานของสมอง ถึงเราจะเถียงว่าไม่กินก็สอบได้ที่หนึ่งแต่ยังไงมันก็ไม่ดีต่อสุขภาพ”ถ้อยคำเตือนเช่นเคยได้ยินจนคุ้นหูเรียกให้คนหน้าขาวเซียวไร้สีเลือดมีเพียงนัยน์ตาโตคู่นั้นที่ยังแดงก่ำเงยมองใบหน้าคมสันทว่านัยน์ตาจริงใจฉายแววอ่อนโยนของคนตรงข้ามพาลให้ภาพความทรงจำวันวานหวนคืน


ซน ฮยอนอูเป็นหนึ่งในบรรดาพี่ชายแถวบ้านที่เขาสนิทสมัยเด็ก ด้วยบิดาของทั้งคู่ต่างเคยทำงานตำแหน่งสำคัญในบริษัทเดียวกันด้วยทำให้ทั้งสองบ้านไปมาหาสู่กันบ่อย แม้อายุจะห่างกันถึงหกปีแต่ความอ่อนโยนและความซื่อตรงรวมทั้งการปลอบโยนความเศร้าโดยไม่ถามซักไซ้ถึงสาเหตุเพียงแค่เป็นหลักให้พิงทำให้เขาวางใจบอกเล่าความเศร้าที่แม้นตอนนั้นจะมีเพียงน้อยนิด หากอุบัติเหตุอันนำมาสู่ความตายแสนเศร้าของตระกูลอิมยังผลให้ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปจนไม่เหลือข้อมูลใดให้ติดต่อ


“พี่ยังขี้บ่นเหมือนเดิมเลยเนาะ” คนอ่อนกว่าว่าด้วยรอยยิ้มอ่อนก่อนจะขยับถอยเพื่อให้บริกรเสิร์ฟอาหารอันประกอบด้วยเบอร์เกอร์ชาโคลดับเบิ้ลแฮมชีส เฟรนซ์ฟรายตบท้ายด้วยต็อกบกกีชามใหญ่กับน้ำส้มผสมโซดาแล้วถามต่อ “นี่พี่หิวมากเหรอ ทำไมสั่งของกินมาเยอะจัง”


“หิวสิ...พี่ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว มัวแต่ทำสรุปสำนวนคดีอยู่รู้ตัวอีกทีก็เช้า พอออกจากสถานีจะมาหาอะไรกินหน่อยก็เจอผู้ร้ายเข้าพอดี ตำรวจที่ล้อมจับกันอยู่แม่งทำบ้าอะไรชักช้า พี่เลยวิ่งไล่กวดจนจับมันได้เมื่อกี้เอง”


“นี่พี่ยังไม่ได้นอนกับกินข้าวเลยเหรอ” อีกคนถามตาโต


“อืม ช่วยไม่ได้อะนะ ตำรวจแบบพี่มันงานยุ่ง ไม่ได้มีเวลามานั่งกินหรือนอนครบแบบคนอื่นเขาหรอก” คนเป็นพี่บอกพลางคว้าเบอร์เกอร์ทั้งชิ้นมากัดกินอย่างหิวโหยโดยไม่มีทีท่าจะถามถึงเรื่องราวก่อนหน้าที่ทำให้ต้องลากคนอ่อนกว่ามาถึงร้านอาหารกึ่งกาแฟมาด้วยกัน


“ผมไม่เคยคิดว่าพี่จะเป็นตำรวจมาก่อนเลย เมื่อก่อนเวลาถามพี่ว่าอยากทำงานอะไร พี่บอกว่าอยากเป็นนักบินตลอดเลยไม่ใช่เหรอ” ฝ่ายอ่อนกว่าย้อนความทรงจำถาม


“ไม่เคยคิดหรอกแต่พี่สอบการบินไม่ได้ ถึงสอบได้ก็ไม่มีปัญญาจ่ายค่าเรียนอยู่ดี พี่เลยลองไปสอบเข้าโรงเรียนตำรวจได้ก็เลยเรียน” ฮยอนอูตอบเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาแต่พอเหลือบตาเห็นความสงสัยบนหน้าผู้เป็นน้องตรงข้ามบ้านตนเองที่เขาเคยเรียกจนติดปากว่า ตัวเล็กครู่หนึ่งจึงเสริมต่อ “คืองี้ ตอนนั้นน่ะที่เกิดเรื่อง อีกสองปีพ่อพี่จะเกษียณ ตอนนั้นที่บ้านก็มีทรัพย์สินแค่บ้านที่อยู่กับหอพักอย่างเดียว ทีนี้ตึกมันเหลือผ่อนงวดสุดท้ายแล้วพ่อพี่เขาเลยขายบ้านเอาเงินไปจ่าย รายได้ของครอบครัวก็มีแค่เก็บค่าเช่าห้องอย่างเดียว พี่ไม่อยากรบกวนทางบ้าน อีกอย่างพี่สอบติดตำรวจก่อนเลยตัดสินใจมาทางนี้”


“แต่งานตำรวจมันเสี่ยงนี่ครับ คุณลุงคุณป้าท่านไม่ว่าเหรอ”


“ไม่หรอก...พ่อแม่พี่เขาให้พี่ตัดสินใจเองแต่ตัดสินใจแล้วต้องทำให้ดีให้ท่านเห็นด้วย ท่านถึงจะไม่ว่า”


“แล้วตอนนี้คุณลุงคุณป้าท่านเป็นยังไงบ้างครับ ยังแข็งแรงดีหรือเปล่า”


“ไม่รู้สิ...พี่ไม่แน่ใจว่าบนสวรรค์มีที่ให้ออกกำลังกายไหมเลยตอบไม่ได้ว่าแข็งแรงหรือเปล่าแต่พี่คิดเอาเองว่าพวกท่านน่าจะมีความสุขดีนะ อย่างน้อยพวกท่านก็ได้อยู่ด้วยกันบนนั้น” 


“ฮะ...พี่...พี่พูดแบบนี้หมายความว่า คุณลุงคุณป้าท่าน...”  ประโยคติดตลกมียิ้มบางแต่สื่อความหมายครบทำให้ฝ่ายคนถามละล่ำละลักด้วยความตกใจ ทว่าเจ้าของเรื่องไม่มีทีท่าเศร้าโศกด้วยสูญเสียบุพพารีหาใช่เรื่องทุกข์เศร้าเพราะความทรงจำของพ่อแม่ยังอัดแน่นอยู่ในใจและความคิดคำนึง


“ใช่...ท่านเสียแล้วเมื่อสามปีก่อน เสียด้วยมะเร็งทั้งคู่ ตอนแรกแม่พี่เป็นก่อนท่านบอกให้พี่อย่ายื้อเพราะท่านเจ็บน่ะ พอแม่ไป พ่อพี่ก็ป่วยด้วยแล้วตามกันไป”    


“เสียใจด้วยนะครับ...ผมไม่รู้ก็เลย...ผมไม่น่าถามเลย ขอโทษนะครับ”


“ไม่เห็นต้องขอโทษเลยตัวเล็ก...ความตาย ความสูญเสียมันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก อีกอย่างพี่ก็ไม่ได้เศร้าอะไรมากหรอกนะ ถึงพวกท่านจะเสียไปแล้วแต่ความคิดถึงที่พี่มีต่อท่านไม่ได้หายไปไหน ว่าแต่เราเถอะ พี่ไม่ได้เราตั้งนาน น่าจะสิบสองปีได้แล้วมั่ง ทำไมหน้าไม่เปลี่ยนเลย ตัวก็ยังเล็กเหมือนเดิม แล้วตอนนี้เราทำอะไรอยู่ที่ไหนล่ะ”


“ตอนนี้ผมเปิดร้านกาแฟอยู่”


“ร้านกาแฟ...ร้านแถวนี้เหรอ”


“เปล่าครับ...ร้านผมอยู่แถวซงพาน่ะ อ้อ จริงสิ ถ้าพี่เป็นตำรวจก็ต้องอยู่เกาหลีตลอดใช่ม้า อย่างงั้นพี่ก็คงติดต่อกับพี่มาร์คกับจินยองอยู่ใช่มั้ย พวกเขาเป็นยังไงกันครับ” คำถามพาดพิงถึงเพื่อนบ้านสมัยเด็กคนอื่นๆ ทำให้ฝ่ายที่หยิบเฟรนซ์ฟรายเข้าปากหรี่ตาลงเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ชั่วนาทีก่อนจะเปิดปากพูดด้วยเสียงเรียบ


“กับมาร์คก็ติดต่อกันอยู่บ้าง ตอนนี้มาร์คเขาดูแลบ้านกับตึกของครอบครัวแถวคังนัมน่ะ ส่วนจินยอง...” เสียงของคนเป็นพี่ขาดหายไปครึ่งนาทีจึงต่อ “พี่เห็นเขาจากข่าวแล้วก็เคยเจอเขาอยู่สองสามครั้ง แต่...จะพูดยังไงดีนะ เขา เขาไม่ค่อยเหมือนเดิมแล้ว”


“ไม่เหมือนเดิมคือยังไงครับ”


“เขาผ่านเรื่องหนักๆด้วยตัวเองมาเยอะก็เลยดูไม่ค่อยจะเชื่อใจใคร ไม่เปิดใจให้ใครเหมือนก่อน”


“อา...” ผู้ถามหลุดเสียงจากในคอ ตากลมสวยทอดลงยังช้อนกาแฟบนจานรองพลางย้อนคิดถึงเพื่อนสนิทที่เคยตัวติดกันราวกับเป็นฝาแฝดแต่ความจำเป็นของทางบ้านทำให้ต้องแยกจาก แม้เพียรพยายามติดต่อทางโทรศัพท์ก็ถูกกีดกันกระทั่งจดหมายก็ถูกตีกลับ


...จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เคยเชื่อ คำที่ว่า ไม่อยากคุยกับคนที่ทิ้งตัวเองไปจากปากแม่เลี้ยงของจินยองที่พูดผ่านโทรศัพท์เลย... 


วันเวลาผ่านพ้นไป มีหลายสิ่งหลายอย่างเป็นปัจจัยให้เกิดความเปลี่ยนแปลง แม้แต่ตัวเขาเอง ใครเลยจะคิดว่าวันหนึ่งต้องทิ้งความฝันที่ดิ้นรนมาตลอดเพราะปัญหาสุขภาพที่ไม่รู้เลยว่าจะมีโอกาสหายหรือไม่ กลายเป็นภาระให้กับคนรอบตัวต้องคอยดูแลห่วงใย แม้แต่ความมั่นใจในตัวเองที่เคยมีก็พังไม่เป็นท่า 


ทุกความเจ็บปวดเวียนวนอยู่ภายใน หากการได้เห็นคนที่รักเป็นทุกข์เพราะตนเองเป็นสิ่งที่เศร้าเสียยิ่งกว่า เพราะเหตุนั้นเขาจึงเลือกเก็บความทรมานทั้งทางกายและใจไว้ไม่แสดงออกไป แต่วันนี้เขากลับร้องไห้ออกมาต่อหน้าคนที่ไม่แม้แต่จะคิดถึงหัวใจเขาเลยด้วยซ้ำ


...แค่ต้องยอมรับความฝันที่ล่มสลายและอาการป่วยของตัวเองก็แย่แล้ว ยังไปรักคนที่เขาไม่เคยเหลียวแลตัวเองอีก

...ไม่อยากจะผูกใจตัวเองไว้กับหมอนั่นแต่ก็ตัดใจไม่ได้เสียที เมื่อเขาดีด้วยเมื่อไหร่ใจก็อ่อนโอนไปตามนั้น...


คนตัวเล็กยกมือลูบหน้าอกตัวเองปรอยๆด้วยรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัดอย่างแรงจนเจ็บจุกแต่ริมฝีปากยังคงแย้มกว้างแสร้งทำไม่เป็นอะไรทั้งที่มือกำแน่นแต่เมื่อมืออุ่นหนาเอื้อมมาลูบผมอย่างอ่อนโยนและคำถามที่จี้จุดดำในหัวใจทำให้ริมฝีปากสั่น


“พี่จะไม่ถามหรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราเพราะพี่เข้าใจว่าเราไม่อยากพูดถึงมัน แต่พี่รู้แค่ว่าเราในตอนนี้ต่างจากเมื่อก่อน พี่ไม่เห็นยองแจคนที่มั่นใจตัวเอง คนที่ยิ้มอยู่เสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากเราในตอนนี้เลย”


ยองแจเม้มริมฝีปากเหลือบตามองรอยยิ้มอ่อนจางและดวงตาอุ่นที่ทอดลึกมาหาอย่างพร้อมเข้าใจในทุกเหตุผลโดยไม่จำเป็นต้องได้รับคำอธิบายเช่นเมื่อก่อนเปรียบดั่งคลื่นยักษ์สาดกระทบทำนบที่กักกดความรวดร้าวตลอดหลายปีให้พังครืนลงมาพร้อมกับน้ำตาที่ไม่ว่าจะเช็ดสักเท่าไหร่ก็มีแต่จะไหลมากขึ้นจนต้องฟุบหน้าลงบนโต๊ะเพื่อซ่อนน้ำตาไว้ไม่ให้ใครได้เห็น


...เขาเกลียดตัวเอง...
...เกลียดที่ต้องกลายเป็นคนที่แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่อยากเป็น...
...เกลียดที่ตัดใจจากคนที่ไม่เคยเหลียวแลตัวเองไม่ลง
...เกลียดที่แม้แต่จะหยุดตัวเองให้เลิกร้องไห้ก็ทำไม่ได้...


ฮยอนอูลุกจากเก้าอี้มองคนที่ฟุบหน้าลงบนโต๊ะซ่อนความเจ็บปวดและกลั้นเสียงสะอื้นไว้ไม่ให้ได้ยินแต่อาการสะอื้นที่หยุดไม่ได้ทำให้ไหล่ไหวสะท้านขึ้นลงรุนแรงอยู่ครู่หนึ่งก็ผละไปยังเคาน์เตอร์แคชเชียร์เพื่อสั่งมาการองกับน้ำส้มปั่นกลับบ้าน หลังจ่ายเงินเรียบร้อยจึงเดินกลับมาดึงแจ็กแก็ตหนังที่คลุมบนไหล่น้องขึ้นมาคลุมถึงหัวแล้วดึงทั้งตัวขึ้นมากอดไว้ด้วยแขนข้างหนึ่งพาไปยังรถยนต์สีดำที่จอดอยู่หน้าร้าน


คนผอมรับรู้ได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในพื้นที่สาธารณะแต่ความเคยชินในการกลั้นเสียงสะอื้นแม้จะร้องไห้เพียงลำพังในหลายปีหลังทำให้ปากเม้มแน่นทั้งที่น้ำตาอาบหน้าจนเปียกชุ่ม


“ไม่เป็นไร มีแค่พี่อยู่ตรงนี้ เราอยากร้องไห้มากแค่ไหนก็ร้องได้ ไม่ต้องซ่อนหรอก”


ถ้อยความของคนเป็นพี่เหมือนนานมาเรียกให้เจ้าของตากลมสวยน้ำตาคลอหน่วยเหลือบหาแค่เห็นรอยยิ้มพร่างพรายตรงหน้า ริมฝีปากที่กัดเม้มก็คลายออกพร้อมกับเสียงสะอื้นหนักแทบขาดใจปนน้ำตาก็เผยออกมา ความเศร้าที่ไม่เคยได้แบ่งเบาทำให้ร่างใหญ่ขยับเข้าไปดึงน้องมากอดไว้แนบอกเช่นที่เคยปลอบ


“มันหนักหนามากสินะ ไม่เป็นไรนะ พี่อยู่ตรงนี้แล้ว...ถ้าทนไม่ไหวล่ะก็พี่จะช่วยแบกมันไว้ให้” เขากระซิบบอกกอดน้องที่ทิ้งน้ำหนักทั้งตัวลงมาร้องไห้อย่างหมดท่าไว้อย่างห่วงใยก่อนจะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของบางสิ่งเป็นระยะกว่าจะรู้ว่าเป็นโทรศัพท์มือถือก็ตอนที่น้องดันตัวเองออกจากการถูกกอดพร้อมกดปุ่มลดกระจกกำโทรศัพท์ไว้อีกมือเตรียมจะขว้างไปข้างนอก


“ตัวเล็ก” เขาเรียกคว้าข้อมือผอมที่ชูโทรศัพท์ไว้ให้ลดลงมาพลางปรายตามองชื่อ แดฮยอน ที่ปรากฏบนหน้าจอก็คล้ายจะเข้าใจสาเหตุที่กระตุ้นให้ความอัดอั้นที่น้องเก็บไว้ปะทุ


“หมอนี่สิที่ทำให้เราเป็นแบบนี้”


“ไม่...ไม่ใช่” คำปฏิเสธเสียงสั่นระริก ริมฝีปากอ้ากว้างหอบเอาอากาศที่ใกล้จะหมดลมการพูดจึงตะกุกตะกัก “คนที่ไม่...ไม่เคยคิดถึงความรู้สึก...คนอื่น คนที่ทำอะไร...ตามใจตัวเอง คนที่ไม่ว่า...เมื่อไหร่ก็ไม่เคยเห็น...เห็นผมมีความหมาย คนแบบนั้นน่ะ...”


ท้ายที่สุดเสียงพูดก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงสะอื้นและน้ำตาหลากท่วมเป็นสายหยดลงบนหน้าจอโทรศัพท์ที่มีชื่อใครคนเดิมปรากฏอยู่พร้อมกับแถบแจ้งเตือนสายไม่ได้รับห้าสิบสายและไม่มีทีท่าว่าผู้โทรเข้าจะวางสายง่ายๆ เลยกลายเป็นฮยอนอูเองที่ดึงโทรศัพท์นั้นออกจากมือที่กำแน่นจนสั่นแล้วปิดเครื่อง


“ถ้าไม่อยากรับก็ปิดเครื่อง แล้วไปทำอะไรอย่างอื่นเถอะ เอางี้ เดี๋ยวพี่พาเราไปขับรถเล่น ขับเสร็จถ้าเรายังไม่อยากกลับบ้าน ค่อยไปหาอะไรกินหรือเดินเล่นกันที่ไหนสักที่ก็ได้ โอเคไหม” ผู้เป็นพี่ชวนด้วยเป็นช่วงว่างของตนเองและรู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่อยากกลับบ้านแน่ เมื่อเห็นน้องที่ซบหน้ากับมือทั้งสองข้างผงกหัวก็สตาร์ทรถขับออกจากหน้าร้านกาแฟไป
----------------------------------------------------------------
เสียงสัญญาณแจ้งเตือนการใช้กุญแจไขลูกบิดประตูดังขึ้นเพียงสองวินาทีบานประตูก็เปิดออกก่อนที่ชายหนุ่มตัวท่วมเหงื่อจะแทรกตัวเข้าไปภายในอย่างรีบร้อน เพียงสลัดรองเท้าผ้าใบพ้นไปได้เจ้าตัวก็เดินชะเง้อหาเพื่อนร่วมบ้านของตนเองไปทีละห้องแต่ไม่พบใครเลยสักคน เมื่อเคาะประตูห้องนอนของอีกคนก็ไม่มีการตอบรับจึงจำเป็นต้องหาลวดมาสะเดาะล็อกประตูอย่างถือวิสาสะกลับไม่มีกระทั่งเงา


แดฮยอนโซเซกลับมายังห้องนั่งเล่นทิ้งตัวลงวางคอกับศีรษะพิงบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน ในมือกำโทรศัพท์มือถือชูสูงขึ้นมาในระดับสายตาพร้อมกดนิ้วลงบนหน้าจอโทรไปยังหมายเลขที่จำได้ขึ้นใจเพื่อจะได้ยินการตอบรับอัตโนมัติแจ้งว่าไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้


“เหี้ยเอ๊ย” เขาสบถสุดเสียงขว้างโทรศัพท์ไปบนโซฟาจนมันหายเข้าไปในซอกเบาะ มือทั้งสองขยุ้มผมจนยุ่งก่อนจะลดมือลงมาประสานตรงจมูกอย่างคนหนทางและเมื่อตาทั้งสองปิดลงอย่างกลัดกลุ้มภาพของยองแจที่น้ำตาคลอมองเขาด้วยแววตาเจ็บปวดกลับลอยมาดึงให้เขากำหมัดชกกับผนังเต็มแรง


แดฮยอนมองดูหมัดแดงที่มีเลือดซึมจากรอยถลอก ความเจ็บปวดเสียใจที่ทำให้คนสำคัญอย่างมากกับตัวเองร้องไห้โดยไม่สามารถวิ่งไปหาเพื่อจะปลอบหรือติดต่อได้ผันเป็นความโกรธเกรี้ยวตนเองที่เขาไม่นึกอยากให้อภัย


...ถึงไม่รู้ว่ายองแจโกรธอะไรจนร้องไห้ออกมาแต่เขารู้ว่ามันมีสาเหตุจากเขา...


หลังจากวิ่งตามหาและโทรติดต่ออยู่นานหลายชั่วโมงในคังซอเหมือนคนบ้ารวมทั้งลองโทรไปหาฮิมชานดูถึงรู้ว่าเจ้าตัวอยู่เสร็จประชุมที่ปูซานเตรียมจะไปญี่ปุ่นต่อเลยตัดสินใจเสี่ยงกลับมาเผื่อว่าจะเจอตัวเพื่อนร่วมบ้านแต่ก็ผิดคาด


“นายอยู่ไหนของนายกัน” เขาถามตัวเองท่ามกลางความเงียบในห้องก่อนจะวิ่งเข้าห้องหยิบกระดาษกับปากกามาเขียนชื่อสถานที่ที่ยองแจเคยเล่าว่าชอบไปถ่ายรูป ไล่มาจนถึงร้านขายเมล็ดกาแฟที่อีกฝ่ายชอบดื่มเป็นประจำจากนั้นก็ค้นในอินเตอร์เน็ตหาวิธีการไปเพื่อจะพบว่า ร้าน 1004 ที่ขายเมล็ดกาแฟนั่นอยู่ห่างจากร้านนัดเลี้ยงรุ่นไปไม่ไกล


...ยองแจอาจจะอยู่ที่นั่นก็ได้...
...ถ้าไม่เจออย่างน้อยก็ซื้อเมล็ดกาแฟกลับมาไถ่โทษก็ยังดี...


คิดได้เท่านั้นชายหนุ่มก็กุลีกุจอล้วงหยิบโทรศัพท์ที่ปาไปตกในซอกโซฟารีบออกจากบ้านเรียกหาแท็กซี่กลับไปยังย่านที่ตัวเองเพิ่งจากมา ใช้เวลาบนท้องถนนอยู่เป็นชั่วโมงก็มาถึงหน้ามินิมาร์ทขนาดใหญ่ที่มีป้ายชื่อติดไว้ว่า 1004 เมื่อผลักประตูเข้าไปในร้านพลันเสียงกระดิ่งดังขึ้นแปลกที่คนหลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์กลับไม่สนใจอะไรยังคงกางหนังสือพิมพ์บังหน้าบังตาอ่านอยู่อย่างนั้น


แดฮยอนก้าวเท้าไปตามทางเดินที่แวดล้อมด้วยชั้นวางสินค้าและข้าวของตามหาคนที่อยากพบไปทีละช่องทางอย่างรีบร้อน หากก็เจอเพียงลูกค้าสองคนกำลังกอบของบนชั้นจนเกลี้ยงลงตะกร้าจึงเดินตามไปดูถึงเห็นว่าของในช่องที่ถูกโกยไปเป็นเมล็ดกาแฟยี่ห้อเดียวกับที่เขาตั้งใจจะมาซื้อ


“เวรเอ๊ย” เขาสบถพลางกัดปากแรงอย่าหงุดหงิดก่อนจะตรงดิ่งไปยังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ที่มีพนักงานผิวขาวจัดสวมเสื้อยืดสีฟ้าทับด้วยเชิ้ตสีน้ำตาล ผมสีดำสนิทเป็นประกายสวยยาวประบ่าที่ง่วนอยู่กับการยัดบางอย่างใต้ลิ้นชักสองสามนาทีก็เงยหน้าที่ดูหล่อและสวยเหมือนผู้หญิงได้ในคราวเดียวมาหา


ตาสีน้ำตาลเข้มบนดวงหน้านั้นสบเข้ากับตาของลูกค้านั้นเย็นชากระทั่งริมฝีปากยังปิดสนิทไร้แววอารมณ์เหมือนหุ่นยนต์มากซะขนาดที่อีกฝ่ายนึกแปลกใจแต่ด้วยความไม่อยากสนใจอะไรมากไปกว่าเรื่องคนและกาแฟจนปัดเรื่องนั้นทิ้งและเปิดปากบรรยายถึงลักษณะของคนที่มาตามหา


ฝ่ายตรงข้ามมองนิ่งจึงกระพริบตาหนึ่งทีให้รู้ถึงสัญญาณการมีชีวิตแล้วส่ายหน้าแทนการพูดพร้อมกับมือเลื่อนไปหมายจะหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางพับอยู่


“กาแฟยี่ห้อ...มีอีกมั้ยครับ”


“ดูบนชั้น”


“คือเมื่อกี้มีลูกค้าสองคนเขากวาดไปเกลี้ยงชั้นแล้ว...”


“ก็ตามนั้น”


“ฮะ...ไอ้ตามนั้นที่ว่าคือยังไงครับ”


“หมด”


“หมดเหรอครับ...ในสต็อกก็ไม่มีเหรอครับ”


“ไม่”


“ร้านคุณก็ออกใหญ่นะ ไม่สต็อกสินค้าไว้เลยเหรอครับ”


“หมดก็คือหมด” พนักงานยังยืนกรานหน้าตายมองลูกค้าหน้าใหม่ที่กอดอกจ้องตอบมาด้วยแววตาเรียบเย็นปานกันทว่าประกายกล้าในนั้นคล้ายกำลังอ่านข้อเท็จจริงของคำพูดผ่านลักษณะท่าทาง...ต่างฝ่ายต่างยืนสบตากันด้วยอาการเฉยชาทั้งที่กำลังท้าทายกันในความเงียบนานหลายนาทีกว่าที่ลูกค้าจะถอนหายใจออกมา


“ถ้าคุณยอมเดินไปหยิบเมล็ดกาแฟที่ผมต้องการจากสต็อก...จะให้ผมจ่ายเพิ่มเท่าไหร่ก็ว่ามา” ลูกค้าหนุ่มบอกด้วยท่าทางจริงจังจ้องพนักงานตรงหน้าที่ยืนนิ่งไม่ไหวติงเหมือนไม่มีชีวิตอยู่อย่างนั้นสักครู่จึงขยับหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องสำหรับเก็บสต็อกสินค้าและหยิบเมล็ดกาแฟลังหนึ่งออกมา


“หมดนี่สองแสนสามหมื่นวอน”


“ฮะ...เดี๋ยวนะ บนชั้นมันติดราคาสามหมื่นวอน ในลังมีหกซองมัน...” คนค้านมองเลขระบุจำนวนสินค้าบนลังกระดาษแล้วนับนิ้วหาส่วนต่างจนได้ราคาจริงก็ตาโต “นี่คุณเอาค่าเดินห้าหมื่นวอนเลยเหรอ”


“จะเอาหรือเปล่า”


“แบ่งขายได้ไหม...สักห่อสองห่อก็พอ”


“ได้...แต่ไม่ลดค่าเดิน”  พนักงานหนุ่มยังคงตอบอย่างไร้อารมณ์ไม่แยแสต่อลูกค้าที่กัดกรามแน่นอย่างอดกลั้นราวกับการสร้างสัมพันธภาพอันดีกับลูกค้าไม่ใช่เรื่องจำเป็นแต่อย่างใด


...แม่งขายของยังไงของมันวะ...


“ไม่เอาก็เก็บ” 


เพราะเห็นอาการลังเลพนักงานคนเดียวในร้านจึงยกลังขึ้นเหมือนจะเอาไปเก็บทำให้อีกฝ่ายเรียกเสียงหลงแล้วตัดสินใจหยิบกระเป๋าตังค์ควักบัตรเครดิตลายการ์ตูนวัวสีเขียวที่ซ้อนทับช่องลับซ่อนแบล็กการ์ดซึ่งใช้งานประจำออกมาส่งให้อย่างเสียไม่ได้และรับสินค้าเป็นเมล็ดกาแฟใส่ถุงกระดาษประทับตราร้านในราคาที่แพงกว่าปกติหลายเท่า


เมื่อผลักประตูออกจากร้านฟ้าที่เป็นสีส้มทองเรืองรองจากอาทิตย์อัสดงกลับมืดครึ้มย่างสู่ค่ำคืนอย่างเต็มภาค แดฮยอนสูดลมหายใจและหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าออกมากดโทรออกไปยังหมายเลขของเพื่อนร่วมบ้านหวังเพียงว่าจะได้ยินเสียงกดตัดสายแต่ก็มีเพียงเสียงตอบรับอัตโนมัติแจ้งติดต่อไม่ได้กลับมาเช่นเคยเลยจำใจต้องพิมพ์ข้อความส่งไปหาทั้งที่มีข้อความที่ไม่ขึ้นอ่านอยู่ด้านบนอีกหลายสิบข้อความ


...ฉันขอโทษ...
---------------------------------------------------------------------------------------
รถยนต์สีดำสัญชาติเกาหลีแล่นมาจอดหน้าอาคารพักอาศัยสูงหลายสิบชั้นจากนั้นร่างผอมจึงลงจากรถโดยถือถุงกระดาษลายสวยภายในเต็มไปด้วยเจลเย็นประคบตา มือขาวโบกมือให้กับสารถีที่อุตส่าห์ขับรถไกลหลายกิโลมาส่งกระทั่งรถคันนั้นแล่นหายจากสายตาจึงแตะคีย์การ์ดตรงผนังข้างประตูกระจกกลับไปยังบ้านของตนเอง


ยองแจวางรองเท้าลงบนชั้นวางเหลือบมองรองเท้าผ้าใบของเพื่อนร่วมบ้านที่เยินขาดเหมือนผ่านการใช้งานหนักทั้งที่ก่อนหน้ายังอยู่ในสภาพดีก็ผละเดินเข้าไปในบ้านที่โถงกลางเปิดไฟสว่างพร้อมใครคนหนึ่งที่กระเด้งตัวจากโซฟารีบเข้ามาหาด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆ


“ยองแจ...ฉันขอโทษนะ ขอโทษที่ทำให้นายไม่พอใจ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นเลย” ประโยคสำนึกผิดหลุดจากปาก หากฝ่ายที่ผ่านหลบไปพักความเศร้าบนสถานีตำรวจแทนที่จะได้ไปขับรถเล่นอย่างที่โดนชวนเพราะพี่ชายถูกตามตัวให้ไปสอบสวนผู้ต้องหาไม่แม้แต่จะมองหน้าเพียงเดินผ่านไปยังครัวเพื่อหยิบน้ำในตู้เย็นดื่ม


“นายหายไปไหนมาเหรอ ฉันตามหานายซะทั่วเลย โทรศัพท์หานายก็ไม่รับสาย ข้อความก็ไม่เปิดอ่าน...นี่ ฉันไปตามหานายที่ร้านมินิมาร์ทที่นายเคยบอกว่ามีเมล็ดกาแฟที่นายชอบขายแต่นายก็ไม่อยู่ ฉันก็เลยซื้อเมล็ดกาแฟนั่นมาให้ สองห่อนี่พอจะเก็บไว้ดื่มได้ถึงเดือนหรือเปล่า” เจ้าของเสียงทุ้มนุ่มตามเข้ามาถามถึงในครัว ทว่าเจ้าของบ้านไม่ตอบคำถามเพียงวางน้ำเปล่าในขวดเข้าตู้เย็นและตั้งแก้วน้ำทิ้งไว้ในอ่างล้างจานแล้วเดินผ่านคนตัวสูงกว่าที่ยืนใกล้ประตูกลับเข้าห้องของตนเองไปอย่างเงียบงันโดยไม่ฟังกระทั่งเสียงเรียกที่ขาดหายไปพร้อมกับประตูที่ปิดลง


แดฮยอนกระพริบตาเม้มริมฝีปากให้กับความเมินเฉยที่ไม่คุ้นเคยจากเพื่อนร่วมบ้านทำให้หัวใจคล้ายหายออกจากอกไปทั้งดวง...มือข้างหนึ่งกำแน่นเคาะประตูเรียกให้ออกมาหาอีกสักครั้งแต่ไม่ได้รับการตอบสนองทำให้มือตกลงข้างตัวคงมีเพียงปากที่ขยับบอกเล่าสิ่งที่อยู่ในใจหน้าห้องด้วยเสียงดังเพียงลำพัง


“ฉันขอโทษจริงๆนะ ฉันรู้ว่าตัวเองเอาแต่ใจที่ชวนนายออกจากงานเลี้ยงรุ่นและฉันรู้ว่าฉันทำรุนแรงกับหมอนั่นเกินไปด้วย นายคงจะโกรธที่ฉันทำตัวไม่ดี แต่ว่านะเรื่องที่หมอนั่นพูดว่าฉันหลอกใช้นายมันไม่จริงเลย ตอนที่เราอยู่ด้วยกัน เวลาที่ฉันได้ทำอะไรเพื่อนาย ฉันทำด้วยความเต็มใจไม่ใช่ทำเพราะหาผลประโยชน์จากนาย ถึงแม้ฉันจะเป็นคนไม่เอาไหนและคอยแต่ทำให้นายต้องลำบาก นายจะโกรธฉันก็ได้นะ อยากจะต่อยฉันสักสองสามหมัดก็ได้ แต่อย่าเกลียดฉันเลยนะ ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่ทำอะไรที่นายไม่ชอบอีก ให้อภัยฉันสักครั้งเถอะ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ฉันขอได้ไหม” 


ข้อความในใจผ่านริมฝีปากจากคนที่ยังไม่เข้าใจเหตุผลในการก่อความรุนแรงเพียงแค่เห็นเพื่อนร่วมบ้านที่ตนเองสนิทแวดล้อมด้วยคนอื่นนั้นเว้าวอนอ้อนขออย่างหมดหนทางลอดเข้ามาทำให้ฝ่ายที่นั่งบนเตียงมองไปทางประตูเม้มริมฝีปากที่กำลังสั่นพาลนึกถึงคำหนึ่งที่พี่ชายข้างบ้านบอกไว้ก่อนอำลา


คนเราเลือกคนที่ชอบไม่ได้หรอก พอรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นความรู้สึกที่ฝังลึกในใจไปแล้ว การจะถอนตัวมันก็ยากแต่การที่อีกฝ่ายไม่มีใจให้มันไม่ใช่ความผิดของเขา เราจะยัดเยียดให้เขารู้สึกแบบเราไม่ได้หรอก มีแต่เราเท่านั้นที่ต้องเป็นฝ่ายตัดสินใจว่าจะยอมรับความเจ็บปวดจากการแอบรักต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้นหรือจะตัดใจยอมเจ็บปวดหนักครั้งเดียวแต่ไม่ยืดเยื้อ แค่นี้ที่เรามีสิทธิ์เลือก


ความจริงถึงฮยอนอูไม่บอกเขาก็รู้แก่ใจดีอยู่แล้วว่าควรทำตัวยังไงแต่การต้องเห็นหน้าและอยู่ด้วยกันทุกวัน ได้รับความเอาใจใส่จากคนที่ตัวเองชอบทำให้การตัดใจนั้นยากอย่างมาก แต่การที่อีกฝ่ายมาตะโกนร้องขอความเห็นใจอย่างสำนึกผิดสาธยายถึงความผิดที่ไม่ใช่ประเด็นหลักที่ทำให้เขาเสียใจเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม


ความจริงคนที่ผิดในเรื่องนี้ที่สุดคือเขาเองที่คิดคาดหวังไปเองว่าความใจดีที่ได้รับคือความชอบในรูปแบบเดียวกัน


ก้อนกรวดที่ริตะกายไปให้ถึงดวงตะวันทั้งที่ไม่มีวันได้ไปถึง หากการหลบเร้นในเงามืดโดยไม่ได้รับแสงอุ่นนั้นอีกเป็นเรื่องที่ก้อนกรวดอย่างเขาไม่คิดว่าจะทำได้ หากการทำใจยอมรับสถานะเพื่อนให้ได้ในวันเดียวมันยากเกินไป


...เขาไม่พร้อมจะเห็นหน้าแดฮยอนในตอนนี้ ไม่พร้อมจะปั้นหน้ายิ้มให้โดยไม่ร้องไห้ออกมา...

...เขาต้องการเวลาในการหยุดพักสักครู่เพื่อในวันข้างหน้าจะได้มีแรงฝืนยิ้มให้กับความเจ็บปวดจากการแอบรัก...


ยองแจเอนตัวลงนอนขดบนเตียงท่ามกลางความมืดมิดไร้แสงไฟพลางยกมือปิดหูเพื่อกั้นเสียงทุ้มแสนเศร้าที่เฝ้าแต่ขอโทษและโทษตนเองทั้งที่เขาไม่มีสิทธิ์ได้รับมันเพราะคนที่ควรได้รับต้องเป็นคนที่ถูกชกจนล้มคว่ำ ทว่าคนด้านนอกประตูกลับไม่ย่อท้อในการเอ่ยคำขอโทษจนท้ายที่สุดน้ำตาที่อดกลั้นไว้ก็ไหลออกมา


ชั่วเวลาแห่งการร้องไห้อย่างเงียบงันนั้นเป็นเวลาเดียวกับที่ผู้เป็นเพื่อนร่วมบ้านมองบานประตูที่เหมือนไม่มีวันเปิดต้อนรับ ค่อยๆถอยมือที่เคาะประตูลดลงมาวางข้างตัวก่อนจะตัดสินใจไปหยิบเสื้อผ้ามาอาบน้ำเผื่อว่า น้ำจะช่วยให้คิดสมองโล่งพอจะคิดหาวิธีทำให้อีกฝ่ายหายโกรธ ทว่าการอาบน้ำกลับไม่ช่วยให้คิดอะไรได้มากไปกว่าวิธีเดิมเลยจำใจต้องเดินกลับเข้าห้องตนเองไปทั้งที่ใจไม่อยาก  


ชายหนุ่มยกมือก่ายหน้าผากมองเพดานที่มีแสงส้มจากด้านนอกสาดกระทบในความมืดมิดก่อนที่ดวงตาจะปิดลงอย่างอ่อนล้า พลันภาพนัยน์ตากลมสวยมีน้ำตาคลอหน่วยของเพื่อนร่วมบ้านกลับลอยเข้ามาในความคิด ซ้ำร้ายไปกว่านั้นความว่างเปล่าโหวงว่างที่ไม่เคยรู้สึกเลยยามอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยกันกับเจ้าของบ้านหลังนี้กลับถาโถมเข้ามา


...ครั้งสุดท้ายที่เขารู้สึกชีวิตตัวเองไร้ความหมายเป็นช่วงที่ยองแจไม่อยู่บ้าน...


เมื่อไม่มีงานให้ทุ่มเทและไม่มีคนที่ทำให้อยากกลับบ้านมาหาทำให้ตลอดสัปดาห์นั้นเขาเอาแต่ออกไปสังสรรค์กับคนอื่นข้างนอกตามประสาคนไม่มีครอบครัวให้กลับและยังแวะไปดื่มคนเดียวจนเมาในบาร์ที่เขาเคยใช้เป็นแหล่งพักพิงในสมัยเพิ่งหนีออกจากบ้านและอยู่อย่างยากลำบาก


...ในแต่ละวันเขารอแค่จะได้ยินเสียงของยองแจที่โทรมาหรือได้อ่านข้อความกับดูรูปที่ยองแจส่งมาให้
...ยองแจมีความหมายกับเขามากอย่างที่ไม่ว่าอยากได้หรืออยากให้เขาทำอะไรเขาจะทำให้ทุกอย่าง
...ทั้งที่มีความหมายถึงขนาดนั้นก็ยังทำให้ลำบากและเสียใจอยู่ตลอด...


แดฮยอนพ่นลมหายใจยาวออกมาอย่างรู้สึกผิดและอ่อนล้า ยังคงพยายามคิดหาทางที่ทำให้ได้คืนดีกันอยู่อย่างนั้นกระทั่งเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัวและถูกความฝันฉุดกระชากไปสู่ความทรงจำเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก


ภายในห้องโดยสารของรถยนต์หลายที่นั่งแล่นไปบนถนนทอดยาวนั้นสองข้างทางร้างบ้านเรือนหรือผู้คนมีเพียงต้นไม้ใหญ่และดอกไม้บานสะพรั่ง เมื่อหันมองไปยังข้างกายกลับมีหญิงสาวผมยาวประบ่าสวมชุดกระโปรงผ้าป่านสีขาวเป็นคนขับ


แดฮยอนรู้ได้ในวินาทีนั้นเองว่าตนเองอยู่ในความฝันและภาพตรงหน้านั่นคือเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้ชีวิตเขาเหมือนตกนรกทั้งเป็น 


แม้จะรู้ว่านี่คือความฝันทว่าเขากลับถูกฝังในอยู่ในร่างของเด็กชายแดฮยอนในวัยหกขวบที่ไม่ประสีประสาต่อความโหดร้ายของโลกเพราะมีแม่ ยายและพี่ชายคอยปกป้อง


...คงมีเพียงการได้พบหน้าผู้เป็นพ่อเท่านั้นที่ทำให้เด็กชายรู้สึกขลาดกลัว...


เด็กชายอยู่กับพี่ชายภายใต้การดูแลของแม่มาตลอดจะได้พบพ่อก็นานๆครั้ง หากทุกครั้งที่พบกันเด็กชายรับรู้ได้ถึงความเย็นชา...พ่อไม่เคยยิ้ม ไม่เคยกอดสัมผัสหรือสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของเขา แม้แต่การสนทนาก็น้อยคำและแข็งกระด้าง


เวลาที่พ่อมาบ้าน แม่จะเรียกให้แม่บ้านมาพาเขาไปอยู่ในห้องนอน แต่มีครั้งหนึ่งที่เขาเห็นแม่ร้องไห้อ้อนวอนอย่างน่าสงสารนั่นทำให้เขากลัวพ่อเป็นอย่างมาก


“แม่ครับ เราจะไปไหนกันเหรอครับ” เสียงใสของเด็กชายเอ่ยถามด้วยความสงสัยก่อนที่ใบหน้าสวยคมอมโศกจะหันมาหาด้วยรอยยิ้มกว้างพร้อมกับมือนุ่มหอมที่ยื่นมาลูบแก้มไว้


“ไม่รู้สิ...แม่ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน” คำตอบนั้นอ่อนโยน ทว่าแววละมุนบนดวงตาแดงก่ำด้วยร้องไห้หนักมาครู่ใหญ่กลับหม่นเศร้า


“ผมอยากไปหาคุณยาย แม่พาผมไปหาคุณยายได้มั้ยครับ”


“เราอยากไปหาคุณยายเหรอ... นั่นสิ ทำไมแม่ถึงไม่คิดมาก่อนนะ” ถ้อยคำในตอนท้ายขาดหายไปในลำคอคล้ายขบคิด “งั้นเราไปบ้านคุณยายกันนะ”


“แล้วพี่ซังฮยอนล่ะครับ พี่จะตามเราไปทีหลังใช่เปล่า”


“พี่เขาจะไม่มากับเราด้วยหรอกลูก”


“ทำไมล่ะครับ”


“แดฮยอน...” ชื่อนั้นถูกขานเรียกด้วยเสียงสั่น “ต่อไปนี้หนูต้องอยู่กับแม่กับยายแค่สามคน หนูจะเจอพี่ซังฮยอนอีกไม่ได้แล้วนะ”


“ทำไมถึงเจอพี่ไม่ได้ล่ะครับ”


“เพราะพี่เขารักหนูมาก...เขายอมเสียสละเพื่อให้หนูได้มีชีวิตที่ดีกว่า เพราะแบบนั้นเราถึงเจอพี่เขาไม่ได้อีก”


“ผมไม่เห็นจะเข้าใจเลย ไม่เอาหรอก ผมอยากเจอพี่ซังฮยอน ผมอยากให้พี่อยู่กับผม ผมยังไม่ไปบ้านคุณยายก็ได้ แม่ผมพาผมไปหาพี่นะ ไปรับพี่มาบ้านคุณยายด้วยกันนะ”


“แม่ทำแบบนั้นไม่ได้”


“ทำไมล่ะครับ”


“พ่อเขาไม่ยอม...เขาไม่ยอมให้แม่พาพี่เขามาด้วย แม่ขอโทษนะ แม่ขอโทษจริงๆ” ผู้พูดเม้มริมฝีปากมิอาจกลั้นน้ำตาที่ท่วมล้นจนภาพถนนพร่างพร่า ไหล่บางไหวสะท้อนด้วยความเจ็บปวดมากมายที่เผชิญหน้านานปีประดังประเดเข้ามาไม่หยุด


เด็กชายเอื้อมไปแตะแก้มที่มีน้ำตารินเป็นทางทั้งที่ไม่เข้าใจความเศร้าหมองนั้นทำให้ผู้เป็นมารดาเหลือบมองยังลูกหัวแก้วหัวแหวนด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา โดยมิทันสังเกตเห็นมอเตอร์ไซด์คันใหญ่ที่ห้อทะยานตามหลังมาด้วยความเร็วสูงเข้าปาดหน้าทำให้คนขับตกใจหักพวงมาลัยหลบตั้งใจจะเหยียบเบรกเพื่อตั้งหลักแต่กลายเป็นเหยียบคันเร่งเต็มเท้าทำให้พุ่งเข้าดงหญ้าข้างทาง


“แดฮยอน...หนูไม่เป็นไรใช่มั้ยลูก” คำถามจากความตระหนกดังขึ้น มือไม้เอื้อมมาหาปล่อยลูกชายที่กำลังกลัวเกาะแขนตนเองไว้ข้างหนึ่ง ขณะที่หันมองไปยังคู่กรณีที่เดินเร็วๆมาหาทั้งที่ยังสวมหมวกกันน็อกผ่านกระจกด้านหลังรถก่อนจะหยิบโทรศัพท์ต่อสายหาใครบางคนแต่ไม่มีการตอบรับจึงโยนโทรศัพท์ทิ้งแล้วถอดเข็มขัดนิรภัยอุ้มลูกไปไว้ที่เบาะหลัง


“หนูอยู่นี่ก่อนนะ นอนกอดเข่าไว้แบบนี้ แบบนั้นแหละลูก เอาผ้านี่คลุมตัวไว้...แล้วฟังนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราห้ามส่งเสียง ห้ามขยับตัว หนูเข้าใจใช่ไหม เข้าใจไหม” 


เด็กชายพยักหน้ารับหยิบผ้าสีดำที่พับไว้บนเบาะมาคลุมตัวกอดเข่าพิงแนบกับข้างประตู...รับรู้ถึงข้าวของที่ผู้เป็นมารดาโกยทับลงมาแต่ผ้าสีดำนั้นยังบางพอให้มองเห็นได้ลางๆ ตาคมจ้องมารดาที่พยายามสตาร์ทรถ อีกมือเปิดลิ้นชักรถคว้านหาบางอย่างที่ซ่อนไว้แต่ไม่ทันจะฉวยอะไรได้ก็มีบางคนเดินมาหยุดข้างประตูฝั่งคนขับ


เสี้ยวนาทีนั้นมีวัตถุบางสิ่งเคลื่อนผ่านอากาศเกิดเป็นประกายไฟลูกเล็กๆ สองสามลูกทะลุกระจกพุ่งเข้าใส่ร่างและลำคอคนขับก่อนจะสำรวจหาคนโดยสารอื่นในรถอยู่พักใหญ่จึงกลับขึ้นรถขับออกไป โดยปล่อยเหยื่อเคราะห์ร้ายทิ้งไว้กับความเจ็บปวดจมกองเลือดที่ไหลท่วมย้อมเสื้อขาวกลายเป็นสีแดงสด


ทั้งที่ลมหายใจแทบหมดสิ้น หากผู้เป็นแม่ยังรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายเอนหลังเหลียวหาพร้อมมือเปื้อนเลือดที่เอื้อมมาดึงผ้าคลุมเพียงเพื่อจะสัมผัสและเอ่ยคำลาเป็นครั้งสุดท้าย


...แม่รักหนูนะและจะรักตลอดไป...


“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก” เสียงกรีดร้องจากหัวใจที่เจ็บปวดแผดลั่นคับห้องพร้อมกับคนบนเตียงที่ตื่นลืมตาโพล่งเหงื่อท่วมตัว มือขยุ้มเสื้อตรงตำแหน่งหัวใจแน่นด้วยบาดแผลฉกรรจ์ทางใจที่ไม่มีวันเลือนหายตีกระทบรุนแรงจนหัวใจร้าวลึกและหายใจไม่ออก


ความทรมานแสนสาหัสเกินอดกลั้นดึงให้ร่างสูงลืมตัวลุกพรวดจากเตียงกระหนำหมัดลุ่นๆ อัดใส่ผนังระบายความอัดอั้นนับครั้งไม่ถ้วนกระทั่งเลือดซึมอาบมือจนเหนื่อยหอบจึงไถลตัวทรุดลงบนพื้น


...นานแล้วที่เขาไม่ได้ฝันถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาสูญเสียผู้หญิงที่เขารักที่สุดในชีวิตไป...
...ความฝันอันขมขื่นคอยหลอกหลอนเขาเหมือนไม่วันจบสิ้น
...ความฝันที่ทำให้ไม่อาจข่มตาหลับจึงต้องพึ่งฤทธิ์แอลกอฮอล์ช่วยให้ไร้สติ


มันเจ็บอย่างมากกับการต้องจมอยู่ในความสูญเสียผู้เป็นที่รักทั้งหลับทั้งตื่น...ทุกคราที่คิดถึงหัวใจคล้ายถูกบางสิ่งบีบรัดรุนแรงแทบยืนไม่อยู่ยังผลให้เขากลัวว่า หากรักใครหรือสิ่งใดขึ้นมาเช่นเดียวกับที่รักแม่ ยายและพี่ชายอีก ใครคนนั้นจะถูกคำสาปของคนบาปอย่างเขาเล่นงาน


...เขากลัวการสูญเสียสิ่งที่รักยิ่งกว่าอะไรในโลก...


แดฮยอนสูดลมหายใจขยับมือที่ชกผนังไปมาเหมือนไม่รู้สึกเจ็บปวดอยู่นานกว่าจะคิดได้ว่า เลือดของตนเองอาจเปรอะเลอะพื้นจึงถอดเสื้อออกมาห่อคลุมมือตัวเองแล้วโซเซลุกไปเปิดไฟเพื่อหาคราบเลือดเล็กน้อยบนพื้นก่อนจะใช้เสื้อที่ห่อมือเช็ดออกจนสะอาดถึงคลำทางที่มืดสนิทด้านนอกประคองมือที่มีเสื้อชุ่มเลือดห่อไว้ในอกเพื่อไม่ให้เลือดหยดตรงไปยังห้องน้ำ


น้ำสะอาดไหลจากก๊อกชะล้างเลือดบนหลังมือให้เหลือเพียงรอยแผลแตกและถลอก จากนั้นจึงออกจากห้องน้ำเปิดไฟตรงทางเดินเพื่อมองหาหยดเลือดบนพื้นจนแน่ใจว่าไม่มีแน่นอนแล้วค่อยกลับมาซักเสื้อเปื้อนเลือดตัวเองอยู่นานเพื่อไม่ให้เลือดเผยออกมาให้เห็นได้อีก


...เขาไม่อยากให้ยองแจเห็นเลือดหรือเห็นตัวตนของเขาที่ซ่อนอยู่...
...เขากลัวเหลือเกินว่า ถ้ายองแจรู้ถึงสิ่งที่เขาเป็นอย่างแท้จริง ยองแจจะกลัวและเกลียดเขา...


ชายหนุ่มบิดน้ำออกจากเสื้อสะบัดดูรอยเลือดที่อาจตกค้างเรียบร้อยจึงตากบนราวแขวนผ้าเช็ดตัวแล้ววักน้ำจากก็อกมาล้างหน้าล้างตาอยู่นานหลายนาทีถึงโซเซหอบเอาร่างกายและหัวใจที่เต็มไปด้วยบาดแผลลึกไล่ปิดไฟให้ทางเดินกลับสู่ความมืด เมื่อถึงห้องได้ก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานพลางเอนหลังพิงพนักเหลือบมองนาฬิกาแมวบนโต๊ะที่เจ้าของบ้านซื้อมาฝากจากสวีเดน


...ตีสองสามสิบห้านาที...


ลมหายใจอุ่นทอดยาวออกมาพร้อมกับการนั่งนิ่งไม่ไหวติงกว่าที่เจ้าตัวจะขยับตัวขึ้นมานั่งหลังตรงแล้วเปิดแมคบุ๊คขึ้นมาเพื่อทำงานฆ่าเวลาเพราะรู้ว่าคืนนี้คงไม่มีวันข่มตาหลับลงและเมื่อนิ้วเรียววางลงบนแป้นคีย์บอร์ดกดออกมาเป็นตัวอักษรกลั่นกรองจากความรู้สึกนึกคิดในห้วงเวลานั้นเรียงรายอยู่บนหน้าจอกลายเป็นเนื้อเพลงที่ว่าด้วยความรัก


...คืนนี้ฉันอาจเขียนเพลงสุดแสนเศร้าว่าด้วยเรื่องราวของเราในความฝัน เรื่องที่ว่าเราสองคนหลงรักกัน ความสุขในฝันนั่นถือว่าเป็นความสุขได้หรือเปล่า...
----------------------------------------------------------------------------------------
นาฬิกาปลุกในโทรศัพท์มือถือส่งเสียงเตือนให้เจ้าของเครื่องรู้ตัวว่าได้เวลาที่เพื่อนร่วมบ้านต้องชงกาแฟดื่ม ทำให้คนที่ง่วนอยู่กับการเขียนเพลงเศร้าทั้งคืนหยิบโทรศัพท์มากดปิดการปลุกแล้วลุกจากเก้าอี้ออกไปยังห้องครัว หากวันนี้กลับไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของผงกาแฟที่เคยหกเหลือให้เขาต้องเช็ดทำความสะอาดและเมื่อเดินไปดูรองเท้าตรงชั้นวางถึงรู้ว่า เจ้าของบ้านออกไปข้างนอกแล้ว


แดฮยอนเม้มริมฝีปากให้กับการหลบหน้าก่อนจะอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวหอบเอาแมคบุ๊กและข้าวของส่วนตัวที่ต้องใช้ในการดำรงชีพโกยใส่กระเป๋าหนังสะพายข้างออกจากบ้านพักเดินตามทางไปยังร้านกาแฟที่ไม่ได้มาเลยตั้งแต่วันที่มาคุยเรื่องแบ่งบ้านอาศัยร่วมกันแต่ก็พบว่าประตูเหล็กของร้านยังคงปิดอยู่


...ไปไหนของเขานะ...


เขาหยิบมือถือออกมาส่งข้อความไปก่อนเป็นอันดับแรกทั้งที่มีข้อความยังไม่ได้อ่านด้านบนค้างอยู่เท่ากับที่เขาส่งไปหาเมื่อวานจากนั้นจึงกดโทรหาและฟังเสียงจากระบบตอบรับอัตโนมัติอีกเช่นเคยเลยคอตกจำใจไปสถานีรถไฟใต้ดินเดินทางไปออฟฟิศแทน


อาคารพาณิชย์สองคูหาสูงหกชั้นทาสีเขียวเข้มข้างตึกมีตัวอักษรเขียนด้วยมือในแนวทแยงดูแปลกตาและเท่เป็นภาษาอังกฤษขนาดใหญ่อ่านได้ว่า Canción Entertainment  ตอนหกโมงเช้าเงียบสงัดแต่พนักงานที่ห่อเหี่ยวไปหมดทั้งกายทั้งใจไม่รู้สึกอะไรเพียงเดินขึ้นบันไดแตะบัตรพนักงานผ่านประตูเลื่อนอัตโนมัติเข้าไปภายใน


ขณะที่ลากเท้าไปยังชั้นสี่อันเป็นพื้นที่สำหรับอัดเสียงและสตูดิโอแยกสำหรับพนักงานแต่ละคน ตาก็เหลือบเห็นรุ่นพี่ที่เป็นตัวตั้งตัวตีจัดงานเลี้ยงรุ่นเมื่อวานยืนคุยอยู่หน้าห้องอัดเลยโค้งให้แทนคำทักทายเกือบจะเดินผ่านไปแล้วถ้าไม่ได้ถูกเรียกไว้เสียก่อน


“แดฮยอน มึงมานี่ก่อนดิ” ซองวอนเรียกพลางมองรุ่นน้องที่หันกลับมาหาด้วยสภาพย่ำแย่เหมือนไม่ได้นอนทั้งคืนก็สงสารเลยยั้งปากที่เตรียมจะด่าไว้


“พี่มีอะไรครับ”


“โห ดูสารรูปมึงดิ...มึงยังไม่ดีกับยองแจใช่ปะ” ฮันเฮถามในทันทีที่เห็นรุ่นน้องคนสนิทเดินกลับมาให้เห็นหน้าในระยะใกล้


“ยังครับ”


“ยองแจนี่ดูเป็นคนหายโกรธยากเหมือนกันแฮะ...แต่ก็อย่างว่าแหละ มึงเล่นดันทุรังจะพาเขากลับแถมด่าเพื่อนรุ่นตัวเอง ไหนจะไปชกอินซองจนฟันหักนั้นอีก มึงแม่งทำตัวโครตไร้เหตุผล เขาจะโกรธไม่หายก็ไม่แปลก” 


“แต่เมื่อวานนี่มึงโครตน่ากลัว ตอนที่มึงต่อยอินซองมึงไม่เหมือนคนที่กูรู้จักเลย ตอนนี้คนที่ไปงานเลี้ยงรุ่นเมื่อวานแม่งยังอึ้งกันไม่หาย ตกใจที่มึงกลายเป็นคนรุนแรงขนาดนั้น”


“ครับ...ผมขอโทษด้วยที่ผมเป็นแบบนั้น พี่มีอะไรอีกหรือเปล่า ถ้าไม่มีผมไปทำงานต่อก่อนนะ” คนอ่อนที่สุดในวงสนทนาบอกมองหน้ารุ่นพี่ที่กระพริบตาปริบใส่จึงโค้งให้ค่อยลากตัวเองหายเข้าไปในสตูดิโอที่มีป้ายชื่อตนเองติดอยู่แล้วหมกตัวอยู่ในนั้นค่อนวันจึงเอางานหอบให้บอสกับลูกค้าช่วยประเมินตัดสินใจรอบที่สามกระทั่งงานผ่านก็กลับมาอยู่ในห้องทำงานใหม่จนเริ่มค่ำก็เก็บข้าวของกลับบ้าน ระหว่างทางได้แวะซื้อตุ๊กตาลูกไก่ติดมือและไปร้านกาแฟก่อนพอเห็นว่าร้านปิดแล้วจึงวิ่งสุดชีวิตไปบ้านโดยหวังว่าจะไปทันเจ้าของบ้านกลับมาพอดี


...แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าทั้งบ้านปิดไฟมืดคงมีเพียงรองเท้าที่ทำให้รู้ว่ายองแจเข้านอนเรียบร้อยแล้ว...


แดฮยอนถอนหายใจเดินลากเท้าพาตัวเองมายังหน้าห้องเจ้าของบ้านเกือบจะเคาะเรียกแต่ก็หยุดตัวเองไว้เพราะกลัวจะรบกวนเลยหยิบโพสต์อิทในกระเป๋ามาเขียนข้อความบอกให้กินอาหารให้ตู้เย็นให้อิ่ม นอนหลับให้มาก เตือนเรื่องกินยาและปิดท้ายด้วยคำขอโทษแปะแล้ววางตุ๊กตาไว้บนพื้นหน้าประตู จากนั้นจึงเข้าห้องทิ้งตัวลงบนเตียงนอนมองเพดานด้วยความกลัดกลุ้มระคนเศร้าหมอง


ในสมองเต็มไปด้วยความคิดมากมายตีกันมั่วไปหมดก่อนที่เจ้าตัวจะถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่สิบหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่บนเตียงใกล้มือออกมาไถหาเบอร์ที่มีชื่อบันทึกไว้ว่า เจ้านายจนเจอก็กดโทรออก


ทันทีที่ปลายสายตอบรับ เจ้าตัวก็ทักทายเพียงเล็กน้อยจึงบอกจุดประสงค์ในการโทรหาทั้งที่ไม่เคยคิดจะโทรรบกวนผู้เป็นเจ้านายนอกเหนือจากเรื่องงานมาก่อน


“ตั้งแต่พรุ่งนี้ ถ้าไม่ต้องประชุม ต้องพบลูกค้า ตัดอัดไกด์เสียงหรือมิกซ์เสียงในสตูดิโอ ผมขอย้ายที่คิดงานนะครับ” 


“ตามใจมึงเถอะ แค่มีงานดีๆส่งมาเหมือนเดิมก็พอ แค่นี้ล่ะ ราตรีสวัสดิ์” สิ้นเสียงดุดันจากผู้เป็นหัวหน้าและเจ้าของบริษัทปลายสายก็ถูกตัดไปแต่นั่นไม่ได้ทำให้คนเป็นลูกน้องเบาใจเพราะปัญหาใหญ่มากมายในชีวิตยังไม่ได้รับการแก้ไข


คืนนี้เขาอาจต้องเผชิญหน้ากับฝันร้ายอย่างเต็มรูปแบบเหมือนเมื่อวานหรืออาจมีอาการนอนไม่หลับเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้า หากเขาไม่ต้องการออกไปดื่มจนเมาเพื่อให้ด้วยต้องการอยู่รับความเจ็บปวดทั้งหมดทั้งมวลอันเป็นบทลงโทษที่เขาสมควรได้รับในฐานะที่ทำให้คนสำคัญเสียใจ


...พรุ่งนี้เขาจะไปทำงานที่ร้านกาแฟของยองแจ...
...ถึงจะต้องเจอความเย็นชาหมางเมินก็ช่าง...


อย่างน้อยขอแค่ให้เขาได้เห็นหน้ายองแจ ได้พูดคำขอโทษต่อหน้า แม้จะไม่ช่วยให้ความโกรธทุเลาหรือความโกรธอาจจะเพิ่มขึ้นกว่า แต่การที่เขาได้แสดงความจริงใจที่มีก็ยังดีกว่าเสียยองแจไปโดยไม่ทำอะไรเลย

-----------------------แวะคุยกันก่อน--------------------

มันเจ็บปวดเนาะ คนเรานี่มีแต่ความเจ็บปวด ไม่ว่าจะจากตัวเองหรือจากใคร 
อดีตนี่ยังแค่เบาบางนะของแดฮยอนน่ะ ยังมีหนักกว่านี่อีก 
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ฮือ อ่านแล้วฝากคอมเม้น
และติด #ficlovetoxical ในทวิตเตอร์เหมือนเดิม
 

You Might Also Like

7 Comments

  1. ฮือออออออออออㅠㅠตอนนี้สงสารเเดฮยอนมากอะ ได้รู้ซะทีว่าฝันถึงเรื่องอะไร ฮือออมันหน่วงงงงงงงงง เเล้งยังง้อยองเเจไม่สำเร็จด้วย โอ้ยน่าสงสาร เอต่ก็สงสารยองเเจเหมือนกัน โอ้ยยยคู่นี้ ทำให้จะร้องไห้ㅠㅠ ไรต์สู้สู้ เป็นกลจให้ค่า

    ตอบลบ
  2. ตอนแรกว่าจะอ่านพน.แต่นอนไม่หลับ แงงงงง
    โห ความฝันแด้คือปวดใจสุดง่ะ สงสารนาง
    นี่สงสัยว่าแจไม่ตื่นหรอฟระทั้งตะโกนทั้งต่อยกำแพง ได้แผลเบอร์นั้นน่าจะสะเทือนอยู่
    ยองแจหลบหน้ากันเบอร์นี้เหงาเลยดิ่ สงสารทั้งคู่เยยงื้อ

    ตอบลบ
  3. เศร้ามากๆเลยT_T ยองแจหายโกธรแดฮยอนเถอะนะ ดยอนทำทุกอย่างเพื่อง้อแล้วนะยองแจ ตอนอ่านไปเข้าใจความรู้สึกแดฮยอนที่กลัวการสูญเสียเลย แบบพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เค้าหายโกธร ปวดใจมากกกกก ขอบคุณไรต์นะคะสนุกมากๆเลยสู้ๆนะคะ

    ตอบลบ
  4. ยองแจใจเด็ดสุด หลบหน้ากันขนาดนี้เลย อยากให้ดีกันเร็วๆเป็นกำลังใจให้แดฮยอนนะ แดฮยอนแบบยอมทำทุกอย่างจริงๆอ่ะ เป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยค่ะ ชอบเรื่องนี้มากๆเลย อยากให้ทำออกมาเป็นเล่มด้วยนะ เราอยากได้เก็บไว้อ่านอีกที ;-;

    ตอบลบ
  5. โหวววววว สงสารแดฮยอนค่ะ ตอนแรกเราก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมดอนถึงไม่รู้ตัวเองขนาดนี้ว่าที่รู้สึกกับยองแจมันไปถึงขั้นไหนต่อไหนแล้ว คือจริงๆจะบอกว่าไม่รู้ตัวก็ไม่ได้เนาะ ต้องบอกว่าไม่ยอมรับว่าความรู้สึก สิ่งที่เกิดขึ้นเนี่ยมันเกินกว่าคำว่ารักจริง เหมือนยองแจจะกลายเป็นทุกอย่างในชีวิตแดฮยอนไปแล้วแต่ดอนแค่กลัวว่าจะเสียยองแจไปเลยไม่กล้ายอมรับ แต่พอได้อ่านอดีตของดอนเลยพอเข้าใจ ถ้าต้องสูญเสียคนที่รักขนาดนั้นเราก็คงทำใจยากจริงๆค่ะ
    ในส่วนของยองแจ เราก็สงสารยองแจ แต่จริงๆแดฮยอนก็ไม่ผิดนะ เพราะยองแจไม่เคยบอกก็ไม่แปลกที่คนกากจะไม่รู้ เฮ้อออออออออออ ถอนหายใจยาวๆเลยค่ะ ถ้ายองแจรู้ว่าคนกากทำอะไรไปบ้าง TT ปวดใจมากๆเลยค่ะ
    ขอบคุณสำหรับฟิคนะคะ จะรอติดตามเรื่อยๆเลย

    ตอบลบ
  6. โว้ยยยยแมวของพี่ ฮือออ สงสารแดฮยอนนน ยองแจหายโกรธเถอะนะ มาปลอบแมวเร็ว TT
    ยังมีอดีตที่หนักกว่านี้เหรอคะ แค่นี้ก็จะรับไม่ไหวแล้ว

    ตอบลบ
  7. ตอนนี้หน่วงจังค่ะ สงสารพี่แด้อ่ะปมชีวิตดูโหดร้ายจังมรสุมกระหน่ำแงสงสารรรมีความชกกำแพงแล้วกลัวบ้านสกปรกไปอี๊กแด้เอ้ยไม่ห่วงตัวเองเลย น้องแจหายโกรธพี่เค้าเถอะค่ะพี่เขาจะเฉาตายแล้ว😭 ขอบคุณฟิคค่าไรท์❤❤

    ตอบลบ